Until You
ตอนที่ 19 ("ไปเที่ยวสนุกไหม?")
"ก็ดีพ่อ แต่ร้อนไปหน่อย พ่ออะทำไรอยู่ แม่ทำกับข้าวอยู่เหรอ?"
("อ่านหนังสือพิมพ์ จะคุยกับแม่ไหม? กำลังทอดปลานิลอยู่ เธอๆลูกจะคุยด้วย")
"ไม่ต้องพ่อ ไม่เป็นไร พอดีแมคจะโทรมาบอกพ่อว่า แมคอาจจะกลับถึงกรุงเทพค่ำหน่อยนะพ่อ"
("เย็นจะกินข้าวมาเลยใช่ไหม")
"ใช่ครับ แล้วพ่อจะเอาของฝากไรบ้าง ก่อนกลับพี่มาร์ทแวะร้านของฝากให้นะ"
("เอากระปิ กุ้งแห้ง ปลาหมึกแห้งตัวเล็กๆ อะไรนะ? มาคุยเองเลยมา เร็วๆลูกรออยู่") สงสัยจะออเดอร์แม่ผมซะละมั้ง
"แม่ฝากซื้อของฝาก จดให้หน่อยครับ" ผมป้องมือถือกันเสียงคุยเล็ดลอด สะกิดบอกให้คนตรงหน้ารับหน้าที่แทน พี่มาร์ทหยักหน้ารับหยิบทิชชู่และปากกาในกระเป๋าเสื้อออกมาเตรียมพร้อม “ขอบคุณครับ”
เสร็จจากชิมของว่างยามบ่ายของทางโรงแรมที่จัดมาต้อนรับแล้ว ผมกับพี่มาร์ทก็ไม่มีกิจกรรมอื่นใดให้ทำอีก เราสองคนจึงนั่งคุยกันสบายๆในห้อง Executive Lounge พร้อมเครื่องดื่มค็อกเทลผสมแอลกอฮอล์ อืม...พูดถึงเครื่องดื่มนี่ขอผมติหน่อยเถอะครับ นี่ถ้าพี่มาร์ทไม่ใช้ให้ผมหยิบกางเกงส่งให้แม่บ้านซักเพราะเปื้อนซ๊อสมะเขือเทศ ผมคงไม่รู้ว่ามีวอชเชอร์เครื่องดื่มฟรีในกระเป๋ากางเกงอยู่ด้วย พอผมทักท้วงออกไป พี่มาร์ทกลับยักไหล่บอกเพียงแค่ว่า ลืม คิดแล้วมันน่าให้เลี้ยงค็อกเทลอีกสักแก้วสองแก้ว
“เย็นนี้กินไรอะ”
“เพิ่งจะ 4 โมงกว่าถามถึงมื้อเย็นละ หึๆ”
“ทำไม ถามไม่ได้อะ? จะทำอะไรเราต้องคิดล่วงหน้าสิครับ”
“อืม พี่ว่าจะพาไปร้านที่เพื่อนพี่แนะนำ เป็นร้านอาหารริมทะเลเพิ่งเปิดได้ไม่นาน”
“จริงดิ อยากกินซีฟู๊ดพอดีเลย ไปกันเลยไหมครับ เดี่ยวต้องแวะซื้อของฝากอีก”
“วางแผนเสร็จสรรพเลยนะ ถามพี่ยัง? หึๆ” ยังมีหน้ามาหัวเราะผมอีก นี่ถ้าไม่อยู่ในที่สาธารณะผมจะกัดต้นแขนล่ำๆนั่นให้เป็นรอยฟันเลย มองแล้วน่าหมั่นไส้ปนอิจฉาชะมัด ผมเองก็อยากมีกล้ามแน่นๆจนคับแขนเสื้อบ้างจัง ยิ่งตอนหยิบมือถือยกมากดแป้นพิมพ์ยิ่งชวนมอง “ไปกันเลยไหม รถมารอแล้ว”
“ไปครับ...โอ๊ย!”
“แมค!” พี่มาร์ทรีบถลามารับ แต่ผมยกมือห้ามไว้ก่อน สงสัยว่าจะลุกขึ้นเร็วไปหน่อยเจ็บแปลบร้าวไปทั้งเอวเลย
“ไหวครับ ไม่เป็นไร” ส่งยิ้มให้พี่มาร์ทไปทีเพื่อเบรคให้เขายืนอยู่กับทีด้วยกลัวจะมีพิรุธ แม้ในห้องจะไม่มีใครแต่เพื่อความปลอดภัย ฝึกไว้ให้ชินกับภาพลักษณ์จะดีกว่า “แล้วไม่เดินนำผมไปเหรอครับ ผมจะรู้หรอกว่ารถจอดอยู่ไหนอะ”
“คงเป็นตรงล็อบบนี้” ผมพยักหน้ารับรอให้อีกฝ่ายออกเดินไปก่อนอยู่สักพัก แต่เขาก็ไม่ขยับ ผมจึงต้องเป็นฝ่ายล่วงหน้าไปก่อนเองทั้งที่ใจก็ยังกังวลว่าพี่มาร์ทจะผิดคำสัญญาที่ให้ไว้ก่อนจะออกมาจากห้องว่า
ห้ามแสดงอาการหวงและห่วงจนเกินเหตุ
ทันทีที่ประตูรถ Mercedes Benz Vito คันเดิมเปิดออกและผมก้าวออกมายืนนอกรถข้างพี่มาร์ทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็หันมองซ้ายขวาด้วยความสงสัยว่าในสถานที่นี้จะมีห้องอาหารระดับเพื่อนพี่มาร์ทมากินได้อย่างไร เพราะตลอดทางที่เลี้ยวเข้ามาจากถนนสุขุมวิทไม่มีแม้แต่ไฟทาง ถนนในซอยเป็นถนนเลนเดียว พื้นถนนยังเป็นกรวดหินขนาดรถวิ่งยังมีฝุ่นขลุ้ง ลานจอดเหมือนแค่เอาหินมาเทเป็นหลุมบ่อประปรายแถมยังจอดกันไม่เป็นระเบียบอีกด้วย สองข้างทางมีแต่ป่าโดยรอบถ้ากลางคืนคงดูน่ากลัวพิลึก
“มาผิดที่ปะครับพี่มาร์ท”
“คิดว่าไม่ผิด ก่อนมาพี่ถามโรงแรมละ เขาก็บอกว่าที่นี่ พิกัดก็ตรงกัน”
“แน่ใจ?”
“เดินไปดูข้างในก่อนดีกว่า เห็นป้ายทางเข้าอยู่ตรงโน้น”
เมื่อก้าวขึ้นไปตามบันไดไม้ที่พาดเอาไว้เป็นทางเดินจนถึงขั้นบนสุด แสงสว่างก็ปรากฏแก่สายตาทำให้ผมมองภาพและบรรยากาศเบื้องหน้าตาลุกวาว หลอดไฟนับร้อยถูกประดับประดาไว้บนกิ่งไม้โดยรอบเหมือนหมู่ดาวดวงเล็กส่องประกายระยิบระยับรับกับชุดเก้าอี้ไม้สีขาวนับสิบที่วางเรียงรายเป็นแถวตรงพื้นที่ส่วนกลางของร้าน ขนาบข้างด้วยชุดโซฟารูปตัวแอลลายทางขาวน้ำเงินติดริมระเบียงใต้ต้นสนสูงใหญ่ นอกจากนั้นยังมีเรือนกระจกขนาดย่อมที่เคยเห็นบ่อยๆในสารคดีพันธุ์พืชถูกย่อส่วนลงและปรับเปลี่ยนเป็นคาเฟ่ขนมหวานที่พรั่งพร้อมไปด้วยเค้กและไอศครีมหลากหลายรสเต็มตู้โชว์ มีชุดโต๊ะเก้าอี้สองชุดสำหรับลูกค้าที่อยากจะใช้เวลาสองต่อสองแบบคู่รักท่ามกลางบรรยากาศหวานสุดโรแมนติกที่ดูอบอุ่นเคล้ากลิ่นหอมของเค้กอบใหม่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ
“ขอไปดูเค้กตรงไหนได้ไหมครับ” ผมกระตุกแขนเสื้อคนข้างกายให้หันมามองพร้อมกับชี้นิ้วไปยังสถานที่เป้าหมายแต่พี่มาร์ทกลับบอกว่า
“หาโต๊ะนั่งทานข้าวกันก่อนดีกว่า เดี่ยวค่อยมาดู” แม้จะถูกขัดใจแต่ผมก็ยอมพยักหน้ารับมองไปรอบร้านหามุมที่อยากนั่งแต่ไม่พบ “ตรงโซฟาลายทางนั่นไหม?”
“ตรงใต้ต้นสนนะเหรอครับ? ไม่เอาอะ เดี่ยวมดกับใบไม้ตกใส่จานข้าว”
“งั้นเอาเก้าอี้ไม้ตรงกลางไหม?” พี่มาร์ทเอ่ยถามผมอีกครั้ง แต่ผมกลับรู้สึกไม่ชอบ แม้เก้าอี้ไม้สีขาวทั้งชุดโต๊ะเก้าอี้จะดูน่านั่งกว่า แต่แสงแดดก็ยังคงส่องลงมาลอดช่องว่างของกิ่งไม้ใหญ่ได้อยู่ดี ครั้นจะเอาข้างๆมุมก่อนหน้าที่มีระเบียงไม้ระแนงทำเป็นเพดานบังแดด ก็มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินมานั่งตรงพื้นที่ว่างไปโต๊ะนึงละ
“สวัสดีค่ะ สองท่านนะค่ะ เชิญทางนี้เลยค่ะ” พนักงานสาวในชุดเครื่องแบบผ้ากันเปื้อนผูกเอวลายทางคาดน้ำตาลสลับขาวกล่าวต้อนรับพร้อมกับผายมือออกให้เดินตามเธอไปยังโซนโซฟายาวบนระเบียงริมหาดที่ผมปฏิเสธในใจไปเมื่อครู่
“พี่มาร์ทๆ เรานั่งโซฟาด้านนอกนั่นดีไหมครับ” ผมเดินนำพลางชี้นิ้วเลยระเบียงพื้นไม้ออกไปยังพื้นที่ว่างซึ่งยังไม่มีใครจับจอง เป็นพื้นที่ริมหาดบนพื้นทราย มีชุดเก้าอี้โซฟาผ้าสีสันสดใสตั้งวางอยู่ แม้จะไม่มีแอร์ มีแสงแดดส่องบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าโซนบนระเบียงต้นสนที่เธอเสนอ เพราะคู่รักมาใหม่นั่นกำลังสวีทเกิดหน้าเกินตาแล้ว
“ผมขอนั่งข้างนอกละกัน” พี่มาร์ทพูดสำทับความคิดผมเป็นการตัดบท ก่อนจะเดินนำผมไป ผมเสตามองลูกค้ามาใหม่ของร้านก็พลางคิดในใจว่า ถ้าต้องมานั่งข้างๆโต๊ะนั่น ผมคงกินไรไม่ลงแน่ นั่งจีบกันจนแทบจะเกยตักกันอยู่ละ แถมฝ่ายหญิงยังใส่เสื้อเกาะอกอวดคัพซีที่แทบจะล้นออกมานอกเสื้ออีก นี่ถ้าสั่งฝ่ายชายสั่งมะพร้าวอ่อนมากินแทนเบียร์สด คงแยกไม่ออกว่าอันไหนที่ควรดื่ม ฮ่าๆ “ขำอะไรอะแมค?”
“อ้อ...ฮึๆ เปล่าครับไม่มีอะไร”
“นี่เมนู” พี่มาร์ทพูดขึ้น “สั่งน้ำก่อนไหม”
“เอาสตอเบอร์รี่ปั่นครับ ไม่เอาๆ ขอมะนาวโซดาดีกว่า แล้วก็แพนเค้กเนยสด เพิ่มไซรัปด้วยนะครับ” เห็นของหวานแล้วอยากขึ้นมาทันใด กว่าอาหารจะมา ผมจะได้มีอะไรกินรอ แต่พี่มาร์ทส่ายหน้าอมยิ้มทำไมมิทราบ
“ผมเอาน้ำแร่เย็นขวด ไม่เอาน้ำแข็ง กับผัดไทห่อไข่ แมคเอา Seafood Plattler ไหม เป็นเซตอาหารทะเลเผารวมๆนะ”
“ไหนๆ หน้าไหนครับ” มีจริงด้วยแฮะ แต่ดูไม่คุ้มชอบกล “เอาแค่กุ้งกับปลาหมึกได้ไหมอะครับ”
“กุ้งเผาจาน ปลาหมึกย่างจาน เอาไรอีกไหม?”
“ข้าวผัดปูจานเล็ก ผมเอาแค่นี้ก่อนครับไม่พอค่อยสั่งใหม่”
รออยู่ไม่นานแพนเค้กถูกยกมาเสิร์ฟเป็นจานแรกพร้อมเครื่องดื่มเย็นสองแก้ว ผมรอจนพนักงานหนุ่มเดินจากไปแล้วจึงลงมือตัดแบ่งแพนเค้กทั้งสองแผ่นเป็นสี่ส่วนได้ทั้งหมดแปดชิ้น แล้วจึงใช้ส้อมจิ้มชิ้นนึงยื่นไปให้คนตรงหน้า พี่มาร์ทอ้าปากยิ้มรับไปทานพร้อมรอยยิ้มแค่สองชิ้นก็ส่ายหน้าปฏิเสธ สงสัยโรคแขยงของหวานของคนวัยนี้จะแก้ไม่หายนึกแล้วก็อดขำขึ้นมาไม่ได้จนโดนมะเหวกเข้ากลางหน้าผาก เจ็บเหมือนกันแต่ใครจะสน ยามนี้ของหวานสุดโปรดวางอยู่ตรงหน้ารอผมลิ้มรสจนจะเย็นหมดละ ว่าแล้วก็ได้ฤกษ์หยิบน้ำผึ้งด้วยมือซ้ายและไซรัปด้วยมือขวาเทราดพร้อมกันจนเนื้อแป้งเปียกชุ่มไปทั้งแผ่น ท่ามกลางความตกตะลึงของอีกฝ่าย
"เคยตรวจเบาหวานบ้างไหม?" พี่มาร์ทเอ่ยแซวทำหน้าปุเลี่ยน
"เคยแต่ไม่เป็น ฮ่าๆ ชิมไหมครับ อร่อยน้า"
"เชิญเถอะ" ขนมนะครับไม่ใช่ไส้เดือนทำหน้าแหยงซะ
"พี่มาร์ทไม่สู้?" ผมยักคิ้ว
"เคสนี้พี่ขอยอมแพ้" ดูทำหน้าเข้ามองอย่างกับเห็นผี ชุ่มๆหวานๆอร่อยจะตาย "ผัดไทพี่มาพอดีเลย"
“อืม” พี่มาร์ทรับคำของผมแล้วจึงหยิบส้อมขึ้นมาเตรียมพร้อมรับประทาน ในขณะที่ผมหันหน้าออกทะเล สายลมเย็นหอบพัดกลิ่นเกลือมาตามเกลียวคลื่นเคล้าบรรยากาศยามอาทิตย์ลับขอบฟ้า แม้จะไม่ใช่กลิ่นที่คุ้นเคยและสดชื่นมากนักสำหรับคนเมืองกรุงอย่างผม แต่ก็พอจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ไม่น้อย อยู่พัทยามาก็หลายวันเพิ่งรู้สึกเหมือนได้พักกับธรรมาชาติเอาก็วันนี้ กินไปชมธรรมาชาติไปไม่นานอาหารตรงหน้าก็หมดจาน พี่มาร์ทเองก็เงยหน้าขึ้นมองผมพลางยกแก้วค็อกเทลขึ้นจิบเลื่อนจานผัดไทกับข้าวผัดของผมที่ไม่เหลือแม้แต่เม็ดข้าวสักเม็ดออกห่างจากตัวไปวางไว้ขอบโต๊ะรอพนักงานมาเก็บไป ผมเองก็วางส้อมที่เพิ่มจิ้มกุ้งเข้าปากลงกับโต๊ะมองหน้าอีกฝ่ายตอบกลับไปเช่นกันด้วยไม่รู้จะมองไปไหน
“เอ่อ...พี่มาร์ทมีตาสีเทามานานยัง?” ถามออกไปแล้วก็อยากตบปากตัวเอง เป็นการชวนคุยที่ไร้สาระที่สุดเท่าที่ผมจำความได้
“คงมีมาตั้งแต่เกิด หึๆ”
“ขำอะไรเล่า ก็แค่ไม่รู้จะพูดอะไรเท่านั้นเอง” ผมบอกพลางก้มลงดูดน้ำในแก้วดูท่าว่าน้ำแข็งละลายจนมะนาวจะกลายเป็นน้ำเปล่าแทนโซดาซะละ หมดแก้วนี้แล้วสั่งใหม่ดีกว่า
“หายเจ็บตูดยัง”
“ห๊ะ! แค่กๆ” เกือบสำลักน้ำ ดีที่กลืนลงไปก่อน “ถามบ้าอะไรอะพี่มาร์ท”
“Butt ก็หมายถึงตูดไม่ใช่เหรอ หรือมีคำสุภาพกว่านี้” พูดได้หน้าตาเฉยมากจนผมต้องเป็นฝ่ายสูดลมหายใจเข้าลึกๆเอง กลุ้มใจจริงให้ตายเถอะ “ดีขึ้นไหม ถ้าไม่หายจะได้ให้ชาติแวะซื้อยา?”
“ไม่ต้องซื้ออะไรทั้งนั้นละ ผมดีขึ้นแล้ว” แม้จะรู้สึกแสบตอนโดนน้ำบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับเจ็บอย่างคราวก่อน
“แต่พี่เห็นแมคเจ็บตอนลุกจากเก้าอี้นี่?”
“นั่นมันเอว ไม่ใช่ก..กะ...ก้น เออ อะไรนั่นละ เลิกถามได้แล้วพี่มาร์ท”
“แน่ใจนะว่าไม่ต้องทายาหรือกินยานะ”
“ถ้าไม่หยุด ผมจะโป้งพี่ละนะครับ” ผมบอกด้วยสีหน้าจริงจัง จนอีกฝ่ายลอบถอนหายใจและไม่คิดจะเอ่ยอะไรต่ออีก ผมเองก็นั่งเงียบๆใช้ส้อมกับช้อนค่อยๆแงะเปลือกกุ้งออกด้วยไม่อยากเปรอะมือ ทันใดนั้นเองกุ้งในจานของผมก็ถูกใครบางคนหยิบไป สงสัยจะทนเห็นท่าแกะพิศดารของผมไม่ไหว พี่มาร์ทเลยใช้มือแกะใส่จานให้แทน "ขอบคุณครับ"
"เอาอีกไหม?"
"พี่มาร์ทแกะตัวในมือเสร็จก็พอละครับ เดี่ยวอีกสองตัวผมแกะเองก็ได้” พี่มาร์ทพยักหน้ารับตามคำผมบอก “ไปล้างมือเถอะครับ อีกเดี่ยวผมก็กินหมดละ จะได้เช็คบิลกลับกรุงเทพกัน” คนนั่งตรงข้ามถึงกับชะงักหยิบกระดาษชำระบนโต๊ะมาเช็ดมือที่เปื้อนแล้วเอ่ยถามคำถามว่า
“พี่พาแมคมาลำบากหรือเปล่า?” ผมส่ายหน้าในทันควันเป็นคำตอบพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ลำบากอะไรตรงไหนละครับ กินอิ่มนอนสบายจะตาย หรูกว่าโรงแรมที่ผมเคยไปกับเพื่อนอีก”
“แล้วทำไมรีบร้อนจะกลับ?”
“อ้อ ขับรถดึกๆอันตรายนะครับ เผื่อรถติด มีด่านตรวจอีก อะไรมันก็ไม่แน่นอนนะครับ” จิ้มกุ้งตัวสุดท้ายเข้าปากหมดจานพอดี อร่อย “หรือพี่มาร์ทมีเพลนจะไปไหนต่อ? ถ้ามีจะได้รีบเช็คบิล แล้วรีบไปกันต่อ”
“Check Bill” น้ำเสียงพี่มาร์ทดูแข็งกร้าวชอบกลจนผมนิ่วหน้า
“ได้ค่ะ รอสักครู่นะค่ะ” พนักงานสาวที่เดินผ่านโต๊ะผมไปเสิร์ฟน้ำโต๊ะข้างๆถึงกับสะดุ้ง เธอรับคำเสร็จก็เดินไปยังเคาน์เตอร์
“จะเข้าห้องน้ำก่อนกลับไหม ต้องนั่งรถอีกนาน”
“เข้าสิครับ งั้นผมไปก่อนนะ อึก...” จะลุกขึ้นยืนทั้งทียังต้องจับเอวไม่ต่างกับคนแก่เลย “อ่อย” ผมบอกเสียงหน่ายๆจะขยับทีเดินทีรู้สึกติดขัดชะมัด
“มาๆพี่ช่วย?” พี่มาร์ทลุกขึ้นเดินมาหาโอบแขนรอบเอวของผมช่วยพยุงตัวขึ้น แต่ผมกลับอีกฝ่ายออกไปเบาๆไม่คิดว่าจะทำให้ร่างหนาเซไปทางด้านหลังได้ พอผมเอ่ยปากขอโทษกลับได้ยินคำพูดสวนกลับมาว่า “นอนคอนโดพี่ไหม สภาพนี้แมคไม่น่าไหวนะครับ”
“ผมไหว พี่มาร์ทไม่ต้องห่วง” ผมบอกปฏิเสธอีกครั้ง พยายามปรับเสียงให้เป็นปกติไม่อยากให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าในใจของผมชักเริ่มครุกรุ่นขึ้นมาเหมือนกัน
“ขอพี่พูดตรงๆนะครับ ถึงแม้แมคจะพยายามเดินตัวตรงยังไง คนมันก็มองออกอยู่ดี กลับคอนโดกับพี่ดีกว่า พักอีกวันพรุ่งนี้ก็น่าจะดีขึ้น เรื่องที่บ้านเดี่ยวพี่โทรบอกพ่อแม่ให้ก็ได้ ถ้าแมคไม่สะดวกใจจะพูดเอง”
“มันเรื่องของผม พี่มาร์ทไม่ต้องยุ่ง ผมบอกว่าไหวก็ไหวสิ” ผมบอกเสียงกร้าว
“อย่าขึ้นเสียงกับพี่ พี่ไม่ชอบ”
“ผมไม่ได้ขึ้นเสียง แต่พี่มาร์ทพูดไม่รู้เรื่องเอง” ผมตอบกลับทันควันจ้องอีกฝ่ายไม่ละสายตา “กลับกันเถอะครับ ผมไม่อยากทะเลาะกับพี่นะ”
“บางครั้งแมคก็ดื้อเกินไป” หันขวับไปมองต้นเสียงในทันที พูดงี้หมายความว่าไง? “ทำเยอะจนลุกไม่ขึ้นมาต่อปากต่อคำซะก็ดี”
“พี่มาร์ท!” ผมกัดฟันแน่นจ้องอีกฝ่ายตาลุกวาว “เลิกพูดเรื่องพวกนี้ซะที ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่า ผมไม่ใช่ผู้หญิงเลิกห่วงเลิกหวงผมซะที แล้วก็หยุดดูถูกผมได้ละ ผมก็ไม่ชอบที่พี่มาร์ททำอย่างกับว่าผมอ่อนแอเหมือนกัน” ผมพูดทิ้งท้ายก่อนจะก้าวเดินออกมาจากบริเวณนั้นตรงไปห้องน้ำด้วยความรู้สึกหงุดหงิด เพื่อล้างหน้าล้างตาปรับสภาพอารมณ์ก่อนจะเดินไปที่รถ แต่พอออกมาก็สวนเข้ากับอีกฝ่ายที่เข้ามาล้างมือเช่นกัน ผมเองทำเป็นมองผ่านแต่ถูกฝ่ามือหนาจับแขนไว้บอกว่า ให้รอไปพร้อมกัน
“อ้าว คุณมาร์ท คุณแมค ให้ลุงสตาร์ทรถรอเลยไหมครับ” ลุงชาติเองก็เดินออกมาจากห้องน้ำอีกห้องทักขึ้น พี่มาร์ทจึงพยักหน้ารับบังคับให้ผมยืนรอใบหน้าบูดบึ้ง พอทำธุระเสร็จสรรพผมจึงเดินตามไปขึ้นรถและไม่มีอะไรจะพูดต่อจากนั้นอีกเลยจนกระทั่งหลับไป
TBC
-----------------------------------------------------------------------------------------