ตอนที่ 28
“พี่ตาล...”
“.....”
“.....”
“.....”
“น้องติณณ์...กำลังคบกับโปเต้”
ผมตัดสินใจเอ่ยบอกออกไปที่สุด เป็นไงเป็นกัน จะช้าหรือเร็วพี่ตาลก็ต้องรู้อยู่ดี และยิ่งพี่ตาลพูดแบบนี้ แสดงว่าเขาต้องการที่จะได้ยินจากปากของผมเอง
“ตั้งแต่ตอนไหน” พี่ตาลเอ่ยถามผม อยากจะบอกว่าตอนนี้ผมเดาใจพี่ตาลไม่ออกเลย คือแบบ...สีหน้าพี่ตาลยังเหมือนเดิม เหมือนไม่ได้โกรธหรือรับไม่ได้อะไรเลย มันเริ่มทำให้ผมไม่มั่นใจว่า ตกลงพี่ตาลรับได้รึเปล่า หรืออาจจะรับไม่ได้ แต่ยังไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาก็เท่านั้น
“ก็...ตั้งแต่ตอนที่ไปเขาใหญ่แล้ว” ผมตอบออกไปเสียงเบา และรู้เลยว่าเสียงตัวเองกำลังสั่นอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ มันช่วยไม่ได้หนิ ผมกลัวว่าพี่ตาลจะผิดหวัง และเสียใจเพราะผม
“นานขนาดนั้น น้องติณณ์ไม่คิดจะบอกพี่หน่อยเหรอ”
“ไม่ใช่นะพี่ตาล ไม่ใช่ว่าน้องติณณ์อยากจะปิดนะ” ผมรีบบอกปฏิเสธ ผมไม่คิดจะปิดพี่ตาลจริงๆ แต่มันยังไม่ถึงเวลาอ่ะ ผมไม่รู้หนิ ว่าพี่ตาลจะรับได้หรือเปล่า แถมตอนนั้นพี่ตาลก็ยังท้องอยู่อีก ถ้าเกิดมันส่งผลกระทบกับเด็กในท้องล่ะ แบบนั้นมันจะไม่ยิ่งแย่กว่าเหรอ
“.....”
“คะ..คือ ก็ตอนนั้นพี่ตาลท้อง น้องติณณ์รู้ไง ...ว่าพี่ตาลจะรับได้รึเปล่า ถ้าพี่ตาลรับไม่ได้แล้วลูกพี่ตาลเป็นอะไรขึ้นมา แบบนั้นมันก็จะมีแต่แย่กับแย่ไม่ใช่เหรอ ...น้องติณณ์ไม่ได้อยากจะเปิดเลยนะ ...จริงๆ” ผมพยายามอธิบาย ซึ่งไม่รู้ว่าพี่ตาลจะเข้าใจมั้ย แต่ยังไงผมก็ต้องพูด ผมไม่อยากให้มันค้างๆคาๆอยู่แบบนี้
“เด็กโง่...ถ้าน้องติณณ์ไม่บอกพี่ ไม่ถามพี่ ...แล้วน้องติณณ์จะรู้เหรอ ว่าพี่รับได้หรือไม่ได้” พี่ตาลเอ่ยบอกกับผมก่อนจะยิ้มให้ รอยยิ้มที่อ่อนโยนที่พี่ตาลมักจะมีให้ผม
อะไรกัน...ไม่มีท่าทีที่โกรธ หรือจะรับไม่ได้
แล้วไอ้ท่าทางยินดีแบบนั้น ...มันคือ ...พี่เขาไม่ห้ามผมใช่มั้ย???
“พี่ตาล...ไม่โกรธน้องติณณ์ใช่มั้ย!?!” ผมร้องถาม เสียงดังขึ้นนิดหน่อย ช่วยไม่ได้ ก็คนมันตื่นเต้นนี่นา
“พี่จะไปโกรธน้องติณณ์ทำไม ไม่ว่าน้องติณณ์จะเป็นอะไร...พี่ก็รับได้ทั้งนั้นแหละ” คำตอบของพี่ตาลทำเอาผมยิ้มกว้างก่อนจะหันไปมองหน้าโปเต้ ที่เดินมาอยู่ข้างๆผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“.....” โปเต้ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ยกยิ้มมุมปากให้ผมเท่านั้น แต่แววตาที่ระยิบระยับของเขา มันก็ทำให้ผมรู้ว่าโปเต้เองก็ดีใจไม่ต่างจากผมเหมือนกัน
“น้องติณณ์ ...เราเหลือกันแค่สองคนนะ พี่ไม่มีทางจะรังเกียจน้องติณณ์หรอก อีกอย่างโปเต้เขาก็เป็นคนดี พี่เชื่อว่าโปเต้จะดูแลน้องติณณ์แทนพี่ได้ ความจริงพี่ก็พอจะรู้มาสักพักแล้วน่ะนะ น้องติณณ์เป็นน้องของพี่ ทำไมพี่จะไม่รู้ ปกติน้องติณณ์เคยสนใจใครที่ไหร่ แล้วพอวันนั้นที่น้องติณณ์มาปรึกษาพี่ พี่ก็มั่นใจได้ทันที ว่าน้องติณณ์ต้องแอบอะไรๆกับโปเต้แน่ๆ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆด้วย” พี่ตาลว่าอย่างยิ้มๆ
เอ่อ...สรุปคือก็รู้เรื่องกันหมดแล้ว มีผมที่วิตกอยู่คนเดียว
เฮ้อ...แต่ถ้ามันมาลงเอยแบบนี้ มันก็ยิ่งกว่าโอเคเสียอีก
“ผมนึกว่าทุกคนจะไม่ยอมรับเสียอีก” ผมพูดออกมาเบาๆ มันเป็นความในใจที่ผมเฝ้าคิดมาตลอดหลายเดือน
“ทำไมพวกเราถึงจะไม่ยอมรับล่ะติณณ์” คุณพ่อเอ่ยขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟา แล้วเดินตรงมาหาผม
“ก็ผมกับโปเต้เป็นผู้ชายหนิครับ” ผมตอบออกไปเบาๆ เพราะผมทั้งสองคนเป็นผู้ชาย การที่จะให้คนในครอบครัวมายอมรับนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับกันได้ง่ายๆเลยนะ
“ใช่ว่าคนทุกคนจะคิดเหมือนกันนะติณณ์ แต่ถ้าเป็นพ่อ ไม่ว่าลูกของพ่อจะเป็นอะไร พ่อก็รับได้ทั้งนั้น ขอแค่ใครคนนั้นเขารักลูกพ่อจริงๆก็พอ เพราะพ่อไม่สามารถสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ให้ลูกทั้งสองของพ่อได้ เพราะงั้น...ถ้าเขาคิดจะรักใคร และใครคนนั้นจริงใจกับลูกๆของพ่อ พ่อก็รับได้ทั้งนั้น อีกอย่างติณณ์ก็เป็นเด็กดี ที่ผ่านมาติณณ์ก็สามารถดูแลและอยู่เคียงข้างโปเต้ได้ เท่านี้พ่อก็พอใจแล้ว และพ่อก็ขอให้ทั้งคู่ดูแลกับแบบนี้ไปเรื่อยๆเลยนะครับ” คุณพ่อเอ่ยบอกกับผมพลางลูบหัวผมอย่างเบาๆไปด้วย คำพูดของท่านมันทำให้ผมซึ้งใจมาก เพราะล้มเหลวในชีวิตรัก ท่านจึงไม่คิดที่จะบังคับใจใคร คงเป็นเพราะความเจ็บปวดนั้น คุณพ่อเองก็คงจะรู้ดีเป็นที่สุด
“ขอบคุณคุณพ่อมากครับ ...คุณแม่ก็ด้วย” ผมยกมือไหว้ท่านทั้งสอง
“...พี่ตาลกับพี่ปาร์ด้วยนะครับ” แล้วผมก็หันมายกมือไหว้พี่ตาลและพี่ปาร์ ที่พวกเขาทั้งหมดอนุญาตให้ผมคบกันกับโปเต้
ถ้ารู้ว่าสารภาพออกไปแล้วมันเป็นแบบนี้ ...ผมพูดออกไปตั้งนานแล้ว ไม่ปล่อยให้อึดอัดใจตัวเองมาหลายเดือนแบบนี้หรอก เฮ้อ...
“จริงสิ...น้องติณณ์มีเรื่องจะถาม ถ้าพี่ตาลรับได้อยู่แล้วเรื่องผมกับโปเต้ งั้นทำไม เอ่อ...ตอนที่พี่ตาลเปิดประตูห้องพวกเรา แล้ว...” ผมเริ่มพูดไม่ออก เมื่อจะถามถึงเหตุการณ์เมื่อวานที่พี่ตาลปวดท้องคลอด ก็มัน...มันเป็นฉากที่ไม่กล้าพูดนี่หว่า
“อ๋อ ตอนนั้นน่ะ...น้ำคล่ำพี่ไหลแล้ว แต่ยังไม่รู้สึกปวดท้อง แล้วพอดีปาร์เขาอยู่ด้านล่างไง พี่ไม่รู้จะทำยังไง เลยจะเดินออกไปเรียกปาร์ แล้วบังเอิญพี่เห็นว่าห้องน้องติณณ์น่ะ..มันเปิดแง้มๆไว้ แล้วอยู่ๆมันก็เริ่มปวดท้อง พี่ก็เลยจะเรียกน้องติณณ์ พอผลักประตูห้องน้องติณณ์ไปก็เจอฉากเด็ดพอดี” พี่ตาลเล่าอย่างยิ้มๆ ตกลงคือ...พี่ตาลปวดท้องอยู่แล้ว แต่ผมคิดไปเองว่ามันเป็นเพราะผม
“.....” ผมได้แต่พยักหน้าเบาๆ สรุปคือมันไม่มีอะไรเลย ผมกังวลไปเองคนเดียว
“เห็นมั้ย บอกแล้วว่าใจเย็นๆ อย่าคิดมาก” โปเต้เอ่ยบอกพลางลูบหัวผมเบาๆ
“...ก็ตอนนั้นมันตกใจหนิ” ผมว่าพลางเบะปากเล็กน้อย
“หึๆ ตกใจจนกลายเป็นเด็กขี้แงเลยรึไง”
“เลิกล้อได้แล้วน่า” ผมว่าพลางยันศอกใส่โปเต้ แต่เหมือนเจ้าตัวจะรู้ทัน เบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็ว ผมเลยหวืดไป
“สบายใจแล้วใช่มั้ยจ๊ะติณณ์ แม่ว่าตอนนี้เรามาทานข้าวกันดีกว่านะ” คุณแม่เอ่ยบอกอย่างยิ้มๆ จากนั้นพวกเราทุกคนก็มาทานข้าวด้วยกัน เป็นมื้อแรกที่ผมรู้ว่ามันช่างมีความสุขกว่าครั้งไหนๆเสียจริง
ตอนนี้พี่ตาลและสองแฝดได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วกลับมาอยู่บ้านแล้วครับ ตอนที่พวกผมกับพี่ปาร์ไม่อยู่ คุณพ่อคุณแม่ก็จะคอยมาอยู่เป็นเพื่อนพี่ตาล ส่วนผมกับโปเต้ ตอนนี้เราก็ไม่ค่อยจะว่างกันสักเท่าไหร่ อยู่ในช่วงทำโปรเจ็คครับ งานหินอยู่เหมือนกัน เหนื่อยนะ แต่ก็สนุกดี
“ติณณ์ โปเต้ มานี่สิลูก” คุณแม่เรียกผมสองคนทันทีที่เห็นผมสองคนเดินเข้าบ้านมา
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้คุณพ่อและคุณแม่ โปเต้เองก็ทำเหมือนกัน ก่อนที่ผมจะเดินไปนั่งลงระหว่างกลางคุณพ่อกับคุณแม่ ส่วนโปเต้นั่งที่พื้นตรงหน้าคุณพ่อครับ ที่นั่งไม่พอ เพราะโซฟาอีกสองตัวก็มีพี่ปาร์และพี่ตาลนั่งอยู่
“ติณณ์ ติณณืว่าบ้านหลังนี้สวยมั้ยจ๊ะ” คุณแม่ว่าก่อนจะยื่นไอแพดมาให้ผมดู พบว่าเป็นรูปบ้านที่คล้ายๆกับบ้านที่พวกเรากำลังอยู่เลยครับ แล้วพอเลื่อนรูปมาเรื่อยๆ ก็พบว่ามันเหมือนกับบ้านหลังตรงข้ามเลย ซึ่งบ้านหลังนั้นมันยังไม่มีใครอยู่ครับ นั่นเป็นเพราะหมู่บ้านที่เราอยู่นี่เป็นโครงการใหม่ครับ คนที่เข้ามาอยู่ก็มีประมาณห้าสิบเปอร์เซ็นต์
“นี่เป็นบ้านหลังตรงข้ามบ้านนี้ใช่มั้ยครับ” ผมหันไปเอ่ยถามคุณแม่ และไม่ค่อยจะเข้าใจว่าท่านเอามาให้ผมดูทำไม
“ใช่จ๊ะ ติณณ์ว่าบ้านหลังนี้สวยมั้ย แต่ยังไม่ได้ตกแต่งภายในอะไรเลย” คุณแม่ว่าอย่างยิ้มๆ
“.....” ผมก้มดูภาพ เป็นภาพภายในของบ้านที่ยังไม่ได้ตกแต่งอะไรเลย แต่ก็นับว่าแบ่งเป็นสัดส่วนได้ดีทีเดียว อาจจะคล้ายๆกับบ้านหลังนี้ แต่ก็ไม่ได้เหมือนไปซะทุกอย่าง
“ก็สวยดีครับ”
“แล้วติณณ์อยากอยู่มั้ย?”
“...?” คำถามของคุณแม่ทำเอาผมต้องขมวดคิ้ว ถามแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน
“บ้านหลังนี้ แม่ยกให้ติณณ์ ถือว่าเป็นของขวัญจากแม่ ที่ได้ติณณ์เป็นลูกชายอีกคนก็แล้วกันนะจ๊ะ”
“เอ่อ อะไรกันครับ?” ผมถามออกมาพลางมองหน้าทุกคน นี่มันอะไรกันอ่ะ
“รับขวัญลูกสะใภ้อีกคนไง” พี่ปาร์ว่าอย่างยิ้มๆ ลูกสะใภ้? ใคร? ...ผมเหรอ?
“เอ่อ...ผมกับโปเต้เป็นแค่แฟนกันนะครับ ...อีกอย่าง...ผมคงรับไว้ไม่ได้หรอกครับ มันมากเกินไป แค่ที่คุณแม่ให้มามันก็มากพอแล้วนะครับ” ผมปฏิเสธคุณแม่ไป บ้านทั้งหลังเลยนะ ผมรับไว้ไม่ได้หรอก
“ทำไมล่ะจ๊ะ”
“คือ...นี่บ้านเลยนะครับ แพงก็แพง ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ”
“มันไม่ได้แพงอะไรสำหรับแม่หรอกจ้ะ แม่อยากให้ เพราะตอนนี้ก็เท่ากับว่าติณณ์เป็นลูกชายของแม่อีกคน แม่ก็อยากจะให้ของขวัญเล็กๆน้อยๆกับติณณ์ก็เท่านั้น อีกอย่างบ้านหลังนี้น่ะ แม่ก็ให้ติณณ์กับโปเต้อยู่ด้วยกันนะคะ”
“แต่ผมรับไว้ไม่ได้จริงๆครับ” ยังไงผมก็รับบ้านหลังนี้เอาไว้ไม่ได้จริงๆ
“งั้น...โปเต้ แม่ให้บ้านหลังนี้กับลูกก็แล้วกัน เอาไว้อยู่กับติณณ์นะ” คุณแม่ยิ้มหวานก่อนจะหันไปบอกโปเต้ ที่นั่งฟังอย่างเงียบๆ ก่อนจะพยักหน้าสองทีทันทีที่คุณแม่บอกจะยกบ้านหลังนั้นให้ แต่...แบบนี้ผลลัพธ์มันก็ไม่ต่างกันเลยนะ ทำไมผรู้สึกว่าครอบครัวนี้เขาเจ้าเล่ห์กันทั้งบ้านยังไงก็ไม่รู้
“มัดมือชกกันนี่ครับ” ผมท้วงออกไปเบาๆ
“ก็ติณณ์ไม่ยอมรับเองนี่คะ แม่ก็ต้องใช้วิธีนี่สิ”
“งั้นรถคันนี้พ่อให้เราแล้วนะครับโปเต้ เพราะถ้าให้ติณณ์ ติณณ์ก็คงจะไม่เอาเหมือนกัน” คุณพ่อว่าก่อนจะยื่นกุญแจรถยี่ห้อหรูไปให้โปเต้ อย่าบอกน่าไอ้รถหรูราคาหลายล้านป้ายแดงที่จอดอยู่หน้าบ้านนี่คือรถที่คุณพ่อจะเอามาให้ผมเหมือนกัน
“ต่อให้คุณพ่อให้ติณณ์ ยังไงผมก็เป็นคนขับ” โปเต้ตอบหน้าตายก่อนจะหันมายักคิ้วให้ผมทีนึง
แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมท่านทั้งสองถึงต้องให้ของที่มีมูลค่ามากมายแบบนี้กับผมด้วย
“แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีนะครับ ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ ทำไมต้องเอาของมาให้ผมด้วย” ผมเอ่ยถามออกไปตรงๆ ขี้เกียจจะมานั่งสงสัยในใจแล้ว
“ก็เพราะติณณ์เป็นผู้ชายที่ลูกชายแม่รัก แค่นี้ก็เหมือนเป็นลูกชายอีกคนของแม่แล้ว แม่ก็อยากจะให้อะไรๆกับติณณ์บ้างยังไงล่ะจ๊ะ”
“ของพวกนี้มันไม่มากไปหรอกครับติณณ์ เป็นรางวัลขอบคุณที่ทำให้ลูกพ่อมีความสุข แถมติณณ์ก็ยังเป็นน้องของตาลอีก ก็เท่ากับว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ ของแค่นี้ก็รับไปเถอะครับ พ่อให้ได้ พ่อรวย”
ถึงกับพูดไม่ออกก็ไอ้ตรงพ่อรวยเนี่ยแหละครับ
“นะจ๊ะติณณ์ ตอนนี้ทั้งรถทั้งบ้านก็เป็นของโปเต้แล้วหนิ งั้นติณณ์ก็ไปอยู่กับโปเต้ก็แล้วกันนะ”
แหม คุณแม่เล่นพูดมาแบบนี้ ผมจะค้านอะไรต่อไปล่ะครับ
“.....” ผมหันไปมองหน้าพี่ตาล ก็พบว่าพี่ตาลเพียงแค่ยิ้มให้ก็เท่านั้น ราวกลับว่าเรื่องนี้ให้ผมตัดสินใจเอง
“...ก็ได้ครับ” สุดท้ายก็ต้องตอบคำนี้แหละครับ รู้เลยว่าการโน้มนาวใจของบ้านนี้ช่างไม่ธรรมดา โน้มน้าวใจไม่สำเร็จก็มัดมือชกกันอย่างเดียว =_=
“เป็นไงลูก ช่วงนี้ไม่ค่อยได้นอนเหรอครับ” เสียงคุณพ่อเอ่ยทักผมที่เดินลงมาจากบันไดในสภาพที่ไม่ต่างอะไรกันกับซอมบี้เลย
“สวัสดีครับคุณพ่อ ผมพึ่งได้นอนตอนตีสี่นี่เอง แต่วันนี้มีเรียนเก้าโมงน่ะครับ ต้องรีบตื่นไปเรียน ขาดไม่ได้” ผมตอบคุณพ่อ ในทุกๆวัน ถ้าเป็นไปได้ คุณพ่อกับคุณแม่จะมาทานข้าวเช้าด้วยกันครับ และอยู่กับพี่ตาลถึงเที่ยงบ้าง มาตอนบ่ายบ้าง แล้วแต่ว่าท่านจะปลีกตัวจากงานมาได้ ตอนแรกพี่ตาลก็ไม่เห็นด้วย กลัวจะทำให้ท่านสองคนเสียงเวลาน่ะครับ แต่ท่านทั้งสองไม่ยอม จนสุดท้ายแล้วพี่ตาลก็ต้องยอม แต่ว่า...เวลาคุณพ่อกับคุณแม่อยู่ด้วยกันทีไร ก็ชอบทะเลาะกันทุกทีเลย
“เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเองแหละลูก ตั้งใจๆ ...แล้วโปเต้ล่ะลูก”
“กำลังแต่งตัวอยู่ครับ”
“ครับ แล้ว...”
“ลูกๆจ๊ะ แม่มาแล้ว” ยังไม่ทันที่คุณพ่อจะได้พูดอะไร กำด้ยินเสียงคุณแม่ตะโกนตั้งแต่ประตูบ้าน
“เสียงดังจังนะคุณ” เป็นคุณพ่อครับที่เอ่ยทัก (?) คุณแม่ก่อน
“เอ๊ะ! นี่คุณมาอีกแล้วเหรอ ถึงว่าล่ะ...ถึงได้จอดรถขวางทางชาวบ้านชาวช่องเขา” คุณแม่ตอบกลับแทบจะทันที
“ผมว่าผมจอดดีแล้วนะ คุณต่างหากที่ชอบจอดรถขวางประตูบ้าน”
“แล้วจะให้ฉันไปจอดหน้าบ้านคนอื่นเขารึไง ประสาทจริง...ฉันไปหาลูกของฉันดีกว่า” ว่าจบ คุณแม่กระสะบัดบ็อบใส่คุณพ่อ แล้วเดินไปทางครัวของบ้าน
“.....” คุณพ่อไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองตามหลังคุณแม่ไป ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ คล้ายๆกลับเหนื่อยหน่าย แต่รอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก ราวกลับเอ็นดูในท่าทีของคุณแม่แบบนั้น มันทำให้ผมอดยิ้มไม่ได้
ดูเหมือนคุณพ่อก็จะยังรักคุณแม่อยู่เลย แถมคุณแม่เองก็เหมือนจะไม่ได้เกลียดคุณพ่อ อาจจะยังรักอยู่เหมือนกัน แต่ทั้งคู่กลับชอบเถียงและทะเลาะกันทุกครั้งที่เจอหน้าตลอด อาการคล้ายกลับพ่อแง่แม่งอนกันเสียมากกว่าทะเลาะกันแบบจริงจัง
ผมก็ไม่รู้หรอก ว่าท่านทั้งสองหย่ากันด้วยเพราะอะไร แต่ยังไงซะ ท่านทั้งสองก็คงจะมีเหตุผลของท่านล่ะนะ
ฟอด!
“อ๊ะ!..” ผมร้องออกมาอย่างตกใจเบาๆ เมื่อไอ้คนที่มันน่าจะกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่บนห้อง กลับแอบเข้ามาจากทางข้างหลังแล้วหอมแก้มผมหน้าตาเฉย
“เหม่ออะไร” โปเต้เอ่ยถามผม
“ไม่ได้เหม่อ แล้วก็...อย่าทำอย่างนี้อีกนะ คุณพ่อคุณแม่ก็อยู่” ผมเอ่ยบอกพลางเตือนเขา ถึงทุกคนจะอนุญาตให้ผมกับโปเต้คบกัน แต่ก็ใช่ว่าเราจะมาทำอะไรรุ่มร่ามประเจิดประเจ้อแบบนี้ในบ้านสักหน่อย
“...นิดเดียวเอง”
“นิดเดียวก็ไม่ได้ ..ไปกินข้าวกัน เดี๋ยวไปเรียนสายหรอก” ผมว่าก่อนจะเดินนำโปเต้มาที่โต๊ะกินข้าว ที่มีพี่ปาร์นั่งอยู่ก่อนแล้ว
“ไง ขอบตาดำเป็นหมีแพนด้าทั้งคู่เลย” เสียงพี่ปาร์เอ่ยแซวพวกผมสองคนครับ
“นอนน้อยนิดหน่อยครับ” โปเต้เป็นคนตอบก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ ผมจึงนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆเขา
“ไม่นิดแล้วมั้งคะลูก” คุณแม่ที่ถือหมอข้าวต้มออกมาเอ่ยทักก่อนจะวางหม้อข้าวต้มลงบนกลางโต๊ะกินข้าว โดยมีคุณพ่อถือถ้วยชามเดินตามหลังมา
“.....” ผมกับโปเต้ได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนไปให้ ตอนนี้รู้สึกว่าสมองมันเบลอไปหมด คิดอะไรไม่ค่อยออกแล้ว
หลังจากที่ทานกันเสร็จ ผมกับโปเต้ก็รีบไปเรียนเลยครับ แต่คุณพ่ออาสาจะไปส่ง เพราะกลัวว่าจะไปไม่ถึงมหาลัย ซึ่งผมกับโปเต้ก็ตอบตกลงแทบจะทันที เพราะโปเต้เองก็ไม่มั่นใจสภาพตัวเองตอนนี้เหมือนกันว่าจะสามารถขับรถไปเรียนได้ไหวมั้ย เพราะเหมือนเขาจะได้นอนประมาณสองชั่วโมงเองมั้ง
“ถ้าจะให้พ่อมารับ ก็โทร.บอกพ่อนะครับ วันนี้พ่อว่างทั้งวัน” คุณพ่อเอ่ยบอก เมื่อท่านจอดส่งพวกผมที่หน้าคณะ
“ครับ สวัสดีครับ” โปเต้ว่าก่อนจะยกมือไหว้คุณพ่อ
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้คุณพ่อก่อนที่จะลงจากรถ ก่อนจะเดินเข้าไปในคณะกับโปเต้ มุ่งหน้าไปยังห้องเรียนเลยครับ เพราะมันใกล้ที่จะได้เวลาเรียนแล้ว
“....” ในระหว่างที่กำลังเดินไปตึกเรียน อยู่ๆโปเต้ก็เอื้อมมือมาจับมือผมซะอย่างนั้น
“...อะไร” ผมเอ่ยถาม เพราะเมื่อหันไปมองหน้าเขา ก็พบว่าโปเต้กำลังมองผมพลางอมยิ้ม
“เปล่า...ก็แค่คิดว่า ดีจริงๆ”
“?”
“ดีจริงๆ ที่ในวันนี้เรายังจับมือกันอยู่”
“.....”
“ผมจะไม่มองไปในอนาคตที่มันอยู่ไกลและไม่มีทางรู้ เพียงแต่ว่า...”
“.....”
“ขอแค่ในวันพรุ่งนี้ ตื่นมาแล้วเจอติณณ์นอนอยู่ข้างๆ และเรายังจับมือกันแบบนี้ ...ก็พอแล้ว”
ผมว่าในวันนี้ ...มันต้องเป็นวันที่ผมโชคดีมากแน่ๆ
เพราะคนที่กำลังจับมือผมอยู่นี้ กำลังยิ้มกว้างให้ผมด้วยแหละ ^_^
*******************************************************************
FANPAGE
Twitter
นี่แหละที่เขาเรียกว่า 'ความรัก'
เผลอใจ 'รัก' ไปซะแล้ว
ถ้ามันเรียกว่ารัก...อืม รักก็ได้