Miss you most (At Christmas time) Chapter 3 The End
...เพราะความที่เรายังต้องอยู่ด้วยกัน ถึงแม้จะหาทางเลี่ยงกัน แต่ยังไงก็ต้องเจอ ไม่มีใครคุยกับใครก่อนในห้องเล็ก ๆ สายตาเย็นชาหมางเมินเหมือนคนไม่รู้จักกัน เราต่างก็รอให้อีกฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน แต่เพราะทิฐิแรงทั้งคู่ ทำให้เราสองคนยังคงอยู่กันแบบเงียบ ๆ มีห้องไว้แค่ซุกหัวนอนคืนละไม่กี่ชั่วโมง...เช้ามาก็แยกย้ายกันไปเรียน เย็นก็ต่างคนต่างเที่ยว กลับมาถึงก็นอนหันหลังให้กัน...
“...วันเสาร์นี้ไปงานวันเกิดเพื่อนเรามั้ย...” ผมชะงักที่ประตูเมื่อซันพูดกับผมขณะจะออกไปเรียน
“...ขอดูก่อน มีนัดแล้ว...” ผมตอบโดยไม่หันไปมอง แต่แอบอมยิ้ม ซันคุยกับเราก่อน ชนะแล้วเว้ย
“...จะไปก็ไป แต่ไม่ไปก็ไม่เป็นไรนะ...เจ้าของวันเกิดเค้าให้ชวนก็ชวนตามมารยาท...”
“...งั้นฝากอวยพรวันเกิดเค้าด้วยละกัน...ชวนตามมารยาท ก็ไม่ไปตามมารยาท...” ผมพูดจบก็ออกจากห้องไปทันที
*
*
...อารมณ์เสียแต่เช้า ถ้าจะพูดกันแล้วต้องรู้สึกแย่ก็อยู่เงียบ ๆ เหมือนเดิมดีกว่า...จริง ๆ ผมก็รู้ว่าวันเสาร์นี้เป็นวันเกิดใคร เพราะเพื่อนของผมซึ่งตอนนี้ก็เป็นเพื่อนของซันเค้าบอกผมแล้ว เพียงแต่ผมยังไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธ เพราะต้องดูท่าทีของซันด้วย ไม่อยากไปแล้วทำให้งานกร่อย...และนัดที่ผมบอกซันว่าขอดูก่อนมีนัดแล้วก็คืองานเดียวกันนี่แหละ...
“...เดียร์...มึงแต่งตัวเสร็จยังวะ รีบมาที่ร้านด่วน...” เพื่อนผมโทรตามไปงานวันเกิด
“...อีกแป๊บนึง...ซันไปถึงหรือยัง...”
“...มาแล้ว...เอ่อ...”
“...กูหมุนหน้ากระจกอีกสองรอบก็ออกไปได้แล้ว...แค่นี้นะ...” ผมวางสายเพราะไม่อยากเสียเวลาเม้าท์มากนัก
*
*
...คืนนี้ผมตั้งใจแต่งตัวให้ดูดีเป็นพิเศษ เพราะอาจจะเป็นโอกาสที่ผมกับซันได้พูดคุยกันดี ๆ อีกครั้ง...อย่างน้อยเมื่อเธคเลิกซันก็ไม่ยอมให้ผมกลับแท็กซี่เองแน่ ๆ และเราเองก็คงจะไม่เล่นตัวปฏิเสธคำชวนของเค้า...ยังจำได้ว่าซันหน้าเหวอแค่ไหนเมื่อผมเดินแยกกับเค้าหน้าคอนโดเพื่อขึ้นบีทีเอสไปมหาวิทยาลัยเอง และจากวันนั้นผมก็ไม่เคยขึ้นรถของซันอีกเลย...
...เมื่อไปถึงร้านที่จัดงาน ผมก็เดินเข้าไปอย่างคุ้นเคย เพราะมาร้านนี้หลายครั้งแล้ว ซันกับเพื่อนมาจองโต๊ะตั้งแต่สี่ทุ่ม ส่วนผมก็ไปเดินเล่นฆ่าเวลาในห้างจนมั่นใจว่าซันออกจากห้องไปแล้ว ผมถึงกลับมาอาบน้ำแต่งตัวบ้าง...ผมอาบน้ำสระผมแต่งตัวด้วยความสบายใจ เพราะคืนนี้อาจจะใช้ปาร์ตี้นี้หาทางคุยดี ๆ กับซันหลังจากไม่ได้คุยกันมาเกือบ 1 เดือน...
...บรรยากาศในร้านคึกคักเหมือนทุกคืน ผมเดินเข้าไปเรื่อย ๆ กวาดตามองหากลุ่มเพื่อนซึ่งมีแค่คนเดียวที่รู้ว่าผมจะมาร่วมงานนี้...เห็นแล้ว...แฟนเรายืนหล่อเด้งสูงโดดเด่นอยู่ที่มุมนึงของร้าน ผมฝ่าผู้คนเข้าไปจนใกล้โต๊ะ แต่แล้วก็อยากจะหันหลังกลับไปซะเดี๋ยวนั้น...
“...อ้าว...เดียร์...ไหนบอกมีนัดแล้วไง...” ซันรีบเดินเข้ามาทักทันที
“...สุขสันต์วันเกิด มีความสุขมาก ๆ นะ...” ผมไม่สนใจซัน และหันไปพูดกับเจ้าของวันเกิดพร้อมยื่นของขวัญที่เตรียมมา
“...แทงกิ้ว...เดียร์กินไร เดี๋ยวเราชงให้...”
“...เราแวะเอาของขวัญมาให้เฉย ๆ เดี๋ยวจะกลับแล้ว...”
“...เฮ้ย...มึงอยู่ดริ้งด้วยกันก่อนสิ...” เพื่อนผมดึงมือไว้
“...ขอไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกแป๊บนึง...” ผมมองหน้าเพื่อนในกลุ่มก่อนจะเดินออกไป
*
*
...มิน่าล่ะ ถึงไม่ง้อเราเลย มาก็มา ไม่มาก็ไม่เป็นไร เค้าชวนตามมารยาท...ใช่สิ...ถ้าเราไม่มา ซันก็จะได้เอาพลมาแทนไง...ทันทีที่หันหลังให้เพื่อน ผมก็เดินก้มหน้าน้ำตาหยดไปตลอดทางจนถึงหน้าร้าน...ไม่กล้ามองคนอื่นที่เค้ามาเที่ยวกันสนุกสนาน แต่เราต้องมาเห็นแฟนของเรา อยู่กับแฟนคนอื่น...มันเจ็บจนจุก หน้าชา ตัวชา มึนไปหมด ทำอะไรไม่ถูกเลย...
“...โอเคมั้ยเดียร์...” เพื่อนผมยกโขยงกันออกมาตามหา
“...อืม...” ผมพยักหน้า พลางเช็ดน้ำตา สูดน้ำมูก เรียกความเข้มแข็ง
“...กูขอโทษ กูไม่รู้จะบอกมึงยังไง...”
“...ไม่เป็นไร...กูโอเคแล้ว...เข้าไปแดนซ์กันเถอะ...” ผมฝืนยิ้มให้เพื่อนทุกคน
“...มึงไหวแน่นะ...”
“...เออสิ...กูเสียใจแล้วได้อะไรวะ...ซันมันก็มีความสุขของมันเหมือนเดิม...ทำไมกูต้องเสียใจคนเดียวด้วยล่ะ...”
“...กูว่าซันมันไม่ได้มีความสุขหรอก เมื่อกี้กูเห็นมันซึม ๆ ไปเหมือนกันนะเว้ย...”
“...ซึมสิ เห็นกูมาแล้วมันไม่สนุกไง...” ผมพูดจบก็เดินกลับเข้าร้านอีกครั้ง
*
*
...เราอยู่กันคนละมุมโต๊ะ พอซันเดินมาใกล้ ผมก็เดินหนี พลก็เช่นกัน พอเค้าทำท่าจะคุยกับผม ผมก็หันหน้าหนี เหมือนคนไม่เคยรู้จักกัน...บรรยากาศอึมครึมตลอดคืนจนแอลกอฮอล์สะสมมากพอจะเกิดความกล้าแบบบ้า ๆ...ผมเริ่มเยิ้ม ใครชนแก้ว ผมชนด้วยหมด ใครยิ้มให้ ผมยิ้มตอบ ใครขอเบอร์ ผมเอามือถือเขามาเมมให้เองเลย...
“...เบา ๆ หน่อยเหอะมึง...” เพื่อนผมปราม
“...ทำไมอ่ะ ก็กูโสดดดดด...” ผมลากเสียง
“...แล้วซันล่ะ...” เพื่อนซันกระซิบถาม
“...เค้าเป็นแค่รูมเมท...” ผมตอบกลับเสียงดัง
*
*
...ในที่สุดก็ถึงเวลาร้านปิด...ผมเดินเซออกมาหน้าร้านตามด้วยเพื่อน ๆ และซันกับพลก็ตามมาปิดท้าย...ขณะที่เราตกลงจะไปต่อกันที่อื่น ผมก็ขอตัวกลับก่อน...
“...ไปด้วยกันสิ...” ซันเดินมาขวางหน้าผม
“...ชวนตามมารยาทหรือเปล่า...” ผมยิ้มมุมปากให้ซัน
“...ไปด้วยกันเถอะ...” พลเข้ามาชวนอีกคน
“...ไม่อ่ะ...ไม่มีเดียร์คงสนุกกว่า...” ผมอดที่จะประชดไม่ได้
“...งั้นกลับบ้านด้วยกัน...” ซันสรุป
“...เรามีคนมารับแล้ว...ซันไปเที่ยวกับพลต่อเถอะ...” ผมโบกมือให้ผู้ชายคนนึงที่กำลังมองหาผมอยู่
“...ใครอ่ะ...” ซันกระชากเสียงถาม
“...เพื่อน...ไม่ต้องห่วงนะ เค้าโสด เราไม่นิยมแย่งแฟนใคร...” ผมพูดกระแทกทั้งคู่ก่อนจะเดินไปหาเพื่อนคนนนั้น
*
*
...คนที่มารับเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมที่พักอยู่ละแวกนั้น ผมรู้ว่าคืนวันเสาร์อย่างนี้มันต้องไปเที่ยวที่ไหนซักที่ และต้องผ่านมาแถวนี้อยู่แล้ว จึงส่ง SMS ไปหา อยากเจอ ให้มารับหลังเธคเลิก มันก็ตอบกลับมาว่าโอเค และนิสัยของมันคือต้องกลับเร็ว เพื่อเลี่ยงรถเยอะหลังตีหนึ่ง ทำให้มาถึงร้านที่ผมเที่ยวพอดีกับที่เราออกจากร้าน ...เราแวะไปนั่งกินข้าว ไปคุยกันตามประสาเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนาน คุยเพลินจนผมกลับห้องเกือบเช้า...
*
*
...นิสัยที่เหมือนกันเกินไป ไม่คุย ไม่เคลียร์ ไม่ง้อ ทำให้เราต้องอยู่กันแบบอึดอัดอย่างนี้ต่อไป...คนที่รู้สึกแย่กว่าน่าจะเป็นผม เพราะเดิมห้องนี้คือห้องของซัน ผมย้ายเข้ามาตอนที่เค้าต้องการผม แต่ตอนนี้ เค้าไม่ต้องการผมอีกแล้ว...บ่ายวันหยุดที่ปกติเราจะต้องไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปกินข้าวริมทะเล แต่วันนี้ซันเลือกที่จะอยู่ห้อง ส่วนผมก็ไม่อยากออกไปไหน เพราะยังเพลียกับการนอนตอนเช้ามืด ผมตื่นขึ้นมาก็บ่ายกว่าแล้ว คิดว่าตื่นมาแล้วจะไม่เจอซัน คิดว่าเค้าจะออกไปข้างนอก ที่ไหนได้ นั่งดูโทรทัศน์อยู่ปลายเตียงนี่เอง...
...หลังจากอาบน้ำแต่งตัว ผมก็นั่งกินซีเรียลมุมนึงของห้อง ซันก็นั่งดูทีวีอีกมุม ห้องนี้ที่ผมเคยคิดว่ามันกว้างไปเพราะตอนผมย้ายเข้ามาใหม่ ๆ ตัวเราจะติดกันตลอด เวลาดูทีวี ถ้าไม่นั่งพิงกัน ก็นอนหนุนตักกัน กินข้าวเข้ากันบนเตียง กินข้าวเย็นกันที่โต๊ะข้างครัว อาหารที่ช่วยกันซื้อมาจนเต็มโต๊ะแทบไม่มีที่วาง แต่วันนี้มีเพียงชามซีเรียลของผมคนเดียวบนโต๊ะที่ว่างเปล่า...
*
*
...การที่ต้องอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมมันน่าอัดอัดมาก ๆ ซันก็ยังนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ ส่วนผมก็เอาโน้ตบุ้คมาเล่นที่โต๊ะกินข้าวตัวเดิม ผมนั่งเล่นเนต ดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนได้เข้ายูทูป อยู่ดี ๆ เพลงนี้มันก็ลอยเข้ามาในหัว มันโดนซะจนผมต้องขยับเก้าอี้เพื่อหันหลังให้ซัน ไม่อยากให้เค้าเห็นว่าผมร้องไห้...กดรีเพลย์ฟังเพลงนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ในเพลงท่อนสุดท้ายที่เค้าบอกว่า “...อีกนาน นานเท่าไรมันจึงจะจบ...จบไป ไปให้ไกล ไกลกันสุดตา...อยากมีชีวิตใหม่ ไม่ต้องมีเธอมา ต้องเจอกับสายตาเย็นชากันอยู่...” ผมตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่แม้ว่าจะเจ็บที่สุด แต่มันก็น่าจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น...
“...สิ้นเดือนนี้เราจะย้ายออกไปอยู่ที่อื่นนะ...” ผมทำลายความเงียบ
“...............................................” ซันไม่พูดอะไร ได้แต่หันมามองด้วยแววตาเฉยเมย
“...ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ...” เมื่อซันไม่พูดอะไร ผมก็ไปต่อไม่ถูกเหมือนกัน
“...พูดยังกับจะไปวันนี้เลย...” ซันพูดลอย ๆ โดยที่ตายังจ้องอยู่หน้าจอทีวี
“...อยากให้เราไปเมื่อไหร่ก็บอกละกัน เราพร้อมเสมอ...”
“...อยากไปเมื่อไหร่ก็ไปละกัน...” ซันพูดเสียงเรียบ
“...งั้นเราไปวันนี้เลยก็ได้...” ผมลุกขึ้นเปิดตู้เสื้อผ้า เก็บของยัดใส่กระเป๋า
*
*
...ซันอึ้ง มองผมเก็บเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ไม่มีเวลาพับให้เรียบร้อย ผมต้องออกจากที่นี่ไปให้เร็วที่สุด ก่อนที่น้ำตาที่ตอนนี้มันเอ่อจนจะล้นขอบตา ไม่อยากจะให้มันไหลออกมาให้ซันเห็น...ความรู้สึกตอนย้ายเข้ามากับตอนย้ายออกมันต่างกันลิบลับ เมื่อปีที่แล้วผมเดินตัวปลิวเข้าห้อง ส่วนซันเดินหอบกระเป๋าของผมพะรุงพะรัง...ส่วนวันนี้ผมต้องแบกกระเป๋าคนเดียวเดินน้ำตาไหลพรากลงมาเรียกแท็กซี่ไปอพาร์ทเม้นท์รายวันใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย พอขึ้นรถบอกจุดหมายได้เท่านั้น ผมก็ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้นจนลุงแท็กซี่ตกใจ เค้าก็พยายามปลอบ แต่ดันคิดว่าผมผมทะเลาะกับแฟนผู้หญิง พอได้มีคนคุยด้วย ผมถึงรู้สึกดีขึ้น และเริ่มตั้งสติได้พรุ่งนี้ค่อยโดดเรียนออกมาหาที่อยู่ใหม่ อีกเดือนกว่า ๆ เราก็จะเรียนจบแล้ว ไม่ต้องหาที่หรูหรา เอาแค่สะดวก และปลอดภัยก็พอ...
*
*
...”คนที่รัก ร้างไกลนั้นเจ็บไม่นาน คนไม่รัก ใกล้กันช้ำใจยิ่งกว่า”...ผมเห็นด้วย แต่ถึงผมจะย้ายออกมามาจนห่างกับซัน แต่ความเจ็บมันก็ยังเท่าเดิม และยิ่งจะเจ็บมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ...อาจจะเป็นเพราะผมกับซันยังต้องเจอกันโดยบังเอิญที่มหาวิทยาลัย...เพื่อนผมทุกคนไม่มีใครกล้าถามเรื่องราวของผมกับซันเพราะพอมีใครซักคนพูดชื่อนี้ ผมจะเดินหนีออกจากวงทุกครั้ง...
...มหาวิทยาลัยของเรามันก็ไม่ใช่เล็ก ๆ แต่ผมก็ต้องเจอกับซันทุกวัน วันละหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นขณะนั่งเรียน มองออกไปก็เห็นซันเดินผ่านห้อง ตอนกินข้าวก็กินโต๊ะใกล้กัน ตอนเข้าห้องน้ำก็ล้างมืออ่างข้าง ๆ เจอกันบ่อยกว่าตอนที่คบกันอยู่ซะอีก...แต่...ไม่มีการมองหน้า หรือพูดคุยกัน เราเหมือนคนไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ...ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่ผมยังแอบชอบเค้าอยู่ แค่ซันเดินผ่านหน้าห้องเรียน ผมต้องสะกิดเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ ให้ดูเค้าแล้วก็กัดผ้าเช็ดหน้ากรี๊ดเบา ๆ ถ้าเจอกันใกล้ ๆ ผมจะเขินทำตัวไม่ถูก...แต่ตอนนี้ถ้าซันเดินผ่านห้อง ผมจะเมินหน้าหนี ถ้าเจอกันใกล้ ๆ ผมจะเดินเลี่ยงไปแบบจงใจให้รู้ว่าผมไม่อยากเข้าใกล้เค้าอีก...
*
*
...ถึงซันไม่ได้บอกเลิก ก็เหมือนบอก...การที่พาพลไปเที่ยวเป็นการฉีกหน้าผมอย่างแรง และที่เค้าไม่มีทีท่าจะรั้งผมไว้เมื่อผมจะแยกตัวออกมายิ่งตอกย้ำให้ผมรู้สึกว่า “เค้าหมดรัก และไม่ต้องการผมแล้ว” ถึงเค้าจะไม่ใช่คนที่สวีทหวานตลอดเวลา ออกจะเป็นคนนิ่ง ๆ ด้วยซ้ำ แต่เค้าก็น่าจะทำให้เห็นบ้างว่าห่วงผม นี่ซันไม่ถามผมซักคำว่าจะไปไหน...แต่ก็ช่างเค้าเถอะ ตอนนี้เค้ารู้แล้วว่าผมอยู่ที่ไหน เมื่อวันนึงเค้าขับรถผ่านหน้าอพาร์ทเม้นท์เล็ก ๆ ของผม...ซึ่งสิ่งที่เค้าทำก็เพียงแค่มองแว๊บเดียว แล้วก็หันกลับไป...
...ใกล้จะสอบปลายภาค ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่ดี ๆ น้ำตาก็เอ่อล้นขอบตาจนมองไม่เห็นตัวหนังสือ ทุกคืน ผมต้องหลับทั้งน้ำตา พยายามข่มใจแล้ว มันก็ยังอดไม่ได้ที่จะคิดถึงซัน บรรยากาศมันก็ช่างเป็นใจ ลมหนาวพัดมาเบา ๆ ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเหงามากขึ้น...
...ที่พึ่งเดียวของผมในเวลานี้คือรูปครอบครัวที่อยู่หัวเตียง พ่อแม่ส่งผมมาเรียน ถ้าผมมัวแต่เพ้อเจ้อแบบนี้ เกรดคงแย่ พ่อแม่ต้องเสียใจ เงินทุกบาทที่ท่านส่งมาจะสูญเปล่า ทุกคนหวังว่าผมจะจบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ทำงานดี ๆ เงินเดือนสูง เลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้...
...ผมเกิดแรงฮึดตั้งใจเรียนในช่วงสุดท้าย และขยันอ่านหนังสือสอบ เมื่อเราตั้งใจกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราก็จะไม่มีเวลาไปคิดถึงเรื่องอื่น... วันสุดท้ายในฃีวิตมหาวิทยาลัยของผม ก็คือวันสุดท้ายที่ผมจะได้เจอกับซันเช่นกัน...สอบเสร็จ ผมจะคืนห้องที่อพาร์ทเม้นท์แล้วกลับบ้านไปพักกับครอบครัวซักระยะ ก่อนจะกลับมาสมัครงานที่กรุงเทพฯอีกครั้ง...วิชาสุดท้ายที่สอบ สมาธิของผมกระเจิงเมื่อเห็นซันเดินป้วนเปี้ยนอยู่หน้าห้อง หน้าตาเค้าดูเคร่งเครียด ผมคิดว่าเค้าคงจะรอสอบห้องข้าง ๆ จึงไม่ได้สนใจ แต่ทุกครั้งที่เค้าเดินผ่านประตูกระจก เค้าจะมองมาที่ผม ซึ่งผมเองก็ต้องพยายามตั้งสติ ไม่ให้หันไปมองเค้า...
“...ทำข้อสอบได้มั้ย...” เสียงคุ้นหูดังมาจากข้างหลัง
“.............................” ผมพยักหน้าแทนคำตอบ
“...สอบวิชาสุดท้ายแล้วสิ...”
“.............................” ผมพยักหน้าอีกครั้ง
“...เอ่อ...แล้วจะไปไหนต่ออ่ะ...”
“...กลับบ้าน...” ผมตอบสั้น ๆ
“...ให้ซันไปส่งนะ...”
“...ไม่เป็นไร...ขอบใจ...” ผมยิ้มให้ซันทีนึงก่อนจะเดินกลับห้องโดยไม่หันไปมองเค้าอีกเลย
*
*
...แค่คำพูดดี ๆ ไม่กี่ประโยคของซัน มันทำให้ภาพความหลังย้อนกลับมาทำร้ายหัวใจที่กำลังจะเป็นปกติของผมให้แย่ได้มากกว่าเดิม...เพราะความคิดเข้าข้างตัวเองว่าเค้าคงอยากจะกลับมาคืนกับเรา เค้าคงมาง้อ นึกเจ็บใจตัวเองที่ปฏิเสธคำชวนของเค้า...แต่...พอมานึกดี ๆ แล้ว เค้าแค่เข้ามาพูดคุยในฐานะ “คนเคยรู้จักมากกว่า” อย่าคิดไปเองฝ่ายเดียวเลย ที่ผ่านมามันยังเจ็บไม่พออีกหรือไง...
*
*
...จบมหาวิทยาลัย...ผมไม่เคยได้ยินข่าวคราวของซันอีกเลย ผมแยกตัวเองออกมาเริ่มทำงานในบริษัทญี่ปุ่นที่เพิ่งเปิดใหม่ในย่านอโศก งานยุ่งมาก ผมเหนื่อยซะจนหมดแรงไปเที่ยวกลางคืน ในปีแรกผมต้องทำงานแต่เช้า เลิกงานดึกมาก ถึงงานจะยุ่งแต่ผมก็สนุกกับงานจนลืมเรื่องซันไปเลย เด็กจบใหม่ไฟแรง ผมเลือกทำงานกับบริษัทเปิดใหม่ เราโตมาด้วยกัน ผ่านไปแค่สามปี กิจการก็ดีขึ้นตามลำดับ ตำแหน่งและเงินเดือนของผมก็สูงขึ้นตาม ตอนนี้ผมมีลูกน้อง ไม่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบเดิมแล้ว...
...สามปีที่ผ่านมาถึงจะเหนื่อยกาย แต่จิตใจผมเป็นสุขดี...ยกเว้นช่วงคริสต์มาสของทุกปี บริษัทของผมหยุดยาวในช่วงนั้นไปจนถึงต้นปีถัดไป...พอไม่มีงานต้องทำ ผมก็เริ่มฟุ้งซ่าน ได้มีโอกาสได้ออกไปเที่ยวห้าง ได้เห็นการเฉลิมฉลอง...เพื่อนฝูงยืนถ่ายรูปกันเป็นกลุ่ม...เสียงพ่อแม่ลูกคุยกันจอแจ...คู่รักเดินจับมือกันดูไฟประดับสวยงาม ส่วนผมเดินกอดอกให้ความอบอุ่นตัวเอง เดินผ่านผู้คนเหล่านั้นคนเดียว ถ้าผมยังอยู่กับซัน เทศกาลแห่งความสุข ผมคงมีความสุขเหมือนคนอื่นเค้า...คิดถึงซันเหลือเกิน คิดถึงที่สุดในช่วงคริสต์มาสแบบนี้...
To be continued[/color]
****************************************************************************************************
…ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ ทุกกำลังใจ ทุกคำติชมนะครับ...ในที่สุด Miss you most at Christmas time ก็จบลงซะที เป็นเรื่องที่ยากมาก ยากที่สุด เพราะมันเป็นเรื่องสั้นที่ต้องพยายามกระชับเนื้อหา ซึ่งผมถนัดเรื่องยาวมากกว่า มันท้าทายดี...ถ้าเรื่องนี้มันสั้นไป...และถ้ายังได้รับการตอบรับที่ดีอยู่ จะเปลี่ยนจาก The End เป็น To be continued เร็ว ๆ นี้อาจจะมี All I want for Christmas is you มาต่อในเรื่องนี้ เหมือน We belong together >>> Don’t forget about us ก็ได้...
...สำหรับเรื่องนี้ ผู้เขียนอาจจะกระชับมากเกินไป เพราะอย่างที่บอกว่า มันมีเรื่องจริงบางส่วนในชีวิตของผู้เขียนที่นำมาดัดแปลงนิดหน่อย พิมพ์ไปเรื่อย ๆ มันก็ยิ่งเศร้า ภาพความหลังมันย้อนกลับเข้ามาในหัวจนทำให้ต้องหยุดพักบ่อย ๆ...
...เอามาม่ามาฝากแค่นี้ละกัน...กินของคาวเสร็จ ถ้าอยากกินของหวานก็บอกนะครับ เดี๋ยวจัดให้...
...เป้...