ไม่รู้
— กันต์
“กันต์กับคุณธนากรรู้จักกันมาก่อนใช่ไหม” พี่ปูถามเมื่อเห็นว่าคุณธนากรที่ประชุมด้วยกันเมื่อบ่ายที่ผ่านมาทำตัวสนิทสนมกับผมเกินเจ้านายกับลูกน้อง
“เคยเรียนม.เดียวกันครับ เจอกันผ่านๆ” ผมตอบตามจริง แต่ก็ไม่ได้บอกหมด พี่ปูขมวดคิ้วแน่นก่อนจะหันมาถาม
“เขาจีบแกเหรอวะ วันก่อนเห็นเอากล่องข้าวมาวางให้ด้วย”
ผมที่จริงๆแล้วก็ไม่รู้ว่าเขาทำแบบนั้นทำไมส่ายหัวเพื่อปฏิเสธ
“ไม่มั้งพี่ คงมีน้ำใจเฉยๆ”
ผมมองนาฬิกาเรือนสีทองในมือก่อนจะบอกพี่ที่สนิทกันเพราะเห็นว่าตอนนี้หกโมงเย็นแล้ว มันเป็นเวลาเลิกงานแล้ว
“ไปแล้วพี่ปู ไปวิ่งก่อน”
“วิ่งหรือส่องสาว หรือส่องหนุ่ม” พี่เขายิ้มล้อ ผมหัวเราะก่อนจะตอบ
“ดูหมดแหละพี่ ของสวยงาม”
หลายปีมานี้ผมใช้ชีวิตซ้ำๆจนกลายเป็นว่าการออกมาวิ่งหลังเลิกงาน การหาของกินอร่อยๆ โทรหาพ่อแม่ทุกวัน เดินเล่นคนเดียว ไปกินข้าวกับไดจิหรือแพทบ้างเป็นคอมฟอร์ทโซนของผม ซึ่งผมชอบมันนะ มันไม่หวือหวาแต่มันก็ทำให้ผมประมาทในชีวิตตัวเองและตั้งรับการเปลี่ยนแปลงไม่ค่อยได้ อย่างวันนี้ผมออกมาวิ่งแล้วรู้สึกเหมือนมีคนวิ่งอยู่ข้างๆ
ในตอนที่ผมกำลังคิดว่าจะมาเบียดกันทำไม ถนนก็กว้าง พอผมหันไปเห็นเขาผมก็แทบจะหน้าทิ่ม
“ตกใจอะไรขนาดนั้น เดี๋ยวก็ล้ม” เขาว่าพร้อมกับเอื้อมมือมาคว้าแขนผมไว้เพราะกลัวผมล้ม ผมที่วิ่งเหยาะๆมาเกือบครึ่งชั่วโมงเร่งสปีดขึ้นหน่อย แต่ดูเหมือนเขาก็ยังตามมา ผมเลยคิดว่าคูลดาวน์แล้วกลับบ้านเลยดีกว่า
“อะไร ยังวิ่งไม่ถึงชั่วโมงเลย”
“พอดีหิวครับ เลยรีบ” ผมตอบหน้าเครียด ส่วนเขาอมยิ้มเหมือนรู้ว่าผมโกหก
ผมเดินเข้าไปหาม้านั่งแถวนั้นยืดขาแล้วนั่งลงกับม้าหินอ่อนเพื่อนวดขาตัวเองที่จู่ๆก็เป็นตะคริว อาจจะเพราะตอนที่หยุดวิ่งกระทันหันตอนนั้น พอยืดกล้ามเนื้อถึงได้เป็นอย่างที่เห็น
“เจ็บไหม”
“อย่าจับ!” ผมไม่ได้ตะโกนเพราะว่ามันเจ็บ แต่ผมตกใจที่เขานั่งลงตรงพื้น จับขาผมไปวางที่ตักเขา แล้วค่อยๆนวดเพื่อยืดกล้ามเนื้อตรงน่องฝั่งซ้าย มือร้อนของกันย์ค่อยๆบีบลงไปแล้วลูบมันก่อนจะยืดขาผมเข้าออกเพื่อให้เลือดมันไหลเวียน
“เดี๋ยวนวดให้” เขาบอกในตอนที่ผมกำลังจะดึงขาออก กันย์ถอดรองเท้าผมออกก่อนจะนวดไปจนถึงปลายเท้าเมื่อเห็นว่าตะคริวมันกินไปถึงนิ้วเท้า
“เจ็บไหม” เขาถามขึ้นในขณะที่กำลังสาละวนอยู่ที่เท้าผม ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่มองไหล่ของเขาที่ดูกว้างขึ้นกว่าแต่ก่อน กันย์ดูดีขึ้นมากถ้าเทียบกับคนตัวผอมสูงเมื่อก่อน
เขาดูแข็งแรงขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ...ผมเองก็เช่นกัน
“อยู่แถวนี้เหรอ”
เขาถามขึ้นมาในตอนที่วางเท้าผมลงที่พื้นและตัวเขาเองลุกขึ้นยืน
“ผมก็อยู่แถวนี้ บังเอิญเนอะ” ดูเหมือนเขาจะถามเองตอบเอง
“ผมก็ยังไม่ได้กินอะไรเหมือนกัน ไปกินด้วยได้ไหม”
“อย่าเลยครับ น่าจะไม่ถูกปาก” ผมรีบบอก
“รู้ได้ยังไงว่าจะไม่ถูกปากผม”
ผมนิสัยเสียอยู่อย่างคือเป็นพวกขี้เกียจเถียง ถึงผมไม่เคยกินข้าวกับเขาแต่ก็พอรู้บ้างว่าเขากินได้แต่ของในห้าง
ผมเดินมาเอาของที่ล็อกเกอร์แล้วเดินผ่านสวนสาธารณะออกมาเป็นห้างใหญ่ ก่อนจะเดินตัดเข้ามาที่ตรอกเล็กๆ ที่มีข้าวมันไก่เจ้าอร่อยโดยที่รับรู้ได้ว่ามีใครบางคนเดินตามมาอย่างที่บอก
“เอาข้าวมันไก่ผสม พิเศษครับ”
“วิ่งแล้วมากินของแบบนี้เหรอ” เขาตั้งคำถามกับการกินของผมก่อนจะหันไปสั่งข้าวเปล่าไม่มันกับไก่ไม่เอาหนัง
ผมวิ่งเพื่อให้กินข้าวอร่อยขึ้นกับนอนหลับสบาย ไม่ได้ออกกำลังกายเพื่อรักษาหุ่นแบบเขา ผมมองกันย์ราดซอสหวานลงบนไก่แล้วก็เพิ่งรู้ว่าเขาไม่กินเผ็ด และก็ทำให้ฉุกคิดได้ว่าผมกับเขาที่ไม่เคยร่วมโต๊ะกันจริงจังมาก่อน ผมกับเขาไม่มีความทรงจำแบบนี้เลย
ต่างจากอีกคนที่มักจะกินเผ็ดตามผมแม้หน้าตาจะดูไม่ได้เลยเวลาที่เรียกหาน้ำ ภัทรที่ผิวเนียนละเอียดตามประสาลูกคนจีนมักจะแก้มแดงเวลาที่เจอแดดจัดๆหรือกินของเผ็ด
ผมที่นึกได้ว่าตัวเองคิดอะไรเรื่อยเปื่อยกลับมาสนใจจานข้าวตรงหน้าแทน ผมเทน้ำจิ้มเผ็ด พริกซอยและขิงลงไปท่วมจาน คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันมองมันอย่างทึ่งๆ
“เผ็ดไปรึเปล่า”
“ชินแล้วครับ” ผมว่า เราก้มหน้ากินข้าวเงียบๆท่ามกลางเสียงดังของลูกค้าในร้าน เขากินช้ากว่าผมเยอะ ผมที่กำลังคิดว่าจะลุกไปจ่ายเงินแล้วชิ่งก่อนดีไหมเหลือบมองเขาชั่วครู่
“ไปก่อนเลยก็ได้ ผมกินช้า...ไม่ต้องรอ”
ผมชั่งใจชั่วครู่ แต่คิดว่าไปก่อนน่าจะดีกว่าเพราะซีรีย์เรื่องที่ผมชอบใกล้จะมาแล้ว
“ไม่ต้องจ่าย เดี๋ยวผมจ่ายให้” เขาว่าเมื่อผมควักตังค์ออกมา ผมวางธนบัติใบละ 50 บาทไว้บนโต๊ะไม้เก่าๆ
“ไม่เป็นไรครับ”
“เมื่อวานมีคนเห็นกันต์กับคุณธนากรที่สวน” พี่ปูพูดขึ้นในตอนเช้าของวันทำงาน พี่ปูนั่งกินข้าวทั้งๆที่หัวหน้าบอกว่าไม่ให้กิน ส่วนผมเพิ่งมาถึง
“บังเอิญเจอพี่” ผมว่า
“ข้าวนี่ก็บังเอิญเหรอวะ แบบนี้ข้าวเหนียวหมูพี่คงเป็นหมัน” ผมมองข้าวกล่องจากร้านเดิมบนโต๊ะตัวเองก่อนจะหันไปยิ้มให้พี่คนสนิท
“ยังไงผมก็กินของพี่ปูอยู่แล้ว”
ที่บ้านพี่ปูเป็นร้านอาหาร เลยมีของฝากให้ผมประจำ
“แล้วกองอันนี้คืออะไรวะพี่ปู” ผมชี้ไปที่กองเอกสารที่โต๊ะตัวเอง เห็นว่ามีพวกโบรชัวร์อยู่หลายอัน
“คุณมิ้นเลขาคุณออยเอามาวางไว้ ฝากให้กันต์แปล”
ผมขมวดคิ้วแน่น
“งานผมเหรอพี่”
“พี่บอกเขาแล้วว่าไม่ใช่งานแก แต่เขาบอกภาษาแกดีต้องให้แกทำ”
“ดีตรงไหนวะ เขาสิจบมาจากต่างประเทศ งานผมก็มี”
“พี่แบกไปที่โต๊ะแล้วส่วนบางส่วน ช่วยกันคนละครึ่ง”
“พี่ปู”
“ช่างมัน ทำเสร็จก็จบ” ผมมองหน้าคนที่ดูไม่อยากหาเรื่องเข้าตัว อย่างที่บอกว่าช่วงนี้งานผมเยอะ
ผมนั่งทำงานของตัวเองจนเย็น กะว่าจะจัดการแปลพวกเอกสารที่คุณออยให้ช่วงทำโอที ทั้งที่รู้สึกว่าเอกสารพวกนี้จริงๆแล้วไม่ได้มาเพื่อให้ผมแปล แต่มาเพื่อสร้างความเดือดร้อนให้ผมต่างหาก...และผมก็คิดถูก
“ไหนงานที่ให้ไปคะ หมดวันแล้วทำไมออยยังไม่ได้”
“ยังไม่ได้ทำครับ กะว่าจะทำหลังเลิกงาน”
หัวหน้าสาวสวยที่น่าจะอายุมากกว่าผมอยู่แค่สองถึงสามปีชักสีหน้า
“คุณมัวแต่ทำอะไรอยู่คุณกันต์”
“ทำงานผมครับ” ผมตอบตามจริง ก่อนจะเงียบเพื่อทำงานต่อ
“คุณมิ้นไม่ได้บอกเหรอว่ามันควรจะเสร็จภายในวันนี้” ผมมองไปทางพี่ปูกับพวกพี่หลายๆคนที่มองมาทางผม
“ไม่เห็นบอกอะไรนะครับ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรจะเรียงลำดับความสำคัญของงาน”
“ผมว่าผมทำถูกแล้วนะครับ งานผมสำคัญกว่าเพราะต้องเอาเข้าที่ประชุมพรุ่งนี้เช้า” ผมตอบ
“ถ้าคุณยังอคติกับออยแบบนี้เห็นว่าเราน่าจะร่วมงานกันยากนะคะ”
“ครับ” ผมที่ไม่รู้ว่าการตอบด้วยเหตุผลของผมมันอคติตรงไหนตอบแค่นั้น แล้วนั่งเงียบทำงานต่อไป
วันนี้ผมตั้งชื่อการวิ่งของผมว่าเป็นการวิ่งคลายเครียด ก่อนออกมาจากที่ทำงานวันนี้มีพี่ๆหลายคนเดินมาหาผมแล้วให้กำลังใจ ตัวผมบอกทุกคนว่าไม่มีอะไร แต่ใจมันก็หงุดหงิดอยู่มากทีเดียว
“วิ่งแบบนี้เดี๋ยวก็ปวดขา”
“เอ้ย!” นี่ก็โผล่มาเหมือนผี คนยิ่งหงุดหงิดอยู่
ผมที่หงุดหงิดเป็นทุนเดิมวิ่งหนีเขา ยิ่งรู้ว่าเขาวิ่งตามผมก็ยิ่งเร่งฝีเท้าจนเกือบจะชนอาแปะที่วิ่งเหยาะๆอยู่ข้างหน้า พอหักหลบเลยเซไปชนกับคนที่วิ่งมาถึงตัว พอหักหลบเลยเซไปชนกับคนที่วิ่งมาถึงตัวพอดี
“กันต์! ล้มหัวแตกขึ้นมาจะทำยังไง!” เขาดึงแขนผมไว้ ตาสีเข้มของเขาดุเหมือนผมเป็นคนผิด ผมสะบัดแขนออกจากมือเขาแล้วจ้ำไปฝั่งล็อกเกอร์
“เป็นอะไร”
“หงุดหงิด”
“หงุดหงิดอะไรผม”
ผมที่ตอนนี้พาลมันทุกอย่าง คิดว่าวันนี้กลับบ้านไปเล่นเกมส์น่าจะดีกว่าวิ่ง
— กันย์
วันนี้ผมเข้ามาทำงานตามปกติแต่สายหน่อยเพราะมีประชุมกับอีกสาขา ผมเดินผ่านห้องกระจกใสชั้น 11 เห็นคนกำลังนั่งตั้งใจทำงานอยู่ คุณจุ๋มบอกว่ากันต์ทำงานเก่ง ฉลาด แต่เสียตรงพูดน้อย
ผมเห็นกล่องข้าวที่วันนี้สั่งเดลิเวอรี่มาให้แต่เช้ายังวางอยู่ที่เดิม เขาไม่แตะของที่ได้จากผมเลยแม้จะกินเวลาร่วมเดือนแล้วก็ตาม ผมไม่เคยรู้ว่าเขาชอบกินอะไรบ้างซื้อของที่ตัวผมเองชอบมาให้ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล ผมรู้นะว่าเขาดื้อ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะดื้อขนาดนี้
“ทำอะไร” ผมที่คิดว่าจะเดินเลยไปชั้นบนในที่สุดก็ทนไม่ไหว ผมอยากเห็นหน้าเขา สักหน่อยก็ยังดี
“ทำงานครับ” คนที่กำลังตั้งใจทำงานว่า ลักยิ้มเล็กๆสองข้างของเขาบุ๋มลงในตอนที่เจ้าตัวขยับปากอ่านเอกสารในมือ
“วันนี้ไปวิ่งไหม” ผมถามเพราะไม่เห็นเขาที่สวนมาสักพักแล้ว คนที่นี่บอกว่ากันต์มักจะไปวิ่งทุกวันคนเดียวมาหลายปีแล้ว
“ไม่ไปครับ”
“ทำไมล่ะ”
“ทำโอทีครับ” ผมรู้ว่าคนที่นี่มักจะทำโอทีถ้างานไม่เสร็จ แต่ก็แค่ชั่วโมงสองชั่วโมงเท่านั้น และที่ผมได้ยินมาคือถึงจะเลิกโอทีกันต์ก็จะไปวิ่ง
“ทำถึงกี่โมง” ผมถามเขา เห็นว่าหลายๆคนในห้องเริ่มเงียบที่จะฟัง ผมที่สนใจแค่เขาไม่ค่อยสนใจเรื่องอื่นเท่าไหร่
“ดึกครับ” คนเก่งมองผมเหมือนอยากจะจับผมเข้าไปต่อยหรือไม่ก็ฟาดเหมือนแต่ก่อน เขาไม่พอใจที่ตอนนี้ผมทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจ
“งานคุณเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมถามเหมือนไม่รับรู้ว่าเขากำลังโมโหแค่ไหน นิ้วมือเรียวยาวจับเอกสารขึ้นมาอ่านแทนการเสวนากับผม ผมมองเสี้ยวหน้าเรียวของกันต์
“คุณแปลเอกสารพวกนี้ทำไม” ผมถามคนที่กำลังก้มหน้าก้มตามองตัวหนังสือในจอ เขาไม่ตอบ
“ไม่ใช่งานของคุณนี่” ผมบอกเขาอีกรอบ ปากหยักสวยที่กำลังอ่านเอกสารในมือเหยียดตึง เขาเงยหน้ามองผมอีกครั้งเพื่อบอกว่าเขาโกรธจริงๆ ผมยอมเดินออกจากห้องนั้นก่อนที่อีกคนจะเกลียดผมไปมากกว่านี้
ผมเรียนจบแล้วมีแผนกลับมาทำงานต่อกับคุณลุงที่ไทยตั้งแต่แรก ผมเลือกโครงการที่จะสร้างแถวชานเมืองไว้เป็นลำดับแรกเพื่อเรียนรู้งานจากสเกลเล็กๆขึ้นมาสเกลใหญ่ จนกระทั่งผมเห็นรายชื่อของทีมที่จะทำคอนโดติดแม่น้ำใจกลางเมือง ผมถึงได้ขอที่บ้านว่าผมเองอยากลองดู
การที่ผมเจอกับเขาที่นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ กันต์ได้ทุนแรกจากพ่อผม ได้ทุนปลอมๆครั้งที่สองจากผม เขาเลือกฝึกงานในบริษัทที่บ้านผมตามที่อาจารย์แนะนำมา เขาไม่มีทางรู้เลยว่าผมเห็นแก่ตัวแค่ไหน
เขาไม่มีทางรู้เลยว่าจนถึงวันนี้
...ตรงที่ลึกสุดใจผมยังรอเขาอยู่เหมือนที่เคยบอกวันนั้น…
TBC.
________________________________________
คุณธนากรเวอร์ชันอัพเกรดค่ะ 555555