โต๊ะอาหารตัวยาววันนี้ไม่ได้เงียบเหงาเหมือนเช่นทุกวัน เพราะเขามีเพื่อนร่วมโต๊ะเป็นเด็กน้อยหน้ามุ่ย แต่ไม่นานคิ้วสวยก็คลายลง ตากลมเป็นประกายเมื่อเห็นอาหาร ดนตร์ลงมือกินทันทีโดยที่เขายังไม่ได้เอ่ยปากชวนด้วยซ้ำ
อริญชย์มองดูอาคันตุกะพิเศษที่เพลิดเพลินอยู่กับอาหารตรงหน้าโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาสนทนากับเขาสักคำ ส่วนเขากินไปแค่ไม่กี่คำเท่านั้น ยอมรับว่าการที่ได้นั่งมองดนตร์กินมีความสุขกว่าเยอะ
“อ่า...อิ่ม”
มือเรียวยกขึ้นตบหน้าท้องที่นูนขึ้นเล็กน้อยของตัวเองเบาๆ อาหารพร่องไปหลายอย่าง แต่ที่หมดเยอะที่สุดคือข้าวเปล่า ดนตร์กินข้าวเยอะมากจนเขายังแปลกใจ
“อิ่มแล้วเหรอ เอาขนมหวานไหม”
ศีรษะทุยสวยสั่นน้อยๆ “ผมไม่ชอบกินขนมหวาน แต่ถ้าเป็นนมจะดีมาก”
อริญชย์หัวเราะเบาๆ ร้องสั่งนมวนิลาอุ่นๆ มาให้ตามที่ร้องขอ และไวน์แดงสำหรับตัวเอง ใช้เวลาไม่กี่นาทีดนตร์ก็จัดการนมสีขาวขุ่นในแก้วทรงสูงจนหมด ลิ้นสีชมพูตวัดเลียรอบริมฝีปากเป็นการปิดท้าย อริญชย์รู้สึกถึงจังหวะหัวใจที่เต้นผิดปกติ เขาคงบ้าไปแล้วที่คิดว่ากิริยาท่าทางแบบนั้นคือการ ยั่ว
“พี่ครับ ผมอยากกลับหอแล้ว”
“กินอิ่มก็จะกลับเลยเหรอ” เจ้าของบ้านถาม พลางหมุนแก้วในมือเล่น แอลกอฮอล์ดีกรีอ่อนไหลผ่านในกายช่วยทำให้เลือดสูบฉีดได้ดีนัก “ให้เกียรติเจ้าบ้านด้วยการนั่งคุยกันสักพักสิ”
“แต่...”
“แค่สิบนาที...ได้ไหม”
ดนตร์พรูหายใจ แต่ก็ยอมพยักหน้าตอบรับ “ก็ได้ครับ”
แม้จะบอกว่าเป็นการพูดคุย แต่เขากลับไม่ได้เอ่ยคำพูดใดๆ เพียงแต่ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่และดึงยื้อเวลาต่อไปเรื่อยๆ เท่านั้น ดนตร์ขยับตัวคล้ายกับจะอึดอัด หลายครั้งที่ริมฝีปากสวยนั่นอ้าหาว เจ้าตัวขยี้หน้าแรงๆ จนน่ากลัวว่าผิวขาวจะช้ำ...คงง่วงมากจริงๆ
อริญชย์วางแก้วไวน์ลง แล้วลุกขึ้นไปที่เครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณที่บิดาได้มาจากอังกฤษ ถึงอายุของมันจะมากกว่าอายุของเขาหลายสิบปี แต่ประสิทธิภาพของมันยังยอดเยี่ยม เขาใช้มันเปิดเพลงจากแผ่นเสียงเก่าๆ มาตั้งแต่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่น มีไม่กี่คนหรอกที่จะรู้ว่าหู่อริญชย์คนนี้จะชอบฟังเพลงยุค 60-70 เขาเลือกเพลงของ John lennon วางลงบนเครื่องเล่น ไม่นานเสียงเพลงเก่าแต่เต็มไปด้วยมนต์ขลังก็กังวาน ความเงียบถูกทำลายด้วยท่วงทำนองเพลงที่ไพเราะ เขาชอบเครื่องดนตรีเล่นสดไม่ใช่ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์อย่างในสมัยนี้
ร่างสูงเดินไปที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม เลือกแก้วทรงกรองด์ครูซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่เขาถืออยู่มาใบหนึ่ง จัดการเทไวน์แดงลงไปเกือบครึ่งแก้วแล้วหมุนตัวกลับไปหาคู่สนทนาที่นั่งตาปรือปรอยอยู่ที่เดิม
ชายหนุ่มยื่นแก้วให้เด็กหนุ่มตัวเล็ก อีกฝ่ายทำหน้างงๆ “เอาสิ นี่ไวน์แดงจากชิลี พ่อฉันได้มาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ขวดนี้ราคาร่วมแสนเลยนะ”
ดนตร์ตาโต ส่ายหน้าหวือ “ไม่เอาหรอกครับ ผมไม่กล้ากิน เดี๋ยวพ่อพี่ฆ่าผมตาย”
อริญชย์หัวเราะ “ไวน์มีไว้กิน เรื่องไวน์พ่อฉันไม่หวงหรอก มีเป็นพันๆ ขวด”
“เป็นพันเลยเหรอ”
“ใช่ พ่อฉันชอบสะสมไวน์ แล้วก็พวกของเก่า” เขาบอกคร่าวๆ อันที่จริงตาแก่จอมงกนั่นยังชอบสะสมเงินอีกด้วย ชอบเสียจนละเลยลูกเมีย อริญชย์หลับตาลงปัดเรื่องรกสมองทิ้ง “ลองชิมดูสิ ฉันว่ารสชาติมันก็ไม่เลวนัก”
ดนตร์มองแก้วไวน์ในมือ แค่วิธีการจับแก้วก็รู้แล้วว่าเจ้าตัวเล็กนี่ไม่เคยกินไวน์มาก่อน น่าจะถนัดไปทางเหล้าหรือเบียร์มากกว่า ไม่นานหลังจากการชักชวน มือขาวก็ยกแก้วจรดริมฝีปาก แล้วกระดกรวดเดียวหมด ไม่ได้ละเมียดชิมรสหวานกำซ่านอย่างนักดื่มไวน์ทำกัน เด็กจอมตะกละไอโขลกหลังจากที่ไวน์ปริมาณไม่น้อยไหลลงคอ อริญชย์หัวเราะเบาๆ ด้วยนึกขำในความซื่อจนบื้อของดนตร์
“ค่อยๆ จิบสิ ฉันไม่แย่งนายกินหรอกน่า” อริญชย์ดึงแก้วในมือขาวออก แล้วจ่อแก้วของตัวเองที่ริมฝีปากสวย “อ้าปากสิ เดี๋ยวจะสอนวิธีการดื่มไวน์ให้”
ตาคู่ใสช้อนมอง แต่ก็เผยอกลีบปากกับขอบแก้ว “ค่อยๆ จิบ ปล่อยให้ลิ้นสัมผัสรสหวานของมันก่อน แล้วค่อยกลืน”
ก้านนิ้วยาวกระดกแก้วสูงขึ้นเพื่อให้น้ำสีแดงเข้มไหลผ่านริมฝีปากของเด็กหนุ่ม ดนตร์ทำตามอย่างว่าง่าย เขาเห็นแก้มกลมขยับน้อยๆ เจ้าตัวคงใช้วิธีการกลั้วแทนการละเมียดชิมรส อริญชย์ดึงแก้วออก มองกลีบปากที่ขึ้นสีกว่าเดิมด้วยไวน์แดง...น่าจูบ
“หวานไหม”
“อืม...หวานแล้วก็ฝาดด้วย”
“นั่นแหล่ะ รสของไวน์ คนถึงได้เมาไม่รู้ตัว”
ดนตร์พยักหน้ารับรู้ ลิ้นสีสดแตะรอบกลีบปากโดยไม่รู้ตัวสักนิดว่า กิริยานั่นเป็นการยั่วยวนชวนให้ตบะแตกนัก
อริญชย์มอมเมาเด็กคอทองแดงด้วยไวน์แดงรสเลิศอีกหลายแก้ว แก้มใสสุกปลั่งด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ดนตร์ในยามที่สติไม่สมประดีกลายเป็นเด็กช่างพูด เขาฟังเสียงอ้อแอ้บอกเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ด้วยความเพลิดเพลิน บางเรื่องก็วกวนจนเกินกว่าจะจับใจความได้แต่ที่ทำให้เขาสนใจคือเจ้าตัวเล่าถึงครอบครัว ที่มีทั้งพ่อ แม่ พี่สาว พี่เขยและหลานชายตัวน้อย ซึ่งแม้จะเมาแต่ดนตร์ก็แสดงออกถึงความรักในตัวหลานชายออกมาให้เห็น
“แม่บอกว่า หลานหน้าเหมือนผมเปี๊ยบเลย” ดนตร์พูดยิ้มๆ ดวงตากลมหรี่ปรือจวนเจียนจะปิดเต็มที
ชายหนุ่มระบายยิ้มอ่อนโยน ซึ่งน้อยคนนักจะได้เห็น มือใหญ่ยกขึ้นขยี้เส้นผมอ่อนนุ่มเบาๆ พอลูบซ้ำอีกสองสามทีคนเมาก็คอพับหลับมันเสียดื้อๆ
“หลับแล้วเหรอ”
ไม่มีเสียงตอบรับ มีแต่เสียงลมหายใจเข้าออกในจังหวะสม่ำเสมอเท่านั้น ริมฝีปากหยักลึกเหยียดยิ้ม วางแก้วไวน์ที่ยังไม่หมดแก้วนับตั้งแต่เริ่มกินลง ก่อนจะช้อนร่างเล็กอ่อนปวกเปียกไว้ในอ้อมแขน...
เสื้อยืดแขนยาวถูกเลิกขึ้นสูง ผ่านช่วงเอวคอดบาง จนถึงแผ่นตึง ผิวขาวใสเช่นเดียวกับทารกกระตุ้นให้เลือดในกายร้อนผ่าว ความต้องการอัดแน่นอยู่ที่ท้องน้อยและไหลลงไปสู่เบื้องล่าง กางเกงคับแน่นจากบางส่วนที่ขยับขยาย ปลายนิ้วสั่นเทากรีดลากไปบนเนื้อนุ่ม น่าแปลกที่เป็นผู้ชายแต่กลับมีผิวกายเนียนนุ่มยิ่งกว่าสตรี ดวงตาเขาพร่าเลือนตอนที่จ้องมองความขาวสะอาด แล้วนิ้วก็หยุดกึก เมื่อมองเห็นรอยบางอย่างที่ประทับบนผิวขาวเนียน...รอยจูบ
ถึงเขาจะไม่ใช่พวกเจนจัดเรื่องบนเตียง แต่รอยพวกนี้เขาก็รู้จักมันเป็นอย่างดี มันไม่ใช่รอยจากเขี้ยวของแมลงที่ไหน หากแต่เป็นรอยที่เกิดจากฝีมือ ไม่สิ ต้องเรียกฝีปากจากมนุษย์มากกว่า ชายหนุ่มดึงนิ้วกลับ ความปรารถนาที่ลุกลามเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความโกรธขึงอย่างรวดเร็ว ไอ้สารเลวหน้าไหนที่บังอาจตีตราจองบนเรือนร่างนี้!
มือหนากำเข้าหากันแน่น สันกรามขบสันเป็นนูน ศัตรูหัวใจของเขาประกาศศักดาด้วยการสร้างรอยแห่งความเป็นเจ้าของไว้แล้ว ไม่ใช่แค่ที่หน้าอก แต่เมื่อสังเกตดีๆ รอยแดงช้ำพวกนี้มันกระจายไปทั่วเรือนกาย ผิวของดนตร์ขาวจัดยิ่งทำให้รอยพวกนั้นเห็นชัดกว่าเดิม เขาพยายามเดาหาเจ้าของรอยพวกนี้ ที่จริงมันไม่ได้ยากเกินไปกว่าความสามารถเพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่ามันจะกล้าทำถึงเพียงนี้...กรณ์
บางรอยที่เพิ่งเกิดใหม่บอกได้ดีว่าผู้กระทำคือคนที่อยู่กับดนตร์เป็นคนสุดท้าย แล้วก็เป็นกรณ์ เขามั่นใจว่าไม่ใช่ธาวิน เพราะไอ้หมอนั่นมันอยู่กับเขาจนเกือบสี่โมงเย็นก่อนจะแยกย้ายกันไป ขณะที่กรณ์หายตัวไปตั้งแต่ช่วงเที่ยง ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ศัตรูในเงามืดน่ากลัวจริงๆ มันรุกหน้าแต่ทำเรื่องระยำ ถ้าหากว่ามันเป็นคนโสดเหมือนเขากับธาวินความเลวของมันจะไม่หนักหนาเท่านี้ แต่เพราะมันมีคนรักอยู่แล้ว หนำซ้ำยังทำท่าเหมือนเกลียดดนตร์
คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ความวาบหวามหายไปสิ้น สำนักผิดชอบชั่วดีหวนกลับคืน มือแกร่งเลื่อนเสื้อยืดลงกลับที่เดิมก่อนจะตลบผ้าห่มคลุมร่างโปร่งไว้ ร่างสูงถอยห่างจากเตียงกว้าง ก้าวยาวๆ ออกมาที่ระเบียง พร้อมกับบุหรี่
เขาสูดเอาควันสีขาวลงไปในปอดจนลึกที่สุดแล้วค่อยปล่อยบางส่วนออกทางลมหายใจและริมฝีปาก ความคิดดำดิ่งอยู่ที่ร่างของคนบนเตียงกับเพื่อนรักอีกสองคน นี่มันบ้าชะมัด นี่เขา ธาวิน และกรณ์กำลังจะแตกคอกันเพียงเพราะต้องการดนตร์มาเป็นของตัวเอง อริญชย์ปรายตามองไปยังร่างเล็กที่ยังหลับสนิทบนเตียง หรือบางทีเขาควรจะรักษามิตรภาพของเพื่อนไว้โดยการถอนตัวออกมา
นิ้วเรียวดีดเศษบุหรี่ทิ้งบนอากาศปล่อยให้มันถูกสายลมพัดไป เรียวปากหยักกดยิ้มลึก แต่บางทีเกมการแย่งบชิงก็สนุกดีเหมือนกัน โลกสีเทาของเขาจะได้มีสีสันขึ้นมาบ้าง...
ดนตร์ยกมือขึ้นกุมหัวใจที่เต้นเร็วจนน่ากลัวว่าจะหลุดออกมานอกอก เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายตามไรผม ริมฝีปากเผยออ้าเพื่อช่วยหายใจ สองขายังสั่นเทาจากกาออกแรงมากเกินไป เปลือกตาบางปิดลง นานจนกระทั่งจังหวะหัวใจค่อยๆ ลดระดับลงจึงเปิดตาขึ้น เฉียดฉิวจริงๆ ทุกอย่างเร่งรีบไปหมดไม่มีเวลาแม้แต่จะอาบน้ำหรือแม้แต่จะเปลี่ยนชุด...เขามาเรียนด้วยเสื้อผ้าชุดเมื่อวาน
เขาเข้ามาในห้องเรียนก่อนหน้าอาจารย์เกลือเพียงเสี้ยวนาทีเท่านั้น รู้กันว่าใครที่เข้าหลังอาจารย์สุดเฮี้ยบจะไม่ได้รับการเช็คชื่อแม้จะเข้าเรียนทั้งคาบก็ตาม มือเรียวดึงเอาชีทออกมาระหว่างที่อาจารย์กำลังเตรียมตัวสอน
“นี่ๆ”
ที่หัวไหล่ถูกสะกิดจากคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เมธัสยื่นหน้าเข้ามาใกล้ในระยะประชิดจนเขาต้องดึงหน้าหนี ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยคำถามแกมอยากรู้อยากเห็น ดนตร์ขมวดคิ้ว นี่เขาต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้ทุกวันเลยหรือไงกัน
“อะไรอีก” เขากระซิบถามลอดไรฟัน พอจะรู้อยู่หรอกว่าเจ้าจอมยุ่งนี่อยากรู้อะไร ตากลมเหลือบไปมองผู้หญิงที่นั่งถัดจากเมธัส... ลลิตาก็มีอาการไม่ต่างจากเมธัส เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่เริ่มหันมามองทางเขาด้วยความสนใจใคร่รู้
“เมื่อวานเรื่องของนาย พี่กรณ์ แล้วก็พี่รันดังไปทั่วมหา’ลัยเลย นี่ได้เข้าไปเฟซบุ๊คบ้างหรือยัง”
“ยัง” ดนตร์สั่นหัว แต่เรื่องของเขา กรณ์และอริญชย์มันไม่ได้อยู่เหนือจากที่คาดการณ์ไว้นัก แค่ไม่อยากจะเก็บมาใส่ใจ แค่นี้ก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว
“นายนี่แม่งโคตรเสน่ห์แรง อยากรู้จริงว่าเด็กเนิร์ดนี่เด็ดตรงไหน” ตาโตๆ ของเมธัสเป็นประกายจนน่าขนลุก ดนตร์เบี่ยงตัวหนี แต่ช้าเกินไป นิ้วเรียวเกี่ยวคอเสื้อให้เปิดกว้าง เมธัสชะโงกหน้ามาใกล้ลำคอ
เขารีบยกมือกระชากคอเสื้อกลับ เอ็ดเพื่อนรักเสียงดุ “ทำบ้าอะไร!”
เมธัสชักหน้ากลับ รอยยิ้มทะเล้นจางไปจากใบหน้า ริมฝีปากกำลังจะอ้าถามแต่เสียงของอาจารย์เกลือดังขึ้นเสียก่อน เป็นการยุติข้อสงสัยได้ทันท่วงที
ดนตร์สั่งให้ตัวเองจดจ่อไปกับการสอนของอาจารย์ แต่หลายครั้งที่ความตั้งใจมันมักจะหลุดเข้าไปสู่ห้วงความคิดที่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรก็สลัดไม่หลุดเสียที
เมื่อเช้านี้เขาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าสถานที่ที่กำลังนอนอยู่ไม่ใช่เตียงในหอพักของตัวเอง ทว่ามันกลายเป็นเตียงกว้างสีเทาสะอาดและอบอุ่น เขาเด้งตัวขึ้นราวกับติดสปริงไว้ที่หลัง พอตั้งสติได้ก็ระลึกถึงความทรงจำสุดท้าย และเขาก็ได้แค่รสหวานแกมฝาดของไวน์เท่านั้น ดนตร์ยกมือทึ้งผมตัวเอง เขาคงหลับไปเพราะตะกละกินไวน์ราคาแพงไปหลายแก้ว หลังจากด่าตัวไปร้อยรอบเขาก็มองหาเจ้าของห้อง แต่นอกจากเตียงกว้างๆ กับเฟอร์นิเจอร์หรูหราแล้วเขาก็ไม่พบใครอีก ตอนนั้นเขาอุปมาอุปไมยคิดไปเองว่า อริญชย์อาจจะตื่นไปเรียนแล้ว แต่เขาคิดผิด เพราะเมื่อก้าวลงบันไดจนถึงขั้นสุดท้ายเขาก็เห็นร่างสูงใหญ่ยืนตระหง่านอยู่ในห้องโถง สีหน้าสดชื่นอยู่ในชุดที่พร้อมจะออกไปข้างนอก อริญชย์เลิกคิ้วน้อยๆ ตอนที่เห็นเขา พร้อมกับส่งรอยยิ้มทักทาย
“เป็นยังไง หลับสบายไหม”
“เอ่อ....สบายดีครับ ผมกลับก่อนนะครับ”
เขารีบตัดบทสนทนา ทว่าเจ้าของบ้านไม่ยอม เพียงแต่ก้าวผ่านร่างหนา ท่อนแขนก็ถูกคว้าไว้ ทั้งร่างปลิวไปปะทะกับลำกายแกร่งอย่างง่ายดาย นาทีนี้เขาตกใจจนลืมขัดขืนได้แต่อ้าปากหวอมองหน้าอีกฝ่ายเท่านั้น
“เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ผมปะ..ไปเองได้” สติเพิ่งฟื้นคืน เขาขืนตัวให้หลุดจากอ้อมแขนแข็งแรง โชคดีที่อริญชย์ไม่ได้เป็นงูเหลือมเลยคลายมือออกพอให้เขาดิ้นหลุดได้
“จะไปยังไง นี่แปดโมงกว่าแล้วนะ มีเรียนตอน 9 โมงไม่ใช่เหรอ”
เขายกนาฬิกาที่ได้รับจากพี่สาวในวันเกิดเมื่อปีที่แล้วขึ้นดู เหลืออีก 20 นาทีจะ 9 โมง ถ้าหากขึ้นรถเมล์หรือรถไฟคงเข้าเรียนไม่ทันแน่ เขาชั่งใจอยู่ชั่วประเดี๋ยวก็ยอมตอบตกลง ดังนั้นเมื่อเช้านี้เขาเลยมีราชรถเป็นออดี้สีขาวมาส่งถึงหน้าคณะ
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ แล้วอย่าลืมคาบหน้าเอางานที่สั่งมาส่งด้วย ใครส่งช้าตัด 20 คะแนน”
เสียงอาจารย์เกลือดังขึ้น หยุดความคิดที่หลุดไปในอดีตได้พอดี ดนตร์กะพริบตาปริบๆ ดูเหมือนว่าในช่วงที่เขาเข้าสู่ภวังค์ความคิดท่านอาจารย์จะมอบงานให้มาแล้ว มือเรียวทึ้งผมตัวเองอีกรอบ หงุดหงิดในความงี่เง่าของตัวเอง แต่คงเพราะความมึนงงแกมสับสนที่ปรากฏชัดบนใบหน้ามากเกินไป เมธัสที่แสนดีเลยช่วยบอกสิ่งที่เขาพลาดไปให้
“อาจารย์เกลือให้ไปเก็บข้อมูลทดลองเขียนเป็นบทภาพยนตร์เกี่ยวกับงานศิลปะ ส่งคาบหน้า ส่งไม่ทันถูกตัด 20 คะแนน”
“ศิลปะ? แล้วจะไปเอาจากที่ไหนล่ะ ห้องสมุดเหรอ”
“ไอ้โง่!” เมธัสทำหน้าเหม็นเบื่อ “แกมีรุ่นพี่คณะสถาปัตย์ที่มะรุมมะตุ้มอยู่ตั้งสามคน จะไปหาในห้องสมุดให้เหนื่อยทำไมวะ”
ดนตร์ย่นจมูกใส่เพื่อนรัก ถ้าต้องไปขอความช่วยเหลือจากสามคนนั่น เขายอมไปนั่งเปิดหนังสือจนหมดห้องสมุดจะยังดีเสียกว่า
...แต่สวรรค์มักไม่เข้าข้างคนอับโชค...
หลังจากที่ปฏิเสธจนคอเป็นเอ็นสุดท้ายเขาก็แพ้ให้กับความดื้อดึงของเมธัสและลลิตา ทั้งคู่ลากเขามาถึงคณะสถาปัตย์จนได้ บรรยากาศค่อนข้างต่างจากคณะที่เขาเรียนอยู่พอสมควร มันค่อนข้างเงียบเมื่อเทียบกับคณะอื่นๆ แถมยังมีพวกแต่งตัวแปลกๆ เดินเต็มไปหมด บางคนไว้ผมยาว หอบหิ้วอุปกรณ์สำหรับงานตัวเอง บางคนก็แต่งตัวเหมือนหลุดมาจากนิตยสาร หลายคนส่งสายตามาที่พวกเขาแปลกๆ แต่อีกหลายๆ คนที่ทำเหมือนพวกเขาไม่มีตัวตน ดนตร์ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ภาวนาให้สิ่งที่เมธัสและลลิตาต้องการไม่เป็นผล หรืออย่างน้อยก็ขอให้ทั้งสามคนนั้นไม่อยู่ เพราะตอนนี้เขายังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับใครทั้งนั้น
“ฉันว่าฉันไม่ไปดีกว่า พวกนายไปกันเถอะ เดี๋ยวฉันไปหาข้อมูลที่ห้องสมุดเอง”
“ไม่ได้” แฝดสยองตอบพร้อมกัน ก่อนพากันฉุดกระชากลากแขนของเขาให้ไปตามในทิศทางที่ตัวเองต้องการ
เมธัสใช้ความสามารถในการสืบเสาะหาแหล่งกบดานของกรณ์และคนอื่นๆ ไม่นานข้อความจากบุคคลปริศนาก็ตอบกลับมาในโทรศัพท์มือถือ ริมฝีปากบางยกยิ้มแล้วพยักพเยิดให้ไปข้างหน้าอีกหน่อย
พวกเขามาหยุดที่หน้าห้องๆ หนึ่ง ที่อยู่ท้ายสุดของทางเดิน บริเวณนี้ค่อนข้างเงียบกว่าที่อื่น แต่ก็มีเสียงกุกกักลอดมาจากด้านในให้ได้ยิน เมธัสเขย่งปลายเท้าสอดส่องสายตาผ่านกระจกสี่เหลี่ยมบานเล็กๆ ที่ติดอยู่บนประตู ก่อนจะกดโทรศัพท์มือถือหาใครสักคน จากนั้นไม่นานประตูบานใหญ่ก็เปิดออก กลิ่นสีและสารพัดกลิ่นโชยเข้าจมูกจนต้องเบ้หน้า
“เข้ามาสิ” เสียงทุ้มใหญ่เอ่ยชวน เขาเพิ่งเห็นว่าผู้ที่มาเปิดประตูให้คือ นักรบ
เพียงเสี้ยวนาทีที่เขาเห็นรุ่นพี่ตาดุหันมายิ้มให้เมธัสแล้วอีกฝ่ายก็ส่งยิ้มกลับ พอจะอ้าปากถามแขนก็ถูกรั้งลากเข้าไปในห้องเสียแล้ว
ภายในห้องค่อนข้างกว้าง และโล่ง มีเพียงโต๊ะยาวๆ ไม่กี่ตัวที่ตั้งระเกะระกะอยู่ เก้าอี้พลาสติกวางไม่เป็นที่ แต่ที่น่าสนใจคือผลงานหลายชิ้นที่วางอยู่รอบห้องมากกว่า แต่ละชิ้นล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของผู้รังสรรค์ มีนักศึกษาหลายคนกำลังสร้างผลงานของตัวเอง แต่ก็ไม่มีใครหันมาสนใจการมาเยือนจากพวกเขา แต่ละคนเหมือนดำดิ่งอยู่ในโลกของตัวเองเท่านั้น
ดนตร์หยุดมองภาพวาดสีน้ำมันด้วยความสนใจ มันเป็นภาพของเด็กผู้ชายตัวเล็ก ที่ถูกรายล้อมด้วยลายเส้นและสีที่มองแล้วชวนหงอยเหงา
“ภาพเด็กชายผู้โดดเดี่ยวน่ะ ได้รับรางวัลเมื่อปีที่แล้วนะ” นักรบบอกเรียบๆ
ดนตร์ชะโงกหน้าเข้าไปใกล้อีกนิดเพื่ออ่านชื่อของเจ้าของผลงานชิ้นดี ตากลมเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นลายมือหวัดๆ เขียนว่า ‘กรณ์’
ที่จริงการที่ผลงานของกรณ์จะได้รับรางวัลไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเท่าไรนัก เพราะนอกจากรูปร่าง หน้าตา ที่โดดเด่นแล้ว ความสามารถของกรณ์ก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เขาเคยได้ยินพวกสาวๆ พูดกันว่า กรณ์ได้รับใบตอบรับจากมหาวิทยาลัยดังๆ มากมายจากฝีมือทางด้านศิลปะ
“อ้าว! เพลง ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่เนี่ย”
เสียงร้องทักหยุดความสนใจจากภาพเด็กชายผู้โดดเดี่ยวเอาไว้ได้ ตากลมหันมองตามเสียงที่ได้ยิน ร่างสูงใหญ่คุ้นตายืนกอดอกยิ้มๆ มองมา ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาประชิดร่าง
“พี่ธาม สวัสดีค่ะ”
ลลิตาเอ่ยทักทายก่อน ธาวินยิ้มกลับอย่างอารมณ์ดีขณะที่มือหนาอยู่บนหัวไหล่ของเขาเรียบร้อยแล้ว “มาทำอะไรกัน อย่าบอกนะว่าคิดถึงพี่น่ะ”
คำสรรพยอกจากธาวินยิ่งสร้างความกระอักกระอวนใจให้ดนตร์ แรงกระชับที่หัวไหล่มันแน่นกว่าปกติ เขาเหลือบตามองร่างสูง เสี้ยวนาทีที่ประสานสายตากันเขาเห็นแววขุ่นเคืองแทรกเข้ามา แต่แค่กะพริบตาทุกอย่างก็กลายเป็นปกติ ธาวินยังคงยิ้มสดใสเช่นเคย
เมธัสอธิบายถึงจุดประสงค์ที่ต้องมาถึงที่นี่ รุ่นพี่ตัวสูงสองคนพยักหน้าหงึกหงัก “แล้วพวกนายอยากได้ข้อมูลด้านไหนล่ะ ปั้น วาด หรือออกแบบ”
“ขอดูก่อนได้ไหมครับ” เมธัสบอก ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย
นักรบกับธาวินเดินนำหน้าพารุ่นน้องทั้งสามเข้าไปด้านใน จากแสงสีเหลืองสว่างจ้ากลายเป็นแสงสีส้มนวลตา กลิ่นสีเหม็นฉุนขึ้นด้วยเช่นกัน ลลิตาทำหน้าเหมือนกำลังสูดเอาสารพิษเข้าปอด แต่ก็ไม่ได้ปริปากบ่น กระทั่งถึงท้ายสุดของห้องพวกเขาก็ได้พบกับอริญชย์ กรณ์และผู้หญิงอีกคน...โยษิตา
อริญชย์ยกยิ้มเมื่อเห็นรุ่นน้องทั้งสามและทิ้งสายตากับร่างโปร่งของเด็กหนุ่มสวมแว่น ผิวขาว ร่างสูงผุดลุกจากเก้าอี้พลาสติก วางดินสอในมือลง ก่อนจะก้าวเข้ามาทักทาย โดยทิ้งระยะไม่ถึงหนึ่งช่วงแขนด้วยซ้ำ
“ว่าไงตัวเล็ก คิดถึงพี่เหรอ แต่ก็เพิ่งแยกกันเมื่อเช้านี้เองนี่นา...หรือว่าคิดถึงพี่จนทนไม่ไหว”
ดนตร์ทำหน้าปั้นยาก แสงสีส้มจากดวงไฟคล้ายกับจะกลายเป็นสีเทาลงในพริบตา เขารู้สึกถึงไอเย็นประหลาดที่ลากผ่านแนวกระดูกสันหลัง ที่หัวไหล่รับรู้ถึงแรงบีบที่มากกว่าเดิม ขณะเดียวกันสายตาจากอีกคนก็คล้ายกับจะเผาเขาให้มอดไหม้เสียตรงนี้
“ฉันว่าแกคิดเข้าข้างตัวเองไปหน่อยว่ะ” ธาวินตอบแทนคนถูกถาม
อริญชย์ยกยิ้ม ยกมือขึ้นแตะบนผิวแก้มอ่อนใสแผ่วเบา ปลายนิ้วหัวแม่มือเกลี่ยไล้บนผิวนุ่ม “รูปนั้นยังไม่ชัดเจนพออีกเหรอวะ หรือจะต้องให้บอกว่าเมื่อคืนฉันกับน้องเพลงเรา...”
ตึง!
เก้าอี้พลาสติกล้มลงกระแทกพื้น ทุกคนหันไปมองต้นตอด้วยความตกใจ กรณ์ลุกขึ้นยืน ดวงตาคมขุ่นจัด ภาพร่างที่ยังไม่เสร็จถูกละทิ้ง เมื่อเจ้าของทิ้งดินสอลง หมดอารมณ์ที่จะทำต่อ มือหนาสอดลงกระเป๋ากางเกง ดวงตาดุดันจ้องมองไปยังร่างของเด็กหนุ่มที่อยู่ท่ามกลางเพื่อนรักทั้งสอง
...คิดจะลองดีสินะ...
“ยาหยี เมื่อกี้คุณบ่นว่าอยากได้คอเล็คชั่นใหม่ของจีวองชี่ใช่ไหม ผมว่างแล้วเราจะไปกันเลยไหม”
“ว่างแล้วเหรอคะ ไหนว่าต้องรีบ...”
“สำหรับคุณผมมีเวลาให้ตลอด รีบๆ หน่อยก็ดีผมได้กลิ่นคาว เหม็นจะอ้วก”
โยษิตาทำหน้างงๆ เพราะไม่ได้กลิ่นคาวอย่างที่กรณ์พูด แต่ก็เพราะอารามดีใจเลยเลือกที่จะไม่ใส่ใจ ร่างบางโถมเข้าใส่คนรัก เอียงใบหน้าซบกับท่อนแขนกำยำ ก่อนจะเขย่งปลายเท้าจูบเบาๆ ที่ข้างแก้มสากเป็นการขอบคุณในความรู้ใจ
กรณ์อมยิ้ม ทว่าดวงตาไม่ได้ละจากดวงหน้าขาว ดวงตากลมช้อนขึ้นมาประสานสายตา เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ก่อนที่มันจะเสมองไปทางอื่น ชายหนุ่มสอดมือรั้งเอวคอดเล็กของคนรักเอาไว้ ก่อนจะกดริมฝีปากบนกลุ่มผมสีน้ำตาลทองของเธอเบาๆ ทุกพฤติกรรมเขาจงใจทำให้มันเชื่องช้าอ้อยอิ่งเพราะต้องการให้คนตรงหน้าเห็นชัดๆ ริมฝีปากหยักหนากำลังจะคลี่ยิ้มเหยียดด้วยคิดว่าตัวเองกำลังจะมีชัย แต่แล้วรอยยิ้มก็จางหายลงอย่างรวดเร็วเมื่ออีกฝ่ายทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง
ดนตร์ยกมือขึ้นสอดรอบเอวสอบของคนที่อยู่ใกล้ที่สุด ก่อนจะแนบใบหน้าลงไปบนอกแกร่ง กลิ่นเมนทอลเจือด้วยกลิ่นคล้ายผลไม้สุกโอบล้อมรอบตัว ดวงตากลมช้อนมองเจ้าของแผงอกกว้าง ริมฝีปากจิ้มลิ้มเอ่ยคำน่ารักชวนให้คนฟังใจเต้นสั่นไหว
“พี่รันฮะ บ้านพี่สวยจังเลย ไว้คืนนี้พี่พาผมไปอีกนะฮะ”
**************************************
อีพี่กรณ์นี่พระเอกนิยายไทยจริงๆ ค่ะ เอิ๊กกกกกก
ส่วนหนูเพลง พย๊ายามพยายามจะเข็นให้แมนกว่านี้ แต่มันทำย๊ากยาก เพราะส่วนตัวชอบเสพนิยายโบาณ ตัวละครเลยออกมาโบราณเหมือนละครหลังข่าวไปหน่อย
เอาไว้แก้ตัวเรื่องหน้าเนาะ