[ต่อ]อาการร้อนรนทนเห็นมาตะถูกบุคคลลึกลับฟาดฟันทวนเล่มยาวใส่แคล่วคล่อง เจ้าของดาบทองทำทีแต่เพียงยกปัดออกจากตัวกระนั้น ทำให้พจน์ร้อนใจเกรงคนรักจะได้รับอันตราย มองไปที่ใดก็ไม่เห็นหนทางขอความช่วยเหลือได้ ซ้ำจะเข้าไปช่วยมือเปล่าก็ลังเลไม่สมคะเน หวั่นเป็นภาระหนักทำให้มาตะระแวดระวังต้านทานไม่สมกำลัง นึกคิดอยากมีอาวุธสักอย่างหนึ่งเช่นดาบ หรือ ทวน หมายเข้าช่วยจู่โจมนำประจันกับคนนับสิบซึ่งกลุ้มรุมโรมรันพันตูกันชุลมุนอยู่
เพียงสิ้นความนึกคิดก็ปรากฏทวนเล่มยาวสีเงินตลอดคมแหลม แลสลักลายนูนสิงหนาทตลอดด้ามถือผุดขึ้นในมือขวาของพจน์ ประดับพู่ห้อยระหงขาวพิสุทธิ์ เป็นที่มหัศจรรย์แก่ใจอย่างยิ่ง ระหว่างนั้นเหลียวดูมาตะใกล้พลาดท่าเสียทีตนไม่เห็นหนทางอื่นจึงขว้างทวนในกำมือเข้าขัดขวาง และยิ่งกว่ามหัศจรรย์ในฝีไม้ลายมือ ทวนสีเงินพุ่งสกัดได้ถูกต้องเหมือนจับวางทำให้อาวุธของอีกฝ่ายร่วงหล่นสู่พื้นในทันใด แล้วหมุนคว้างกลับมาสู่มือราวกับมุมเมอแรง พจน์รีบคว้าด้ามไว้ บุ่มบ่ามก้าวเข้าหามาตะตั้งใจจะช่วยเป็นกำลังอีกแรงหนึ่ง
“ภัทรพจน์ เจ้านำทวนเทวามาจากที่ใด ฤา” มาตะละมือจากการต่อสู้เช่นเดียวกับเวฬุและโกสินทร์ ทุกคนต่างตื่นตกใจในสาเหตุที่ทำให้อาวุธคู่กายของนายกองเกราะทองถูกปลดง่ายดาย ราวกับใบไม้ปลิดขั้วร่วงหล่นลงพื้น
“ทวนเทวา อย่างงั้นเหรอ”
“ถูกแล้ว อาวุธที่น้องท่านถืออยู่ คือ
ทวนอัศวาราตรีกาล อย่างไรเล่า” มาตะเฉลยให้พจน์คลายสงสัย
ทวนอัศวาราตรีกาล พจน์รำพันในใจ ทวนเทวาที่กำลังตามหาอยู่เพื่อนำไปช่วยอาธนพล บัดนี้มาอยู่ในกำมือพจน์ได้อย่างอัศจรรย์ใจยิ่ง
“ไม่รู้ อยู่ๆก็ผุดขึ้นมาในมือ” พจน์เกาหลังคอ สีหน้าสับสนทำให้มาตะไม่หายจากความแคลงใจสงสัย
กฤษณะและพรรคพวกต่างเฝ้ามองเหตุการณ์เบื้องหน้าไม่ไหวติงเสมือนกาลเวลาหยุดนิ่ง
“แปลกประหลาดนัก ทวนอัศวาราตรีกาลเล่มนี้เป็นสมบัติของพี่ชายเจ้าถือครองอยู่ แลบัดนี้มาอยู่ในกำมือคู่พิสวาสของเจ้าได้นี้ ข้าอับจนความคิดนัก” เวฬุกล่าว โกสินทร์ยังคงตั้งท่าคุมเชิงมิให้ทหารเกราะทองกระทำจู่โจมลับหลังได้
มาตะลูบคลำทวนจนแน่แก่ใจว่ามิผิดจากของจริงแท้จึ่งไม่ได้กล่าวอันใดอีก
“น้องท่าน โปรดถอยห่างจากลานวิวาทก่อนเถิด บัดเดี๋ยวจักพลัดหลงโดนคมอาวุธให้ต้องเนื้อนวล แลข้าจักพะวักพะวนห่วงหน้าพะวงหลังจนมิอาจรับอาวุธได้เต็มกำลัง” พยักหน้าให้พจน์ยอมถอย
“นายมีแค่สามคนจะชกต่อยกับคนเป็นสิบได้ยังไง เดี๋ยวเราจะช่วยเอง” พจน์กระชับทวนเทวาตั้งท่าได้กระฉับกระเฉงทั้งที่ไม่เคยฝึกปรืออาวุธประเภทนี้มาก่อน
“น้องท่านเปรียบดั่งดวงใจของมาตะ ชะรอยหากถูกคมหอกคมทวนต้องผิวกายเพียงนิด หัวใจมาตะก็เจ็บแปลบประหนึ่งถูกเฉือนทิ้ง เชิญน้องท่านช่วยทำคุณพาใจข้าหลบจากที่อันตรายแห่งนี้เสียก่อนเถิด” มาตะส่งสายตาเว้าวอน
พจน์มีน้ำใจแฝงท่าทีตั้งมั่นวิริยะจะเข้าช่วยให้ได้ ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนจับจ้องแต่หน้านายกองเกราะทอง
“บุรุษผู้นี่น่ะหรือ”
กฤษณะเอ่ยแทรก ใช้สองมือถอดเกราะครอบศีรษะออก เผยให้เห็นเด็กหนุ่มวัยเดียวกับพจน์ มาตะและสหาย ใบหน้ายาวแหลม จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง รวมถึงคิ้วเข้ม ดวงตาคมดุจเหยี่ยวนั้นคล้ายคลึงไอ้นิธิราวกับเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน หนวดเคราเหนือริมฝีปากทำให้กฤษณะดูเป็นผู้ใหญ่กว่าทุกผู้คน เจ้านั่นก้มลงคว้าทวนคู่กายถือไว้อีกข้าง ดวงตาเหยี่ยวนั้นจับจ้องพจน์ไม่ให้หลุดเลือน
“คือคนที่เจ้าพามาสู่ ณ สำนักเรือนพักแห่งนี้”
มาตะยืดกายเผชิญหน้า คิ้วขมวดแน่น สลับเขม้นมองพจน์กับกฤษณะด้วยสีหน้าเครียด
“หาใช่กิจอันใดของพี่ท่าน แต่เหตุวิวาทนี้จงระงับยับยั้งเถิด รังแต่จะสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่ทรัพย์สินของแม่ป้าท่าน” มาตะดึงพจน์ให้หลบอยู่แผ่นหลังกว้าง
“ฮ่าๆ” กฤษณะหัวเราะลำพอง หยั่งเห็นกิริยาหวงของ สะกดให้อารมณ์ดีฉับพลัน ทั้งที่เมื่อครู่โกรธแค้นประหนึ่งถูกเพลิงเผา แล้วเสร็จก็ควักถุงผ้าหย่อนไปทางซึ่งนางแดงล้มเป็นลมอยู่ ข้าทาสวิ่งวนคว้าทองคำซึ่งหล่นเกลื่อนพื้นมากอบกำไว้
“เป็นความด่วนได้ใจร้อนของข้าเองที่กระทำอุกอาจสร้างความเสียหายแก่โรงสุราท่าน สิ่งนี้จึ่งเป็นทองเล็กน้อยซึ่งน่าจะทดแทนกันแลกันได้” กฤษณะน้อมก้ม กิริยาอาการเปลี่ยนแปลงเป็นนอบน้อมราวกับคนละคน
“หากพี่ท่านรู้การฉะนี้ ข้าก็ขอขอบน้ำใจนัก รอยแผลซึ่งท่านและสหายข้าต่างฝ่ายต่างฝากรอยกันไว้ให้ถือเป็นสัญลักษณ์การฝึกปรือในอาวุธ อันจะเป็นคุณประเสริฐแก่แผ่นดินในภายหน้า โปรดอย่าได้ถือสาหาความต่อกันอีก” มาตะเจรจาไกล่เกลี่ย
สีหน้าเรียบเฉยของกฤษณะพร้อมด้วยดวงตานิ่งสนิทว่างเปล่า ที่พจน์เผลอสบเข้าคราใดก็ให้ความรู้สึกลึกล้ำสุดคาดเดา
“วานเจ้ากลับสู่ห้องหับนับสำราญแต่แรกเริ่มเดิมทีเถิด ข้าเวฬุผู้นี้จักนำพา มาตะ จงอย่าได้พะวักพะวนเป็นห่วง”
เวฬุสังเกตอาการกฤษณะซึ่งลอบมองพจน์ดั่งนั้นจึงออกปาก เมื่อเห็นเพื่อนรูปงามพยักหน้าจึ่งเชื้อเชิญ พจน์เห็นว่าการวิวาทคงยุติแน่แล้วกลับใจยอมทำตาม
“ข้ายังมิรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าเลย” กฤษณะตะโกนถาม “โปรดแจ้งนามอันประเสริฐของท่านให้ข้าได้ยินสักคราเถิด”
ไม่แน่ใจว่านั่นคือคำถามสำหรับพจน์หรือเปล่าจึงหยุดยั้งรั้งรอเพียงครู่
“นามของผู้สามารถปลดทวนจากมือได้นั้น เป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับขุนทหารผู้ชาญณรงค์” กฤษณะยังคงพูดต่อ “ก็แหละการต่อยุทธกันแลกันนั้น คราใดถูกฝากรอยแผลหนึ่ง ถูกตัดพู่ทวนหนึ่ง แลถูกปลดทวนจากฝ่ามืออีกหนึ่งนี้ จักเป็นขวัญกำลังใจแก่ขุนทหารคู่ศึกในภายภาคหน้าให้ฝึกปรือฝึกซ้อม ย่อมปรารถนาชื่อแลนามของคนผู้กระทำโดยสิ้น หากท่านประสงค์ให้กฤษณะนี้มีกำลังแรงกายหมายหมั่นฝึกฝนมิยินยอมให้ผู้ใดปลดทวนจากมือตนได้อีกแล้ว วานเจ้าจงแจ้งนามนั้นให้เป็นแรงซ้อมด้วยเถิด”
“อย่าได้สนใจเลยเจ้า รีบกลับคืนห้องเถิด” เวฬุกระซิบบอก
“หากท่านมิยินยอมบอกนาม กฤษณะก็จักขอคุกเข่าอยู่เช่นนี้ไม่ไปไหน” ว่าเสร็จก็ทรุดกายแนบเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นดิน เหล่าทหารในสังกัดเห็นนายตัวกระทำดั่งนั้นจึ่งปฏิบัติตามโดยพร้อม พจน์เห็นท่าทีลุกะโทษแล้วก็พลันเกิดความรู้สึกเห็นใจ กัดฟันตอบไปว่า
“
ภัทรพจน์”
สีหน้ายินดีในคำตอบทำให้กฤษณะอดวาดรอยยิ้มมิได้
มาตะส่งประกายกล้าสบตาคู่ตนแต่ไม่เอ่ยคำพูดใด พจน์กำทวนเทวาเดินตามเจ้าเวฬุกลับห้องหลังเดิม
“เจ้ามิควรฝากนามแก่คนผู้นั้น” เวฬุเติมน้ำมันตะเกียงพลางกล่าว
“ทำไมล่ะ แค่บอกชื่อเอง แล้วอีกอย่างเรื่องจะได้จบๆกันไปเสียที”
“หากเป็นในวาระอื่นแลบุคคลนั้นมิได้มีเจตนาแอบแฝงก็ย่อมจักชอบอยู่” เวฬุถอนหายใจ “แต่นายกองเกราะทองมองเพียงปราดเดียวก็รู้แจ้งว่า หมายปองแลหมายตาเจ้าฉะนี้ การแจ้งนามย่อมหมายถึงเจ้ายินยอมให้คนผู้นั้นทำตามประสงค์แก่ใจตัวได้”
“อะไรนะ นายนั่นน่ะเหรอ คิดอะไรกับเรา” สุดประหลาดใจ
“เจ้ารูปงาม แลกิริยาอาการน่าเอ็นดู เพียงแรกพบสบตาย่อมสร้างอารมณ์สั่นสะเทือนหวั่นใจแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่งดั่งนี้ มีหรือที่กฤษะพี่ท่านจะมิวาบหวาบใจตาม” เด็กหนุ่มร่างอวบชี้แนะ
“เราไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น จะทำยังไงดี” นึกห่วงความรู้สึกของมาตะขึ้นมาทันที
“เจ้ามีมาตะเป็นดั่งเกราะทองคุ้มภัยแล้ว จงอย่าได้ปริวิตก” เวฬุคลายสีหน้าเครียด “การณ์อันภายหน้าจักเป็นเช่นไรนั้นยากเกินคาดเดา แต่ความจริงใจของเจ้ามีแก่มาตะสหายเรานั้น ยังจะคงหนักแน่อยู่หรือ”
พจน์พยักหน้ารับ ไม่ต้องคิดให้มากความ
“ใช่แน่นอน”
“น้ำคำเจ้า แม้มาตะมาได้ยินคงชื่นอุราเป็นหนักหนา ข้าเองเป็นแต่เพียงสหายรักยังจักปริ่มอกดั่งนี้แล้ว ค่อยหายหวาดต่อสิ่งในห้วงคิดคำนึงนึก หากใจเจ้าแข็งแกร่งยึดมั่นดั่งหินผานิลกาฬตามคำซื่อ มาตะน้องเราจึ่งนับเป็นบุรุษผู้สุขล้นยิ่งในพิภพ”
มาตะเปิดประตูพรวดเข้ามาพร้อมโกสินทร์ เวฬุลุกจากตั่งแล้วยืนขึ้น สีหน้าเครียดนั้นบ่งบอกอารมณ์ของหนุ่มรูปงาม แววตาคมจับจ้องแต่ใบหน้าพจน์
“ข้าแลโกสินทร์จักคอยเฝ้าแหนอยู่หน้าห้องระวังภัย” เวฬุคว้าไหล่เด็กหนุ่มผิวเข้มสูงใหญ่ให้ละสายตาแดงไปจากพจน์
เมื่อเหลือเพียงคนทั้งสองมาตะจึ่งทรุดกายลงข้างเคียง
“นายไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม มาตะ” พจน์สำรวจหารอยแผล แต่เพียงริ้วรอยบาดเจ็บเพียงนิดก็หามีไม่ มาตะทอดถอนใจ แล้วหันมาจดจ้องพจน์อีกครั้ง
“บัดนี้น้องท่านได้ทวนอัศวาราตรีกาลมาถือครองแล้ว อาวุธซึ่งจักช่วยชุบชีวิตญาติกาน้องท่านให้กลับคืนดั่งคำกลอน โปรดจงรักษาดูแลประหนึ่งตัวมาตะอยู่เคียงข้างเจ้า”
พจน์ก้มมองทวนเทวาสีเงินในกำมือที่ปรากฏขึ้นมาหาตนได้ตามใจนึกปรารถนา
“ได้สิ”
“ทวนอัศวาราตรีกาลเป็นอาวุธคู่แผ่นดิน คือสมบัติซึ่งสนองคุณมหาอาณาจักรของชาวเรามาช้านาน นำออกรบทัพจับศึกนับครั้งไม่ถ้วน ล้วนลิ้มเลือดศัตรูมานักต่อนัก การมาสู่มือน้องท่านโดยอัศจรรย์นี้เป็นที่พิศวงแก่ใจข้า แม้นมิอาจหาคำตอบได้ แต่อาวุธทวนเทวามิเคยปรากฏว่าจักละจากมือผู้ถือครองมาสู่ผู้อื่นโดยมิมีสาเหตุ”
ทวนสีเงินสว่างวาบดุจแสงเดือน
“ด้วยเหตุเภทภัยซึ่งน้องเราประสบอยู่นี้คงจักทราบถึงทวนทรงฤทธิ์ จึ่งบันดาลมาสู่มือน้องท่านโดยมิพักต้องตามหา”
“ข้าตรองดูแล้ว เวลาซึ่งน้องท่านจักอยู่กับข้าคงเหลืออีกเพียงไม่นานแล้ว นั่นทำให้หัวอกของมาตะร้าวรานนัก” มาตะประคองหลังมือพจน์ขึ้นจูบสลับไปมา “บัดนี้พ้นยามสองแล้ว หากสิ้นมัชฉิมยามจักเสียพิธีการทำลายมนตราทมิฬ เมื่อคิดดั่งนี้อดทำให้ข้าวาบหวิวในห้วงหัวใจมิได้”
“เวลาซึ่งเราสองจักครองอยู่ด้วยกันช่างสั้นประดุจเทียนหนึ่งเล่ม เมื่อจุดไฟแลแสงเพลิงใช้ไส้เทียนจนหมดแล้วจึ่งสิ้นสุดเวลาพบเจอ”
“นายรู้หรือ....ว่าเรา....ไม่ได้อยู่พิภพนี้” พจน์ถามกลับ
“มีคำหนึ่งที่พระอาจารย์โกสินธพกล่าวกับข้าหลังคำปรึกษาสิ้นสุด”
ดวงตาสั่นไหวทำให้พจน์เจ็บปวดใจเหลือคณานับ ยกมือสัมผัสใบหน้าเศร้าให้คลายโศก มาตะจูบหน้าผากพจน์สูดกลิ่นหอมไว้ประทับทรวงเป็นครั้งสุดท้าย
“คู่ ใจเจ้าอยู่ไกลในพิภพ
ครอง บรรจบจิตมั่นอย่าหวั่นไหว
มา พบจากสิ้นวันผันเปลี่ยนไป
ตะ วันลับคืนไพรหวนกลับมา”
มือพจน์คว้าตัวเจ้าคนล่ำสันเข้าโอบกอดโดยพลัน เมื่อสิ้นสุดคำกลอนของพระอาจารย์ผู้นั้น พจน์ไม่อาจห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลได้ จิตใจของมาตะเจ็บปวดแค่ไหนบัดนี้พจน์รับรู้หมดสิ้นแล้ว หากเป็นตัวพจน์เองที่รู้ว่ามาตะต้องจากตัวไปไม่ได้อยู่เคียงข้างกันทุกวันเช่นนี้ ก็ให้รู้สึกเจ็บหัวอกทรมานจนพาลให้น้ำตาไหล
“ขอโทษ ขอโทษ” พจน์พร่ำบอก หลับตาเพื่อปิดกลั้นหยดน้ำ มาตะยกมือลูบหลังพจน์แผ่วเบา
“โปรดอย่าครวญคร่ำเลยเจ้า ข้าเข้าใจถ่องแท้โดยดีแล้ว”
“ขอโทษจริงๆ มาตะ เราขอโทษนายด้วย”
พจน์ไม่อาจรู้ได้ว่าวันเวลาซึ่งตนจะข้ามพิภพกลับไปแลมาหาคือเมื่อใดอีก คำขอโทษพรั่งพรูพร้อมหยดน้ำตาหลั่งริน สิ่งใดหนอถึงเล่นตลกกับความรักความรู้สึกของพจน์กับเจ้ามาตะเช่นนี้
ลมหนาวประดุจน้ำเย็นยะเยือกไหลผ่านตัวพจน์รวดเร็วดั่งสายฝนสาดใส่ ทำให้พจน์ต้องกลั้นใจลืมตา และทันทีที่เห็นสิ่งที่ปรากฏสู่คลองจักษุก็พาลให้น้ำตาพจน์ไม่อาจหยุดยั้งได้ ร่างสั่นวะวาบเพราะความเศร้าสุดแสนสะเทือนใจ
“ไอ้พจน์ มึงเป็นอะไรหรือเปล่า อยู่ๆก็มากอดกู”
เสียงไอ้กันซึ่งพจน์จำได้ดีกระซิบข้างกกหู เด็กหนุ่มยังคงโอบกอดนิธิอยู่เช่นนั้น เรือนพักแรมของนางแดงแปรเปลี่ยนเป็นห้องพักคนไข้โดยฉับพลัน มือขวาของพจน์ยังคงกำทวนอัศวาราตรีกาลแน่น แต่หัวใจปวดร้าวทรมานเหลือเกิน ในเมื่อทวนเทวายังสามารถติดตามพจน์มาสู่โลกปัจจุบันได้ แล้วเหตุใดหัวใจของพจน์ถึงไม่อาจนำกลับติดตัวมาด้วยได้
100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป