พิมพ์หน้านี้ - [แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 24-10-2015 12:40:52

หัวข้อ: [แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 24-10-2015 12:40:52
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



เปิด Pre-order นิยาย #มาตะวัน (ภาคต่อ "ข้ามพิภพ")

(https://sv1.picz.in.th/images/2021/08/02/2xSo4l.png)

รายละเอียดหน้า 16 >>> คลิก (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg4058868#msg4058868)

                   
Facebook fanpage (https://www.facebook.com/Teansakorn) / Twitter (https://twitter.com/khamphiphob)


CONTACT ME / ติดต่อนักเขียน
FB : เธียรศกร
Twitter : @khamphiphob


ผลงานที่ผ่านมา
มาตะวัน (https://www.readawrite.com/a/71708681fbf2b8eb8a3fabb510fa1667)
คืนฤดูร้อนที่ยาวนาน (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70843.msg3999175#msg3999175)
ปรมาจารย์ลัทธิเมีย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70943.msg4003752#msg4003752)


สารบัญ

บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3211739#msg3211739)
บทที่ ๑ สัญญาณเตือนภัย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3212464#msg3212464)
บทที่ ๒ แรกพบ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3213423#msg3213423)
บทที่ ๓ เด็กใหม่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3215168#msg3215168)
บทที่ ๔ ปริศนาโคลงกลอน (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3219569#msg3219569) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3220455#msg3220455)
บทที่ ๕ นิมิตฝัน ฤา จริงแท้ (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3223194#msg3223194) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3224730#msg3224730)
บทที่ ๖ หายนะภัย (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3226597#msg3226597) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3228283#msg3228283)
บทที่ ๗ คิดถึงคะนึงหา (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3231719#msg3231719) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3233273#msg3233273)
บทที่ ๘ ไฟราคะ (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3237398#msg3237398) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3240143#msg3240143)
บทที่ ๙ ภวังค์ตัณหา (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3243842#msg3243842) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3246736#msg3246736)
บทที่ ๑๐ จุมพิตสีเลือด (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3251487#msg3251487) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3254377#msg3254377)
บทที่ ๑๑ ภัยซ่อนเร้น (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3256994#msg3256994) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3261824#msg3261824)
บทที่ ๑๒ เล่ห์รักกลกลอน (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3264778#msg3264778) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3267034#msg3267034)
บทที่ ๑๓ รสกามารมณ์ (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3269657#msg3269657) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3272587#msg3272587)
บทที่ ๑๔ ทวนอัศวาราตรีกาล (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3275018#msg3275018) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3277607#msg3277607)
บทที่ ๑๕ มนตราลีลาทมิฬ (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3281157#msg3281157) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3284406#msg3284406)
บทที่ ๑๖ อนันตวัชรมรกต (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3287945#msg3287945) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3290958#msg3290958)
บทที่ ๑๗ เพลิงสิเน่หา (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3297591#msg3297591) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3311180#msg3311180)
บทที่ ๑๘ นารีพิฆาต (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3316902#msg3316902) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3319233#msg3319233)
บทที่ ๑๙ โคลงพยากรณ์ (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3327107#msg3327107) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3335703#msg3335703)
บทที่ ๒๐ คำหวานครวญ (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3347169#msg3347169) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3360964#msg3360964)
บทที่ ๒๑ สุริยะพจน์ (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3367199#msg3367199) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3371877#msg3371877)
บทที่ ๒๒ มหาราชภัย (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3375491#msg3375491) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3379665#msg3379665)
บทที่ ๒๓ รักต้องห้าม (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3384445#msg3384445) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3387441#msg3387441)
บทที่ ๒๔ เพื่อนรักทาสภักดี (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3391903#msg3391903) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3395385#msg3395385)
บทที่ ๒๕ มาตะวันพันชะตา (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3398246#msg3398246) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3401088#msg3401088)
บทที่ ๒๖ ตรีทินกรศศิธรทวิดวง (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3403380#msg3403380) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3406475#msg3406475)
บทที่ ๒๗ น้ำตาสายโลหิต (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3408618#msg3408618) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3410767#msg3410767)
บทที่ ๒๘ ไพลินนิลสี พัชรพีนิลกาฬ (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3413007#msg3413007) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3415876#msg3415876)
บทที่ ๒๙ พิรุณวิปโยค (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3418165#msg3418165) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3421356#msg3421356)
บทที่ ๓๐ อุบายพิศวาส (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3423640#msg3423640) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3426226#msg3426226)
บทที่ ๓๑ บาทบริจาริกา (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3428997#msg3428997) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3432249#msg3432249)
บทที่ ๓๒ อาถรรพณ์พระเวท (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3434785#msg3434785) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3437959#msg3437959)
บทที่ ๓๓ ดวงเนตรสีชาด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3440379#msg3440379)
บทที่ ๓๔ มัจจุราชยาตรา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3444793#msg3444793)
บทที่ ๓๕ อุปราชาต้องคมทวน (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3448146#msg3448146) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3451973#msg3451973)
บทที่ ๓๖ ภูเตศวรอวตารพชระเทพ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3456418#msg3456418)
บทที่ ๓๗ เสพรักพิษนาคา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3460026#msg3460026)
บทที่ ๓๘ กฤษณาทวงรัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3465023#msg3465023)
บทที่ ๓๙ พระอัครราชเทวี (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3470608#msg3470608)
บทที่ ๔๐ จากลาลาลิ่วล้ำลอยจาก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3475910#msg3475910)
บทที่ ๔๑ หนังสือปกแดง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3479963#msg3479963)
บทที่ ๔๒ ปักษาวายุภักษ์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3485710#msg3485710)
บทที่ ๔๓ ดาบกนกกาญจน์ราญอริราช (ตอน๑) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3489376#msg3489376) (ตอน๒) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3500031#msg3500031)
บทที่ ๔๔ มหาภัยพิบัติ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3500680#msg3500680)
บทที่ ๔๕ สินะกาวี (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3503124#msg3503124)
บทส่งท้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3503820#msg3503820)


หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทนำ (๒๔/๑๐/๕๘)
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 24-10-2015 13:12:36
บทนำ




เบื้องบรรพกาลอันเก่าแก่ ปรากฏผืนดินเก้าอนุทวีปรวมเป็นปฐมทวีปของพิภพ มหาทวีปหนึ่งเดียวแห่งนั้นกว้างใหญ่มากกว่าครึ่งของดาวเคราะห์ดวงนี้ เต็มเปี่ยมด้วยสรรพชีวิตที่มิอาจจินตนาการได้ หามีผู้ใดล่วงรู้การถือกำเนิด แต่ก็มีเรื่องราวบอกกล่าวกันว่า ผืนแผ่นดินแห่งพิภพถูกโอบอุ้มดูแลด้วยอำนาจวิเศษ แลพลังมนตราที่สิ่งมีชีวิตธรรมดาหามีไม่ จนปักใจเชื่อกันว่า ผู้มีพลังมนตราสูงสุดนั้นเป็นผู้สร้างเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว

คลื่นน้ำมหาสมุทรพุ่งหาผืนดินเบื้องหน้าราวกับปรารถนาบางสิ่งซึ่งล้ำค่ายิ่ง ณ ผืนพิภพ เล่าขานกันว่า ณ ห้วงเวลาหนึ่งได้บังเกิดสิ่งสำคัญสูงค่ายิ่งเก้าประการ เป็นยิ่งกว่าดวงมาลย์ของสรรพชีวิตสูงส่งที่สุด เป็นยิ่งกว่าทองคำอันเลอค่า เป็นยิ่งกว่าลมหายใจของทุกสิ่งบนมหาพิภพนี้ และมันเป็นยิ่งกว่าความอมตะ เก้าเผ่าพันธุ์ต่างได้ครอบครองสิ่งลึกล้ำอันเป็นตำนาน มันเป็นเสมือนมหาสมบัติของอาณาจักรที่ได้รับมาจากผู้ทรงสร้าง ทุกแว่นแคว้นแลทุกอนุทวีปต่างอยู่ร่มเย็นเป็นสุขสืบมา
 
หากทว่าความต้องการของสิ่งมีชีวิตไม่มีสิ้นสุด ยามบางเผ่าพันธุ์ต้องการครอบครองสิ่งสูงค่ามากกว่าหนึ่ง มันเคลื่อนไหวสืบหา ทำสงครามแย่งชิง พลิกผืนปฐพีทั้งมวลให้แหลกสลายเป็นเพลิงไฟ ความเงียบสงบลับหายจากดินแดนนี้นับจากนั้น วันเวลาล่วงเลย สิ่งล้ำค่าเปลี่ยนมือจากผู้ครอบครองหนึ่งสู่อีกผู้ที่ทรงอำนาจกว่า เป็นวงจรเฉกเช่นนี้ไม่มีจบสิ้น

ในที่สุดตำนานแห่งสงครามบรรพกาลอันยาวนานได้ถูกลบเลือน สิ่งสูงค่าทั้งหมดหายสาบสูญ ทุกเผ่าพันธุ์ต่างหมดสิ้นความหวัง ขุนเขาแลผืนป่ากลับคืนความสงบอีกครั้งนานนับพันปี จวบกระทั่งอาณาจักรโบราณแห่งหนึ่ง ผู้สืบเผ่าพันธุ์นามว่า มนุษย์ ได้ค้นพบสิ่งสูงค่าในตำนานอันเก่าแก่อีกครา เรื่องราวการค้นพบหนนี้กระจายสู่ทุกมหาอาณาจักรราวกับลมพายุจากทิศตะวันตก เมื่อนั้นบางสิ่งในจิตใจที่ไร้แสงสว่างก็ปรากฏชัดเจนยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา มันครอบงำทุกความคิดของทุกชีวิตได้ดีเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่เผ่าพันธุ์ผู้ค้นพบนั้นก็มิอาจละเว้น นับจากนี้มหาพิภพจะไม่มีวันหวนคืนสู่ดั่งเช่นบรรพกาลได้อีก
 
โชคร้ายเป็นอย่างยิ่ง ความโฉดชั่วซึ่งไม่เคยมีใครคาดคิดอุบัติตัวตนขึ้น เผ่าพันธุ์ผู้สาบสูญพร้อมสิ่งล้ำค่าได้สำแดงพลังอำนาจแห่งความชั่วร้ายอีกครั้ง พวกมันได้กลิ่นของสำคัญ สิ่งล้ำค่าที่มันปรารถนายิ่ง และสิ่งนี้จะทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจได้ครอบครองมหาพิภพอีกครั้ง ดั่งโคลงกลอนสืบทอดมาจากอดีตกาล
         
             ครอบครองเพียงหนึ่งสร้าง      แสนพล พ่ายเอย
      ทุกเผ่าพันธุ์สืบค้น                             ยิ่งแล้ว
      บุรุษใดได้ยล                                     ล้ำค่า เก้าแก้ว
      ‘ชายเหนือชาย’เพริศแพร้ว                อยู่ยั้งยืนยง

         
เพลิงมหาสงครามแผ่ขยายสู่ทุกทิศทางและจะไม่มีวันหยุดยั้ง จะไม่มีวันสิ้นสุด แม้แต่ผู้ทรงพลังอำนาจมากที่สุดเหนือมหาพิภพก็มิอาจขวางกั้น เมื่อความดีและความชั่วร้ายยังมีอยู่ จนกว่าจะมีฝ่ายใดสูญสลาย
   
หนึ่งศตวรรษนับแต่เผ่าพันธุ์มนุษย์ค้นพบสิ่งล้ำค่า

ควันไฟแห่งสงครามยังคงลอยปกคลุมคุกรุ่นเหนือผืนดินโล่งกว้าง บดบังแสงสว่างปัจจุบันสมัยจนมืดมิด การสู้รบยังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง ใกล้จะถึงจุดจบอีกในมิช้า ลมบูรพาทิศพัดผ่านเหมือนหนึ่งพยายามยุติการนองเลือด
 
เสียงดาบเหล็กปะทะดาบเงินดังสะท้อนตามพงไพรและหุบเขาสูงใหญ่ มนุษย์ในชุดเกราะสีเงินและทองล้มตายจำนวนมาก เมื่อสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดภายใต้เสื้อเกราะเหล็ก ใบหน้าเหี้ยมโหด ตัวสูงใหญ่กว่ามนุษย์ถึงสองเท่าพุ่งเข้าสังหาร กระแทกนักรบมนุษย์ล้มลงและทำการปลิดชีพทันทียามโอกาสแห่งพญามัจจุราชมาเยือน มันคำรามกึกก้องเมื่อศพตรงหน้าไร้ศีรษะ สร้างความหวาดหวั่นแก่ทหารชุดเกราะเงินในแนวหลัง แผ่กระจายสู่ทุกทิศทางประหนึ่งก้อนหินหล่นลงกลางผืนน้ำนิ่ง คลื่นความกลัวแทรกซึมลงทุกรูขุมขนของมนุษย์ทุกผู้ในสมรภูมิรบ เสียงร้องอย่างฮึกเหิมดังมาอีกฟากหนึ่งของพงไพร กองกำลังสนับสนุนของนักรบมนุษย์เริ่มกรีธาพลตามยุทธวิธี แต่ฝ่ายศัตรูหาได้เกรงขามไม่

“ฆ่ามัน อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว ข้าอยากเห็นศพไร้วิญญาณของพวกมัน”

ถ้อยคำรามบัญชาของเสนาบดีปีศาจ กายาประกอบด้วยผิวกายสีม่วงคล้ำภายใต้ภูษาดำ สวมเกราะเหล็ก ใบหน้าแปลกประหลาด น่าสยดสยอง ประทับราชรถลากเทียมด้วยสิ่งมีชีวิตคล้ายเสือโคร่งลายขาวดำพาดกลอนสองตัวขนาดผิดต่างปกติ

“บุกเข้าไป หากมันผู้ใดเด็ดหัวมนุษย์ได้มากที่สุด ปีศาจตนนั้นจะได้รับสิ่งตอบแทนอย่างคาดไม่ถึง”

ราวกับคำบัญชาทรงอานุภาพสร้างเสริมพละกำลังเหิมหาญ กองทัพร่างมหึมาวิ่งเข้าห้ำหั่นต่อสู้อย่างไม่เกรงกลัว
 
เพียงชั่ววินาทีนั้นกองทัพปีศาจแถวหน้าสุดก็แหลกสลาย ลูกไฟสีเงินและทองลอยมาจากท้องฟ้าเบื้องบนที่คละคลุ้งเพราะควันไฟ ส่งผลให้แถวนักรบยักษ์ถอยร่นไม่เป็นกระบวน ตื่นตกใจเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข่นฆ่ามนุษย์มานับร้อยนับพัน

บนท้องฟ้ามืดครึ้มผุดร่างเปล่งแสงสว่างจำนวนมากลอยอยู่เหนือกองทัพมนุษย์ เสกลูกไฟพุ่งตรงใส่เหล่าปีศาจจนแตกสลายและสูญสิ้นเป็นควันดำ ในอีกฟากฟ้าหนึ่งปรากฏเงาสีนิลลอยมา ก่อนที่จะเห็นได้ชัดว่าคือสิ่งใด ลูกไฟดำมอดไหม้ก็พุ่งเข้าใส่ร่างแสงสว่างเสมือนลูกธนูนับพัน แสงสว่างหลายร่างดับลง และบัดนี้การต่อสู้บนท้องฟ้าแลผืนดินก็อุบัติขึ้น ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากความตายเท่านั้นที่ปรารถนาให้บังเกิด ณ เวลานี้

ความหนาวเย็นผสมกับเสียงกรีดร้องเจ็บปวดดังระงม ลูกไฟมอดไหม้และลูกไฟสีเงินสลับทองปลิวว่อนอยู่ในอากาศราวกับฝนดาวตก หากแต่สามารถปลิดชีพของศัตรูได้

“จัดกระบวนทัพใหม่ บัดเดี๋ยวนี้” บุรุษผู้นำทัพมนุษย์ร่างสูง กำยำ ในชุดเกราะสีทองส่งเสียงกร้าว ใบหน้าเรียบตึง จมูกคมสัน นัยน์ตาดำขลับกำลังมองดูกองทัพทหารตรงหน้าซึ่งต้านทานคลื่นพละกำลังอันมหาศาลของสัตว์ประหลาดร่างยักษ์อยู่อย่างยากลำบาก ทหารทั้งหมดจัดแถวอย่างเป็นระเบียบโดยเร็วตามคำบัญชา ผืนธงสีแดงปักลายสิงห์ทองคำอยู่ตรงกลางปลิวสะบัดเป็นแนวยาว แววตาของนายทัพบนหลังม้าสีขาวมองแถวทหารนับแสนคน

“ข้าไม่ปรารถนาแลเห็นแววตาอ่อนแอ หรือหวาดกลัวใดๆทั้งสิ้น พวกเจ้าทุกคนเป็นนักรบผู้เก่งกาจของบรรพกษัตราธิราชเจ้า มหาราชทุกพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่และกล้าหาญ”

การสู้รบไกลออกไปอีกร้อยเส้นเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แสงลูกไฟสาดส่องทุกทิศจากฟากฟ้า

“แลบัดนี้ จงทำให้พวกมันรู้ว่า จะไม่มีผืนดินบนมหาพิภพนี้ให้มันได้อยู่อีกต่อไป”

เสียงโห่ร้องฮึกเหิมและเสียงดาบกระทบโล่ดังกระหึ่ม แม่ทัพชุดเกราะสีทองควบม้ามุ่งตรงไปช่วยนักรบกองพลหน้า พร้อมด้วยกองทัพนับแสนที่ส่งเสียงปลุกกำลังใจตามมาด้านหลัง พื้นดินแทบจะสะเทือนเลื่อนลั่นดั่งแผ่นดินจะแตกแยกออก

ปีศาจบนรถลากส่งแววตาแดงก่ำ ส่องสว่างเจิดจ้าด้วยเพลิงแค้นเพ่งมองนักรบปีศาจซึ่งหะนี้ล่าถอยกลับมาจากแนวรบเดิมที่รุกรุดหน้าไปได้มากแล้ว มันพาตัวเองลอยขึ้นสู่เบื้องบนด้วยอำนาจมนตรา ผ้าสีดำปลิวต้องพยับลม รู้สึกชิงชังมนุษย์ตัวเล็กๆเหลือคณานับ มันจัดการเสกปราการล่องหนเบี่ยงเบนลูกไฟสีทองที่พุ่งมาหาตน แต่ความสนใจ ณ ขณะนี้มุ่งหมายยังบุรุษทรงม้าขาวเข้าทำการรบ

หมอกควันสีดำมีมากขึ้นเมื่อนักรบปีศาจผู้ภักดีล้มตายลง
 
ชัยชนะอยู่แค่เอื้อม แต่มิอาจบรรลุจุดมุ่งหมาย

ม้าสีขาวเร่งฝีเท้านำพานักรบผู้เก่งกาจเข้าปะทะดาบดูเปล่งประกาย เฉกเช่นเดียวกับร่างแสงสว่างบนท้องฟ้า ปีศาจตนนั้นรู้ว่าจะต้องทำสิ่งใด

“สหัสสะดา อนันตากานารี”

ปีศาจผิวกายม่วงคล้ำคำรามใส่ความมืดเหนือมหาบรรพต การต่อสู้รอบตัวดูรุนแรงยิ่งกว่าครั้งใดๆ แล้วทันใดฝูงนกดำมหึมาก็บินร่อนจากฟากฟ้าทะมึน พุ่งเข้ารุมเร้านักรบบนพื้นดินทันที พวกมันจิกตี โยนก้อนหินเข้าใส่กองทหาร สร้างความเสียหายและลดกำลังพลของกองทัพมนุษย์ลงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันนั้นพลธนูต่างเหนี่ยวคันศรยิงอาวุธจัดการศัตรูผู้มาใหม่ นกยักษ์สีดำกรีดร้องเสียงบาดลึกจนแสบแก้วหู เมื่อฝูงลูกธนูพุ่งสู่นัยน์ตาสีแดงของมัน นำพาให้นกยักษ์สลายกลายเป็นกลุ่มควันดำ

ความวุ่นวายลดลงเมื่อแถวนักรบมนุษย์เร่งจัดขบวนแลแนวรบคืนดังเก่า นกยักษ์ยากที่จะบินลงต่ำได้อีก มันทำทีส่งเสียงขู่อยู่เบื้องบน ขณะเดียวกันร่างแสงสว่างก็เสกลูกไฟจำนวนมากเข้าสังหารนกปีศาจ พวกมันบินหนีอลหม่าน

ปีศาจผิวม่วงคล้ำกรีดคำเจ็บแค้น มันพิจารณามหาสิงขรยอดสูงแลลับล้นบนก้อนเมฆแล้วแสยะยิ้มน่าเกลียด ดวงตาโมโหโกรธาดั่งเปลวเพลิง ก่อนที่จะพาตนเองบินดิ่งลงสู่พื้นดิน ศัตรูแสงสว่างเข้าขัดขวางแต่แม่ทัพปีศาจก็ฉีกกระชากร่างข้าศึกจนแตกสลาย อุปสรรคเล็กน้อยพวกนี้ ช่างเถิด ละไว้จัดการในภายหลัง มันรู้ว่าจะต้องทำตามแผนการ และจะได้สิ่งใดตอบแทนเมื่อทำการสำเร็จ

นักรบบนม้าสีขาวยังคงกวัดแกว่งดาบเข้าสู้กับปีศาจร่างยักษ์ ความชุลมุนวุ่นวายเกิดขึ้นรอบตัว แต่นายทัพแห่งปีศาจก็เห็นว่าเป้าหมายนั้นอยู่ไหน ช่างน่าเวทนาเหลือเกินกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น เป็นไปอย่างที่คาดเดาเอาไว้ เผ่าพันธุ์มนุษย์จักต้องร่ำไห้ในการสูญเสียครั้งนี้ พวกมันจะต้องเสียศูนย์แลเศร้าโศก บางทีนี่อาจเป็นจุดจบของการต่อสู้ดิ้นรนที่พวกมันกำลังพยายามกระทำอยู่

“ถอยไปนังน่าโง่!” ปีศาจจอมทัพกรีดเสียงใส่เหล่าไพรี ลูกไฟสีทองหลายดวงพุ่งเข้าสกัด ทว่าสะท้อนกลับเพราะเกราะกำบังมนตรา

นักรบหลังม้าขาวดูเหมือนจะรู้สึกตัวแล้วว่ามีบางสิ่งประดังประเดมาทางตน  เขาบังคับม้าคู่ใจให้ตั้งหลัก ถือดาบยึดมั่นคง เงยหน้ามองท้องฟ้า เจ้าปีศาจพุ่งดิ่งลงมาพร้อมด้วยลูกไฟไหม้ในอุ้งมือ

ผู้นำกองทัพมนุษย์ปล่อยความคิดให้หลุดลอยชั่วขณะ เมื่อวินาทีแห่งความตายคืบคลาน เขาคิดถึงคนเพียงคนเดียว ใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏขึ้นในมโนแห่งความคิด รอยยิ้มพิมพ์ใจ ณ วันออกเดินทัพจะไม่มีวันเลือนหายจากใจของเขาชั่วนิจนิรันดร์
 
แม่ทัพปีศาจยิ้มอย่างผู้กำชัยชนะ และในระยะประชิดกระนี้ มันรู้ว่าเหยื่อจะไม่มีทางรอดเป็นอันขาด วิญญาณตรงหน้าจักตกเป็นทาสของมัน

พลังลมพายุอันมหาศาลพัดหอบกลิ่นอายมหาสมุทรผ่านรวดเร็วดุจสายฟ้าผ่า แสงสว่างเจิดจ้าแผดพุ่งทุกทิศทาง นำพาความสงบนิ่งมาสู่ชั่วพริบตา และในที่สุดสรรพสิ่งก็ดูเหมือนจะไร้ตัวตนตลอดกาล


โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3212464#msg3212464)

______________________________

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทนำ (๒๔/๑๐/๕๘)
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 25-10-2015 11:21:26
รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑ สัญญาณเตือนภัย (๒๕/๑๐/๕๘)
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 25-10-2015 11:29:18
บทที่ ๑



สัญญาณเตือนภัย



เสียงฟ้าร้องคำรามดังกึกก้องทั่วทั้งกรุงเทพพระมหานคร กลุ่มเมฆขนาดมหึมาแผ่ปกคลุมนครหลวงแห่งนี้พร้อมนำพาลมพายุกระโชกแรง ถาโถมกระหน่ำสาดซัดใส่ราวกับเป็นเพลิงพิโรธแห่งเทพวายุก็ไม่ปาน ในไม่ช้าหยาดสายฝนจึงพรมพร่ำร่วงหล่นสู่ผืนปฐพี

เปรี้ยง!

ประกายแสงวาบพร้อมเสียงฟ้าผ่าดังลั่นสั่นสะเทือนทุกอณูอากาศ ภัทรพจน์ เด็กหนุ่มวัย ๑๗ ปี ในชุดนักเรียนสะดุ้งตกใจตื่นจากการหลับใหล เขาค่อยๆปรับสายตาให้ชินกับบรรยากาศมืดสลัว อากาศภายในห้องสมุดรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือก แสงไฟเบื้องบนให้ความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เด็กหนุ่มบิดร่างกาย คลายกล้ามเนื้อหลังจากนอนผิดธรรมชาติมาร่วมชั่วโมง เพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆกำลังขะมักเขม้นหาหนังสือตามชั้นวางเพื่อทำรายงานวิชาภาษาไทย ซึ่งมีกำหนดส่งสัปดาห์หน้า
 
บนโต๊ะเบื้องหน้าพจน์กลับว่างเปล่า ทันทีที่ครูประจำวิชาสั่งงานแล้วเดินออกจากห้องสมุด เขาก็หามุมสงบแล้วฟุบหลับทับแขนทั้งสองอย่างรวดเร็ว แม้นกลุ่มเพื่อนร่วมโต๊ะจะส่งเสียงดังมากมายแค่ไหน ก็หาได้ฉุดรั้งให้พจน์หลุดพ้นจากการเป็นทาสของความง่วงงุนได้ไม่ แต่บัดนี้กลุ่มชายล้วนจำนวน ๙ คนกลับเลือนหายจากอาณาบริเวณโดยรอบ นำพาความสงสัยมาสู่คนเพิ่งฟื้นตื่น เขาเหลียวมองทัศนียภาพภายนอกหน้าต่าง แลเห็นละอองฝนตกกระทบกระจกบานใสดูพร่างพราว นึกอยากสัมผัสความรู้สึกของหยดน้ำเหล่านั้นอย่างประหลาด

“อ้าว ตื่นแล้วนี่ หลับสบายเลยนะ เพื่อนเกลอ” ปาล์ม เปรมณัฐ ร้องทักพลางวางกองหนังสือสองสามเล่มลงบนโต๊ะ

“อือ มึนหัวนิดหน่อย แล้วหามาเผื่อกูด้วยหรือเปล่า” พจน์ขยับคอเอียงซ้ายขวา พลางอ้าปากหาว
 
“เผื่อสิครับ มึงเอาเล่มนี้ไป” ปาล์มเลื่อนหนังสือ อัญมณี : ประวัติความเป็นมาและมูลค่าทางเศรษฐกิจ มาให้คนขี้เซา

“แล้วคนอื่นๆอ่ะ” พจน์ลองพลิกอ่านหนังสือดูคร่าวๆ

“พวกมันบอกว่า มีธุระ เลยรีบกลับ แต่กูว่าต้องไม่ใช่ธุระที่มีสาระดีๆแน่” ปาล์มเงยหน้าจากสมุดจด ขยับปากกาหมุนควงเล่นๆก่อนจะเอ่ยปากถามต่อ “ว่าแต่มึงเถอะ วันนี้คงไม่ต้องซ้อมบอลแล้วสิ ฝนตกหนักขนาดนี้”

พจน์พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย เด็กหนุ่มอยู่ในชมรมฟุตบอล เป็นนักกีฬาตัวจริงของโรงเรียน ซึ่งมีกำหนดซ้อมหลังเลิกเรียนเป็นประจำทุกวัน แต่ช่วงนี้ฝนตกเกือบทุกเย็น แทบไม่ได้ซ้อมเป็นจริงเป็นจังเท่าไหร่ ส่วนเพื่อนในกลุ่มคนอื่นต่างกระจายอยู่ตามชมรมกีฬาที่ตัวเองชอบ ยกเว้นไอ้หล่อตรงหน้านี่ที่อยู่ๆกลับกลายเป็นกรรมการสภานักเรียนเฉยเลย ทั้งที่ฝีเท้าการเล่นฟุตบอลทัดเทียมกับพจน์
 
ปาล์มขยับเก็บเครื่องเขียนและหนังสือใส่กระเป๋า พจน์จึงลุกยืน เอาเสื้อใส่กางเกงนักเรียน จัดการยืมหนังสือกับบรรณารักษ์ แล้วเดินนำออกจากห้องสมุด ไอ้ปาล์มขอเดินแยกไปทางตึกผู้อำนวยการ บอกว่ามีประชุมกรรมการนักเรียน เรื่องอะไรสักอย่างซึ่งพจน์ไม่ใคร่สนใจฟังเท่าไหร่ เขาโบกมือลา แล้วเดินมาตามทางเดิน ผ่านอาคารเรียนหลังใหญ่ เริ่มมีนักเรียนต่างระดับชั้น ต่างห้อง ออกมายืนรอเวลาใกล้เลิกเรียน

“พี่พจน์ค่ะ พอดีเพื่อนหนูฝากมาให้ค่ะ” สาวน้อยคนหนึ่งยื่นกล่องของขวัญห่อกระดาษสีชมพู พร้อมกับการ์ดใบเล็กสีครีมมาให้เมื่อเด็กหนุ่มเดินผ่านหน้าห้องของพวกเธอ เขาขมวดคิ้วแลมองนักเรียนหญิงมัธยมต้นที่ยืนจับกลุ่มรวมตัวกันอยู่ด้านหลัง พจน์สังเกตเห็นหนึ่งในนั้นใบหน้าขึ้นสีทันทีเมื่อบังเอิญสบตากัน เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนเจ้าหล่อนจะรีบหลบอยู่ด้านหลังเพื่อน

“ยัยนั่นแต่งกลอนมาให้พี่ด้วยค่ะ แต่ไม่รู้จะไพเราะเท่าพี่พจน์หรือเปล่า ยังไงช่วยรับไว้ด้วยนะคะ”
 
พจน์เป็นคนประเภทไม่อยากให้ความหวังใครต่อใคร แต่ถ้าจะปฏิเสธอีกฝ่ายที่ยืนรอคำตอบอยู่ซึ่งๆหน้า เขาก็ทำเป็นใจร้ายไม่ลงคอ ไม่อยากเห็นใครเสียใจ จึงรับมาถือไว้ กล่าวขอบคุณ แล้วเดินเลี่ยงมาทางโรงอาหารซึ่งเป็นเส้นลัดออกสู่ประตูโรงเรียน

นิสัยปฏิเสธคนไม่เป็นทำให้เกิดกรณีเข้าใจผิดตามมาหลายต่อหลายครั้ง บางครั้งสาวเจ้าถึงกับคิดว่าพจน์มีใจให้และนึกเอาว่านั่นเป็นการยอมรับคำขอเป็นคู่ควง พจน์ต้องพยายามอธิบายว่า จริงๆแล้วเขาคิดกับพวกเธอเพียงแค่น้องสาว หรือ เพื่อน เท่านั้น แต่การจะบอกปัดไม่รับเลยก็ยากเกินกว่าจะทำได้ เพราะไม่อยากเห็นใบหน้าแสดงความเสียใจเหล่านั้น เด็กหนุ่มรู้ว่าคนที่ผิดหวังเพราะไม่สมหวังนั้นรู้สึกอย่างไร จะปฏิเสธเมื่อจำเป็นจริงๆและคนคนนั้นไร้วี่แววจะสร้างปัญหาให้ในอนาคตเท่านั้น ไอ้ปาล์มเคยเสนอให้พจน์หาแฟนเป็นตัวเป็นตนเพื่อตัดปัญหานี้ แต่ก็อย่างว่า มันยังไม่เจอคนที่ใช่นี่หว่า ว่าแต่เขาเถอะ ไอ้คุณเปรมณัฐก็ยังไม่มีเป็นหลักเป็นฐาน ทั้งที่ตัวมันเองเป็นคนรูปหล่อ นิสัยดี ชอบเทคแคร์คนอื่นอีกต่างหาก

พายุฝนยังคงโหมกระหน่ำมืดฟ้ามัวดิน อีกภายในไม่กี่นาทีนี้น้ำคงจะท่วมขังตามท้องถนนเป็นแน่ ภัทรพจน์เดินเลี่ยงฝ่ากลุ่มนักเรียนมัธยมต้นที่ยืนออกันอยู่หน้าโรงอาหารเข้ามาหลบฝนด้านใน โต๊ะรับประทานอาหารถูกจับจองจากกลุ่มนักเรียนจำนวนหนึ่ง ปรากฏโต๊ะว่างอยู่ใกล้กับโทรทัศน์ซึ่งกำลังเปิดช่องข่าวรายงานสถานการณ์ประจำวันอยู่
 
เสียงประกาศเปล่งออกมาจากช่องลำโพงแข่งกับเสียงเม็ดฝนกระทบกับพื้นคอนกรีตอย่างหนัก น้ำเสียงของผู้ประกาศฟังดูหนักแน่น เอาจริงเอาจัง และดังกังวาน ภาพหน้าจอแสดงให้เห็น ชายสูงวัยผู้หนึ่ง อายุประมาณสี่สิบหรือห้าสิบปี ร่างกายยังคงดูแข็งแรง เป็นผู้กล่าว ท่านยืนถือไมโครโฟนอยู่บนเวทีขนาดเล็ก มีหลังคาผ้าใบช่วยป้องกันพายุตามวิถีธรรมชาติเท่านั้น

เชื่อผมเถอะครับ ในอีกไม่ช้า โลกที่เราอาศัยอยู่นี้จะประสบกับมหาภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่ น้ำจะท่วมโลกของเรา ทุกคนต้องหาเรือดำน้ำไว้ป้องกันชีวิตของตนเองและครอบครัว ซึ่งไม่มีวิธีไหนดีกว่านี้อีกแล้ว ถ้าเราไม่หาทางระงับเหตุนี้ เผ่าพันธุ์มนุษยชาติก็จะสูญสิ้นไป...

เป็นอีกครั้งที่ศาสตราจารย์วิชัย เทพวิมาน ออกมาเตือนเราถึงเหตุการณ์น้ำท่วมโลก เนื้อหาใจความสำคัญยังเหมือนเดิมและไม่มีอะไรใหม่เกินกว่าเก่า เห็นได้ว่าศาสตราจารย์มีชื่อผู้นี้ ซึ่งเราไม่แน่ใจในเจตนาอันแท้จริง ต้องการออกมาเตือนหรือสร้างความวุ่นวายในสังคมกันแน่ เพราะหลักฐานสำคัญอันยืนยันและอ้างอิงตามคำพูดของท่าน แทบไม่มีปรากฏสู่สายตาพ่อแม่พี่น้องประชาชนเลยแม้แต่น้อย กระผม ธนชัย อมรวิวัฒน์ รายงานสดจากท้องสนามหลวง” นักข่าวชายพนมมือกล่าวจบ

ภาพตัดกลับมายังรายการปกติของสถานีโทรทัศน์

“รายงานพยากรณ์อากาศประจำวัน พบว่า มีพายุขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นกลางมหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อเย็นวานนี้ กำลังเคลื่อนเข้าใกล้เขตประเทศฟิลิปปินส์ โดยคาดการณ์ว่าจะสร้างความเสียหายให้แก่...”

เสียงฟ้าร้องดังสนั่นอีกครั้งจนทำให้ภาพบนหน้าจอโทรทัศน์สั่นไหวชั่วครู่

“สมัยนี้น่ะหรือ น้ำจะท่วมโลก ตาศาสตราจารย์นั่นต้องสติไม่ดีแน่ๆ” นักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งเริ่มวิพากษ์วิจารณ์

“พูดโกหกหลอกลวงประชาชนเช่นนี้ เหตุใดตำรวจถึงไม่จับเข้าคุกเข้าตะรางบ้างนะ”
 
มือขวาของพจน์กำแน่นเข้าหากันจนเส้นเลือดปรากฏเด่นชัด ลุงภารโรงค่อยๆไล่ปิดทีวีแต่ละเครื่องก่อนกลับบ้าน เด็กหนุ่มยังคงยืนจ้องเครื่องสื่อสารสัญญาณภาพอยู่เช่นนั้น นักเรียนแต่ละคนเริ่มทยอยกลับเมื่อผู้ปกครองมารับ เด็กสาวกลุ่มหนึ่งหวีดร้องยินดีพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ พจน์แทบไม่ได้ให้ความสนใจเหตุการณ์โดยรอบเมื่อส่วนหนึ่งในใจเขากำลังคิดตรึกตรองหาทางออกของปัญหาที่ถาโถมเข้าใส่ จนกระทั่งมีฝ่ามือแกร่งสัมผัสบริเวณไหล่ซ้าย เขาถึงได้คืนสติ

“พจน์ นายมายืนเหม่อใจลอย ปล่อยให้รุ่นน้องสาวๆฝันหวานอะไรอยู่ตรงนี้ คืนความสุขให้ประชาชนหรือไง” เสียงแหบทุ้มหลุดออกมาจากริมฝีปากของเด็กหนุ่มร่างสูง ผิวสีแทน หน้าตาคมเข้ม ซึ่งกำลังยิ้มล้อเลียนพจน์อยู่

“บ้าละ ไม่ใช่สักหน่อย” พจน์ส่ายหน้ายักคิ้วตอบกลับ “กำลังจะกลับบ้านพอดีน่ะ”

“อืม วันนี้คงงดซ้อมบอลสินะ เลยรีบกลับ ไปเล่นบาสกับพวกผมที่โรงยิมก่อนไหม กำลังหาคนอยู่พอดี” ไอ้พีท หรือ นายพีธนะ เป็นเพื่อนนักเรียนร่วมชั้น แต่อยู่คนละห้อง รู้จักกันเพราะเป็นนักกีฬาเหมือนกัน เคยแข่งฟุตบอล แข่งบาสเกตบอลด้วยกันในงานกีฬาโรงเรียนหลายต่อหลายครั้ง ผลัดกันแพ้ชนะ พจน์เคยแข่งประชันกลอนสดกับไอ้พีท ผลออกมาชนะแบบเฉียดฉิว นั่นทำให้พจน์ตระหนักว่าได้เจอคู่ปรับคนสำคัญเข้าให้แล้ว เจ้าหมอนี่ตัวสูงกว่าพจน์ประมาณ ๔-๕ เซนติเมตรเห็นจะได้ อาจเพราะมันเป็นนักบาสทีมโรงเรียน อีกทั้งยังรูปหล่อ รวย อัธยาศัยดี แต่ไม่เห็นมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอีกเช่นกัน เรียกได้ว่า เรียนดี กีฬาเด่น วิชาการเป็นเลิศ เป็นขวัญใจสาวๆทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องเลยทีเดียว

“ถ้าไม่เล่น นั่งดูพวกผมซ้อมก็ได้” พีธนะยิ้มหยอกอย่างอารมณ์ดี

“ไม่อ่ะ คงต้องรีบกลับ”

“มีเรื่องอะไรเหรอ”

“นิดหน่อยน่ะ” พจน์กระชับกระเป๋านักเรียน “เออ กูถามอะไรอย่างดิ มึงจะเชื่อคำพูดของคนที่มึงไม่เคยรู้จัก หรือเปล่าวะ”
พีธนะหุบรอยยิ้มทำหน้าครุ่นคิด คิ้วขมวดกันเล็กน้อยก่อนจะฉีกยิ้มกว้างอีกครั้ง

“คนเราจะเชื่อคำพูดของอีกคนหรือเปล่า ไม่ใช่อยู่ที่เค้าคนนั้นรู้จักกันมากน้อยแค่ไหนหรอก มันอยู่ที่ใจต่างหาก ถ้าเราคิดว่าใจของคนสองคนตรงกัน และสิ่งที่อยู่ในใจนั้นคือสิ่งเดียวกันละก็ ไม่จำเป็นเลยว่าจะรู้หรือไม่รู้จัก ขอแค่ความเชื่อใจกันเท่านั้น โอเค ไหมครับ”

“เหรอวะ” พจน์ถามกลับอย่างไม่แน่ใจ “มึงไม่คิดว่าเค้าอาจจะโกหกเรา หลอกลวงเรา และสุดท้ายก็ไม่มีความจริงอะไรในคำพูดนั้นน่ะนะ”

“ถ้าถึงท้ายสุด ผลมันออกมาว่า เค้าไม่ได้พูดความจริง แต่นายก็เชื่อใจไปแล้วเปล่าล่ะ ลองถามตัวเองดู ถ้านายไม่เชื่อ นายจะเสียใจหรือเปล่า หรือถ้านายเชื่อแล้วนายจะไม่เสียใจในภายหลัง” ไอ้พีทเอื้อมมือมาตบไหล่พจน์บางเบา

เสียงเตือนข้อความโปรแกรมแชทในโทรศัพท์มือถือดังขัดจังหวะความคิดของพจน์ เขาหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาเปิดอ่าน

DARA DAO: พี่พจน์อยู่ไหนคะ คุณพ่อมารอรับอยู่หน้าโรงเรียนแล้วค่ะ
PHATHARA PHOJ: เดี๋ยวพี่รีบตามไป
DARA DAO: โอเค ค่ะ

“กูต้องกลับแล้วว่ะ ขอบใจนะเว้ยที่ให้คำปรึกษา” พจน์เงยหน้าเล็กน้อยเมื่อคุยกับไอ้หมอนี่
 
“ยินดีเสมอครับ ว่าแต่... กว่าจะเดินไปถึงหน้าโรงเรียนก็เปียกฝนหมดดิ ให้เราไปส่งไหม” เด็กหนุ่มผิวแทนชูร่มกันฝนโบกผ่านหน้าพจน์

“คนอะไรพกร่มมาโรงเรียน” พจน์อดขำไม่ได้ ไอ้พีทแจกยิ้มเรี่ยราดแทนคำตอบ

โชคดีเหลือเกินที่ร่มคันนี้ใหญ่พอสำหรับผู้ชายตัวโตๆสองคน พจน์ไม่อยากขัดความตั้งใจของมัน แต่ก็คงแปลกพิลึกถ้าคนอื่นเผลอสังเกตเห็นภาพของพวกเขาอยู่ในร่มคันเดียวกัน ถือว่าเป็นค่าตอบแทนสำหรับคำปรึกษาแล้วกัน

ดารา น้องสาวคนเดียวของพจน์ยืนกางร่มอยู่ข้างรถยนต์สีดำคันหนึ่ง เธอได้ลักษณะรูปร่างหน้าตาดีมาจากแม่ ผมเปียยาวของเด็กสาวบ่งบอกถึงนิสัยเรียบร้อย เธออายุห่างจากพจน์ ๓ ปี ตอนนี้เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนเดียวกันกับพี่ชาย พจน์ยิ้มให้น้องสาวเป็นการทักทาย

“สวัสดีค่ะ พี่พีท” ดาวยกมือไหว้เพื่อนพี่ชายอย่างมีมารยาท “ขอบคุณที่มาส่งพี่ชายของดาวนะคะ”

“ยินดีเสมอครับ” พีธนะแจกยิ้มกว้าง


****************************************

แสงฟ้าผ่าสว่างวาบทั่วท้องนภาอาบไล้สิ่งก่อสร้างแลทุกสรรพชีวิตของนครหลวงแห่งนี้ ร่างใต้ผ้าคลุมสีดำร่างหนึ่งยืนนิ่งอยู่ริมขอบตึกสูงของชั้นดาดฟ้า มันจ้องมองบางอย่างเบื้องล่างด้วยท่าทีเยือกเย็น สายลมพัดกระหน่ำอีกคราพร้อมกับนำพาหยาดเม็ดฝนจำนวนมหาศาลตกสู่พื้นพิภพ แต่มิอาจสร้างความเปียกชื้นแก่ผ้าสีดำผืนนั้นได้ ราวกับมีอำนาจอื่นใดปกป้องมันจากฝีมือของธรรมชาติ ร่างนั้นขยับมือที่ไว้เล็บยาวดำสนิท ผิวหนังซีดขาวปรากฏเส้นเลือดดำไหลเวียนอยู่ บ่งชี้สัญญาณชีพ ใบหน้าตกอยู่ในเงามืดของผ้าคลุมศีรษะ มีดวงตาสีแดงทอประกายล้อกลุ่มเมฆดำทะมึนเท่านั้นที่เห็นเด่นชัดยิ่ง มันหาได้คุ้นชินกับร่างดวงจิตนี้ไม่ แต่นี่เป็นสิ่งจำเป็น หาควรจะนิ่งเฉยเฉกเช่นที่เคยทำมา มันอยากรู้ว่าแผนการนี้จะจบสิ้นลง ณ แห่งใด แลบัดนี้มันใกล้ค้นพบคำตอบของคำถามนั้นแล้ว ความรู้สึกโกรธาส่งผลให้เกิดพายุมหึมาแผ่ขยายปกคลุมราชธานีนี้ไว้อย่างมิอาจหยุดยั้งได้ มันสูดลมหายใจเพื่อระงับความพิโรธ ลมวูบใหญ่พัดใส่ตึกสูงสุดแห่งนี้อย่างรวดเร็ว เป้าหมายหนึ่งเดียวนั้นคือ พาหนะขับเคลื่อนคันหนึ่งเบื้องล่างที่อยู่บนเส้นทางเดินรถ ความสงสัยยังคงเกาะกุมหัวใจ มีพลังอำนาจบางอย่างแผ่ออกมาปกป้องคุ้มกันครอบครัวนี้ อำนาจที่ข้าโหยหาใยถึงมาอยู่ ณ พิภพแห่งนี้ได้ แล้วมันผู้ใดที่แสดงอำนาจทรงพลังเช่นนั้น คำถามเหล่านี้ยังมิได้รับการไขให้กระจ่าง นับแต่การติดต่อกันครานั้น มันก็เริ่มติดตามเฝ้าดู ร่างนี้มีข้อจำกัดเกินกว่าจะแสดงอำนาจทรงพลังได้ มันมิสามารถทำสิ่งอื่นใด นอกจากนิ่งมองจากที่สูงแห่งนี้ เข้าใจดีว่าจำต้องละทิ้งร่างอันแท้จริงไว้ ร่างนั้นต้องอยู่ที่นั่น แต่ด้วยพลังอำนาจที่ได้ครอบครองสิ่งสูงค่า ทำให้ดวงจิตของมันมาสู่พิภพนี้ได้ อำนาจที่ทรงพลังยิ่งกว่าอำนาจใดๆ

****************************************

ภาพการจราจรติดแน่นขนัดเป็นสิ่งที่คุ้นตาสำหรับพจน์และดาว เขาเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าดำมืด เฉกเช่นความคิดของเด็กหนุ่มในขณะนี้

“เอ่อ พ่อลืมถามเลย วันนี้เรียนเป็นยังไงบ้าง” ภพดนัย ชายหนุ่มวัยกลางคนอายุประมาณปลายสามสิบ ใบหน้าเคร่งขรึม ผมหยักศกตัดสั้น แววตาหลังกรอบแว่นหันมามองลูกชาย พลางคลี่ริมฝีปากออกบ่งบอกเป็นคนใจดี

“ก็ดีครับ” พจน์ตอบกลับแทบจะทันที

“ผลประกวดภาพวาดของดาวได้ที่ ๑ ค่ะคุณพ่อ” ดาราส่งเสียงดีใจมาจากเบาะหลัง ขณะที่ภพดนัยพยักหน้าอย่างยินดี ความเงียบเข้าปกคลุมภายในรถอีกครั้ง

“คุณพ่อครับ” พจน์เรียกด้วยเสียงแสดงอารมณ์โกรธ

“มีอะไรหรือ พจน์” ภพดนัยเหลียวหน้ามาถามชั่วครู่ก่อนจะกลับมามองเส้นทางเดินรถเช่นเดิม พจน์ถอนหายใจ นั่งนิ่งอยู่นานสองสามวินาที ตัดสินใจหลายเรื่อง

“ทำไมทุกคนถึงไม่เชื่อเรื่องที่คุณปู่พูดล่ะครับ” เป็นคำถามตรงประเด็นที่สุด ภพดนัยนิ่งเงียบเช่นเดียวกับดาว

“ผมเห็นข่าวน้ำท่วมโลก เห็นคุณปู่กำลังพูด ทำไมไม่มีใครเชื่อหรือสนใจท่านเลย” ดวงตาสีเข้มทั้งสองจ้องมองเบื้องหน้าอย่างแน่วแน่

“พจน์...” แววตาหลังแว่นของภพดนัยมีทีท่าเข้าใจ “มนุษย์เราทุกวันนี้อยู่ในโลกยุคปัจจุบันซึ่งเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าทันสมัยในทุกด้าน รวมถึงวิวัฒนาการมากมายด้านวิทยาศาสตร์ ทุกสิ่งต้องพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น แต่เรื่องที่คุณปู่พูด ไม่มีข้อมูล ไม่มีหลักฐาน หรือข้อเท็จจริงใดๆอันน่าเชื่อถือได้เลย พ่อไม่รู้ว่าท่านเอาเรื่องนี้มาจากไหน หลังจากเกิดอุบัติเหตุครั้งนั้น” หลักฐาน จริงทีเดียว เรื่องราวนี้ยังขาดหลักฐานยืนยัน พจน์รู้สึกปวดศีรษะ

“อุบัติเหตุอะไรหรือคะ” ดาวถามอย่างสงสัย ภพดนัยทำได้แค่ส่ายหน้าปฏิเสธ เด็กสาวขมวดคิ้วแต่ก็ไม่ถามเซ้าซี้อีก

“คุณพ่อก็ไม่เชื่อคำพูดของคุณปู่ใช่ไหมครับ” พจน์ไม่อยากได้ยินคำตอบจากพ่อของเขาเลย เขากลัวว่ามันจะทำให้เสียใจยิ่งกว่าเดิม

ไม่มีเสียงตอบกลับจากผู้เป็นบิดา พจน์หลับตาพยายามระงับอาการผิดหวัง จะมีใครบนโลกนี้บ้างที่เชื่อคำพูดคุณปู่ เขาไม่เคยถามพวกเพื่อนๆในกลุ่ม ถึงแม้ถามก็อาจได้คำตอบกลับมาเช่นนี้ ความเงียบ ไม่ตอบ อาจตีความว่าไม่เชื่อ จะไม่มีใครเลยจริงๆน่ะหรือ คนที่เชื่อใจ เชื่อในคำพูดของคนที่ไม่เคยรู้จักกันแม้แต่น้อย

ความรู้สึกของพจน์เหมือนถูกกระชากสู่เบื้องหน้าพร้อมมีลมพายุถาโถมเข้าใส่อย่างรวดเร็ว บัดเดี๋ยวนั้นเด็กหนุ่มรู้สึกเย็นวะวาบทั่วทั้งสรรพางค์กาย พื้นสัมผัสเท้าสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว แต่เสียงโดยรอบกลับเงียบเชียบราวกับส่วนประสาทรับรู้การได้ยินถดถอยหายไป ชั่วขณะหนึ่งทุกสิ่งอย่างกลับคืนดังปกติ พจน์ค่อยๆลืมตาขึ้นพบกับแสงสว่างจ้าจนต้องยกแขนปกป้องดวงตา เมื่อหายพร่าเลือนแล้ว จึงได้รู้ว่าตนเองไม่ได้นั่งอยู่ในรถยนต์บนถนนใจกลางกรุงเทพมหานคร แต่มายืนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง โดยรอบมีม้วนกระดาษจำนวนมากตั้งเรียงรายอยู่บนชั้นวางจำนวนหลายแถว สภาพห้องโดยรอบเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนทาทับสีขาวปิดทึบทุกด้าน แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวมาจากตะเกียงไฟบนโต๊ะไม้ตัวหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้ตาของพจน์ไม่มืดบอด เขาสัมผัสถึงกลิ่นกระดาษ กลิ่นเทียนหอม และกลิ่นอ่อนๆของดอกไม้อยู่ภายในห้อง พจน์มาปรากฏตัวอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้อย่างไร ทันใดนั้นบานประตูห้องซึ่งอยู่ด้านซ้ายมือของพจน์ก็เปิดออก เด็กหนุ่มร่างสูง ผิวขาว แต่งตัวแปลกๆจึงก้าวเข้ามา ดวงตาของคนทั้งคู่สบกัน พจน์รู้สึกอุ่นวาบบริเวณอกด้านซ้าย
 
“เจ้าคือใคร แล้วเหตุใดถึงบุกรุกเข้ามาในห้องเก็บพระตำราหลวงเช่นนี้ได้”


TBC... โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3213423#msg3213423)

______________________________

อัญมณี : เพชรพลอยและแก้วแหวนมีค่า
สรรพางค์กาย : ร่างกายทั้งหมด


หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑ สัญญาณเตือนภัย (๒๕/๑๐/๕๘)
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 25-10-2015 12:08:47
จิ้ม
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่๒ แรกพบ (๒๖/๑๐/๕๘)
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 26-10-2015 15:29:44
บทที่ ๒


แรกพบ



เจ้าคือใคร แล้วเหตุใดถึงบุกรุกเข้ามาในห้องเก็บพระตำราหลวงเช่นนี้ได้” เสียงทุ้มห้าวเอ่ยถามอย่างไม่ไว้วางใจ

เป็นคำถามที่พจน์พยายามถามตัวเองและอยากได้รับคำตอบเฉกเช่นเดียวกัน ยกเว้นประโยคแรกซึ่งสติสัมปะชัญญะอันสมบูรณ์ยังยืนยันในข้อนี้ได้ว่า ตนคือใคร วินาทีที่พจน์ตระหนักว่าบนโลกนี้คงไม่มีผู้ใดเชื่อใจ หรือเชื่อคำพูดของคนที่ไม่เคยรู้จักกันหลงเหลืออยู่อีกแล้ว บางสิ่งบางอย่างฉุดนำพาเขาให้มาปรากฏกายอยู่ ณ ห้องแห่งนี้อย่างหาต้นสายปลายเหตุไม่ได้ พจน์มั่นใจว่าตนเองยังนั่งอยู่บนรถยนต์ร่วมบิดาและน้องสาว แล้วภาพเหตุการณ์ตรงหน้านี้คือ ความฝัน หรือ ภาพลวงตาอย่างหนึ่งอย่างใด ก็ยากเกินกว่าสติปัญญาอันน้อยนิดจะสรุปความได้

“ข้าถามว่าเจ้าคือผู้ใด ลักษณะการแต่งกายคล้ายคลึงมหาดเล็กฝ่ายภูษา ฤา จะเป็นเจ้าพนักงานตามเสด็จในขบวนของพระองค์เจ้าหลานเธอฯ”

เด็กหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลา ส่วนสูงคะเนจากระดับสายตาของพจน์น่าจะไล่เลี่ยกัน แต่สิ่งผิดแผกแปลกตาคือ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เจ้านี่นุ่งผ้าผืนขาวคล้ายโจงกระเบนแต่ปล่อยชายลงข้างหนึ่ง ท่อนบนเผยแผงอกนูนแน่น หน้าท้องเป็นลอนสวย คลุมทับด้วยผ้าสีขาวคล้องไหล่ กล้ามแขนสวมกำไลทองรัดมัดกล้ามอีกชั้น สายสังวาลทองคำพาดไหล่ซ้าย เช่นเดียวกับกำไลข้อมือแลเท้าซึ่งส่องประกายสีนวลตา บ่งบอกสถานะเป็นคนร่ำรวยพอดู ทรงผมรวบเป็นมวยไว้กลางกระหม่อมครอบทับด้วยเครื่องประดับทองอีกชิ้นหนึ่ง กึ่งกลางหน้าผากมีลักษณะรูปวาดคล้ายหยดน้ำสีทอง รับกันดีกับคิ้วหนาเข้ม เสริมด้วยจมูกโด่ง ริมฝีปากเรียบตึงบ่งชี้อารมณ์โกรธา

ภัทรพจน์พยายามเปล่งเสียงโต้ตอบ แต่ระหว่างเส้นทางก่อนมาถึงห้องนี้ เขาคงได้ทำวิธีการพูดหล่นหายสาบสูญเสียแล้ว

“ฤา เจ้าเป็นขโมยขโจรลักลอบปะปนมากับขบวนเสด็จฯ จงเร่งกล่าวมาบัดเดี๋ยวนี้” สิ้นคำถามจึงชักดาบยาวประมาณเกือบเมตรออกจากฝักสีทองสลักลายนูนต่ำแลดูวิจิตรบรรจง ปลายแหลมของมันหยุดนิ่งอยู่ใต้คางมนของพจน์พอดิบพอดี

ด้วยอาการตื่นตกใจเพราะเหตุการณ์ล่อแหลมนี้เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ส่งผลให้พจน์สะดุ้งกายก้าวถอยหลังรวดเร็วจนลืมคำนึงว่า ภายในห้องนี้มีโต๊ะไม้ตัวหนึ่งตั้งอยู่กลางห้องซึ่งบนนั้นมีตะเกียงไฟวางอยู่ ทันทีเมื่อสะโพกขวากระแทกอย่างแรงกับวัตถุเบื้องหลัง น้ำมันตะเกียงสำหรับหล่อเลี้ยงดวงไฟน้อยก็ล้มเอียงสาดซ่านกระเซ็นทั่วทุกทิศทาง เพลิงไฟซึ่งให้แสงสว่างลุกลามตามน้ำมันรวดเร็วดุจกัน

แสงสว่างวาวโรจน์แห่งอัคคีเพลิง สร้างความตื่นตระหนกให้แก่พจน์ยิ่งกว่าโดนดาบจ่ออยู่ใต้คางเสียอีก ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับเจ้าของดาบ เขารีบกระชากผ้าคล้องไหล่ออก แล้วฟาดสะบัดใส่ต้นเพลิงทันควัน แต่เพลิงอัคคีนั้นลุกลามเติมเชื้อพลังให้ตนเองมากทุกขณะจนผ้าผืนน้อยยากจะสยบมันลงได้ อีกทั้งโต๊ะไม้ยังกลายเป็นขุมพลังงานเสริมการทำลายล้างอย่างดียิ่ง

ในช่วงความโกลาหล พจน์สังเกตเห็นคนโทดินเผาใบหนึ่งตั้งอยู่มุมเสาข้างประตู ใกล้ๆกันมีจอกหินคล้ายมีไว้สำหรับดื่ม คาดว่าน่าจะมีน้ำอยู่ในนั้นเป็นแน่ จึงรีบพุ่งไปคว้ามาถือไว้แล้วสาดใส่กองเพลิงทันที
 
เนื่องด้วยปริมาณน้ำมากเหลือประมาณภายในภาชนะเก็บบรรจุจึงยุติเพลิงกาฬให้มอดดับลงได้ทันท่วงที ชั่วเวลาหนึ่งนั้นพจน์แทบมองไม่เห็นสิ่งใด ทุกสิ่งอย่างตกอยู่ในความมืดสลัว จนกระทั่งปรับสายตาให้เข้ากับแสงสว่างที่ส่องมาจากช่องลมเหนือหน้าบันจึงเริ่มเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น เมื่อโฟกัสสายตากลับฟื้นคืน จึงพบว่าไม่เฉพาะจุดไฟไหม้เท่านั้นที่โดนวารีกำราบ แต่ผู้กำลังดับไฟด้วยผ้าขาวก็เปียกปอนตั้งแต่ใบหน้าจรดปลายเท้าเช่นเดียวกัน สภาพเจ้านั่นจึงชุ่มโชกราวกับลูกหมาตกน้ำก็ไม่ปาน สายตาแค้นเคืองส่งกลับคืนมายังผู้ดับเพลิง นั่นยิ่งทำให้พจน์ขำจนท้องคัดท้องแข็ง

“ฮ่าๆ วะฮา ฮา ฮ่าๆ” พจน์ก้มกุมท้องหัวเราะตัวงอ จากรูปลักษณ์เดิมดั่งเทพบุตรจุติกลับกลายเป็นลูกหมาตกน้ำในบัดดล

“เจ้าขำขันอันใด เพลิงเกือบมอดไหม้พระคัมภีร์แลตำราหลวงอันมีค่าเสียสิ้นแล้ว ยังจะมีหน้ามาขันอีกกระนั้นรึ” ไอ้หนุ่มไร้ชื่อยังทำหน้าตึงยิ่งกว่าเดิม ดาบวาววับที่ตอนแรกเกือบได้ลิ้มรสเลือดของพจน์ถูกเก็บเข้าฝักดังเดิม แต่สายตาไม่ไว้ใจนั้นยังคงจับจ้องพจน์อยู่

“เปล่าๆ กู...เอ๊ย เราไม่หัวเราะแล้วก็ได้” พจน์เอามือปิดปากกลั้นเสียง อีกฝ่ายลูบน้ำออกจากเนื้อตัวและใบหน้า
 
“เจ้าก่อเหตุร้าย ประสงค์จะเผาทำลายสมบัติของมหาเทวาลัย แลทรัพย์สินของแผ่นดินเสียดังนี้ ข้าคงหาความผิดของเจ้าได้โดยไม่ต้องสอบสวนความอันใดให้ยากลำบากอีก” เด็กหนุ่มร่างเปียกปอนกล่าวชัดถ้อยคำ “จะใช่โจรรึไม่ ตุลาการเท่านั้นจะเป็นผู้พิพากษาตัดสินความ”

กล่าวจบแล้วจึงเร่งฝีเท้าตรงสู่ประตูห้องเก็บพระตำราหลวงหมายใจจะเรียกทหารดาบทองมาจับคนผู้นี้ใส่ตรวนแลขังคุก พจน์รับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่าคำพูดโบราณนั้นฟังดูคล้ายจะจับเขาขึ้นศาล หรือจับขังอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่พจน์ไม่ได้ทำผิดอะไร เรื่องราวทั้งหมดเกิดจากอุบัติเหตุ เป็นเหตุสุดวิสัย ใครจะอยากให้ไฟไหม้ม้วนกระดาษพวกนี้กันละ หลังจากตัดสินใจอย่างรวดเร็วพจน์จึงพุ่งตัวเข้ากอดเอวเปลือยเปล่าของคนตรงหน้าเพื่อดึงรั้งยื้อยุดฉุดเอาไว้ คนถูกกอดรัดสะดุ้งพอควรเหลียวกลับมามองคนต้นเหตุด้วยสายตาดุดัน พยายามงัดแงะแกะมือเหนียวหนึบออกจากลำตัว

“ปล่อยข้าบัดเดี๋ยวนี้ หาไม่ ข้าจะร้องให้คนมาจับกุมเจ้าแทน” คนถูกรั้งตวาดลั่น นั่นทำให้พจน์รีบเลื่อนฝ่ามือขวาปิดปากคู่กรณีทันที เนื่องด้วยคนทั้งสองมีร่างกายใกล้เคียงเสมอกัน ถึงแม้นเจ้าคนพูดภาษาโบราณจะตัวหนากว่าพจน์เล็กน้อย แต่เพราะการเล่นฟุตบอล ฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ ออกกำลังกายอยู่ทุกวันทำให้พละกำลังของพจน์ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าคนตัวโตแต่อย่างใด

เสียงคนถูกปิดปากฟังไม่ได้ศัพท์พร้อมกับอาการสะบัดขัดขืนต่างๆนานา พจน์อาศัยจังหวะนี้ใช้มือข้างกอดเอวเลื่อนปิดสลักกลอนประตู แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเหนือคาด กระชากมือปิดปากออก แล้วเหวี่ยงตัวพจน์มาอยู่ด้านหน้าแทน ระหว่างนั้นพื้นห้องเต็มไปด้วยน้ำเจิ่งนอง ส่งผลให้จังหวะการขยับเท้าของเจ้านั่นเกิดผิดพลาดแล้วลื่นอย่างไม่น่าให้อภัย แทนที่คนโง่จะหงายหลังล้มลงคนเดียว มันหมุนตัวพจน์แล้วคว้าตัวลงไปนอนทับอีกชั้นหนึ่ง

ผิวแก้มเรียบเนียนข้างซ้ายของพจน์รับรู้ไอร้อนจากจมูกคมสันของคนเบื้องล่าง ส่งผลให้ผิวตรงจุดสัมผัสขึ้นสีแดงอย่างรวดเร็ว ถ้ายังโชคร้ายไม่พอ ไอ้ความรู้สึกเปียกๆนี่มัน... ถ้าจำไม่ผิด มันคือริมฝีปากของคนตรงหน้านี่นา
 
“เหวอ...เฮ้ย....” พจน์ร้องเสียงหลง ผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง รีบถูแก้มด้านซ้ายอย่างแรง ประดุจจะลบรอยตราบาปแห่งศักดิ์ศรีชีวิตลูกผู้ชายออกให้หมด
 
“มึงแกล้งกูเหรอ ไอ้...” พจน์กำหมัดแน่นหมายจะชกคนโดนทับ แต่ช้าเกินกว่าจะทำอันใดได้เมื่อมือของอีกฝ่ายรวบประกบไว้ได้ทันการณ์

“เป็นเหตุสุดวิสัย ข้าหาได้ตั้งใจล่วงเกินเจ้าไม่” เจ้าตัวปฏิเสธเสียงดังลั่น

“เออ ช่างแมร่ง!” พจน์สะบัดมือหลุดจากพันธนาการของฝ่ายตรงข้าม หัวใจเต้นแรงเหมือนจะระเบิดออกมา

“แล้วนี่เจ้าจะลุกออกจากตัวข้าได้รึยัง” พจน์โกรธจนลืมว่าตนเองนั่งทับอยู่บนเรือนกายของอีกคน น้ำซึ่งใช้สาดดับไฟเปียกปอนตามผิวเนื้อเป็นมันวาว ประกอบกับเครื่องแต่งกายเป็นผ้าขาว เมื่ออยู่ในระยะประชิดเช่นนี้ จึงทำให้เห็นไปถึงไหนต่อไหน

พจน์แทบจะกระโจนหนีทันควัน เจ้าหมอนั่นลุกขึ้นยืนช้าๆ เหตุการณ์ชุลมุนเมื่อครู่ดูเหมือนจะทำให้ผู้กล่าวโทษลืมเสียสนิทว่าจะต้องเร่งแจ้งทหารดาบทองมาจำตรวนผู้ต้องสงสัย
 
เมื่อทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติแล้ว พจน์จึงเหลียวกลับไปเผชิญหน้ากับศัตรูคู่อาฆาตหมาดๆที่บัดนี้เอาแต่ยืนจ้องมองอย่างไม่วางตาเช่นกัน
 
“จะทำอะไรก็ตามใจ หรือจะใส่กุญแจมือส่งทหารนั่นก็แล้วแต่ จะตั้งข้อหาวางเพลิงก็ได้ เอาสิ” พจน์ตะโกนใส่ ในใจพยายามคิดหาหนทางกลับไปพบพ่อและดาวให้ได้

“ข้าขอผ้าคล้องไหล่ของเจ้า จะได้ ฤา ไม่” เจ้าหน้าขาวยื่นมือมาขอ สร้างความฉงนฉงายอย่างยิ่ง เด็กหนุ่มรีบก้มมองตัวเอง เพิ่งสังเกตเห็นการแต่งตัวว่าไม่ได้ผิดแผกแตกต่างจากคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ทั้งเครื่องนุ่งห่มแลเครื่องประดับ รวมถึงทรงผม ยกเว้นเครื่องประดับของพจน์ทำจากเงินประดับอัญมณีหลากสีเท่านั้น แล้วเขาเอาเวลาช่วงไหนเปลี่ยนจากชุดนักเรียนเป็นชุดสมัยนิยมของที่นี่กันละเนี่ย

“เอาไปดิ” พจน์ดึงผ้าคล้องไหล่สีขาวออกให้คนตรงหน้าอย่างไม่อิดออด เจ้านั่นรับผ้ามาเช็ดใบหน้า ซับหยดน้ำบริเวณอก ไหล่ และกล้ามท้อง จนพจน์เผลอมองการเคลื่อนไหวนั้นอย่างลืมตัว รู้สึกอิจฉาคนหุ่นดี ถึงตนเองจะเล่นกีฬาแต่ก็มีกล้ามเพียงเล็กน้อย ไม่คมชัดเท่าเจ้านี่เลยแม้แต่น้อย อยากจะถามเคล็ดลับ ก็พอดีมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ

เจ้าหนุ่มคิ้วเข้มเหล่มองพจน์ด้วยสายตาแปลกๆ สงสัยคงไม่ต้องเปลืองแรงเรียกทหารให้มาจับแล้วสินะ

“มาตะ” เสียงรัวเคาะประตูดังถี่ขึ้น “มาตะ เจ้าอยู่ในนั้นรึไม่” เสียงทุ้มก้องร้องถาม

คนชื่อเสียงเรียงนามว่า มาตะ หันมาสบตาพจน์อีกครา แล้วแทบจะไม่ทันตั้งตัว พจน์ถูกแรงกระชากแขนให้เดินตามคนตัวหนากว่ามุ่งสู่ซอกชั้นเก็บม้วนกระดาษที่อยู่ลึกด้านในสุดทางซ้าย มาตะดันตัวพจน์ชิดติดผนังมุมห้อง
 
“เจ้าอย่าได้ส่งเสียง หรือเอ่ยคำพูดใดเป็นอันขาด หาไม่แล้วข้ามิอาจรับรองได้ว่าจะไม่มีอันตรายใดๆมาสู่เจ้า” ยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกำชับด้วยเสียงหนักแน่น

“อ้าว...”

“ชู่ว์...” มาตะยกนิ้วแตะริมฝีปากตนเอง ย้ำเตือนให้เงียบเสียง ก่อนเจ้าตัวจะกลับไปยืนนิ่งฟังเสียงรัวเคาะประตูอยู่ขณะจิต แล้วถอดสลักกลอนออก ปรากฏเด็กหนุ่มสองคนยืนอยู่ภายนอก ด้านหลังมีต้นลีลาวดีจำนวนหนึ่งตั้งตระง่านอยู่ พจน์จำดอกสีขาวของมันได้ ถัดจากนั้นมีอาคารก่ออิฐถือปูนสีขาวมุงกระเบื้องสีน้ำตาลปรากฏอยู่เป็นฉากหลัง คนมาใหม่ร่างอวบอ้วนเล็กน้อยร้องทักอย่างยินดีเมื่อพบเพื่อนเกลอ

“พวกเราตามหาเจ้าเสียทั่ว ข้ากับโกสินทร์ มีข่าวเร่งด่วนจะแจ้งให้ทราบ” เขาพยักหน้าให้เพื่อนร่วมทางอีกคนนามว่า โกสินทร์ ผู้มีร่างกายใหญ่โต กำยำล่ำสัน ความสูงระดับเดียวกันกับมาตะ รวมถึงลักษณะการแต่งตัวด้วย ทำให้พจน์ปักใจเชื่อได้ว่านี่คงเป็นแฟชั่นสุดนิยม

“เวฬุ คาดการณ์ถูกต้อง เจ้าจักต้องอยู่ที่นี่เป็นแน่” คนชื่อเวฬุยิ้มแก้มขยายเมื่อได้รับคำชมเชย
 
“พระอาจารย์โกสินธพถามหาเจ้า แลจะปรึกษาหารือกำหนดส่งตัวเจ้าเพื่อสืบค้นตำราหลวงภายในหอเทวาลัย ณ เมืองลูกหลวงทั้งสี่” โกสินทร์ร่างยักษ์อธิบายแถลงไข

อีกด้านหนึ่งพจน์รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องเกรงจะถูกจับตัวได้ ส่วนเจ้ามาตะก็ทำทีประหนึ่งว่าอยู่คนเดียวในห้อง คนทั้งสามพากันเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงจุดเกิดเหตุชุลมุน

“พระองค์เจ้าหลานเธอฯจะทรงบำเพ็ญสมาธิเพื่อบูชาอัปสรเทพหนึ่งข้ามคืน เห็นทีคงมิได้กลับพระราชวังหลวงเป็นแน่ในราตรีนี้” เวฬุชี้แจง สายตาตวัดมองพื้นห้องแลโต๊ะไม้ดำไหม้ แล้วยกยิ้มอย่างนึกชอบใจ

“ดีนัก ข้าอยากใช้เวลาค้นหาตำรับตำราอยู่พอดี แล้วเวรยามอารักขาพระองค์ฯได้จัดเตรียมแล้ว ฤา โกสินทร์” มาตะแจ้งความจำนง แลซักถามถึงภาระหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย

“เสร็จสิ้นแล้ว เจ้ากับข้าแลเวฬุ เข้าอารักขาพระองค์ เวลายามสอง ส่วนมหาดเล็กรักษาพระองค์จำนวนหนึ่งถูกจัดเวรเฝ้าบริเวณเชิงบันไดเขาสุวรรณบรรพต อีกส่วนหนึ่งคือหน้าประตูมหาเทวาลัย และอีกส่วนคือปราสาทอัปสรเทพซึ่งนั่นคือที่ของเรา”

“ก่อนพวกเราจะมา เจ้าทำอะไรอยู่ในห้องมืดๆกระนั้นรึ มาตะ” เวฬุถามต่อพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพรา มาตะนิ่งเงียบอย่างไร้คำตอบ “ข้าสังเกตเห็นน้ำหกเลอะเทอะ เปรอะเปื้อนทั้งตัวเจ้าแลโต๊ะไม้ตัวนั้น ซึ่งมีรอยไฟไหม้ดำเกรียม พิจารณจากตะเกียงไฟมีลักษณะล้มเอียงเสมือนหนึ่งล้มลงแลคงสร้างกองอัคคีขึ้นมา”

“เป็นความสะเพร่าของข้าเอง ไม่ระมัดระวังให้จงหนัก จนเกือบเผาทำลายตำราหลวงเสียแล้ว” มาตะยอมรับโดยดุษณี

โกสินทร์ก้มลงเก็บผ้าสีขาวคล้องไหล่เปียกโชกด้วยน้ำกองอยู่บนพื้น มีรอยไหม้กระจายทั่วทั้งผืน

“ผ้าคล้องนี้ กับที่เจ้ายึดถืออยู่ อันไหนคือของเจ้ากันแน่ แล้วเหตุใดเจ้าถึงมีผ้าคล้องไหล่สองผืนอยู่ในครอบครอง” รอยยิ้มของโกสินทร์ปรากฏอยู่ ณ มุมปาก มาตะมองดูหลักฐานสองชิ้นอย่างจนปัญญาจะแก้ต่าง

“ถ้าให้ข้าเดา ผ้าผืนแท้จริง เจ้าคงรีบใช้ดับไฟในห้วงเพลาจวนตัว เพราะมีรอยไหม้เห็นชัดเจน แต่อีกผืนในมือมีลักษณะสมบูรณ์ไร้มลทิน เห็นจะหยิบยืมจากผู้อื่นเพื่อใช้ซับน้ำบนร่างตน เพื่อนเอ๋ย บอกพวกข้าสองคนมาเถิด เจ้าซ่อนใครไว้จากเราเช่นนั้นรึ”
 
ความรู้สึกของพจน์ขณะนี้ประหนึ่งเล่นซ่อนหาแล้วถูกจับได้อย่างไรอย่างนั้น คงไม่ต้องหลบหลีกอีกแล้ว แต่ใจหนึ่งเกรงว่าสองคนที่เพิ่งมาสมทบจะจับเขาขังคุกอย่างเช่นเจ้ามาตะเคยคิดจะทำมาก่อน

“หามีผู้ใดไม่ ข้าจะทำเช่นนั้นด้วยเหตุไรเล่า” มาตะยังคงยืนยันคำเดิมเสียงแข็ง “จงเร่งนำข้าเข้าเฝ้าพระอาจารย์เถิด ข้านี้ปริวิตกกังวลนัก”

“ประพฤติของเจ้าแลดูผิดแผกนัก ราวกับมีลับลมคมในซ่อนอยู่ เราทั้งสามต่างเติบโตมาด้วยกัน ไฉนเลยจะดูมิออกว่า เมื่อใครคนหนึ่งคนใดมีความลับซ่อนเร้นต่ออีกสองแล้วไซร้ จะหาได้รับรู้เลยไม่นั้น เป็นไม่มี” เวฬุร่างอ้วนเอ่ยอ้าง “จะให้เราทั้งสองเป็นผู้พามา หรือเจ้านำเชิญ จะมิดีกว่ารึ”

เพื่อนเกลอทั้งสองของมาตะส่งเสียงหัวเราะห้าว เมื่อจับกลได้ว่า เพื่อนของตนแอบซ่อนใครให้รอดพ้นสายตาพวกตนอยู่ จะด้วยสาเหตุใดก็ตามแต่ อย่างน้อยควรจะพามาแนะนำให้รู้จักคุ้นเคย มาตะแสดงท่าทีเห็นได้ชัดว่าร้อนใจแลร้อนตัว แต่ยังคงยืนนิ่งประหนึ่งยืนยันคำพูดของตน แม้นในใจจะคิดเกรงถึงคนที่ตนซ่อนไว้จะเดือดร้อนเพราะเจ้าเพื่อนสองคนนี้

“เอาล่ะ เช่นนั้น ข้าทั้งสองขอตรวจค้นสักประเดี๋ยวเถิด เจ้าคงมิว่ากระมัง” โกสินทร์ยกยิ้มอย่างยั่วล้อ ขยับตาให้เวฬุเดินไปอีกทางอย่างรู้ทัน

“มีใครซ่อนอยู่รึไม่ จงเร่งออกมาเถิด ความผิดอันบุกรุกเข้าหอพระตำราหลวงแลวางเพลิงไฟนั้นหนักหนานัก” ไอ้คนร่างกำยำย้ำความผิดของพจน์ราวกับตาเห็น มือทั้งสองข้างเริ่มเย็นเยียบเฉกเช่นน้ำแข็ง “โทษทัณฑ์หนักจักได้คลายเป็นเบา”

เจ้าคนชื่อโกสินทร์กำลังเดินมาถึงที่ซ่อนตัว ซ้ำป้องปากตะโกนย้ำอยู่อย่างนั้น จนพจน์ไม่แน่ใจว่าถ้าเกิดถูกจับได้ ปัญหาเดือดเนื้อร้อนใจจะตกแก่ไอ้มาตะหรือเปล่า เพราะอย่างน้อยเจ้านั่นก็พยายามไม่เปิดโปงความผิดของเขา ดูเป็นคนดีอยู่ไม่น้อย พจน์หลับตาราวกับจะพรางร่างของตนจากสายตาของผู้สืบหา ความรู้สึกเย็นยะเยือกค่อยๆพัดผ่านมาอย่างเชื่องช้า พจน์สะดุ้งลืมตาขนลุกตั้งชัน กลุ่มหมอกสีขาวจำนวนหนึ่งปรากฏอยู่รอบบริเวณ ในที่สุดจึงเริ่มบดบังชั้นเก็บม้วนกระดาษและคนแปลกหน้าทั้งสามออกจากสายตา ภัทรพจน์เหลียวซ้ายแลขวา เมื่อสรรพเสียงทั้งหมดหายสิ้นในบัดดล

ภาพซุ้มประตูทรงไทยจารึกข้อความ ‘เรือนเทพวิมาน’ พุ่งเข้าสู่สายตาพจน์ผ่านกระจกหน้าของรถยนต์ที่กำลังเคลื่อนผ่าน บัดนี้เด็กหนุ่มกลับคืนสู่ยานพาหนะโดยมีบิดาเป็นผู้ขับ เสียงน้องสาวซึ่งกำลังคุยฟุ้งถึงเหตุผลที่ภาพวาดของเธอได้รางวัลชนะเลิศปะทะเข้าโสตประสาทการได้ยินอีกครั้ง

“ตื่นแล้วหรือ พจน์ ถึงบ้านพอดีเลย” ภพดนัยส่งยิ้มกว้างกว่าปกติให้ลูกชาย พจน์ตั้งสติกระพริบตาให้เชื่อในสิ่งที่เห็น

“ผมหลับ...หรือครับ”

“ตั้งแต่บนทางด่วนแล้วค่ะ ตอนแรกดาวคุยอยู่คนเดียวตั้งนาน” ดารายื่นหน้ามามองพี่ชายจากด้านหลัง

“พี่คิดว่า พี่...” พจน์กำลังลำดับความคิด

“ฝันถึงใครหรือคะ” ดาวตั้งข้อสังเกต

รถยนต์เคลื่อนผ่านหน้าเรือนไทยหลังงาม แล่นเข้าจอดในโรงรถ สายฝนเริ่มขาดช่วง แต่ท้องฟ้ายังคงดำมืดด้วยกลุ่มเมฆสีเทา แสงแดดยามเย็นลอดผ่านมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ตลอดระยะเวลาเป็นเพราะพจน์เผลอหลับ และทุกสิ่งอย่างเป็นภาพของความฝันอย่างนั้นหรือ มันเหมือนจริงมากจนเชื่อได้ว่าปรากฏตัวอยู่ ณ ห้องเก็บตำราแห่งนั้น เขาสัมผัสจับต้องร่างมาตะได้เสมือนมีตัวตนจริง เลือดเนื้อ ความรู้สึก คำพูดโต้ตอบ เพลิงไฟ ทุกสิ่งล้วนเป็นจินตนาการทั้งสิ้นหรือ แล้วอาการวูบโหวงที่เขารู้สึกตอนนี้ล่ะคืออะไร เมื่อคิดว่าจะไม่ได้เจอ เจ้านั่นอีก ก็บังเกิดความรู้สึกเสียดายไม่น้อย เขายังไม่ทันได้ขอบคุณเจ้านั่นที่พยายามช่วยเหลือพจน์ ยังไม่ได้ทันบอกชื่อสกุล และที่สำคัญยังไม่ได้เอ่ยคำลาเลยแม้แต่น้อย


TBC... โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3215168#msg3215168)   
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่๒ แรกพบ (๒๖/๑๐/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: babara ที่ 26-10-2015 16:34:40
ชอบๆ เขียนมาอีกนะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่๓ เด็กใหม่ (๒๘/๑๐/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 28-10-2015 15:20:59
บทที่ ๓


เด็กใหม่



เรือนเทพวิมาน เป็นสถาปัตยกรรมเรือนไม้ทรงไทยขนาดใหญ่ ลักษณะลายไม้และสีสันแสดงอายุสืบต่อมาเนิ่นนาน มีหอมุขตั้งอยู่กึ่งกลาง รายล้อมด้วยหมู่เรือนน้อยใหญ่ ทั่วอาณาบริเวณร่มรื่นด้วยไม้ยืนต้นขนาดหลายคนโอบ รวมถึงพรรณไม้ประดับหลากพันธุ์นานาชนิด เครื่องเรือนประดับตกแต่งด้วยของใช้เก่าแก่อายุกว่าหลายร้อยปี ด้วยเป็นสมบัติตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นของเชื้อสายที่ถือได้ว่าเก่าแก่ตระกูลหนึ่งเลยทีเดียว

ภัทรพจน์ก้าวขึ้นบันไดหน้าเรือนด้วยท่าทีล่องลอย ก่อนความฝันจะสิ้นสุด พจน์รู้แล้วว่ายังมีคนที่เชื่อใจ เชื่อคำพูดของคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอย่างเจ้ามาตะพยายามเชื่อ แต่ท้ายสุดคนที่ใช่กลับกลายเป็นบุคคลจินตนาการในฝันเท่านั้น

บรรยากาศเปียกชื้นพร่างพรมทั่วทุกอณูอากาศบนเรือนไทย ลมหนาวโบกพัดสะบัดไหว ยิ่งตอกย้ำอาการใจหายของพจน์ได้เป็นอย่างดี

“คุณปู่ กลับมาแล้วนี่คะ” ดาราส่งเสียงร้องบอก รีบรุดตรงเข้าหาชายสูงอายุ ร่างหนา ทรงผมเรียบแซมด้วยสีขาวบ้างประปราย คนเดียวกันกับที่พจน์เห็นผ่านโทรทัศน์กำลังประกาศเตือนสถานการณ์น้ำท่วมโลก ท่านนั่งพำนักอยู่บนยกพื้น ณ หอมุขกลาง ด้านข้างนั้นเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี อายุและวัยประมาณภพดนัยกำลังจดคำสั่งลงในสมุดคู่กาย
 
“คุณพ่อกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” ภพดนัยแสดงสีหน้าเป็นห่วง

“สักพักเห็นจะได้”

ศาสตราจารย์วิชัยตอบด้วยเสียงกังวาน พยักหน้ารับไหว้หลานทั้งสองด้วยสีหน้านิ่งขรึม ถึงอายุอานามจะดำเนินมาถึงใกล้วัยเกษียณ แต่ก็มิอาจบดบังเค้าโครงใบหน้าหล่อเหลาในสมัยเมื่อครั้งยังวัยหนุ่มได้

“ถ้าอย่างนั้น ผมขอลากลับก่อนนะครับ อาจารย์” ชายหนุ่มตาชั้นเดียวเก็บสมุดใส่กระเป๋าสะพายข้างพร้อมยกมือไหว้คนมีอายุ

“รอทานอาหารเย็นด้วยกันก่อนสิ พ่อชาญณรงค์” ศาสตราจารย์วิชัยเชื้อเชิญ

“คุณชาญณรงค์ติดธุระหรือครับ” ภพดนัยซักถาม

“ผมไม่ได้มีธุระเร่งด่วนหรอกครับ” ชายหนุ่มเจ้าของชื่อ ชาญณรงค์ ก้มหน้าตอบพร้อมกับปรากฏแถบสีแดงขึ้นข้างผิวแก้มทั้งสอง ลุกลามมาถึงใบหูและลำคออย่างรวดเร็ว

“ถ้าไม่เป็นการรบกวน อยู่ร่วมโต๊ะกันก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมจะลงไปดูที่โรงครัวว่าพร้อมแล้วหรือยัง” ภพดนัยย้ำคำอย่างรวบรัดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหายลงไปทางบันไดหลังเรือน

“คุณปู่คะ วันนี้ภาพประกวดของดาวได้รางวัลชนะเลิศด้วยค่ะ” ดาวแจ้งข่าว ศาสตราจารย์วิชัยเผลอยิ้มเพียงครู่

“เก่ง เก่งมาก”

“แล้ว แกล่ะ ตาพจน์ เป็นยังไงบ้าง” ท่านส่งคำถามให้หลานชาย พจน์สบดวงตาหลังแว่นแล้วก้มหน้าเงียบชั่วขณะหนึ่ง

“ก็ดีครับ ช่วงนี้ฝนตกบ่อยเลยไม่ค่อยได้ฝึกซ้อมฟุตบอล ส่วนชมรมคนเจ้าบทเจ้ากลอนก็กำลังเตรียมตัวแข่งขันในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้าครับ” ภัทรพจน์รายงาน
 
ศาสตราจารย์วิชัยพยักหน้ารับรู้

“คุณชาญณรงค์คะ นี่ไง ดาวถ่ายภาพประกวดเก็บไว้ด้วย ส่วนต้นฉบับทางโรงเรียนขอเก็บไว้ค่ะ” เด็กสาวยื่นหน้าจอโทรศัพท์ให้ชาญณรงค์ดู
 
พจน์มองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยท่าทีนิ่งเงียบ ริมฝีปากปิดสนิท นับตั้งแต่ ‘ผู้ช่วย’ คนนี้ของคุณปู่ก้าวเข้ามาในครอบครัวเทพวิมาน เขาแทบจะนับครั้งการสนทนาพูดคุยกับชาญณรงค์ได้ด้วยมือข้างเดียว ไม่เหมือนดาวที่ดูจะสนิทสนมกลมเกลียวกับคนอื่นได้อย่างรวดเร็วกว่าพี่ชาย

“อาหารเย็นพร้อมแล้วค่ะ” ป้าแจ่ม หญิงมีอายุยิ้มกว้างวางสำรับลงบนโต๊ะ เธอเป็นคนจิตใจดี หน้าตาดูยิ้มแย้มอยู่เสมอ ใบหน้าเรียวมีเค้าของความสวยในอดีต ด้านหลังนั้นมีหญิงสาวผิวเข้มไว้ผมหน้าม้า นามว่า ส้ม ช่วยถือจาน โถใส่ข้าว แก้ว และเหยือกน้ำมาส่งให้ ภพดนัยช่วยถือสำรับกับข้าวมาอีกถาดหนึ่ง ดาวยื่นมือเข้าช่วยคุณพ่อพลางจัดแจงวางภาชนะเครื่องเบญจรงค์สำหรับใส่อาหารเรียงบนโต๊ะไม้ลายฉลุ ซึ่งประกอบด้วย แกงจืดเต้าหู้ ผัดผักรวมมิตร แกงเขียวหวานไก่ ผัดเปรี้ยวหวาน ต้มยำกุ้ง และไข่ลูกเขย รวมถึงของหวานประเภททองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และเม็ดขนุน เมื่อจัดวางแล้วเสร็จคู่ยายหลานจึงขอลากลับคืนยังโรงครัว

ทุกคนเริ่มรับประทานอย่างเชื่องช้า เมื่อเวลาผ่านล่วงสักครู่หนึ่ง พจน์ก็รู้สึกอิ่มอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพราะการปรุงรสอาหารของป้าแจ่มฝีมือตกแต่อย่างใด เป็นเหตุมาจากพจน์ไม่รู้สึกอยากอาหารมากนัก

แทบไม่มีคำสนทนาใดๆเกิดขึ้นระหว่างรับประทานอาหารเลย ระหว่างนั้นเองเสียงโทรศัพท์ภายในห้องของศาสตราจารย์วิชัยจึงดังขึ้น ชายสูงวัยพยักหน้าให้ชาญณรงค์เป็นผู้ดำเนินการ เพียงชั่วครู่ก็กลับมารายงานว่า

“ทางสถาบันฯมีนัดหมายประชุมเร่งด่วนในวันพรุ่งนี้ครับ”

“ไม่ผิดจากที่คาดการณ์ไว้นัก” ศาสตราจารย์ส่ายหน้า ดูเหมือนทุกคนจะพร้อมใจกันอิ่ม

“คงไม่ใช่เหตุเพราะคุณพ่อทำการประกาศเตือนในวันนี้ใช่ไหมครับ” ภพดนัยคาดคะเน

“ถ้าไม่ใช่ ก็เป็นเรื่องน่าสงสัยทีเดียวล่ะ” ศาสตราจารย์วิชัยนิ่งคิด แววกังวลปรากฏอยู่บนใบหน้าภพดนัยทันที “แล้วนี่แกไม่ต้องไปอ่านข่าวหรอกหรือ คืนนี้น่ะ”

“คืนนี้ไม่ใช่คิวอ่านข่าวของคุณพ่อค่ะ คุณปู่ ดาวจำได้” ดาราตอบเสียงรื่นเริง

ศาสตราจารย์ทำหน้ารับรู้ ตอนแรกพจน์คิดจะขอตัวกลับเข้าห้องของตนก่อน ถึงแม้จะเป็นการเสียมารยาทและไม่ควรออกจากโต๊ะรับประทานอาหารก่อนผู้หลักผู้ใหญ่ ก็พอดีชาญณรงค์ซึ่งนิ่งเงียบมานานเอ่ยปากขึ้น

“เรื่องที่อาจารย์พูดในตอนประชุมครั้งผ่านๆมา อาจารย์ยังอธิบายไม่ชัดเจนนี่ครับ ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่อาจารย์จะต้องพูดความจริงทั้งหมดออกมา ศาสตราจารย์ท่านอื่นๆอาจจะเข้าใจเรื่องน้ำท่วมโลกมากขึ้นก็เป็นได้”

เป็นครั้งแรกที่พจน์เห็นชาญณรงค์พูดประโยคได้ยาวขนาดนี้

“ถึงเวลาแล้วหรือ” ศาสตราจารย์ทวนเสียงเบา คล้ายกับถามตัวเองมากกว่าใครอื่น

“ครับ อาจารย์ ข้อมูลที่เราเก็บไว้มีความสำคัญไม่น้อย มันน่าจะทำให้เรื่องราวซึ่งขาดตอนอยู่นี้สมบูรณ์มาขึ้น และทั้งโลกจะได้เข้าใจในคำพูดของอาจารย์เสียที”

ศาสตราจารย์วิชัยมีท่าทีลังเลชั่วขณะ มีความจริงใดซ่อนอยู่หลังคำเตือนน้ำท่วมโลกอย่างนั้นหรือ พจน์สบตากับดาว สภาพบรรยากาศรอบตัวนิ่งสงบ

“อาจารย์เคยบอกว่า เวลา เป็นสิ่งสำคัญ ยากที่เราจะสร้างขึ้นมาเองได้นะครับ เราคงมีเวลาเหลือไม่มากแล้ว” ชาญณรงค์ย้ำเตือน

“เวลา...” ศาสตราจารย์วิชัยรำพึงรำพันกับตัวเองเหมือนท่านหลุดลอยสู่โลกส่วนตัว ถ้าสิ่งที่คุณปู่อำพรางไว้สร้างความกระจ่างและทำให้ผู้คนเชื่อได้ว่า น้ำกำลังท่วมโลกจริง นั่นยิ่งควรจะเปิดเผยสู่สาธารณะชนดีกว่าจะปิดบังไว้ ทุกคนต่างภาวนาว่าการตัดสินใจของท่านจะนำไปสู่แสงสว่างสุดปลายทางหรือดำมืดดุจอุโมงค์ทางตัน

“เอาล่ะ ฉันจะพูดข้อมูล และสาเหตุของเรื่องราวทั้งหมดให้ที่ประชุมได้ทราบว่าทำไมน้ำถึงจะกำลังท่วมโลกในอีกไม่ช้า” ศาสตราจารย์ตัดสินใจอย่างแน่วแน่

ส่วนหนึ่งภายในร่างกายของพจน์ลุกกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ ดาวฉีกยิ้มกว้างเช่นเดียวกับสีหน้าโล่งอกของคุณพ่อ เมื่อในที่สุดเรื่องราวที่คลุมเคลืออยู่กำลังถูกไขให้กระจ่างแจ้ง และคงมีคนเชื่อคำพูดของท่านอย่างแน่นอน

***************************************

เงาดำคืบคลานอยู่ริมบาทวิถีฝั่งตรงข้ามกับเรือนไทยเทพวิมาน หลังจากนั้นเพียงชั่วอึดใจหนึ่ง มันจึงก่อตัวเป็นรูปร่างใต้ผ้าคลุมสีดำเหนือยอดตึกสำนักงานที่ตั้งเรียงรายอยู่ใกล้เคียง ดวงตาสีแดงวาวโรจน์บ่งบอกถึงอารมณ์เบื้องลึกภายใน อาณาเขตโดยรอบได้รับการคุ้มกันจากพลังอำนาจสูงสุดเป็นอย่างดี มันสัมผัสได้ถึงพลังอันแก่กล้านี้ ร่างดวงจิตมิอาจจะเข้าไปเรือนหลังนั้นได้ มันต้องเร่งเตือนทาสรับใช้ผู้มาถีง เพราะมนตรานี้ทรงพลังยิ่งนักเกินกว่าสมุนของมันจะต้านทานได้

****************************************

ภัทรพจน์ล้มตัวลงบนเตียงนอนอย่างรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ภายในห้องตกแต่งเรียบง่ายเน้นโทนสีน้ำตาลขาว มีโปสเตอร์นักฟุตบอลทีมโปรดติดอยู่เหนือหัวเตียง ข้างโต๊ะอ่านหนังสือเป็นกรอบรูปถ่ายครอบครัวเมื่อพจน์อายุประมาณห้าหรือหกขวบ ซึ่งเขาจำไม่ได้แล้วว่าไปเที่ยวที่ไหน หนึ่งในนั้นไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว คือ แม่ ของพจน์นั่นเอง ท่านเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ใกล้กับโคมไฟมีหนังสือ เรียงร้อยถ้อยกวี ไว้ช่วยอ่านแก้เครียด อีกมุมเป็นตู้เก็บหนังสืออัดแน่นเต็มทุกชั้น

การตัดสินใจของคุณปู่คือทางออกของทุกปัญหา เด็กหนุ่มรีบลุกยืนแล้วเปิดลิ้นชักโต๊ะเพื่อจะหยิบสมุดบันทึก ลีลาวดีดอกหนึ่งร่วงหล่นลงพื้นทันทีที่พจน์ดึงสมุดออก ดอกสีขาวส่งกลิ่นหอมยังแลดูสดใหม่ น่าจะเป็นพี่ส้มเก็บมาให้เพราะรู้ว่าเด็กหนุ่มชอบดอกไม้ชนิดนี้
 
พจน์กางสมุดบันทึกออก ภายในเป็นภาพข่าวตัดมาจากหนังสือพิมพ์ หรือ สื่อสิ่งพิมพ์อื่นใดอันเกี่ยวกับข่าวน้ำท่วมโลก ซึ่งพจน์สืบค้นหาและถ่ายเอกสารมาแปะติดไว้ เขาเปิดหน้ากระดาษที่ว่างเปล่า แล้วเริ่มเขียน หลักฐาน? แตกแขนงเป็น โบราณคดี, ธรณีวิทยา, วิทยาศาสตร์ เท่าที่คิดได้หลักฐานยืนยันคงต้องอยู่ในหมวดหัวข้อเหล่านี้เป็นแน่
 
โทรศัพท์มือถือขึ้นเตือนข้อความสนทนา

DARA DAO: ทำยังไงต่อกับปฏิบัติการที่ 003 คะ
PHATHARA PHOJ: ยกเลิกภารกิจ 003 ด่วน
DARA DAO: รับทราบค่ะ
PHATHARA PHOJ: ถ้ามีภารกิจใหม่ จะแจ้งให้เริ่มปฏิบัติการทันที

น้องสาวส่งสติ๊กเกอร์โอเคกลับมา ระหว่างนั้นกลุ่มสนทนานามว่า เทวดาเดินดิน ก็แจ้งเตือนเช่นเดียวกัน
 
PREM NUTT: แจ้งให้ทราบ พรุ่งนี้จะมีนักเรียนใหม่ย้ายมาอยู่ห้องเราว่ะ
PARAMEE BOT: แมร่ง...กลางเทอมนี่นะ?
PHONGSAKORN PURE: เส้นใหญ่แน่ๆ
NARINT NAI: ไม่ก็พวกมีปัญหากับห้องปกครอง เอ๊ะๆ ใครอยากกินก๋วยเตี๋ยวตอนนี้วะ ฮ่าๆ
JONGRAK RAK: พวกคุณให้เกียรติเพื่อนใหม่ด้วยครับ อยากกินๆ
KEERATI GEE: คนละเรื่องเดียวกันละพวกแมร่ง
VEERAPOBB TOR: 555+
AEKACHAI AEK: ต้องรับน้องใหม่ป่าววะ
CHOLNATEE NAM: เอาๆ จัดหนักๆ
PARAMEE BOT: ใจเย็นๆครับ น้องน้ำ ดีใจเกินเหตุละมึง
PHATHARA PHOJ: วันนี้พวกมึงไปไหนกันมาวะ
KEERATI GEE: พระเอกมาแล้วเว้ย
PHATHARA PHOJ: สัด ไม่ใช่สักหน่อย
PARAMEE BOT: นัดสาว เหล่สาว เดตสาว แล้วก็ได้สาวว่ะ เฮ้ยๆ ไม่ใช่ๆ 555
PREM NUTT: แชทสุภาพด้วยครับ 555 พวกมึงรอเจอตัวจริงเด็กใหม่ก่อน แล้วค่อยคุยโว บาย ฝันดี

พจน์กดออกจากโปรแกรมสนทนา แต่พวกมันคงคุยกันต่ออีกยาว น่าแปลก โรงเรียนที่พจน์เรียนอยู่ไม่ใช่จะรับคนเข้าง่ายๆ ถ้าไม่เส้นใหญ่อย่างเจ้าพวกนั้นว่าก็คงต้องมีความสามารถพิเศษบางอย่างจนย้ายเข้ากลางเทอมได้
 
เช้าวันใหม่ ชาญณรงค์มารับคุณปู่เพื่อไปสถาบันฯที่ทำงานของท่านตั้งแต่ยังไม่รุ่งสาง ความหวังอย่างหนึ่งจุดวาบในอกของพจน์ เมื่อความจริงทั้งหมดเปิดเผย ในไม่ช้าทุกคนก็คงจะรับรู้และเชื่อเป็นแน่ ภพดนัยขับรถมาส่งเด็กทั้งสองก่อนจะรีบเร่งจากไปบอกว่ามีข่าวด่วนต้องไปติดตาม

“พี่คิดว่าอีกในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เราคงมีข้อมูลใหม่อย่างแน่นอน เรื่องแจกใบประกาศให้ยกเลิกก่อน” พจน์กระซิบบอกดาวขณะเดินเข้าโรงเรียน

“ค่ะ ดาวบอกพี่ส้มแล้วให้รอคำสั่งใหม่อีกครั้ง”

“ดีมาก” พจน์ขยี้ผมน้องสาว

“พี่พจน์ ผมดาวเสียทรงหมดแล้ว ไปละ” เด็กสาววิ่งหนีไปทางกลุ่มเพื่อนของเธอ ส่วนพจน์แยกเดินเข้าห้องเรียน เมื่อเคารพธงชาติแล้ว ครูประจำชั้นเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้าห้องและแจ้งเรื่องให้ทราบทันที

“วันนี้ห้องของเราจะมีนักเรียนใหม่มาเรียนร่วมด้วยนะ เชิญ” สิ้นคำของครูประจำชั้น นักเรียนชายร่างสูงคนหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าเรียว จมูกงองุ้ม ขอบตาเหยี่ยวดูไม่เป็นมิตร ทรงผมตัดสั้นสกินเฮด

“ชื่อนายนิธิ กันตารักษ์ ชื่อเล่นชื่อ กัน ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ” รอยยิ้มและดวงตาทั้งสองถูกส่งมายังบริเวณหลังห้องที่พจน์นั่งอยู่ เมื่อเกิดสบตากันจึงรู้ว่า เจ้านั่นมองมายังพจน์นั่นเอง ความรู้สึกไม่น่าไว้วางใจตั้งแต่แรกพบก่อตัวในใจ เป็นความรู้สึกหลากหลายมากกว่าหนึ่งที่เขารับรู้ได้ ส่วนสาวๆในห้องต่างกรีดร้องต้อนรับราวกับถูกน้ำร้อน ไอ้โบทกระซิบข้างหูพจน์
 
“มันมองมึงว่ะ เอ๊ะ ยังไงๆ”

“มองตาก็รู้ว่ะ มันจ้องหาเรื่องมึงแน่” ไอ้กีซึ่งนั่งโต๊ะเดียวกับพจน์เสนอความเห็น

ปาล์ม เปรมณัฐ ผู้นั่งอยู่โต๊ะถัดไปยื่นกระดาษพร้อมข้อความว่า ‘ใจเย็นๆ’ และส่ายหน้าประกอบ จะให้มีเรื่องกันตั้งแต่วันแรกก็ใช่เรื่องหรอกนะ ถ้าอีกฝ่ายไม่คิดจะท้าทายหรือลงมือทำก่อน
 
เมื่อครูประจำชั้นออกไปแล้ว ไอ้เด็กใหม่ก็เดินตรงมาหาพจน์ทันที ไอ้น้ำคนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มกระโดดมายืนบังป้องกันพจน์จากเด็กใหม่ ก่อนจะถูกผลักกระเด็นให้พ้นทาง

“เคยได้ยินแต่ชื่อ ไม่เคยเจอตัวจริงมาก่อน น่ารักใช่เล่นนะ นายอ่ะ” เพื่อนในกลุ่มทั้งเก้าคนผสานเสียงร้องอย่างตกใจ “เราชื่อ กัน ยินที่ได้รู้จัก”

“มึงคิดจะจีบเพื่อนกู หรือหาเรื่องเพื่อนกูกันแน่วะ หน้าตากับสายตามึงไม่ตรงกันเลยนะ” ไอ้เอกตั้งสติได้ก่อนจะเร่งถามละล่ำละลัก

เด็กใหม่ยังคงสนใจพจน์เพียงคนเดียวยื่นมือหมายจะให้จับทักทายตอบ แต่เขากลับนั่งนิ่งเสียยังคงจ้องตาคมเฉี่ยวนั้น เจ้านั่นหัวเราะชอบใจ

“เอางั้นก็ได้”

“มึงมีปัญหาอะไรกับพวกกูเปล่าวะ” ไอ้เตี้ยน้ำยังคงตะโกนถาม ส่วนไอ้เด็กใหม่เหลียวมองน้องน้ำอย่างไม่แยแส เพื่อนในกลุ่มต่างมีสีหน้างงงวยผสมไม่พอใจดุจเดียวกับพจน์

“กูคิดว่าคงไม่ต้องสุภาพกับมึงเท่าไหร่” ไอ้กันยังคงรุกหนักต่อไป มันคนเดียวกำลังยืนเสี่ยงอ้อนยี่สิบเท้ารุมกระหน่ำอยู่ ส่วนเพื่อนร่วมห้องแทบไม่ได้มีใครสนใจนอกจากนักเรียนหญิงกลุ่มดาวห้องเท่านั้นที่เหลียวมองเป็นระยะ

“ก็แล้วแต่มึงสะดวก” พจน์เงยหน้าตอบ ความรู้สึกแปลกประหลาดปรากฏชัดยิ่งกว่าเดิม อยู่ๆคนที่ไม่เคยพบหน้า ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแม้แต่น้อย เหตุใดเมื่อแรกพบเจอถึงได้แสดงทีท่าเสมือนคู่รักคู่แค้นกันมาแต่ชาติภพก่อนอย่างใดอย่างนั้น

ไอ้เพรียวหน้าเรียวร้องเสียงหลงประดุจโดนเหยียบหาง

“กูถามจริง ไอ้พจน์เพื่อนกูเคยไปแย่งแฟนมึงหรือว่ามึงเคยมาแย่งแฟนมัน หรือมึงต้องการมันเป็นแฟนกันแน่วะ” คนอื่นๆที่เหลือลุกขึ้นยืนประจันหน้าคนคนเดียวอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น

“มัน...” ไอ้กันตวัดสายตาแหลมคมมองพินิจพจน์อีกครั้ง “มันน่ารักดี แต่มันไม่ควรมายืนอยู่ ณ จุดที่มันยืนอยู่”

ทุกคนเงียบกริบราวกับคำพูดเมื่อครู่เป็นภาษาต่างดาวที่ไม่มีใครเข้าใจได้โดยง่าย เด็กหนุ่มร่างสูงผอมหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากกระเป๋านักเรียนแล้ววางลงตรงหน้าพจน์ เพียงเหลือบมองก็รู้ว่าเป็นโคลงสี่สุภาพจำนวน ๒ บท ถูกเขียนด้วยลายมือวิจิตรบรรจง

“ถ้ามึงเป็นคนกล้าอย่างที่กูเคยได้ยิน มึงคงจะรับคำท้าของกู”

“มันเรื่องอะไรกันวะ อยู่ๆก็มาหยามเกียรติเพื่อนกูอย่างนี้” ไอ้ต่อผมสกิดเฮดอีกคนถามกลับ ไอ้กันยังไม่มีท่าทีเกรงกลัวหรือสนใจเพื่อนรอบตัวของพจน์เลยแม้แต่น้อย ราวกับในสายตาดำมืดนั้นมีแต่พจน์อยู่เพียงคนเดียว

“ถ้ามึงตีความโคลงสี่สุภาพสองบทนี้ออก โดยความหมายถูกต้องทุกประการ กูจะยอมไม่ยุ่งเกี่ยวกับมึงอีก แต่ถ้ามึงทำไม่ได้จงถอนตัวจากทีมประกวดกลอนสด ลาออกจากประธานชมรมคนเจ้าบทเจ้ากลอน และ...ต้องมาเป็นแฟนกู” สิ้นคำเสนอของเด็กใหม่ ต่างคนต่างพยายามยื้อยุดห้ามปรามไอ้โบท ไอ้กี และไอ้ต่อ ไม่ให้พุ่งเข้าใส่ไอ้กันอย่างยากลำบาก พจน์รู้สึกว่าคำท้าทายนี้อยู่นอกเหนือสารบบความคิดของตนอย่างยิ่ง

“เพราะถ้ามึงไร้สติปัญญาจะทำได้แล้ว มึงก็ไม่มีคุณสมบัติจะเป็นเอกในด้านการแต่งกลอนอีก และจำเป็นต้องมีคนคุ้มครองดูแล” รอยยิ้มร้ายกาจนั้นฉายแววปรากฏ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พจน์โดนเพศเดียวกันจีบซึ่งๆหน้า เขาถอนหายใจพลางหยิบกระดาษกลอนนั้นมาอ่าน

ครอบครองเพียงหนึ่งสร้าง        แสนพล พ่ายเอย
ทุกเผ่าพันธุ์สืบค้น                    ยิ่งแล้ว
บุรุษใดได้ยล                           ล้ำค่า เก้าแก้ว
‘ชายเหนือชาย’เพริศแพร้ว      อยู่ยั้ง ยืนยง

   
เพชรทรงฤทธิ์ร่ำร้อง      ดวงใจ จิตเอย
ลอยเลื่อนเลือนลับไพร      แหล่งหล้า
สิบทิศจบภพไตร             พ้นผ่าน ลับแล
คืนสู่ใจสองข้า                 หนึ่งฟ้า ราตรี

ดูเหมือนพจน์จะเจอคู่ปรับคนสำคัญทางด้านการแต่งกลอน และทางด้านตัวป่วนในชีวิตเข้าให้เสียแล้ว


TBC... โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3219569#msg3219569)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓ เด็กใหม่ (๒๘/๑๐/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-10-2015 11:15:44
ลึกลับซับซ้อนเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓ เด็กใหม่ (๒๘/๑๐/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: pnn ที่ 30-10-2015 11:34:32
ภาษาสวยงาม อ่านลื่นไหลดี กำลังลุ้นอยู่ว่าเมื่อไหร่จะเจอกับพระเอก? (หรือเปล่า) อีก ติดตามๆ :mc4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔ ปริศนาโคลงกลอน ๕๐% (๒/๑๑/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 02-11-2015 11:23:57
บทที่ ๔


ปริศนาโคลงกลอน



“กูให้เวลามึง ๗ วัน”
 
คำพูดแหบทุ้มเอ่ยพร้อมใบหน้านิ่งขรึม สายตาดูแคลนนั้นคงคิดว่าพจน์จะปฏิเสธ

“กูรับคำท้า” เสียงฮือฮาอีกระลอกดังผสานลั่นสนั่น สีหน้าของไอ้กันแสดงออกอย่างชัดแจ้งว่าผิดจากที่มันคาดการณ์ไว้ ไอ้จงรักษ์ เด็กหนุ่มคิ้วเข้ม เปิดปากร้องเสียงหลงเหมือนโดนถูกเชือด

“มึงแน่ใจหรือวะ ไอ้พจน์” เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อพยักหน้า จ้องตอบไอ้กันอย่างไม่วางตา

“แล้วถ้าเกิดมึง...เอ่อ...แปลความไม่...ไม่ได้ละว่ะ” ไอ้เอก คนผิวแทนถามสะดุดติดขัด

“กูก็จะทำตามข้อตกลงของมัน”

“จะยอมออกจากทีมแต่งกลอนสด ลาออกจากประธานชมรมคนเจ้าบทเจ้ากลอน และ...” ไอ้เตี้ยน้ำเว้นวรรคพร้อมกลืนน้ำลายดังเอื้อก ดวงตากลมโตของน้องน้ำเบิกโพลงยิ่งกว่าปกติ “มึงจะตกลงเป็นแฟนมัน จริงๆเหรอวะ”

ไอ้เปรมณัฐส่งสายตาแปลกพิกลพร้อมใบหน้านิ่งเฉยที่มันชอบทำมาทางพจน์ ตลอดเวลามันแทบไม่ปฏิกิริยาอาการอื่นใดเลยนอกจากนั่งเงียบเฉยทั้งๆที่คนอื่นๆเต้นแร้งเต้นกาเหมือนโดนผีเข้า
 
“อืม” พจน์พยักหน้าเหลียวมองเพื่อนในกลุ่มทุกคนให้พวกมันยอมเข้าใจ

นี่นับเป็นการตัดสินใจอย่างถ้วนถี่แล้วสำหรับพจน์ เมื่อพิจารณาว่าโคลงสี่สุภาพซึ่งไอ้กันนำมานั้นมีบางอย่างสะกิดใจให้ค้นหา ทุกถ้อยเรียงคำ มีความหมายมากกว่าปกติซ่อนอยู่เป็นแน่ จนสร้างแรงกระตุ้นให้อยากถอดความออกมา อีกทั้งยังเป็นโคลงสี่สุภาพที่พจน์ไม่เคยผ่านตามาก่อน หรือเคยพบในหนังสือวรรณกรรมเล่มไหนเลยเท่าที่เคยอ่าน ไม่ว่าไอ้กันจะเป็นผู้แต่งเองหรือคัดลอกมาจากไหนก็ตาม แต่โคลงสองบทนี้น่าสนใจจนไม่อาจปฏิเสธได้ ยกเว้นเพียงเงื่อนไขแลกเปลี่ยนถ้าหากพจน์เกิดพ่ายแพ้ โดยเฉพาะข้อสุดท้ายซึ่งออกจะเกินเลยไปมาก

สีหน้าอย่างผู้กำชัยชนะแสดงชัดอยู่บนร่างของผู้ท้าทาย แต่แววตาซึ่งแข็งกร้าวก่อนหน้านี้เริ่มไม่มั่นคงราวกับหวาดกลัวบางสิ่งปรากฏให้เห็นขัดแย้งกันจนพจน์อยากจะเอ่ยปากถามเหลือประมาณว่า คำประกาศกร้าวนี้คือสิ่งที่มันประสงค์ด้วยใจจริงหรือไม่
 
ไอ้กี ไอ้โบท ไอ้ต่อ ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง หมดสภาพ ดูพ่ายแพ้ ประหนึ่งเสียพจน์ให้ไอ้กันไปแล้วโดยไม่สามารถขัดขวางหรือฉุดรั้งเอาไว้ได้อย่างไรอย่างนั้น ทุกคนในกลุ่มนิ่งเงียบเช่นเดียวกับไอ้ปาล์ม ดูเหมือนพวกมันจะเคารพการตัดสินใจของพจน์และไม่ห้ามปรามอันใดอีก
 
ไอ้นิธิละสายตาจากพจน์แล้วเดินกลับไปยังโต๊ะตัวว่างสำหรับมันทางหลังห้องแต่คนละด้านกับกลุ่มของพจน์ สาวๆดาวห้องรีบพุ่งเข้าหาต้อนรับเด็กใหม่ทันทีเมื่อโอกาสมาถึง รุมล้อมหน้าล้อมหลังเจ้านั่นเช่นดาราในโทรทัศน์ แต่มันกลับนั่งนิ่งไร้การตอบสนองต่อสิ่งเร้ารอบตัว มีเพียงสายตาเท่านั้นที่ยังคงมองมาหาพจน์
 
นี่ไม่ใช่การเดิมพันของศักดิ์ศรีลูกผู้ชายเท่านั้น แต่เป็นการประชันฝีมือระหว่างคนแต่งกลอนทั้งสองอีกด้วย

ช่วงพักคาบเรียน พจน์หนีบรรยากาศวุ่นวายภายในห้องปลีกตัวมาเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างความปริวิตกไม่เฉพาะเรื่องไอ้เด็กใหม่ แต่เป็นความจริงจากปากคำของคุณปู่ซึ่งจะแถลงต่อที่ประชุม ความจริงอันเที่ยงแท้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นจะนำพาเขาและทุกคนบนโลกให้พบกับหนทางสว่างไสว

“มึงกล้ามากกว่าที่กูคิดเอาไว้เสียอีก ลึกๆในใจกูไม่คิดว่ามึงจะรับคำท้าด้วยซ้ำ”

เป็นอีกหนึ่งเสียงที่พจน์จำได้แม่นยำแม้นไม่เหลียวมอง เด็กหนุ่มสบตาคนตัวสูงผ่านกระจกเหนืออ่างล้างมือ ใบหน้าเรียวแหลมพร้อมหนวดเคราหรอมแหรม คงตั้งใจปล่อยไว้ เสริมบุคลิกหล่อร้ายจนยากจะมีสาวใดต้านทานได้ ยกเว้นพจน์ เขาทำทีบรรจงล้างมือเพื่อจะได้ไม่ใส่ใจคำพูดของคนเบื้องหลัง

“มึงเป็นคนน่าสนใจ น่าค้นหา” ไอ้กันยืนกอดอกสบตาพจน์ผ่านกระจกเงา

“มึงพูดคำพวกนี้ได้ง่ายดายจริงนะ แล้วสิ่งสำคัญคนที่มึงพูดด้วยก็มีสภาพไม่ต่างไปจากมึงเลยแม้แต่น้อย” พจน์ตอบกลับ

“ฮ่าๆ สมัยนี้แล้วใครจะสนเรื่องเพศกันละ” ไอ้กันหัวเราะอย่างอารมณ์ดีตรงกันข้ามกับความรู้สึกในใจพจน์โดยสิ้นเชิง “เท่าที่กูสังเกต คงไม่ใช่กูคนเดียวหรอกที่ให้ความสนใจมึง ถ้ามึงเปิดใจเปิดตาคงเห็นว่ารอบตัวมึงมีใครชอบมึงอีกบ้าง”

“เหตุผลที่กูรับคำท้า ไม่ใช่เพราะให้ความหวังหรืออะไรก็ตาม แต่เพราะสิ่งที่มึงนำมาท้ากูเป็นสิ่งที่กูรัก เคารพ และสูงส่งเกินกว่าจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือล้อเล่นแบบนี้ได้” พจน์พูดเสียงกร้าวเกือบจะขยำกระดาษโคลงกลอนซึ่งถือติดมือมาด้วยอย่างลืมตัว

ไอ้กันยืนนิ่งชั่วขณะ

“กูไม่ได้ล้อเล่น ตั้งใจจะพิสูจน์มึงจริงๆ”

“ถ้ามึงรักอะไรสักอย่าง มึงจะไม่นำมันมาพิสูจน์อีก กูรู้มึงมีฝืมือด้านแต่งกลอน แต่ถ้ามึงรักโดยใจซื่อตรงแล้วมึงคงไม่คิดนำโคลงบทนั้นมาท้ากู เหมือนเป็นสิ่งของไร้ราคาเพื่อแลกกับอะไรก็ตามที่อยากได้ มันควรเป็นสิ่งล้ำค่าและควรหวงแหนเก็บรักษาเท่าชีวิต”

รอยยิ้มของไอ้เด็กใหม่เลือนหาย เหลือเพียงใบหน้านิ่งเฉย ริมฝีปากเรียบตึง และแววตาอ่อนไหวเท่านั้น
 
“ถ้ามึงโกรธเพราะการกระทำของกู ก็ขอโทษด้วย”

พจน์ก้มหน้าถอนหายใจแรง รู้สึกสบสนและไม่เข้าใจการกระทำของอีกคนเลยแม้แต่น้อย ไอ้นิธิยื่นผ้าเช็ดหน้าสีน้ำตาลมาให้พจน์เพื่อใช้ซับน้ำซึ่งพร่างพรมอยู่ทั่วใบหน้า เขารับไว้แต่ไม่ได้ทำตามประสงค์ของอีกฝ่าย

“เราสองคนเคยเจอกัน หรือใครคนหนึ่งคนใดเคยทำให้อีกคนเสียใจมาก่อนหรือเปล่า” พจน์ถามอย่างสนใจใคร่รู้

ไอ้กันนิ่งอึ้งเหมือนรูปสลักหินอ่อนใช้สายตามองพจน์ราวกับพยายามจดจำทุกสิ่งรวมถึงรายละเอียดทุกอย่างให้ได้มากที่สุด

“เราสองคน ไม่เคยเจอกัน” ไอ้กันหลบสายตาพจน์เป็นครั้งแรก พลางก้มมองสำรวจพื้นห้องน้ำ คิ้วขมวดมุ่น “หรือเคยมีเรื่องกันมาก่อน กูยืนยันในข้อนี้ได้ มึงคงจำไม่ได้... แต่กู...”

พจน์สังเกตอากัปกิริยาของอีกฝ่ายแล้วให้รู้สึกประหลาดใจเป็นที่ยิ่ง สิ่งใดหนอทำให้ไอ้คนแววตามั่นใจ มุ่งมั่น แข็งกร้าวเฉกเช่นเมื่อตอนแรกเจอนั้น ผลัดเปลี่ยนเป็นไหวระริกอย่างเห็นได้ชัดแจ้งแลดูสะเทือนใจในบางสิ่งบางอย่างเช่นนี้

“กูอาสามา เพราะไม่คิดว่ามึงจะเป็นคนแบบนี้...” ไอ้กันกำมือทั้งสองจนเส้นเลือดปูดโปน

“หมายความว่ายังไง” พจน์รู้สึกชอบกลในคำพูดข้างต้น

“แต่อีกใจหนึ่งกูก็อยากเจอมึง” เป็นคำพูดซึ่งขัดแย้งกันจนแม้แต่พจน์ก็ไม่อาจตีความได้ “ไอ้พจน์ มึงควรรู้ไว้ มึงเป็นคนเดียวในโลกนี้ที่สำคัญที่สุดสำหรับกู และกูไม่มีวันนำสิ่งที่กูรักมาพิสูจน์หรือล้อเล่นโดยไร้เหตุผลแน่”

ถ้านี่เป็นขั้นตอนกระบวนการการจีบของไอ้นิธิ มันก็ข้ามขั้นตอนจากแรกสร้างความประทับใจ ทำความรู้จักอีกฝ่าย หรือช่วยเหลือเพื่อสร้างความสนใจอย่างที่พจน์เคยใช้ได้ผลเมื่อต้องการจีบหญิง แต่นี่กลับรวบรัดตัดตอนบอกความในใจและสร้างความไม่ประทับใจได้อย่างเหลือเชื่อผิดวิสัยคนปกติมาก ถ้าจะบอกว่ามันไม่เคยคบใครมาก่อนก็แปลกมิใช่น้อย

ภัทรพจน์หลับตาลงพยายามระงับอาการปวดศีรษะ ด้วยเรื่องกวนใจนี้เขาสับสนเกินกว่าจะเข้าใจเจตนาอันแท้จริงของไอ้เด็กใหม่จนอยากจะหนีไปจากตรงนี้ ไฟในห้องน้ำติดๆดับๆคงจะมีกระแสไฟตก แล้วเพียงสักครู่หนึ่งจึงมืดสนิทไร้แสงสว่างใดๆ

“ไอ้กัน!” พจน์ตะโกนเรียกแต่ไร้เสียงตอบกลับ เหมือนมันได้ล่องหนหายตัวไปเสียแล้ว
 
ท่ามกลางความมืดมิดพจน์จึงเอื้อมมือคลำผนังด้านข้างเพื่อหาทางออกไปยังประตูห้องน้ำ ไอ้นิธิคงจะแกล้งเขาและดับไฟก่อนที่ตัวเองจะหนีหาย นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะเว้ย หากเกิดชนข้าวของเสียหายหรือหกล้มขึ้นมาจะว่าอย่างไร ปากบอกว่าชอบพจน์แต่การกระทำนี่ตรงข้ามกันเลย

เมื่อฝ่ามือคลำผนังจนถึงพื้นผิวลักษณะคล้ายบานประตูแล้วพจน์จึงออกแรงผลักทันที แสงสว่างแผดจ้าจนพจน์ต้องก้มหน้าหลบชั่วครู่ แล้วจึงพบว่าตนได้เข้ามาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ เพดานและฝาผนังคล้ายบ้านเรือนไทยเช่นเดียวกับห้องนอนของพจน์ ผนังส่วนหนึ่งสร้างเป็นลูกมะหวดทำจากไม้เป็นรูปกลมๆป้อมๆเรียงกันเป็นลูกกรงใช้แทนหน้าต่าง กึ่งกลางห้องเป็นอัจกลับหรือโคมไฟอย่างหนึ่งทำด้วยทองเหลืองมีระย้าห้อย แต่ฝีมือช่างมีลักษณะแตกต่างจากเรือนไทยทั่วไปอีกทั้งสีสันไม้กระดานเป็นสีน้ำตาลเข้มมีการแกะสลักผนังลวดลายวิจิตรหาได้ยากยิ่งนอกจากลายพุ่มข้าวบิณฑ์แล้วลายอื่นๆนั้นพจน์แทบไม่เคยพบเห็นมาก่อน ภายในห้องมีกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ลอยตลบอบอวล เบื้องหน้าพจน์เป็นฉากกั้นทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายเครือเถาลงรักปิดทอง สามารถมองลอดผ่านและเห็นได้ว่าเบื้องหลังฉากกั้นนั้นเป็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่มผิวขาว ร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง แผ่นหลังกว้างกำยำ ปรากฏกล้ามเนื้อชัดเจน กำลังหันหลังผลัดผ้านุ่งห่มออก เผยให้เห็นสัดส่วนท่อนร่างนูนแน่นกระชับ ยังไม่ทันที่เจ้านั่นจะถอดผ้าได้สำเร็จสติของพจน์ก็คืนกลับมารีบเร่งร้องเตือนอาการละล่ำละลัก

“เฮ้ย...หยุดก่อน กูยังไม่อยากเป็นตากุ้งยิง”


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3220455#msg3220455)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔ ปริศนาโคลงกลอน ๑๐๐% (๓/๑๑/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 03-11-2015 11:15:58
[ต่อ]

ภัทรพจน์ยกฝ่ามือปิดดวงตาทั้งสองโดยเร็ว ส่วนคนถูกแอบมองรีบกระชับอาภรณ์นุ่งห่มให้แน่นดังเดิมแล้วเดินตรงมายังคนที่แอบซ่อนอยู่หลังฉากกั้น พร้อมทั้งดึงแขนคนถ้ำมองให้เผยโฉมหน้า แสงธรรมชาตินวลสว่างสาดส่องผ่านลูกกรงเข้ามาภายในห้องนั้น ทำให้เด็กหนุ่มทั้งคู่เห็นอีกฝ่ายได้ชัดกระจ่างตา

“เจ้า...”

“ไอ้...” พจน์เบิกตาโพลงราวกับเห็นผี “มาตะ”

มาตะกะพริบตาตอบรับคำเรียกชื่อตน พจน์รีบหยิกแขนด้านขวาของตัวเองและรับรู้ความเจ็บปวดอย่างรวดเร็วจนต้องร้องครวญคราง

“เป็นกระไรงั้นรึ” มาตะก้มลงถามสีหน้าร้อนรนหายจากอาการตะลึงงันเป็นปลิดทิ้ง “เหตุใดถึงหน้าขึ้นสีประหนึ่งเจ็บไข้ได้ป่วย”

“กู...เอ๊ย...ไม่อ่ะ ไม่ได้เป็นอะไร”

พจน์มองเลยผ่านคนคุ้นเคยตรงหน้า หักห้ามตัวเองไม่ให้เหลียวดูเรือนร่างกำยำที่นุ่งผ้าไม่เรียบร้อย ย้ายดวงตาเพื่อสำรวจสิ่งต่างๆโดยรอบ นี่ไม่ใช่ห้องเก็บตำราหลวงเหมือนคราวที่แล้ว แต่มีลักษณะเป็นห้องนอนมากกว่าเพราะด้านซ้ายมีเตียงสี่เสาพร้อมม่านทั้งสีด้าน ใกล้เคียงกันคือตู้ไม้สลักลายลงรักปิดทอง เหนือหัวเตียงทั้งซ้ายขวามีอาวุธประเภทดาบและทวนด้ามสีทองแขวนไขว้กันไว้

“เจ้าเป็นใครกันแน่” คำถามของมาตะดึงความสนใจพจน์ให้กลับมาอีกครั้ง

“กูต่างหากที่ต้องเป็นคนตั้งคำถาม” พจน์เถียงกลับ รีบเบือนหน้าหนีมองออกนอกหน้าต่าง เสียงนกร้องทักทายดังแว่วเจื้อยแจ้วเหมือนอยู่ใกล้เคียง ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ปรากฏหนาทึบเป็นฉากหลัง แสงตะวันบ่งบอกว่าเป็นเวลาสายหรือใกล้เที่ยง มีเสียงผู้คนสนทนาฟังไม่ได้ศัพท์อยู่เบื้องล่างสอดแทรกมาตามสายลมเอื่อยเฉื่อย รู้สึกเย็นสบายทั้งกายและใจอย่างประหลาด
 
เด็กหนุ่มมาปรากฏตัวอยู่ ณ สถานที่อื่นที่ไม่ใช่ที่ที่ตนอยู่ก่อนหน้านี้เป็นหนสอง ถ้าหากมันคือความฝันจริงดังน้องสาวของพจน์เคยบอกไว้ และเหตุใดเมื่อลองทำร้ายตัวเองยังคงไม่สะดุ้งตื่น  หรือจะตื่นก็ต่อเมื่อความฝันได้ดำเนินมาถึงวินาทีน่าตื่นตกใจ อีกด้านหนึ่งของความคิดกลับแย้งว่าถ้าความฝันของคนเราเกิดขึ้นในครั้งต่อมาความบังเอิญจะเจอคนในฝันคนเดิมนั้นยังมีอยู่อีกหรือ อยู่ๆพจน์จะนั่งหลับอยู่ในห้องน้ำอย่างปัจจุบันทันด่วนได้หรอกหรือ

“เจ้าต้องเจ็บไข้เป็นแน่ มีลักษณะอาการเหม่อลอย พึมพำแต่ผู้เดียว” มาตะยื่นหน้าเข้าใกล้พจน์จนเจ้าตัวสะดุ้งถอยห่างหลายก้าว แล้วโบกมือปฏิเสธเสียงดัง

“ไม่ๆ ไม่ได้ป่วย แค่สงสัยนิดหน่อย”

เจ้ามาตะพยักหน้าเข้าใจเอื้อมจับหน้าพจน์ด้วยมือใหญ่ทั้งสองให้หันมาเผชิญกันอีกครั้ง แววตามุ่งมั่นแน่วแน่เหมือนจะสะกดพจน์ให้อยู่ในอาการปกติจนได้

“ข้ามีนามว่า มาตะ เป็นมหาดเล็กรักษาพระองค์ สังกัดกองทหารมหาดเล็ก มีหน้าที่อารักขาพระเจ้าอาทิตยาธร ผู้เป็นพระราชนัดดาของสมเด็จเหนือเกล้า” มาตะพนมมือถวายบังคมเหนือเกศา “แล้วเจ้าเล่า”

พจน์ชี้นิ้วเข้าหาตนเอง อยากจะบอกให้มันแต่งตัวให้มิดชิดกว่านี้ก่อนจะสนทนาต่อ แต่อีกฝ่ายก็ส่งสายตากดดันกลับมาเร่งเร้า

“ชื่อ ภัทรพจน์ เรียกสั้นๆว่า พจน์ ก็ได้ อายุ ๑๗ ปี มึงก็คงอายุเท่ากันสินะ” พจน์แนะนำตัวคร่าวๆอย่างไม่จริงจังมากนัก

“ข้าเองเพิ่งจะครบ ๑๗ ขวบปีเมื่อปักษ์ที่ผ่านมา” พจน์พยักหน้างึกงัก ไม่ผิดจากที่คาดคะเนไว้ “ภัทรพจน์ เป็นนามอันไพเราะยิ่งนัก ‘วจนะอันดีงาม’”

เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อรีบหันกลับมามองเจ้ามาตะทันทีเมื่อมันแปลความหมายชื่อของพจน์ได้ถูกต้องทุกประการ

“ใช่รึไม่” คนคิ้วเข้มถามพร้อมหน้านิ่งขรึม พจน์รีบพยักหน้ารัวเร็ว

“มึง เอ่อ นายคงมีทักษะด้านภาษาอยู่พอประมาณสินะ ถึงได้แปลความออกได้ทันทีเมื่อได้ยิน” พจน์เปลี่ยนสรรพนามเรียกชื่ออย่างรวดเร็วเมื่อรู้สึกตัวว่าไม่ได้สนิทสนมใกล้ชนิดอีกฝ่ายขนาดนั้น

“ข้าเป็นศิษย์เอกผู้หนึ่งของสำนักคำฉันท์ แลมีภาษาเปรียบดั่งอาวุธที่สามารถใช้ประหัตประหารศัตรูคู่ต่อสู้ได้เฉกเช่นดาบแลทวน” เจ้ามาตะทำหน้านิ่งดังเดิมแม้พจน์จะจับสังเกตออกว่ามันคงภูมิใจไม่น้อย “ถ้าหากข้าเดาไม่ผิดสิ่งที่เจ้าถืออยู่คงจะเป็นโคลงสี่สุภาพเป็นแน่”
 
พจน์ก้มมองมือขวา มีแผ่นกระดาษของไอ้นิธิติดมือมาด้วยอย่างแปลกพิกล ขณะเดียวกันจึงพินิจลักษณะการแต่งตัวของตนเอง พบว่าไม่ได้ผิดเพี้ยนแตกต่างจากเมื่อคราวที่แล้วแม้แต่น้อย

“ข้าขอดูได้ ฤา ไม่” พจน์ยื่นให้อย่างรวดเร็วแล้วรีบก้มหน้า อีกใจหนึ่งอยากจะบอกให้อีกฝ่ายแต่งตัวเหมาะสมรัดกุมแบบตนเสียก่อน เพียงขยับขาผ้าซึ่งควรจะนุ่งเก็บชายพกเหน็บไว้ด้านหลังจึงเปิดออก เผยให้เห็นท่อนขาแกร่งด้วยกล้ามเนื้อและเส้นเลือดชัดเจน และถ้ามันเคลื่อนไหวอีกนิดเดียวคงจะแหวกถึงโคนขาจนเห็นไปถึงไหนต่อไหนเป็นแน่ อีกอย่างใครจะห้ามสายตาตนเองได้เมื่อคนเบื้องหน้ามีเสน่ห์ดึงดูดจนแม้แต่พจน์ซึ่งเป็นผู้ชายด้วยกันยังรู้สึก แต่เจ้ามาตะผู้ถูกลอบมองยังคงหมกมุ่นอยู่กับกระดาษโคลงกลอนนั้นอย่างคร่ำเคร่ง ฉับพลันก็ขึ้นสีแดงบนแก้มทั้งสอง แล้วประเดี๋ยวเดียวก็กลับมาทำหน้านิ่งขรึมดังเดิม

“เจ้าได้โคลงสองบทนี้มาจากที่ใด ฤา” มาตะซักถามเสียงนิ่ง

“มีคนให้มา” พจน์ทำใจให้มองเรือนร่างของมาตะอีกครั้ง

“โคลงสี่สุภาพนี้เป็นสองบทต้นของทั้งหมดสี่บท ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ณ หอหลวงคำฉันท์ มิได้นำเผยแพร่สู่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร ข้าถึงเกิดข้อสงสัยว่ามันถูกนำมาให้เจ้าได้เช่นไร” มาตะอธิบาย “แม้แต่ข้าผู้เป็นศิษย์ ณ สำนักมีชื่อ ก็เคยผ่านตาเพียงแค่สองสามคราเท่านั้น แต่จดจำได้ขึ้นใจเลยทีเดียว”

พจน์คิดในใจ ถ้านี่ไม่ใช่ความฝันและไม่ใช่จินตนาการคาดคิดไปเองตัวคนเดียว แล้วไอ้กันเอาโคลงสี่สุภาพต้องห้ามนี้มาจากแห่งหนไหน

“มันเป็นโคลงสี่สุภาพต้องห้าม นักปราชญ์ราชบัณฑิตแห่งราชสำนักพิจารณาว่า เป็นเรื่องราวหาสาระมิได้ อีกทั้งไร้ความไพเราะในด้านวรรณศิลป์ แลพวกพราหมณ์ต่างพร้อมใจกันแจ้งว่ามีความชั่วร้ายสิงสู่อยู่ แต่พระอาจารย์ของข้า ณ สำนักคำฉันท์หาได้คิดเช่นนั้นไม่ ท่านเฝ้าสืบค้นแลเสาะหาความเป็นมาของโคลงกลอนนี้จนพบว่า...” เจ้ามาตะหยุดพูดกระทันหัน แล้วยกคิ้วเข้มหันมามองพจน์ที่กำลังยื่นหน้าเข้าหาคนตัวหนากว่าหวังจะฟังให้ชัดเจนกว่าเดิม จนต้องรีบทิ้งระยะถอยห่างกลับมาอย่างเก้อเขิน เจ้านั่นยกยิ้มมุมปากชั่วขณะแล้วเล่าต่อ

“แลพบว่า เมื่อเนิ่นนานกว่าสหัสวรรษ นักปราชญ์ผู้หนึ่งนามว่า สินะ เป็นผู้แต่งถวายเจ้าผู้ครองอาณาจักรโบราณ มีหลักฐานเป็นศิลาจารึกหลักหนึ่งซึ่งอยู่ค้ำฟ้ามาจนบัดนี้ อาจารย์ของข้าดั้นด้นเดินทางขึ้นเหนือไปยังอาณาจักรโบราณอันเก่าแก่เพื่อยืนยันความจริงนี้ ท่านกลับมาพร้อมก้อนมหาศิลา แต่เพียงแค่รถลากเทียมเกวียนเคลื่อนผ่านช่องเขาประตูเมืองหน้าด่าน ศิลาจารึกก้อนมหึมาก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเหมือนมีฆ้อนล่องหนทุบทำลาย พร้อมกับลมหายใจอาจารย์ของข้าได้ดับสิ้นลง”
 
มาตะก้มกราบลงพื้นเมื่อเล่าจบ มันย้ายตัวเองมานั่งบนตั่งทำจากไม้แกะสลักลงรักปิดทอง ณ มุมห้อง แล้วหยีบกระดานชนวนสีดำจากหีบไม้ใบใหญ่ออกมาพร้อมแท่งหินขาว พลางจดจารข้อความลงบนกระดานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
 
พจน์นึกภาพตามเหตุการณ์แล้วให้รู้สึกขนลุกพิกล เขาลอบสังเกตกิริยาอาการขะมักเขม้นขีดเขียนของเจ้านั่นอย่างเพลินตา แสงสว่างจากช่องหน้าต่างเป็นฉากหลังส่งให้ใบหน้ามุ่งมั่นคิ้วขมวดดูน่าค้นหา มีบางอย่างดึงดูดความสนใจทั้งมวลมาสู่คนๆนี้เพียงผู้เดียว
 
เมื่อมาตะเขียนเสร็จแล้วจึงพยักหน้าให้พจน์เข้าหาตน เด็กหนุ่มก้าวเท้าเดินไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าใดก่อนจะนั่งลงเคียงข้างและก้มมองลายมืออันวิจิตรบรรจงบนกระดานชนวน ปรากฏโคลงสี่สุภาพสองบทแรกซึ่งพจน์รับคำท้ามาจากไอ้นิธิ ส่วนอีกสองบทใหม่ถูกเขียนต่อลงมาดุจเป็นโคลงเดียวกัน


                 เวทย์วิถีร่ายร้าง      ทำลาย วิญญ์เอย
      ฉุดร่างแห้งเหือดหาย         ดั่งสิ้น
      เศษเสี้ยวคู่ใจกาย              ไหลหลั่ง
      แก้วแช่งชีพชีวิน               เฟื่องฟุ้ง พลัง

           ล้วนเผ่าพงศ์วงศ์ฟ้า      ก้มกราบ น้อมเอย
      คุกเข่าศิโรราบ                  ล่วงรู้
      ปกครองพิภพภาพ            พื้นแผ่น ดินแดน
      มืดหม่นไร้ทางสู้               ร่ำไห้ ดับสูญ   


เมื่ออ่านจนจบคำว่า ดับสูญ ในใจพจน์ก็บังเกิดความรู้สึกร้อนวูบวาบทั่วทั้งสรรพางค์กาย เหมือนดั่งมีคนเอาไฟมาสุมอยู่ในอกจนร้อนรุ่ม รู้สึกหายใจติดขัด เหมือนร่างกายจะแตกดับเสียให้ได้ เจ้ามาตะลอบเห็นอาการผิดปกตินี้ทันทีจึงเอื้อมมือมาสัมผัสแก้มทั้งสองของพจน์ด้วยสีหน้าร้อนรน

“เจ้าเป็นอันใด ฤา”

“ไม่...” พจน์พึมพำตอบเสียงสั่นเครือ บัดนี้ข้างในกายของเด็กหนุ่มร้อนระอุราวเพลิงไฟ “น้ำ ขอน้ำ”

มาตะกระวนกระวายรีบหาคนโทน้ำพร้อมจอกมาให้ดื่ม แต่ร่างกายพจน์สั่นสะท้านด้วยรุ่มร้อนจนดื่มน้ำนั้นไม่ได้ หกเลอะเทอะเปลอะเปื้อนคนทั้งสอง อาการของพจน์ย่ำแย่จนในใจของเขาคิดว่าคงสิ้นชีพในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้เป็นแน่ สายตาเริ่มพร่าเลือน เรี่ยวแรงที่เคยมีหดหาย ศีรษะปวดร้าวจนจะแยกแตกออก

“พจน์ ภัทรพจน์ เจ้าได้ยินข้า ฤา ไม่” เสียงตะโกนของเจ้ามาตะดังแทรกเข้ามายังประสาทรับรู้ที่กำลังจะดับสิ้น พจน์รู้สึกวูบเอียงและล้มลงโดยมีมือของเด็กหนุ่มวัยเดียวกันเข้าประคองไว้ในวงแขนแกร่ง พร้อมสายตาเป็นห่วงเป็นใยอย่างที่สุด นั่นคือภาพสุดท้ายก่อนสติของพจน์จะหลุดลอยออกจากร่าง    


100%....TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3223194#msg3223194)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓ เด็กใหม่ (๒๘/๑๐/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 03-11-2015 17:47:35
ลึกลับซับซ้อนเหลือเกิน

ซ่อนเงื่อนงำไว้เยอะจ้า ต้องติดตามๆ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔ ปริศนาโคลงกลอน ๑๐๐% (๓/๑๑/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 03-11-2015 19:36:46
ประชันกลอนกันเลยนะเนี่ย  :hao7:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔ ปริศนาโคลงกลอน ๑๐๐% (๓/๑๑/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 03-11-2015 21:16:56
รอ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔ ปริศนาโคลงกลอน ๑๐๐% (๓/๑๑/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 04-11-2015 17:59:33
รอ

กำลังปั่นตอนใหม่อยู่ครับ รอติดตามๆ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔ ปริศนาโคลงกลอน ๑๐๐% (๓/๑๑/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 04-11-2015 23:52:43
ค้างที่สุด

กันมายังไง จีบได้น่าตีมากอ้ะ

ภาษาดีมาก
ทิ้งปมไว้ให้ติดตามได้อย่างน่าสนใจ

อยากให้ลองตรวจสอบการสะกดของคำบางคำ เช่น เครือเถาว์ ที่ถูกคือ เครือเถา
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๕ นิมิตฝัน ฤา จริงแท้ ๕๐% (๖/๑๑/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 06-11-2015 14:05:39
บทที่ ๕


นิมิตฝัน ฤา จริงแท้



เมฆหมอกมัวสลัวขาวพิสุทธิ์กำจายคละคลุ้งฟุ้งเฟื่องทั่วทุกอณูอากาศ ทัศนียภาพเบื้องจตุรทิศผุดผาดด้วยชะง่อนหินผาเหลื่อมล้ำซ้ำซ่อนซุก ทุกขเวทนาทุรกันดารวิถีทางเดิน ฉับพลันหมอกควันดำกลิ่นเพลิงไหม้อุบัติขึ้นทดแทน ต้นไม้มอดดำเหลือเพียงลำต้น กิ่งและก้าน พุ่งเบียดเสียดแทรกปกคลุมอาณาบริเวณ ลมวายุพัดโหมกระหน่ำซัดโหนลำต้นรวดเร็วดุจพายุพิโรธ หอบอุ้มกลุ่มควันทมิฬให้ลอยสูงและสลายหายสิ้น ณ พื้นพิภพฟ้า

เบื้องหน้าปรากฏเงาปราสาทเทวาลัยหินทรายขนาดมหึมา ประกอบด้วยองค์ประธานก่อด้วยศิลาทรายขาวทรงแหลมคล้ายมณฑป สลักหน้าบันลวดลายศิวเทพ ภายในซุ้มเรือนธาตุประดิษฐานเทวรูปองค์หนึ่ง แต่บัดนี้ถูกตัดเศียรเหลือเพียงองค์ประทับยืนอยู่ในปางห้ามสมุทร ล้อมรอบด้วยซุ้มประตูแลระเบียงคด หน้าซุ้มประตูสร้างเป็นสะพานนาคราช มีบาราย หรือ สระน้ำขนาบอยู่ เสมือนเส้นทางเชื่อมระหว่างพิภพมนุษย์และพิภพสวรรค์
 
ขณะหนึ่งนั้นรังสีแสงสว่างนิลกาฬดุจราตรีมิปาน พวยพุ่งออกจากซุ้มประตูกลางกำแพงแก้ว ก่อเกิดรูปเป็นบุรุษร่างใหญ่กำยำทั้ง ๘ องค์ ณ กึ่งสะพานนาคราช นุ่งห่มภัตราภรณ์ด้วยสีสันดำทมิฬ เครื่องประดับครอบเศียร ทับทรวง สร้อยสังวาล ทองกร แลรัดประคดล้วนมีสีหม่นไหม้ด้วยกันทั้งสิ้น กอปรด้วยผิวกายดำมะเมี่ยมดั่งถูกฉาบทาบทาไว้ ยกเว้นเพียงนัยน์ตาขาวรอบตาดำเท่านั้นที่แตกต่างแลดูเปล่งประกาย ชายทั้ง ๘ ยืนนิ่งมองมายังร่างบุรุษผู้ฉายแสงสว่างผุดผงาดอยู่เบื้องหน้าพวกตน

“สหายรักของข้า...” ชายร่างสูงใหญ่เปล่งแสงสว่างทั่วอาณาบริเวณเป็นผู้กล่าว กลุ่มบุรุษชุดดำไร้เสียงตอบสนอง มีเพียงความเงียบเป็นคำทักทาย

“อำนาจอันครอบครองพวกเจ้า แยกเราห่างจากกันมาเนิ่นนานนับอสงไขย” องค์แสงสว่างเอ่ยอีกครา
 
“มิช้านาน บุรุษผู้ปลดปล่อยพวกเจ้าทั้งมวลจะเยียบย่างเดินทางมาเยือนมหาพิภพ แลอำนาจชั่วร้ายจะดับสิ้นกาลนาน จงอดทน มั่นคงไว้เถิด สหายรัก” เสียงคำพูดสะท้อนดังกึกก้อง กลุ่มหมอกควันดำหวนกลับคืนสู่ทุกซอกทุกมุมปราสาท รวมถึงระเบียงคด และบารายอีกครั้ง
 
“โคลงกลอนบุราณได้ปลุกข้าให้ฟื้นตื่นทรงพลัง เป็นภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงของข้าที่จะกระทำการปกปักรักษาผู้ครอบครองและนำความสงบสุขมาสู่พิภพนี้”

สิ้นเสียงของบุรุษร่างสว่าง กลุ่มคนดำทมิฬทั้ง ๘ ต่างพร้อมใจกันระเบิดเพลิงพลังเป็นควันดำลอยล้อมรอบตัวตนแต่ละองค์ ลมพายุพัดโหมกระหน่ำ แสงฟ้าเบื้องบนสว่างวาบส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น แล้วจึงพุ่งตัวเข้าหาร่างแสงสว่างพร้อมลูกไฟมอดไหม้ในกำมือหมายจะสังหารทำลายล้าง

ภัทรพจน์ยกตัวสะดุ้งตื่นพร้อมลำคอแห้งผากราวผุยผง

“ขอน้ำ น้ำ”

มีบุคคลใจดีพยุงร่างพจน์พิงพนักหัวเตียง แล้วจ่อแก้วน้ำมายังริมฝีปากแห้งแตก เด็กหนุ่มดื่มดับกระหายชะล้างลำคอให้ปลอดโปร่งคืนกลับดังเก่า สายตาพล่ามั่วเริ่มแจ่มกระจ่างและชัดเจนในที่สุด เตียงสี่เสาพร้อมม่านสีขาวสว่างคือจุดที่ร่างของพจน์นอนพิงอยู่ เมื่อลองสังเกตลายแกะสลักบนฝาผนังเรือน รวมถึงข้าวของเครื่องใช้ประดับเรือนทั้งหมดทั้งมวลแล้ว สมองอันน้อยนิดของเขาก็ประมวลได้ว่านี่ไม่ใช่ห้องของตน แต่เป็นของเจ้ามาตะ และบุคคลเจ้าของห้องก็กำลังนั่งทำหน้าเครียดอยู่ริมขอบเตียงด้านซ้าย มันนุ่งผ้าสีน้ำทะเลอย่างมิดชิดเรียบร้อย ไร้เครื่องประดับตกแต่งอื่นใด นอกจากเข็มขัดทองคำ
 
“เจ้าต้องการสิ่งอื่นใดอีกรึไม่” มาตะถามเสียงเครียด

เบื้องหลังนั้นมีกลุ่มชายและหญิงจำนวน ๕ คน ต่างก้มหมอบกราบศีรษะจรดพื้นกระดาน ผู้ชายนุ่งเพียงผ้าหยักรั้งสีกรัก หรือ สีเหลืองออกดำเกือบคล้ำ เปลือยท่อนบน ผมเก็บรวบเป็นมวยไว้กลางกระหม่อมเช่นมาตะ ส่วนผู้หญิงนุ่งผ้าถุงสีกรักสีเดียวกับผ้าคาดอก รวบผมเป็นมวยสูงกว่าฝ่ายชาย ไร้เครื่องประดับอื่นใดที่บ่งบอกฐานะสูงส่ง เบื้องหน้ามีตะลุ่มหลายใบบรรจุขวดทองเหลือง คนโท ชามแลถ้วยกระเบื้องบรรจุสมุนไพรนานาชนิดซึ่งส่งกลิ่นหอมกระทบจมูกสัมผัสของพจน์

อัจกลับโคมไฟเหนือขื่อเพดานส่องสว่างให้แก่ภายในห้องทดแทนแสงธรรมชาติจากดวงพระอาทิตย์ มีชวาลาหรือเครื่องตามไฟตั้งอยู่ข้างตะลุ่ม ลักษณะเป็นหม้อกลมสำหรับใส่น้ำมันและมีไส้จุดไฟ

“เจ้าได้ไข้หนักนัก แลสิ้นสติสมประดีไม่รู้สึกตัวตั้งแต่เมื่อเที่ยงจวบจนย่างเข้าปฐมยาม”

บรรยากาศภายนอกเมื่อมองผ่านกรงลูกมะหวดนั้นมืดมิดสนิท เสียงหริ่งหรีดเรไรดังร้องระงม พจน์ลองขยับตัวก็รู้สึกปวดร้าวระบมทั่วทั้งร่างกาย ลมหายใจยังมีไอร้อนพ่นออกมาอย่างสัมผัสได้ บนร่างกายเปลือยเปล่าของพจน์มีผ้าแพรสีน้ำเงินคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง เด็กหนุ่มรู้สึกอ่อนเพลีย แต่ไม่รุนแรงเท่าก่อนหน้าจะหมดสติ

“ข้าเร่งตามหมอยาประจำบ้าน เพื่อพยาบาลรักษาเจ้า ลักษณะอาการทรุดลงทุกโมงยาม จนพ่อหมอผู้ชำนาญเริ่มส่ายหน้า เพราะหาหนทางรักษาอาการนี้มิได้ ประจวบกับพระอาจารย์โกสินธพผู้ทรงศีลแห่งเทวาลัยอัปสรเทพเดินทางมาถึงเรือนข้าอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ท่านเร่งร่ายมนตร์คาถาร่วมกับสมุนไพรมีชื่อ ช่วยรักษายื้อชีวิตเจ้าจนอาการดีขึ้นตามลำดับ” มาตะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดด้วยแววตานิ่งขรึม มันเป็นอีกผู้หนึ่งที่ไม่สามารถอ่านสิ่งใดได้เลยจากนัยน์ตาคู่นั้น

“เมื่อเสร็จกิจและสั่งความไว้สิ้นแล้วจึงลากลับอย่างปัจจุบันทันด่วน เหมือนท่านรู้ว่าเจ้าป่วยและต้องการคนช่วยชีวิตอย่างไรอย่างนั้น” มาตะถอนหายใจราวกับยกภูเขาออกจากอก

พจน์กลืนน้ำลายลงคอพยายามเรียกคำพูดกลับคืน

“แล้ว...แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆถึงป่วยไข้ได้” พจน์ถามเสียงแห้ง

มาตะเหลียวมองกลุ่มบ่าวไพร่บนพื้นห้องแล้วสั่งการ

“พวกเจ้าทั้งหมดออกไปรออยู่หน้าห้อง เผื่อมีกิจอันใดให้เรียกหา แลส่งคนแจ้งข่าวแก่นายแม่พร้อมพ่อท่านให้ทราบว่า ทุกอย่างเรียบร้อยดีไม่ต้องเป็นห่วงอันใด”

“ขอรับ”

บ่าวชายร่างใหญ่ผิวเข้มร้องตอบเจ้านายพวกตน ก่อนจะพากันคลานเข่าออกทางประตูห้องแล้วปิดคืนดังเดิม กลิ่นหอมสมุนไพรจำพวกขิง ขา ตะไคร้ยังคงตลบอบอวลอยู่ทั่วห้อง น่าจะมาจากหม้อดินเผาต้มยาบนตั่งไม้ลงรักปิดทอง แต่ก็ช่วยให้พจน์รู้สึกหายใจได้สะดวกและเบาสมองดีนัก

เจ้ามาตะสะบัดผ้านุ่งห่มด้านปล่อยชายเพื่อขยับขาเข้าใกล้พจน์ให้มากขึ้น คนป่วยสะดุ้งเล็กน้อยกับกิริยาอาการเมื่อครู่ เจ้านั่นขยับกายประชิดพจน์อย่างรวดเร็วและเอื้อมฝ่ามือค่อยประคองจับศีรษะของเขาให้หันซบลงบนอกแกร่งของตนเอง มืออีกข้างก็ลูบแขนพจน์ขึ้นลงอย่างปลอบโยน
 
“อย่าได้ปริวิตกมากนัก อาการดั่งเจ้าเป็นมิอาจสืบหาสาเหตุได้โดยหมอแพทย์พื้นบ้าน แต่เป็นผู้ทรงภูมิหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าเท่านั้นที่จะเยียวยาแก้ไขรักษาได้ทันท่วงที”

พจน์รู้สึกขนลุกกราวไม่ใช่เพราะคำพูดปลอบประโลมนี้ แต่เป็นสัมผัสไออุ่นจากบุคคลเบื้องหลัง รวมถึงการเคลื่อนไหวอ่อนโยนของเจ้านี่ต่างหาก พจน์ไม่ได้ขัดขืนหรือร้องประท้วงการกระทำดั่งล่วงเกิน ไม่ใช่เพราะเขาชอบสิ่งที่มันทำอยู่ แต่เป็นเพราะร่างกายอันอ่อนเพลียจากการหายไข้ไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะต้านทานไอ้จอมบังคับนี่ได้ มาตะสัมผัสแขนพร้อมลูบผมพจน์จนพอใจแล้วจึงเปลี่ยนมาจับมือไว้แน่น ราวกับกลัวว่าพจน์จะล่องหนหรือหายตัวไปอย่างหนึ่งอย่างใด

“ราตรีนี้ยังอีกยาวนานนัก เจ้าเองเพิ่งฟื้นคืนสติ กำลังวังชาจำจักต้องอาศัยการหลับนอนเพื่อฟื้นฟูสักเพลาหนึ่ง”

อกหนาของเจ้ามาตะกระเพื่อมขึ้นแรงลงแรง จนพจน์จับจังหวะการเต้นระรัวเร็วของหัวใจได้ ถ้าหากถามว่ามันเป็นโรคหัวใจหรือเปล่าก็เกรงอีกฝ่ายจะโกรธ จึงเงียบปากเสีย และฟังมันพูดต่อ

“สิ่งใดที่เจ้ากังขาจงเก็บไว้ในใจชั่วครู่ ในวันรุ่งพรุ่งนี้ข้าจักพาเจ้าไปเข้าเฝ้าพระอาจารย์โกสินธพ เพื่อชี้แจงแถลงไขข้อปัญหาทั้งหมด”

โคลงสี่สุภาพต้องห้ามนั้นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการของพจน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะทันที่เมื่อเขาอ่านจบอาการเจ็บร้อนก็เกิดขึ้นทันควัน ถ้าจะมีใครตอบข้อสงสัยนี้ได้ก็คงเป็นพระอาจารย์ผู้นั้น

“ข้าจะอยู่กับเจ้าตรงนี้ จงวางใจหลับให้สบายกายเถิด”

เสียงทุ้มต่ำของคนตัวหนากว่าเป็นเหมือนหนึ่งเครื่องเคาะจังหวะสม่ำเสมอ ส่งให้สติของพจน์กลับสู่การหลับใหลอีกครั้ง ดูเหมือนพจน์จะลืมอะไรบางอย่าง ถ้านี่เป็นความฝัน เมื่อเขาตื่นอีกครั้งก็คงพบไอ้กันยืนหัวเราะตัวงออยู่หน้าประตูห้องน้ำ และรอคอยบอกว่า พจน์แอบหลับอยู่ในนั้น จนเจ้าตัวต้องรออยู่เกือบหลายนาทีกว่าเขาจะตื่น แต่ฝันครั้งนี้ช่างยาวนานนัก ทั้งเจ็บปวดทั้งอบอุ่นอย่างแปลกประหลาดจนอีกใจหนึ่งนั้นไม่อยากตื่นจากนิทราเลยแม้แต่น้อย


50%....TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3224730#msg3224730)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔ ปริศนาโคลงกลอน ๑๐๐% (๓/๑๑/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 07-11-2015 09:11:12
ค้างที่สุด

กันมายังไง จีบได้น่าตีมากอ้ะ

ภาษาดีมาก
ทิ้งปมไว้ให้ติดตามได้อย่างน่าสนใจ

อยากให้ลองตรวจสอบการสะกดของคำบางคำ เช่น เครือเถาว์ ที่ถูกคือ เครือเถา

จะแก้ไขตรวจทานให้ถูกต้องครับ อย่าลืมติดตามตอนที่ 5 นะครับ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๕ นิมิตฝัน ฤา จริงแท้ ๑๐๐% (๘/๑๑/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 08-11-2015 10:48:42
[ต่อ]


เสียงไก่ขันร้องรับขับขานผสานต่อจากกัน บรรยากาศหนาวเย็นชื่นสบายปกคลุมอยู่ทุกหนแห่ง อรุณรุ่งเคลื่อนผ่านพิภพตะวันออกมาเยือนทุกสรรพสิ่งเฉกเช่นวัฏจักร หมู่มวลชีวิตต่างพากันตื่นจากการหลับใหลรวมถึงภัทรพจน์ด้วย เขารู้สึกนอนเต็มอิ่มและกำลังวังชากลับคืนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทันทีเมื่อลืมตาตื่น ภาพที่เห็นตรงหน้าคือ ปลายจมูกโด่งคมสันแทบจะจิ้มหน้าผากของพจน์ห่างเพียงไม่กี่เซนติเมตร ใบหน้าหล่อเหลาของเจ้ามาตะยามหลับสนิทดูไร้พิษภัย ริมฝีปากบางเผยอเล็กน้อย หนวดเคราเริ่มเสียดแทงขนตาเป็นแพยาว คิ้วหนาไม่ขมวดมุ่น เป็นมุมมองแปลกตาที่พจน์ไม่เคยลอบดูมาก่อน ลมหายใจเป็นจังหวะต่อเนื่องเป็นสัญญาณว่ามันยังคงหลับลึกแม้แต่เสียงไก่ขันก็ไม่อาจปลุกเจ้านี่ตื่นขึ้นได้ พจน์รีบหลับตาลงและลืมตาตื่นอีกครั้ง ภาพที่เห็นยังเป็นใบหน้าใกล้แค่นิดเดียวของเจ้ามาตะดังเดิม ยืนยันว่าพจน์ยังไม่ตื่นจากความฝันเป็นแน่ อีกใจหนึ่งนึกประหวั่นกริ่งเกรงว่า ถ้าพจน์หลับลึกยาวนานเช่นนี้ ไอ้คุณเปรมณัฐและกลุ่มเพื่อนเขาจะทำประการใด

ท่อนแขนแกร่งของเจ้าคนหลับที่โตกว่าแขนพจน์ไม่เท่าไหร่ใช้เป็นหมอนหนุนให้คนป่วย นั่นทำให้เขารู้สึกหน้าร้อนผ่าว และถ้านั่นยังไม่ใช่ท่านอนพิสดารมากพอแขนซ้ายของมันยังพยายามพาดเอวพจน์แล้วดึงเข้าหาตัวเองประหนึ่งจะรวมร่างกันเสียให้ได้ ด้วยความรู้สึกแปลกพิกลนี้ยืนยันได้ว่าถ้าเกิดใครมาเห็นพวกเขาสองคนในสภาพล่อแหลมย่อมไม่เกิดผลดีอย่างแน่นอน
 
พจน์จึงค่อยๆเอื้อมผลักมือปริศนาออกจากเอวของตนอย่างแผ่วเบา เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายตื่นมาเจอท่านอนรวมร่าง ไม่รู้ว่าเป็นพจน์หรือไอ้มาตะเป็นคนจัดท่านอนหนุนแขนนี้ แต่พจน์สาบานได้ว่าคงไม่ใช่เป็นตนอ้อนให้มันเอาแขนมาหนุนต่างหมอนแน่นอน เพียงแค่พจน์สัมผัสหลังมือของเจ้ามาตะ มันก็ดึงกระชับเอวของพจน์เข้าหาตัวเองอย่างรวดเร็ว เหมือนอาการละเมอหรือเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าของคนนอนอย่างหนึ่งอย่างใด
 
เด็กหนุ่มคนตื่นเบิกตาโพลง และเกร็งทุกส่วนบนร่างกายอย่างปัจจุบันทันด่วน ในสมองส่วนสำคัญของพจน์เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินเรียบร้อยแล้ว ระยะห่างระหว่างจมูกโด่งกับหน้าผากได้ถูกปิดลงเป็นการถาวร สัมผัสไอร้อนของคนตัวหนากว่าทำให้พจน์ขนลุกกราวตั้งแต่หลังคอจรดปลายนิ้ว ถ้าอาการยอมซบอก ลูบผม จับมือ เมื่อก่อนนอนเป็นเหมือนปฏิกิริยาเพราะพิษไข้ แต่บัดนี้อาการไข้หายสิ้นแล้วและความรับรู้ของประสาททั้งหมดชัดเจนจนพจน์รู้สึกละอายใจกับการยอมให้มันทำเช่นนั้นเหลือเกิน ถ้าหากย้อนเวลาได้เขาคงจะไม่เผลอไผลเพราะอารมณ์ไข้พาไปเด็ดขาด
 
มาตะยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นนอนในอีกหนึ่งถึงสองนาทีนี้ เสียงไก่ขันต้อนรับอรุณรุ่งยังดังต่อเนื่อง ระหว่างพจน์กำลังตัดสินใจว่าจะยันเท้าใส่ไอ้คนละเมอคว้าเอวคนอื่นไปกอดให้ตกจากเตียงดีหรือไม่นั้น บานประตูห้องนอนก็ถูกกระแทกเปิดออกด้วยพละกำลังของเด็กหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่ง ลมเย็นจากภายนอกพัดผ้าม่านรอบเตียงให้เปิดออกทันที

“เวรตะไล! มาตะ นั่นเจ้ากับ...” คนร่างอวบร้องเหมือนเห็นผีสางนางไม้
 
ไอ้คนขี้เซาสะดุ้งตื่นทันทีเหมือนโดนน้ำร้อนสาดใส่ พลางรีบเหลือบแลพจน์ซึ่งแกล้งหลับตาทันทีเหมือนท่อนไม้ ไอ้มาตะค่อยๆขยับแขนออกแล้วใช้หมอนหนุนศีรษะพจน์แทน เลื่อนผ้าแพรออกจากลำตัวอย่างเบามือแล้วรีบรุดปิดปากเพื่อนเกลอทั้งสองอย่างรวดเร็ว

“ห้ามส่งเสียงรบกวนเป็นเด็ดขาด” มาตะกระซิบกระซาบใส่หูเพื่อนผู้มาเยือน ถ้าการปรือตามองของพจน์ไม่ผิดพลาด ไอ้สองคนผู้ผลีผลามบุกรุกเข้ามาห้องคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตนี้ เขาเคยเจอมาแล้วในห้องเก็บตำราหลวงนั่น

“แล้วเจ้าสองคนจักทำอันใดกันอยู่งั้นรึ” โกสินทร์ร่างยักษ์ถามต่อเสียงเบา

“นอนพักเพียงเท่านั้น” มาตะรีบโต้แย้งหน้านิ่ง ไอ้คนชื่อเวฬุชิ้นิ้วใส่คนปากแข็งพลางอมยิ้มอย่างมีเลศนัย

“เจตนาอันเที่ยงแท้คือแค่นั้นรึหาไม่”

โกสินทร์หัวเราะเสียงต่ำอย่างพึงพอใจกับอาการจนตรอกของเพื่อนรูปงาม

“เอาเถิด ไม่ว่าเจ้าจักเพียงนอนพักหรือทำการอันใดก็ตามแต่” โกสินทร์ผิวเข้มทำหน้าเป็นการเป็นงานแต่อดส่งสายตายั่วล้อไม่ได้ “หาใช่ธุระกงการของข้าไม่ แต่ที่เป็นเหตุให้ข้าบุกรุกเข้ามาหาเจ้าก็เพื่อเตือนว่า กำหนดนัดหมายเข้าพบพระอาจารย์ถูกเลื่อนมาเป็นเพลาย่ำรุ่ง นี่แหละคือกิจของข้าทั้งสอง”

“เหตุใดถึงเปลี่ยนแปลงรวดเร็วดั่งนี้” มาตะซักถาม

“พระอาจารย์มีเหตุต้องเร่งเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวให้ทันประชุมเช้า ณ ท้องพระโรง” เวฬุร่างอวบแถลงไข มาตะพยักหน้าเข้าใจ

“พวกเจ้าข้างนอกจงเร่งจัดหาเครื่องชำระล้าง แลเสื้อผ้าอาภรณ์เป็นการด่วน” มาตะร้องสั่งบ่าวไพร่ มีเสียงรับคำจากภายนอกตอบกลับมา

ต้นแขนขาวของพจน์ซึ่งแกล้งหลับอยู่ถูกสัมผัสแผ่วเบาจากฝ่ามือหนา จนเจ้าตัวสะดุ้งขนลุกตั้งชัน

“ตื่นก่อนเถิดเจ้า” มาตะกระซิบริมขอบหู “มีเหตุให้ต้องเร่งเข้าพบพระอาจารย์”

เปลือกตาของพจน์ค่อยๆเผยอเปิดเพื่อมาเผชิญกับใบหน้าเพิ่งตื่นของบุคคลที่นอนอยู่ด้วยกันทั้งค่ำคืน สภาพหน้าสดของมันยังดูหล่อเหลาเอาการดังเดิม แม้นไม่ได้ล้างหน้าหรือแต่งองค์ทรงเครื่องแต่ประการใด เจ้ามาตะใช้หลังมือแตะหน้าผากพจน์เพื่อวัดไข้

“อาการเจ็บไข้ทุเลาเบาบางลงมากแล้ว ฤา” พจน์พยักหน้าผุดลุกขึ้นนั่ง ได้ยินเสียงหัวเราะขบขันของไอ้สองคนนั่นดังอยู่ใกล้กับประตูห้อง ก่อนจะทำใจหลับตาและแหวกม่านรอบเตียงออก พลางก้าวเท้าเปลือยเปล่าสัมผัสพื้นกระดานเย็น มายืนคู่ไหล่ชนไหล่กับเจ้ามาตะ

ใบหน้าของโกสินทร์และเวฬุแม้จะปรับเปลี่ยนเป็นเพิกเฉยได้รวดเร็วแต่แววตาระยิบระยับนั้นไม่อาจปิดบังซ่อนเร้นไว้ได้มิดชิดเมื่อพจน์สังเกตสบตา

“ข้ามีนามว่า โกสินทร์ เป็นมหาดเล็กรักษาพระองค์ สังกัดกรมกองเดียวกับเจ้ามาตะ ส่วนเจ้านี่...” คนผิวสีแทนร่างกำยำ วันนี้นุ่งผ้าอยู่ในชุดสีน้ำเงินเข้มพร้อมเครื่องประดับทองคำแนะนำตนเอง

“ข้ากล่าวเอง” เด็กหนุ่มร่างอวบ ห่มภูษาสีม่วงเข้มเร่งเอ่ยขัดคำเสียงดัง ก่อนจะแปรเปลี่ยนท่าทีเป็นอ่อนโยนทันควัน
 
“นามข้า คือ เวฬุ เป็นมหาดเล็กรักษาพระองค์เฉกเช่นกัน” เจ้าเวฬุฉีกยิ้มกว้าง “แลเป็นสหายรักร่วมเป็นร่วมตายกับเจ้ามาตะของท่าน”

‘เจ้ามาตะของท่าน เจ้ามาตะของท่าน’ พจน์ได้ยินคำพูดท้ายประโยคดังสะท้อนก้องกลับไปกลับมาอยู่หลายวินาทีจนหน้าร้อนผะผ่าว

“อย่าได้กล่าวล้อเล่น เจ้ามิเห็นกระนั้นรึว่า ‘เขา’ เพิ่งหายจากอาการเจ็บไข้” มาตะส่งเสียงเข้มห้ามปราม แต่ดูเหมือนเกลอรักทั้งสองแทบไม่ได้สนใจฟังเพราะอาการหน้าขึ้นสีระเรื่อของพจน์เรียกเสียงหัวเราะสุดพรรณนาของผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี

“แล้วเจ้าเล่า ชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร” โกสินทร์ยั่วยิ้มถามขยิบตาให้เด็กหนุ่มแปลกหน้า

ถ้าหากเจ้าสองคนนี้ไม่ได้เข้ามาเห็นในจังหวะที่ไอ้มาตะทอดกายก่ายกอดพจน์อยู่ละก็ เขาคงจะตอบโต้ได้อย่างฉะฉาน แต่นี่ให้รู้สึกละอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีอย่างไรไม่รู้

“ชื่อภัทรพจน์” ตอบแล้วก้มหน้ามองพื้น

“นามไพเราะยิ่งนัก” เวฬุทุบอกตนเองดังปึก

“งามเช่นเดียวกับใบหน้าของเจ้าเสมอกัน” โกสินทร์ทำตาพราวระยับ

พนักงานบ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งเข้ามาขัดจังหวะซักถาม ต่างถือภาชนะใส่น้ำเพื่อใช้ชำระล้างร่างกายเข้ามา พร้อมภูษาผ้าพับผืนใหญ่จำนวนสองชุด
 
เมื่อเห็นดังนั้นเจ้ามาตะจึงรีบยื้อยุดฉุดแขนพจน์ให้เดินตามไปอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ถัดจากเบื้องหลังฉากกั้นลงรักปิดทอง

“เจ้าจงจัดการตนเองก่อนเถิด แลปล่อยเขาไว้กับพวกข้าทั้งสองก่อน” เจ้าโกสินทร์ตะโกนไล่หลัง

“รับรองพวกข้าจะไม่ทำอันใดให้เป็นที่เดือดเนื้อร้อนใจเป็นแน่” เจ้าเวฬุเสริมคำ

ไอ้มาตะเหมือนหูดับชั่วขณะหนึ่ง หน้าบึ้งตึงยิ่งกว่าเดิม อาการเหมือนไม่ได้ยินคำพูดเพื่อนของตนแม้สักเล็กน้อย
บ่าวไพร่เปิดประตูห้องถัดไป เด็กหนุ่มทั้งสองก้าวตาม แสงสว่างจากชวาลาต้องกระทบภายในห้องส่องให้เห็นลักษณะห้องปิดทึบมีโอ่งดินเผาประดับตกแต่งเขียนลายรูปพยัคฆ์ตั้งอยู่มุมหนึ่ง มีฉากกั้นขึงตึงด้วยผ้าโปรงแสงปักด้วยด้ายไหมสีน้ำเงินสลับทองเป็นลวดลายมัจฉาแหวกว่ายท่ามกลางคลื่นมหาสมุทร ความสูงระดับอกตั้งกางกั้นอยู่กึ่งกลางห้อง บ่าวชายหญิงจัดการเทน้ำลงโอ่ง อีกส่วนหนึ่งคลี่ผืนผ้าไหมแขวนไว้บนราวตาก คนที่เหลือรีบเข้ามาหาพจน์ที่ยืนเงอะงะงุนงงอยู่ ประเดี๋ยวหนึ่งจึงรู้ว่ากำลังถูกถอดผ้าสีขาวที่ใช้นุ่งห่มออกจากตัว จนเด็กหนุ่มผู้ไม่เคยชินต้องร้องเสียงหลง

มาตะซึ่งกำลังถูกบ่าวไพร่หญิงสองคนถอดผ้าออกเช่นกัน รีบหันมามองว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น เพียงแค่สบตากลมโตสีน้ำตาลของพจน์ มันก็เหมือนจะรู้ว่าต้องทำสิ่งใดต่อ จึงร้องบอกบ่าวชายหญิงทั้งหมดให้ออกไปจัดการต้อนรับขับสู้แขกผู้มาเยือนทั้งสองแทน

เจ้านั่นถูกถอดออกเกือบหมดเหลือเพียงผ้าหยักรั้งสีแดงเข้มอีกชั้นหนึ่ง ปกปิดส่วนสำคัญไว้อยู่ กล้ามอกกว้าง แผงท้องนูน และต้นขาแน่นสะท้อนเป็นเงาคมชัดจากแสงชวาลาดวงน้อย มันยืนนิ่งคิดเหมือนไม่รู้จะทำอย่างไรกับพจน์ดี

“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะออกไปก่อน เจ้าจงเร่งชำระล้างร่างกาย โดยใช้แต่เพียงผ้าชุบน้ำอุ่น ซึ่งบ่าวของข้าได้จัดเตรียมไว้นั่นแล้ว” มาตะชี้อ่างทองเหลืองสลักลายนูนรูปปลาพร้อมผ้าซับสีขาววางอยู่ใกล้กับโอ่งดินเผา มีควันสีขาวลอยกรุ่นอยู่เหนือผิวน้ำ

พจน์กระพริบตาแล้วพยักหน้าเข้าใจ มองอีกฝ่ายที่มีท่าทีทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง มันถอนหายใจแรง

“แต่ถ้าหากเจ้าเช็ดชำระกายไม่ถนัดมือ จงเรียกข้า” พจน์รู้สึกสะดุดกับประโยคข้างต้น “ข้าจักให้บ่าวไพร่เข้ามาช่วยเหลือ”

มาตะเหลือบแลพจน์อีกครั้งแล้วรีบเบือนหน้าหนีเหมือนเป็นสิ่งน่าขยะแขยงไม่น่ามอง จนทำให้เขารู้สึกวูบโหวง ณ อกเบื้องซ้าย อาการเมินเฉยจากคนตัวหนาทำให้พจน์รีบก้มสำรวจตนเอง ผิวท่อนบนแม้ไม่ขาวกระจ่างเทียบกับอีกฝ่ายแต่ก็พอดูดีเรียบเนียนประมาณหนึ่ง กล้ามเนื้ออก หน้าท้อง หรือกล้ามแขน ก็สามารถถอดโชว์คนอื่นได้ไม่อับอายใคร แต่อาการกระสับกระส่ายเหลียวมองประตู ไม่สบตา กำมือแน่นของเจ้ามาตะ เหมือนไม่อยากแลสายตาดูสารรูปของพจน์จนแม้แต่การจะอาบน้ำด้วยร่วมกันยังไม่อาจเป็นไปได้นั้นสร้างความรู้สึกบางอย่างในใจของเด็กหนุ่มร่างบาง

ขณะที่มาตะตัดสินใจก้าวเท้าเพื่อออกจากห้องชำระล้าง มือของพจน์ก็รีบคว้าแขนคนตัวหนาให้ดึงกลับมาเผชิญหน้าตนอีกครั้ง เจ้ามาตะสะดุ้งแต่ไม่เหลียวหน้ากลับมา พจน์ต้องก้าวไปยืนอยู่ตรงตำแหน่งการมองของมัน แล้วสบตาอีกฝ่ายเหมือนจะหาคำตอบบางอย่าง

ถ้าหากนี่เป็นความฝัน ทำไมหัวใจของพจน์ถึงได้เต้นระรัวราวกับจะหลุดออกมาสู่ภายนอกเสมือนเกิดขึ้นจริงดั่งนี้

ถ้าหากนี่เป็นความฝัน แววตาคมเข้มซึ่งมองตอบพจน์ ถึงได้บอกอารมณ์ความรู้สึกมากมาย เสมือนเกิดขึ้นจริงดั่งนี้

และถ้าหากนี่เป็นความฝัน ความรู้สึกอุ่นวาบ ณ จุดสัมผัสแขนจวบจนสมองถึงได้โล่งโปร่ง จนไม่สามารรับรู้ได้ว่านี่คือ ปัจจุบัน อนาคต อดีต หรือภาพฝัน จินตนาการ หรือที่แท้คือ ความจริง

เมื่อมาตะเลื่อนฝ่ามือผสานนิ้วทั้งห้าหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมือของพจน์จนผนึกแน่นนั่นแล้ว พจน์จึงตัดสินใจได้ในที่สุดว่าทั้งหมด คือ ภาพฝันหรือความจริง


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3226597#msg3226597)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๕ นิมิตฝัน ฤา จริงแท้ ๑๐๐% (๘/๑๑/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: pnn ที่ 09-11-2015 14:19:17
ตอน 5 มาแล้ววว จิ้มไว้ก่อน เด่วมาอ่านๆ :katai4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๕ นิมิตฝัน ฤา จริงแท้ ๑๐๐% (๘/๑๑/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 09-11-2015 19:46:35
อะ มารอ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๖ หายนะภัย ๕๐% (๑๐/๑๑/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 10-11-2015 18:42:43
บทที่ ๖


หายนะภัย


เด็กหนุ่มทั้งคู่กุมมือแนบผสาน สัมผัสจังหวะการเต้นของชีพจรอีกฝ่าย กำลังสูบฉีดเลือดหล่อเลี้ยงหัวใจได้รวดเร็วเหลือประมาณ บรรยากาศยามเช้าแม้หนาวเย็นแต่ความรู้สึกอบอุ่นไม่จืดจางนี้ผุดกระจายมาจากแห่งหนใด พจน์รู้แล้วว่าเหตุการณ์ทุกสิ่งทั้งเมื่อแรกพบและเกิดอยู่ตรงหน้านี้คือความจริง ไม่ใช่ความฝัน ถึงแม้นไม่อาจหาต้นสายปลายเหตุซึ่งนำตนมาสู่สถานที่นี้ได้ก็ตาม แต่เบื้องลึกในใจเขาตอบยืนยันหนักแน่นเกินกว่าจะคัดค้านได้
 
ทุกสรรพสิ่งเหมือนถูกกาลเวลาฉุดรั้งให้หยุดเคลื่อนไหว มีเพียงหทัยสองดวงเท่านั้นที่เต้นกระหน่ำ เจ้ามาตะเอื้อมมืออีกข้างมาสัมผัสใบหน้าของพจน์อย่างเบามือ ประคองรั้งให้อยู่นิ่งเฉย ดวงตาสีเข้มสะกดทุกการกระทำของพจน์ให้เชื่องช้าลงรวดเร็ว จนเขาอยากจะหลบหลีกสายตาอันร้อนแรงนั้นเหลือจะกล่าวแต่ก็ยากเกินกว่าจะทำได้ดังใจหวัง เจ้ามาตะค่อยๆยื่นใบหน้านิ่งขรึมแต่หล่อเหลาเคลื่อนเข้าใกล้ผิวหน้าพจน์ สายตาสลับมองระหว่างดวงตาสีน้ำตาลเข้มและริมฝีปากอิ่ม พจน์พยายามปิดเปลือกตาลง ถ้าหากนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาไม่ปรารถนา ร่างกายทุกส่วนคงดิ้นรนห้ามปรามแล้ว ถ้าอารมณ์ความรู้สึกอยู่เหนือความรับผิดชอบชั่วดี เขาคงยอมแลกทั้งหมดเพื่อเผชิญผ่าน ณ ห่วงวินาทีนี้ และพิสูจน์ว่าใจของเขายังเป็นของตัวเองอยู่อีกหรือไม่
 
ฉับพลัน ณ จุดมือสัมผัส ผิวหนังของพจน์บังเกิดเลือนรางจนจางหายแลลุกลามมาตามแขนรวมทั้งขาสองข้าง สีหน้าแปลกประหลาดใจของเจ้ามาตะสะท้อนสู่สายตาพจน์

“เกิดเหตุเภทภัยอันใดกับเจ้าอีกกระนั้นรึ ผิวกายเจ้าถึงได้โปร่งแลจืดจาง ราวกับจักหายตัวไปประเดี๋ยวนี้” มาตะถามเสียงละล่ำละลักรีบไขว่คว้ามือว่างเปล่า ทุกส่วนสูญหายแล้วเกือบครึ่งท่อน พจน์ไม่อาจทราบสาเหตุแต่อย่างใดได้แต่ส่ายหน้า

“ภัทรพจน์!”

เด็กหนุ่มไม่รับรู้ความเจ็บปวดสุดแสน อาการเลือนหายลุกลามจนในที่สุดสายตาของพจน์ก็เห็นเจ้ามาตะค่อยๆลบออกจากคลองจักษุ เช่นเดียวกับห้องอาบน้ำถูกกลืนด้วยหมอกควันขาวและเปลี่ยนสภาพเป็นห้องกว้างสีขาวสะอาด แสงแดดอ่อนค่อยๆเคลื่อนผ่านรอยแยกของผ้าม่านกระทบกับฝาผนังและเตียงนอนที่พจน์นั่งอยู่ กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อกระจายอยู่ทั่วบริเวณ

ชุดคนไข้คือสิ่งที่พจน์สวมใส่แทนชุดคล้ายโจงกระเบนและผ้าคล้องไหล่ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าสถานที่นี้คือ โรงพยาบาล เสาแขวนขวดน้ำเกลือตั้งอยู่ข้างเคียง ใกล้กันมีคนนั่งหลับอยู่ใช้มือทั้งสองหนุนต่างหมอนเช่นเดียวกับเวลาพจน์ชอบแอบหลับ เป็นไอ้คุณเปรมณัฐนั่นเอง พจน์จำลักษณะทรงผมและผิวขาวจัดของมันได้แม้ไม่ต้องเห็นใบหน้า
 
ตรงมุมห้องเป็นกลุ่มโซฟาสีครีมจำนวนสามตัวถูกจับจองด้วยดาว น้องสาวของพจน์เธอนอนหลับสนิทบนตักภพดนัยซึ่งอิงพนักหลังหลับอยู่เช่นเดียวกัน อีกส่วนหนึ่งนั้นคือกลุ่มเพื่อนของพจน์ ประกอบด้วย ไอ้โบท ไอ้ต่อ ไอ้กี และไอ้เตี้ยน้ำกำลังหลับใหลกอดก่ายกันกลมทั้งสี่คนเป็นภาพตลกขบขันชั้นดี

การที่พจน์เที่ยวปรากฏตัวในอีกสถานที่หนึ่งและย้อนกลับมายังอีกที่หนึ่งนั้น เขารู้แจ้งแก่ใจแล้วว่า ทั้งหมดไม่ใช่เหตุจากความฝัน ตนเองมั่นใจว่าร่างอันแท้จริงยังดำเนินอยู่ที่นี้ จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามแต่ สิ่งซึ่งชักนำให้ส่วนหนึ่งในกายพจน์ปรากฏอยู่ ณ แห่งหนึ่งแห่งใดได้นั้นเป็นปริศนายากเกินคาดเดา เงื่อนไขทั้งหมดคือสิ่งใด คงมีเพียงพระอาจารย์ของเจ้ามาตะเท่านั้นจะให้คำตอบได้ แววตา ความรู้สึก ผิวสัมผัสของไอ้มาตะยืนยันความจริงในข้อนี้ได้เป็นอย่างดี

แล้วนี่เหตุใดพจน์ถึงตื่นมาอยู่บนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาลแทนที่จะเป็นห้องน้ำของโรงเรียน หรือว่าช่วงเวลาระหว่างพจน์อยู่กับเจ้ามาตะประมาณหนึ่งวันหนึ่งคืนนั้น ร่างของเขา ณ โลกนี้ก็หยุดนิ่งไม่มีการตอบสนองอื่นใดอย่างนั้นหรือ

เวลา ช่างเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด

เมื่อลองคิดทบทวน หะแรกพจน์ได้เจอเจ้ามาตะ ตอนนั้นเขามีอาการเหมือนหลับสนิทอยู่บนรถยนต์ระหว่างเดินทางกลับบ้าน และมารู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อสิ้นสุดภาพจากห้องเก็บตำราหลวง

ถ้าพิจารณาตามข้อสันนิษฐานข้างต้น ร่างของพจน์คงหมดสติประหนึ่งนอนหลับอย่างปัจจุบันทันด่วน ไอ้กันและเพื่อนพ้องคงนำตนส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษาอาการและหาสาเหตุ ต้องขอบใจพวกมันเหลือประมาณที่เฝ้าดูแล
 
กำหนดการข้ามภพจะเป็นเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ได้ อย่างน้อยพจน์มั่นใจว่าตนต้องเจอเจ้านั่นอีกแน่นอน เขาเชื่อเช่นนั้น เมื่อตั้งมั่นและสงบใจได้แล้วจึงสะกิดฝ่ามือของไอ้คุณปาล์ม มันสะดุ้งผวาเล็กน้อยก่อนจะคลี่เปลือกตาชั้นเดียวแหงนมองพจน์

“ไอ้พจน์ มึงตื่นแล้ว” ไอ้คนหน้าหล่อร้องดีใจ จนพจน์ต้องยกนิ้วแตะริมฝีปากมันให้เบาเสียง
 
“เงียบก่อน กูยังไม่อยากทำให้ทุกคนแตกตื่น” พจน์กระซิบ ไอ้ปาล์มเปลี่ยนหน้ายิ้มเป็นนิ่งเฉยดังเดิม มันถอนหายใจเหมือนโล่งอก

“กู...” ไอ้กรรมการสภานักเรียนก้มหน้ามองขอบเตียง บรรยากาศเย็นสบายกำจายทั่ว

“กูคิดว่าจะไม่ได้คุยกับมึงอีกแล้ว มึงทำให้พวกกูตกใจแทบแย่ รู้ตัวหรือเปล่า อยู่ๆก็มีอาการแบบนี้ คราวหน้ากูจะไม่ปล่อยให้มึงเดินไปไหนมาไหนคนเดียวอีก” คนพูดน้อยเอ่ยประโยคยาวยืด
 
พจน์เผลอยิ้มอย่างชอบใจ ตบไหล่หนาไอ้เพื่อนตัวดีอย่างเบามือเหมือนรับรู้ความเป็นห่วงเป็นใยของมัน พร้อมคำขอบคุณที่ไม่ต้องเอ่ยอ้าง

“พี่พจน์ฟื้นแล้วค่ะ” เสียงร้องแหลมของดาวปลุกให้ประชากรเพศชายในห้องตื่นจากการหลับใหลทันที ดาราวิ่งมาจับมือพี่ชายเขย่าขึ้นลงอยู่อย่างนั้น ภพดนัยเดินมาลูบหัวลูกคนโต

“ไม่เป็นไรแล้วนะ ปวดหัว หรือต้องการอะไรอีกหรือเปล่า” ภพดนัยมีสีหน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัดซักถาม

“ไม่ครับ ผมดีขึ้นแล้ว” พจน์พยักหน้าตอบ ไม่มีอาการเจ็บปวดหรือฟกช้ำเมื่อลองขยับกาย ไอ้ต่อ ไอ้กี ไอ้โบท และไอ้น้ำแกะตัวออกจากกลุ่มก้อนมายืนรุมล้อมด้านหลังไอ้ปาล์มที่ยังคงก้มหน้าอยู่

“มึงไม่ต้องเป็นห่วงนะ กูจัดการไอ้กันแทนมึงแล้ว” ไอ้เตี้ยน้ำชูกำปั้นกำหมัดแน่นคุยโวเสียงดัง

“ให้มันน้อยๆหน่อย น้องน้ำ ได้ข่าวว่าคนที่ทำให้ไอกันเจ็บหนักไม่ใช่มึงนะ กูเห็นมึงเอาแต่ร้องไห้แล้วก็พูดว่า ‘ไอ้พจน์ ไอ้พจน์มึงอย่าเป็นอะไรนะ’ อยู่อย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนตาบวม” ไอ้โบทหน้าตี๋ตบหัวน้องน้ำเบามือ คนอื่นหัวเราะครื้นเครงรวมทั้งพจน์ด้วย

“กูไม่ได้ร้องไห้สักหน่อย” ไอ้น้ำเถียงกลับคอเป็นเอ็น ไอ้กีขยับปากไม่มีเสียงว่า เหรอๆ ทำให้คนถูกล้อทำตาโตอย่างขัดใจ

“ถ้างั้น เดี๋ยวพ่อไปตามหมอมาตรวจอาการก่อนนะ” ภพดนัยรีบผละจากไป

“มึงทำอะไรไอ้กันวะ” คล้อยหลังพ่อแล้วพจน์จึงถาม จับสังเกตได้จากคำพูดไอ้โบท

“มันก็โดนไอ้พีท นักบาสโรงเรียนชกซะน่วมสิวะ จากที่พวกกูได้ข่าวมานะ ไอ้พีทไปเจอมึงกับไอ้กันในห้องน้ำ และท่าทางไอ้กันคงจะทำอะไรสักอย่างจนมึงสลบ เห็นตามนั้นไอ้พีทก็เลยกระโดดถีบเข้าให้กลางหลัง ไม่พอยังชกซ้ำแบบไม่ออมมือ จนรุ่นน้องในชมรมมันต้องมายื้อห้ามนั่นแหละ ไอ้กันถึงรอดมาได้ และที่แปลกก็คือ ไอ้กันแมร่งไม่โต้ตอบเลยว่ะ” ไอ้กีหน้าลูกครึ่งอังกฤษแต่พูดไทยชัดเจนอธิบายเรื่องราว

พจน์นึกลำดับเรื่องราวทั้งหมดตามที่พวกมันว่าก่อนจะหมดสติก็พอจับเค้าลางได้

“แล้วจากนั้นไอ้พีทก็อุ้มมึงไปห้องพยาบาล ส่วนรุ่นน้องพอรู้ว่าเป็นมึงก็มาตามพวกกู ไอ้นี่เลย” ไอ้ต่อชี้นิ้วใส่ไอ้ปาล์ม “วิ่งอย่างเร็ว กูนึกว่า สี่คูณร้อย พอเห็นสภาพมึงเท่านั้นแหละก็ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกเหมือนพวกกู ครูประจำห้องปฐมพยาบาลเบื้องต้นก็ไม่ฟื้น จึงตัดสินใจเร่งติดต่อโรงพยาบาลให้ส่งรถมารับตัว”

ไอ้ปาล์มยังคงไม่มีปากมีเสียงนั่งก้มหน้านิ่ง พจน์พอจะเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดพอสังเขปแล้ว

เสียงรัวเคาะประตูพร้อมลูกบิดลั่นกราวเรียกความสนใจให้ทุกคนหันมอง ใบหน้าฟกช้ำที่ทำแผลเรียบร้อยแล้วของไอ้คนถูกพาดพิงยืนอยู่เบื้องหลังกระจกใสติดบานประตู

“ดาวไปเปิดให้นะคะ”

“ไม่ต้องครับ น้องดาว” ไอ้โบทพูดเสียงต่ำ จ้องมองไอ้กันตารุกวาวราวกับเคืองแค้นมาแต่ชาติปางก่อน

“ทำไมมึงไม่ยอมให้มันเข้ามาวะ” พจน์ซักไซ้

“หลังจากมึงแอดมิดเข้าโรงพยาบาล ไอ้นั่นก็ตามมาเฝ้า แต่พวกกูไม่ให้เข้าห้อง มันก็เลยนั่งรออยู่ข้างนอกตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ไม่ไปไหนเลย” ไอ้น้ำบอกเสียงเบา

แววตาดุดื้อร้นของไอ้นิธิจ้องตอบพจน์

“ให้มันเข้ามาเถอะ” ไอ้ต่อทำเสียงไม่พอใจ “กูไม่ได้เป็นอะไรหนักเมื่อเทียบกับมันแล้ว มึงก็เห็น”

“ไอ้พจน์ มันทำอะไรไม่รู้ให้มึงสลบข้ามวันข้ามคืน แม้แต่หมอยังวินิจฉัยไม่ได้ แล้วมึงจะกล้าให้มันเข้าใกล้ชิดตัวอีกงั้นเหรอ” ไอ้กีร้องลั่น ดูขัดใจ

“เรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของมัน เชื่อกู” พจน์ขอร้องเสียงนิ่ง

ระหว่างนั้นภพดนัยได้นำเชิญแพทย์หนุ่มเจ้าของไข้เดินเข้ามาพร้อมพยาบาลสาวอีกหนึ่งคน เป็นโอกาสให้ไอ้กันแทรกตัวเข้ามาและยืนทำหน้านิ่งอยู่ตรงประตูไม่เข้าใกล้เกินกว่านั้น ไอ้สี่คนมีทีท่าขัดใจ ทำเสียงขู่ ฮึดฮัดอย่างกับหมาห่วงเจ้าของ พจน์นึกขำในใจ

คุณหมอใช้หูฟังตรวจบริเวณทรวงอกและใช้ไฟฉายส่องม่านตาอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงแจ้งว่าทุกอย่างเป็นปกติดี สรุปอาการน่าจะเป็นเพราะนอนหลับไม่เพียงพอ จึงจัดยาวิตามินให้รับประทาน และสามารถกลับบ้านได้เลยในวันนี้ แต่ถ้าหากมีอาการผิดปกติอย่างหนึ่งอย่างใดอีกให้รีบกลับมาพบแพทย์โดยด่วน หลังจากนั้นพยาบาลสาวจึงถอดสายน้ำเกลือออกจากท่อนแขน

ทุกคนมีสีหน้าโล่งใจรวมถึงไอ้กันด้วย ระหว่างนั้นหน้าจอโทรทัศน์ที่กำลังรายงานข่าวเช้าประจำวันอยู่ก็ประกาศเสียงดังว่า มีรายงานด่วนเข้ามา ดึงความสนใจของทุกคนในที่นั้นเพ่งเล็งไปยังจุดเดียว

“ขณะนี้ผมรายงานสดจากห้องแถลงข่าวของสถาบันสภาสูงแห่งศาสตราจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิและล้ำเลิศทางปัญญาแห่งชาติ หลังการหารือที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของสถาบันฯรวมทั้งสิ้นสามสิบชั่วโมง การประชุมลับของสถาบันฯก็ยุติ และศาสตราจารย์วิชัย เทพวิมาน ศาสตราจารย์อาวุโสหนึ่งในสี่ได้ออกมาแถลงข่าว แจ้งว่าท่านได้ลาออกจากทุกตำแหน่งในสถาบันฯอันทรงเกียรติแห่งนี้ พร้อมทั้งระบุข่าวสำคัญที่สำนักข่าวทั้งในและต่างประเทศต่างตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่งว่า สาเหตุใดน้ำกำลังจะท่วมโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ เชิญรับชมได้เลยครับ”

ภาพหน้าจอเปลี่ยนเป็นศาสตราจารย์วิชัยยืนอยู่บนแท่นแถลงการณ์ แสงเเฟลชจากกล้องถ่ายรูปวูบวาบรอบตัวคุณปู่ ท่านจัดการกับคำถามของนักข่าวจนหมดสิ้นแล้วจึงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขาม

“เมื่อนำข้อสันนิษฐานและทฤษฎีมารวมเข้ากัน ทุกคนจะเห็นได้ทันทีว่า สิ่งใดคือสาเหตุที่น้ำกำลังจะท่วมโลก อุบัติเหตุเครื่องบินตกใจกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้ผมได้เห็นว่า ยังคงมีดินแดนอันกว้างใหญ่จมอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิก มหาเทพผู้ยิ่งยงเหนือพิภพนั้นได้บอกกับผมว่า ดินแดนทั้งหมดที่มีขนาดเทียบเท่ากับอาณาเขตของมหาสมุทรในปัจจุบันจะโผล่พื้นน้ำขึ้นมา จนผลักดันน้ำทะเลให้ล้นทะลักด้วยปริมาณน้ำอันมากมายมหาศาล ไหลบ่าเข้าท่วมทุกผืนแผ่นดิน บังเกิดเป็นคลื่นยักษ์สูงสุดปลายฟ้า ถาโถมเข้าสู่ทุกที่ สร้างแรงแผ่นดินไหวสั่นสะเทือนครั้งประวัติศาสตร์โลก ดินแดนอันเก่าแก่ยิ่งกว่ายุคไดโนเสาร์ ดินแดนซึ่งไม่มีหลักฐานหรือสิ่งจารึกใดๆ ผมขอเรียกดินแดนนั้นว่า มหาพิภพ มหาทวีปที่จะทำลายล้างโลกของเรา”

ทุกสรรพสิ่งดูเงียบงันจนหมดสิ้น ทั้งพื้นพิภพโลกาดูราวกับมีเสียงพูดของศาสตราจารย์วิชัยแต่เพียงผู้เดียว


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3228283#msg3228283)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทท่ี ๖ หายนะภัย ๕๐% (๑๐/๑๑/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 10-11-2015 21:14:10
รออ่านต่ออยู่นะครับ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทท่ี ๖ หายนะภัย ๕๐% (๑๐/๑๑/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 10-11-2015 22:39:36
มารอคะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทท่ี ๖ หายนะภัย ๕๐% (๑๐/๑๑/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 11-11-2015 09:59:33
รอค่ะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๖ หายนะภัย ๕๐% (๑๐/๑๑/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: หนูน้อยหมวกแดง ที่ 11-11-2015 23:38:06
สนุกค่า รอๆๆๆๆๆๆ :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๖ หายนะภัย ๕๐% (๑๐/๑๑/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 11-11-2015 23:40:49
ชอบมากค่ะ ชอบจริงๆ อ่านไปฟินไป อบอุ่นไปกับมาตะ แอร๊ยยยย ป้าปลื้มนาง เป็นนิยายที่เหมือนลูกผสม นิยายฝรั่งกับไทยเลย ชอบจังเลยค่ะ สนุกชอบๆๆ มาอีกนะคะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๖ หายนะภัย ๑๐๐% (๑๒/๑๑/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 12-11-2015 16:03:28
[ต่อ]


“มหาภัยพิบัติครั้งนี้จะอุบัติขึ้นในวันที่ ๑๕ เมษายนของปีหน้า ตรงกับวันเวลาที่องค์การนาซ่าประกาศว่า ดาวเคราะห์ในระบบสุริยจักรวาลจะเคลื่อนมาอยู่ในแนวเดียวกัน ตามคำทำนายของมหาเทพ คราตะวันเลื่อนเคลื่อนผ่าน สุริยจักรวาลผันผวน บังเกิดหมู่ดาวเคราะห์เรียงรวน เป็นดั่งทวนอัศวาราตรีกาล และวันนี้ก็เป็นวันที่ ๑๒ พฤศจิกายนแล้ว เหลือเวลาอีกเพียง ๕ เดือนเท่านั้น ผมจึงขอยืนยัน ทางเดียวที่เราจะเอาชีวิตรอดจากหายนะภัยนี้ คือ ต้องเร่งสร้างเรือดำน้ำ หรือหาซื้อเรือดำน้ำให้ได้โดยเร็วที่สุด ต้องมีมนุษย์สักคนรอดชีวิต และเดินทางตามหา มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์สถิตอยู่ ณ ดินแดนมหาพิภพ แล้วมหาเทพผู้นั้นจะช่วยเหลือพวกเรา และทำให้โลกกลับคืนดังเดิม ผมขอให้ทุกท่านเชื่อ ชีวิตของมวลมนุษยชาติเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”

ภาพการประกาศคำแถลงการณ์นี้ถ่ายทอดสดสู่ทั่วทุกทวีป ประชากรนับพันล้านคนต่างรับรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของเรื่องราวทั้งหมด พลเมืองทุกชาติทุกภาษาต่างนิ่งฟังข่าวสารด้วยความรู้สึกหลากหลาย

มหาพิภพ มหาเทพ

เด็กหนุ่มในชุดคนไข้รำพันในใจ

ความลึกลับถูกปิดซ่อนไว้เนิ่นนานของคุณปู่ช่วยไขข้อสงสัยจนหมดสิ้น จิ๊กซอหลายตัวเริ่มเข้าที่ทางจนก่อเกิดรูปร่างชัดเจนแจ่มกระจ่าง แท้จริงแล้วมีมหาทวีปซ่อนอยู่ใต้พื้นทะเลและรอคอยดันตัวสู่เบื้องบนจนก่อเกิดน้ำท่วมโลก เพราะเหตุนี้นี่เอง เรื่องราวก่อนหน้าเชื่อมโยงผสานเป็นหนึ่งเดียวกับความจริงครั้งล่าสุด
 
ท่ามกลางอาการเหม่อลอยของทุกผู้คนในห้อง พจน์บังเกิดความรู้สึกเศร้าสลดอย่างสุดจะหักห้าม ถ้าวันนั้นมาถึง ความพินาศ ความสูญเสีย คงไม่อาจหลีกเลี่ยงหลบหนีพ้น และมวลมนุษยชาติต้องก้าวผ่านช่วงเวลาโหดร้ายสุดแสนทรมานให้ได้มากที่สุด ความจริงนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์การมีตัวตนอยู่ของมนุษย์เลยทีเดียว

ชั่วขณะจิตหนึ่งพจน์ลืมแม้กระทั่งสิ่งสามารถชักนำเขาเคลื่อนสู่อีกภพภูมิอื่นได้

ลืมแม้กระทั่งสิ่งที่เคยคอยช่วยเหลือคุณปู่มาตลอด

และลืมแม้กระทั่งเหตุผลของทุกคนที่ถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้

“พ่อมีเรื่องเร่งด่วนต้องกลับสถานีข่าว เรารีบไปกันเถอะ” ภพดนัยฉุดทุกคนกลับคืนสู่สภาพความเป็นจริง รายงานข่าวตัดกลับคืนสู่รายการปกติ

“นี่เป็นชุดสำหรับเปลี่ยนค่ะ พี่พจน์” เด็กสาวยื่นถุงใส่เสื้อผ้าให้พี่ชาย เพื่อนสี่เกลอต่างสงบปากเงียบ พวกมันรู้ว่าชายสูงอายุในทีวีคือ คุณปู่ของพจน์ ส่วนไอ้นิธิยังคงมองทุกการกระทำของพจน์ไม่เปลี่ยนแปลง

“ถ้างั้นพ่อกับดาวจะรอรับยาอยู่ที่ชั้นหนึ่งนะ ลูกจัดการตัวเองให้เรียบร้อยแล้วรีบตามลงมา” ภพดนัยสั่งเสียงเร่งร้อน เมื่อเห็นลูกชายทำหน้าเข้าใจจึงเร่งฝีเท้าออกจากห้องพร้อมสีหน้าวิตกกังวลของดาว หมอและพยาบาลหายจากอาการนิ่งแข็งขยับกายตามติดเช่นกัน

“มึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ ดีนะวันนี้เป็นวันเสาร์ พวกกูไม่ต้องรีบไปโรงเรียน เดี๋ยวจะตามไปเฝ้ามึงถึงที่บ้านเลย” ไอ้ต่อเปิดปากเปลี่ยนเรื่อง

“ถึงกับต้องตามไปเฝ้าเลยหรือวะ กูโตแล้วนะเว้ย นี่พจน์เอง พจน์คนเดิม มึงจำไม่ได้หรือไง ฮ่าๆ” เด็กหนุ่มนัยน์ตาสวยพยายามพูดให้ดูเหมือนเรื่องตลกแต่ไม่มีใครยิ้มหรือหัวเราะแม้สักน้อยนิด

“ไอ้พจน์ พวกกูกับมึงคบกันมาตั้งแต่อนุบาล รู้ใจกันยิ่งกว่าอะไร ไม่ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น มึงโปรดไว้ใจพวกกู” ไอ้โบทพูดเป็นการเป็นงาน “กูสามารถพูดแทนพวกมันที่เหลือได้ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย พวกกูจะอยู่เคียงข้างมึงและครอบครัว อย่าคิดเองเด็ดขาดว่าพวกกูแต่ละคนรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ ใช่ ความคิดคนไม่อาจบังคับกะเกณฑ์ได้ แต่ความเป็นเพื่อนของพวกเราจะยังคงอยู่ตลอดไป”

ความรู้สึกตื้นตันในอกปริ่มล้นเกินจะกล่าว พจน์พยักหน้าให้กลุ่มเพื่อนสนิท ไอ้เปรมณัฐลุกขึ้นยืนพรวดพราดแล้วเดินแทรกกลุ่มคนรายล้อมพร้อมเบียดชนไหล่ไอ้กัน ก่อนจะผลักประตูก้าวหายลับ

“เป็นเชี่ยอะไรของมันวะ” ไอ้กีร้องไล่หลัง

“กูว่าพักนี้มันแปลกๆว่ะ ลองปล่อยมันไว้กับตัวเองก่อนเถอะ บางทีมันคงเจอปัญหาที่คิดไม่ตก” ไอ้ต่อเกาผมทรงสกินเฮด

“มันมีปัญหากับทางบ้านเปล่าวะ ไอ้นี่ชอบเก็บไว้เงียบ ไม่ยอมบอกใคร เออ แต่มันชอบคุยกับมึงนี่หว่า ไอ้พจน์” ไอ้โบทโยนคำถามมาทางคนบนเตียง

“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ” พจน์ปฏิเสธคิ้วขมวด ลองพยายามนึกดู ความทรงจำบอกว่าไม่เคยได้ยินมันขอความช่วยเหลือใดๆ

“กลับกันเถอะ บรรยากาศแถวนี้แมร่งมีมลพิษ” ไอ้เตี้ยน้ำร้องแทรกเสียงดังทำเป็นยืดตัวอกตั้ง เหล่มองไอ้กันทางหางตา

“โถ น้องน้ำถ้ามึงอยากอ้อนตีนโดนกระทืบมากนักก็บอกพวกกูดีๆ ไม่ต้องไปอ้อนหาจากคนอื่น กูนี่แหละจะจัดการให้” ไอ้โบทยกยิ้มกว้างขยับมือหมายหัวคนตัวเล็ก แต่อีกคนก้มหลบได้ทัน

ไอ้น้ำทำตาโตแยกเขี้ยวข่มขู่เหมือนตัวมันจะสู้ชนะไอ้สามคนร่างยักษ์ได้อย่างนั้น

“ปากดีแบบมึง คงได้ผัวเข้าสักวัน” ไอ้ต่อปากร้ายวินิจฉัยตรงประเด็น สร้างเสียงหัวเราะครื้นเครงดังครืน ไอ้เตี้ยน้ำมีท่าทีงอนจนแก้มพองลม นั่นทำให้พจน์อดร่วมขำขันด้วยไม่ได้

มิตรแท้สามารถพบเจอได้ในช่วงเวลาวิกฤติ ดังคำที่เคยมีคนกล่าวไว้นั้นเห็นจะเป็นจริงเช่นเหตุการณ์ตรงหน้านี้

พจน์จัดการเปลี่ยนจากชุดคนไข้เป็นชุดลำลองชั่วเวลาไม่กี่นาที ไอ้น้ำประกบริมฝีปากแน่นไม่ยอมพูดจากับใครแม้แต่พจน์ สงสัยงานนี้คงงอนยาว และพวกเขานั่นแหละจะต้องเหนื่อยตามง้อขอคืนดี

“ฝากพวกมึงบอกพ่อกูก่อนว่าเดี๋ยวกูจะรีบตามไป” พจน์สั่ง ไอ้สี่คนทำหน้าหน้าเครียดทันควัน

“กูไม่ยอมปล่อยมึงไว้สองต่อสองกับไอ้เด็กใหม่อีกแน่” เสียงไอ้โบทประท้วง

“บอกแล้วไงว่ามันไม่ได้ทำอะไรกู” พจน์แย้ง “มีเรื่องต้องเคลียร์นิดหน่อย มึงจะให้ไอ้ต่อ หรือไอ้กีเฝ้าอยู่หน้าประตูก็ได้”

พวกมันทุกคนรู้ดีหากเป็นการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดของพจน์แล้วย่อมไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเด็ดขาด จึงยอมล่าถอย ก่อนจากไม่วายส่งสายตาข่มขู่ไอ้กันอีกระลอก พจน์ไม่เห็นวี่แววหวาดกลัวของไอ้นิธิแม้ชั่ววินาทีเลย น้องน้ำยังคงแสดงความกล้าเกินตัวถึงกับขนาดเขย่งปลายเท้าเพื่อให้ไหล่เล็กนิดเดียวของมันชนกระทบต้นแขนหนาไอ้กัน แต่ไม่อาจดึงรั้งสายตาเด็กใหม่ให้ละจากตัวพจน์ได้

ความเงียบเป็นสิ่งน่าอึดอัดเกิดขึ้นชั่ววินาที ไอ้คนถูกกล่าวหาจึงยอมเปิดปากสนทนาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ยืนอยู่ในห้องนี้

“กูขอโทษ”

พจน์พยายามนึกทบทวนเรื่องราวก่อนตนจะเจอกับเจ้ามาตะ กระดาษกลอนแผ่นนั้นหายสาปสูญเสียแล้ว

“เรื่อง?”

“กูคิดผิดในสิ่งที่กูทำ กูไม่ควรท้ามึงให้ทำเรื่องไร้สาระจนมึงเครียด และ...” ไอ้นิธิจ้องพจน์ตาไม่กระพริบ

“มึงโกหก” จมูกแหลมงุ้มของคนผอมสูงขึ้นสีจัด “และอีกอย่างกูไม่ได้เครียดเพราะเรื่องที่มึงอ้างถึงสักนิด ไอ้กัน ส่วนหนึ่งกูยินดีที่คนมีความสามารถอย่างมึงย้ายมาอยู่ร่วมโรงเรียน แต่กูอยากถามคำถามเดียว มึงเอาโคลงสี่สุภาพนั่นมาจากไหน” นี่คือข้อขัดข้องหมองใจในขณะนี้อย่างมาก เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้พจน์เกือบเอาชีวิตไม่รอด

เด็กใหม่หลบสายตาทันควัน มันเสมองแสงสว่างยามเช้าซึ่งตกกระทบพื้นห้องผ่านม่านสีขาว นิ่งตรึกตรองชั่วลมหายใจ

“มีคนให้กูมา” ไอ้กันตอบเสียงเบาผิดวิสัย “ความตั้งใจแรกเพื่อทดสอบมึงว่าเป็น...เอ่อ...แต่ไม่ใช่เลย มันเกือบจะทำลายมึงด้วยซ้ำ วินาทีที่มึงล้มลง กูแทบสิ้นสติตาม หัวใจกูเหมือนแหลกสลาย กูไม่น่าอาสามาเลยจริงๆ” คนร่างสูงเอามือกุมขมับทั้งสองอย่างอับจนหนทาง

“ใคร? เป็นคนให้” พจน์คาดคั้น อีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธ

“มึงบอกว่าอาสามา เพื่ออะไรกันแน่” ไอ้กันส่ายหน้าอีกหน นั่นทำให้ความอดทนของพจน์ถึงขีดจำกัด

“จะเอาแบบนี้ก็ได้ ถ้ามึงไม่ยอมบอกความจริง กูจะถอดความโคลงทั้งสองบทให้ทันกำหนดและถูกต้องทุกประการ แล้วหลังจากนั้นแม้แต่การพูดคุยระหว่างมึงกับกูคงไม่มีวันเกิดขึ้นอีก” พจน์ยื่นคำขาด

สีหน้าเศร้าสลดแต่แววตาดื้อร้ายนั้นส่องประกายชัด พจน์ไม่มีใจจะพูดกับไอ้คนปากแข็งอีก รีบเร่งเดินผ่าน แต่คนตัวสูงกว่าไม่ยอมให้พจน์จากไปโดยง่าย มันจับต้นแขนเขาฉุดรั้งไว้

“อย่าได้พูดแบบนั้น กูขอถอนคำท้า ขอยกเลิกเงื่อนไขทั้งหมดทั้งสิ้น”

“มึงจะยกเลิกสิ่งที่เคยพูดไม่ได้หรอก ไอ้กัน”

“มันเป็นข้ออ้างของแผนการไร้ปราณีเท่านั้น คำพูดท้าท้ายคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตอันต่ำช้าของกูเอง ขอให้มึงลืมซะ กูหวังจะมีความกล้าเพื่ออธิบายให้มึงเข้าใจมากกว่านี้ เพราะท้ายที่สุดแค่มีมึงอยู่ในสายตา กูก็พอใจแล้ว” ไอ้นิธิอ้อนวอนร้องขอจนพจน์รู้สึกกระตุกวูบในใจ

“แล้วเจตนาแท้จริงคืออะไรกันแน่ กูต้องการรู้ความจริง ความจริงแค่นั้น ไอ้กัน มึงทำให้กูสับสน”

ไอ้เด็กใหม่กำมือทั้งสองข้างแน่น เส้นเลือดหนาขึ้นเป็นริ้วชัดเจน ใบหน้ากึ่งร้ายกึ่งดีทำเอาพจน์จำต้องลดแรงขัดขืน

“ก่อนหน้าเพื่อมาเจอมึง กูถูกป้อนความคิดว่ามึงเป็นคนเลว ขี้ขลาดตาขาว ครอบครองของที่ไม่ใช่ของตนไว้กับตัว แต่พอเมื่อวานนี้มาถึง ทุกอย่างกลับพังทลายลง มันคือคำลวง ชักจูงเพื่อหลอกใช้ เพียงกูสบตามึงความจริงทั้งหมดก็กระจ่าง และยิ่งมึงรับคำท้า นั่นพิสูจน์ได้ว่า คำล่อหลอกนั้นคือยาพิษ และมันทำให้กูเจ็บปวดนักเพราะวินาทีสบตากูก็รู้แน่ว่าไม่มีวันทำร้ายมึงได้ และสิ่งสำคัญที่สุดคือกูไม่อาจจะเปลี่ยนใจไปรักใครได้อีกนอกจากมึงเพียงผู้เดียว”

พจน์สับสนกับความจริงจอมปลอมมากขึ้นทวีคูณ ไอ้กันรวบกุมมือพจน์แนบแน่นเข้าหาอกหนาของมัน สายตาอนาทรร้อนใจนั้นบ่งสะท้อนอารมณ์เบื้องลึกสุดทรมาน

“โปรดเชื่อใจไอ้กันคนนี้ กูรักมึง คือสิ่งแน่แท้ สรรพสิ่งทั้งจักรวาลจงเป็นพยาน” ก้อนเนื้อเบื้องซ้ายของมันเต้นระรัวเร็วกระทบผ่านถึงมือพจน์  “มีคนจ้องทำร้ายมึง ไอ้พจน์ และกูจะปกป้องสุดดวงใจของกูด้วยชีวิต”


****************************************

ทรยศ หักหลัง มันเกลียดคำสองคำนี้อย่างสุดแสนพรรณนา เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการใคร่ครวญถึง แต่บัดนี้มันรับรู้ได้ด้วยญาณวิเศษว่า แผนการซึ่งเฝ้าวางกลหมากมาเนิ่นนานถูกทาสรับใช้แปรพักตร์ล้มกระดานเสียสิ้นแล้ว ร่างซีดขาวใต้ผ้าคลุมสีดำถูกลมวายุพัดโหมกระพือรุนแรงเพราะฤทธิ์โกรธา กลุ่มเมฆใต้ฝ่าเท้าเริ่มมืดดำก่อตัวหนาปกคลุมมหานครของมนุษย์บนพิภพนี้ ดวงตาวาวโรจน์ดังเพลิงกาฬลุกไหม้ เฉกเช่นนั้นข้าจักตอบแทนความเจ็บลึกครานี้ให้สาสมกับการทุรยศ มันจะต้องดับสูญ!!

****************************************


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3231719#msg3231719)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๖ หายนะภัย ๑๐๐% (๑๒/๑๑/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 12-11-2015 21:00:30
ใครเป็นเบื้องหลังเนี่ยยย แล้วกันจะเป็นไรป่าว? :katai1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๖ หายนะภัย ๑๐๐% (๑๒/๑๑/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 13-11-2015 15:44:38
ลึกลับ ซ้อนเงื่อน ปมใหญ่ๆ ค่อยแกะออกมาทีละนิดจึงจะเข้าใจ
แอร๊ยยยย สนุกมากค่ะ กันต์จะตายมั้ยเนี่ย
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๗ คิดถึงคะนึงหา ๕๐% (๑๖/๑๑/๕๘) UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 16-11-2015 16:04:08
บทที่ ๗



คิดถึงคะนึงหา


   
แววตาวาวโรจน์สีแดงชาดทอลอดจากเงื้อมเงาใต้ผ้าคลุมผืนทมิฬปกปิดผิวซีดขาวไว้เล็บยาวร่างหนึ่งซึ่งยืนอยู่เหนือเสาสูงสุด ณ สะพานแขวนข้ามแม่น้ำผืนกว้าง เบื้องล่างคือ พาหนะขับเคลื่อนวิ่งสวนกันขวักไขว่ เร่งร้อนกลับคืนเหย้าเรือน และเป้าหมายการสังหารอยู่บนรถรับส่งสีเหลืองหนึ่งเดียว จอดนิ่งเพราะการสัญจรติดขัด
 
ลมวายุพละกำลังมหึมาหอบเมฆฝนดำทะมึนแผ่กระจายปกคลุมท้องฟ้ายามสนธยาแห่งมหานครมนุษย์แต่ยังไร้หยาดเม็ดฝนร่วงหล่นลงสู่พื้น ความหนาวเย็นแทรกซึมสู่บรรยากาศมืดสลัว
 
ร่างดวงจิตมีขีดจำกัดของพละอำนาจ มันจำต้องใช้ทาสภักดีสูงสุดอีกตนเป็นผู้สำเร็จการ สายฟ้าลึกลับผ่าลงกึ่งกลางสะพาน แสงสว่างสาดกระทบจ้าก่อกำเนิดเป็นปีศาจยักษ์ร่างสูงเกือบสามเมตร ผิวกายสีฟ้า นุ่งห่มเครื่องประดับด้วยสีนิล ดวงตาเขียวส่องประกายวาบอยู่เบื้องหน้าพาหนะเป้าหมาย การปรากฏกายของทาสรับใช้ สร้างความโกลาหลแก่มนุษย์ตัวเล็กๆโดยรอบทันควัน รถยนต์สัญจรหลบชนกันคันต่อคันเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตผิดประหลาด เสียงหวีดร้องสร้างความหฤหรรษ์สุดแสนปรีดา ชั่ววินาทีชุลมุน กลุ่มควันดำกลับระเบิดปกคลุมทัศนียภาพ ร่างซีดขาวผอมสูงเพียงสองเมตรภายใต้ชุดเครื่องประดับสีนิลเฉกเช่นเดียวกันจึงก้าวมาเผชิญหน้ากับศัตรูผิวกายฟ้า เร่งร่ายลูกไฟใส่ทาสผู้ภักดีของมันอย่างรวดเร็ว ทาสรับใช้ผิวกายฟ้าหลบหลีกอย่างชำนาญ ส่งให้ลูกไฟส่วนหนึ่งพุ่งใส่พาหนะขับเคลื่อนจนระเบิดเป็นเพลิงไฟ กลุ่มมนุษย์หน้าโง่วิ่งหนีตื่นกลัว หลบหลีกจากสมรภูมิรบกึ่งกลางสะพาน
 
ทาสร่างยักษ์เสกลูกไฟขนาดมหึมาสีฟ้าใส่เป้าหมายแต่ศัตรูหลบหลีกเหาะเหินเดินอากาศสู่ลวดเคเบิล จนทำให้สายเคเบิลบริเวณนั้นถูกลูกไฟสีฟ้าอีกดวงตัดเฉือนขาดกระเด็น สะพานซึ่งถูกขึงด้วยสายเคเบิลเริ่มสั่นคลอน การทรงตัวและสมดุลถูกทำลาย แต่มันยอมแลกความพินาศแลถูกเปิดเผยกับชีวิตแลจิตวิญญาณของผู้ทรยศ
 
พลังอำนาจที่มนุษย์สามัญหามีไม่สร้างความเสียหายแก่สะพานข้ามสัญจรอย่างไร้ความปราณี แต่มิอาจหักเอาวิญญาณของศัตรูมาครอบครองได้ เพราะฝีมืออีกฝ่ายมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าทาสผู้ซื่อสัตย์ของมันแม้แต่น้อย ถ้าหากร่างนี้ใช้พละกำลังสูงสุดได้ เพียงชั่ววินาทีเท่านั้นก็จักดับสูญ แต่บัดนี้มันพิเคราะห์ดูว่า จำต้องละชีวิตผู้คิดคดทรยศตนนั้นไว้ก่อน เสี้ยนหนามเล็กๆชิ้นนี้จะถูกกำจัดเมื่อถึงเวลาอันควร มันส่งอาณัติสัญญาณให้ปีศาจผิวกายฟ้าล่าถอย ศัตรูผู้แปรพักตร์หายลับจากแววตาดุจเพลิง

ขี้ขลาด ตาขาว แต่ทรงพลังยิ่ง

มันยื่นฝ่ามือไว้เล็บยาวสีดำเสกกลุ่มควันมอดไหม้แล้วสาดใส่ฝูงชนอลม่านเบื้องล่าง เมื่อหมอกลบความทรงจำแผ่กำจายปกคลุมสะพานง่อนแง่น ร่างนั้นจึงเลือนหายภายใต้ท้องฟ้าดำมืดพร้อมสายฝนหยดลงสู่พื้นพิภพ

****************************************

“ส่งมาทางนี้” พจน์ตะโกนเสียงดัง
 
ลูกบอลถูกแรงเตะส่งมายังผู้ร้องขอ เขาพักลูกด้วยอกล่ำเปลือยเปล่า แล้วเขี่ยบอลด้วยเท้าขวาข้างถนัดจัดการหลบผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามพุ่งเข้าสกัด อีกฝ่ายสวมใส่เสื้อพละสีเทาปักตราโรงเรียน เมื่อเลี้ยงลูกหลบอย่างชำนาญ และระยะหวังผลพร้อมช่องว่างประจวบเหมาะมาถึง พจน์จึงส่งลูกด้วยเท้าขวาเต็มแรงซัดเจ้าลูกบอลกลมลอดผ่านกองหลังทั้งสามโค้งสู่มุมเสาแรกเฉียดผ่านมือผู้รักษาประตูเพียงนิดเดียวเข้าไปตุงตาข่ายอย่างสวยงาม พจน์ประกบมือกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆอย่างดีใจ รอยยิ้มกว้างปรากฏอยู่บนใบหน้าเคล้าหยาดเหงื่อ กรรมการหรือผู้ฝึกสอนทีมโรงเรียนเป่านกหวีดหมดเวลาการแข่งขันในวินาทีต่อมา ไอ้พวกมนุษย์ถอดเสื้อต่างเฮละโลรุมล้อมกอดพจน์ ตบบ่า ลูบหัว พร้อมคำยินดี เมื่อเขาเป็นผู้ส่งให้ทีมชนะหนึ่งต่อศูนย์ในช่วงเวลาก่อนสัญญาณยุตินั่นเอง
 
อากาศยามเย็นในช่วงเข้าฤดูเหมันต์แม้อบอ้าว แต่เมื่อสายลมพัดผ่านสัมผัสกับหยาดเหงื่อตามผิวกายจึงเย็นชื่นสบายใจ แสงแดดอ่อนหลังก้อนเมฆกำลังใกล้ลับขอบฟ้า นักฟุตบอลทีมโรงเรียนต่างกอดคอกันกลมทั้งฝ่ายชนะและแพ้ ส่งเสียงหัวเราะพูดคุยพร้อมรวมกลุ่ม ณ กึ่งกลางสนามหญ้าสีเขียวสด ล้อมรอบครูผู้ฝึกสอนชายอายุอานามเพียงแค่หลักสามสิบ มีการอธิบายรูปแบบเกมส์ของฝ่ายชนะและเทคนิคส่งลูกของพจน์ว่ามีพัฒนาการดีขึ้น ครูฝึกแจงข้อดีข้อเสียของผู้เล่นแต่ละคนในแต่ละฝ่ายจนครบหมดแล้วจึงบอกเลิกชมรม แยกย้ายกันกลับบ้าน

บรรยากาศหลังเลิกเรียนยังมีนักเรียนชายหญิงให้เห็นนั่งจับกลุ่มทำการบ้านอยู่บ้างประปราย บ้างเป็นสมาชิกชมรมกีฬา หรือชมรมวิชาการ ต่างยังคงทำกิจกรรม ประชุมหารือในวาระต่างๆ อีกชมรมที่พจน์สังกัดและเป็นประธานอยู่คือ ชมรมคนเจ้าบทเจ้ากลอน แต่ขณะนี้เขาได้มอบหมายให้รองประธานซึ่งก็คือ ไอ้เตี้ยน้ำ ชลนธี เป็นผู้ดูแลในระหว่างช่วงฝึกซ้อมฟุตบอลเพื่อแข่งขันกีฬาไตรสามัคคีซึ่งมีกำหนดชิงชัยในวันจันทร์หน้า อ้อ เกือบลืม พจน์ยังเป็นหนึ่งในทีมประกวดกลอนสดของโรงเรียนและจะเข้าแข่งขันระดับชาติในช่วงหลังปีใหม่อีกด้วย ถ้าหากเขาแพ้ไอ้กัน ชมรมคนเจ้าบทเจ้ากลอนคงต้องพึ่งน้องน้ำให้ช่วยอย่างไม่มีทางเลือก ช่วงนี้พจน์จึงสลับปรับตารางชีวิตทุ่มเทให้กับสองอย่างนี้ตามเวลาเอื้ออำนวย

ภัทรพจน์คว้ากระเป๋าพร้อมเสื้อนักเรียนพาดไว้บนไหล่ ยังรู้สึกหายใจเร็วแรงแต่สดชื่น เดินตรงไปหาไอ้เปรมณัฐที่เหม่อมองสาวสวยชมรมวอลเลย์บอล กำลังซ้อมอย่างแข็งขันอยู่สนามข้างเคียง จนพจน์ต้องตบบ่ามันเบามือเจ้าตัวถึงได้ตื่นจากภวังค์ ไอ้ปาล์มจ้องพจน์พร้อมหูแดงชัดเจน

“แอบส่องสาวออกหน้าออกตาเลยนะมึง” พจน์ยกยิ้มยั่วล้อ

“กูเปล่านะเว้ย มึงอย่าเพิ่งเข้าใจผิด” ปฏิเสธเสียงลั่น หลบสายตาพจน์แล้วคว้าขวดน้ำเย็นกับผ้าขนหนูสีขาวส่งให้เขาแทน เด็กหนุ่มนักบอลรับขวดน้ำมาเปิดฝาดื่มอึกใหญ่ก่อนจะเทราดใบหน้าหน้าและผิวกายมันเลื่อมเพื่อดับร้อน

“เลอะเทอะหมด ไอ้ห่า” มันดึงผ้าขนหนูกลับคืนรีบซับน้ำออกจากตัวพจน์เชื่องช้า ใบหูยังคงแดงก่ำเหมือนโดนของ

นับแต่พจน์ออกจากโรงพยาบาล เวลาล่วงเลยเข้าสู่วันที่สาม กลุ่มเพื่อนของพจน์ต่างลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าจะไม่ทิ้งเขาไว้คนเดียวอีกเป็นอันขาด ไม่ว่าจะทำอะไรที่ไหนก็ตาม หรือแม้แต่จะเข้าห้องน้ำก็ต้องตามติดอย่าให้คลาดสายตา ดังนั้นไอ้ทั้งเก้าคนต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนจัดเวรยามประกบพจน์ทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน จนกว่าไอ้เด็กใหม่นามว่ากันจะย้ายโรงเรียน ทั้งหมดก็เพื่อความปลอดภัยของตัวพจน์เอง

เบื้องหลังความจริงนั้นพจน์ยังไม่สามารถเล่าให้พวกมันทุกคนฟังได้ถึงสาเหตุที่ทำให้หมดสติ เกิดจากบางสิ่งชักนำเข้าสู่อีกภพหนึ่งหาใช่ฝีมือไอ้กัน แล้ววันนี้เวรเฝ้าคือไอ้ตี๋หน้าหล่อขวัญใจสาวๆ มันทำหน้าที่ได้ดีเกินคาด พร้อมเตรียมผ้ากับน้ำ อยู่รอจนพจน์ซ้อมเสร็จ และยังบริการเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เขาอีกต่างหาก อะไรจะสุภาพบุรุษปานนั้น

ระหว่างนั่งพักให้หายเหนื่อยบนแสตนด์ข้างสนามฟุตบอล ไอ้พวกเพื่อนในชมรมต่างตะโกนโบกมือลาทยอยกันกลับ พจน์ส่งยิ้มพยักหน้าให้พวกมัน เกมส์ในวันนี้สนุกผิดจากการซ้อมเมื่อหลายวันก่อน อยู่ๆเขาก็ฉุกคิดถึงคำพูดจับประเด็นไม่ได้ของไอ้กันอีกครั้ง ยิ่งคิดยิ่งหาเหตุผลได้ยากกว่าเดิมเต็มที

“มีคนจะทำร้ายมึง”

แววตาสีเข้มของไอ้เด็กใหม่มั่นคงดั่งยืนยันคำพูดหนักแน่น คำเตือนนี้สามารถเชื่อถือได้สักเท่าไร

เหตุการณ์ต่อจากวันนั้นไอ้นิธิยอมปล่อยตัวพจน์และบอกให้เขาไปสมทบกับคนอื่นๆ ส่วนมันมีเรื่องต้องจัดการ มั่นใจว่าระหว่างนี้เพื่อนของพจน์จะดูแลแทนได้ และไอ้คนแปลกประหลาดก็หายหน้าหายตาเงียบเชียบตลอดทั้งสามวันที่ผ่านมา รวมถึงวันเปิดเรียนวันนี้ด้วย
 
สิ่งแปลกพิกลเช่นเดียวกับการหายตัวของไอ้กัน คือหมอกสีขาวจำนวนมหาศาลเริ่มแผ่ขยายปกคลุมทุกช่วงเวลาเช้านับแต่วันที่คุณปู่ประกาศคำแถลงการณ์ ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นทั่วทั้งกรุงเทพมหานครและหัวเมืองใหญ่แต่ละภูมิภาค กลายเป็นข่าวครึกโครมเสมอข่าวน้ำท่วมโลก มีบางคนบอกว่านี่คือสัญญาณบางอย่างและกำลังนำไปสู่หายนะภัยน้ำท่วมโลก

การประกาศคำแถลงการณ์ของคุณปู่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด ปลุกกระแสความตื่นกลัวและขุดคุ้ยหาหลักฐานมาอ้างอิงต่างๆนานา จนเป็นกระแสในสื่อสังคมออนไลน์ แต่ท่ามกลางบทความและข่าวเจาะลึกมากมาย พจน์รู้ว่าหลักฐานสำคัญยืนยันคำพูดของคุณปู่ทั้งหมด ยังไม่มีสิ่งใดสามารถใช้เชื่อถือได้ และท่านเก็บงำส่วนสำคัญนี้ไว้ไม่นำออกมาแถลงการณ์แต่อย่างใด เหมือนรอเวลาบางอย่าง จึงทำให้ฝ่ายไม่เห็นด้วยโต้กลับคัดค้าน กล่าวหาว่าเป็นเรื่องราวโกหก หลอกลวง ตบตา ชาวโลกได้อย่างไม่แนบเนียน

“พจน์ พจน์” เสียงตะโกนเรียกชื่อดังมาจากขอบสนามฟุตบอล ไอ้พีธนะโบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณทักทาย มันเหลียวหลังร่ำลาเพื่อนในชมรมบาสแล้วจึงวิ่งมาหา ไอ้พีทยังอยู่ในชุดบาสตัวใหญ่สีเลือดนก ใบหน้าเคร่งขรึมผิดจากสีหน้าปกติที่มักจะแจกยิ้มโชว์ฟันขาว
 
“นายโอเคหรือเปล่า วันนั้นเราไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลสวนทางกันเลยไม่ได้เจอ โทรหาก็ไม่ติด ส่งข้อความก็ไม่ตอบ ทำเอาเราเป็นห่วงแทบแย่” พีธนะหย่อนตัวและกระเป๋าสำภาระใบโตลงอีกข้างที่ว่างใกล้ๆพจน์

“แบตมือถือกูหมดว่ะ นอนหลับไปตั้งนานไม่มีใครสนใจชาร์จให้กูเลย” พจน์กล่าวติดตลก แต่ไอ้นักบาสตัวโรงเรียนยังขมวดคิ้วมุ่น จ้องหน้าพจน์นิ่ง ถ้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนคงคิดว่ามันจ้องจะหาเรื่องอยู่เป็นแน่

“มึง เอ่อ มือตีนหนักใช่เล่นนะ ซัดไอ้กันซะน่วมเลย” พจน์เปลี่ยนเรื่องแล้วยิ้มแห้ง

“ถ้าหากเราไม่ไปเจอ มันจะทำอะไรนายหรือเปล่าก็ไม่รู้ นั่นยังน้อยไปด้วยซ้ำกับสิ่งที่มันทำกับนาย” ไอ้พีทกัดฟันจนแนวกรามนูนชัด กำหมัดแน่นพร้อมชกไอ้กันอีกรอบ

“กูไม่ยักรู้ว่ามึงเก่งมวยไทยด้วยนะเนี่ย” พจน์หัวเราะไม่อยากให้บรรยากาศตรึงเครียด เพราะเรื่องทั้งหมดผ่านพ้นไปแล้ว และลึกๆพจน์รู้ว่าสิ่งใดทำให้ตนหมดสติ ถึงแม้ไอ้กันจะเฝ้าโทษตัวเองว่าเพราะโคลงสี่สุภาพต้องห้ามสองบทนั้นเป็นต้นเหตุก็ตามที

“กูขอบใจมึงมากนะเว้ย ไอ้พีท” เด็กหนุ่มตาสวยตบไหล่กว้างของเพื่อนต่างชมรมอย่างทราบซึ้งในน้ำใจ

“เราเป็นห่วงนายมากนะ พจน์” ไอ้พีทเริ่มยิ้มกว้างอย่างเดิม

“กูรู้” พจน์ตอบจากใจจริง

“ช่วงหยุดเสาร์อาทิตย์ เราติดต่อนายไม่ได้ เราแทบเป็นบ้าอยากตามไปดูถึงบ้าน แต่โค้ชมีนัดซ้อมด่วน เพื่อแข่งนัดกระชับมิตรวันนี้ เราเลยไม่ได้เจอนายตั้งแต่เช้า คิดว่าหลังแข่งจะตามไปหาที่บ้าน ก็พอดีกับ...”

ไอ้ปาล์มส่งเสียงไอเหมือนมีอะไรติดคอ ลืมเสียสนิทว่ามันนั่งกำขวดน้ำเย็นและผ้าเช็ดตัวอยู่อีกข้าง หันไปอีกทีมันก็ลุกเดินไปหาเด็กสาวสองคนที่ริมขอบแสตนด์ ใบหน้าเรียว ตาโต ริมฝีปากบาง ผมยาวมัดด้วยริบบิ้นสีน้ำเงิน ดูคุ้นตา แต่นี่มันสเปคไอ้ปาล์มเลยนี่หว่า ส่วนอีกคนสวยแต่ดูธรรมดา คนสวยกว่ายื่นโทรศัพท์ให้ไอ้หน้านิ่ง มันกดยุกยิกแล้วส่งคืน ใบหน้าหล่อไม่มีรอยยิ้มจนเกือบไร้อารมณ์ ส่วนสาวเจ้าของมือถือดูก็รู้ว่าเขินอายพอประมาณ มันคุยกับอีกฝ่ายเสียงเบาจนพจน์แทบไม่ได้ยิน

“ให้เราไปส่งที่บ้านหรือเปล่า นี่ก็เย็นมากแล้วนะ”

พจน์ถอนสายตาจากไอ้เพื่อนรัก แล้วยักคิ้วให้คนถาม

“มึงว่าไงนะ” ไอ้นั่นทำหน้าอ่อนใจ

“ให้ไปส่งหรือเปล่า หรือว่าแวะหาอะไรกินก่อนกลับก็ได้ อยากจะอยู่กับนายให้หายคิดถึงสักหน่อย”

คิดถึง
 
พจน์หัวเราะกลบเกลื่อน ถึงจะจับสังเกตุการกระทำและคำพูดของไอ้พีทมาสักระยะแล้ว แต่เขาไม่อาจปักใจให้เชื่อได้ว่ามันกำลังตามจีบพจน์อยู่ ถ้าบอกว่าตนโง่หรือไม่มีญาณสัมผัสในเรื่องนี้ก็คงได้ และอีกอย่างการโดนเพศเดียวกันเฝ้าตามมาพูดว่า คิดถึง ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยเหมือนโดนสาวบอกรักเสียด้วย พจน์จึงไม่อยากด่วนสรุปเลยทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียก่อน

“ช่วงนี้กูเถลไถลไม่ได้ว่ะ มีคนเฝ้า” พูดขำขันบุยใบ้โทษไอ้ปาล์ม เมื่อเห็นสีหน้าไร้รอยยิ้มของคนเคยอารมณ์ดี จึงรีบพูดเสริมต่อ “เปล่าๆ ช่วงนี้ที่บ้านกูยุ่งๆนิดหน่อยอ่ะ มึงคงรู้แล้ว”

พจน์พยักหน้าหวังว่าไอ้พีทจะเข้าใจสถานการณ์ไม่ปกติ เมื่อคุณปู่ประกาศคำแถลงการณ์สะเทือนทั้งโลก นำความวุ่นวายมาสู่ครอบครัวสงบเงียบมากพอควร

“อืม เราเข้าใจ ถ้างั้นแค่ไปส่งก็ได้สินะ” มันยักคิ้วพร้อมยิ้มกว้าง “นายยังติดค้างเรื่องเราไปช่วยอยู่นะ”

ขณะที่พจน์กำลังเผชิญสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นั้น อีกเสียงหนึ่งก็เอ่ยแทรกมาจากเบื้องหลัง

“มึงคิดจะอาสาไปส่งแฟนคนอื่นหรือวะ”


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3233273#msg3233273)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๗ คิดถึงคนึงหา ๕๐% (๑๖/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 16-11-2015 23:30:09
รอค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๗ คิดถึงคนึงหา ๕๐% (๑๖/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 17-11-2015 03:22:28
อยากเจอมาตะอีก ว่าแต่แฟนคนอื่นที่ว่าคือใครหรอปาล์ม?
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๗ คิดถึงคะนึงหา ๑๐๐% (๑๘/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 18-11-2015 16:01:42
[ต่อ]

รถแท็กซี่จอดห่างจากหน้าประตูบ้านของพจน์พอประมาณ มีกลุ่มคนเนืองแน่นยืนกีดขวางทางเข้าออก บ้างถือกล้องรายงานข่าว บ้างจัดแสงจัดไฟ ส่วนหนึ่งร้องตะโกนฟังไม่ได้ศัพท์จนล้นทะลักเกลื่อนทับพื้นผิวเส้นทางเดินรถ กีดขวางการจราจรดูสับสนอลม่าน ไอ้ปาล์มยื่นเงินค่าแท็กซี่ให้คนขับพร้อมกับบอกพจน์ว่า ไม่อยากหารค่ารถ เอาไว้เลี้ยงข้าวแทนในวันหลัง และอีกเหตุผลคือวันนี้เป็นเวรมันดูแลพจน์ คนที่ดูแลจะให้คนถูกดูแลออกเงินนั้นคงไม่ดี เป็นตรรกะตามสไตล์คุณชายปาล์ม พจน์จึงเลยตามเลย
 
ระหว่างทางเมื่อพจน์ถามถึงประโยคอ้อนตีนไอ้พีท มันกลับทำหน้ามึนเบลอ เขายังจดจำสายตาตวัดมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อได้ตราตรึง นึกถึงแล้วให้รู้สึกสยองพองขน เด็กหนุ่มคนกลางรีบเร่งส่ายหน้าโบกมือปฏิเสธ แต่ไอ้พีทคงเชื่อฝังใจแล้วว่าพจน์มีแฟนเป็นตัวเป็นตนตามคำพูดไอ้ปาล์ม ส่งผลให้นักบาสทีมโรงเรียนกระชากกระเป๋าลุกขึ้นยืน จ้องหน้าคุณเปรมณัฐด้วยสายตาแฝงความนัยบางอย่าง จากนั้นจึงรีบรุดเดินออกสู่ประตูโรงเรียนทันที ผิดวิสัยแต่ดั้งเดิมของคนสุภาพเช่นมันอย่างยิ่ง เพราะอย่างน้อยควรซักถามหรือบอกลาพจน์ก่อนกลับ ไม่ใช่หุนหันพลันแล่นตีจากโดยไม่ได้ความจริงอย่างนั้น
 
“ทำไมมึงต้องโกหกเรื่องกูมีแฟนวะ เห็นหรือเปล่าว่าไอ้พีทมันเข้าใจผิดหมด” พจน์ถามเป็นรอบที่ร้อย และความเงียบคือคำตอบรอบที่ร้อยเช่นกัน
 
“เอาเถอะ ไว้เคลียร์คราวหลัง มันเป็นคนดีนะเว้ย ไอ้พีทน่ะ มึงก็รู้จักมันดีนี่หว่า ยังจะแกล้งอีก” ไม่ใช่พจน์กลัวไอ้พีทจะเลิกคุยกับตน แต่ความเป็นเพื่อนต่างหากที่เขาหวงแหน
 
“เออๆ แล้วคนเมื่อเย็นนี่ แฟนมึงหรือเปล่าวะ ทำไมไม่แนะนำให้กูรู้จักเลย” พจน์เอ่ยแซว อยากเห็นสีหน้าอารมณ์เสียของไอ้ตัวสร้างปัญหาบ้าง
 
“กูมีคนที่ชอบอยู่แล้วว่ะ” ไอ้ปาล์มมองดูแสงสีนอกรถ บรรยากาศย่ำค่ำสวยสดงดงามเสมอ

“ใครวะๆ” พจน์เกาะไหล่หนาของไอ้หน้าตี๋ พยายามยื่นคอเข้าเค้นเอาคำตอบ แต่อีกฝ่ายเบือนหลบพร้อมหัวเราะเสียงเข้ม

“มึงจะอยากรู้ไปทำไม” พจน์แกล้งทำหน้าขัดใจ กดริมฝีปากแน่น เลิกเซ้าซี้คนข้างเคียงแล้วถอยกลับมานั่งที่ทางของตน หันหน้าหนีเหมือนสนใจบางสิ่งข้างนอกมากกว่าคำถามของคนภายใน เขาเคยลองใช้วิธีนี้มาแล้วและมันก็ได้ผลสำเร็จมาตลอด พจน์ลอบยิ้มในใจ

“ไอ้พจน์” ไอ้ปาล์มเรียกเสียงเบา “มึง...มึงโกรธกูหรือวะ”

พจน์ตีหน้าตึงกว่าเดิม แต่ในใจแทบรอคำตอบไม่ไหว ความเงียบเข้าปกคลุมคลอเคล้ากับเสียงเพลงลูกทุ่งของพี่คนขับอยู่พักนึง เสียงทุ้มนุ่มถอนหายใจแล้วจึงเผยความรู้สึก

“คนที่กูชอบ เค้าเปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ เป็นสิ่งสำคัญของทุกสิ่งอย่าง เป็นเหมือนศูนย์กลางของจักรวาล จึงดึงดูดผู้คนเข้าหามากมาย และกูก็ตกอยู่ในแรงดึงดูดนั้นด้วยเหมือนกัน” ไอ้คุณเปรมณัฐเล่าเสียงเบา พจน์รู้สึกประหลาดใจเป็นที่ยิ่ง ตลอดเวลามันไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยถึงคนที่ชอบเลยเพียงนิด

“คนที่กูชอบ แม้จะร้อนแรงดั่งตะวัน แต่ก็ให้ความอบอุ่นแก่กูเสมอ ไม่มากหรือน้อยไป และนั่นทำให้กูคิดเข้าข้างตนเองว่าสักวันอีกฝ่ายก็คงคิดชอบกูบ้าง” ไอ้ปาล์มก้มลงมองฝ่ามือทั้งสอง “แต่กูเป็นแค่ดาวเคราะห์ดวงน้อย ภายใต้ดวงดาวใหญ่โตมากมายซึ่งสามารถรับแสงอาทิตย์ได้เพียงพอ ระยะห่างของกูกับเค้าเหมือนใกล้แค่เอื้อมแต่ในใจกูรับรู้ว่าอยู่ห่างหลายล้านปีแสง กูเต็มใจโคจรอยู่ในวงล้อม ณ จุดนี้มากกว่า ถ้าหากมึงอยากรู้ว่าดวงอาทิตย์ของกูคือใคร กูคงบอกมึงไม่ได้ และถ้าหากมึงจะโกรธกูต่อไปแบบนี้ กูคงห้ามมึงไม่ได้อีกเช่นกัน ไอ้พจน์ ถ้ามึงรอถึงวันที่แรงดึงดูดระหว่างเราหมดลงนั่นแล้วได้ กูจะบอกมึงเอง”

คำพูดเปรียบเทียบคนรักของไอ้ปาล์มกับดวงอาทิตย์ทำให้พจน์รู้สึกกระตุกวูบบริเวณอกเบื้องซ้าย ดวงอาทิตย์คือทุกสิ่งอย่างของสรรพชีวิต เหมือนเป็นสิ่งขาดไม่ได้สำหรับไอ้เพื่อนคนนี้ มันคงชอบเค้าคนนั้นมาก ความรู้สึกเหมือนได้สูญเสียเพื่อนรักร่วมแบ่งปันให้คนอื่นทำเอาพจน์พูดเล่นต่อไม่ออก ความสำคัญที่พจน์รู้ว่าตนมีอยู่ในเบื้องลึกสุดใจบัดนี้ถูกทดแทนด้วยดวงอาทิตย์ดวงนั้นแล้ว ความรู้สึกหวงเพื่อนบังเกิดขึ้นอาจเป็นเพราะไอ้ปาล์มคือเพื่อนสนิทคนหนึ่งนับตั้งแต่เรียนชั้นอนุบาล ภาพความทรงจำทุกอย่างมีมันมาตั้งแต่ต้น

ณ วินาทีนี้ความอยากรู้ว่าใครคือแฟนของไอ้เพื่อนรักเหมือนยาขมยากลำบากจะกล้ำกลืนฝืนทน พจน์ไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกแปลกพิกลนี้อย่างไรดี อาจเป็นเพราะไม่เคยนึกว่ามันมีคนที่ชอบมาก่อนนั่นเอง เด็กหนุ่มทั้งสองนั่งเงียบไม่พูดจา ปล่อยความคิดผ่านเสียงเพลงลูกทุ่งหมอลำจนกระทั่งถึงจุดหมายปลายทาง

“คืนนี้มึงนอนบ้านกูก็ได้นะ” พจน์หลุดปากชวนทันทีเมื่อก้าวลงจากรถโดยสาร ไอ้ปาล์มช้อนสายตามองพจน์ ริมฝีปากเม้มแน่น “กูมีเรื่องให้มึงช่วยอ่ะ เอ่อ จะให้ช่วยแปลโคลงสี่สุภาพของไอ้กันไง”

“มึง...” ไอ้ปาล์มหันมองกลุ่มนักข่าวหน้าประตูรั้วชั่วครู่ “มึงแปลไม่ได้หรือวะ”

“เฮ้ย ได้ๆ แต่กูติดคำบางคำ อยากลองถามความเห็นมึงดู” พจน์หัวเราะกลบเกลื่อน ต่อมาก็มีเสียง อืม แผ่วเบาจากปากคนมาส่ง ไม่รู้เหตุผลกลใดดลใจให้พจน์ชวนมันอยู่ แต่ค่ำคืนนี้พจน์คิดถึงเรื่องราวเก่าๆระหว่างกัน ก่อนพจน์จะพยายามทำใจยอมรับให้ได้ว่า วันหนึ่งไอ้ปาล์มคงต้องไปทำหน้าที่อื่นที่ไม่ใช่ตรงนี้กับตนเอง

พวกเขาฝ่าแนวฝูงชนนักข่าวเข้าประตูรั้วได้อย่างลำบากยากเข็ญ เนื่องจากส่วนหนึ่งพยายามเล็ดลอดแทรกตามเข้ามาด้วย ลุงชม คนสวนประจำ เรือนเทพวิมาน ในวัยห้าสิบกว่าทำหน้าที่เปลี่ยนเป็นยามรักษาความปลอดภัยชั่วคราว ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ศีรษะล้านมีผมประปรายบ่งบอกถึงอัธยาศัยดี แกเป็นสามีของป้าแจ่มแม่ครัวฝีมือเยี่ยมนั่นเอง

“ลำบากหน่อยนะครับ ลุงชม” พจน์ทักทาย แต่สีหน้าแก่ชรายังคงกระปรี้กระเปร่า แสงไฟเหนือซุ้มประตูส่องสว่างขับไล่ความมืดแต่ไม่ได้ผลกับนักข่าวด้านนอกสักนิด

“เชิญขึ้นเรือนเถอะครับคุณหนู” ตาชมรับไหว้เด็กหนุ่มทั้งสอง “คุณท่านกำลังรอรับประทานอาหารเย็นอยู่พอดี”

ลุงชมทำการล็อกประตู แต่ไม่อาจสกัดกั้นเสียงตะโกนร้องหาศาสตราจารย์วิชัยได้ พจน์และไอ้ปาล์มเดินตามคนสวน อับจนหนทางเพื่อจัดการความวุ่นวายนอกประตูรั้ว

ณ หอมุขกลาง ป้าแจ่มและพี่ส้มกำลังเรียงอาหารคาวหวานส่งกลิ่นยั่วยวนจนท้องของพจน์ร้องครวญคราง คุณปู่ และอาชาญณรงค์ กำลังเดินออกจากห้องมาสบทบกับชายหญิงคู่หนึ่งซึ่งนั่งรออยู่เบื้องหน้าอาหารหลากหลาย พจน์และไอ้ปาล์มยกมือไหว้อาธนพล และพี่สุนิสา แฟนสาวของอาพล น้องชายของคุณพ่อ ธนพลเป็นชายหนุ่มร่างใหญ่ วัยเบญจเพศ ใบหน้าหล่อเหลา จมูกโด่ง ตาเข้ม คิ้วหนา เค้าโครงเดียวกับศาสตราจารย์วิชัย แตกต่างจากพ่อของพจน์ซึ่งดูละม้ายคล้ายคุณย่ามากกว่า คือมีดวงตากลมโต ขนตาหนา ริมฝีปากบาง และกรรมพันธุ์ส่วนนี้ถูกถ่ายทอดจากภพดนัยมาสู่ตนเองเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นเดียวกับดาว ลึกๆแล้วพจน์อยากองอาจหน้าคมเข้มเหมือนคุณปู่มากกว่า ส่วนพี่สุนิสา เป็นหญิงสาวงามหยดย้อย ผิวขาวผ่อง หน้าตาดี รอยยิ้มมักปรากฏอยู่บนใบหน้าราวกับนางฟ้าอยู่เสมอ อีกทั้งยังใจดีชอบซื้อของมาฝากพจน์กับดาวเป็นประจำ

ศาสตราจารย์วิชัยรับไหว้ลูกหลานแล้วหย่อนกายลงบนฟูกรองนั่ง สำรับกับข้าวมื้อเย็นมีจัดเพิ่มเติมให้ไอ้ปาล์มอีกหนึ่งที่ แต่ไม่มีวี่แววว่าภพดนัยและดาราจะมาร่วมรับประทานอาหารด้วย

“อ้าว นี่เพื่อนตาพจน์ไม่ใช่หรือ มองไม่ใคร่เห็น สายตาฝ้าฟางเต็มที” ศาสตราจารย์วิชัยร้องทักขยับแว่นขึ้นสวมใส่ ไอ้ปาล์มฉีกยิ้มกว้าง กลายเป็นภาพพบเห็นได้ยากยิ่ง มันพนมมือไหว้คุณปู่อีกรอบแล้วตอบรับท่าทีสุภาพ

“ผมชวนเพื่อนมาทำงานน่ะครับ คุณปู่ คืนนี้คงต้องค้างที่นี่” พจน์อธิบาย ศาสตราจารย์พยักหน้าเข้าใจ รอยยิ้มชั่วคราวเลือนหาย อาการตึงเครียดปรากฏให้เห็นเด่นชัด ท่านชวนอาธนพลและพี่สุนิสาสนทนาเรื่องการงาน  ระหว่างนั้นภพดนัยกับดาราจึงตามมาสมทบ แจ้งว่ามีเรื่องติดพันอยู่สถานีข่าวเลยทำให้ล่าช้า เพราะมีเหตุด่วนเรื่องรถแก๊สระเบิดกลางสะพานพระรามแปด จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย นอกจากนั้นยังส่งผลให้โครงสร้างหลักของสะพานเสียหายด้วย คงต้องปิดใช้สัญจรอย่างไม่มีกำหนด หลังจากขอโทษผู้เป็นบิดาแล้วจึงร่วมรับประทานอาหารโดยพร้อมเพรียงกัน

“พี่ปาล์มจะมาค้างด้วยหรือคะ” ดาวกระซิบถามพจน์ เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบ

“ดีจังค่ะ ดาวชอบพี่ปาล์ม ส่วนคนอื่น ดาวว่าไม่เหมาะกับพี่พจน์” ขมวดคิ้วเป็นเครื่องหมายคำถาม แต่น้องสาวไร้การอธิบายเพิ่มเติม ได้แต่ส่งยิ้มกว้างให้เพื่อนสนิทพี่ชาย

“เสียงดังของนักข่าวรบกวนผู้คนละแวกบ้านพอสมควรนะครับ ผมได้รับคำขอร้องมาจากเพื่อนบ้านของเราให้หาหนทางจัดการ” ภพดนัยรายงานสถานการณ์ให้ศาสตราจารย์วิชัยทราบ

“พ่อคิดว่าจะเดินทางออกต่างจังหวัดสักสองสามวัน” ศาสตราจารย์วิชัยวางช้อนส้อมแล้วดื่มน้ำ พจน์เหลียวมองทุกคนแต่กลับได้รับความเงียบ “แกเห็นว่ายังไงละ พ่อดนัย”

“เอ่อ...น่าจะเป็นวิธีที่ดีนะครับ นอกจากจะทำให้นักข่าวกลับไปแล้ว คุณพ่อยังสามารถพักผ่อนหย่อนใจได้อีกด้วย” ภพดนัยพยักหน้างึกงักเห็นด้วย มองสบตาน้องชาย แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทีสนใจ

“ผมว่าถ้าเราหนีปัญหา สุดท้ายปัญหาก็ยังรอเราอยู่” ธนพลตอบสีหน้านิ่ง รอยยิ้มของพี่สุนิสาเริ่มจืดจาง “ทำไมคุณพ่อถึงไม่ยอมให้นักข่าวสัมภาษณ์ละครับ”

บรรยากาศตึงเครียดกดดันให้ทุกคนอิ่มจากการรับประทานอาหารทันควัน ศาสตราจารย์วิชัยเหลียวมองลูกชายคนเล็กอยู่ชั่วขณะ

“เอาเป็นว่าวันเสาร์อาทิตย์นี้เราไปเที่ยวอยุธยากันดีไหมครับ ผมเพิ่งได้โปรแกรมทดลองขับรถเที่ยวจากเพื่อนที่ทำบริษัททัวร์มา เค้าอยากให้ลองสำรวจว่าสามารถเที่ยวได้จริงไหม อีกอย่างค่าใช้จ่ายทางบริษัทเพื่อนผมจะเป็นคนออกเองทั้งหมด และพี่รู้ว่าแกว่างนะ ตาพล พี่อยากให้แกไปด้วย” ภพดนัยพูดรวดเดียวจบ พร้อมกำชับกำชาน้องชายให้เห็นด้วยกับตน “คุณชาญณรงค์ไปด้วยกันนะครับ น้องปาล์มด้วยนะ”

ชาญณรงค์พยักหน้าสีแดงตอบรับ ไอ้ปาล์มยิ้มรับคำเช่นกัน ถ้าสาเหตุที่คุณปู่ไม่ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเพราะเห็นว่าเรื่องราวครบสมบูรณ์ในคำแถลงการณ์อยู่แล้วนั้นเป็นคำตอบของท่าน พจน์คิดว่าไม่ใช่ทั้งหมดเสียทีเดียว อย่างน้อยการให้สัมภาษณ์ตอกย้ำอีกครั้งนับเป็นสิ่งดี เสมือนน้ำหยดลงบนหินสักวันหินย่อมกร่อน รวมถึงจิตใจคนเราด้วย

หยดน้ำจากการเช็ดผมของไอ้ปาล์มกระเซ็นมาโดนพจน์จนเขาต้องจ้องถลึงตาใส่มัน ไอ้คนเปลือยครึ่งท่อนอวดโชว์มัดกล้ามอกและหน้าท้องหกแพคไม่มีทีท่าจะเกรงกลัวสายตาเจ้าของห้องเลยแม้แต่น้อย ยังคงทำหน้านิ่งแต่เบื้องลึกนั้นอารมณ์ดีผิดหูผิดตา
 
“มึงชวนกูนอนค้างคืนนี้ ทำให้กูคิดถึงวันเก่าๆสมัย ป. ๖ ตอนมึงไม่ยอมให้พวกกูหนีไปเที่ยวทะเลเพราะพ่อมึงห้าม สุดท้ายมึงก็อ้อนพวกกูให้มาค้างที่บ้านมึงแทน”

“กูไม่ได้อ้อนเหอะ พวกแมร่งรู้ดีแก่ใจว่าพ่อกูไม่ชอบให้ไปเที่ยวทะเล แล้วยังจะหนีกูไปกันอีก” พจน์แกล้งสบัดหน้าหนี ไอ้ปาล์มหัวเราะลงคอ มันย้ายมานั่งบนเตียงขนาดสองคนนอนด้านข้างพจน์ เขากำลังขัดเกลาเนื้อความซึ่งถอดมาจากโคลงสี่สุภาพสองบทต้องห้ามเพื่อให้มันช่วยดู
 
“ในบรรดาทั้งเก้าคนที่มึงมีสิทธิ์เลือกให้นอนห้องเดียวกับมึงในคืนนั้นน่ะ ทำไมต้องเป็นกูวะ” ไอ้ปาล์มเลิกเช็ดตัว ผมชี้โด่เด่ไม่เป็นทรงของมันทำให้พจน์อดขำไม่ได้

“มึงเป็นคนเงียบๆ กูกลัวว่ามึงจะพูดแข่งกับไอ้พวกนั้นไม่ทันว่ะ” พจน์หัวเราะ “อีกอย่าง กูอยากนอนมากกว่าจะฟังพวกแมร่งเพ้อเรื่องไร้สาระ”

“แต่มันทำให้กูรู้คำตอบบางอย่างว่ะ” ไอ้ปาล์มเลิกคิ้วขึ้น “คำตอบที่ทำให้กูเฝ้าคิดถึงคืนนั้นจนถึงคืนนี้”

“อะไรวะ” พจน์เงยหน้าตั้งใจฟัง

“คำตอบที่ว่า...กูเจอดวงอาทิตย์ของกูแล้ว”


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3237398#msg3237398)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๗ คิดถึงคนึงหา ๑๐๐% (๑๘/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 18-11-2015 16:38:36
อยากเจอมาตะอีกจัง...
พจน์คือคนที่ปาล์มชอบใช่ไหมอ่ะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๗ คิดถึงคนึงหา ๑๐๐% (๑๘/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: wnkth ที่ 18-11-2015 17:45:56
พจน์เสน่ห์แรงนะครับ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๘ ไฟราคะ ๕๐% (๒๓/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 23-11-2015 11:05:50
บทที่ ๘


ไฟราคะ

   

ดวงอาทิตย์

คำเพียงคำเดียวแต่มีพลานุภาพมหาศาล สติสัมปชัญญะของพจน์เสมือนหลุดลอยออกจากร่าง แผ่นกระดาษถอดความโคลงสี่สุภาพสั่นสะท้าน จวบจนกระทั่งวินาทีแห่งความจริงแท้มาถึง เด็กหนุ่มยากทำใจยอมรับความเป็นไปได้อย่างลำบากล้นเหลือ ความรู้สึกนี้คือสิ่งใด ความรู้สึกเจ็บจนอยากร่ำไห้ ทั้งที่ตนตั้งปณิธานมั่นดังหินผาจะพยายามยืนอยู่เคียงข้างเพื่อนสนิทให้ได้ แต่เพียงแค่ไอ้ปาล์มเอ่ยย้ำอีกครั้ง กลับฉุดกระชากจิตใจเบื้องสูงสุดให้ทรุดลงต่ำสู่พื้นพสุธา
 
สายเกินไปแล้ว
 
ตลอดเวลาพจน์พยายามหาข้ออ้างของตนในการทำสิ่งพิเศษให้ไอ้ปาล์มเหนือกว่าพวกเพื่อนในกลุ่ม รวมถึงการที่มันปฏิบัติกับพจน์แตกต่างจากคนอื่น อาจเป็นเพราะเด็กหนุ่มสองคนไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยครั้ง แต่บัดนี้พจน์รู้ว่าส่วนหนึ่งในใจมีไอ้ปาล์มแทรกซึมเข้ามาทีละนิดละน้อย ทั้งด้วยการกระทำและจิตใจอันดีงาม พจน์รู้สึกดีกับการอยู่ใกล้คนคนนี้ ไม่เคยคิดว่านั่นคือ ความชอบ ไม่เคยรู้ใจตัวเองจนมันบอกว่ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว ตนถึงได้รู้ว่าทุกช่วงเวลาที่มีมันในชีวิตคือความสุขอย่างสุดแสนยินดี

เด็กหนุ่มตาชั้นเดียวก้มมองเพื่อนสนิทนั่งนิ่งเงียบอยู่นาน

“มึง...ร้องไห้เหรอวะ” ปาล์มถามเสียงตกใจ พจน์จึงได้สติและรับรู้ถึงหยาดน้ำไหลจากสองจักษุสู่แก้มนวลเชื่องช้า เขารีบเช็ดด้วยหลังมืออย่างเร่งร้อน

“เปล่าๆ กูแสบตาน่ะ” พยายามปรับไม่ให้เสียงสั่น

“มึงลองช่วยดูให้กูหน่อย” พจน์จับแผ่นกระดาษแปลความใส่มืออีกคน แล้วพลิกตัวล้มลงนอนตะแคงข้าง หันหลังให้เพื่อนสนิทโดยเว้นที่ว่างให้คนมาพัก

“มึงไม่สบายหรือเปล่า ไอ้พจน์ หรือว่ากูทำอะไรผิดอีก” ไอ้ปาล์มยังคงถามห่วงใยตามนิสัยคนดีของมัน
 
“กู...กูง่วงแล้วว่ะ นอนกันเหอะ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยดู” พจน์เปลี่ยนใจ เสียงความเงียบของไอ้ปาล์มดังชัดเจนถึงพจน์แต่ก็ทำตามคำบอก เดินไปปิดไฟกลางห้อง เหลือเพียงดวงสีส้มสองข้างเตียง ที่นอนด้านข้างยุบยวบ พจน์รีบเช็ดน้ำตา

“ถ้ามึงไม่สบายจริงๆ รีบบอกกูนะเว้ย” ไอ้ปาล์มกระซิบบอก พจน์ยังคงนอนหันหลังหลบหน้าซุกกับหมอน

“อืม ขอบใจมึงมากนะ”

ความรู้สึกปวดหัวเข้าเล่นงานพจน์จนความคิดสับสน หมดสิ้นหนทางออกกับปัญหาหัวใจ พยายามนึกหาวิธีช่วยเหลือคุณปู่ ตนปรึกษาหารือกับน้องสาวแล้ว ตกลงกันว่าจะพยายามกระจายข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ให้มากที่สุด ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม โดยเฉพาะหลักฐานสำคัญ แต่ความคิดเรื่องคนรักของไอ้ปาล์มกลับแทรกหวนคืน จนอยากหลับสู่นิทราโดยเร็ว และขอตื่นในวันรุ่งพรุ่งนี้เพื่อพบว่า ดวงอาทิตย์ของเพื่อนเปรมณัฐเป็นเรื่องราวความฝันเท่านั้น

ลมหนาวพัดวูบใส่ร่างของพจน์ราวกับสายธาราโหมสาดซัด เด็กชายสะดุ้งลืมตาตื่นฉับพลัน เบื้องหน้าตนเปลี่ยนจากห้องนอนเรือนทรงไทยเป็นพระที่นั่งปราสาทไม้สักทอง ฐานก่ออิฐฉาบปูนทาสีขาว มุงกระเบื้องดีบุก องค์ใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว ดวงจันทร์ใกล้วันเพ็ญลอยอยู่เบื้องหลังยอดมณฑปปลายแหลม ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ แลบาลีส่องประกายสีทองอร่ามระยับ แสงไฟทอลอดผ่านม่านอุบะดอกรักระย้าย้อยกลางบานหน้าต่างทรงสูงเรียงรายรอบองค์ปราสาท มีขั้นบันไดทอดลงมาจากกึ่งกลางพระที่นั่งแบ่งเป็นทางขึ้นลงทั้งสองข้าง

พจน์ยืนอยู่ปลายขั้นบันไดด้านหนึ่ง โดยรอบตกแต่งภูมิทัศน์ด้วยไม้ดัดประดับเป็นรูปทรงแปลกตา องค์ปราสาทล้อมรอบด้วยระเบียงคด แสงวับแวมของคบไฟจากทหารเวรยามเคลื่อนผ่านช่องลูกมะหวดระหว่างระเบียงคดจากภายนอก เสียงหริ่งหรีดเรไรดังแว่ว พร้อมเสียงดนตรีประเภทดีดสีตีเป่าดังลอยเลื่อนมาจากองค์พระที่นั่ง
 
พจน์ไม่แปลกใจมากเท่าครั้งก่อน ตนได้มาเยือนสถานที่ภพภูมิหนึ่งอีกครา ทุกครั้งที่ตนมาสู่สภาพแวดล้อมต่างถิ่นโดยเร็วดั่งนี้ บุคคลแรกที่พจน์เจอก็คือ เจ้ามาตะ บุรุษหนุ่มร่างหนานามเจ้าของชื่อในชุดนุ่งผ้าสีน้ำเงินเครื่องประดับทองปรากฏกายขึ้น แลกำลังก้าวเดินลงจากขั้นบันไดของมหาปราสาทมาสู่บริเวณ ณ พจน์ยืนนิ่งอยู่
 
วินาทีสบตาของเด็กหนุ่มทั้งคู่ เบื้องลึกในใจอันบอบช้ำของพจน์บังเกิดความรู้สึกอุ่นวาบ เหมือนได้รับยาดีสมานบาดแผล เจ้ามาตะแสดงสีหน้าเคร่งขรึมผิดปกติ รีบเร่งก้าวเท้าลงโดยเร็ว คิ้วขมวดแน่นส่งผลให้หยดน้ำสีทองกึ่งกลางหน้าผากเปลี่ยนเป็นขีดยาว มันตรงเข้าหาพจน์แล้วออกแรงผลักให้คนร่างบางกว่าถอยเข้าซอกมุมขององค์พระที่นั่งโดยเร็ว

และสิ่งไม่คาดฝันจึงบังเกิดขึ้นก่อนพจน์จะตั้งสติได้  ริมฝีปากของคนตัวหนาจู่โจมประกบปากพจน์ทันที อาการตกใจทำให้พจน์กดปิดริมฝีปากแน่น แต่นั่นเหมือนยิ่งตอกย้ำให้มาตะก่อเกิดอารมณ์คุกรุ่นขัดเคืองใจเป็นทวีคูณ เลื่อนมือจับคางพจน์แล้วบีบเบามือพยายามเปิดปาก มืออีกข้างลูบไล้ด้านข้างลำตัวเปลือยเปล่าขึ้นลงอย่างทะนุถนอม เพียงสัมผัสปากต่อปาก พร้อมมืออุ่นหนาหยาบกร้านอย่างคนจับอาวุธเป็นประจำกระตุ้นผิวบางของตน อารมณ์เบื้องลึกของเด็กหนุ่มจึงถูกปลุกติดราวกับเพลิงไฟเจอหยดน้ำมัน
 
พจน์อ้าปากพยายามหายใจพาอากาศเข้าปอด เป็นจังหวะให้เจ้ามาตะสอดลิ้นร้อนช้อนชิวหาของคนในอ้อมกอดราวกับกระหายใคร่ทักทาย ความรู้สึกแผดเผาทำลายความรู้สึกผิดชอบชั่วดี อารมณ์วัยหนุ่มกำดัดเมื่อถูกปลุกขึ้นทำให้พจน์ไม่อาจหักห้ามสิ่งใดไว้ได้เลย เจ้ามาตะไม่เพียงรุกล้ำจูบพจน์ราวกับจะดูดกลืนตนอย่างกระหายนั้น แต่ทำให้ส่วนกึ่งกลางของลำตัวท่อนล่างนูนแน่นแทบระเบิดเช่นเดียวกับหัวใจเต้นระรัวเร็ว
 
ลมหายใจร้อนของคนทั้งคู่สัมผัสกระทบผิวหน้ากระตุ้นความดิบเถื่อนเป็นอย่างดี มือเงอะงะของพจน์ถูกอีกฝ่ายรวบไว้คล้องลำคอเพื่อพยุงร่างตน เจ้ามาตะถอนจูบมองสบตาพจน์ที่หายใจหอบถี่กระชั้น แล้วจู่โจมเข้าประกบรุนแรงดุจคราแรก ปรับเปลี่ยนมุม ควานหาลิ้นร้อนตามแต่ใจของคนรุกราน พจน์เริ่มสนองตอบกลับบ้างเมื่อไม่อยากย้อมแพ้ให้อีกฝ่ายรุกตนแต่ฝ่ายเดียว หัวใจเต้นเร็วแรงยิ่งกว่าตอนแข่งฟุตบอลนัดสำคัญ
 
ซอกมุมมหาปราสาท ณ บริเวณนั้นเป็นจุดอับแสง แลอับสายตาในคราเดียวจึงไม่เป็นที่สังเกตุของมหาดเล็กรักษาพระองค์ผู้เฝ้ายามเดินผ่าน มาตะพยายามคุมสติ ระงับความรู้สึกเบื้องลึก หักห้ามใจค่อยๆถอนจุมพิตออกอย่างยากลำบาก พจน์หายใจหอบมองสบตาอีกฝ่ายซึ่งฉ่ำเยิ้มทอประกายวิบวับ เพิ่งรู้สึกว่าตัวสั่นตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ฝ่ามือร้อนของเจ้ามาตะยังดึงรั้งพจน์ไว้ในอ้อมแขนล่ำหนาต่างสั่นสะท้านไม่แพ้กัน สติอันเลือนรางของพจน์เริ่มกลับคืน จำต้องละสายตาอันดึงดูดนั้นแล้วก้มลงมองพื้น
 
เสียงดนตรีไพเราะประกอบจังหวะรื่นรมย์กลมกลืนกับบรรยากาศล้อมรอบเด็กหนุ่มทั้งสอง
 
“ข้าคิดถึงคนึงหาเจ้าหรือประมาณ ภัทรพจน์” มาตะกระซิบกกหูของพจน์เสียงกระเซ่า หอบหายใจแรง สีหน้าแลแววตาบ่งบอกตามคำพูด ก้มมองริมฝีปากพจน์สลับกับดวงตาสวยดูหักห้ามใจยากลำบาก

“มึง เอ่อ นายสบายดีนะ” พจน์ทักทายอย่างเก้อเขิน หลังจากการกระทำคุกรุ่นรุนแรงเมื่อแรกเจอ

“ไม่ ข้าหาได้สุขสบายแม้ชั่วยามเดียว เมื่อเจ้าเลือนหายต่อหน้าต่อตาข้าเฉกเช่นนั้น” มาตะลูบไล้ใบหน้าพจน์ กระซิบเสียงสั่นเบา “ข้าปริวิตกว่าจักไม่มีวันได้พบเจอเจ้าอีก นั่นทำให้ดวงใจของข้าแทบสลาย”

“เราอยู่ตรงนี้แล้วไง” พจน์หัวเราะเบาๆ หายใจแรงราวกับเหตุการณ์แลกจูบเมื่อครู่ได้หยุดกระบวนการแลกเปลี่ยนออกซิเจนไปเสียแล้ว

“เกิดเหตุเภทภัยอันใดกับเจ้า ฤา” มาตะกระชับร่างพจน์โอบกอดเข้าหาตัว พจน์เกยคางบนไหล่หนา รับรู้จังหวะเต้นเร็วแรงของหัวใจคนตั้งคำถาม “ข้านี้แทบไม่เป็นอันกินอันนอน เดือดเนื้อร้อนใจเหลือประมาณ”

“ไม่มีอะไรหรอก เราอยู่ตรงนี้แล้วไง” พจน์ตอบเสียงอู้อี้ เข้าใจความห่วงใยของอีกฝ่าย

“ภัทรพจน์ เจ้ารู้ ฤา ไม่” มาตะถอนกอดแล้วจ้องหน้าพจน์นิ่ง สัมผัสผิวกายร้อนของมันทำเอาพจน์รุ่มร้อนไม่ต่างกัน “ถ้าหากนี้มิใช่ความฝัน และตัวตนของเจ้าคือ จริงแท้ ข้า มาตะ ขอมอบดวงใจทั้งดวงแทบเท้าเจ้า”

หากประสาทการได้ยินของพจน์ไม่สูญสิ้นเพราะจูบแรกก่อนหน้านี้ และเขาตีความได้ถูกต้อง หมายความว่าเจ้ามาตะกำลังสารภาพรักกับตนอย่างนั้นหรือ หัวใจอีกดวงของพจน์เต้นระส่ำ ใบหน้าหล่อเหลานิ่งเครียดรอคำตอบ

“เพียงแค่แรกพบสบตา ข้ารับรู้ใจตนเองว่ามิอาจเปลี่ยนไปรับรักผู้ใดได้อีก เจ้าทำให้ข้ารู้สึกพิศวง ทำให้ข้าสุขสม ขำขัน แลประสงค์ปกป้องคุ้มครองเจ้า” มันจูบหลังมือพจน์แผ่วเบา “วินาทีที่เจ้าเลือนหายจากข้า นั่นทำให้ข้ารู้ใจตนเอง ไม่มีเพลาใดที่ข้าเจ็บปวดรวดร้าวปานนั้นเมื่อเจ้าลาจาก ถ้าเจ้ารู้สึกเช่นเดียวกับข้า โปรดเอ่ยคำให้ไอ้มาตะนี้ชื่นใจเถิดหนา”

หัวใจเต้นระรัวเร็วของพจน์ยืนยันหนักแน่นถึงคำตอบ ภาพไอ้ปาล์มยื่นสมุดการบ้านให้คัดลอกในตอนเช้าก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติ บรรยากาศหลังเรียนที่ไอ้หน้าตี๋คอยรอกลับบ้านพร้อมพจน์หลังซ้อมฟุตบอล ไอ้ปาล์มเซอร์ไพรส์ของขวัญวันเกิดพจน์เป็นอัลบั้มรูปถ่ายตั้งแต่สมัยเด็ก บัดนี้ถูกลบเลือนจางหาย พจน์เห็นเพียงใบหน้าเว้าวอนรอคอยคำตอบของเจ้ามาตะ
 
“เจ้าร่ำไห้เหตุเพราะเสียใจ ฤา ยินดี” มาตะใช้นิ้วโป้เกลี่ยรอยน้ำตาทั้งสองข้าง “หากข้าบังคับจิตใจเจ้ากระทำข่มเหงล่วงเกินโดยเจ้าหามีใจให้ข้าไม่แล้ว ข้าขอสมาโทษ แลยินดีให้เจ้าประทุษร้ายข้าได้ดังใจ”

เจ้ามาตะเห็นพจน์นิ่งเงียบดังนั้น สีหน้าเจ็บปวดเหลือทานทนผุดวาบทั่วใบหน้า แววตาไหวระริก คิดเอาว่านั่นคือคำปฏิเสธความรู้สึกตน รีบชักดาบทองคู่กายออกแล้วยื่นด้ามใส่มือพจน์ซึ่งรับถือไว้อย่างมึนงง มาตะคุกเข่าลงแทบเท้าพจน์ กำมือแน่นนิ่งข้างกาย มองตรงแน่วบนฐานก่ออิฐถือปูนของพระที่นั่ง
 
“โปรดสังหารข้าเถิด ข้าได้กระทำการอุกอาจหักหาญน้ำใจเจ้า ทั้งที่เจ้าหาได้มีใจให้ข้าไม่ เป็นความผิดเกินกว่าให้อภัย ข้ายอมสิ้นชีพเสียดีกว่ามีชีวิตอยู่ต่อโดยไร้เงาเจ้าเคียงข้างกาย”

ภัทรพจน์ถือดาบหนักนิ่งขึงสั่นสะท้านเพราะการกระทำของคนทั้งคู่ เขายังไม่ได้ให้คำตอบแม้เพียงนิด แต่เจ้าคนตรงหน้ารีบด่วนสรุปรวดเร็วจนทำให้พจน์รู้สึกเหมือนถูกดูหมิ่นความรู้สึก และหยามน้ำใจเบื้องลึกของตน มันควรรอคำตอบไม่ใช่ตีตนไปก่อนไข้เช่นนี้ เขาโยนดาบกระทบพื้นเสียงดังสะท้าน แล้วเดินหนีออกจากซอกมุมนั้นหมายหนทางสู่ประตูซุ้มเรือนยอดแหลมของระเบียงคด หมายใจจะให้ตนตอบคำถามทั้งที่เกิดเหตุการณ์มากมายดั่งนี้นั้นช่างยากลำบากเกินคณานับ เขาต้องการเวลา
 
เด็กหนุ่มร่างบางจ้ำเดินผ่านทางชนวนปูอิฐแดงรวดเร็ว เสียงฝีเท้าตามติดแล้วจึงถูกแรงกระชากข้อมือดึงบังคับพจน์ให้หันเผชิญหน้ากับไอ้คนขโมยจูบแรก

“โปรดอย่าโกรธเคืองมาตะคนซื่อเถิดหนา ข้าผิดเอง คิดเองเออเองมิถามเจ้าให้กระจ่างชัด” พจน์พยายามขัดขืนแต่เปล่าประโยชน์แม้นส่วนสูงและขนาดตัวไม่ได้ต่างกันมาก แต่อีกฝ่ายกลับมีกำลังกายเหนือกว่า

“แต่ข้าจำต้องขอโทษที่บังอาจล่วงเกิน เพราะเบื้องลึกข้ามิอาจหักห้ามใจไว้ได้ เจ้าจงให้อภัยข้าในส่วนนี้ แต่คำตอบที่ข้าถามก่อนหน้าโปรดพินิจตรึกตรองด้วยเถิด ใจเจ้ามาตะนี้อยากรู้สุดพรรรณา”

พจน์รู้คำตอบของตนอยู่แล้ว แต่ที่ไม่แน่ใจคือ ความรู้สึกนี้ไม่ใช่เพราะเกิดความเสียใจจากไอ้ปาล์มหรือต้องการคนปลอบโยน ต้องการเพื่อนแก้เหงา แก้ความรู้สึกเท่านั้น นี่คือความยุ่งยากเกินเอื้อนเอ่ย เพียงคำนึกถึงไอ้เพื่อนสนิท จิตใจปวดร้าวแทบปริแตกเปิดแผลออกอีกครั้งจนแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ มันจะไม่ได้อยู่เคียงข้างพจน์อีกนับจากนี้ ที่ตรงข้างมันจะมีคนอื่นมาทดแทน คนคนนั้นจะดูแลไอ้ปาล์มเหมือนที่ตนทำหรือเปล่า จะชวนมันไปกินข้าวตอนกลางวัน และบังคับให้กินข้าวตรงเวลาหรือไม่
 
มาตะดึงแขนพจน์เข้าสู่เงาใต้ระเบียงคดหลบหลีกนางข้าหลวงกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังเดินลงมาจากองค์พระที่นั่ง พจน์กลับคืนสู่โหมดเหม่อลอยอีกครา น้ำตาคลอเบ้า อารมณ์เสียใจมากประมาณถาโถมคืนกลับเหมือนคลื่นทะเล

“ถ้าเจ้าต้องใช้เพลาคิด ข้าคงจำต้องอดทนรอ จะมิคาดคั้นเจ้าเป็นเด็ด...”

พจน์ประกบปากตนกับคนพูดมาก ไม่เพียงอยากให้มันหยุดเท่านั้น แต่ ณ เวลานี้ คำตอบของคำถามคือการกระทำของพจน์นี่เอง เจ้ามาตะตกอยู่ในอาการเดียวกับพจน์เมื่อแรกจูบ ก่อนปรับสติตอบสนองพจน์กลับคืนรวดเร็วอย่างชำนิชานาญ สัมผัสแผดร้อนเล่นงานเด็กหนุ่มทั้งคู่อีกครั้ง แลครานี้เพลิงไฟราคะได้ลุกโหมอย่างมิอาจหยุดยั้งได้ เสียงจูบโต้ตอบกระตุ้นแรงสัมผัสผิวกายของอีกฝ่าย เจ้ามาตะดันพจน์เข้าชิดผนังแล้วใช้เข่าแยกขาพจน์ออก มันชิดส่วนนูนแน่นกึ่งกลางท่อนล่างให้ใกล้กับท่อนร่างร้อนของพจน์จนสติของตนเกือบหลุดออกจากร่าง ส่วนเสียดสีร้อนดั่งเพลิงไฟ หน้าขาเปลือยเปล่าโผล่พ้นจากผ้านุ่งปล่อยชายขยับชนกันจนสั่นสะท้าน พจน์ถอยจูบเพื่อรับอากาศ หอบหายใจหนักยิ่งกว่าเดิม
 
“ข้ามิอาจฝืนทนแม้ชั่วเพลาเดียว โปรดตอบข้าให้ชื่นใจด้วยเถิดเจ้า คำตอบนั้นคือสิ่งใด” มาตะกระซิบเสียงเบา

พจน์ค่อยๆลืมตา เขามั่นใจด้วยเหตุผลทั้งจักรวาล ว่าสิ่งที่ตนตอบนี้ไม่ใช่เพราะอารมณ์นำพาหรือเพราะความเศร้าเสียใจจากไอ้ปาล์มเป็นเด็ดขาด
 
“เราจูบนาย มันยังไม่ใช่คำตอบอีกหรือ”

เพียงเท่านั้นเจ้ามาตะจึงกระหน่ำจูบพจน์คืนอย่างไม่รู้จักพอ
 
“เจ้ามอบกายให้ข้าเถิด ภัทรพจน์ มาตะคนนี้ยากจะอดกลั้นทานทนไหว” มาตะถอนริมฝีปากห่างเพียงนิดกระซิบถาม พจน์รู้ว่าคำขอร้องนั้นคือสิ่งใด แต่ไม่คิดว่าความรู้สึกและการกระทำทั้งมวลจะดำเนินมาถึงจุดนี้ได้ ถ้าตอบปฏิเสธนั่นคงทำร้ายเจ้ามาตะสุดแสนทรมานเพราะพจน์รับรู้ส่วนร้อนเบื้องล่างกระจ่างชัด มิต่างจากตนเองเช่นกัน
 
“ให้ข้าได้มั่นใจเถิด กายแลใจของเจ้า ขอจงเป็นของมาตะเพียงผู้เดียว หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นเราต่างผูกเชื่อมสัมพันธ์แน่นแฟ้น แลสิ่งนั้นจะพรากเราห่างกันมิได้อีก”


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3240143#msg3240143)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๘ ไฟราคะ ๕๐% (๒๓/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 23-11-2015 11:42:18
มาตะนางมาแรง แรงแซงหน้าทุกคนนนนนนนน ชนะค่ะ
5555555555555555 แอบสงสารพจน์นางดูสับสน
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๘ ไฟราคะ ๕๐% (๒๓/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 23-11-2015 22:33:18
มาตะรุกอย่างแรง
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๘ ไฟราคะ ๕๐% (๒๓/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 23-11-2015 22:39:41
มาตะคะใจเย็นๆค่ะใจเย็นๆ...
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๘ ไฟราคะ ๕๐% (๒๓/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 24-11-2015 00:11:49
ขุ่นพี่!!! ใจร่มๆเน้อขุ่นพี่มาตะ น้องพจน์ร้อนรุ่มไปหมดแล้ว แอร๊ยยยยยยยยยย  :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๘ ไฟราคะ ๕๐% (๒๓/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 24-11-2015 20:38:47
สนุกมากๆ น่าติดตามที่สุดเลยค่ะ

พจน์สับสน เราก็ยิ่งสับสนไปด้วย ไม่รู้จะเชียร์ใครดี555
ทุกคนที่มาชอบพจน์รู้สึกว่ารักและดีกับพจน์เหลือเกิน
แต่มาตะมาแรงเกิน  หรืออดีตกาลเคยมีความสัมพันธ์กันยังไง ลุ้นมากๆค่ะ
ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๘ ไฟราคะ ๑๐๐% (๒๖/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 26-11-2015 12:41:57
[ต่อ]


แม้นสิ่งชักนำพจน์สู่พิภพหนึ่งบันดาลส่งบุคคลแรกเจอทุกคราเป็นเจ้ามาตะแล้วไซร้ เบื้องลึกระหว่างจิตใจเด็กหนุ่มทั้งสองต้องมีความข้องเกี่ยวกันด้วยวิถีแห่งปริศนา ร่างกายแลจิตสำนึกอาจผูกสัมพันธ์มาแต่ชาติปางก่อน ด้วยข้อสังเกตทั้งมวลเท่าสติอันเลือนรางของพจน์พอคาดคิดออกนี้ ทำให้ไม่อาจปฏิเสธคำร้องขอมาตะได้ เสี้ยวหนึ่งในใจซึ่งมีไอ้ปาล์มครอบครองอยู่นั้นมีเจ้ามาตะรุกล้ำแย่งชิงโดยที่พจน์เองไม่รู้ตัวแม้เพียงนิด ถึงเจอกันเพียงนับครั้งได้ในฝ่ามือเดียว แต่ความรู้สึกล้ำลึกเข้าอกเข้าใจเหมือนรู้จักคบหามาเนิ่นนานคือคำตอบทุกอย่าง
 
พจน์จ้องแผ่นหลังกว้างหนาของคนเบื้องหน้าซึ่งกำลังลากจูงตนให้เดินตามอย่างครุ่นคิด มาตะพาพจน์ผ่านซุ้มประตูเรือนยอดมณฑปฉาบสีขาวอยู่หลายบานจนกระทั่งถึงเขตแนวกำแพงขาว มีทหารเวรยามจำนวนสี่นายเฝ้าประตูขนาดใหญ่สีแดงอยู่ สายตาทั้งสี่จ้องพจน์ด้วยแววตาแตกต่างกัน ประหนึ่งพบเจอของสำคัญ บ้างมองออกว่าอยากทำทีเข้ามาทักทาย ทุกนายร่างกายกำยำล่ำสันแต่งกายเช่นมาตะแลตน แต่นุ่งผ้าสีแดงเข้ม มีอาวุธทวนประจำกาย ขีดหยดน้ำสีขาวกึ่งกลางหน้าผากสะท้อนเด่นชัดท่ามกลางความมืด แสงคบไฟภายในซุ้มประตูสะท้อนนัยน์ตาที่พจน์อยากก้มหลบมองพื้น

“ข้าหมดสิ้นเวรยามถวายอารักขาพระเจ้าอาทิตยาธรแล้ว บัดนี้จักขอเข้าพักในเรือนนอนสักครู่ หากมีกิจอันใดสำคัญจงเร่งแจ้งข้าโดยพลัน” มาตะออกคำสั่งเสียงเข้มสะกดอารมณ์เบื้องลึกในกายไม่ให้แสดงออกให้เห็นเด่นชัด

“ขอรับ นายกอง” หนึ่งในทหารเฝ้ายามร่างใหญ่ผิวกายเข้ม ไว้หนวดยาวแหลมตอบรับโดยดุษฎี แต่มิวายส่งสายตาวิบวับมองพจน์

“แลบุรุษหนุ่มสำนักภูษาผู้นี้ เหตุใดถึงติดตามท่านมาด้วยได้ขอรับ เพลานี้ควรอยู่ถวายงานตำหนักฝ่ายในวังหน้า เหตุเพราะจำต้องเป็นพนักงานจัดหาส่งฉลองพระองค์ให้พระอัครชายาแลพระสนมทอดพระเนตรในงานพระราชพิธีจองเปรียงลดชุดลอยโคมในราตรีวันรุ่งพรุ่งนี้" ยามอีกคนร้องทัก

“หาใช่กิจธุระของพวกเจ้าไม่ ข้าเหนื่อยแลจำต้องพักบัดเดี๋ยวนี้” มาตะตัดบทเสียงเข้ม ส่งผลให้สีหน้าตื่นตระหนกฉายชัดสู่ทุกผู้คนทันควัน รีบเร่งยกดาลประตูแลเปิดออกโดยพลัน
 
มาตะจูงพจน์ผ่านรวดเร็ว ก้าวเดินย่ำลงบนอิฐทางเดิน หมู่เรือนไม้ขนาดกลางเสาสูงเพียงเมตรตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทาง สลับสับหว่างด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ เรือนไม้แต่ละหลังบ้างปลูกติด บ้างห่างเว้นระยะ มีชานเรือนไว้ต้อนรับแขกพอเป็นพิธี ด้านในเป็นห้องหับสำหรับพักผ่อน แสงไฟส่องวับแวมจากเรือนหลายหลัง แต่อีกจำนวนมากมืดดำสนิท เจ้ามาตะพาพจน์หยุดยืนหน้าเรือนเงามืดหลังหนึ่ง มือข้างที่ว่างค้นหาของสำคัญตรงขอบเข็มขัดทอง แล้วจึงดึงพวงกุญแจโบราณสีเงินออกไขแม่กุญแจ ก้าวข้ามธรณีประตูพร้อมดึงพจน์ให้ทำตามอย่าง มันละพจน์ไว้ตรงปากประตูเพื่อจุดตะเกียงไฟ แสงสว่างค่อยๆฉายชัดให้เห็นห้องนอนขนาดกลางไม่ใหญ่เท่าห้องครั้งก่อนที่พจน์เคยปรากฏกาย ผนังสลักลายมวลดอกไม้สลับหมู่สิงสาราสัตว์  เตียงนอนอยู่กึ่งกลางขนาบด้วยช่องลูกมะหวดมีม่านสีขาวปิดทับอีกชั้นหนึ่ง พื้นกระดานไม้มันเลื่อมเมื่อต้องกระทบแสงไฟ จากนั้นเจ้ามาตะจึงลงลั่นดาลประตู

เด็กหนุ่มล่ำหนาพุ่งเข้าหาพจน์พร้อมมอบจุมพิตดูดดื่ม อารมณ์คุกรุ่นระหว่างเดินทางมาสู่เรือนพักถูกปลุกติดอีกครา
 
“เจ้าหายลับนับสามทิวาราตรี ข้านี้ทุรนทุรายเหน็บหนาว ช่างยืดยาวราวพันปีมิปาน ดวงมาลย์ของมาตะ” เด็กหนุ่มตัวหนาล่ำถอนริมฝีปาก ประคองใบหน้าเฝ้าพินิจพจน์มิรู้หน่าย

“แหละนี่คือสิ่งเจ้าประสงค์โดยจริงแท้ มิเปลี่ยนแปรใจ ใช่ ฤา ไม่ ข้าอยากสดับรับยินคำมั่นอีกสักครา” มาตะถามแววตาสั่นระริกดูหักห้ามจิตใจภายในยากลำบาก

“หากแม้นเจ้าคืนสติบริบูรณ์ แลจักแก้คำปฏิเสธร้องขอยังทันการณ์ ข้านี้ให้สัตย์สาบาน มิรุกรานแตะต้องกายเจ้าเด็ดขาด แลจักให้เจ้าพักผ่อนอยู่ภายใน ส่วนตัวข้านี้จะออกไปเฝ้ายามภายนอก ข้ามิอยากฝืนจิตใจเจ้า แต่จงรู้ไว้เจ้าจะไม่มีวันเลือนหายจากใจข้า โปรดจงพูดอีกคราให้ชื่นอุราเถิด”

ภัทรพจน์เงยหน้าจากพื้นห้องแล้วลืมเปลือกตา ใบหน้าเว้าวอนออดอ้อนสุดทรมานของมาตะแทนคำพูดมากมายของมันก่อนหน้านี้อย่างไม่จำเป็นต้องเอ่ยอ้างใดๆ พจน์ได้เลือกแล้ว ไม่ว่าเหตุการณ์เบื้องหน้าจะเป็นเช่นไร เขาไม่เสียใจกับการตัดสินใจครั้งนี้แน่นอน

“เรายืนยันคำเดิม” พจน์พยักหน้าหนักแน่น
 
ความดีใจสุดแสนปรีดาฉายชัดบนใบหน้าของคนเฝ้ารออีกครั้ง คนร่างหนาดันพจน์เข้าหาเตียงฟูกนอนสีขาว ม่านมุ้งกลมถูกรวบเก็บไว้เหนือหัว บุรุษหนุ่มทั้งสองแนบชิดกายเสียดสีสัมผัสกันและกันให้มากที่สุด เมื่อบัดนี้อยู่ในที่รโหฐานเป็นการส่วนตัว อารมณ์ซึ่งหักห้ามไว้ก่อนหน้าระเบิดออกราวทำนบเขื่อนพังทลาย

พจน์ถอนจูบจากริมฝีปากฝ่ายรุกหนักเพื่อโกยอากาศเข้าสู่ปอด พลางเอนกายลงบนเตียงนอนนุ่ม มาตะเกลี่ยเส้นผมบางเบาพ้นใบหน้าเพื่อให้เห็นดวงตาของคนที่ตนเฝ้าถวิลหาชัดเจน มีสิ่งหนึ่งที่พจน์อยากถามก่อนสติอันแน่วแน่จะกลืนหายพร้อมอารมณ์ตัณหา

“นายแน่ใจใช่ไหม เราสองคนเป็นชายไม่ต่างกัน” พจน์ถามเสียงเบา มาตะดันแขนเหยียดตึงสะกดให้พจน์นอนนิ่ง มองคนในกำแพงแขนอย่างสุดแสนยินดี

“เมื่อหัวใจของคนสองคนตรงกันดั่งนี้ แม้ครองเพศใดก็หาใช่อุปสรรคขวากหนาม” มาตะกระซิบลมร้อนข้างใบหูพจน์ สร้างอาการสั่นสะท้านที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชิวิต “ข้ารักเจ้า คือความสัตย์แท้ เมื่อกายแลใจของเราเป็นของกันแลกัน แม้แต่ทวยเทพก็จักอวยชัยกับรักของเรา”

พจน์ไม่อาจสรรหาคำคัดค้านใดมาต้านทานอารมณ์ปรารถนานี้ได้แล้ว ถ้ามีสิ่งใดเกิดขึ้นก็เพราะนี่คือสิ่งที่ตนต้องการให้บังเกิด ไม่ใช่การบังคับของเจ้ามาตะแม้แต่น้อย
 
มาตะบรรจงจูบลงหลังเปลือกตาพจน์แผ่วเบา เมื่อคนเบื้องล่างลืมตาอีกครั้งเจ้ามาตะกำลังค่อยๆถอดสังวาลเส้นหนาพร้อมผ้าคล้องไหล่สีน้ำเงินออก ร่างท่อนบนเปลือยกำยำเห็นชัดยิ่งกว่าเดิมในมุมนี้ แสงไฟตกกระทบกล้ามเนื้อสร้างอารมณ์ทรมานจิตใจของผู้พบเห็น หยดน้ำสีทองกึ่งกลางหน้าผากของมาตะแจ่มชัดและพจน์พยายามโฟกัสอยู่แค่เพียงสิ่งนั่น เขาไม่รู้จะทำสิ่งใดต่อ ไม่รู้ว่าต้องวางมือไว้ตรงไหน จึงนอนนิ่งให้อีกฝ่ายเป็นผู้นำพา มาตะเอื้อมมือปลดสายสังวาลและผ้าคล้องไหล่สีม่วงของพจน์ออกเช่นกัน เมื่อไร้อาภรณ์และเครื่องประดับเหนือกายท่อนบนทำให้พจน์รู้สึกเปลือยเปล่า จนแม้แต่ดวงตาคมเข้มนั้นสามารถทะลุทะลวงถึงเบื้องลึกในใจได้

มาตะประทับริมฝีปากบนซอกคอขาวของพจน์ นั่นสร้างความกระสันสั่นทั่วสรรพางค์กาย ขนอ่อนบริเวณหลังคอตั้งชันเช่นเดียวกับจุดซ่อนเร้นกึ่งกลางลำตัว  จากนั้นจึงไล่จูบซับมาถึงบริเวณอกแน่น พจน์กำมือหักห้ามอารมณ์ไม่ให้ส่งเสียงน่ารังเกียจ

“ร้องออกมาเถิด อย่าเก็บงำไว้ให้เจ็บปวดเลย” มาตะเงยมองจากมุมแผงอกขาว พจน์ปรือตาฉ่ำหวานแลดูการกระทำ จนกระทั่งเจ้ามาตะกดริมฝีปากครอบเหนือยอดอกนั่นถึงทำให้พจน์ต้องหลุดปลดปล่อยเสียงครวญครางอย่างสุดแสนทรมาน เสียงจาบจ้วงดูดกลืนเม็ดสีเข้มสร้างอาการสั่นสะท้านให้แก่ผู้ถูกกระทำอย่างเหลือล้น เปลี่ยนจากอีกข้างสู่อีกด้านหนึ่ง อาการเหมือนเจ็บปวดแต่สุขสมในคราเดียวกันนี้คือสิ่งใหม่สำหรับพจน์ และเขาไม่คาดคิดว่าจะได้สัมผัสพบเจอ

“ภัทรพจน์ ข้ารักเจ้าเหลือประมาณ เจ้ารักข้า ฤา ไม่” มาตะกระซิบพร้อมลมหายใจร้อน

พจน์พยักหน้ารับ

“โปรดเอื้อนเอ่ยให้ข้าได้ยินสักคราหนึ่งเถิดหนา” มาตะทำเสียงออดอ้อน

“เราก็เหมือนกัน”

เพียงเท่านั้นคนรูปงามจำต้องถอนกายลุกจากตัวพจน์ ซึ่งนอนสั่นเทิ้มอยู่กลางเตียง มาตะปลดผ้านุ่งท่อนร่างออกอย่างรีบเร่ง พจน์มองกิริยาอาการนั้นแล้วให้รู้สึกขวยอายจึงเบือนหน้าหนีอีกทาง เมื่ออาภรณ์ชิ้นสุดท้ายหลุดจากร่างของหนุ่มผิวขาว เจ้าตัวจึงแนบผิวเนื้อเปลือยเปล่าเข้าหาคนที่ตนปรารถนาจะครอบครองอย่างที่สุด จัดแจงถอดผ้านุ่งห่มของพจน์ออกโดยเร็ว พจน์อยากช่วยแต่มือทั้งสองเงอะงะเกินกว่าจะจัดการได้ทันใจคนเบื้องบน จนในที่สุดผ้าสีม่วงจึงถูกมาตะสะบัดทิ้งลงข้างเตียง

บัดนี้พจน์ไม่อยากลืมตาดูสภาพล่อนจ้อนของตนเองเลย รีบคว้าผ้าแพรสีขาวสำหรับห่มนอนมายึดถือปิดบังไว้แทน เสียงหัวเราะแหบต่ำสร้างความไม่พอใจให้แก่พจน์

“นายหัวเราะเยาะเรางั้นหรือ มาตะ” พจน์เบือนหน้าหนีไม่อยากปะร่างเปลือยของคนตรงหน้า ขยับเขยื้อนชิดหัวเตียง แต่คนขบขันเคลื่อนติดตามอย่างไม่ลดละ
 
“ข้าขันเพราะอาการเดียงสาของเจ้าต่างหาก” มาตะจูบหน้าผากพจน์ “เจ้าช่างงดงามเสียนี่กระไร”

เจ้าหนุ่มร่างหนาประชิดกายไร้อาภรณ์แนบลำตัวเข้าหาคนเบื้องล่าง พจน์รับรู้ถึงสัมผัสร้อนของจุดซ่อนเร้นของอีกฝ่ายซึ่งไม่แตกต่างจากตน มาตะไล้มือลูบสัมผัสผิวเนียนละเอียดของพจน์แล้วครางอย่างสุขสม ตะโบมประทับรอยทั่วร่างกายพจน์สุดห้ามใจ
 
“หทัยข้าแทบระเบิดออกมาหาเจ้าเหลือประมาณ เจ้ารู้ ฤา ไม่ ภัทรพจน์” มาตะถอนจูบครางเสียงเบา พจน์อือออตามคำถามไม่อาจสรรหาคำพูดใดมาเอ่ยอ้าง
 
“หากกายแลใจของเจ้าเป็นของข้า สายสัมพันธ์เราจะมิแยกห่าง แลจักเป็นหนึ่งเดียวของกันและกันชั่วกัลปาวสาน”

ผิวกายร้อนของเด็กหนุ่มทั้งสองลุกโหมยิ่งกว่าเพลิงกาฬ เพียงแตะสัมผัสต่อกัน ณ จุดใด เหมือนเชื้อไฟราคะกระจายสะพัดให้ก่อเป็นมหากองเพลิงยิ่งขึ้นนับทวี บัดนี้แม้แต่หยุดยั้งก็มิอาจกระทำได้ พจน์ไม่รู้ว่าตนตอบเจ้ามาตะว่าอย่างไรแต่เมื่อคนตัวหนาพูดจบจึงถอนตัวลุกขึ้น จัดการแยกขาขาวของพจน์ให้กว้างกว่าเดิม ใบหน้าหล่อเหลาสะท้อนแสงไฟปลุกอารมณ์ร้อนให้ลุกโชนยิ่งคณานับ สายตาพจน์พร่ามัวไม่เห็นว่ามาตะทำสิ่งใดอยู่ชั่วขณะ แต่แล้วความรู้สึกเย็นวาบ ณ ช่องทางเบื้องหลังทำให้พจน์สะดุ้งวาบ สัมผัสเปียกชื้นแต่เสียวกระสันมาพร้อมความอึดอัดบางอย่าง

“นาย...นาย...ทำเป็นใช่ไหม มาตะ” พจน์พูดสลับหอบ

มาตะพยายามสะกดอารมณ์ให้ใจเย็นเยือก แม้นในกายกลับเร่งร้อนเกินจะกล่าว

“ข้าเรียนรู้จากสหายของข้าผู้เคยคุ้นกับกิจนี้ แต่หาได้คิดจักนำมาใช้จริงไม่” มาตะพยายามอธิบายให้คนเบื้องล่างเข้าใจแจ่มชัด
 
“แลข้าจำเป็นต้องช่วยเจ้าให้พร้อม” มืออีกข้างที่ว่างอยู่ช่วยลูบไล้ท่อนลึงค์ของพจน์ให้คลายความร้อน

เมื่อช่องทางเบื้องล่างขยายพอเพียง มาตะโน้มตัวประกบปากพจน์อีกครั้ง ตนรู้ว่าอาวุธประจำกายของเจ้ามาตะมีขนาดมิใช่น้อย แต่ ณ วินาทีนี้ต้องยอมรับให้ทุกอย่างดำเนินสู่จุดหมายปลายทาง เขาจูบตอบมาตะ เลื่อนสู่แนวลำคอ นั่นทำให้คนเหนือร่างร้องครวญครางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
 
“เจ้าโปรดเชื่อใจข้า ภัทรพจน์ ข้ารู้ว่าอาจเจ็บปวด แต่เพื่อระหว่างเรา โปรดช่วยให้มาตะคนนี้สู่ฝั่งฝันด้วยเถิด ข้านี้จะช่วยพาเจ้าไปสู่สุขสมเฉกเช่นกัน” มาตะกดจูบพร้อมดันแท่งร้อนเข้าสู่ช่องทางเบื้องล่างของพจน์ ณ วินาทีแรกผิวเนื้อทั้งสองสัมผัสกันพจน์รู้สึกเหมือนโดนกระแสไฟแล่นกระจายทั่วร่าง หยาดน้ำตาไหลซึมสองแก้ม มาตะเหมือนล่วงรู้ว่าพจน์เริ่มเจ็บก้มลงจูบซับน้ำตาอย่างทะนุถนอม แต่นั่นหาได้ละความพยายามของคนมุ่งมั่นไม่ ขยับเขยื้อนเคลื่อนส่วนนั้นพร้อมใช้น้ำบ่อน้อยช่วยให้เข้าสู่ช่องทางคับแน่น

“แน่นเหลือเกิน ภัทรพจน์” มาตะครางสบตาพจน์ฉ่ำเยิ้ม ความเจ็บลึกและอึดอัดแรกเริ่มทุเลาเบาบาง อาการหอบหายใจถี่กระชั้นเล่นงานเด็กหนุ่มทั้งคู่ มาตะขยับบั้นท้ายกลมกลึงอย่างอาวรณ์ พจน์ไหวตัวขึ้นลงตามแรงจังหวะของผู้กระทำ หยิกกำผ้าปูเตียงสีขาวแน่นระบายความเจ็บแลความเสียวกระสัน จนเจ้ามาตะต้องจับมือพจน์มาลูบไล้หน้าท้องและอกแน่นนูนของตน ใบหน้านิ่งขรึมที่พจน์เคยเห็นตลอดเวลาบัดนี้ขมวดคิ้วแน่นเชิดหน้าสูงร้องบอกความพึงพอใจ

ตะคองแนบเนื้อนวลครวญใคร่คิด
ฝากจุมพิตนวลปรางครางสุดแสน
ลูบไล้เลื่อนแลลับจับดวงแดน
เกาะเกี่ยวแขนพร่ำเกี้ยวเชี่ยววาจา

อัศจรรย์เพลิงใจไฟราคะ
กลัดอุระก่อโหมโจมเข้าหา
ลุกลามไล่ไม้ผลสนธยา
สยบยอมไฟป่าพนาพรรณ

เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังเป็นจังหวะไม่เร็วหรือช้า หยาดเหงื่อพร่างพรมทั่วผิวกายมันวาวของคนทั้งคู่ ความรู้สึกเจ็บเลือนหายหลงเหลือแต่ความสุขสมจนพจน์แลเห็นสวรรค์อยู่เบื้องหน้า เลื่อนมืออีกข้างช่วยตัวเองเมื่อรับรู้ว่าอีกในมีกี่วินาทีมิอาจอดทนต่อไปได้ มาตะก้มลงจูบปากพจน์สลับพร่ำเรียกชื่อคนเบื้องล่าง มันเร่งจังหวะรวดเร็วกว่าเดิมเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคนรุกล้ำใกล้ถึงฝั่งฝัน พจน์จึงเร่งจังหวะมือเช่นกัน
 
ครืนครืนครั่นลั่นร้องกระหน่ำฝน
เมฆมัวหม่นทะลักล้นพ้นสวรรค์
ต้นรุ่มร้อนอ้อนซ้ำน้ำหลั่งพลัน
หยาดวสันต์เพริศพลบจบคู่ไพร

ในห้วงวินาทีแห่งความปิติล้นเหลือ น้ำขุ่นขาวทะลักพุ่งแปดเปื้อนกระจายทั่วหน้าท้องของพจน์ มาตะเร่งจังหวะตามติดทันควัน เสียงร้องและเสียงเนื้อสัมผัสดังผสานจนความรู้สึกอุ่นวาบในช่องทางเบื้องหลังทำให้สายตาพจน์พล่ามัวโดยทันที


****************************************


แสงสว่างแผดจ้าปกคลุมการมองเห็นทั้งมวล ชั่วพริบตาความเงียบสงบจึงแผ่ครอบครองอยู่รอบอาณาบริเวณลานกว้างเหนือยอดเขาแห่งหนึ่งยามค่ำคืน เมฆหมอกสีขาวลอยคลอเคล้าต้นไทรขนาดใหญ่ด้านขวามือ ใบไม้แห้งกระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นผิว หมู่ดาวเหนือท้องฟ้าดำมืดส่องกระจ่างเรียงรายแจ่มชัดสู่สายตา แข่งกับดวงจันทร์กลมโต อากาศหนาวถูกพัดพาเป็นระลอก เบื้องหน้ากลุ่มหมอกสีขาวลอยฟุ้ง ปรากฏบุรุษร่างกำยำคนหนึ่งชันเข่าก้มหน้า แต่งชุดนุ่งห่มภัตราภรณ์สีขาว เครื่องประดับทองคำ หยดน้ำ ณ กึ่งกลางหน้าผากส่องประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงจันทรา เมื่อบุรุษผู้นั้นเงยหน้า แสงเจิดจ้าต้องกระทบสายตาจนต้องหลบเพียงครู่ ต้นเหตุของแสงสว่างแรงกล้าคือ อัญมณีเพชร รูปคล้ายหยดน้ำสถิตอยู่กึ่งกลางหน้าผากนั่นเอง

“ในที่สุดพลังอำนาจเหนือพลังจักอุบัติขึ้น” บุรุษชุดขาวเปล่งเสียงสะท้อนก้อง “ข้าทรงพลังยิ่งกว่าทวีคูณ นายข้า”

“นายเป็นใคร” พจน์ถามกลับ บุรุษร่างขาวเริ่มทอประกายแสง แผ่รัศมีทั่วผิวกายขยับลุกขึ้นยืน แววตาสีน้ำตาลเข้มจ้องตอบพจน์ และแทบไม่ต้องใช้สมองประมวลผลก็รับรู้ได้ว่าใบหน้านั้นคือใบหน้าที่ตนเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เป็นใบหน้าของพจน์นั่นเอง แตกต่างเพียงร่างกายบึกบึนกำยำกว่า รวมถึงเครื่องนุ่งห่มอันวิจิตรปราณีต จะเป็นไปได้อย่างไร

“ข้าเป็นทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่าน ผู้ครอบครอง” เสียงนั้นตอบ แตกต่างจากเสียงของพจน์โดยสิ้นเชิง “จิตใจผูกพันล้ำลึกแต่บรรพกาลบัดนี้ชักนำให้ท่านทรงพลังกว่าที่เคยเป็น”

“นายหมายความว่าไง” พจน์สับสนจนปวดศีรษะ

“วิถีอมตะจุติลง ณ ร่างของท่านแล้ว นายข้า พร้อมพลังเหนืออำนาจที่จะใช้ต่อกรอริราชศัตรู ทรงพลังเทียมเท่ามิยิ่งหย่อนเกินกว่ากันอีก” พจน์สบตาสีเดียวกับตนเอง “ชะตากรรมแห่งมหาพิภพพลิกผัน แปรเปลี่ยนในที่สุด”


100%....TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3243842#msg3243842)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๘ ไฟราคะ ๑๐๐% (๒๖/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 26-11-2015 14:56:12
 :m25: :m25: :m25:
ตายอย่างสงบ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๘ ไฟราคะ ๑๐๐% (๒๖/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 26-11-2015 17:15:57
 :pighaun: :m25: เร่าร้อนมาก
แอร๊ยยยยย กำลังสนุกเลย มาอีกน๊าา
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๘ ไฟราคะ ๑๐๐% (๒๖/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 26-11-2015 21:15:37
 :haun4:   :haun4:
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
ขอบคุณมากนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๘ ไฟราคะ ๑๐๐% (๒๖/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 26-11-2015 22:26:33
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยย  :jul1: :jul1: :jul1: :jul1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๘ ไฟราคะ ๑๐๐% (๒๖/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Rhapsody-PT ที่ 26-11-2015 23:57:55
สนุกมากค่ะ
เรื่องราวน่าติดตาม
ภาษาสวย
อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๘ ไฟราคะ ๑๐๐% (๒๖/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 27-11-2015 00:59:20
นั่น...เป็นการเสริมพลังอย่างงั้นเหรอเนี่ย
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๘ ไฟราคะ ๑๐๐% (๒๖/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: 14th-friedegg ที่ 27-11-2015 17:14:14
เป็นบทมหัศจรรย์ ที่ชวนเรียกเลือดมาก

ตกลงแล้งพจน์ เป็นอะไร?
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๘ ไฟราคะ ๑๐๐% (๒๖/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 29-11-2015 02:17:52
ทำไมร้อนแรงกันเยี่ยงนี้
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๘ ไฟราคะ ๑๐๐% (๒๖/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: padloms ที่ 29-11-2015 16:20:27
ไฟราคะสมชื่อตอน  :haun4:  :jul1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๙ ภวังค์ตัณหา ๕๐% (๓๐/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 30-11-2015 14:48:05
บทที่ ๙


ภวังค์ตัณหา


   
ลมหายใจแผดร้อนพรั่งพรูกระทบลำคอระหง ทรวดทรงเอวองค์ดั่งเทพจุติสั่นสะท้าน กอบโกยอากาศบริสุทธ์สู่นาสิกคมสัน ภาพจากสองนัยนาสว่างวาบผันเปลี่ยนเป็นเรือนพักแรม ขื่อคานเหนือเพดานแจ่มชัด แลรับรู้น้ำหนักของคนเบื้องบนที่สั่นกระนาบแนบชิดร่างของพจน์อยู่ 

ทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ วิถีอมตะ มหาพิภพ

คำสามคำสร้างความพิศวงแก่ใจพจน์ แต่บัดนี้ทดแทนด้วยอารมณ์พิศวาสซึ่งผ่านพ้นสู่จุดสูงสุดโดยสำเร็จลุล่วง เสียงหอบถี่กระชั้นของเจ้ามาตะผสานลมร้อนจากปลายจมูกของพจน์เป็นจังหวะสอดคล้อง ผิวกายระยับเยิ้มด้วยหยดเหงื่อ ฝ่ามือเรียวจิกรั้งผิวกายด้านหลังของคนตัวหนาเพื่อระบายความเจ็บแลสุขล้น
 
“เจ้าสุขสมเสมอข้า ฤา ไม่ ดวงใจของมาตะ” เด็กหนุ่มกล้ามแกร่งกระชับมัดแขนกอดพจน์รัดรึงแน่นขนัด คำกระซิบฟังชัดเจนแม้เสียงกระเส่าแหบพร่า
 
ทุกสัดส่วนร่างกายพจน์สั่นเทิ้มราวเหน็บหนาวแต่เร่าร้อนยิ่งกว่าถูกแสงดวงอาทิตย์เผาไหม้ กล้ำกลืนน้ำลายช่วยลำคอโล่งโปร่งเอื้อนเอ่ยตอบคนเห็นแก่ตัวที่นอนทับตนอยู่

“ลุกออกจากตัวเราได้แล้ว” เด็กหนุ่มตาสวยเฉไฉอ้างเรื่องอื่น เสียงหัวเราะทุ้มต่ำดังสะท้อนรับคำ ไม่เพียงไม่ทำตามคำร้องแต่ยังกดแนบลำตัวให้ประชิดยิ่งกว่าเดิม แท่งร้อน ณ ช่องทางเบื้องหลังเริ่มขยายขนาดเพียงขยับเขยื้อนเคลื่อนกาย

“นายเอาไอ้นั่นออกไปก่อน มาตะ” พจน์อ้อนวอนเสียงเบา แต่เจ้ามาตะทำเหมือนดั่งหูดับชั่วคราว เลื่อนหน้าออกจากซอกคอพจน์อย่างอาวรณ์ แล้วจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลด้วยหน้านิ่งเฉย พจน์พยายามใช้แขนดันหน้าอกมันเลื่อมของมาตะพ้นจากระยะแนบชิดอันตราย แต่แรงกดทับต้านทานขัดขืนแทบไร้การขยับเขยื้อน

“เจ้าอยากให้ข้าทอดถอนกระนั้นหรือ” คนร่างหนาขยับบั้นท้ายกลมกลึงกระแทกซ้ำเบาๆ นั่นทำให้พจน์บีบรัดช่องทางร้อนตามปฏิกิริยาตอบสนอง คนหน้านิ่งส่งเสียงครวญสุดหักห้าม
 
“แต่ร่างกายของเจ้าหาได้เป็นดั่งคำพูดไม่ ภัทรพจน์ ความอัดอั้นของข้ามากล้นเกินกว่าระบายหมดสิ้น โปรดช่วยให้มาตะปลดเปลื้องความคะนึงหา ความเสน่หารัดรึงเสมือนหนึ่งกลัดเป็นหนอง ให้ได้รับการเยียวยารักษาจนสิ้นความคิดถึงเถิด”

แรงโยกของเอวพริ้วไหวของคนเจ้าคารมกลับมาทำงานได้แคล่วคล่องดังเดิม แต่จังหวะเนิบช้าราวกับรอคำอนุญาตจากพจน์อยู่ ความเสียวกระสันพร้อมเจ็บปวดผสมผสานเล่นงานพจน์อีกครั้ง

“หมายความว่านายจะทำ... เอ่อ รอบสองงั้นหรือ” พจน์ถามพร้อมอาการตกใจมิใช่น้อย ไม่นึกว่าคนหน้านิ่งเฉยแต่เที่ยงแท้แล้วภายในมีอารมณ์มากล้น
 
“ได้โปรดเถิดหนา ข้าอึดอัดเหลือประมาณ เมตตาวานช่วยข้าให้พ้นจากความทุกข์ระทมเถิด” พจน์จะอ้างคำปฏิเสธ แต่ร่างกายของเขาตอบสนองการกระตุ้นอารมณ์ตัณหาเบื้องลึกจนปลุกติดอีกครั้ง แข็งขันตามการปรนเปรอของเจ้ามาตะอย่างไม่อาจหักห้ามได้ ห้วงตัณหาราคะก่อกำเนิดแลลุกลามโรมรัน แม้แต่คำเอื้อนเอ่ยก็เป็นการยากจะพูดให้ได้ใจความ พจน์ทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น แววยินดีปรีดาฉายชัดบนใบหน้ารูปงามนั้น มาตะก้มลงประทับจูบพจน์ดับอารมณ์ร้อน

อัศจรรย์เรือน้อยลอยสมุทร
ท้องฟ้าดุจผ้าดำฉ่ำเม็ดฝน
ละอองฝอยคล้อยเย็นเป็นหยาดชล
ลมพัดวนเวียนว่ายสายนที

เปรี้ยงเปรี้ยงวาบวับแวมแซมก้อนเมฆ
ดุจขวานเสกเมขลาอสูรย์ศรี
ล่อแก้วกรอกหยอกเย้าเคล้าราตรี
อสุรีรุกเร้าเฝ้าตรึงตรา

วายุพัดซัดกลืนผืนแผ่นน้ำ
โยกเรือซ้ำเอนโอนโจนเข้าหา
มหรรณพวังวนคนธารา
ฉุดเรือน้อยลอยฝ่าวาตภัย

หว่างสมุทรสุดระทึกนึกวาดฝัน
หวาดกลัวพลันเกรงเรือทรุดผุดหลั่งไหล
วะวาบหวามน้ำทะลักหักกลางใบ
กระเซ็นร้อนอ้อนใจพื้นเจิ่งนอง

กระเพื่อมซ้ำกระแทกสาดบนดาดฟ้า
สี่ห้าครามิหยุดหย่อนร่อนสนอง
โคลงเคลงฝืนแหวกคลื่นตามครรลอง
ประคับครองนาวาพักเรือนกาย

เด็กหนุ่มไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อยมากเท่านี้มาก่อน แม้กิจกรรมแข่งฟุตบอลอันเชี่ยวชาญก็หาได้ชดใช้พลังงานอย่างล้นเหลือขนาดนี้ ไม่เพียงเจ้ามาตะจะทำการซ้ำสองเท่านั้น แต่พจน์สัมผัสได้ว่ามากกว่านั้น เพราะตนเองสำเร็จมากกว่าสองเช่นกัน ช่วงเวลาร้อนแรงดำเนินอย่างเชื่องช้าแต่ชัดเจนรับรู้ทุกการเคลื่อนไหว สติอันรางเลือนนึกรู้ปฏิกิริยาตอบสนองตัณหาของคนทั้งสองเป็นอย่างดี เสียงหอบหายใจกระชั้นรดผิวเนื้อวาวของอีกฝ่ายมิรู้เหน็ดเหนื่อย แหละวินาทีสำเร็จความใคร่ครั้งสุดท้ายของเจ้ามาตะดำเนินมาถึง เรี่ยวแรงซึ่งใช้ไปเพื่อผนึกสานสัมพันธ์นี้ของพจน์จึงหมดสิ้นลงพร้อมกับสติอันมั่นคง

ภัทรพจน์มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อมีสิ่งชื้นเย็นสัมผัสกลางหน้าผาก เขาเผยอเปลือกตาอย่างอ่อนแรง เห็นใบหน้าเปี่ยมสุขของมาตะพยายามใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดผิวกายพจน์อยู่ เสียงหริ่งหรีดเรไรยามราตรีแทรกผ่านเรือนพักเป็นเครื่องประโลมความเจ็บจากสมรภูมิรัก

“มาตะ...” น้ำเสียงแหบพร่าร้องเรียกชื่อ

เจ้าของนามเงยหน้าสบตาสีน้ำตาลงดงาม ปรากฏความยินดีสะท้อนวาบในแววตาคมเข้มนั้น มันนุ่งผ้าสีน้ำเงินไว้อย่างหมิ่นเหม่ปิดบังกายท่อนร่าง ชวนเย้ายวนแก่ผู้เฝ้ามอง ภายใต้ผ้าแพรสีขาวซึ่งห่มร่างพจน์หาได้มีเครื่องนุ่งห่มครองอยู่จนสัมผัสได้
 
“เจ้ามีอาการไข้อ่อนๆ ผิวกายร้อนแต่หาได้รุนแรงเท่าครานั้น” มาตะแจ้งแถลงไข ประคองศีรษะพจน์รับน้ำจากจอกดื่มแก้กระหาย
 
“เป็นความผิดของข้าเอง หากยับยั้งชั่งใจตนเองได้ เจ้าคงไม่ตกอยู่ในอาการเช่นนี้”

“รู้ความผิดตัวเองก็ดีแล้ว” พจน์ตอบกลับ ทำทีเบือนหน้าหนี เจ้ามาตะรีบทรุดกายลงข้างเตียง คุกเข่า ประคองมือทั้งสองของพจน์ไว้ในอ้อมหัตถ์

“อย่าถือโทษโกรธเคือง มาตะเลยเจ้า” พจน์แอบเห็นสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนเมื่อแรกพบสถิตอยู่ทั่วใบหน้าของคนพูด ลองขยับส่วนท่อนล่างก็ให้รู้สึกเจ็บแสบพอทานทน

“ใจข้าเฝ้าปรารถนาเจ้าเหลือล้น หากมิได้กระทำดั่งว่า มาตะคงต้องวายชีวาเป็นแน่”

สีหน้าออดอ้อนเว้าวอนซึ่งมีเพียงเจ้าคนนี้เท่านั้นทำได้ ส่งให้พจน์ลอบถอนหายใจ จะว่าเป็นความผิดของมันฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกเสียทีเดียว หากตนไม่สมยอมร่วมมือด้วย  ถ้าผิดก็คงผิดด้วยกันทั้งสองฝ่าย
 
“นายทำไปกี่ครั้งวะ” พจน์ร้องถามอย่างสงสัย เพราะครั้งสุดท้ายตนแทบไม่ได้สติ

เจ้ามาตะหน้าขึ้นสีแดงฉับพลัน รีบหลบตาก้มหน้านิ่ง แต่ยังยื้อยุดฉุดมือพจน์ไว้แนบอกหนา วงแขนเกร็งแน่น ผุดมัดกล้ามนูนชัดกระจ่างตา วงแขนนี้หรือคืออ้อมกอดปลอมประโลมพจน์ ณ ห้วงเวลาเร่าร้อน นึกย้อนเหตุการณ์แล้วให้รู้สึกอายในคำถามชอบกล

“เออ เออ ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ”

“ห้าครา...”

“หะ!!!” เจ้านี่ฝึกความอึดทนและเอาเรี่ยวแรงมาจัดการตนได้ยาวนานเช่นนี้จากแห่งหนไหน พจน์ไม่กล้าสู้หน้าเจ้ามาตะเลย ณ วินาทีนี้
 
“หากมีคราหน้าข้าคงจักลดลงให้เหลือเพียงสอง”

“เฮ้ ปัญหามันไม่ใช่อยู่ตรงนั้นโว้ย” พจน์ร้องอย่างตกอกตกใจ ไม่นึกว่าเจ้ามาตะยังจะคิดถึงคราวหน้าอยู่อีก
 
“ข้าจักถนุถนอมเจ้ามากกว่านี้ ข้าให้คำสัตย์สาบาน” มาตะพยักหน้าเคร่งขรึม พจน์อยากจะเอาศีรษะโขกกับหัวเตียง ประเด็นมันไม่ใช่ว่าครั้งหน้าจะทำกี่ครั้งคราว ไอ้เจ้าบ้านี่
 
“ใครบอกว่าจะมีครั้งหน้าอีกวะ” พจน์โวยวายหน้าแดงปรี๊ด เจ้ามาตะทำสีหน้าสลดทันทีเมื่อได้ยิน แววตามั่นคงซึ่งร้อนแรงชวนเคลิบเคลิ้มนั้นนิ่งงัน จนหวั่นเกรงว่ามันจะคว้าดาบทองข้างหัวเตียงมาประหัตประหารพจน์

“เจ้าตกเป็นของข้าแล้ว ทั้งทางกาย แต่ทางใจนั้นเจ้าหาได้เป็นของข้าใช่รึไม่” คำถามแข็งกระด้างเหมือนคนห่างเหินไม่รู้จักกันทำเอาพจน์วูบโหวงในอก “มีผู้อื่นครอบครองใจของเจ้าอยู่แล้วกระนั้นหรือถึงมิยอมมอบให้แก่ข้า”

“นายอย่าคิดเองเออเองสิวะ” พจน์ตวาดกลับ นั่นดูเหมือนฉุดจิตใจดำมืดของเจ้ามาตะให้พ้นจากหลุมลึก

“ข้าขอโทษ” เจ้าคนตัวหนาครางเสียงเบา “ตอบให้ข้าชื่นใจเถิดหนา ใจเจ้าเป็นของมาตะใช่ ฤา ไม่”

พจน์ไม่มีคำตอบอื่นสำหรับคำถามนี้ เขารู้คำตอบก่อนหน้าที่จะตกปากรับตามคำขอของเจ้ามาตะเสียอีก

“ใช่”

“ข้าจักเร่งสู่ขอเจ้ามาครองคู่ เหตุลบหลู่ล่วงขนบประเพณีวิถีอารยะ” มาตะพูดรวบรัดเปรมปรีดิ์

“เห้ยๆ เดี๋ยวก่อน” พจน์ผลุดลุกขึ้นนั่ง รู้สึกเจ็บแปลบบริเวณบั้นทายแต่ต้องฝืนทนเพราะเจ้ามาตะเหมือนคิดดำเนินการณ์ไกลเกินกว่าตนคาดไว้เสียแล้ว
 
“ไม่ต้องถึงขนาดต้องมาสู่ขอหรอกมั้ง เราเองไม่เสียหายอะไร อีกอย่างเป็นชายเหมือนกัน ไม่มีทางท้องแน่นอน ไม่ต้องรับผิดชอบหรอก” พจน์หัวเราะกลบเกลื่อน

“หาได้ไม่” มาตะปฏิเสธเสียงเข้ม สีหน้าจริงจังทำเอาพจน์ไม่กล้าเถียงกลับ

“ข้าจำต้องรับเจ้าเข้าเรือนข้าให้ถูกต้องประเพณี ชายใดได้ล่วงเกินผู้อื่นทั้งทางกายแลใจแล้วไซร้ มันผู้นั้นจักต้องตบแต่งคนรักเข้าสู่เหย้าเรือนอย่างช้าที แม้นล่วงเลยเกินเจ็ดทิวาราตรีนับว่าหาใช่บุรุษผู้อาจหาญไม่

“เดี๋ยวก่อน มาตะ” พจน์เห็นท่าทีจริงจังของเจ้ามาตะแล้วให้รู้สึกว่ามันพูดจริงทำจริงแน่จึงร้องห้ามไว้ก่อน “เหตุการณ์เกิดขึ้นด้วยเราสองคน ไม่มีใครรับรู้...”

“แต่ทวยเทพจักล่วงรู้...”

“นายฟังเราให้ดี เรายินดีที่จะอยู่อย่างนี้ ไม่อยากให้ใครรู้เรื่องระหว่างเรา มันจะเป็นเรื่องราวของเราเท่านั้น” พจน์ฉุดคนร่างหนาขึ้นนั่งบนเตียงแนบชิดกับตน ผิวเนื้อร้อนผ่าวของพจน์ทำให้เจ้ามาตะสะดุ้งสะเทือนหวั่นไหว พยายามชี้แจงเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลเท่าที่คิดออก

“มันจะเป็นความลับของสองเรา”

พจน์มองสบตาสีเข้ม คาดคะเนว่าเจ้ามาตะคงไม่ได้ยินดีด้วยกับคำพูดของตน แต่ความนิ่งเงียบทำให้สามารถตีความได้ว่าอีกฝ่ายคงยินยอมแม้ไม่สมความมุ่งมาดปรารถนาส่วนตัว

“เจ้าทำประหนึ่งรังเกียจเดียดฉันท์ข้า” มาตะก้มหน้าตรึกตรองข่มความอัดอั้นใจ พจน์ลูบไล้ลำคอหนาของคนน้อยอกน้อยใจ พยายามสัมผัสปลอบประโลม “ข้าจะเป็นบุรุษผู้กล้าหาญได้เช่นไร หาก....”

พจน์ประกบริมฝีปากปิดคำพูดของเจ้ามาตะให้กลืนกลับคืน คำต้องประสงค์ดังใจปรารถนาจะเป็นจริงได้อย่างไร เมื่อพจน์ยังไม่รู้เลยว่าช่วงเวลาที่เขาจะอยู่แลจากคือเมื่อไหร่ สิ่งชักนำตนมาและพาตนกลับสู่โลกแท้จริงคือสิ่งใด ช่วงเวลานี้ขอมีเพียงแค่เขาสองคนเท่านั้น ความปรารถนาลึกร้อนของมาตะถูกปลุกฟื้นคืน อ้อมแขนแกร่งกดแน่นแนบร่างเปลือยไร้อาภรณ์ของทั้งคู่นำสู่ห้วงราคะร้อนแรง


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3246736#msg3246736)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๙ ภวังค์ตัณหา ๕๐% (๓๐/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: หนูน้อยหมวกแดง ที่ 30-11-2015 17:58:28
 :jul1: :jul1: :jul1:
สนุกมาก ปมเยอะดี ติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๙ ภวังค์ตัณหา ๕๐% (๓๐/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: wwss2220 ที่ 30-11-2015 21:30:54
 :haun4:เลือดพุ่งสุดๆๆ ค่ะ เป็นกำลังใขให้นะค่ะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๙ ภวังค์ตัณหา ๕๐% (๓๐/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 30-11-2015 22:03:45
 :jul1: :jul1: :jul1: :jul1: :jul1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๙ ภวังค์ตัณหา ๕๐% (๓๐/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 01-12-2015 04:21:53
ช่างลึกลับซับซ้อนเสียจริง บทอัศจรรย์นี่บรรยายไปซะเห็นภาพเลย นึกถึงตอนเรียนวรรณคดีไทยสมัยม.ปลาย ยังแปลความไม่ออกเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๙ ภวังค์ตัณหา ๕๐% (๓๐/๑๑/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 01-12-2015 21:29:54
ตอนเริ่มแรกรู้สึกว่าอ่านยาก รายละเอียดยิบย่อย บรรยายเยอะ

แต่พอเริ่มคุ้นชิน  บอกเลย....


สนุกมว๊ากกกกก......       :impress3:



สงสารนุ้งปาล์มอะ ถ้ารู้เรื่อง ... แล้วจะเป็นเยี่ยงไร    :ling3:


ปลื้มมาตะนะ แต่เป็น fc นุ้งปาล์ม    :กอด1:


รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๙ ภวังค์ตัณหา ๑๐๐% (๓/๑๒/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 03-12-2015 15:37:27
[ต่อ]


เสียงระกาขานขันประชันอรุณรุ่ง พล่านพุ่งผ่านโสตสติ แผ่นหลังหนากว้างคือสิ่งแรกเห็นยามฟื้นตื่น แสงมัวสลัวรางกระทบผ่านช่องลมช่วยการพินิจมอง พจน์ไม่รู้สึกเมื่อยล้ามากเท่าที่คาดคิด แม้นผ่านเหตุการณ์ใช้กำลังกายใจมากล้นเหลือ เพียงย้อนลำดับนึกถึง ความรู้สึกร่ำร้อนจึ่งผุดวาบทั่วผิวหน้า เห่อลุกลามทั้งผิวกาย ไม่เคยคิดหวังว่าตนจะมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันได้ และสิ่งเกินกว่าฝันคือพจน์กลายเป็นฝ่ายรับ แม้แต่วินาทีนั้นพจน์ไม่รู้เลยว่าต้องทำแบบไหน อารมณ์ ความรู้สึก เป็นเครื่องนำพาให้ทุกอย่างเคลื่อนผ่าน เมื่ออีกบุคคลหนึ่งเป็นเจ้ามาตะ พจน์นึกภาพไม่ออกว่ามันจะยอมให้พจน์รุกได้อย่างไร
 
พจน์นึกอยากแกล้งไอ้คนหลับสนิทเพราะอ่อนเพลียเสียกำลัง ร่างกายอุดมกล้ามเนื้อขยับขึ้นลงสม่ำเสมอบอกว่าเจ้าคนรุกรานพจน์กำลังเข้าเฝ้าพระอินทร์อยู่ จึงเลื่อนฝ่ามือโอบเอวสอบ แล้วสัมผัสลูบไล้ลำเอวหนาโดยแผ่วเบา รับรู้ถึงแนวร่องลึกหดหายสู่ใต้ผืนผ้าห่มชวนเย้ายวน หวังจะสร้างอาการจักจี้ซึ่งพจน์รู้ดีเพราะลองทดสอบมาทั้งคืน และในที่สุดปฏิบัติการก่อกวนจึงได้ผลสำเร็จ อวัยวะถูกสัมผัสหดเกร็งทุกสัดส่วนแต่ไม่แสดงคำขอร้องอ้อนวอนให้พจน์หยุดเหมือนทุกที จึงลองลูบไล้วนเวียนรอบเอวให้หนักขึ้น
 
“ไอ้...ไอ้พจน์ มึง...” เสียงครางย้อนถามสะดุดติดขัด

เด็กหนุ่มจอมวางแผนรีบดึงมือกลับคืนโดยทันที เสียงนั้นหาใช่สุ้มเสียงที่ตนเคยคุ้นมาทั้งคืน แต่เป็นน้ำเสียงแหบนุ่มของเพื่อนสนิทปาล์มต่างหาก เจ้าของร่างหนาหุ่นดีพลิกกายมาเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มตาสวย อาการตื่นตกใจเพราะหมายสำคัญผิดคนของพจน์ทำให้ดวงตาเล็กหยี่ภายใต้เปลือกตาชั้นเดียวเบิกโพลงกว่าปกติ

“มึง เอ่อ...จะทำ....”

“กูละเมอ” พจน์สวนกลับรีบแก้ตัว “กูไม่ได้ตั้งใจนะเว้ย ไอ้ปาล์ม”

สีหน้าเผือดซีดแปรเปลี่ยนเป็นแดงชมพูของผู้มาค้างคืนทำให้พจน์รู้สึกผิด บัดนี้ตนกลับคืนสู่โลกแท้จริงอีกหน สภาพห้องนอนตกแต่งโทนสีน้ำตาลของพจน์ทดแทนเรือนพักผนังสลักลาย ไอ้ปาล์มถอดเสื้อนอนเหลือเพียงกางเกงขายาวสีเทาเท่านั้น อวดหุ่นล่ำขาวไม่ผิดแผกแตกต่างจากมาตะสักเท่าไหร่ รวมถึงรูปร่างระดับความสูงด้วย นั่นทำให้พจน์ไม่ทันสังเกตให้จงดีจนเกือบทำสิ่งน่าอับอายขายหน้าเสียแล้ว

ไอ้ปาล์มผุดลุกขึ้นนั่ง นั่นทำให้พจน์ตกใจลุกนั่งเช่นกัน รีบเขย่าแขนพร้อมขอร้องให้มันเชื่อในคำพูดของตน

“กูละเมอจริงๆนะเว้ย” แขนล่ำหนาอย่างคนออกกำลังกายเป็นประจำหาได้สั่นคลอนมากเท่าใจพจน์ต้องการ หวังว่ามันคงรับรู้ความรู้สึกผิดของพจน์ผ่านการสัมผัส แววตาของเพื่อนสนิทปิดแน่น คิ้วขมวดชนกัน แลดูลำบากยากใจ

“มึงละเมอ ไม่ได้ตั้งใจ จริงๆเหรอวะ” เปรมณัฐช้อนดวงตาขึ้นมองภัทรพจน์ สายตาเช่นนี้ราวกับพจน์เพิ่งประสบพบเจอมา อาการดั่งเว้าวอนอ้อนขอกระนั้น

“เออ แหะๆ” พจน์ยกมือเกาหลังศีรษะอย่างเก้อเขิน “กูฝัน แล้วคงละเมอไปโดนมึงอ่ะ ขอโทษนะเว้ย”

เด็กหนุ่มนัยน์ตาน้ำตาลกุมมือเพื่อนข้างกายแน่นหวังให้มันเข้าใจ ถึงตนจะเคยชอบมัน แต่การกระทำล่วงเกินเพียงฝ่ายเดียวของพจน์ไม่ใช่สิ่งที่ตนพึงทำได้ตามใจปรารถนาอีกแล้ว ไอ้หน้าหล่อถอนหายใจพรั่งพรู

“มึงอย่าได้ไปละเมอกับใครแบบนี้อีกนะ”

“รับทราบ” พจน์ตะเบ๊ะตอบรื่นเริง

“มึงไม่โกรธกูแล้วใช่ไหมวะ” คุณชายปาล์มย้อนถาม เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของคู่สนทนาจึงเสริมต่อ “ก่อนนอนมึงร้องไห้ กูไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดใจมึงหรือเปล่า กูนอนไม่หลับทั้งคืนจนใกล้สว่าง”

ความรู้สึกเศร้าเสียใจเหมือนสูญเสียคนที่ชอบให้คนอื่นไปนั้นถูกอารมณ์รักร้อนแรงของเจ้ามาตะสมานบาดแผลทุเลาเบาบางลงอย่างชะงัก พจน์มองใบหน้าขมวดคิ้วมุ่นของไอ้ปาล์มได้บริสุทธิ์ใจอีกครั้ง หากตนไม่ได้ข้ามพิภพสบเจอกับมาตะ ความรู้สึกหลังตื่นนอนตอนเช้าคงต่างไปจากนี้ พจน์เข้าใจเรื่องราวความรักของไอ้ปาล์มมากขึ้น ถ้าวันนั้นมาถึงเขาคงยิ้มส่งอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจอีก

“กูเข้าใจแล้ว” พจน์ตบไหล่หนาดังเปาะแปะ “มึงไม่ผิดหรอก เป็นที่ตัวกูต่างหาก”

คนหน้านิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นจนเกือบชิดกัน

“กูขอกอดมึงได้ไหมวะ” คำขอของพจน์คลายวงคิ้วอย่างได้ผล ไม่ทันเจ้าของร่างจะอนุญาตพจน์ก็วาดวงแขนโอบกอดเพื่อนสนิทที่ตนเคยชอบโดยไม่รู้ตัวมาตลอด นำคางมนเกยไหล่เปลือย ไอ้ปาล์มหลังจากหายตกตะลึงจึงค่อยๆกระชับวงแขนกอดตอบ

“มึงไม่สบายใจสินะ”

“อือ”

“มึงขอกอดกูแต่ละครั้งต้องมีเรื่องทำให้มึงไม่สบายใจสักอย่าง” คุณชายเปรมฯลูบแผ่นหลังสวมชุดนอนอย่างรู้ทัน พจน์ขยับแพขนตาหนาขึ้น ถอนร่างออกจากอ้อมแขนแกร่ง นี่จะยังคงเป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นสำหรับเขาตลอดไป

“ตอนนี้กูสบายใจแล้วว่ะ ขอบใจมากเพื่อน” ฉีกยิ้มอวดฟันขาว พร้อมดึงแก้มคนหน้าตึงให้ยิ้มเหมือนตนเอง สีหน้าแดงระเรื่ออย่างคนสุขภาพดีของคุณชายปาล์มยังคงอยู่แม้ใบหน้าจะนิ่งเฉยก็ตามที

พจน์ลองขยับร่างกายส่วนล่างปรากฏว่าบริเวณช่องทางเบื้องหลังไร้ความรู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด เสมือนร่างบนโลกนี้ของพจน์ไม่ได้ถูกเจ้ามาตะรุกล้ำเลยแม้แต่นิด ช่างเป็นความรู้สึกสับสนเหลือเกิน แท้จริงแล้วเขากับมาตะได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันหรือไม่

“กูขอไปเข้าห้องน้ำนะ” ไอ้ปาล์มลุกยืนพรวดพราด รีบหันหลังอวดหุ่นวีเชฟและก้นกลมแน่นให้พจน์รวดเร็ว เร่งกุมฝ่ามือทั้งสองไว้ส่วนหน้าปกปิดบางอย่าง
 
“มึงไม่ต้องคิดมากหรอก” มันหันหลังให้พจน์แทนที่จะหมุนตัวมาเผชิญหน้ากัน “กูจะอยู่ให้มึงกอดแบบนี้เสมอ”

จากนั้นพ่อหนุ่มเปลือยครึ่งท่อนก็เร่งรุดเปิดประตูออกไป พจน์มองแผ่นหลังแน่นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ใจหนึ่งอยากอธิบายความรู้สึกทั้งมวลให้มันได้รับรู้ แต่อีกใจก็ไม่อยากฉุดรั้งให้ไอ้ปาล์มต้องมาทนฟังคำพูดพร่ำเพ้อของคนที่มันไม่ได้รัก ลึกๆในเศษเสี้ยวหัวใจแล้วเขารู้ว่ามีคนชื่อปาล์มหลงเหลืออยู่ แม้เจ้ามาตะจะได้ครอบครองใจของตนไปแล้วทั้งดวง เมื่อนึกถึงคนผู้กล้ากระทำตอบสนองอารมณ์รัก อารมณ์ใคร่อย่างเจ้ามาตะ นั่นทำให้พจน์อดเป็นห่วงเจ้านั่นไม่ได้ จะเป็นร้ายดีประการใดเมื่อตื่นขี้นมาแล้วไม่พบเจอพจน์ ความรู้สึกจะเป็นเหมือนเช่นตนเองหรือเปล่า
 
อาวรณ์ คิดถึง อยากสัมผัส รัก ห่วงหา

พจน์หย่อนเท้าเปล่าลงพื้นกระดานเยียบเย็น ลุกเดินเข้าหาประตูเพื่อไปห้องน้ำ อยากล้างหน้าล้างตาเพื่อชะล้างความคนึงหาให้บรรเทาลง ทันทีเมื่อเปิดประตูออก กลุ่มหมอกสีขาวลอยฟุ้งพุ่งปะทะร่าง รู้สึกขนลุกทั่วตัว พื้นเรือนไทยเย็นชื้นด้วยละอองไอของหยดน้ำค้าง บรรยากาศมืดสลัว กลุ่มเมฆทึบปิดบังแสงรุ่งอรุณ
 
ปรากฏการณ์เมฆหมอกดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับแต่วันที่ศาสตราจารย์วิชัยประกาศแถลงการณ์น้ำท่วมโลก และสาเหตุความจริงทั้งหมด นี่คือสัญญาณเตือนถึงเหตุหายนะภัยจริงๆน่ะหรือ เพราะไม่เพียงก่อเกิดขึ้นในประเทศไทยเท่านั้น ขณะนี้ทั่วโลกกำลังเผชิญปรากฏการณ์แปลกประหลาดไม่ต่างกันทุกทวีป ซึ่งกำลังแผ่ขยายกระจายหมอกเมฆลุกลามเคลื่อนสู่นานาประเทศอย่างเชื่องช้า ข่าวเมื่อวานนี้ล่าสุดรายงานว่า แม้แต่ทะเลทรายซาฮาร่ายังไม่รอดพ้น และอีกในไม่ช้าโลกของเราคงตกอยู่ในกลุ่มหมอกปริศนาทั่วทุกพื้นที่
 
พจน์ลองสืบค้นข้อมูลพบว่า หมอก เกิดจากในบรรยากาศมีฝุนละอองมาก ไอน้ำในอากาศบางส่วนจะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำขนาดเล็กเกาะตามฝุ่นละอองเหล่านั้นจนเกิดเป็นหมอกปกคลุมทั่วไป โดยมากหมอกมักเกิดในช่วงกลางคืนฟ้าใส ความร้อนที่สะสมตลอดกลางวันจะแผ่จากผิวโลกสู่ท้องฟ้า อากาศชื้นใกล้ผิวดินจึงกลั่นตัวจับกับฝุ่นละอองในอากาศเกิดเป็นหมอกปกคลุมและยังอยู่จนรุ่งสาง เมื่อแสงแดดส่องทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น หมอกจึงสลายตัวหายไป

แม้แต่ทะเลทรายยังคงมีไอน้ำในอากาศจนก่อเกิดเป็นหมอกได้หละหรือ นี่คือปริศนาที่แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกก็ไม่สามารถอธิบายได้

เด็กหนุ่มเดินฝ่าอากาศเย็นชื้นปกคลุมเรือนไทยเทพวิมานผ่านแสงไฟจากหอมุขกลางสู่หมู่เรือนพักมากหลาย ห้องน้ำตั้งอยู่ท้ายสุดของชานเรือนด้านหลัง ความเงียบเชียบผสานเสียงนกร้องเป็นสัญญาณว่าทุกคนยังอยู่ให้ห้วงภวังค์หลับใหล

ห้องนอนของดาวและของคุณปู่ยังปิดสนิทแสงไฟเหนือชานเรือนหน้าห้องส่องสว่างเช่นเดียวกับห้องพักของคุณพ่อ เมื่อก้าวพ้นประตูฉากกั้นในส่วนนี้เป็นเรือนพักสำหรับแขกผู้มาเยือน และเจ้าพวกเพื่อนของพจน์ก็เคยได้มาใช้บริการอยู่หลายครั้งหลายหน ภายใต้ความมืดมิดผุดแสงไฟหน้าชานเรือนพักห้องหนึ่งส่องสว่างเป็นสัญญาณมีคนภายนอกเข้าพักและจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ชาญณรงค์ นั่นเอง
 
ระหว่างพจน์กำลังก้าวพ้นผ่านหน้าห้องพักผู้ติดตามของคุณปู่ บังเกิดเสียงปริศนาฉุดให้เด็กหนุ่มยืนตัวแข็งทื่อ เสียงกระซิบแม้เบาบางแต่ผสมเสียงครวญครางจึงได้ยินชัดเจน พจน์ก้าวถอยหลังกลับมายังหน้าชานเรือนใกล้ประตูห้อง ตัดสินใจอย่างลังเล ไม่รู้ว่าคนภายในห้องเกิดเหตุอันตรายอย่างหนึ่งอย่างใดหรือเปล่าจึงหักใจแนบหูชิดติดประตู ทันใดนั้นเสียงคร่ำครวญราวกับเจ็บปวดร้องดังครั้งหนึ่ง ณ วินาทีฉุกละหุกพจน์กำลังเงื้อง่ากำปั้นเพื่อเคาะประตู ก็บังเกิดเสียงกระซิบเรียกขานชื่อที่ทำให้พจน์ได้แต่ยืนนิ่งเหมือนต้องคำสาป

“อื้อ...คุณภพดนัย” เด็กหนุ่มจำได้แม่นว่านั่นคือเสียงของชาญณรงค์ไม่ผิดแน่

เสียงครางกระเส่าพร้อมเสียงเนื้อสัมผัสกันดังกระทบถนัดชัด ดั่งเหตุการณ์ซึ่งพจน์เพิ่งผ่านพ้นเผชิญมา ทำให้ภาพของเจ้ามาตะสอดประสานส่วนสำคัญกับร่างของตนผุดวาบขึ้นในความคิด เสียงสุขสมผสมเสียงร้องเรียกชื่อพ่อดนัยดังแผ่วเบา จนในที่สุดเสียงร่ำร้องรีบเร่งร้อนผ่อนจังหวะถี่กระชั้น ทำหัวใจของพจน์เต้นกระหน่ำอย่างตื่นตะลึง เป็นไปได้อย่างไรที่คุณพ่อของเขากับชาญณรงค์กำลัง....

“ผมไม่ไหวแล้วครับ คุณภพดนัย อ่า....” เสียงชาญณรงค์แผดกระซิบ

“ให้คุณเป็นของผม ของผมนะครับ...”
 
“โอ้ย ไม่ไหวแล้ว” เสียงหอบหายใจผสานคำร้อง

ถ้าเหตุการณ์ที่พจน์เผชิญเป็นสิ่งไม่ควรประสบพบเจอตั้งแต่แรกแล้ว เขาภาวนาว่าตนกำลังนอนหลับฝันอยู่ในห้องเสียยังดีกว่า ความรู้สึกประหนึ่งหน่วงและแน่นในอกหายใจไม่ออกเกาะกินจิตใจพจน์เหลือเกินรับไหว จะเป็นความจริงได้อย่างไร ตลอดเวลาพจน์ไม่เคยเห็นคนทั้งสองมีท่าทีปฏิสัมพันธ์เกินเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มกำมือแน่นผละจากหน้าเรือนพักอย่างเลื่อนลอย

สติอันแน่วแน่มีแต่ภาพร่างเปลือยกอดเกี่ยวกระหวัดของคุณพ่อกับชาญณรงค์ไม่ต่างกับที่ตนกระทำกับเจ้ามาตะ หัวสมองของพจน์ว่างเปล่าจนแม้แต่ความตั้งใจแรกเพื่อเข้าห้องน้ำก็ถูกบดบังจนยืนเคว้งคว้างอยู่เช่นนั้นนานหลายวินาที จวบจนกระทั่งมีเงาร่างหนึ่งเดินมาจากเรือนชั้นในกำลังก้าวข้ามประตูฉากกั้นสู่หมู่เรือนด้านหลังผุดขึ้นมาท่ามกลางหมอกสลัว

แสงไฟรางเลือนส่องต้องกระทบบุคคลที่พจน์ภาวนาไม่ให้อยู่ในห้องนั้นกับชาญณรงค์

“คุณพ่อ”
 
“อ้าว พจน์ออกมาทำอะไรแต่เช้ามืด” ภพดนัยร้องทักลูกชาย กระชับผ้าคลุมชุดนอนแน่นขึ้น
 
“อากาศหนาวแบบนี้จะไม่สบายเอานะ น่าจะใส่รองเท้ามาด้วย” ชายหนุ่มแสดงสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย

พจน์เหลียวมองประตูห้องของชาญณรงค์ที่ยังคงปิดแน่นสนิท

“คุณชาญณรงค์นอนพักที่เรือนเราใช่ไหมครับ”

“ใช่ มีอะไรหรือเปล่า หืม?” พจน์กลืนน้ำลายลงลำคอ
 
“พ่อว่าเราไปคุยกันที่อื่นเถอะ จะเป็นการรบกวนคุณชาญณรงค์เสียเปล่า” ใบหน้าสวยแต่ดูหล่อเหลาในบางมุมยิ้มกว้างให้ลูกชาย พยักเพยิดไปทางประตูห้องที่พจน์เพิ่งแอบได้ยินเสียงห้วงภวังค์ตัณหา

ความรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกเป็นเช่นนี้นี่เอง พจน์ถอนหายใจ แต่เขาก็ได้หลักฐานพิสูจน์ความจริงบางอย่าง ชาญณรงค์คงมีใจให้คุณพ่อของเขาอย่างแน่แท้


100% TBC... โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3251487#msg3251487)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๙ ภวังค์ตัณหา ๑๐๐% (๓/๑๒/๕๘) หน้า ๒ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: padloms ที่ 04-12-2015 00:55:13
รอตอนต่อไป  :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๐ จุมพิตสีเลือด ๕๐% (๘/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 08-12-2015 10:30:57
บทที่ ๑๐


จุมพิตสีเลือด



สายนทีหลั่งหลากแหวกพรากม่านละออกหมอกปกคลุมอณูผิวเย็นยะเยือก ท้องฟ้าปิดทึบคือทัศนียภาพยามอรุณรุ่งแห่งกรุงเทพมหานคร ภัทรพจน์จ้องมองแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านหมู่ต้นไทรริมตลิ่ง ปรากฏศาลาท่าน้ำทรงไทยหลังเก่า ตั้งอยู่หว่างกลางไพรพฤกษานานาพรรณ ชานเรือนด้านหลังเปียกชื้นด้วยหยดน้ำค้าง พี่ส้มกำลังใช้ผ้าแห้งเช็ดถูทำความสะอาดพื้นกระดานอยู่ ท่ามกลางเสียงฮำเพลงลูกทุ่งของหญิงรับใช้ นกประหลาดตัวหนึ่งโผบินจากหมู่แมกไม้ยืนต้นด้านทิศเหนือของเรือนไทย กางปีกสีส้มสยายขนรับลมพยุงกระพือร่างใหญ่ขนาดเท่าไก่ชนพร้อมเสียงร้องแหลมสูง ร่อนหายลับเข้าสู่ไม้ใบของแนวต้นไทรริมตลิ่ง พจน์เคยเห็นนกตัวนี้หลายครั้งหลายหนแต่ไม่สามารถสังเกตได้ชัดถนัดตา จนไม่อาจระบุสายพันธุ์ของมันได้
 
“ไปโรงเรียนได้แล้ว ไอ้พจน์ พ่อมึงให้มาตาม”

พจน์พยักหน้าให้ไอ้ปาล์มในชุดนักเรียนตัวเมื่อวานซึ่งฝากพี่ส้มซักรีดแล้วเรียบร้อย เด็กหนุ่มตาสวย กระชับเสื้อกันหนาวหนังสีน้ำตาล

“มึงยืมเสื้อกันหนาวกูก่อนก็ได้นะ” พจน์เดินตามไอ้คนมานอนค้างเมื่อสังเกตุเห็นอาการสั่นสะท้าน

“ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวก็คงอุ่นขึ้น” คุณชายปาล์มปฏิเสธหน้านิ่ง พจน์จึงวาดแขนโอบไหล่เพื่อนสนิท พร้อมรอยยิ้มกว้าง
 
“อยากให้กูกอดก็ไม่บอกดีๆนะ มึงอ่ะ” ปาล์มส่ายหน้าอมยิ้ม สองเด็กหนุ่มกอดกันกลมเหมือนแฝดสยามลงไปสมทบกับดาวและภพดนัย ณ โรงจอดรถ
 
หลังการรับประทานอาหารเช้ามื้อเย็นยะเยือก อาธนพลในชุดทำงานสีน้ำตาลก็รีบหุนหันไปทำงานทันที คุณปู่กับคุณชาญณรงค์แจ้งว่ามีเรื่องต้องสืบค้นจึงพากันคลุกตัวอยู่ห้องสมุดบริเวณปีกเรือนด้านขวา ทำให้การรับประทานอาหารเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว สีหน้าผิดหวังคือคำตอบของป้าแจ่มเมื่อมาพบภาชนะอาหารที่พร่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“ทำไมวันนี้คุณพ่อแต่งชุดดำครับ” พจน์ถามทันทีเมื่อนั่งลงเบาะหลังรถพร้อมไอ้ปาล์ม ดาราจับจองที่นั่งด้านหน้า ภพดนัยแต่งชุดแขนยาวสีดำกลัดกระดุมถึงเม็ดบน เนคไทดำ เช่นเดียวกับชุดสูท

“เพื่อนที่ทำงานพ่อเสียเมื่อคืนน่ะ จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่พบกล่องพัสดุในห้องเกิดเหตุ แพทย์ชันสูตรตรวจเจอสารพิษในหลอดลมและปอดส่งผลให้ร่างกายเป็นอัมพาต นำส่งโรงพยาบาลไม่ทันเลยเสียชีวิตทันที ตำรวจกำลังสืบหาต้นตอของกล่องว่างเปล่าข้างผู้ตายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่” ภพดนัยอธิบายสีหน้าเศร้าหมอง

“เค้าเป็นเพื่อนสนิทของพ่อเอง ถ้ากล่องพัสดุตรวจพบสารพิษปนเปื้อนจริง เขาก็ไม่น่าจะต้องมารับเคราะห์แทนพ่อเลย”

“หมายความว่ายังไงหรือคะ” ดาวตามเสียงตระหนกตกใจ

ภพดนัยลอบถอนหายใจหยิบแว่นกันแดดสีดำขึ้นสวมบดบังนัยน์ตาโศกเมื่อรถแล่นพ้นประตูรั้ว นักข่าวจำนวนมากเตรียมตั้งกล้องถ่ายพร้อมแสงแฟลชวูบวาบ ด้านนอกคงมีเสียงตะโกนถามดังสนั่น เบื้องหลังลุงชมจัดการปิดประตูได้ทันการณ์ รถยนต์แล่นฝ่ากองทัพนักข่าวได้อย่างอยากเย็น
 
“กล่องพัสดุนั่นจ่าหน้าชื่อถึงพ่อเอง ด้วยความหวังดีเพื่อนของพ่อคงแกะเปิดออกให้” พจน์รับรู้ถึงเสียงสั่นเครือได้ดี ไอ้ปาล์มขมวดคิ้วแน่นเช่นเดียวกับฝ่ามือซึ่งถือกระเป๋านักเรียน

“มีคนจะทำร้ายคุณพ่อหรือครับ” พจน์รู้สึกสับสน

“พ่อไม่เคยมีศัตรูหรือทำให้ใครเดือดเนื้อร้อนใจอย่างแน่นอน พ่อยืนยันในข้อนี้ได้” พจน์เห็นด้วยกับคำพูดของภพดนัย ด้วยลักษณะนิสัยนุ่มนวล สุภาพนอบน้อมของผู้เป็นบิดา จะมีแต่ผู้คนรักใคร่เสียมากกว่า

กลุ่มหมอกเริ่มสลัวรางเมื่อแสงแดดระริกไหวเริ่มฉายฉาน ทัศนวิสัยบนท้องถนนยังไม่เกินกว่าห้าเมตร
 
“มันอาจเกิดการผิดพลาดบางอย่าง ต้องรอตำรวจสืบสวนให้เสร็จสิ้น ลูกไม่ต้องเป็นกังวลนะ พจน์ ดาว” ชายหนุ่มลูบผมเปียของลูกสาวปลอบโยนลูกชาย “แต่ต้องไม่ประมาท”

“ครับ” พจน์กดฟันตอบ

“ค่ะ” เด็กสาวรับคำเสียงหนักแน่น

เรื่องราวนี้รบกวนความคิดของพจน์ไม่น้อย เขาสัมผัสถึงอันตรายบางอย่างกำลังคลืบคลานมาสู่ครอบครัวเทพวิมาน แต่ไม่สามารถระบุได้แน่ว่าเป็นความจริงหรือคือสิ่งนึกคิดไปเอง

“คุณพ่อรู้จักคุณชาญณรงค์มานานหรือยังครับ” พจน์เปลี่ยนเรื่องเมื่อรู้สึกถึงบรรยากาศตรึงเครียด

ภพดนัยเลิกคิ้วขึ้นสูง เหลียวหลังมองลูกชายชั่วครู่

“แปลกนะที่อยู่ๆลูกพูดถึงคุณชาญณรงค์ พ่อคิดว่าลูกจะไม่ชอบเขาเสียอีก” ภพดนัยหัวเราะเสียงเบา

“คุณชาญณรงค์ออกจะน่ารัก นิสัยก็ดี เก่งเรื่องวาดรูปด้วย ยังมาดูรูปวาดของดาวพร้อมคำติชมบ่อยๆเลย” ดาวส่งเสียงร่าเริงทันทีเมื่อพูดถึงคนคนนี้

“ผมไม่ได้ไม่ชอบคุณชาญณรงค์ครับ” พจน์ตอบสีหน้านิ่ง

“โอเคๆ พ่อเข้าใจ ถามว่ารู้จักคุณชาญณรงค์เมื่อไหร่ คงเป็นตอนที่คุณปู่ของลูกๆรับเขาเข้ามาเป็นผู้ช่วยนั่นแหละ ก่อนหน้านั่นพ่อไม่เคยเจอคุณชาญณรงค์มาก่อนเลย” นี่คือสิ่งค้างคาใจพจน์เมื่อตอนรุ่งสาง เหตุการณ์ที่เขาพบเจอเป็นสัญญาณบอกว่า ชาญณรงค์ ชายหนุ่มผู้ช่วยของคุณปู่ มีท่าทีชอบพอบิดาของตนอย่างไม่อาจปฏิเสธได้

“แล้วคุณชาญณรงค์เคยพูดคุยแบบ...เอ่อ...แบบสนิทสนมกับคุณพ่อบ้างหรือเปล่าครับ” พจน์กลั้นหายใจถาม

“แบบสนิทสนมนี่หมายความว่ายังไง พจน์” ภพดนัยถามกลับ แววตาหลังแว่นดำสะท้อนกระจกมองหลังทำให้พจน์ไม่สามารถเห็นความจริงที่อยู่ในนั้นได้

“เปล่าครับ งั้นก็...ไม่มีอะไรแล้วครับ ผมแค่เกิดนึกสงสัยเฉยๆ”

“คราวหน้าถ้าสงสัยอะไร ถามคุณชาญณรงค์ได้เลย อย่างน้อยเขาก็เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเรานะ พจน์” ภพดนัยไม่ได้ติดใจซักถามอีก พร้อมชี้แนะให้ลูกชายลองมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ช่วยของศาสตราจารย์วิชัยในคราวเดียวกัน

แฟชั่นเสื้อกันหนาวหลากสีราวลูกกวาดเคลื่อนที่ได้เป็นสิ่งแรกพบทันทีเมื่อพจน์ก้าวเข้าขอบรั้วโรงเรียน เขาอดสงสารไอ้ปาล์มไม่ได้ที่ต้องทนหนาวเพราะอาการปากแข็งสุภาพบุรุษของมัน จึงโอบไหล่เพื่อนรักตั้งแต่ประตูโรงเรียนจนถึงห้อง

“พี่ปาล์มมาค้างคืนกับพี่พจน์บ่อยๆนะคะ” ดาราฉีกยิ้มให้เพื่อนพี่ชาย
 
“เอ ทำไมหรือครับ” ไอ้เปรมณัฐถามกลับโคตรสุภาพ พจน์เองก็สงสัยเช่นกัน

“ดาวชอบให้พี่ปาล์มอยู่ใกล้ๆพี่พจน์ค่ะ มันดู...” ใบหน้าของเด็กสาวปรากฏเฉดสีชมพู “เพื่อนดาวก็ชอบพี่ปาล์มกับพี่พจน์ด้วยค่ะ แต่ไม่ใช่ชอบแบบนั้นนะคะ ชอบให้อยู่ด้วยกันน่ะค่ะ อย่าลืมมานอนค้างบ่อยๆนะคะ”

คุณชายปาล์มเหล่ตาขอความเห็นพจน์ซึ่งเขาพยักหน้าตกลง

“ได้สิครับ”

เพียงได้ยินคำตอบรับดาราก็รีบวิ่งเข้าสมทบกับกลุ่มนักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ แล้วหลุดกรี๊ดรีบตะปบมือปิดปากเหมือนเพิ่งรู้ตัว แต่ละคนลอบมองเด็กหนุ่มรุ่นพี่ก่อนจะหัวเราะคิกคักจากไป

“มึงว่ามีอะไรแปลกๆเปล่าว่ะ” ไอ้ปาล์มสงสัยในพฤติกรรมน้องสาวของพจน์

“ไม่รู้ว่ะ เข้าห้องเถอะ” พจน์ดึงไหล่คนตัวหนาตามเข้าห้องเรียน

โต๊ะเรียนว่างเปล่าของไอ้กันเป็นสิ่งชินตาสำหรับทุกคนในห้อง มันหายไปไหน ไปทำอะไร และที่สำคัญเจ็บป่วยหรือเป็นตายร้ายดีอย่างใดหรือเปล่า ไม่มีใครตอบได้ นั่นทำให้พจน์ต้องยอมรับว่าอดห่วงเจ้านั่นไม่ได้จริงๆ
 
“มึงได้เอากระดาษแปลโคลงสี่สุภาพมาหรือเปล่า เมื่อคืนกูจะดูให้แต่มึงอยากนอนเสียก่อน” ไอ้ปาล์มหันหน้ามาถาม
 
“เอามา” พจน์หยิบกระดาษแปลให้คนร้องขอ เหลือเวลาอีกเพียงสองวัน หวังว่าไอ้กันคงไม่ลืมในสิ่งที่มันท้าทายพจน์และกลับมารอคำตอบ ใจหนึ่งพจน์อยากเห็นมันอีกครั้งว่ายังสบายดีอยู่หรือไม่

“มึงถอยออกไปเลย ไอ้ปาล์ม” ไอ้เตี้ยน้ำเดินมาแทรกกลางเด็กหนุ่มทั้งสองจับแยกคนทั้งคู่ออกห่าง “หมดหน้าที่ของมึงแล้ว วันนี้เป็นเวรกูเฝ้าดูแลไอ้พจน์เอง ไป ไปไหนก็ไป”

คุณชายเปรมณัฐยิ้มขำมุมปาก ส่ายหน้าน้อยๆแล้วนั่งลงเก้าอี้ของตัวเอง เสียงกลุ่มเพื่อนของพจน์อีกเจ็ดคนร้องต้อนรับ ส่วนหนึ่งกำลังลอกการบ้าน ซึ่งไม่พ้น ไอ้กีลูกครึ่งอังกฤษ ไอ้ต่อหน้ายาว ทรงผมสกินเฮด ไอ้โบทหน้าตี๋ และไอ้เอกผิวสีแทน ส่วนที่เหลือกำลังเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถือแข่งกันอยู่

“ไอ้ปาล์มดูแลมึงดีเปล่าวะ” ไอ้น้ำกระซิบถามไม่ให้เจ้าตัวได้ยิน พจน์นั่งเก้าอี้ส่วนตัวพยักหน้า เหล่ตามองคนถูกพาดพิงซึ่งกำลังคร่ำเคร่งกับการถอดความโคลงสี่สุภาพตรงหน้า น้องน้ำจัดการย้ายไอ้โบทให้ไปนั่งที่เดิมของมันแล้วปีนตัวเองมานั่งคู่กับพจน์แทน ไอ้เตี้ยน้ำเถียงคอเป็นเอ็นว่าเพื่อจะได้ดูแลพจน์ให้ทั่วถึง ส่วนไอ้โบทโวยวายพอเป็นพิธีก่อนรีบลอกการบ้านวิชาสังคมต่อ
 
“มึงอย่าลืมเอากระดาษแปลโคลงของไอ้กันมาให้กูดูด้วยนะโว้ย กูกลัวว่ามึงต้องไปแฟนมันว่ะ” น้องน้ำทำหน้าปุเลี่ยนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
 
“เออ ครูประจำชมรมคนเจ้าบทเจ้ากลอนฝากกูมาบอกให้มึงไปหาด้วยเย็นนี้ เห็นบอกว่ามีเรื่องให้ช่วยอะไรไม่รู้ไม่ยอมบอกกู” มันทำตาโตปากยืนปากยาวแสดงอาการงอน ไอ้น้ำเป็นคนดูออกง่ายว่ามันรู้สึกอะไร เพราะทุกอย่างล้วนแสดงออกทางสีหน้าและการกระทำทุกอย่าง

“น้องน้ำหยุดพูดเหอะ พวกกูต้องใช้สมาธิแข่งเกมส์กันโว้ย” ไอ้เพรียวคางแหลมดักคอ ไอ้นายกับไอ้รักหัวเราะตบท้าย นั่นทำให้น้องน้ำหน้าคว่ำทันที ชี้หน้าพวกมันเรียงตัวเหมือนคาดโทษ พอดีกับเสียงสัญญาณเข้าแถวเคารพธงชาติดังขึ้น ทุกคนจึงรีบลงไปที่สนามหน้าตึกเรียน

เมื่อคาบเรียนวิชาแรกจบลง หัวหน้าห้องจึงประกาศว่าคาบวิชาภาษาไทย คุณครูติดธุระด่วนให้ทำสรุปเนื้อหาหนังสือที่ยืมจากห้องสมุดและพร้อมส่งในวันพรุ่งนี้ เสียงโอดครวญดังตามติด กลุ่มของพจน์ลุกขึ้นยืนตกลงว่าจะไปนั่งม้าหินอ่อนข้างตึกเรียนใต้ต้นมะฮอกกานี โชคดีสำหรับพจน์เพราะได้นำหนังสือ อัญมณี ประวัติความเป็นมาและมูลค่าทางเศรษฐกิจ ติดกระเป๋ามาด้วย
 
กลุ่มของพจน์ไม่ใช่นักเรียนกลุ่มเดียวที่จับจองพื้นที่สวนป่าข้างตึกเรียน แต่ยังมีกลุ่มนักเรียนหญิงชั้นมัธยมต้นในชุดพละสีเทานั่งอยู่ก่อนแล้ว

พจน์สรุปเนื้อหาได้เกือบครึ่งของเล่มแล้ว ส่วนไอ้โบทแทบไม่ได้แตะหนังสือแม้แต่น้อยนั่นทำให้ไอ้พวกเข้าข่ายกำลังโดนไฟรนก้นรีบก้มหน้าเขียนสรุปความโดยแทบไม่ปริปากพูดคุยกัน ไอ้ปาล์มยื่นกระดาษแปลโคลงสี่สุภาพคืนพร้อมร่องรอยดินสอขีดเขียนเพิ่มเติม พจน์กวาดสายตาดูและพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่มันแก้ไข ไอ้น้ำนั่งอยู่ข้างซ้ายของพจน์ประกบติดราวกับกลัวพจน์หายตัวหรือโดนทำร้ายอย่างปัจจุบันทันด่วน

“ขอโทษค่ะ” เสียงเด็กสาวดังขัดจังหวะกิจกรรมคร่ำเคร่ง ทุกคนในกลุ่มต่างเงยหน้ามองเด็กสาวผู้สวมใส่ชุดพละเป็นตาเดียวกัน ใบหน้ากระจ่างใส รวมกับดวงตากลมโตไม่แพ้น้องน้ำทำให้ไอ้พวกเพื่อนของพจน์จ้องกันตาเยิ้ม
 
“ว่าไงครับ คนสวย” ไอ้กีรีบรับสมอ้างทันควัน
 
“ไม่ใช่พี่ค่ะ เพื่อนหนูฝากของขวัญมาให้พี่พจน์น่ะคะ” เด็กสาวมีท่าทีเขินอายเมื่อโดนสายตาเด็กหนุ่มทั้งสิบจ้องมอง คนอื่นส่งเสียงโอดโอยเมื่อบุคคลที่สาวเจ้ามาหาคือพจน์

“มึงอีกละ ไอ้พจน์ พี่ถามจริง ไอ้นี่มันมีอะไรดีหรือครับน้อง มีแต่สาวตามจีบมัน พวกพี่ๆหลายคนก็ยังโสดเหมือนกันนะครับ” ไอ้โบทกล่าวตัดพ้อยืดยาวตามประสาคนช่างคุย

เด็กสาวหัวเราะกลบเกลื่อน พลางยืนกล่องของขวัญขนาดเล็กห่อกระดาษสีชมพูพร้อมกระดาษข้อความสีครีม กลุ่มนักเรียนหญิงชุดพละซึ่งคาดว่าเป็นเพื่อนลุกขึ้นยืนเหมือนลุ้นรางวัล

พจน์ไม่อยากปฏิเสธให้ขายหน้าไอ้พวกนี้เลยพยายามยิ้มตอบ กำลังจะยื่นมือเข้าหาก็ถูกไอ้เตี้ยน้ำคว้ากล่องมาถือโดยเร็ว

“เพื่อนพี่ฝากขอบใจด้วยนะ” ไอ้น้ำพูดรัวเร็ว

“อ่อ ค่ะๆ” เด็กสาวล่าถอยกลับอย่างงุนงง กลุ่มของพวกเธอเดินจากไปทางสนามกีฬา จำได้แล้วว่าเป็นกลุ่มเดียวกับที่เคยให้กล่องของขวัญพจน์ในตอนเย็นที่มีพายุฝนตกหนัก และพจน์ลืมทิ้งไว้บนโต๊ะโรงอาหาร กลับมาหาวันรุ่งขึ้นก็ไม่เจอเสียแล้ว

“มึงนี่นะ ตัดบทไอ้พจน์ตลอด” ไอ้ต่อว่าให้น้องน้ำ แต่รอยยิ้มสะใจนั้นมอบมาให้พจน์

“กูเห็นมันลีลาอยู่นั่น อีกอย่างมันเป็นหน้าที่กูเว้ย วันนี้กูเป็นเวรดูแลไอ้พจน์ ก็ต้องดูแลอำนวยความสะดวกให้มันทุกอย่าง” ไอ้น้ำหยิบการ์ดขึ้นมาอ่าน
 
“แต่งเป็นโคลงสี่สุภาพด้วยว่ะ ฟังนะ” ทุกคนดูตื่นเต้นไม่ต่างจากไอ้น้ำพากันตั้งใจฟัง

         “มวลบุปผากิ่งก้าน     ดอกใบ ชื่นเอย
      รินหลั่งเลือดโลมไหล      หล่อค้ำ
      ผุดดอกเพลิงต้นไฟ        เกิดก่อ ฤาดับ
      โค่นไพร่ศัตรูซ้ำ             ต่อสู้ ขัดขืน”

   
“เพราะนะ แต่แปลกๆว่ะ” ไอ้ปาล์มออกความเห็นหน้านิ่ง

“นี่มันโคลงบอกรักหรือโคลงช้ำรักกันแน่เนี่ย กูบริการแกะให้มึงดูดีกว่า ข้างในจะเป็นอะไรวะ”

สีหน้าตื่นเต้นของคนลงมืออาสาทำให้พจน์ไม่อยากขัดขวางความสุขของเพื่อน อยากรู้เหมือนกันว่าของในกล่องคือสิ่งใด ฝ่ามือเรียวรีบแกะกระดาษห่อแล้วค่อยๆเปิดฝากล่องทันที ภายในกล่องของขวัญปรากฏดอกลีลาวดีสีขาวดอกหนึ่ง สดสวยงดงาม น่าดอมดม เสียงถอนหายใจดังระงม นึกว่าของขวัญจะเซอร์ไพรส์มากกกว่านี้ ล่าถอยกลับนั่งทำงานของตนเองต่อทันที ทุกคนรู้ว่าพจน์ชอบดอกลีลาวดี

“อะไรวะแมร่ง ไม่ลงทุนเลย เด็ดมาจากไหนละเนี่ย”

ทันทีเมื่อไอ้น้ำหยิบสัมผัสดอกลีลาวดี ร่างของเด็กหนุ่มตาโตก็สั่นสะท้าน ไอ้น้ำอ้าปากร้องไม่มีเสียงพจน์รับรู้อาการผิดปกตินี้ทันควัน ฉับพลันกลีบดอกสีขาวของลีลาวดีจึงแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานทั่วทุกกลีบดอก สร้างความพิศวงแก่ทุกสายตาอย่างยิ่ง เสียงแผดร้องของนกบนต้นมะฮอกกานีเสริมส่งความสับสนอลม่าน

“ไอ้น้ำ มึงเป็นอะไรเปล่าวะ” พจน์เขย่าตัวร่างเล็ก ทุกคนลุกฮือด้วยสีหน้าซีดเผือด รุ่นน้องร่วมโรงเรียนบริเวณใกล้เคียงต่างชะเง้อมองร่างคนตัวเล็ก

แรงปัดจากฝ่ามือคนคนหนึ่งทำให้ดอกลีลาวดีนั่นร่วงหล่นบนพื้นโต๊ะหินอ่อน
 
“มึงรีบพามันไปห้องพยาบาลเดี๋ยวนี้”

เสียงทุ้มต่ำที่พจน์จำได้ดีแม้ไม่ต้องหันมองคือไอ้กันในชุดนักเรียนยืนอยู่ด้านหลังพจน์ด้วยสีหน้าถมึงทึง ไอ้กีรีบช้อนแขนอุ้มไอ้น้ำซึ่งหมดสติเสียแล้วไว้ในอ้อมแขน วิ่งรวดเร็วสู่ห้องพยาบาลที่อยู่ในตึกเรียนชั้นแรก ไอ้ต่อ ไอ้โบท เขย่าแขนไอ้น้ำให้คืนสติ ส่วนไอ้เอก ไอ้รัก ไอ้เพรียววิ่งรุดหน้าไปแจ้งครูประจำชั้น
 
พจน์มองตามหลังหมู่เพื่อนรักด้วยสติอันเลื่อนลอย มือสั่นสะท้านยากเกินควบคุม รับรู้น้ำตาเอ่อคลออยู่ทั้งสองข้าง
 
“กูเตือนแล้วว่าจะมีคนทำร้ายมึง” ไอ้กันพูดเสียงเข้ม พจน์เพิ่งสังเกตุเห็นรอยฟกช้ำทั่วใบหน้าของมันโดยเฉพาะตรงมุมปาก และพลาสเตอร์ปิดแผลเหนือคิ้วขวา ดวงตาดุเขม้นมองพจน์ การ์ดสีครีมจดจารโคลงสี่สุภาพถูกไฟปริศนาลุกท่วมมอดไหม้ ฉับพลันดอกลีลาวดีสีเลือดบนโต๊ะจึงเปลี่ยนเป็นดำทมิฬและสลายกลายเป็นผุยผงโดยเร็ว ดอกไม้ประหลาดนี่คือเรื่องตลกอะไรกัน

ลีลาวดีเพลิง” ไอ้กันตอบคำถามพจน์ “หรือรู้จักกันในอีกนามว่าจุมพิตสีเลือด


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3254377#msg3254377)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๐ จุมพิตสีเลือด ๕๐% (๘/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: wwss2220 ที่ 08-12-2015 13:07:49
 :m31:มาต่อร็วๆนะค่ะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๐ จุมพิตสีเลือด ๕๐% (๘/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 08-12-2015 14:46:03
ภัยเริ่มมาแล้ววว หนูพจน์จะทำยังไงเนี่ย
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๐ จุมพิตสีเลือด ๕๐% (๘/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 08-12-2015 16:41:46
ซับซ้อนเหลือเกิน   :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๐ จุมพิตสีเลือด ๕๐% (๘/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 08-12-2015 20:54:40
ตื่นเต้นน่าติดตามขึ้นเรื่อยๆเลย
ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๐ จุมพิตสีเลือด ๕๐% (๘/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: pnn ที่ 09-12-2015 08:57:01
 :serius2: น้องน้ำของพี่ จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้างหนอ มาต่อเร็วๆนะคะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๐ จุมพิตสีเลือด ๑๐๐% (๑๑/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 11-12-2015 09:28:12
[ต่อ]


ห้องพยาบาลดูคับแคบถนัดตาเมื่อมีเด็กหนุ่มร่างโตสิบกว่าคนแออัดอยู่ในห้อง หลังจากครูผู้ดูแลจัดการปฐมพยาบาลเบื้องตน ตรวจสอบชีพจรและความดันเรียบร้อย อาการหมดสติของชลนธีไม่รุนแรงมากนัก เพราะฟื้นสติกลับคืนได้รวดเร็ว แต่น้ำเสียงและสภาพอ่อนเพลียทำให้คนตัวเล็กต้องฟุบหลับไปอีกในนาทีต่อมา ไอ้กีนั่งกุมขมับอยู่ข้างเตียงเช่นเดียวกับไอ้โบท ไอ้ต่อ และไอ้นาย สีหน้าเครียดของพวกมันทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปพูดคุย

ส่วนสามคนที่ไปตามครูประจำชั้นก็ตามเข้ามาในอีกสิบนาทีให้หลัง คุณครูสอบถามอาการจากครูห้องพยาบาลเมื่อพบว่าไม่มีอาการรุนแรงจึงเบาใจ เมื่อสอบถามสาเหตุก็ไม่มีใครบอกได้ชัดเจน
 
คำถามคือสิ่งที่ไอ้กันพูดเป็นเรื่องจริงหรือคำลวง แต่ดอกลีลาวดีสีขาวบริสุทธิ์แปรเปลี่ยนเป็นแดงฉานนั้นทุกคนต่างเห็นเป็นตาเดียวกัน ไม่ผิดเพี้ยนแน่ อีกทั้งดอกไม้ปริศนานั่นยังสูญสลายต่อหน้าต่อตาพจน์พร้อมเพลิงไฟลุกไหม้โคลงสี่สุภาพ ความชั่วร้ายใดหรือที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้

“มันโชคดีที่มีคนช่วยไว้ได้ทัน” ไอ้กันมองร่างบอบบางของไอ้น้ำ ชลนธีพร้อมพูดเสียงเครียด ครูประจำชั้นกับครูพยาบาลเข้าไปคุยกันในห้องส่วนตัว

พจน์สะดุ้งเล็กน้อย เหตุการณ์เฉียดตายเมื่อครู่ดึงสติอันมั่นคงให้สั่นสะเทือนไม่เหมือนเดิม ปาล์มยืนกอดอกพิงขอบตู้ยาด้วยสีหน้าเครียดกว่าปกติ จ้องมองเด็กใหม่ไม่วางตา

“มึงไม่จำเป็นต้องชมตัวเองก็ได้นะ” พจน์ส่ายหน้า

“กูหมายถึง...ช่างเถอะ แล้วมึงจะยืนรอแบบนี้อ่ะน่ะ”

“ไอ้น้ำคือเพื่อนกู ถ้ามึงมีธุระอื่นก็ไปเถอะ กูจะอยู่เฝ้า เผื่อมัน...” พจน์กลืนน้ำลายลงคอ และนั่นทำให้หยดน้ำตาทะลักล้นขอบลงอาบแก้มทันที

“ไอ้พจน์ที่กูรู้จักเป็นคนกล้า ไม่ยอมเสียน้ำตาง่ายๆนี่หว่า”

นิธิขยับร่างสูงพร้อมจะใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตา เสียงไอของไอ้ปาล์มทำให้พจน์หลบมือหวังดีนั้นและเช็ดเองรวดเร็ว จ้องมองร่างเล็กบนเตียงนอนด้วยสายตาพร่า ไอ้น้ำไม่ควรต้องมารับเคราะห์แทนพจน์เลย ถ้าดอกไม้พิฆาตนั่นไม่ใช่สิ่งลวงตาและอำนาจมันร้ายกาจตามชื่อเรียก คนคนนั้นที่สมควรโดนคือพจน์ต่างหาก

“มึงอย่าโทษตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่าของขวัญนั่นจะกลายเป็นแบบนี้หรอก” ปาล์มตบไหล่พจน์

“กูฝากมึงดูพวกมันก่อนนะ เดี๋ยวมา” พจน์สั่งการแล้วผละจากโดยเร็ว เสียงฝีเท้าตามติดการเคลื่อนไหว เขาหวังให้เป็นไอ้กัน มีเรื่องราวมากมายที่ต้องการคำตอบจากมัน รู้สึกเบาใจบ้างเล็กน้อยเมื่อผู้เคราะห์ร้ายอาการไม่รุนแรงเกินกว่าที่คิด

ภัทรพจน์เลี้ยวเข้าห้องสมุด ตรงไปยังด้านในสุดของชั้นหนังสือหมวดวรรณกรรม ทำท่าทีเหมือนกำลังหาหนังสือเพื่อค้นคว้าทำรายงาน

“มึงมีคำถามอะไรก็ถามมา” นิธิกอดอกพิงบานหน้าต่างห้องสมุดเพ่งมองพจน์ไม่วางตา เหลียวมองคนถามแล้วกลับมาจ้องสันหนังสือด้วยสายตาแน่วแน่

“มึงเป็นใครกันแน่”

“ข้อนี้กูขอปฏิเสธ” พจน์รู้สึกผิดหวังในคำตอบของไอ้คนตัวสูง

“หน้ามึงไปโดนอะไรมาวะ” เด็กหนุ่มใช้สายตาจ้องจมูกงองุ้ม มีรอยแผลช้ำแดงตรงปลายโค้ง

“มีเรื่องนิดหน่อย ไม่ต้องเป็นห่วงกูหรอก อีกสักพักก็กลับมาหล่อเหมือนเดิม” มันยิ้มอวดฟันแสดงความพึงพอใจ

“เรื่องของมึงดิ กูแค่สงสัยว่ามึงหายไปไหนมาตั้งหลายวัน” ไอ้กันหัวเราะเสียงห้าวและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

“พอได้ละ แล้วมึงรู้ได้ยังไงว่านั่นเป็นดอกลีลาวดีเพลิงหรือจุมพิตสีเลือด”

ความเงียบของห้องสมุดแทรกกลางระหว่างคนทั้งสองชั่วขณะ พจน์เกือบคิดว่ามันคงปฏิเสธอีกจึงคิดตั้งคำถามต่อก็พอดีเสียงทุ้มต่ำเอ่ยอ้างคำตอบออกมา

“มันเป็นอาวุธทำลายล้างชนิดพิฆาตที่ทรงพลังยิ่ง” พจน์สบตาแหลมคมของไอ้เด็กใหม่ “กูมีเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง ถ้ามึงยินดี”

เหตุการณ์เหนือธรรมชาติครั้งนี้เกินกว่าขอบเขตความรอบรู้ของพจน์จะนำมาใช้อธิบายได้ อีกทั้งไม่อาจสืบค้นหาจากตำราเล่มใดนอกจากผู้รู้เท่านั้น สิ่งที่ไอ้กันเล่าจะน่าเชื่อถือหรือไม่ตนจะตัดสินเองในท้ายที่สุดจึงพยักตอบรับ

“เมื่อเนิ่นนานมาแล้วมีอาณาจักรโบราณนามว่า อนันตาทมิฬ ปกครองพื้นดินแถบเทือกเขานามเดียวกับอาณาจักร เผ่าพันธุ์ผู้มีอำนาจปกครองนั้นคือ คนธรรพ์ ผู้มีอิทธิฤทธิ์บางอย่างเหนือมนุษย์ เชี่ยวชาญทักษะขับร้องและเล่นดนตรีเป็นเอก เช่นเดียวกับนิสัยเจ้าชู้อันลื่อชื่อ เนื่องเพราะเป็นดินแดนประทานของพระผู้สร้างสำหรับเผ่าพันธุ์ผู้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นบุรุษเพศ การสืบเสาะหญิงผู้ให้กำเนิดรัชทายาทจำต้องเกิดขึ้นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

แม้นจะขึ้นชื่อในเรื่องเสพสังวาสในเพศเดียวกันแต่นั่นหาได้นำมาซึ่งหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ จำต้องมีพระราชพิธีแต่งตั้งสตรีดำรงตำแหน่งพระอัครมเหสีผู้ให้กำเนิดผู้สืบสันตติวงศ์
 
ลุปีรัชสมัยพระเจ้าอนันตราช กษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรองค์ที่ ๙ ของราชวงศ์คนธรรพ์ พระองค์เป็นราชันย์หนุ่มรูปงาม พระชันษาเพียงยี่สิบสอง ขึ้นครองบัลลังก์หลังจากพระราชบิดาเสด็จสวรรคตด้วยพระโรคอย่างปัจจุบันทันด่วน เหตุเพราะเป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่และถูกแต่งตั้งในฐานะพระมหาอุปราช เหล่าเสนาบดีจึงน้อมเกล้าอันเชิญพระมหาพิชัยมงกุฎถวายแด่พระองค์ สถาปนาดำรงขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อมา

นับแต่ครั้งยังดำรงพระยศพระมหาอุปราชนั้นได้กระทำการยกทัพไปตีอาณาจักรแว่นแคว้นใกล้ขอบขัณฑสีมามาถวายพระราชบิดาเป็นอเนกอนันต์จนพระราชอำนาจแผ่ไกลไพศาล เมืองประเทศราชนอบน้อมอยู่ใต้เศวตฉัตรอนันตาทมิฬโดยพร้อมเพียงกัน อาณาเขตของพระราชอาณาจักรกว้างขวางที่สุดนับแต่ก่อตั้งมหาราชวงศ์
 
มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ได้เสด็จยาตราทัพตีนครชายแดนอันไกลโพ้น เหตุเพราะเจ้าเมืองประเทศราชนั้นคิดขบถแข็งเมืองตีใจออกห่าง จึ่งกรีธาทัพพยุหเสนาเรือนแสนกวาดต้อนช้างม้าพาหนะศึกหมายสยบยอมศิโรราบ ทำการรบทัพจับศึกอยู่เจ็ดทิวาราตรี หามีผลสำเร็จดั่งใจปรารถนาไม่ แม้นเป็นเมืองประเทศราชขนาดเล็กแต่ขุนทหารแกร่งกล้าฝีมือดีมิใช่น้อย นั่นทำให้ต่างฝ่ายเสียไพร่พลคณานับ เหล่าเสนาบดีทูลเสนอแนะให้กระทำอัศวายุทธ์เพื่อมิให้เสียไพร่พลโดยเปล่าดาย พระมหาอุปราชาเห็นตามด้วย จึงเชิญพระราชสาส์นคำเชิญ หลังจากนั้นสามราตรี ราชทูตพร้อมราชสาส์นตอบกลับจึ่งคืนมาพร้อมคำยินยอม
 
วันพรุ่งอากาศแจ่มกระจ่าง ท้องทุ่งหน้ากำแพงเมืองถูกจัดให้เป็นลานประลองยุทธ์ หมู่ทหารนายกองทั้งสองฝ่ายยืนประจันอยู่คนละด้าน พระมหาอุปราชทรงอาชาสีดำทมิฬเช่นเดียวกับอาภรณ์นุ่งห่ม ถือทวนด้ามทองดูสง่าสมเลือดขัตติยราช ฝ่ายผู้ถูกท้าทรงม้าขาวพิสุทธิ์พร้อมด้วยเครื่องนุ่งห่มขาวกระจ่างตาดุจกัน ปิดหน้าด้วยผ้าขาวตั้งแต่นาสิกจนถึงโอษฐ์ อาวุธประจำกายเป็นทวนสีเงิน วงล้อมของลานสัประยุทธ์ถูกตีเส้นไว้เป็นขอบเขตกำหนด
 
เมื่อสัญญาณเภรีดังขึ้น สองขัตติยะจึงควบม้าพุ่งเข้าหา ต่างแลกทวนเข้าสอดส่าย อาวุธปะทะแลกเลือดกันแลกัน แต่หามีผู้ใดจะเป็นผู้กำชัยชำนะได้เด็ดขาด จนกระทั่งตะวันตรงเหนือเกล้า ม้าทรงของพระมหาอุปราชเหนื่อยล้าสุดทานทนจึงเป็นจังหวะให้บุรุษชุดขาวจ้วงแทงทวนหมายให้อีกฝ่ายได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้ แต่ด้วยจิตใจเมตตากรุณามีมากล้นในกายจึ่งผ่อนแรงทวนตวัดเฉียดเพียงเกราะนอก แต่ก็ทำให้จังหวะหลบหลีกของพระมหาอุปราชเสียการ ม้าทรงล้มลงทันควัน พระมหาอุปราชผู้พิชิตดินแดนทั่วทศทิศสัมผัสรู้ความพ่ายแพ้เป็นคราแรก แม้วินาทีกระแทกพื้นก็หาได้อาลัยในชัยชนะไม่ ในดวงจิตมีแต่ความปิติยินดี และน้อมรับความพ่ายแพ้โดยดุษณี

แต่หารู้ไม่ว่าขัตติยะหนุ่มชุดขาวคู่ประลองมิได้ประสงค์ถึงต้องล้มเจ็บถึงเพียงนั้นเร่งลงจากหลังอาชา วางทวนคู่กายแล้วตรงเข้าหาพระมหาอุปราชหมายจะพยาบาลรักษาอาการเบื้องต้นมิให้เจ็บหนัก พยุงร่างชุดดำออกจากลำตัวม้า ปลดผ้าคลุมหน้าออกใช้เป็นเครื่องปฐมพยาบาลข้อแขนซึ่งเห็นได้ชัดว่าหักเคลื่อนโดยพลัน วินาทีสบตาของพระมหาอุปราชและบุรุษหนุ่มผู้ชนะประลองนั้น พระองค์ก็มิอาจถอดทอนสายตาเพื่อละไปจากใบหน้าเกลี้ยงเกลาแลมีน้ำจิตน้ำใจนั้นได้แม้ชั่วยามเดียว ความรักจุติเบื้องความรู้สึกล้ำลึกของพระองค์ ถึงแม้นเหล่าเสนาบดีต่างเร่งนำทหารช่วยพยุงร่างตนกลับคืนค่าย พระองค์ก็ยังหาได้หมดสิ้นความคิดถึงคนึงหานั้น อีกฝ่ายถึงแม้เป็นชายชาตรีเช่นเดียวกัน แต่ประเพณีดั้งเดิมของพระราชวงศ์ยินยอมยกย่องบุรุษเพศร่วมเรียงเคียงหมอนมิต่างสตรี

หลังจากหายเจ็บทุเลาจากการประลองยุทธ์ พระมหาอุปราชหนุ่มรูปงาม ออกพระราชโองการถอนไพร่พลบางส่วนกลับคืนมหาราชธานีตามคำสัตย์ แล้วเสด็จเข้าเฝ้าเจ้าผู้ครองอาณาจักรแห่งนี้ด้วยสีหน้าปิติ น้อมถวายเครื่องบรรณาการตามขัตติยราชประเพณีของเมืองเอก กษัตริย์ผู้ครองเมืองรู้สถานะตนดีจึ่งรีบลุกพยุงให้พระมหาอุปราชประทับในที่สูง ณ ท้องพระโรงอันประกอบด้วยเหล่าเสนาบดีอำมาตย์ทั้งสองฝ่ายต่างพากันมาชุมนุมฟังคำของพระมหาอุปราชา

“ข้านี้แพ้การอัศวายุทธ์จักขอถอนกำลังศึกตามสัตย์สาบาน พวกเจ้าอย่าลนลานเกรงภัยอันใดอีก แต่นี้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งสองจะสงบสุขนับยืนนาน”

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้ว พระเจ้าค่ะ” เสนาบดีน้อยใหญ่ต่างแซ่ซ้องสรรเสริญ

“แต่วันคืนไม่แน่แท้เฉกเช่นวายุนภากาศ หากพระราชบิดาข้าหมายใจจะกระทำมหาศึกยึดอาณาจักรของพวกท่านคืนวันใดวันหนึ่งนั้นย่อมอาจเกิดขึ้นได้ ข้าเสนอข้อแลกเปลี่ยนที่จะทำให้ฐานะของสองนครผนึกแน่นเป็นปึกแผ่น คือโปรดมอบพระโอรสองค์โตผู้เป็นคู่กระทำอัศวยุทธ์ให้เสกสมรสกับเราเถิด”

คำร้องขอของพระมหาอุปราชเป็นดั่งสายฟ้าผ่าตรงใจกลางนครผู้ถือชัยชนะ แต่หนทางออกนี้คือความปราณีแล้วสุดแสน บุรุษหนุ่มในชุดอาภรณ์ขาวในวันสัประยุทธ์รับรู้วิถีสงบศึกในภายภาคหน้าดี ลุกขึ้นยืนท่ามกลางความอลม่าน ก้มน้อมกราบพระบาทของพระบิดาไร้หยดน้ำตาแม้เพียงนิด หักจิตใจทำเพื่อแผ่นดินสุขสงบ ไม่มีคำอวยพรหรือห้ามปรามจากผู้เป็นพระบิดา เฝ้ามองพระโอรสองค์โตคลานเข่าเข้าหาพระมหาอุปราชแล้วน้อมกราบแทบเท้าเฉกเช่นเดียวกัน

นับแต่นั้นพระมหาอุปราชจึ่งได้ถอนทัพทั้งสิ้นทั้งมวลออกจากดินแดนผู้ชนะ พร้อมด้วยชายหนุ่มผู้ที่พระองค์ต้องประสงค์ ร่วมดีดพิณ ร่วมเสพสม ร่วมรักตามแต่ใจปรารถนาทั้งสองฝ่าย จนกระทั่งถึงมหาราชธานี ตำหนักฝ่ายในของวังหน้าเป็นสถานที่พำนักของขัตติยะหนุ่มจากแดนไกล พระมหาอุปราชผู้คู่ครองเฝ้าทะนุถนอมห่วงหาไม่เว้นวัน จนกระทั่งพระองค์ได้พระราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์สืบต่อมา

เสนาบดีต่างอัญเชิญพระราชพิธีแต่งตั้งหญิงงามดำรงตำแหน่งพระอัครมเหสีผู้ให้กำเนิดผู้สืบสันตติวงศ์ขึ้นเป็นข้อราชการสำคัญ พระเจ้าอนันตราชมิอาจปฏิเสธคำขอนี้ได้จึงให้ดำเนินการคัดสรร ในที่สุดทรงแต่งตั้งหญิงผู้หนึ่งจากสกุลสูงเป็นแม่เมือง ชายหนุ่มผู้ที่พระองค์เสกสมรสเมื่อกาลก่อนมิได้อาวรณ์ในเรื่องนี้แลพลอยยินดีเป็นอย่างยิ่ง แม้นพระเจ้าอนันตราชหวั่นเกรงชายคนรักจะน้อยอกน้อยใจ แต่จิตใจสูงส่งของผู้สืบเชื้อสายกษัตริย์หาได้ประหวั่นไหว รู้ดีว่าตนมิอาจมอบรัชทายาทสืบพระราชวงศ์ได้ แลเข้าถึงหัวอกพระหทัยของพระเจ้าอนันตราชเป็นการดี

แต่เหตุเภทภัยใหญ่หลวงได้ก่อกำเนิดขึ้นในพระราชวังหลวงเมื่อพระอัครมเหสีล่วงรู้ถึงความลับของพระราชสวามี ความอิจฉาริษยาก่อกำเนิด พร้อมอารมณ์หึงหวง พระสนมนางในมากมาย เหตุใดถึงต้องเป็นชายผู้นั้น พระนางมิอาจเข้าใจในประพฤติดุจหยามหมิ่นเกียรติยศของตนได้ จึ่งสมคบคิดกับฤาษีพราหมณ์ผู้เฒ่าปลุกคำภีร์โบราณชุบอำนาจอำมหิตให้ฟื้นคืน
 
ด้านท้ายตำหนักชายคนรักของพระเจ้าอนันตราชมีต้นลีลาวดีพระราชทานปลูกเป็นสง่า เพราะล่วงรู้ถึงความชอบของอีกฝ่าย พระนางจึ่งดำเนินแผนการร้ายอย่างแยบยล จ้างวานนางข้าหลวงในตำหนักลึกลับนั้นให้นำเลือดสัตว์ที่ตายอย่างทรมานนำไปรดใต้โคนต้นลีลาวดีนั้นทุกวี่วันไม่เว้นว่าง
 
หามีผู้ใดสงสัยหรือสังเกตประพฤตินอกรีตนั้นไม่ จวบกระทั่งถึงกำหนดครบเก้าสิบวันตามพระคำภีร์ ฤาษีพราหมณ์กระทำพิธีอ่านโองการสาปแช่งปลุกเสกเป็นเวลาสามวันสามคืน สบวันรุ่งขึ้นบุรุษหนุ่มผู้มักออกมาชื่นชมดอกไม้พระราชทานทุกเช้าวันได้โน้มดอกขาวพิสุทธิ์กระทำดมกลิ่นและฝากรอยจุมพิตเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่เหตุคำสาปแช่งมนตราดำทำให้ต้นไม้ที่เสมือนดวงใจรักของสองขัตติยราชถูกทำให้กลายเป็นอาวุธพิฆาต กลีบดอกขาวลุกลามเป็นแดงฉานราวกับโลหิต บุรุษหนุ่มสำลักเป็นเลือดล้มลงต่อหน้านางข้าหลวงทั้งมวลพร้อมดวงใจบริสุทธิ์อันจงรักภักดีต่อกษัตริย์นักรบนักรักหลุดลอยออกจากร่างโดยทันที
 
เมื่อพระเจ้าอนันตราชทรงทราบข่าวร้าย พระหทัยแทบแหลกสลาย พระองค์ไม่มีวันล่วงรู้เลยว่าพระมเหสีของพระองค์เป็นผู้ประหัตประหารดวงใจของพระองค์เอง ไม่มีวันใดที่พระเจ้าอนันตราชจะลืมชายคนรักจวบจนกระทั่งเสด็จสวรรคต

ต้นลีลาวดีต้องคำสาปนั่นหามีผู้ใดสนใจอีก มันยังคงยืนยงคงต้น ต้านภัยฝนลมหนาวจนมหาศัตรูผู้ชิงชัยชนะพระราชวงศ์คนธรรพ์ทำการสำเร็จและค้นพบอาวุธร้ายนี้ และหมายจะใช้เพื่อการทำลายล้างตามอำนาจประสงค์แต่ดั้งเดิม”


ภัทรพจน์รู้สึกหนาวสะท้านเหมือนลมพัดผ่าน สีหน้าจริงจังของไอ้กันเป็นเครื่องหมายว่าเรื่องราวโศกนาฏกรรมยุติลงแล้ว

“นี่คือเรื่องจริงหรือ” พจน์ถามกลับ

“เป็นตำนานเล่าขานแต่ก็ไม่มีใครพิสูจน์ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง” นิธิกอดอกแน่นจ้องตอบพจน์

“กูไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”

“ไม่มีหนังสือเล่มไหนบันทึกไว้” พจน์สบตาเหยี่ยวของคู่สนทนาแล้วให้รู้สึกใจหาย

“ดอกลีลาวดีเพลิงนั่นเปลี่ยนสีและสลายต่อหน้าต่อตา”

“มึงไม่ได้ตาฝาด” ไอ้กันย้ำคำตอบ

“มีเด็กผู้หญิงม.ต้นคนหนึ่งพยายามมอบให้กูสองครั้ง แต่ครั้งนี้ประสบผลสำเร็จ” พจน์บอกตามจริง ยังตกตะลึงไม่หายกับเรื่องเล่านั้น

“มึงบอกว่าคนให้อยู่ในโรงเรียนนี้” ไอ้กันกำหมัดแน่น

“กูไม่คิดว่ามันจะกล้าถึงขนาดนี้ ใคร คนไหน” คนอารมณ์ร้อนพุ่งตัวมาเขย่าต้นแขนพจน์คาดคั้น

“เดี๋ยวก่อนมึง กูคิดว่า...”

“โอ๊ย!!” ไอ้กันร้องเสียงเบามันแบฝ่ามือที่จับต้นแขนพจน์ออก ปรากฏรอยแดงเหมือนโดนของร้อน แววตาแผดจ้าสบมองพจน์เขม็ง คิ้วขมวดแน่น

“นี่มึง...” ไอ้กันครางเสียงต่ำราวกับร่ำไห้ แววตาสั่นระริกไหวคืออาการผิดแผกกว่าปกติ “มึงมอบกายส่วนหนึ่งให้...”

ไอ้นิธิพูดเพียงแค่นั้นก็ผลักดันตัวพจน์เข้าชิดมุมชั้นหนังสือ บริเวณนั้นไม่มีนักเรียนคนอื่นเลยเหลือเพียงคนทั้งสอง สีหน้าโกรธาแต่แววตาตัดพ้อของคนใช้กำลังเป็นสิ่งสับสนเกินกว่าพจน์จะล่วงรู้อารมณ์ของอีกฝ่ายได้ ไอ้นิธิเลื่อนฝ่ามือจับครองใบหน้าพจน์ให้หยุดนี่ง เขาสัมผัสความรุ่มร้อนจากฝ่ามือหนา
 
“มึงจะทำอะไร ฟังกูก่อน”

“มึงทำลายหัวใจกูแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี สิ่งที่กูเฝ้ารอคอยมาตลอดคือสิ่งนี้น่ะหรือ ถ้าอย่างนั้น กูขอของตอบแทนน้ำใจคืนบ้างเถอะ”

ไอ้กันบดริมฝีปากบางของมันประกบปากพจน์ที่ปิดแน่น พยายามขัดขืนต้านทานสุดกำลัง ความร้อนแผดเผา ณ ผิวสัมผัสชั่วขณะ พจน์ตัดสินใจซัดหมัดขวาเข้าใบหน้าแหลมเต็มแรง ร่างไอ้กันเซถอยชนชั้นหนังสือร่วงหล่นเป็นแถบ รอยเลือดสีแดงกลบตรงมุมปาก แดงฉานดุจจุมพิตสีเลือดมิต่างกัน


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3256994#msg3256994)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๐ จุมพิตสีเลือด ๑๐๐% (๑๑/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: KoTo_Nat ที่ 11-12-2015 12:13:41
เริ่ม งง ว่าใครคือพระเอก

ระหว่าง กัน ปาล์ม หรือคนที่พจน์มอบกายให้ (ลืมชื่อขอโทษด้วย)

โอ้ งงมาก เหมือนมันจะซ้อนกันสามเหตุการณ์นะตามที่อ่านมา ปมเยอะจัง

ยังไงก็รอติดตามครับ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๐ จุมพิตสีเลือด ๑๐๐% (๑๑/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 11-12-2015 14:05:40
ซับซ้อนซ่อนเงื่อน

ลุ้น  ลุ้น  ลุ้น


ปลื้มมาตะนะ แต่เป็น fc นุ้งปาล์ม

ไม่รู้นุ้งปาล์มจะใจสลายขนาดไหน ถ้ารู้ว่าชายพจน์มอบใจมอบกายให้พ่อมาตะไปแล้ว


หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๐ จุมพิตสีเลือด ๑๐๐% (๑๑/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: wwss2220 ที่ 12-12-2015 22:54:53
ใจจะขาดมาต่อเร็วๆๆนะค่ะ.   เนื้อเรืีองเจ้มจ้นมาก. คิดถึงมาตะอะ :ling1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๐ จุมพิตสีเลือด ๑๐๐% (๑๑/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 13-12-2015 08:56:35
สนุกขึ้นเรื่อยๆเลย  น่าติดตามเสมอ  และยังไม่รู้จะเชียร์ใครเป็นพระเอกดี  ดีทุกคน555
ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๐ จุมพิตสีเลือด ๑๐๐% (๑๑/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: padloms ที่ 13-12-2015 12:16:21
น่าติดตามขึ้นเรื่อยๆ เลย รีบมาต่อนะครับ เรื่องนี้สนุกมาก  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๑ ภัยซ่อนเร้น ๕๐% (๑๔/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 14-12-2015 09:18:22
บทที่ ๑๑


ภัยซ่อนเร้น


แววตาดุร้ายดุจเหยี่ยวพิฆาตจ้องพจน์ ระวางหมายเหยื่อในกรงเล็บหวังขย้ำกลืนในบัดดล แรงหอบหายใจของเด็กหนุ่มทั้งคู่เป็นเครื่องหมายบ่งชี้อารมณ์ขีดสุด หนังสือหมวดวรรณกรรมหล่นเกลื่อนพื้นแต่ไม่มีผู้ใดสนใจเก็บคืน พจน์ตัวสั่นด้วยอารมณ์หลากหลาย

“มึงไม่ควรทำแบบนี้” เด็กหนุ่มผู้โดนรุกล้ำหอบตัวโยนเพราะความโกรธ

ไอ้กันใช้หลังมือเช็ดเลือดบริเวณริมปากอย่างไม่ใส่ใจ นัยน์ตาส่องประกายเปลี่ยนเป็นระริกรื้น ความรู้สึกหนึ่งที่พจน์รับรู้ได้คือแววตัดพ้อต่อว่า นั่นทำให้อารมณ์โมโหทุเลาเบาบางลง การข่มเหงน้ำใจโดยอีกฝ่ายไม่ยินยอมคือสิ่งที่ควรทำอย่างงั้นหรือ นิธิยื่นเหยียดหลังมือข้างไร้รอยเลือดเพื่อเช็ดคราบโลหิตตนเบื้องมุมปากของพจน์แผ่วเบา สีหน้าและดวงตาในระยะประชิดมองเห็นความขมขื่นฝืนทนชัดเจน

“ขอโทษ” แผ่วเบาดุจสายลม แต่หนักแน่นดั่งหินผา

กำแพงโกรธาอันกล้าแข็งพังทลายลงรวดเร็วเกินกว่าที่พจน์เฝ้ายืนหยัดอดทนไว้ เพียงนิ้วมือสัมผัสกายพร้อมคำพูดยอมรับผิดสะท้อนความลุแก่โทษ ทำให้ความตั้งใจของพจน์สูญสลายฉับพลัน คนร่างสูงเพ่งพินิจใบหน้านิ่งขึงเหมือนไม่ยอมให้อภัย จึงก้มลงคุกเข่าในทันใด

“ให้อภัยกูอีกสักครั้ง กูไม่ควรล่วงเกินมึงทั้งที่สาบานด้วยหัวใจแล้วว่าจะปกป้องคุ้มครองดูแลมึงด้วยชีวิต แต่กูก็ยังคิดทำร้ายจิตใจมึงอีก” ไอ้กันก้มหน้าสำนึกผิด ร่างสั่นวะวาบนั้นทำให้พจน์ต้องเอื้อมมือดึงรั้งไหล่กว้าง

“ลุกขึ้นมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน อย่าทำแบบนี้” ร่างผอมฝืนแรงพจน์ยอมผ่อนปรนลุกยืนตามความประสงค์อีกครั้ง
 
“แต่เพราะมึง...” ใบหน้าฟกช้ำพร้อมรอยสดใหม่ตรงมุมปากส่ายไหว กำหมัดแน่นชกกระแทกผนังก่ออิฐของห้องสมุดจนได้เลือดอีกแผล

“หยุดเดี๋ยวนี้ ทำไมต้องทำร้ายตัวเองด้วย” พจน์ต้องดึงข้อมือซึมเลือดของไอ้คนอารมณ์ร้อนให้ถอยห่าง รีบใช้ผ้าเช็ดหน้าติดกระเป๋ากางเกงซับด้วยสีหน้าร้อนรน ไม่นึกว่ามันจะสิ้นคิดแบบนี้

“มึงไม่จำเป็นต้องลงโทษตัวเอง กูชกมึงหมัดเดียวก็ถือว่าเอาคืนแล้วสำหรับการกระทำของมึง” พจน์พันผ้าห้ามเลือดชะลอการไหลในเบื้องต้นสำเร็จ
 
“กูให้อภัยแล้ว ให้อภัย” นัยน์ตาสั่นไหวทำให้พจน์ต้องละล่ำละลักพูดรวบรัด หวั่นเกรงอีกฝ่ายจะประทุษร้ายตัวเองอีก

“จริงนะ มึงไม่โกรธกูจริงๆนะ ไอ้พจน์” ไอ้กันยังคงทำสีหน้าเจ็บปวดแต่พจน์รู้ดีว่านั่นไม่ได้มีผลมาจากบาดแผลทางกาย

“ทำไมมึงต้องทำแบบนั้น อยู่ๆมึงก็...อารมณ์ฉุนเฉียว” รอยแดงบนฝ่ามือของมันยังคงปรากฏชัดเจนเพราะแตะสัมผัสต้นแขนพจน์ในตอนแรก ราวกับผิวหนังพจน์เป็นของร้อนสำหรับไอ้กัน

กลุ่มนักเรียนชายชั้นมัธยมต้นกำลังเดินเข้ามาตามตรอกชั้นหนังสือ และพบรุ่นพี่สองคนในสภาพไม่ปกติพร้อมมีหนังสือเกลื่อนกราดพื้น ต่างคนต่างทำสีหน้าตกใจยิ่งกว่าเห็นผีรีบก้าวถอยหนีจากไปโดยเร็ว

พจน์พันผ้าเช็ดหน้าเป็นปมไม่ให้หลุดง่าย เหล่มองนักเรียนรุ่นน้องใจหนึ่งนึกเกรงว่า ครูบรรณารักษ์คงทราบเรื่องในอีกไม่ช้าแน่

“ไปห้องพยาบาลเถอะ จะได้ทำแผล”

“แค่มึงเป็นห่วงเป็นใย กูก็หายเจ็บปวดแล้ว” กันพร่ำเพ้อเหมือนคนมีไข้ สีหน้าดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก อารมณ์รุนแรงพร้อมขโมยจูบพจน์เหมือนเป็นภาพลวงตาและเลือนหายจากใจโดยเร็ว

“เพียงในใจส่วนหนึ่งในล้านของมึงมีกูอยู่บ้าง ห่วงใยกูอย่างที่มึงทำนี้ ไอ้กันก็พอใจแล้ว พอใจที่สุดแล้ว เพราะกูจะไม่มีวันเปลี่ยนใจไปรักใครได้อีกนอกจากมึงคนเดียว ไม่ว่ามึงจะรักใครไปแล้วก็ตาม”

ความรู้สึกอัดแน่นกลัดอกนี้คือสิ่งใด บนโลกนี้ยังมีคนที่ทุ่มเทความรักเหมือนเช่นคนตรงหน้าอยู่อีกน่ะหรือ วินาทีนี้พจน์ไม่อยากเห็นหยดน้ำตาลูกผู้ชายที่กำลังเอ่อท้นของไอ้กันแม้แต่เล็กน้อย มันไม่ควรต้องมาเสียน้ำตาให้คนอย่างเขา คนที่ได้มอบกายและใจตัวเองให้กับเจ้ามาตะไปแล้ว และตนคิดว่าคงไม่อาจแบ่งปันเสี้ยวใจนั้นให้ใครได้อีก
 
ถึงแม้รู้จักกันเพียงไม่นาน แต่ไอ้กันไม่ได้ดูเป็นคนเลวอย่างที่ตนคิดในตอนแรก อีกทั้งยังพยายามบอกเตือนพจน์ว่ามีอันตรายกำลังมาสู่ เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตางดงามสีน้ำตาลจึงดึงคนตัวสูงเข้าสู่อ้อมกอดโดยทันที หวังปลอบประโลมให้คลายจากทุกความเจ็บปวดที่ได้รับจากพจน์ ไม่รู้ว่าตนทำอะไรให้มันรู้สึกแบบนั้นมากขนาดไหน แต่นับจากนี้เขาไม่อยากเห็นสีหน้าเจ็บลึกอย่างเมื่อครู่อีกแล้ว มันเหมือนพจน์รู้สึกเจ็บปวดไปด้วย

“มึงห้ามร้องไห้นะเว้ย” พจน์รีบดักคอไว้ก่อน แต่ใจหนึ่งหวังว่าคนเข้มแข็งอย่างมันคงไม่เสียน้ำตาให้ใครโดยง่าย

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำคือคำตอบสำหรับพจน์ แขนล่ำโอบกระชับร่างพจน์อย่างกล้าๆกลัวๆจนในที่สุดก็กอดแนบสนิทอย่างไม่กังวล และดูเหมือนผิวกายพจน์จะไม่เป็นของร้อนสำหรับมันอีก

“มึงทำให้กูเห็นเส้นทางชีวิตกูชัดเจนขึ้นนับจากนี้” น้ำเสียงหนักแน่นไม่สั่นเครือพูดพร้อมความมั่นคงในใจ

พจน์ไม่รู้ว่าจะเข้าใจคำพูดของไอ้กันมากเท่าที่มันคิดหรือเปล่า แต่ก็พยักหน้ากับไหล่หนา

“ดีแล้ว”

นิธิพยักหน้ารับคำพร้อมรอยยิ้ม จังหวะที่พจน์กำลังถอนกอด เพื่อจะได้พาไอ้คนอารมณ์ร้อนไปทำแผลห้องพยาบาล บุคคลที่พจน์ไม่คาดคิดว่าจะตามพจน์มาอีกคนยืนนิ่งอยู่ตรงมุมชั้นหนังสือ สายตาว่างเปล่าและสีหน้านิ่งเฉยจนเกือบไร้ความรู้สึกยากเกินคาดเดาสะท้อนสู่ดวงตาพจน์ จนทำให้ตนเองต้องผลักไอ้กันออกโดยเร็ว

“ไอ้ปาล์ม!!”

เจ้าของชื่อยืนนิ่งงันไม่ไหวติงเหมือนรูปปั้นแกะสลัก มีเพียงการกะพริบตาเท่านั้นที่พจน์รู้ว่าอีกคนรับรู้เหตุการณ์ตรงหน้าอยู่

“กูมาตามมึง ไอ้น้ำฟื้นแล้ว คิดว่ามึงคงจะอยากรู้” เสียงแหบต่ำแต่ดูห่างเหินชอบกล

นิธิขยับชิดตัวพจน์โดยไม่พูดอะไรเหมือนกัน ความเงียบเป็นสิ่งที่พจน์สมควรได้รับอยู่ในขณะนี้

“แต่ถ้ามึงยัง...คุยธุระอยู่ ค่อยตามมาแล้วกัน” พูดจบเปรมณัฐจึงก้าวถอยหลังพร้อมถอนสายตาที่ตรึงพจน์ให้ยืนนิ่งออกเดินจากไปไม่เหลียวกับมามองอีก

“มึงชอบมันสินะ” เป็นคำถามของไอ้คนตัวสูงข้างกาย

ความรู้สึกเหมือนเล่นซ่อนหาแล้วถูกจับได้คืออารมณ์ ณ ขณะนี้ ตาสีน้ำตาลยังคงจับจ้องแผ่นหลังของปาล์มจนลับประตู

“เคยชอบ” พจน์ไม่อยากโกหกคนคนนี้ให้ต้องเจ็บปวดอีก ในเมื่อมันรู้อย่างนี้แล้วคงจะได้เลิกชอบพจน์ และหนีหายจากชีวิตเขาไปอีกคนหนึ่ง

“มึงควรจะปฏิเสธนะ” ไอ้กันไม่มีท่าทีประหลาดใจหรือเสียใจกับคำตอบของพจน์แม้แต่น้อย “อีกอย่างถ้ามึงไม่ชอบมันแล้วจริง ก็อย่าทำหน้าเหมือนกลัวมันเสียใจแบบนั้น”

“กู...”

พจน์อยากปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นอย่างที่มันกล่าวหา แต่เบื้องลึกในใจกู้ก้องร้องถามว่า ไอ้ปาล์มในตอนนี้จะรู้สึกอย่างไร อดกังวัลความคิดของมันไม่ได้

“คนเราจะรักใครหลายๆคนในคราวเดียวกันไม่ได้หรอก” สีหน้านิ่งขรึมประกอบคำพูดของไอ้นิธิเสมือนตำหนิความคิดพจน์

“คนคนเดียวเท่านั้นที่มึงต้องรัก และกูรู้ว่ากูไม่ได้อยู่ในขอบข่ายนั้น” ไอ้กันเสริมเติมต่อ “มึงไม่ต้องเป็นห่วงกูหรอก กูรู้ฐานะตัวเองดี แต่ไอ้นั่นมันไม่รู้”

“อย่าได้พูดเหมือนมึงไม่สำคัญสำหรับกู มึงเพิ่งช่วยชีวิตเพื่อนกูไว้นะ จะไม่ให้กูห่วงมึงได้ยังไง” พจน์พูดจากใจจริง

“ได้โปรดอย่าให้ความหวังกู” มันขมวดคิ้วแน่น

พจน์ไม่มีคำโต้แย้งกับคนคนนี้อีก คนที่ช่วยชีวิตผู้อื่นในยามเดือดร้อนจะไร้คุณค่าในสายตาพจน์ได้อย่างไร
 
“ไปห้องพยาบาลเถอะ ไอ้น้ำฟื้นแล้ว อีกอย่างมึงจะได้ทำแผลด้วย” พจน์คว้ามือไอ้กัน หักใจทำสิ่งตรงหน้าให้ดีที่สุดก่อน เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง ตอนนี้พจน์ได้คำอธิบายแล้วว่าสาเหตุใดทำให้เพื่อนตัวเล็กต้องล้มเจ็บ

“กูยังไม่ตัดสินใจว่าจะเชื่อเรื่องที่มึงเล่าหรือเปล่า แต่...” พจน์เม้มปากแน่น “แต่กูแน่ใจอยู่อย่างหนึ่งคือมึงคงไม่โกหกกู ใช่ไหม”

ใบหน้าเรียวผอมพยักหน้าให้คำมั่น

เสียงสัญญาณโทรศัพท์ของพจน์เตือนว่ามีคนโทรเข้า

“ครับ”

“พจน์ไปตามหาน้องนะ และขออนุญาตคุณครูเพื่อออกไปทำธุระนอกโรงเรียนด่วน พ่อกำลังขับรถไปรับ” คำพูดเร่งร้อนผิดวิสัยของภพดนัยออกคำสั่ง

“มีเรื่องอะไรหรือครับ” พจน์ไม่อยากถามคำถามนี้เลย หลังเกิดเหตุกับเพื่อนรัก

“ธนพลสูดสารพิษอันตรายเข้าไปตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ไม่รู้อาการเป็นยังไงบ้าง” เสียงปลายสายเริ่มสั่นไหว
ภาพดอกลีลาวดีเพลิงปรากฏชัดเจนในห้วงความคิดอีกครั้ง พจน์รู้สึกเจ็บปวดอย่างสุดแสน

“แผนการทำลายล้างบรรลุผลในที่สุด กูเสียใจด้วย”

เด็กหนุ่มร่างสูงกำหมัดแน่น คำพูดของนิธิเป็นแรงฉุดดึงให้น้ำตาของพจน์หลั่งรินต่อชะตากรรมของครอบครัวเทพวิมานอีกครั้ง หัวใจร้าวทรมานประหนึ่งมีมือล่องหนบีบรัด

ฉับพลันหนังสือบนชั้นวางพุ่งหล่นผ่านหน้าพจน์เฉียดเพียงแค่ปลายจมูกกระทบลงพื้น ไอ้กันก้มหยิบหนังสือเล่มเก่าหนานั้นขึ้นมา พร้อมหน้าที่เปิดค้างไว้บนพื้น
 
มนตราลีลาทมิฬ” คือหัวข้อเหนือกลอนสี่สุภาพบนหน้ากระดาษสีน้ำตาลเก่าขอบเหลือง


“แดงเฉิดฉานผลาญสิ้นดิ้นแดดับ
อุราลับลามไหม้ไฟลุกโหม
ร้อนร้อนร่อนผ่อนกายคลายประโลม
เจ็บจินต์โทมนัสวาทไม่คลาดครา


โลหิตหลั่งทั้งเก้าทวารจุด
ฤทธิรุทธอำมหิตพิษแทรกหา
ดวงใจน้อยลอยสู่คู่นภา
จำจากลากายสุขทุกขภัย


.....เทวาชุบร่างกระจ่างฟ้า
.....สับประยุทธดุจแขไข
.....เพ็ญเช่นเดือนเลื่อนลับไป
.....ฉุดใจวิญญ์กลับรับคืนตน”

“ผู้ประพันธ์ กฤษณากาลี” กันข่มใจอ่านจนจบและฉีกกระดาษหน้านั้นเก็บเข้ากระเป๋าโดยเร็ว

กลอนปริศนาแทบไม่ได้เข้าหัวพจน์เลยแม้แต่น้อย ในความคิดเหลือเพียงภาพอาพลและรอยยิ้มมีลักยิ้มมุมแก้มของชายหนุ่มที่พจน์ภาวนาไม่ให้มีอันตรายใดๆมาย่ำกราย


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3261824#msg3261824)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๑ ภัยซ่อนเร้น ๕๐% (๑๔/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 14-12-2015 21:55:25
ค้าง  จะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวพจน์และคนรอบข้างอีกนะ  รอติดตามเสมอนะคะ

พจน์อาจไม่หลายใจ  แต่เราหลายใจไปแล้ว คิดถึงมาตะ  เห็นใจกัน   สงสารปาล์ม 555
ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๑ ภัยซ่อนเร้น ๕๐% (๑๔/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 14-12-2015 23:05:23

อยากรู้ต่อ...    :katai4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๑ ภัยซ่อนเร้น ๕๐% (๑๔/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ฤดูใบไม้หลากสี ที่ 15-12-2015 21:27:45
ตอนแรกอ่านแล้วก็แบบ "แนวกู ๆ บรรยายแบบนี้ใช่เลย" พออ่านจนถึงตอนล่าสุดถึงกับอุทานว่า "ขุ่นพระ นี่มันขุมทรัพย์นิยายชั้นยอด" เราถามคนเขียนได้ไหมว่า เรียนเอกวรรณกรรมใช่หรือไม่ ? หรือแค่สนใจในเรื่องนี้ เพราะการบรรยาย พรรณา อุปมา อุปมัย ดีมากอะ ยิ่งโคลงกลอน โอ้แม่เจ้า ฉันยังสามารถนิยายโคลงกรในยุค 2015 ปลื้มปริ่มน้ำตาไหลเลย

ปมน่าติดตาม เนื้อเรื่องน่าสนใจ แต่ฟันธงกับตัวเองเลยว่า มาตะ พระเอกแน่นอน ความรู้สึกชัดมากว่ามาตะคือพระเอกของพ่อนายเอกเนื้อหอม เพื่อนรุมชอบขนาดนี้ยังไม่รู้สึกตัว

แต่ว่านะกันคงจะโกหกเนอะพจน์จ๋า หลักฐานเห็นคาตาขนาดนั้น หุ่ย

ปล. อ่านโคลงเปรียบเทียบบทอัศจรรย์ของมาตะและพจน์แล้วอารมณ์เหมือนอ่านโคลงกลอนของสุนทรภู่ เปรียบเทียบชัดเจนแจ่มแจงมาก ฮ่า ๆ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๑ ภัยซ่อนเร้น ๕๐% (๑๔/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: padloms ที่ 15-12-2015 23:03:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< ช่วงตอบคำถามครับ part1 (๑๖/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 16-12-2015 16:38:29
:pig4:
:pig2:

ตอนแรกอ่านแล้วก็แบบ "แนวกู ๆ บรรยายแบบนี้ใช่เลย" พออ่านจนถึงตอนล่าสุดถึงกับอุทานว่า "ขุ่นพระ นี่มันขุมทรัพย์นิยายชั้นยอด" เราถามคนเขียนได้ไหมว่า เรียนเอกวรรณกรรมใช่หรือไม่ ? หรือแค่สนใจในเรื่องนี้ เพราะการบรรยาย พรรณา อุปมา อุปมัย ดีมากอะ ยิ่งโคลงกลอน โอ้แม่เจ้า ฉันยังสามารถนิยายโคลงกรในยุค 2015 ปลื้มปริ่มน้ำตาไหลเลย

ปมน่าติดตาม เนื้อเรื่องน่าสนใจ แต่ฟันธงกับตัวเองเลยว่า มาตะ พระเอกแน่นอน ความรู้สึกชัดมากว่ามาตะคือพระเอกของพ่อนายเอกเนื้อหอม เพื่อนรุมชอบขนาดนี้ยังไม่รู้สึกตัว

แต่ว่านะกันคงจะโกหกเนอะพจน์จ๋า หลักฐานเห็นคาตาขนาดนั้น หุ่ย

ปล. อ่านโคลงเปรียบเทียบบทอัศจรรย์ของมาตะและพจน์แล้วอารมณ์เหมือนอ่านโคลงกลอนของสุนทรภู่ เปรียบเทียบชัดเจนแจ่มแจงมาก ฮ่า ๆ
ผมเรียนจบวิทยาศาสตร์ครับ 555 แต่ชอบแต่งกลอนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เลยเอาความชอบมาผนวกกับจินตนาการ ขอบคุณที่ชอบเรื่องนี้ครับ นี่ไงเจอ #ทีมมาตะ อีกคนแล้ว คอยติดตามต่อไปนะครับ


อยากรู้ต่อ...    :katai4:
รอติดตามครับ  :katai5:

ค้าง  จะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวพจน์และคนรอบข้างอีกนะ  รอติดตามเสมอนะคะ

พจน์อาจไม่หลายใจ  แต่เราหลายใจไปแล้ว คิดถึงมาตะ  เห็นใจกัน   สงสารปาล์ม 555
ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :L2:
โห เป็นคนหลายใจนะครับเนี่ย  :mew1:

น่าติดตามขึ้นเรื่อยๆ เลย รีบมาต่อนะครับ เรื่องนี้สนุกมาก  :pig4: :pig4: :pig4:
อย่าลืมเป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยน้า

สนุกขึ้นเรื่อยๆเลย  น่าติดตามเสมอ  และยังไม่รู้จะเชียร์ใครเป็นพระเอกดี  ดีทุกคน555
ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :L2:
เจอคนหลายใจอีกคนแล้ว จะอยู่ทีมไหนดีน้า #ทีมมาตะ #ทีมปาล์ม #ทีมกัน

ใจจะขาดมาต่อเร็วๆๆนะค่ะ.   เนื้อเรืีองเจ้มจ้นมาก. คิดถึงมาตะอะ :ling1: :katai2-1:
นี่ไง #ทีมมาตะ อีกคน จะเจ้มจ้นกว่านี้อีกครับ รอติดตาม

ซับซ้อนซ่อนเงื่อน

ลุ้น  ลุ้น  ลุ้น


ปลื้มมาตะนะ แต่เป็น fc นุ้งปาล์ม

ไม่รู้นุ้งปาล์มจะใจสลายขนาดไหน ถ้ารู้ว่าชายพจน์มอบใจมอบกายให้พ่อมาตะไปแล้ว
บอกให้ทำใจกันไว้ก่อนนะครับ #ทีมปาล์ม แต่ไม่รู้อาจจะมีพลิกล็อก 555

เริ่ม งง ว่าใครคือพระเอก

ระหว่าง กัน ปาล์ม หรือคนที่พจน์มอบกายให้ (ลืมชื่อขอโทษด้วย)

โอ้ งงมาก เหมือนมันจะซ้อนกันสามเหตุการณ์นะตามที่อ่านมา ปมเยอะจัง

ยังไงก็รอติดตามครับ
ชื่อ มาตะ ครับ โห มาตะของเราน้อยใจแย่เลยเนอะ กระซิกๆ  :o12:

:serius2: น้องน้ำของพี่ จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้างหนอ มาต่อเร็วๆนะคะ
ไม่อยากทำร้ายน้องน้ำเลย แต่มันจำเป็นจริงๆนะ ฮือๆ

ตื่นเต้นน่าติดตามขึ้นเรื่อยๆเลย
ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :L2:
ฝากเอาใจช่วยพจน์ด้วยนะครับ

ซับซ้อนเหลือเกิน   :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:
มีประมาณแสนแปดล้านปมครับ 5555 แต่ไม่งงหรือสับสนใช่ไหมครับ

ภัยเริ่มมาแล้ววว หนูพจน์จะทำยังไงเนี่ย
เอาใจช่วยหนูพจน์ด้วยน้า

:m31:มาต่อร็วๆนะค่ะ
คร้าบบ รอติดตามด้วยน้า

รอตอนต่อไป  :pig4:
ตอนต่อไปจะไม่นานเกินรอครับ  :katai4:

ตอนเริ่มแรกรู้สึกว่าอ่านยาก รายละเอียดยิบย่อย บรรยายเยอะ

แต่พอเริ่มคุ้นชิน  บอกเลย....


สนุกมว๊ากกกกก......       :impress3:



สงสารนุ้งปาล์มอะ ถ้ารู้เรื่อง ... แล้วจะเป็นเยี่ยงไร    :ling3:


ปลื้มมาตะนะ แต่เป็น fc นุ้งปาล์ม    :กอด1:


รอตอนต่อไปจ้า
อาจจะอ่านยากนิดนึงครับ แต่แต่งด้วยใจนะครับ ลองดูๆ  :katai2-1:

ช่างลึกลับซับซ้อนเสียจริง บทอัศจรรย์นี่บรรยายไปซะเห็นภาพเลย นึกถึงตอนเรียนวรรณคดีไทยสมัยม.ปลาย ยังแปลความไม่ออกเหมือนเดิม
ผมนี่ต้องกลับไปหาหนังสือตอน ม.ปลาย มาอ่านเหมือนกันครับ 555

:jul1: :jul1: :jul1: :jul1: :jul1:
:m25: :m25: :m25: :m25: :m25:

:haun4:เลือดพุ่งสุดๆๆ ค่ะ เป็นกำลังใขให้นะค่ะ
เอาทิชชูซับไหมครับ ผมมีตุนไว้เยอะ อิอิ

:jul1: :jul1: :jul1:
สนุกมาก ปมเยอะดี ติดตามค่ะ
มีอีกหลายปมครับ หรือบางปมคุณอาจคลี่คลายในใจแล้วบ้างไม่รู้ ฝากติดตามต่อด้วยน้า :pighaun:

ไฟราคะสมชื่อตอน  :haun4:  :jul1:
จินตนาการได้เท่านี้แหละครับ แหะๆ ประสบการณ์ผมน้อย 5555

ทำไมร้อนแรงกันเยี่ยงนี้
เอาพัดลมไหมครับ 555

เป็นบทมหัศจรรย์ ที่ชวนเรียกเลือดมาก

ตกลงแล้งพจน์ เป็นอะไร?
พจน์ เป็น..... รอติดตามครับ

นั่น...เป็นการเสริมพลังอย่างงั้นเหรอเนี่ย
อุ๊บส์...

สนุกมากค่ะ
เรื่องราวน่าติดตาม
ภาษาสวย
อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว
ดีใจครับ ที่คุณอ่านแล้วสนุก ติดตามน้าๆ

แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยย  :jul1: :jul1: :jul1: :jul1:
ถึงกับเป็นลมเลยหรือครับ ถ้าเจอฉากเรียกเลือดกว่าเตรียมยาดมไว้ด้วยน้า

:haun4:   :haun4:
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
ขอบคุณมากนะคะ :L2:
รอนะครับๆ

:pighaun: :m25: เร่าร้อนมาก
แอร๊ยยยยย กำลังสนุกเลย มาอีกน๊าา
มาตะคงดีใจที่ทำให้คุณรู้สึกเร่าร้อนไปด้วย 555

:m25: :m25: :m25:
ตายอย่างสงบ
อย่าเพิ่งตายสิครับ ลุกมาเอาใจช่วยพจน์ก่อนๆ 55
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๑ ภัยซ่อนเร้น ๑๐๐% (๒๐/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 20-12-2015 11:16:42
[ต่อ]

กลุ่มนักข่าวทั้งไทยและต่างประเทศเนืองแน่นอยู่หน้าประตูลิฟต์ชั้นที่ ๗ ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขึงป้ายห้ามบุคคลภายนอกเข้าสู่เขตห้องพักผู้ป่วยฉุกเฉิน ภพดนัย ดาว พจน์ และกัน ไม่ใช่เพียงกลุ่มเดียวที่เฝ้ามองความโกลาหลของกองทัพสื่อมวลชน แต่ยังมีประชาชนจำนวนมากยืนจับกลุ่มสนทนาและวิพากษ์วิจารณ์ ผู้เป็นบิดาต้องแสดงตัวว่าเป็นญาติของธนพลจึงฝ่าฝูงชนเข้าไปได้ ไม่สนใจแม้แต่การยื่นไมค์สัมภาษณ์ของนักข่าวหลากสถานี

“ในฐานะพี่ชายของผู้ประสบเหตุ คุณคิดว่าการลอบทำร้ายครั้งนี้เกี่ยวข้องกับคำแถลงการณ์น้ำท่วมโลกหรือเปล่าคะ” เสียงแหลมสูงถามแทรก ภพดนัยทำสีหน้าเจ็บปวดปิดปากนิ่งพยายามดันฝ่ากองทัพสื่อมวลชนโดยมีเจ้าหน้าที่คอยผลักดันอีกแรงหนึ่ง

“สาเหตุเกิดจากวัตถุมีพิษบรรจุกล่องไปรษณีย์จริงหรือเปล่าครับ”

“ศาสตราจารย์วิชัยกล่าวความรู้สึกว่าอย่างไรบ้างคะกับเหตุการณ์ครั้งนี้”

“ไม่ทราบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบเบาะแสได้ร่องรอยคนร้ายหรือยังครับ”

ความเงียบคือคำตอบของภพดนัย ทันทีเมื่อถึงเขตรั้วกั้นห้ามบุคคลภายนอกเข้า นักข่าวจึงถูกตรึงแน่นขนัดอยู่ ณ จุดนั้นพร้อมเสียงคำถามมากมายฟังไม่ได้ศัพท์ ภพดนัยก้าวเท้ารวดเร็วสู่ห้องพักฟื้นที่มีเจ้าหน้าที่พยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ส่วนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้า พร้อมศาสตราจารย์วิชัยที่มีสีหน้าอิดโรย ชาญณรงค์ยืนนิ่งเงียบ และบุคคลที่ยืนร้องไห้อยู่นั้นคือ สุนิสา แฟนสาวของอาธนพลนั่นเอง

“คุณพ่อ น้องเป็นยังไงบ้างครับ” ภพดนัยเร่งถามผู้เป็นบิดา

พจน์เห็นหัวหน้าแพทย์อาวุโสผู้หนึ่งก้มลงมองเอกสารบนแผ่นคลิปบอร์ดก่อนจะเป็นผู้ชี้แจง

“เราเข้าไปในห้องกันเถอะครับ”

ทันทีที่ทุกคนก้าวสู่ภายใน บรรยากาศเศร้าสลดผสมผสานความหนาวเย็นกำจายทั่วบริเวณ กลุ่มพยาบาลจัดแจงวุ่นวายอยู่ใกล้เตียงผู้ป่วย ภาพอุปกรณ์ทางการแพทย์มากมายดั่งเครื่องพันธนาการยื้อชีวิตของอาธนพลทำให้ทุกคนรับรู้ได้ในทันทีว่า อาการของผู้เป็นน้องชายคุณพ่อรุนแรงพอสมควร เสียงร่ำไห้ของพี่สุนิสาทำให้น้ำตาของพจน์เอ่อคลอ แต่ดาวนั้นไม่อาจหักห้ามไว้ได้อีกแล้ว ทันทีเมื่อพจน์ตามหาน้องสาวเจอและแจ้งข่าวร้ายแก่เธอ นั่นดูเหมือนเด็กสาวยังคงมีความเข้มแข็งอย่างมากไม่เสียน้ำตาแม้เพียงนิด แต่บัดนี้เมื่อภาพคนเจ็บนอนหายใจรวยรินต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์มากมายต่างนานา อีกทั้งสีหน้าซีดเผือดรวมทั้งผิวกายราวกับไร้เลือดหมุนเวียน ทำให้เกราะความเข้มแข็งของดาวพังทลายลงต่อหน้าต่อตา สุนิสาคว้าตัวดาวเข้าสู่อ้อมกอดแล้วร่ำไห้สะอึกสะอื้น น้ำตาของน้องสาวทำให้พจน์รู้สึกเข้มแข็งขึ้นอย่างประหลาด

“การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ” หัวหน้าแพทย์หนึ่งในสี่กล่าวสีหน้าเครียด

“แต่อาการตอบสนองทางร่างกายไม่ดีขึ้น รวมถึงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ” แพทย์ชายวัยกลางคนกล่าว

“เราใช้เครื่องฟอกไตเข้าช่วยเพราะพบภาวะการทำงานของไตล้มเหลว”

“รวมถึงปอดที่พบสารพิษจำนวนมาก ซึ่งได้รับการผ่าตัดเพื่อนำสารพิษออกไปได้บ้างแล้ว”

“มันคือสารพิษชนิดไหนครับ” ภพดนัยถามเสียงสั่น

“ทางเรายังไม่อาจระบุแน่ชัดได้นะครับ เพราะจากการตรวจพบครั้งแรกมีร่องรอยสารพิษปนเปื้อนอยู่ในกล่องพัสดุไปรษณีย์ซึ่งตอนนี้กำลังตรวจสอบกันอย่างถี่ถ้วนอยู่”

“สิ่งที่เป็นเรื่องน่ากังวลคือสมองส่วนหน้าและระบบประสาทส่วนกลางซึ่งดูเหมือนจะได้รับผลกระทบทำให้ผู้ป่วยไม่ได้สติและไม่สามารถขยับเขยื้อนตอบสนองร่างกายได้” แพทย์หญิงวัยกลางคนหนึ่งเดียวเป็นผู้สรุปจบอาการ

“เราต้องรอเวลาให้คนไข้ได้พักฟื้นและมีอาการตอบสนองต่อยามากกว่านี้ครับ จึงสามารถสรุปสถานการณ์ได้มากขึ้นครับ ศาสตราจารย์” หัวหน้าแพทย์หนวดเคราขาวกล่าวกับคุณปู่ที่ยังมีสีหน้านิ่งเฉยแต่ดวงตาอ่อนแรง
 
“ทางโรงพยาบาลจะให้มีพยาบาลสองคนคอยเฝ้าอยู่ในห้องเผื่อมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น”

ทุกคนพยักหน้ารับแต่ดวงตาจับจ้องเพียงร่างซีดขาวในชุดไข้นั้นไม่วางตา เบื้องหลังเปลือกตาปิดสนิทนั้นจะรับรู้หรือไม่ว่าความทุกข์ระทมของผู้อยู่โดยรอบเจ็บปวดขนาดไหน จากนั้นกลุ่มแพทย์ผู้รักษาจึงทยอยจากไปเหลือเพียงพยาบาลสาววัยกลางคนสองคนคอยเช็คน้ำเกลือ และสังเกตอาการอยู่ใกล้เคียง สุนิสาค่อยๆขยับตัวเข้าใกล้เตียงคนไข้แล้วสัมผัสมือของอาธนพลซึ่งไร้ความรู้สึกนั้นแผ่วเบา

“พล พลให้สัญญากับสาแล้วนี่นา ว่าจะไม่มีวันทิ้งสาไว้คนเดียว”

คำปรารภดุจน้อยใจสร้างแรงสะเทือนอารมณ์โศกศัลย์แก่ทุกผู้คนในห้องนั้นเป็นที่ยิ่ง พจน์ยืนมองภาพเบื้องหน้าพร้อมอารมณ์หลากหลาย แต่ความรู้สึกเศร้าเสียใจถูกทดแทนด้วยความกล้าแข็งบางอย่างที่เขาไม่อาจบอกได้ บางอย่างในตัวเขารู้สึกฮึกเหิมเสมือนกำลังก้าวเผชิญสู่ศึกสงครามอย่างไรอย่างนั้น

ศาสตราจารย์วิชัยสัมผัสหลังมือของลูกชายคนเล็กที่หายใจรวยรินด้วยสีหน้านิ่ง คิ้วขมวดแน่น ภายใต้แว่นตากรอบกลมหนาทอประกายล้อแสงไฟ

“แม่ของแกฝากพ่อไว้ก่อนจมสู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิก ให้ดูแลแกไม่ให้เดือดเนื้อร้อนใจ” คุณปู่กล่าวคำย้อนอดีต “แต่พ่อไม่ได้ทำตามคำสัญญานั้นเลยแม้แต่น้อย พ่อผิดเองที่ปล่อยให้ทุกอย่างผิดพลาดมาถึงขนาดนี้ สิ่งที่แกได้รับควรจะเป็นพ่อต่างหาก”

“คุณพ่อ...” ภพดนัยแตะข้อศอกศาสตราจารย์วิชัยเหมือนให้กำลังใจท่าน ชาญณรงค์ยืนนิ่งอยู่เบื้องหลังผู้เป็นอาจารย์

คุณย่าของเขาเสียชีวิตพร้อมกับอุบัติเหตุเครื่องบินตกในคราวที่คุณปู่ได้พบมหาเทพและรับพันธะสัญญาจากเทพผู้นั้นเพื่อเตือนประชาชนพลเมืองโลกทุกผู้คนตามคำสัตย์ที่ให้ไว้ว่า แผ่นดินมหาพิภพทั้งมวลใต้พื้นมหาสมุทรแปซิฟิกจะโผล่พ้นก่อเกิดน้ำท่วมโลกและแผ่นดินไหว หญิงคนรักของท่านมิได้ถูกช่วยชีวิตกลับมาด้วย จากคำแถลงการณ์นั้นตามที่สถานีข่าวทุกช่องตีแผ่รายละเอียด มหาเทพมีอำนาจช่วยเหลือคนคนเดียวเท่านั้นให้รอดพ้นจากความตายและคุณปู่คือหนึ่งเดียวในบรรดาผู้โดยสารทั้งหมด

“เหตุการณ์นี้ต้องได้รับคำอธิบาย อันตรายทั้งมวลที่เกิดขึ้นจะต้องมีคำตอบ พ่อให้สัญญา” ศาสตราจารย์วิชัยวางฝ่ามือซีดขาวของอาธนพลลงกลับคืนเตียง ท่านหลับตาลงชั่วครู่

“พ่อฝากแกดูน้องด้วย พ่อดนัย”
 
“คุณพ่อจะไปไหนหรือครับ” สีหน้าร้อนรนของภพดนัยบอกความรู้สึกทั้งมวล

“ถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก รีบโทรหาพ่อหรือพ่อณรงค์โดยเร็ว” ชาญณรงค์ส่งความรู้สึกบางอย่างมอบให้ภพดนัยเมื่อดวงตาของคนทั้งคู่สบกัน จากนั้นศาสตราจารย์วิชัยและชาญณรงค์จึงเดินออกจากห้องไป

พจน์ก้าวถอยห่างจากเตียงคนไข้เหลียวมองระเบียงห้องพักผู้ป่วยผ่านกระจกโปร่งใส ท้องฟ้ายามค่ำกำลังมาเยือน แสงสีพลุประทัดสว่างวาบเหนือท้องฟ้าภายใต้ดวงจันทร์เต็มดวงของเดือนสิบสอง เหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นทำให้พจน์มึนงงจนลืมเสียสนิทว่าวันนี้เป็นวันลอยกระทง ท่ามกลางความสุขล้นของทุกคน ครอบครัวของเขากำลังเผชิญภัยบางอย่างที่ไม่สามารถระบุได้เต็มปากคำ มีคนกำลังปองร้ายครอบครัวพจน์อย่างแน่แท้ไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งคุณพ่อ พจน์ และอาพล ต่างได้รับกล่องปริศนา และมั่นใจว่าในกล่องเหล่านั้นมีดอกลีลาวดีเพลิง หรือจุมพิตสีเลือดบรรจุอยู่ พลังอันตรายเหนือธรรมชาติยากต่อการพิสูจน์ถึงการก่อเกิดของอาวุธปริศนานี้ทำให้พจน์ไม่อาจมองเห็นทางออกของปัญหานี้ได้

ถ้าเรื่องราวตำนานเมื่อกาลก่อนที่ไอ้กันเล่าเป็นความจริง เหตุใดอาวุธร้ายแรงนั้นถึงถูกนำใช้เพื่อเล่นงานครอบครัวของพจน์ได้ ผู้ประสงค์ร้ายนี้คือใคร สุนิสายังคงร่ำไห้โดยมีดาวเป็นผู้ปลอบโยน ภพดนัยยืนนิ่งเหมือนไม่รู้กระทำการใดต่อจากนี้

นิธิผสานนิ้วอุ่นวาบรวมกับมือพจน์นั่นทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งขัดขืน แต่สายตาดุตรึงให้พจน์หยุดอยู่นิ่ง เมื่อไอ้กันถอนมือกลับ พจน์รับรู้ถึงเศษกระดาษภายใต้ฝ่ามือซ้ายของตน พร้อมคลี่กระดาษมีรอยฉีกออกจากหนังสือต้นฉบับ เป็นกลอนสี่สุภาพจำนวนสามบท ภายใต้หัวเรื่อง มนตราลีลาทมิฬ

“ตอนมึงล้มลงหมดสติในห้องน้ำเมื่อวันแรกเจอ ตอนนั้นกูคิดว่าเพราะโคลงสี่สุภาพต้องห้ามนั่น แต่วันนี้เมื่อกูสัมผัสตัวมึง ทำให้กูรู้อะไรชัดเจนขึ้น” ใบหน้าเรียวแหลมจ้องพจน์

“ไม่มีสิ่งใดบนพิภพนี้ที่จะช่วยให้อาของมึงฟื้นคืนกลับมาได้” นิธิบอกเล่าเหมือนคุยถึงสภาพอากาศประจำวัน

“มึงหมายความว่ายังไง”
 
“สิ่งที่มึงกำลังเผชิญอยู่เป็นภัยอันตรายใหญ่หลวง กูบอกมึงได้เท่านี้”

“กูจะช่วยอาพลได้ยังไง”

“กระดาษในมือคือคำตอบของคำถามที่มึงถาม” ไอ้กันพยักหน้าใส่กระดาษสีเก่าเหลืองนั่น “กลอนสี่สุภาพสามบทในหนังสือวรรคทองวรรณปราชญ์ซึ่งไม่ได้หล่นลงโดยวิถีธรรมชาติ เป็นเครื่องยืนยันแน่ชัด”

พจน์อ่านทวนอีกรอบหนึ่งในบทสุดท้ายเหมือนมีคำหายไปสี่คำของแต่ละบาท

 
.....เทวาชุบร่างกระจ่างฟ้า
.....สัประยุทธ์ดุจแขไข
.....เพ็ญเช่นเดือนเลื่อนลับไป
.....ฉุดใจวิญญ์กลับรับคืนตน


“กลอนพวกนี้เกี่ยวอะไรกับการช่วยชีวิตอาพล”

“ถ้ากูคาดไม่ผิด ถ้อยคำที่หายไปคือสิ่งที่สามารถช่วยอาของมึงให้หายจากการตกอยู่ใต้คำสาปของลีลาวดีเพลิง” ไอ้กันพูด

“อาการของอามึงไม่ได้เป็นเพราะโรคปัจจุบันเหมือนหมอว่า แต่เป็นอำนาจอำมหิตของจุมพิตสีเลือด เหมือนที่เพื่อนของมึงโดนแต่ถูกช่วยไว้ได้ทันการณ์”

“แล้วสิ่งสิ่งนั้นคืออะไร” พจน์ถามกลับร้อนรน “โปรดบอกกูนะ ไอ้กัน บอกกู แล้วกูจะทำตามทุกสิ่งที่มึงขอ”

“กูช่วยมึงไม่ได้ เพียงมองแค่ครั้งเดียวกูก็รู้ว่าคำที่หายไปคืออะไร แต่เพราะมีพันธะสัญญาบางอย่างผนึกแน่นไม่ให้กูพูดคำคำนั้น และอีกอย่างกูไม่อาจนำกลับมาให้มึงได้ บนโลกนี้มีเพียงแค่มึงคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้” สีหน้าเจ็บปวดประกอบคำพูดของไอ้คนตัวสูง

“โปรดบอกกู” พจน์อ้อนวอนเสียงเบา

“มีมึงคนเดียวเท่านั้นที่รู้วิธี” ไอ้กันส่ายหน้า “กูไม่รู้ว่ามึงทำได้กี่ครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้มึงต้องพยายามควบคุมสติตนเองให้ได้ สติและความรักจะชักนำมึงสู่สิ่งที่กูบอก”

พจน์ก้มลงดูกลอนบทสุดท้ายแต่ในหัวยังมีแต่ความว่างเปล่า ความคิดหลายสิ่งสับสนจนตนไม่อาจนึกออกว่าคำสูญหายเหล่านั้นคืออะไร

“ไอ้พจน์ มึงมองตากู” ไอ้กันสั่ง คนอื่นๆในห้องเสมือนไม่ได้ยินการพูดคุยของเด็กหนุ่มทั้งคู่ ต่างยืนเฝ้ามองคนเจ็บด้วยสีหน้าว่างเปล่า “มึงต้องหัดควบคุมพลังนี้ ตั้งสติให้ดี และนึกถึงสิ่งที่มึงปรารถนา”

คำสั่งของไอ้กันหมายถึงความสามารถใด มันกำลังพูดถึงพลังอะไรที่พจน์สามารถทำได้อย่างนั้นหรือ

“งั้นลองหลับตา” ไอ้กันพูด “นึกถึงคนที่มึงปรารถนาจะพบมากที่สุดบนโลกนี้ คนคนเดียวที่มึงอยากเจอ คนคนเดียวที่มึงมอบสิ่งสำคัญให้แก่มัน”

คำพูดของไอ้กันเริ่มจางหายเหมือนมันถอยห่างและอยู่ไกลแสนไกล คนที่พจน์อยากเจอ และมอบสิ่งสำคัญให้ไว้....มาตะ

ทันทีที่พจน์ลืมตา บรรยากาศเย็นสบายกระทบสู่ใบหน้า เสียงดนตรีจำพวกเครื่องสีดังแว่วผ่านสายลม ท้องฟ้าเกลื่อนดาวส่องสว่างอยู่เคียงข้างกับจันทราเต็มดวง พจน์กำลังนั่งพับเพียบอยู่ในท่าหมอบกราบอยู่บนพื้นพรมสีแดง บุคคลข้างเคียงแต่งกายในชุดสีขาวเหมือนตน นุ่งห่มท่อนล่างคล้ายโจงกระเบนแต่ปล่อยชายลงข้างหนึ่งพร้อมผ้าคล้องไหล่ตกแต่งด้วยเครื่องประดับสีเงินแซมอัญมณี เกล้ามวยผมอยู่กลางกระหม่อม เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพจน์ข้ามพิภพมาอีกครั้งในคราบของมหาดเล็กฝ่ายภูษามาลา ทั้งด้านหน้าด้านหลังมีเด็กหนุ่มวัยเดียวกับพจน์พร้อมอาภรณ์เครื่องประดับเช่นตนนั่งหมอบกราบอยู่นับสิบคน ท่ามกลางเสียงบรรเลงของวงมโหรี มีเสียงพลุประทัดดังแทรกมาเป็นระยะๆ

เบื้องหน้าเป็นศาลาไม้ทรงจตุรมุขลงรักปิดทอง ช่อฟ้า ใบระกา บาลี หางหงส์ส่องสะท้อนสีทองภายใต้แสงจันทร์ แนวผ้าขาวความสูงขนาดสามเมตรขึงตึงโดยรอบ นับตั้งแต่ศาลาทรงจตุรมุขเป็นเสมือนกำแพงแนวยาวกั้นทัศนียภาพเบื้องหลังจรดประตูเมืองสูงใหญ่ทรงมณฑปปลายแหลมขนาดสามประตู มีชวาลาให้แสงสว่างสลับสับหว่างเหนือโคนเสากำแพงผ้า ข้าราชสำนักฝ่ายชายก้มหมอบกราบบนพื้นพรมแดงด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านเป็นสตรีไว้มวยผมสูง พร้อมผ้าคาดอกสีขาว นุ่งผ้าทอยกลายสีเงิน พร้อมเครื่องประดับทองก้มพนมมือหมอบกราบ มีพานทองบรรจุสิ่งประดิษฐ์ลักษณะคล้ายโคมผสมผสานกับกระทง ทุกคนนิ่งเงียบไม่มีใครพูดจาสนทนากัน
 
รอบศาลาทรงจตุรมุขขึงม่านสีแดงรวบชายไว้โคนเสาสลักลายปิดทอง แสงสว่างจากอัจกลับเหนือเพดานส่องให้เห็นโต๊ะหมู่บูชาจำนวนสามชุด ปรากฏเทวรูปยืนองค์ประทับอยู่เหนือแต่ละโต๊ะ มีรูปลักษณ์กิริยาแตกต่างกัน เห็นไม่ชัดว่าเป็นเทวรูปองค์ไหน ชายชราแต่งกายชุดขาวไว้หนวดเครายาวถึงอก เขียนสีหยดน้ำแดงกึ่งกลางหน้าผากจำนวนหนึ่งกำลังอ่านโองการเป็นภาษาที่พจน์ไม่เคยได้ยินมาก่อน น้ำเสียงดังกังวานทำให้ขนแขนพจน์ตั้งชันโดยไม่รู้ตัว กึ่งกลางศาลาเบื้องหน้าโต๊ะบูชาทั้งสามมีตั่งสลักลายลงสีทองตั้งอยู่ถัดมา
 
แผ่นหลังกว้างแน่นของบุรุษในชุดอาภรณ์ขาวเลื่อมระยับเกล็ดสีทองประทับนั่งอยู่ ผ้าคล้องไหล่ขาวตัดกับสร้อยสังวาลย์ทองคำ อัญมณีมีค่าบ่งสถานะสูงส่งของผู้สวมใส่ กล้ามเนื้อแผ่นหลังและกล้ามแขนนูนชัดกำยำ ทรงผมรวบเป็นมวยอยู่ใต้เครื่องครอบศีรษะทองสลักลาย สวมต่างหูทรงกรวยแหลม ไม่อาจเห็นใบหน้าชัดเพราะหันหลังมาทางพจน์นั่งหมอบกราบอยู่ สตรีข้าหลวงก้มกราบหน้าผากจรดพื้น บางส่วนโบกพัดวี บ้างชูพานเหนือหัวพร้อมขวดคนโททองบรรจุน้ำ แลเครื่องราชูปโภคแวดล้อม มหาดเล็กชุดขาวเช่นเดียวกับพจน์ก้มศีรษะแนบพื้นถัดมา

“ก้มหน้าลงบัดเดี๋ยวนี้ หาไม่ข้าจะลากเจ้าไปตัดคอเสียบประจาน ฐานกระทำการจ้องพระพักตร์องค์มหาอุปราช” เสียงเข้มออกคำสั่ง ทำให้พจน์หันมองคนพูดโดยเร็ว

เด็กหนุ่มในอาภรณ์ขาวเฉกเช่นพจน์ พร้อมเครื่องประดับทอง กระชับด้ามดาบทองพร้อมชักออกใบหน้าเครียดขมึง คิ้วขมวดแน่น สีเขียนหยดน้ำขาวกลางหน้าผากสะท้อนชัดท่ามกลางราตรี ริมฝีปากบางสีชมพู จมูกคมสัน นัยน์ตาขีดขอบดำส่งให้แววระริกรื้นเริ่มสั่นไหว จนเจ้าของร่างต้องทรุดกายคุกเข่าลง ละด้ามจับอาวุธดาบทองใช้มือหนาประคองใบหน้าพจน์ให้เชิดขึ้นเพื่อพินิจให้ชัดเจน
 
“ภัทรพจน์”

“มาตะ”

“เจ้าหายตนไปแห่งหนใดฤา ดวงใจของมาตะ” คำพูดของเจ้าคนตัวใหญ่สั่นเครือชัดเจน พจน์อับจนคำพูด เป็นตนเองที่ทิ้งเจ้ามาตะไปโดยไม่ทันได้บอกกล่าว แววตาสนองคำพูดบ่งชัดว่าคนคนนี้เจ็บปวดเหลือประมาณ ณ ช่วงเวลาที่ผ่านมา

“มาตะ เจ้าจักทำให้พระราชพิธีเสียการ” เด็กหนุ่มที่พจน์จำได้ว่าชื่อ โกสินทร์ ผิวกายเข้มกระซิบกับมาตะ

“หยุดเจรจาก่อนเถิด เราจำต้องนำอาวุธคู่กายเจ้าเข้าประกอบเครื่องศาสตราวุธถวายต่อทวยเทพโดยพลัน” พจน์สังเกตเห็นว่าดาบทองคู่กายของมาตะแตกต่างจากของเจ้าโกสินทร์ที่เป็นฝักสีเงินธรรมดา

มหาดเล็กฝ่ายภูษาโดยรอบพจน์เริ่มหันมาสนใจกลุ่มของมาตะและปรากฏเสียงกระซิบกระซาบแผ่ขยายเป็นวงกว้าง รวมถึงหมู่นางข้าหลวงผู้อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วย

“เร่งฝีเท้าเถิด มาตะ พระมหาอุปราชทรงรอคอยพระแสงดาบคู่กายเจ้าอยู่” เด็กหนุ่มนามว่า เวฬุ ร่างอวบกล่าว เหลือบมองพจน์ด้วยแววตาไม่อยากขัดขวางแต่เพราะภาระมอบหมายจำต้องเอ่ย

สีหน้าเจ็บปวดของมาตะแสดงอารมณ์เบื้องลึก มันละมือจากใบหน้าพจน์

“โปรดอยู่คอย ณ ที่นี้เถิดหนาเจ้า อกข้าจะมอดไหม้เพราะความคนึงหา เหตุเพราะกิจหน้าที่จำต้องละเจ้าไว้โดยเดียว อย่าหลบลี้หนีหน้าข้าอีกเลย ใจมาตะจะแตกดับในบัดเดี๋ยวนี้แล้ว”



100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3264778#msg3264778)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๑ ภัยซ่อนเร้น ๑๐๐% (๒๐/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ฤดูใบไม้หลากสี ที่ 20-12-2015 14:34:46
คำเดียว ค้างมาก เอาตรง ๆ นะ เราไม่ได้อยากรู้เลยว่าโลกปัจจุบบันของพจน์จะเป็นเช่นไร แต่อยากรู้แค่ว่าพจน์กับมาตะจะได้ครองคู่กันไหม อารมณ์แบบเหมือนมาตะเป็นเพียงตัวประกอบง่ะ น้องไม่พอใจ !

ละคือแบบฉันอยากให้มีแต่เหตุการณ์ในอดีต สงสารพ่อมาตะคนดีเสียจริง เดี๋ยว ๆ พจน์นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป ห่วย

โห เรียนวิทยาศาสตร์ ก้มกราบคาราวะสิบจอก ฮ่า ๆ มาลงตอนใหม่บ่อย ๆ นะฮะคนเขียน คิดถึงเรื่องนี้มากมายก่ายกอง
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๑ ภัยซ่อนเร้น ๑๐๐% (๒๐/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 20-12-2015 23:45:10
***สุขอ +เป็ด ให้ทุกreplyเลยนะจ๊ะ***


สารภาพตามตรงว่า

1. พึ่งมาอ่านล่ะ อ่านรวดเลย11ตอน
2. อ่านไปขนลุกไป

ไม่เชิงว่าหลอนนะ แต่มันแบบ ขลังๆอ่ะ เหมือนว่านิยายเรื่องนี้มันมีอะไรๆ

โวหารดี ถ้อยคำไพเราะเสนาะหู ไม่ใช่คำสมัยนิยมวัยรุ่นแต่ก็ไม่ใช่ประเภทโบราณที่อ่านแล้วงง

ที่สำคัญคือ บทบรรยาย/พรรณนาละเอียดมากกกกกกกกกกกกกกกกก

ยิ่งกว่าดูละครย้อนยุคในทีวี

ความรู้สึกมันยิ่งกว่านั้นจริงๆค่ะ

ตะลึงหนักไปอีกพอเห็นคนเขียนบอกว่าเรียนวิทยาศาสตร์ ซึ่งมันเป็นอะไรที่คนละแนวเลย

คือถึงจะบอกว่าชอบแต่งกลอนก็เถอะ แต่เเต่งนิยายด้วยภาษาระดับนี้ในยุค4Gมันถือว่าไม่ธรรมดาแล้วนา

(ใช้เวลาแต่งนานมั้ยคะ? แบบว่าด้านการสรรหาคำมาใช้น่ะค่ะ)

ยิ่งแต่ละประโยคที่พ่อหนุ่มมาตะเอื้อยเอ่ยนี่แบบ โอยยยยย อิฉันยอมค่ะ สุนี่ยอมใจเลย (อนาคตถ้าสุพัฒนาฝีมือจนถึงขั้นนี้ได้ก็พอใจแล้วงือ)

ตกลงพ่อมาตะนี่เป็นพระเอกรึเปล่าคะ?

แล้วกันนี่เป็นใครกันแน่? ดูแล้วคล้ายว่าจะไม่ใช่คนนะ ถึงเป็นคนเลเวลก็คงห่างจากคนปกติอยู่โข

ที่ปักใจรักและเทิดทูนพจน์ขนาดนี้นี่แปลว่าก่อนหน้านี้มันต้องมีอะไรดิ? แล้วมันคืออะไรกันล่ะ? เมื่อไรนายพจน์จะรู้ถึงอดีตและอนาคตอันไม่ใกล้ไม่ไกลนี้สักทีน้อ?

นายปาล์มนี่เราอ่านแล้วก็แอบคิดเล็กๆนะว่าเขามีแอบส่วนเอี่ยวกับเหตุการณ์นี้รึเปล่า?

ปาล์มพูดว่าพจน์คือดวงอาทิตย์ โถ่ถัง นายพจน์ก็ดันเข้าใจผิดไปไกล น้ำตานองหมอน  สุดท้ายไปเจอพ่อมาตะปลอบทั้งกายทั้งใจเลยเชียว

ถ้าในอนาคตอันใกล้นายปาล์มเกิดหลุดว่าชอบพจน์นี่พจน์คงช็อคพอควรมั้งนะ

คุณพ่อกับคุณผู้ช่วยมีอะไรๆกับจริงๆด้วย

ตอนล่าสุดก็ตัดจบยังงี้เลยโถ ค้างแบบไม่มีแอบ พรุ่งนี้สุมีสอบตั้ง5วิชาด้วยแน่ะ แย่ๆ

ถึงจะพูดอย่างงั้นแต่ก็จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ



หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๑ ภัยซ่อนเร้น ๑๐๐% (๒๐/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 21-12-2015 18:26:47
ขอบคุณฮะ  สุดยอดเลย
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๑ ภัยซ่อนเร้น ๑๐๐% (๒๐/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: blanchard ที่ 21-12-2015 21:31:13
เจ้มจ้น

รอบทที่ 12    :katai4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๑ ภัยซ่อนเร้น ๑๐๐% (๒๐/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: someone0243 ที่ 21-12-2015 22:02:28
มาแสดงตัวค่ะ ยังไม่ได้อ่านเต็มๆ แค่อ่านผ่านๆก่อน แต่มันอดมาเม้นไม่ได้ค่ะ ตอนเห็นชื่อเรื่องนี่ไม่ได้มีความคาดหวังอะไรเลยค่ะ ถ้าเทียบกับเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะด้วยสัญลักษณ์ รูปแบบการตกแต่งชื่อกระทู้ หรือกระทั่งตัวชื่อเรื่องเองบอกตรงๆว่ากลืนไปกับเรื่องอืนๆมากค่ะ (มีช่วงก่อนหน้านี้มีนิยายชื่อพีคๆค่อนข้างเยอะค่ะ) แต่พอกดเข้ามาสแกนผ่านๆเจอโคลงสี่สุภาพในเรื่องนี่ต้องหยุดมาสำรวจเรื่องเลยค่ะ โคลงนี่โปรประหนึ่งกำลังอ่านวรรณคดี ภาษาสำนวนก็สวย โครงเรื่องก็น่าสนใจดีค่ะ ก่อนจะเจอเม้นว่าคุณนักเขียนเรียนคณะวิทย์นี่ยังคิดๆอยู่เลยว่าต้องจบพวกอักษรไรพวกนี้มาแน่ๆ 5555
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๑ ภัยซ่อนเร้น ๑๐๐% (๒๐/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 21-12-2015 22:18:25
กรี๊ดประโยคสุดท้ายมากๆค่ะ  มาตะรักพจน์มากๆเลย แต่พจน์ก็ไปๆมาๆ  สงสารมาตะมากๆค่ะ
นักเขียนแต่งเก่งมากๆ นักวิทยาศาสตร์เก่งหลายด้านจริงๆค่ะ o13
ลุ้นตอนต่อไปมากๆค่ะ   ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๑ ภัยซ่อนเร้น ๑๐๐% (๒๐/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 22-12-2015 08:59:32
ห๊ะ? ค้างเว่อร์ มาต่อด่วนเลยคนเขียน
คนอ่านจะลงแดงตาย  :a5: :z3:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๒ เล่ห์รักกลกลอน ๕๐% (๒๔/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 24-12-2015 10:09:19
บทที่ ๑๒


เล่ห์รักกลกลอน



คำสวดโองการจากเหล่าพราหมณ์พฤฒาจารย์สอดผสานดังขับขานสยบเสียงร่ำร้องของทุกสรรพชีวิตให้หยุดยั้งในบัดดล พีธิกรรมดำเนินอย่างเงียบสงัดโดยไร้คำสนทนาพาที พจน์ก้มหมอบกราบอยู่บริเวณด้านนอกศาลาปะรำพิธีเป็นเวลานานจนปวดเหน็บขาช่วงล่าง หากไม่เกรงภัยขุนทหารหน้าตาโหดถมึงทึงกระทำประหัตประหารกุดศีรษะตนอย่างเจ้ามาตะประกาศเตือนแล้วละก็ จะลุกคลานหนีออกจากที่แห่งนี้โดยด่วน ทุกคนล้วนหมอบก้มยังมีสติหรือหลับใหลไปแล้วไม่อาจบอกได้
 
“ก้มกราบกรานสามหนแล้วคลานตามข้ามาเถิด”

ใบหน้าเข้มคิ้วหนาอย่างคนมีเชื้อสายแขกของเจ้าโกสินทร์กระซิบกระซาบ พจน์รีบทำตามเมื่อเห็นทางออกของปัญหาที่เผชิญอยู่ ครั้นกราบหนสามพยายามจ้องมองภายในศาลาทรงจตุรมุขไม่แลเห็นเงาร่างของเจ้ามาตะแม้แต่น้อย

“มาตะสั่งความให้พาท่านไปสู่ที่พักให้ผ่อนกายสบายก่อน แล้วจักตามไปไม่ช้าที”

เมื่อเห็นแววตาชะเง้อแลหาอีกฝ่ายจึ่งแจ้งแถลงไข

เด็กหนุ่มร่างใหญ่คลานเข่ายืดตัวตรงองอาจสมชายชาตินักรบมุ่งสู่ทางออกของประตูกำแพงผ้าขาว พจน์ทำตามแต่ติดขัดด้วยท่าทางไม่มั่นคงเหมือนโกสินทร์ อีกทั้งชุดพะรุงพะรังนี้เป็นเครื่องกีดขวางสำหรับดำเนินเป็นอย่างยิ่งทำให้เจ้าคนอยู่ด้านหน้าหัวเราะขำขันเสียงเบา

“เจ้าทำประหนึ่งมิเคยประพฤติอาการเยี่ยงนี้เลยกระนั้น” โกสินทร์เลิกคิ้วสูงประกอบคำถาม

“ไม่เคยน่ะสิ อย่าหัวเราะได้ไหมเล่า”

“หากมิเกรงเจ้ามาตะหึงหวงแล้วล่ะก็ ข้าจักประคองกอดพยุงเจ้าเป็นแน่แท้ แต่เพราะสหายข้าเป็นบุรุษผู้มีลักษณะนิสัยชอบหวงของ แลรักของที่ห่วงดุจดวงใจดั่งว่าแล้ว จึ่งทำให้ข้านี้มิอาจทำอย่างใจนึกได้ อดรนทนเอาเถิด เพียงพ้นกำแพงเขตพิธินี้ก็เดินเหินได้มั่นคงดังเดิม”

พจน์รีบก้มหน้างุดแล้วชันเข่าคลานตามคนตัวสูงโดยเร็ว ความรู้สึกเหมือนโดนจับได้ว่าตนมีใจผูกสมัครรักใคร่กับมาตะอย่างไรอย่างนั้น ทำให้พจน์ยิ่งก้มหน้าคางชิดอกยิ่งกว่าเคย

“ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะห้าวดังชัดเมื่อบัดนี้เด็กหนุ่มทั้งคู่เคลื่อนกายมาสู่ประตูทางออกแล้ว “มิน่าเล่า เจ้ามาตะถึงถวิลหาหนักหนา เพราะอาการดั่งน่าแกล้งน่าหยอกเฉกเช่นนี้เอง”

“พูดอะไรวะ ไม่เห็นเข้าใจเลย” พจน์กระซิบรอดไรฟัน

“บัดนี้ลุกยืนได้แล้ว มา ข้าจักช่วย”

มือเข้มตะคองไหล่พจน์ให้ทรงกายยืดตรง

ทหารร่างบึกบึนนุ่งผ้าหยักรั้งสีแดงสวมชุดเกราะทอง ทั้งแขน ขา รวมถึงศีรษะ ล้วนสลักลายนูนเป็นรูปสิงห์ มือซ้ายถือโล่ทองสลักลายเป็นหน้าพยัคฆ์ มือขวากำทวนห้อยพู่ขาวกางกั้นทางออกอยู่คนละฝั่ง

อาการปรับกิริยารวดเร็วจากนั่งเป็นยืนกอรปกับตะคริวลุกลามอยู่เท้าซ้ายทำให้การทรงตัวของพจน์ไม่สมดุลอย่างที่คิด ทำให้เซซบเข้าหาอกคนผู้ช่วยพยุงทันที แต่ร่างหนาดุจเสาปักหลักมั่นคงรองรับไว้อยู่ อุบัติเหตุนำสู่ใกล้ชิดของคนทั้งสองทำให้โกสินทร์ยืนนิ่งไม่อาจพูดจาต่อดั่งนิสัยช่างเจรจาได้

“ขอโทษที เท้ามันชาอ่ะ ขอบใจนะ”

พจน์ผละออกจากอ้อมอกคนผิวเข้ม เขย่งปลายเท้าก้าวผ่านทหารเวรยามซึ่งยกทวนกางกั้นออกโดยพลัน ภายนอกเขตกางกั้นพระราชพิธียังมีทหารไพร่ชั้นเลวก้มหมอบกราบอยู่โดยรอบ ฉนวนทางเดินเป็นดินแห้งโชคดีที่พจน์ส่วมรองเท้าหนังสานเป็นลายรัดข้อเท้าไว้อีกชั้น หันกลับไปมองผู้เป็นตัวแทนของมาตะ ก็พบสีหน้าเคร่งเครียดของโกสินทร์ยืนมองพจน์อยู่เช่นกัน ก่อนจะเดินตามมา เจ้าโกสินทร์เดินผ่านพจน์รวดเร็วดุจสายลม

“แล้วนายจะพา...”

พจน์เกาท้ายทอยด้วยสีหน้างุนงง เมื่อเจ้านั่นไม่แม้จะเหลียวฟังคำพจน์เช่นเหมือนก่อน ทำให้ต้องเร่งสาวเท้าตามติด

แนวทหารเวรยามชุดเกราะทองกางกั้นทวนเป็นกำแพงยาวขนาบอีกชั้น เบื้องหน้าคือประตูเมืองขนาดใหญ่จำนวนสามบานฉาบทาสีแดงตัดกับสีขาวของขอบประตู ยอดมณฑปทั้งสามพุงสูงเสียดฟ้าจนต้องแหงนหน้ามองคอตั้ง ประตูบานกลางปิดแน่นสนิท เปิดเพียงประตูขนาบข้างซึ่งเล็กกว่าเท่านั้นให้ผู้คนเดินเข้าออก

ถนนดินขนาดกว้างประมาณพาหนะขับสวนกันได้ทอดผ่านหน้าประตูจรดตลอดแนวกำแพงเมืองสูงจนลับสายตา รูปปั้นสิงห์สลักลายวิจิตรบรรจงขนาดใหญ่มหึมาตั้งขนาบประตูเมืองเป็นทวารบาลเสมือนผู้คุ้มครองป้องกันภัย ดวงตาสีดำสนิทสะท้อนแสงคบไฟดุจมีชีวิตชีวา ด้านหลังใบเสมาเหนือกำแพงมีทหารชุดเกราะทองเดินเวรยามสวนกันไปมา ระหว่างช่องว่างของใบเสมามีโคมกระดาษสีขาวภายในจุดเทียนให้ความสว่างประดับประดาเหนือเชิงเทินตลอดความยาว รวมถึงริมถนนล้วนมีเสาประดับด้วยโคมกระดาษแก้วหลากสีส่องสว่างเป็นแนวยาวเช่นกัน

ผู้คนที่เดินขวักไขว่ล้วนแต่งกายคล้ายคลึงกัน ถ้าเป็นชายจะนุ่งผ้าหยักรั้งเปลือยอก บ้างคล้องผ้าคล้องไหล่ มุ่นมวยผม แต่หากเป็นสตรีจะนุ่งผ้าถุง คาดอกด้วยผ้าแถบ เกล้าผมเป็นมวยสูง ใส่ผ้าคล้องคอ ประดับด้วยกำไลข้อมือ ข้อเท้า หรือต่างหู ทำจากเงินหรือทองตามฐานะของแต่ละคน ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส่ทักทายพจน์เมื่อเดินผ่าน

“ตามข้ามาทางนี้” โกสินทร์บอก

พจน์มัวแต่สนใจสิ่งรอบข้างจนลืมว่ากำลังจะไปที่แห่งหนใด ทางเดินนั้นเป็นถนนเรียบกำแพงเมืองด้านซ้ายมือ เมื่อพ้นแนวทหารเกราะทองที่ยืนกางกั้นอาณาเขตพระราชพิธีอยู่นั้น หมู่เรือนผนังไม้มุงหลังคาด้วยจากจึงผุดปรากฏขึ้นแน่นขนัดอยู่สองข้างถนน ผู้คนสนทนาพาทีทักทายดูรื่นเริง เด็กเล็กๆล้วนถือโคมกระทงวิ่งเล่นสนุกสนาน หน้าเสาเรือนประดับประดาด้วยโคมไฟเฉกเช่นกัน เด็กกลุ่มหนึ่งกำลังจุดพลุประทัดให้แสงและสีพิศดาร พร้อมเสียงประกอบดังผสาน สร้างเสียงหัวเราะแก่ผู้เล่นเป็นอย่างดี

โกสินทร์เดินนำพจน์แต่ทิ้งระยะห่างไว้ไม่ให้คลาดกัน ผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่ ชมการละเล่นริมถนน บ้างเป็นการแสดงรำดาบ บ้างเป็นการแสดงปีนเสาน้ำมัน คราใดเมื่อคนปีนลื่นตกลงก้นกระทบพื้นเสียงเฮก็ดังระงมผสานกันโดยมิได้นัดหมาย แต่เสียงสวดของหมู่พราหมณ์ยังคงดังแว่วผ่านสายลมมาเป็นระยะๆ
 
“เลี้ยวตรงนี้” โกสินทร์จำต้องคว้าข้อมือพจน์ไม่ให้ไหลลามไปตามฝูงชน พาเข้าสู่ตรอกซอกซอยแห่งหนึ่ง

บ้านเรือนยกพื้นไม่สูงมากนักประดับโคมหลากสีไว้หน้าเรือนเป็นเครื่องนำทางแก่ผู้คน พจน์เดาว่าที่นี่คงมีงานเทศกาลรื่นเริงอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นแน่

ร้านรวงค้าขายอาหารพื้นถิ่น ขนมแปลกตาที่พจน์ไม่เคยได้เห็นในสมัยปัจจุบันแล้ววางเกลื่อนบนแคร่ไม้ไผ่ริมทางดินขรุขระ เด็กชายหญิงต่างรุมล้อมส่งเสียงอยากได้ๆ ร้อนถึงพ่อแม่ต้องมาห้ามปรามบ้างจำต้องควักเงินจ่ายเพื่อยุติอาการร้องไห้ โกสินทร์พาพจน์เข้าสู่โรงเหล้าที่บุรุษจำนวนมากต่างร่ำสุรายาเมาส่งกลิ่นแอลกอฮอล์ชั้นดีอยู่บนแคร่ไม้ ในลานกว้างเปิดโล่งติดกับเรือนไม้ไผ่แห่งหนึ่ง ลูกค้าใบหน้าแดงกร่ำ บ้างสนทนา บ้างร้องรำทำเพลง ประกอบจากดนตรีเคาะมือทำเอง หญิงร่างใหญ่ใบหน้าขีดเขียนขอบตาและคิ้วโค้งโก่งผัดหน้าขาววอก ที่คาดว่าคงเป็นเจ้าของร้านร้องตะโกนก้อง

“เพลาๆหน่อยโว๊ย พวกเอ็ง บัดเดี๋ยวทหารหลวงจักมาจับพวกมึงเข้าตะรางเสียหมด”

“เหตุใดข้าต้องเบาเสียงด้วยล่ะ แม่แดง หลวงท่านอุตส่าห์กำหนดราตรีนี้เป็นวันพระราชพิธีจองเปรียงลดชุดลอยโคมเพื่อถวายแก่ทวยเทพ แลงดเก็บภาษีจังกอบเป็นเพลาสามเดือนดั่งนี้ ชาวเราจำต้องฉลองเป็นกุศุลผลบุญต่อเทพเจ้าทั้งสามมิใช่ ฤา ฮ่าๆ” ชายหน้าแดงก่ำตอบร่างโอนเอน

“เหตุเพราะพระราชพิธีจองเปรียงในครานี้ ตรงกับเพลาน้ำหลาก พืชผลผลาหาร ภักษาหาร มังสาหารล้วนบริบูรณ์พูลสุก พระเจ้าอยู่หัวจึ่งพระราชทานเบี้ยหวัดเงินปีแก่ราษฎรโดยถ้วนหน้ามิแยกฐานะจนรวย เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้ว” นางแดงพนมมือเหนือเกล้า

“แต่มิใช่ให้พวกเอ็งๆเอามาลงในไหเหล้าจนหมดนะเว้ย เอาไปให้ลูกเด็กเล็กแดงพวกเอ็งได้มีข้าวตกถึงท้องด้วย”

เสียงหัวเราะดังเฮกลบคำเตือนของหญิงเจ้าร้านโดยสิ้น นางแดงเบือนหน้าหนีจากลูกค้าเหมือนไม่สบใจกลับมาเตรียมกับแกล้มกับปลาประกอบสุรายาเมาต่อ มีข้าทาสเป็นแรงช่วยอีกจำนวนหนึ่ง

“แม่ป้าจ๊ะ”

“มีกระไรรึพ่อหนุ่ม” หญิงร่างใหญ่ถามกลับรวดเร็วตามประสาคนค้าขาย

“ข้าจักขอเช่าเรือนพักสักห้องหับหนึ่งเพียงสามชั่วยามน่ะจ๊ะ” โกสินทร์ยิ้มกว้าง
 
“อุ๊ยตาย อกแม่จะแตก นึกว่าชายชาตรีรูปงามที่ไหน ไฉนเลยข้าจักจำพ่อโกสินทร์ มหาดเล็กวังหน้ามิได้เล่า” นางแดงจีบปากจีบคอตอบ ทำกิริยาอายสะเทิ้นราวกับสาววัยกำดัดถูกสับพยอก พจน์อมยิ้มนึกขันแอบหลบอยู่หลังเจ้าคนตัวใหญ่

“แลราตรีนี้หญิงงามผู้มีโชคนั้นคือสตรีจากแหล่งใด ฤา” ผ้าแถบสำหรับรัดทรวงอกใหญ่มหึมานั้นแทบจะแบกรับน้ำหนักไม่ไหวเสมือนจะหลุดได้ทันทีเมื่อมีคนสัมผัส

“มิได้จ๊ะ เป็นพ่อมาตะ บุตรชายสุดรักของแม่ต่างหากเล่า หาใช่ตัวข้าดอก”

“เทพยดาเป็นพยาน” นางอุทานประหนึ่งไม่อยากเชื่อถือในสิ่งที่ได้ยิน เอามือทาบอกใหญ่ “เป็นจริงกระนั้นรึ”

“จริงขอรับ”

“ทุกทิวาราตรีข้าจักได้ยินเรื่องประหลาดสักเรื่องหนึ่ง มินึกว่าค่ำนี้จักเป็นเรื่องที่พ่อคุณกล่าว”

หญิงร่างอ้วนหันไปกำชับนางทาสให้ทำอาหารสนองคำขอของคอสุราต่อ แล้วย้ายร่างเทอะทะมุ่งตรงสู่เรือนพักเบื้องหลัง คะเนจากสายตาน่าจะมีไม่ต่ำกว่าสิบห้อง นางเลือกห้องตรงกลางหยิบกุญแจแล้วไขแม่กุญแจที่คล้องโซ่ไว้ออก

“หากเป็นพ่อโกสินทร์ ฤา พ่อเวฬุ ข้าจักมิตกอกตกใจขนาดนี้ แต่พวกเจ้าเจริญวัยเติบกล้าถึงเพียงนี้แล้ว เอาเถิด แล้วพ่อตัวดีที่ริอาจลองรสกามาอยู่หนใด ฤา พ่อ”

“ประกอบกิจอยู่ ณ โรงพิธีขอรับ บัดเดียวจักตามมา” โกสินทร์อธิบาย

“ดีล่ะ คืนนี้ฤกษ์ดีนัก จำเราจักนำสุราชั้นเลิศจากเมืองมิตรประเทศมามอบเป็นเครื่องประกอบยินดีแก่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของข้าเสียที เจ้าว่าดี ฤา ไม่” นางโบกมือสวมแหวนทองประดับอยู่เกือบห้านิ้ว รวมถึงต่างหู  กำไลข้อมือ และข้อเท้าด้วย

“ดีขอรับ” โกสินทร์รับสมอ้าง

“เอ๊ะ แล้วผู้ใดทำลับลมคมในอยู่ด้านหลังเจ้ากันรึ” นางแดงชะแง้หน้าแล้วสบตาพจน์ “อุ๊ยตาย งามราวกับนางห้ามนางใน”

หญิงร่างใหญ่ยื่นมืออวบอูมดึงพจน์เข้าใกล้เพื่อพินิจพิจารณา

“แล้วเหตุใดถึงต้องตบแต่งกายเป็นชายเช่นนี้กระนั้นรึ ชะแม่” พจน์ไม่แน่ใจว่าแปลถ้อยคำโบราณนั้นถูกต้องหรือเปล่าเลยหันหน้าขอความช่วยเหลือจากเจ้าโกสินทร์ “ว่าไง พ่อโกสินทร์”

“คือดั่งนี้ขอรับ เพื่อมิให้เป็นที่ต้องตาของผู้ใด เจ้ามาตะเลยออกอุบายลวงพราง ไม่ให้ใครผิดสังเกตน่ะขอรับ”

“แหม ปัญญาฉลาดเฉลียวดีแท้ ถึงจักขึ้นชื่อว่ามาตะบุตรรักของข้า” นางแดงหัวเราะขบขันเหมือนยกดื่มสุรายาดองประมาณสามไห “เอาล่ะ เชิญๆ”

โกสินทร์ดันร่างพจน์ถอยห่างเข้าประตูห้องยิ้มส่งท้ายจนประตูปิดงับบังนางเจ้าของเรือนพักลับสายตา  ภายในห้องฝาหนังปิดทึบตกแต่งเรียบง่ายมีเพียงเตียงนอนแลฟูกหมอน ผ้าห่มอีกหนึ่งผืน พร้อมม่านมุ้งรวบไว้เหนือเตียงเท่านั้น กลางห้องมีตั่งไม้หนึ่งตัวตะเกียงไฟถูกจุดวางไว้อยู่บนนั้น ตรงกันข้ามมีประตูอีกบาน พจน์ผลักออกสู่ชานเรือนกว้างยื่นออกไปในผืนน้ำขนาดใหญ่ พอประมาณความกว้างจากการกะระยะด้วยสายตาน่าจะเทียบเท่าแม่น้ำเจ้าพระยา แสงไฟวับแวมจากฝั่งตรงข้ามคงมาจากหมู่เรือนริมแม่น้ำเช่นเดียวกัน

“พระราชพิธีจักเสร็จสิ้นอีกไม่กี่เพลานี้แล้ว อดใจรอหน่อยเถิด” โกสินทร์พูดขึ้น

บ่าวทาสหญิงสองคนยกคนโทใส่สุราเข้ามา สายน้ำไหลเย็นสะท้อนสู่บรรยากาศ พจน์หันซ้ายแลขวาพบเรือนพักริมน้ำปลูกสร้างติดกันสุดลูกหูลูกตา

“ขอบใจนะ” พจน์เดินกลับเข้าห้องยิ้มกว้างให้คนตัวสูงกว่า “นายคงพาสาวมาที่นี่บ่อยล่ะสิ เจ้าของร้านถึงได้ทักแบบนั้น”

พจน์ขยิบตาและยกยิ้มยั่วล้อ

“เอ่อ...ข้า ข้า...มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด”

“เฮ้ยอย่าปฏิเสธเลย ผู้ชายวัยฮอร์โมนพลุ่งพล่านก็เป็นอย่างนี้ทุกคนแหละ” เด็กหนุ่มตาสวยตบไหล่เจ้าโกสินทร์ให้กำลังใจ

“ข้า...”

เสียงประตูเปิดผลัวะพร้อมร่างขาวกระจ่างของเจ้ามาตะถลันเข้ามา แรงหอบหายใจพิเคราะห์ว่าคงออกแรงวิ่งมาอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อดวงตาห่วงหากวาดมองเห็นพจน์ก็บังเกิดประกายเหมือนเจอของสำคัญ พุ่งเข้ากอดคนร่างบางไว้ในอ้อมแขนล่ำ อาการหุนหันพลันแล่นทำให้พจน์ต้องเหลียวมองอีกคนที่อยู่ในห้อง แต่เจ้าโกสินทร์เหมือนรู้การณ์ดีจึงถอยออกไปรออยู่หน้าห้องโดยเร็ว มันเวียนจูบลำคอพจน์ สูดกลิ่นหอมนวลจากพวงแก้ม และจุมพิตดูดดื่มชดเชยความทรมานที่ผ่านมา
 

“จากลาไปชอกช้ำระกำอก
พี่วิตกโศกเศร้าเมามัวหมอง
นวลน้องรักหักทรวงดวงละออง
ปล่อยพี่ครองจิตภักดิ์ปักหัวใจ”


คำบริภาษเป็นกลอนของมาตะทำเอาความรู้สึกผิดของพจน์พุ่งล้นสุดระงับ

“มาตะ นายอย่าเสียใจไปเลย คือ เราไม่ได้....”

ยังไม่ทันที่พจน์จะพร่ำพูดจบประโยค เจ้าคนผู้คร่ำครวญเป็นบทกลอนจึ่งประกบปากหยุดยั้งคำแก้ต่าง มิหนำซ้ำยังขยับร่างคนในอ้อมอกทอดตัวลงบนฟูกนอน


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3267034#msg3267034)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๒ เล่ห์รักกลกลอน ๕๐% (๒๔/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 24-12-2015 10:36:48

ในที่สุดก็มาต่อแล้ววว

แหม่ พ่อมาตะจ๊ะ มาเป็นกลอนเชียวนะพ่อ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๒ เล่ห์รักกลกลอน ๕๐% (๒๔/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 24-12-2015 12:38:53
โอยยยยยย รออีกครึ่งจ้าาาาา
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๒ เล่ห์รักกลกลอน ๕๐% (๒๔/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: wwss2220 ที่ 24-12-2015 19:52:12
สนุกมากค่ะ  มาต่อเร็วนะค่ะ.   เป็นกำลังใจให้คะ :ling1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๒ เล่ห์รักกลกลอน ๕๐% (๒๔/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 24-12-2015 20:39:33
พ่อมาตะมาเป็นกลอนเลยนะจ๊ะ จะอ้อนเอาอะไรจากพจน์นะ อิอิ

ส่วนพ่อโกสินทร์  ก็เหมือนจะหลงเสน่ห์พจน์อีกคนแล้ว

พจน์จะรู้ตัวไหมว่ามีคนมาชื่นชอบมากมายเลย  แล้วถ้ารู้ว่าปาล์มก็ชอบพจน์จะเป็นยังไงนะ

ชอบบทกลอนมากๆค่ะ  ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๒ เล่ห์รักกลกลอน ๕๐% (๒๔/๑๒/๕๘) หน้า ๓ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 24-12-2015 21:23:27
แอร๊ยยยยยยยยยยยย โดนแน่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :jul1: :jul1: :jul1: :jul1: :jul1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๒ เล่ห์รักกลกลอน ๑๐๐% (๒๗/๑๒/๕๘) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 27-12-2015 09:44:57
[ต่อ]


“น้องท่าน ทำข้าระทมหม่นไหม้นัก” มาตะผละจูบ จับจ้องใบหน้างามงดของคู่พิศวาส

“เดี๋ยวๆ ถ้าเราจำไม่ผิดนายอ่อนเดือนกว่าไม่ใช่หรือ ทำไมเรียกว่าน้องเล่า” พจน์ปัดป้องมือซึ่งโลมไล้ผิวกายตนอย่างอับจน

“ถูกแล้ว แม้นวันคืนถือกำเนิดจักชักนำให้น้องท่านมาก่อน แต่มาตะนี้ขอถือฐานะเป็นดั่งผู้ดูแลให้สมใจมุ่งมาดปรารถนา จึ่งนับเอาว่าตัวเป็นพี่เฝ้าทะนุถนอมน้องท่านไว้ในอ้อมอกมิให้มีภัยอันตรายมาแผ้วพาน”

“อือๆ แล้วแต่นายแล้วกัน แต่ลุกไปจากตัวก่อนได้หรือเปล่า”

เด็กหนุ่มแพขนตายาวกีดกันอกแน่นของคนเบื้องบนด้วยสองมือ แรงกดทับดื้อดึงเป็นกิริยาโต้กลับว่าเจ้ามาตะปฏิเสธคำร้อง

“จักให้ข้าหักห้ามใจมิให้แตะต้องตัวน้องท่านเลยนั้น เสมือนดั่งห้ามมดมิให้ลองลิ้มชิมน้ำตาล ข้ามิอาจทำตามคำเจ้าได้” ว่าพลางก็ก้มลงสูดกลิ่นหอมหวานชื่นใจจากลำคอขาว

คำหวานของเจ้ามาตะทำให้พจน์ปั่นป่วนทั้งทางกายแลใจ กระสับกระส่ายจำยอมให้อีกฝ่ายฉกชิมรสสวาทตามแต่ใจเริงรมย์ พจน์ต้องกำมือระงับอารมณ์ร้อนรุ่มทั่วกาย
 
“ขอโทษ ที่จากไปโดยไม่ได้บอกลา” พจน์เอื้อนบอกจากน้ำใสใจจริง มาตะยับยั้งชั่งใจ เงยหน้าจากซอกคอละเอียด ดวงตาฉ่ำน้ำ สีหน้าเจ็บปวดดูสะกดกลั้นอารมณ์เบื้องลึก

“ข้าเฝ้าตามหาน้องท่าน ณ สำนักที่อยู่ แต่หามีผู้ใดรู้จักนามภัทรพจน์ไม่ จนกระทั่งข้านำเรื่องนี้ปรึกษาพระอาจารย์โกสินธพ”

“นายเอาเรื่องเราไปพูดกับอาจารย์ของนายหรือ” พจน์ยกมือปิดหน้ารู้สึกวุ่นใจเขินอาย

“น้องท่านอย่าได้ตีโพยตีพายเหตุเพราะความด่วนได้ใจร้อนของข้าเลย” มาตะกุมมือพจน์ไว้ในอ้อมอุ่น “หาไม่ดวงใจมาตะคงแดดับหม่นหมอง”

“น้องท่านจะลงทัณฑ์ข้าก็ย่อมได้ แต่โปรดฟังให้จบสิ้นความก่อน”

พจน์ไม่รู้ว่าตอนนี้ความรุ่มร้อนกับความเขินอายอย่างไหนท่วมท้นในใจมากกว่ากัน จึ่งชันกายลุกนั่งแล้วหันหลังให้คนตัวหนากว่า

“ในชั้นแรกข้าปรารภถึงเหตุแห่งทุกข์ของการพบแลจาก มิได้กล่าวอ้างถึงน้องท่านแม้เพียงนิด ตามประสาผู้ศิษย์แลอาจารย์ยามสบหน้าเล่าความสุขกายต่อกันแลกัน มาตรว่าจะด้วยกฤษดาภินิหาร ฤา กุศลผลบุญซึ่งบำเพ็ญเพียรมาช้านานของพระอาจารย์โกสินธพ ครูท่านทักข้าว่า บุรุษน้อยผู้คู่เคียงละเจ้าไว้โดยเดียวจึ่งทุกขเวทนาดั่งนี้ใช่ ฤา ไม่ ข้าก้มกราบอัศจรรย์ในญาณสมาบัติเหนือทุกผู้คนน้อมรับว่า จริงดังพระอาจารย์กล่าว พลางว่า เหตุแห่งทุกข์คือตัวคน แต่บัดนี้ข้าพเจ้ามิอาจจะค้นหาเหตุแห่งทุกข์นั้นได้จากที่ใด จึ่งตรอมตรมขมใจยิ่งกว่าได้รับพิษบาดแผล

พราหมณ์ผู้เฒ่าจึ่งว่า มาตะเอย เหตุแห่งทุกข์นั้นหาได้ทำให้เจ้าทนทรมาน แต่เป็นกิเลสในรูปของความอยาก อยากพบ อยากเจอ อยากสัมผัส อยากครอบครอง ทุกสิ่งล้วนเป็นกิเลสในใจเจ้าโดยสิ้น ศิลปศาสตร์วิทยาการซึ่งข้าพร่ำถ่ายทอดสู่เจ้านั้นล้วนเป็นสรรพวิชาต่อการบ้านการเมือง แต่ทางด้านจิตใจนั้นศิลปศาสตร์ลึกล้ำนี้เป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญพรตเท่านั้นจะตระหนักรู้ หากเจ้าจักระงับทุกข์จากกิเลสแลเหตุแห่งทุกข์นั้นดั่งว่าแล้ว จงปลดเปลื้องภาระทางโลกอาณาจักรสู่พราหมณ์อาณาจักร นั่นแล้วเจ้าจึ่งไร้ซึ่งความทุกข์ทั้งปวง สิ้นคำของครูพราหมณ์ ข้าฟุบกายน้อบกราบ รู้สึกผ่องแผ้วอย่างประหลาด ความอัดอั้นในใจเริ่มผ่อนปรน คำปรึกษาต่ออาจารย์ล้วนมีแต่เพียงเท่านี้แล”

พจน์ลอบถอนหายใจ นึกเกรงมาตะจะเล่าสัมพันธ์ทางกายของคนทั้งคู่ต่ออาจารย์ตัวเสียแล้ว

“น้องท่านจักตัดสินลงโทษมาตะหรือให้มาตะนี้ลงทัณฑ์”

รอยยิ้มพริ้มเพรานั้นทำให้พจน์หน้าขึ้นเฉดสี มือหนารวบกุมไว้ใกล้อก
 
“จะเอาโทษอะไรกันเล่า ช่างเถอะ” พจน์เบี่ยงกายหลบหนีหน้าคนเจ้าเล่ห์ คำเสนอบ้าบออะไรกัน เลือกทางไหนพจน์ก็มีแต่เสีย จึงปิดปากเงียบ

“หากน้องเรามิคิดชำระความเอาผิดตามโทษานุโทษแล้ว โปรดปลอบประโลมมาตะให้คลายจากความเจ็บแลคนึงหาด้วยเถิดเจ้า” สีหน้าเว้าวอนออดอ้อนทำให้พจน์รีบก้มหน้า ตัวเองรู้ว่าแพ้ทาง หากจ้องมองต่อไปคงต้องตกหลุมพรางของคนมากเล่ห์เป็นแน่แท้

“จากจวบพบเจอกันพลันชื่นจิต
พี่เฝ้าคิดนวลปรางกระจ่างใส
ซบตรึงแนบเนื้อกายคลายเคลื่อนไป
อยู่เคียงใกล้ดั่งไกลแสนนที”

มาตะละมือพจน์แล้วจดจ้องแสงไฟจากตะเกียงน้ำมัน สีหน้าอ้อนเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วแน่น พร่ำเพ้อเป็นกลอนสี่สุภาพอีกครั้ง

“จากคืนวันทุกข์ตรมระทมเศร้า
พี่ครวญเฝ้าวาดฝันวันสุขี
ฝ่ามือน้อยตะคองกอดปลอบฤดี
คงไม่มีวันคืนกลืนน้ำตา”

“มาตะ เราไม่ได้จะปฏิเสธแต่เรามีเรื่องเดือนร้อนบางอย่าง”

พจน์ดึงแขนล่ำให้หันหน้ามาสบตากันอีกครั้ง อาการสำแดงเป็นกลอนของมาตะทำให้พจน์จำสิ่งที่ทำให้ตนต้องเร่งร้อนข้ามพิภพมาได้ ก้มลงมองมือขวาของตนเอง แผ่นกระดาษหน้าที่ถูกฉีกออกจากหนังสือต้นฉบับที่ไอ้กันให้พจน์ยังคงอยู่ เขาจำได้ว่ามาตะมีความสามารถด้านการแต่งกลอนเป็นเอกเช่นเดียวกัน

“นายช่วยไขปริศนากลอนนี่ได้ไหม รู้จักหรือเปล่าว่ามันคืออะไร” พจน์ปรึกษาพร้อมยื่นกระดาษกลอน

สีหน้าเคร่งขรึมเปลี่ยนเป็นฉงนสนเท่ห์ฉับพลัน

“เกิดเหตุอันใดกระนั้น ฤา”

“ลีลาวดีเพลิง” ภาพอาธนพลบนเตียงคนไข้พร้อมเครื่องช่วยชีวิตชัดเจนในห้วงความคิด “จุมพิตสีเลือดทำให้ญาติของเราบาดเจ็บ นายรู้จักหรือเปล่า”

มาตะคลี่กระดาษกลอนสามบทให้เรียบตึงแล้วขยับนั่งบนตั่งกลางห้องใกล้กับตะเกียงไฟ พจน์ขยับตามประชิด
 
“เป็นอักขระกลอนที่ข้ามิเคยประสบพบเจอมาก่อน” มาตะสารภาพ “แต่ไม่มีใครในมหาอาณาจักรนี้ไม่รู้ซึ้งถึงพิษภัยของจุมพิตสีเลือด อาวุธร้ายกาจซึ่งสามารถสังหารชีวิตชาวเราได้”

“มีคนบอกว่ากลอนบทสุดท้าย คือปริศนาของการช่วยคืนชีวิตของผู้ประสบเหตุจากลีลาวดีเพลิงได้ คำที่หายไปในแต่ละบาทคือคำตอบที่เราต้องการ” พจน์ชี้จุดที่คำสี่คำหายไป มาตะขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม ใบหน้าหล่อเหลาดุจรูปปั้นเทพพินิจพิจารณา

“เท่าที่ข้ารู้ไม่มีใครรอดชีวิตจากจุมพิตสีเลือด” มาตะตอบประสาซื่อ

พจน์กำมือแน่นรู้สึกมึนงงชั่วขณะ ความหวังที่จะช่วยอาธนพลกลับมืดมนอนธการอีกครั้ง

“กลอนนั่นบอกว่าต้องกระทำชุบร่างในคืนวันเพ็ญ และเราคิดว่าถ้าพ้นคืนนี้ไปอาพลคงไม่มีทางรอด” พจน์พูดตามความเข้าใจ

“เป็นเช่นนั้น ให้ข้าได้ตรึกตรองจงดีก่อน น้องท่าน อย่าได้ทอดถอนกำลังใจ หากใจเจ้าเจ็บข้าก็เจ็บเสมอด้วย เรามาร่วมกันแก้ไขปริศนานี้ให้ทุละปรุโปร่งเถิด”

พจน์สลัดความคิดด้านร้ายออก ความหวังยังคงมีอยู่ตามมาตะว่า คนตัวหนาจูบหน้าผากพจน์ปลอบประโลมให้คลายโศก

“ข้ามิรู้ว่าน้องท่านประสบเหตุเภทภัยใหญ่หลวงจึ่งมัวแต่โอ้โลมตามประสา มิได้มีเจตนายื้อหยุดฉุดให้เสียการ จงปลดเปลื้องลืมหลงความน้อยอกน้อยใจของข้าเสียเถิด อย่าได้ปริวิตกเลย”

“อืม”

“หากว่ากลอนนี้คือหนทางเยียวยาแล้วไซร้ คำที่เลือนหายจึ่งเป็นสิ่งของที่ใช้เยียวยามิผิด” มาตะว่าพลางพิเคราะห์พลาง

“เราก็ว่าน่าจะเป็นสิ่งของบางอย่างหรืออาจจะเป็นยาสมุนไพรที่ใช้รักษาได้” มาตะส่ายหน้า

“พิจารณาจากคำกลอนบริบทเบื้องหลังแล้ว คำหน้าบาทจำต้องเป็นสิ่งที่เทพเป็นผู้ประทานหรือสร้างสม” พจน์ก้มใบหน้าชิดกับคนรูปงาม ทำให้ปลายจมูกโด่งเสียดสีกันชั่วครู่ มาตะหลับตาระงับอารมณ์เบื้องลึก พจน์สะดุ้งถอยห่างสีหน้าขัดเขิน

เทวาชุบร่างกระจ่างฟ้า ต้องเกี่ยวกับเทพเทวดาแน่ๆ” พจน์ปักใจแน่วแน่ “ถ้างั้น สัประยุทธ์ดุจแขไข ก็คงต้องเกี่ยวกับการต่อสู่สินะ”

“ข้าคิดเห็นเป็นเช่นนั้น คำนำหน้าของ เพ็ญเช่นเดือนเลื่อนลับไป จำต้องเป็นสิ่งธรรมชาติเช่นเดียวดั่งเดือนเพ็ญ”

“ส่วนบาทสุดท้าย สิ่งที่จะ ฉุดใจวิญญ์กลับรับคืนตน คืออะไรล่ะ”

มาตะหลับตาระลึกถึงสิ่งทั้งหลายซึ่งประกอบคำสี่คำเป็นรูปประโยคหนึ่งเดียว ฉับพลันใบหน้าหล่อดุจเทพบุตรลืมตามีประกายกล้า พร้อมรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะฉกขโมยจูบพจน์โดยเร็วเป็นรางวัล พจน์หน้าขึ้นสีอีกครั้ง

เหตุเพราะกลิ่นเนื้อนวลของน้องท่านเป็นเสมือนยาดีชุบสติตรึกตรองของข้าให้โลดแล่นปลอดโปร่งกระจ่างแจ้ง รวมถึงริมฝีปากแดงก่ำนำปัญญามาสู่มาตะ เช่นเดียวกับดวงตาสีเนื้อทรายที่ทำให้จิตใจข้าคำนึงคิดถูกต้อง นับเป็นสิ่งประเสริฐที่น้องเจ้ามาประทับนั่งเป็นขุมกำลังเคียงข้างกาย

มาตะพร่ำพรรณนาลักษณะรูปกายพจน์โดยละเอียดถี่ถ้วนพร้อมยกยอสรรเสริญ

“หมายความว่านายคิดออกแล้วใช่ มาตะ มันคืออะไรล่ะ”

รอยยิ้มกว้างที่นานครั้งจะพบเห็น ปกติเจ้านี่ชอบทำหน้านิ่ง ส่งให้หัวใจพจน์เต้นผิดจังหวะ

ทวน เทวาชุบร่างกระจ่างฟ้า
อัศวา สัประยุทธ์ดุจแขไข
ราตรี เพ็ญเช่นเดือนเลื่อนลับไป
กาล ฉุดใจวิญญ์กลับรับคืนตน”

มาตะท่องเป็นกลอนครบถ้วนสมบูรณ์จบ

ทวนอัศวาราตรีกาล” พจน์รวมเป็นคำที่ถูกต้อง มาตะพยักหน้ารับพร้อมมอบจุมพิตแสดงความยินดี


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3269657#msg3269657)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๒ เล่ห์รักกลกลอน ๑๐๐% (๒๗/๑๒/๕๘) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 27-12-2015 11:36:38
โอ๊ยย ชอบแนวนี้อ่ะ เห็นชื่อเรื่องแล้วคือกดเข้ามาเลย ตอนแรกแอบมึนหน่อย แต่หลังๆมาชอบมาก อยากรู้ว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลังเร็วๆจัง สงสารมาตะด้วยแบบต้องรออย่างเดียวเลย พจน์จะไปจะมาเมื่อไรไม่รู้ แต่อย่างน้อยเค้าก็ได้เจอกันเนาะ ไม่งั้นคงเศร้าหนักแน่
รอตอนต่อไปน้าค้าาา~
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๒ เล่ห์รักกลกลอน ๑๐๐% (๒๗/๑๒/๕๘) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 27-12-2015 17:33:02
มันคือทวนเหรออออออ
มาตะหว๊านหวาน เขินแทนพจน์ :o8: :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๒ เล่ห์รักกลกลอน ๑๐๐% (๒๗/๑๒/๕๘) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 27-12-2015 21:37:24
ไขปริศนาบทกลอนกันไปกุ๊กกิ๊กกันไป  หวานกันจัง  เขิน :-[
พจน์ต้องไปช่วยอาก็แสดงว่าต้องจากกันอีก  สงสารมาตะจังค่ะ :hao5:
สนุก  ลึกลับซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ รอลุ้นมากๆว่าจะเป็นยังไงต่อไปค่ะ o13
ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๒ เล่ห์รักกลกลอน ๑๐๐% (๒๗/๑๒/๕๘) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ฤดูใบไม้หลากสี ที่ 27-12-2015 22:57:01
กว่าจะรักกันได้ พ่อมาตะเราต้องทนคิดถึงนายเอกเราอีกนานเท่าใดหนอ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๒ เล่ห์รักกลกลอน ๑๐๐% (๒๗/๑๒/๕๘) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 27-12-2015 23:19:33
แอร๊ยยยยยยยยยยย   :-[ :-[
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< ช่วงตอบคำถามครับ part 2 (๓๐/๑๒/๕๘) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 30-12-2015 16:57:14
แอร๊ยยยยยยยยยยย   :-[ :-[
เขินเหรอครับ 555

กว่าจะรักกันได้ พ่อมาตะเราต้องทนคิดถึงนายเอกเราอีกนานเท่าใดหนอ
ต้องส่งกำลังใจถึงมาตะเยอะๆนะครับ คนเขียนก็อดสงสารไม่ได้  :sad11:

ไขปริศนาบทกลอนกันไปกุ๊กกิ๊กกันไป  หวานกันจัง  เขิน :-[
พจน์ต้องไปช่วยอาก็แสดงว่าต้องจากกันอีก  สงสารมาตะจังค่ะ :hao5:
สนุก  ลึกลับซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ รอลุ้นมากๆว่าจะเป็นยังไงต่อไปค่ะ o13
ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2:
ฉากเข้าพระ-นาย เป็นยังไงบ้างครับ ติชมหรือแสดงความเห็นกันได้ มีแต่คนสงสารมาตะ ไม่มีใครสงสารพจน์บ้างหรือครับ ข้ามพิภพไปมาก็เหนื่อยนะ อิอิ

มันคือทวนเหรออออออ
มาตะหว๊านหวาน เขินแทนพจน์ :o8: :-[ :impress2:
ใช่แล้วครับ พจน์เราจะรับมือกับมาตะโหมดนี้ยังไงต้องติดตามนะครับ

โอ๊ยย ชอบแนวนี้อ่ะ เห็นชื่อเรื่องแล้วคือกดเข้ามาเลย ตอนแรกแอบมึนหน่อย แต่หลังๆมาชอบมาก อยากรู้ว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลังเร็วๆจัง สงสารมาตะด้วยแบบต้องรออย่างเดียวเลย พจน์จะไปจะมาเมื่อไรไม่รู้ แต่อย่างน้อยเค้าก็ได้เจอกันเนาะ ไม่งั้นคงเศร้าหนักแน่
รอตอนต่อไปน้าค้าาา~
อยากให้ค่อยๆลองอ่านครับ อย่าเพิ่งรีบร้อน 555 เป็นแนวที่ไม่เคยแต่งเหมือนกัน ยังไงก็จะพยายามเขียนให้ดีที่สุด เอ...ใครอยู่เบื้องหลังน้า นึกแล้วก็ขนลุกเลย บรื๋อออ รอติดตาม ไม่สงสารนายเอกของเราบ้างหรือครับ?

แอร๊ยยยยยยยยยยยย โดนแน่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :jul1: :jul1: :jul1: :jul1: :jul1:
เอ๋ คิดไปถึงไหนแล้วครับเนี่ย 555

พ่อมาตะมาเป็นกลอนเลยนะจ๊ะ จะอ้อนเอาอะไรจากพจน์นะ อิอิ

ส่วนพ่อโกสินทร์  ก็เหมือนจะหลงเสน่ห์พจน์อีกคนแล้ว

พจน์จะรู้ตัวไหมว่ามีคนมาชื่นชอบมากมายเลย  แล้วถ้ารู้ว่าปาล์มก็ชอบพจน์จะเป็นยังไงนะ

ชอบบทกลอนมากๆค่ะ  ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2:
พจน์หวานเสน่ห์ไปทั่วอีกตามเคย มาตะเก่งด้านกวีครับเลยระบายออกเป็นกลอนเลย ถ้าพจน์รู้ว่าปาล์มชอบ....เห้อ ถอนหายใจแรงๆ

สนุกมากค่ะ  มาต่อเร็วนะค่ะ.   เป็นกำลังใจให้คะ :ling1: :กอด1:
รอติดตามตอนต่อไปนะครับ

โอยยยยยย รออีกครึ่งจ้าาาาา
กดเข้ามาติดตามเรื่อยๆนะครับ


ในที่สุดก็มาต่อแล้ววว

แหม่ พ่อมาตะจ๊ะ มาเป็นกลอนเชียวนะพ่อ
มาตะมาแนวนี้ พจน์จะทำอย่างไหรหนอ อิอิ

ห๊ะ? ค้างเว่อร์ มาต่อด่วนเลยคนเขียน
คนอ่านจะลงแดงตาย  :a5: :z3:
อย่าเพิ่งด่วนจากไปครับ ช่วยให้กำลังใจมาตะพจน์ก่อนๆ  :mc4:

กรี๊ดประโยคสุดท้ายมากๆค่ะ  มาตะรักพจน์มากๆเลย แต่พจน์ก็ไปๆมาๆ  สงสารมาตะมากๆค่ะ
นักเขียนแต่งเก่งมากๆ นักวิทยาศาสตร์เก่งหลายด้านจริงๆค่ะ o13
ลุ้นตอนต่อไปมากๆค่ะ   ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :กอด1:
เป็นความชอบส่วนตัวครับ แต่วิทยาศาสตร์ก็ชอบ แต่ยังนึกโครงเรื่องแนววิทยาศาสตร์ไม่ออก อาจเป็นเรื่องต่อก็ได้ครับ ไม่สงสารพจน์บ้างหรือครับ นายเอกเราก็เหนื่อยไปใช่น้อยนะครับ เจอแต่ปัญหา  :hao5:

มาแสดงตัวค่ะ ยังไม่ได้อ่านเต็มๆ แค่อ่านผ่านๆก่อน แต่มันอดมาเม้นไม่ได้ค่ะ ตอนเห็นชื่อเรื่องนี่ไม่ได้มีความคาดหวังอะไรเลยค่ะ ถ้าเทียบกับเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะด้วยสัญลักษณ์ รูปแบบการตกแต่งชื่อกระทู้ หรือกระทั่งตัวชื่อเรื่องเองบอกตรงๆว่ากลืนไปกับเรื่องอืนๆมากค่ะ (มีช่วงก่อนหน้านี้มีนิยายชื่อพีคๆค่อนข้างเยอะค่ะ) แต่พอกดเข้ามาสแกนผ่านๆเจอโคลงสี่สุภาพในเรื่องนี่ต้องหยุดมาสำรวจเรื่องเลยค่ะ โคลงนี่โปรประหนึ่งกำลังอ่านวรรณคดี ภาษาสำนวนก็สวย โครงเรื่องก็น่าสนใจดีค่ะ ก่อนจะเจอเม้นว่าคุณนักเขียนเรียนคณะวิทย์นี่ยังคิดๆอยู่เลยว่าต้องจบพวกอักษรไรพวกนี้มาแน่ๆ 5555
ค่อยๆอ่านครับ อย่าข้ามนะครับ เดี๋ยวจะพลาดส่วนสำคัญไม่รู้ด้วยน้า ผมเพิ่งเคยลงเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกครับ เรื่องการตกตกแต่งอะไรต้องขอผ่าน หรือขอศึกษาอีกสักพักก่อน ถ้าชอบโคลงสี่สุภาพต้องชอบเรื่องนี้แน่นอน รอติดตามโคลงบทต่อไปนะครับ เมื่อก่อนอยากเข้าอักษรเหมือนกัน แต่ไหงมาเรียนวิทย์ได้ก็ไม่รู้ งงตัวเองเหมือนกัน 555

เจ้มจ้น

รอบทที่ 12    :katai4:
รอติดตามน้า จะเจ้มจ้นอีกแน่ครับ รับรอง  :katai4:

ขอบคุณฮะ  สุดยอดเลย
  :pig4:

***สุขอ +เป็ด ให้ทุกreplyเลยนะจ๊ะ***


สารภาพตามตรงว่า

1. พึ่งมาอ่านล่ะ อ่านรวดเลย11ตอน
2. อ่านไปขนลุกไป

ไม่เชิงว่าหลอนนะ แต่มันแบบ ขลังๆอ่ะ เหมือนว่านิยายเรื่องนี้มันมีอะไรๆ

โวหารดี ถ้อยคำไพเราะเสนาะหู ไม่ใช่คำสมัยนิยมวัยรุ่นแต่ก็ไม่ใช่ประเภทโบราณที่อ่านแล้วงง

ที่สำคัญคือ บทบรรยาย/พรรณนาละเอียดมากกกกกกกกกกกกกกกกก

ยิ่งกว่าดูละครย้อนยุคในทีวี

ความรู้สึกมันยิ่งกว่านั้นจริงๆค่ะ

ตะลึงหนักไปอีกพอเห็นคนเขียนบอกว่าเรียนวิทยาศาสตร์ ซึ่งมันเป็นอะไรที่คนละแนวเลย

คือถึงจะบอกว่าชอบแต่งกลอนก็เถอะ แต่เเต่งนิยายด้วยภาษาระดับนี้ในยุค4Gมันถือว่าไม่ธรรมดาแล้วนา

(ใช้เวลาแต่งนานมั้ยคะ? แบบว่าด้านการสรรหาคำมาใช้น่ะค่ะ)

ยิ่งแต่ละประโยคที่พ่อหนุ่มมาตะเอื้อยเอ่ยนี่แบบ โอยยยยย อิฉันยอมค่ะ สุนี่ยอมใจเลย (อนาคตถ้าสุพัฒนาฝีมือจนถึงขั้นนี้ได้ก็พอใจแล้วงือ)

ตกลงพ่อมาตะนี่เป็นพระเอกรึเปล่าคะ?

แล้วกันนี่เป็นใครกันแน่? ดูแล้วคล้ายว่าจะไม่ใช่คนนะ ถึงเป็นคนเลเวลก็คงห่างจากคนปกติอยู่โข

ที่ปักใจรักและเทิดทูนพจน์ขนาดนี้นี่แปลว่าก่อนหน้านี้มันต้องมีอะไรดิ? แล้วมันคืออะไรกันล่ะ? เมื่อไรนายพจน์จะรู้ถึงอดีตและอนาคตอันไม่ใกล้ไม่ไกลนี้สักทีน้อ?

นายปาล์มนี่เราอ่านแล้วก็แอบคิดเล็กๆนะว่าเขามีแอบส่วนเอี่ยวกับเหตุการณ์นี้รึเปล่า?

ปาล์มพูดว่าพจน์คือดวงอาทิตย์ โถ่ถัง นายพจน์ก็ดันเข้าใจผิดไปไกล น้ำตานองหมอน  สุดท้ายไปเจอพ่อมาตะปลอบทั้งกายทั้งใจเลยเชียว

ถ้าในอนาคตอันใกล้นายปาล์มเกิดหลุดว่าชอบพจน์นี่พจน์คงช็อคพอควรมั้งนะ

คุณพ่อกับคุณผู้ช่วยมีอะไรๆกับจริงๆด้วย

ตอนล่าสุดก็ตัดจบยังงี้เลยโถ ค้างแบบไม่มีแอบ พรุ่งนี้สุมีสอบตั้ง5วิชาด้วยแน่ะ แย่ๆ

ถึงจะพูดอย่างงั้นแต่ก็จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่ะ
เรื่องนี้มีอะไรๆแน่ๆครับ 555 มีหลายคนบอกว่าผมบรรยายละเอียดมาก จะแก้ไขปรับปรุงเรื่อยๆครับ คมชัดยิ่งกว่ากล่องงดิจิตัลรึป่าวครับ ขนาดนั้นเลย 555 มีแต่คนสงสัยว่ามาตะเป็นพระเอกหรือเปล่า ถึงบทล่าสุดนี่น่าจะได้คำตอบกันแล้วนะครับ หรือว่ายังไม่แน่ใจอยู่ ก็ต้องรอกันต่อไป พจน์กับปาล์มจะลงเอยยังไงนี่....เห้อ (ถอนหายใจแรง) รอติดตามตอนต่อไปนะครับ

คำเดียว ค้างมาก เอาตรง ๆ นะ เราไม่ได้อยากรู้เลยว่าโลกปัจจุบบันของพจน์จะเป็นเช่นไร แต่อยากรู้แค่ว่าพจน์กับมาตะจะได้ครองคู่กันไหม อารมณ์แบบเหมือนมาตะเป็นเพียงตัวประกอบง่ะ น้องไม่พอใจ !

ละคือแบบฉันอยากให้มีแต่เหตุการณ์ในอดีต สงสารพ่อมาตะคนดีเสียจริง เดี๋ยว ๆ พจน์นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป ห่วย

โห เรียนวิทยาศาสตร์ ก้มกราบคาราวะสิบจอก ฮ่า ๆ มาลงตอนใหม่บ่อย ๆ นะฮะคนเขียน คิดถึงเรื่องนี้มากมายก่ายกอง
โห เรื่องราวโลกปัจจุบันไม่น่าสนใจเลยหรือครับ ทำไงดีๆ  :katai1: ตอนล่าสุดนี่น่าจะรู้แล้วนะครับว่ามาตะเป็นตัวประกอบหรือเปล่า 555

สนุกมากๆ น่าติดตามที่สุดเลยค่ะ

พจน์สับสน เราก็ยิ่งสับสนไปด้วย ไม่รู้จะเชียร์ใครดี555
ทุกคนที่มาชอบพจน์รู้สึกว่ารักและดีกับพจน์เหลือเกิน
แต่มาตะมาแรงเกิน  หรืออดีตกาลเคยมีความสัมพันธ์กันยังไง ลุ้นมากๆค่ะ
ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านค่ะ :L2:
เลือกเชียร์สักคนนะครับ โปรดอย่าหลายใจเลย มาตะกับพจน์นี่มีความสัมพันธ์ยังไงนี่ ต้องติดตามครับ

ขุ่นพี่!!! ใจร่มๆเน้อขุ่นพี่มาตะ น้องพจน์ร้อนรุ่มไปหมดแล้ว แอร๊ยยยยยยยยยย  :impress2: :impress2: :impress2:
ฉากนี้คนเขียนก็ร้อนรุ่มเหมือนกันครับ  :impress2:

มาตะคะใจเย็นๆค่ะใจเย็นๆ...
ฉากนี้มาตะคงใจเย็นไม่ไหวแล้วครับ  :man1:

มาตะรุกอย่างแรง
มาตะของเราเป็นคนตรงครับ รู้สึกยังไงก็ทำอย่างนั้น 555

มาตะนางมาแรง แรงแซงหน้าทุกคนนนนนนนน ชนะค่ะ
5555555555555555 แอบสงสารพจน์นางดูสับสน
แรงแซงโค้งจริงครับ ยอมรับเลย 555

พจน์เสน่ห์แรงนะครับ
หากคุณจิตนาการรูปลักษณ์พจน์ออก คงต้องหลงเสน่ห์พจน์แน่เลย

อยากเจอมาตะอีกจัง...
พจน์คือคนที่ปาล์มชอบใช่ไหมอ่ะ
ดีใจกับมาตะด้วย มีแต่คนอยากเจอ อิอิ

อยากเจอมาตะอีก ว่าแต่แฟนคนอื่นที่ว่าคือใครหรอปาล์ม?
ปาล์มของเราเริ่มจะเผยความรู้สึกบ้างแล้วนะเนี่ย

รอค่ะ  o13
  :pig4:

ลึกลับ ซ้อนเงื่อน ปมใหญ่ๆ ค่อยแกะออกมาทีละนิดจึงจะเข้าใจ
แอร๊ยยยย สนุกมากค่ะ กันต์จะตายมั้ยเนี่ย
นี่ไง แฟนคลับพี่กันของเราอีกคน ค่อยคลี่คลายขึ้นเรื่อยๆแล้วครับ รอติดตามน้า

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๓ รสกามารมณ์ ๕๐% (๓๐/๑๒/๕๘) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 30-12-2015 17:04:59
บทที่ ๑๓


รสกามารมณ์



อนึ่งดุจนักเดินทางรอนแรมหลงเวียนวนอยู่หว่างกลางไพร สิ้นปัญญาพบหนทางออก จวบกระทั่งมีผู้หวังดีขีดเครื่องหมายข้างลำต้นชี้นำสู่แสงสว่างแห่งความหวัง ภัทรพจน์ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาสรรเสริญปัญญาและความคิดของมาตะได้

“ใช่จริงๆ ใช่ไหม” พจน์อัศจรรย์ในการค้นพบ อยากให้มาตะยืนยันอีกครั้ง

“มิผิดแน่ กลอนบทนี้ชี้นำสู่ ทวนอัศวาราตรีกาล เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น”

“แล้วทวนอัศวาราตรีกาลที่ว่าอยู่ที่ไหนล่ะ รีบไปเอามาเถอะ”

“หาจำเป็นต้องรีบร้อนไม่ ทวนเทวาอยู่ใกล้เพียงเอื้อม แลข้าสามารถนำมาสู่น้องท่านโดยมิพักต้องเปลืองแรง” มาตะกุมมือพจน์ “ผู้ถือครองอยู่คือพี่ชายของข้าเอง”

“แล้วพี่ชายนายอยู่ที่ไหน ไปตามหากัน” พจน์ผลุดลุกยืนยินดี แต่มาตะเอื้อมแขนฉุดรั้งให้พจน์นั่งยับยั้งชั่งใจก่อน

“ภัทรพจน์เอย บัดนี้เราต่างไขปัญหาร่วมกันจนสิ้นแล้ว แต่เพลาด้วยเราเคียงเสมอกันช่างยากเย็นแสนเข็ญนัก ข้านี้สะกดความวุ่นใจแทบคลั่ง อยากจะตักตวงความสุขแลกลิ่นเนื้อน้องเราไว้ประดับจมูกแลประทับทรวงมิให้เลือนหายสักเพลาเถิด”

มาตะแสร้งตีสีหน้าสลดจูบหลังมือพจน์เคลิบเคลิ้ม แววตาเว้าวอนออดอ้อนที่เคยใช้แสดงอยู่บนใบหน้ารูปงาม

ความคิดที่จะช่วยอาธนพลทำให้พจน์หลงลืมความรู้สึกของมาตะโดยสิ้น แต่ความวิตกระคนกังวลยังคงอยู่ เพราะทวนอัศวาราตรีกาลที่ว่านั้น ยังไม่พบเจอหรือถือไว้ในกำมือจึงไม่อาจปลงใจลงได้

“มาตะ เวลานี้น้องชายของพ่อเราสิ้นสติหายใจรวยรินจำเป็นต้องใช้ทวนเทวานั่น อย่าได้คิดว่าเราจะไม่ปรารถนาอยู่กับนายสองต่อสองเลย แต่สมองเราตื้อตันไปหมดอดห่วงไม่ได้” พจน์ตอบตามจริง

“มาตรแม้นว่าหัวใจของมาตะเจรจาโต้ตอบได้แล้วไซร้ คงจักตอบถ้อยคำน้องท่านได้ว่า เจ็บแลประหนึ่งถูกมีดมาเชือดเฉือน คำน้องท่านแม้ตอบโดยใจจริง แต่กิริยาทางกายเหินห่างดั่งประสงค์ตีจากหัวใจของมาตะให้ได้โดยพลัน หัวอกชื่นสะคราญเมื่อแรกพบเมื่อหัวค่ำ บัดนี้หม่นหมองยิ่งกว่าไฟสุมอก”

“เฮ้ย อย่าตีความไปแบบนั้น เราไม่ได้อยากจากนายไปสักหน่อย” ทัดทานด้วยว้าวุ่นใจ

“ก็แหละเมื่อหนทางซึ่งจะนำเรามาอยู่ใกล้กันแลกันฉะนี้ เป็นของยากดุจถือดวงจันทร์มาครอบครองกระนั้น เหตุใดน้องท่านมิใช้เพลาดั่งว่า ร่วมหาความสำราญสักเพลาหนึ่งนั้นมิได้เชียวหรือ”

ใจร้อนรนอยากตามหาทวนอัศวาราตรีมีอยู่แน่นอก แต่ใจห่วงหาความรู้สึกของมาตะก็ไม่อาจละทิ้งได้ ทำให้พจน์ตรองเครียดขมึง เห็นจอกเงินบรรจุสุราอยู่ใกล้เคียงจึงขว้ามาดื่มดับคลายสติ นี่ไม่ใช่หนแรกที่พจน์เคยสัมผัสเครื่องดื่มมึนเมา แต่รสหวานและรสขมสัมผัสปลายโคนลิ้นผลาญลำคอเย็นให้ร้อนผ่าวนี้เป็นรสชาติใหม่ไม่เคยลิ้มลอง แล้วเทคนโทลงจอกยกดื่มซ้ำอีกหน พลางว่า

“ใจหนึ่งเราอยากจะอยู่กับนายให้หายคิดถึง แต่อีกใจอดกังวลถึงอาเราไม่ได้ จะเป็นตายร้ายดีหรือรอดพ้นก็อยู่ที่ทวนอัศวาราตรีกาลเล่มนั้น”
 
“ข้ามอบคำสัตย์แก่น้องท่านให้เบาใจแล้วว่า ทวนเทวาบัดนี้เป็นอาวุธคู่กายพี่ชายข้า เจรจาหยิบยืมมาช่วยคนสักคราคงยินดี มีหรือที่พี่เราจะปฏิเสธ มิพักจะจักรีบเร่งให้นำไป”

“กรุณาบอกเราให้หายวิตกด้วยว่า พี่ชายนายอยู่ที่ไหน”

“ปัจจุบันนี้พี่เราคงเจรจาความเมืองกับเหล่าเสนาบดี ณ ปะรำพิธีริมฝั่งน้ำซึ่งเจ้าเคยร่วมอยู่เมื่อครู่นี้” ว่าพลางเอนเอียงเขยิบกายชิดแนบต่อกัน มาตะคว้าคนโทเติมจอกเหล้าแล้วยกดื่มรวดเดียวหมด พจน์ค่อยเบาใจแต่บรรยากาศหนาวเย็นทำให้ตนยกจอกสุราดื่มอีกครั้งเพิ่มความอบอุ่น

เด็กหนุ่มรูปงามวางดาบทองคู่กายลงข้างเคียง ยกมือโอบไหล่มอบไออุ่นจากตัวตนให้คู่พิสมัยคลายจากความหนาวแลปริวิตก พจน์กระสับกระส่ายขยับหนีดิ้นรน ถอยห่างจากคนเจ้าเล่ห์พร้อมก้มหน้างุดไม่อยากตกอยู่ในหลุมพรางของแววตาเว้าวอนนั้น มาตะเห็นกิริยาอึกอักฉะนั้น จึ่งเทสุราเพิ่มสติกำลังตัว

“อนิจจาเอย มาตะคนนี้ช่างน่าสงสารเวทนานัก หามีผู้ใดเปรียบแล้วบนพิภพ เฝ้าคิดคะนึงหาตรึกตรองใฝ่ฝันถึงยอดรักแต่ฝ่ายเดียว มัวหลงนึกว่าคนที่ตนมอบกล่องดวงใจแลจิตวิญญาณไว้ให้นั้นจะมีหัวอกเดียวกัน แต่ต่อเมื่อพบแลเห็นกิริยารังเกียจเดียดฉันท์ราวกับเป็นเศษฝุ่นธุลีดินติดเปื้อนชายผ้าคล้องไหล่กระนั้น จึ่งรู้สึกน้อยอกน้อยใจสุดพรรณนา”

“ไม่ใช่สักหน่อย” ผินหน้าหนีปฏิเสธแล้วเม้มปากแน่น “นายคิดเองเออเองทั้งนั้น”

“หากความนึกคิดของข้ารู้ใจตัวเองดั่งน้องท่านกล่าวแล้ว มาตะคงมิพักต้องทนทรมานปานจะกลืนเช่นนี้ เจ้าตัวความคิดคงแจ้งแถลงความโง่เขลาของมาตะโดยตลอดแล้วว่า ข้าอุตส่าห์มอบน้ำรักน้ำใจให้แก่ผู้ครองหทัยหินโดยแน่แท้ แลความคิดเมื่อแรกพบเป็นสิ่งโอ่อวดมาตะให้อิ่มใจอยู่ฝ่ายเดียว โดยความคิดของอีกฝ่ายมิได้ตรงดั่งมาตะแม้เพียงนิด”

“ไปกันใหญ่แล้ว ความคิดของนายผิดทั้งหมดนั่นแหละ”

“มาตรว่าความคิดมาตะเลือนผิดเคลื่อนจากความจริงแล้ว น้องท่านโปรดแจงแถลงความด้วยเถิดหนา เพราะบัดนี้ข้าสับสนหย่อนสติปัญญาจนเกินจะอรรถาธิบายให้ตรงกับความจริงดั่งเจ้าว่าแล้ว”

ใจพจน์รู้สึกร้อนเหิมโหมรวมถึงโกรธตัวสั่นเทิ้มที่ไอ้คนรูปหล่อทึกทักเอาเองไปต่างๆนานา เมื่อดื่มเหล้าเพื่อดับความหนาวอีกครั้งก็กลับเพิ่มไฟพิโรธให้ลุกโหมภายในกาย

“ก็ใครว่าเรารังเกียจนายกันเล่า ถ้ารังเกียจคงไม่ยินยอมให้นายสัมผัสจูบลูบกอดแบบนั้นหรอก” เอ่ยจบก็เม้มปากเบือนหน้าหนี ไม่นึกว่าจะต้องมาแจงการกระทำน่าอายให้คนทำฟัง

“กรรมแต่ปางไหนหนอถึงกลับมาเล่นงานมาตะในคราวเดียวนี้” พจน์ลอบมองทางหางตายังเห็นสีหน้าโศกสลดนั้นอยู่ “นอกจากจะบังคับฝืนใจน้องท่าน กอดจูบโลมไล้ตามแต่ใจตัวมิได้ถามความสมัครยินยอมแล้ว หนำซ้ำยังสร้างราคีบดบังราศรีสง่าของน้องท่านให้มัวหมอง มาตะนี้ช่างเป็นคนเขลาเบาปัญญานัก ปากท่านบอกว่าไม่รังเกียจเดียดฉันท์แต่การกระทำตอกย้ำความผิดของข้าอยู่ชัดแจ้งแก่สายตา”

“ใครกันที่เรามอบกายให้ ถ้าเพราะความรังเกียจตามความคิดของนาย คนคนนั้นก็ไม่ใช่คนที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้” พจน์สะกดอารมณ์ลุกเดินหนีห่างเจ้าคนสิ้นปัญญา มาตะลอบยิ้มมุมปากแล้วแสร้งตีหน้าเศร้าดังเดิม

“น้องท่านดุจพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่บนนภากาศ ร้อนแรงยามอรุณรุ่ง แลเยือกเย็นยามสนธยา ไฉนเลยจะแลเห็นมนุษย์ตัวเล็กๆผู้หนึ่งซึ่งยอมจ้องมองพินิจรูปลักษณ์พระอาทิตย์ แม้นยอมเสียดวงตามืดบอดเพื่อยอมแลเห็นสักคราหนึ่งก็นับว่าสุขมากล้นในใจแล้ว”

เหล้าชั้นดีของนางแดงเจ้าของร้านเสมือนไฟเหลวสุมอกภายในให้ร้อนดั่งเพลิง บรรยากาศเหน็บหนาวเลือนหาย ภายในห้องมองไปทิศทางไหนก็ร้อนแรงไปหมด

“ถ้าเราเป็นพระอาทิตย์ตามนายว่า ก็โชคดีแค่ไหนแล้วที่ยอมให้นายเห็นตัวตนชัดเจน” ผละหนีออกสู่นอกชานเรือนติดแม่น้ำ แสงโคมหลากสีประดับประดามากมายผุดเป็นดอกไม้ไฟท่ามกลางความมืด

“จักนับว่าเป็นความโชคดีนั้นคงหามิได้ เพราะคนหนึ่งนั้นยอมสูญเสียดวงตาอันเป็นหน้าต่างหัวใจเสียสิ้นแล้ว เพียงเพื่อครั้งเดียวแค่ได้แลเห็น แต่ความมืดบอดจักอยู่กับคนผู้นั้นตราบลมหายใจสุดท้าย” มาตะขยับวงแขนล่ำกดอกแน่น จำจ้องร่างของพจน์ด้วยแววตาฉ่ำเยิ้ม

“สมควรแล้วกับการกระทำนั้น จะมืดบอดจนตายก็คือความยินยอมแต่แรกแล้วนี่” พจน์รู้สึกถึงลมหายใจร้อนยามพรั่งพรู่

“ดวงใจของพระอาทิตย์ก่อเกิดขึ้นจากสิ่งใด ฤา ถึงได้แข็งดั่งหินนิลกาฬ แลเย็นยะเยือกดั่งใจกลางมหาสมุทร มิเห็นใจถึงความกล้าหาญชาญชัยของมนุษย์ผู้ซึ่งอุตส่าห์แหงนหน้ามองดวงสุริยะด้วยตาเปล่าเลยกระนั้นหรือ แม้นจะล่วงรู้ถึงหายนะจักบังเกิดแก่ตนในภายหลัง” มาตะยังโต้คำกลับทันควัน

“ใจของพระอาทิตย์ก็เหมือนของใจมนุษย์ รู้จักสุข ทุกข์ ไม่ต่างกัน คงเสียใจและไม่อาจทำสิ่งใดตอบแทนมนุษย์คนนั้นได้นอกจากมองดูจากที่ของตัวเอง”

มาตะเหลิงใจโอบแขนกระชับเอวคอด แต่ในคราวนี้พจน์ยินยอมให้อีกฝ่ายสัมผัสกายโดยสะดวก

“ถ้าดวงอาทิตย์มีจิตเมตตาดั่งสายน้ำไหลหลากแล้วไซร้ มนุษย์ผู้น่าเวทนานั้นคงมิเสียดายความกล้า รังแต่จะยื่นหน้ามองดวงอาทิตย์อยู่เช่นนั้น แลหวังว่าสักวันความมืดบอดจักเลือนหายแลได้เห็นกล่องดวงใจอันเมตตาของพระอาทิตย์อีกสักครา”

สำนวนคำพูดของเจ้ามาตะไม่ใช่ว่าพจน์จะไม่รู้ ขณะนี้ดวงอาทิตย์ดวงนั้นอยู่ในอ้อมกอดของคนเจ้าคารมโดยดุษฎีแล้วไม่มีคำโต้แย้งอีก พจน์รู้สึกร้อนทั่วถ้วนทั้งกายและใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์สุราหรือเพราะคำโอ้โลมของเจ้ามาตะ

“ข้ามีคำประสงค์จักขอน้องท่าน โปรดเมตตาสักคราหนึ่ง” มาตะสูดกลิ่นหอมดอกไม้จากเรือนผมมุ่นและลำคอขาว

“อะไรเล่า”

“โปรดทำให้ดวงตามาตะผู้นี้หายมืดบอดด้วยเถิดหนา ข้าจักได้เชยชมพระอาทิตย์ให้เต็มอิ่มอีกสักครา”

พจน์ใจอ่อนหลับตาลงแล้วพยักหน้ารับ

“อืม”

จากนั้นมาตะจึ่งวาดวงแขนแกร่งช้อนร่างอ่อนระทวยของพจน์ที่มีขนาดไม่ต่างกันอุ้มสู่ภายในเรือนพัก  พจน์คิดว่าน้ำหนักตนก็ไม่ใช่น้อย แต่มาตะซึ่งมีร่างกายหนากว่าก็แบกรับได้ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด ใบหน้ายินดีมอบจูบลงกึ่งกลางหน้าผากแล้วนำคนในอ้อมแขนนั่งบนหน้าขาแกร่งของตน

มาตะจูบซับกระพุ้งแก้ม พจน์หลับตาเคลิ้มตามอารมณ์นำพา อาการสั่นสะท้านทั่วร่างเหมือนเมื่อครั้งแรกที่โดนสัมผัสทำให้พจน์เชิดหน้าสูง มาตะกระชับทรวดทรงองค์เอวบางมิให้เลื่อนจากตักตน เฝ้าสูดกลิ่นรสสุคนธ์หอมหวานชื่นใจนั้นโดยทั่วถ้วน ซอกซอนตักตวงผิวกายเนียนให้ตราตรึงติดปลายจมูกมิให้คลายเสื่อม

“ชื่นใจเป็นหนักหนา ผิวเนื้อนวลน้องท่านประดุจเครื่องหอมชโลมใจให้สะคราญ” ดวงตาวาดขอบดำของมาตะขับให้ดูคมเข้มแลเย้ายวนชวนหลงใหล
 
ณ จุดที่พจน์นั่งเป็นท่อนขาด้านซ้ายจึ่งทำให้ใบหน้าตนอยู่สูงกว่าคนตัวหนา เจ้ามาตะจึ่งโน้มเหนี่ยวปลายคางพจน์ให้ลงต่ำ มุมมองเบื้องสูงนี้เห็นจมูกโด่ง ริมฝีปากชมพูบาง แลอกหนาอุดมมัดกล้ามในมุมที่แปลกตา ยิ่งสร้างอาการสั่นไหวในใจพจน์ยิ่งกว่าทุกครั้ง

“ข้ามิอยากห่างจากน้องท่านแม้ชั่วยามเดียว อยากจูบ อยากสัมผัสน้องท่านทุกลมหายใจเข้าออก ภัทรพจน์ วัจนะอันดีงาม ของมาตะแต่ผู้เดียว” ว่าพลางก็ฉกชิมปลายยอดอกชมพู ดูดกลืนประหนึ่งลิ้มรสธารถัน เปลี่ยนสลับอีกข้างมิให้น้อยหน้ากันสร้างความกระสันแก่พจน์จนต้องหอบหายใจนำอากาศเข้าร่างโดยด่วน


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3272587#msg3272587)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๓ รสกามารมณ์ ๕๐% (๓๐/๑๒/๕๘) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 30-12-2015 17:33:04

ป๊าดดดดดดดดดดดดดดดด!!
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๓ รสกามารมณ์ ๕๐% (๓๐/๑๒/๕๘) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ฤดูใบไม้หลากสี ที่ 30-12-2015 18:07:18
ค้างงงงงงงง :katai1:

ทำงี้เอมาดมาแทงกันเลยนนคนเขียน  :hao5:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๓ รสกามารมณ์ ๕๐% (๓๐/๑๒/๕๘) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 30-12-2015 18:49:57
พ่อมาตะ เจ้าคนปากหวาน คนหื่น
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๓ รสกามารมณ์ ๕๐% (๓๐/๑๒/๕๘) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 30-12-2015 19:22:14
ตอนนี้มาตะแอบเจ้าเล่ห์อ่า~ มีอ้อนด้วย พจน์ก็ตกลงหลุมของมาตะไปเต็มๆเลย คราวก่อนลืมบอกไปว่าชอบชื่อของพนจ์มาก คำพูดที่ดีงาม (ใช่ป่ะ รึเราจำผิดหว่า) เอาเป็นว่าคนเขียนแต่งชื่อเพราะอ่ะ ชอบค่ะชอบ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๓ รสกามารมณ์ ๕๐% (๓๐/๑๒/๕๘) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 30-12-2015 21:33:47
เข้าใจความรู้สึกของทั้งมาตะและพจน์เลยนะ  แต่สุดท้ายพจน์ก็แพ้คารมและแววตาของพ่อมาตะจนได้
คู่นี้หวานกันมากๆเลย :-[   อยากอ่านต่อมากๆเลย :ling1:
ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๓ รสกามารมณ์ ๕๐% (๓๐/๑๒/๕๘) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: WilpeR ที่ 31-12-2015 00:22:15
คนเขียนทำร้ายจิตใจคนอ่านมากเลย ตัดตอนได้แบบว่าค้างอ่ะ

มาตะออดอ้อนพจน์ได้น่ารักมากอ่ะ หวานมาก

ชอบการบรรยายแบบนี้มากเลยทำให้เห็นถึงความงามของภาษาไทย
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๓ รสกามารมณ์ ๕๐% (๓๐/๑๒/๕๘) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 31-12-2015 08:09:20
 o13
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๓ รสกามารมณ์ ๕๐% (๓๐/๑๒/๕๘) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 31-12-2015 14:10:59
เพิ่งเข้ามาอ่าน ติดตามค่าา
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๓ รสกามารมณ์ ๕๐% (๓๐/๑๒/๕๘) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 02-01-2016 08:48:57
รออีก50
 อ่าาาาาาาาาา :hao6:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๓ รสกามารมณ์ ๑๐๐% (๓/๑/๕๙) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 03-01-2016 10:25:07
[ต่อ]


ความแข็งขันอันแรงกล้า ณ จุดกึ่งกลางลำตัวดึงดันภูษาอาภรณ์นูนชัด พจน์ต้องลูบปลอบให้คลายความอัดอั้น มาตะเห็นอาการดั่งนั้นจึ่งกุมมือคู่พิศวาสมาสู่ของรักของตัว

“ช่วยปลอบประโลมให้กล่องดวงใจของมาตะคลายความคนึงหาด้วยเถิดเจ้า”

กล่าวพลางจูบพลางมิให้พจน์ได้พักหายใจ เมื่อฝ่ามือบางสัมผัสส่วนเร่าร้อนแทบระเบิดออกผ่านผ้าแพรขาวก็สัมผัสรู้ถึงความแข็งขืนไม่ต่างจากตนเอง พิษสุรามิใช่น้อยซึ่งดื่มระงับความหนาวบัดนี้ทำเอาสติของพจน์ว่างเปล่ามองเห็นแต่เพียงคนคนเดียวที่ชิดแนบรัดเฟ้นตนอยู่ในขณะนี้

“เราร้อนไปหมดเลย มาตะ”

พจน์ครางสั่น ผิวกายขาวของคนทั้งคู่ผุดหยดเหงื่อราวกับถูกประพรมด้วยน้ำ

“หนทางเดียวที่จะดับร้อนรักให้ทุเลาลงคือเราสองต้องผสานใจกันเป็นหนึ่งเดียว” มาตะขบปลายติ่งหูพจน์ด้วยริมฝีปากร้อน นั่นดูเหมือนยิ่งสุมไฟในกายให้แผดลุกยิ่งกว่าเดิม

“ยอดรัก เจ้าโปรดส่งเสียงให้ข้าชื่นใจด้วยเถิด อย่ารัดรึงเก็บกักไว้ให้ทรมานอยู่ภายในเลย”

พจน์เม้มปากแน่นนึกเกรงเสียงน่ารังเกียจจะหลุดรอดออกสู่ภายนอกห้องจึงขบเม้มไว้ แต่บัดนี้สุดต้านทานเกินสติกำลัง เมื่อเจ้ามาตะโหมกระทำดูดกลืนยอดอกจนแดงระเรื่อ

“อืมมม อ่าส์”
 
พจน์หลับตาแน่นอายเหลือเกินกับเสียงร้อนนั่น มาตะโน้มเหนี่ยวลำคอพจน์เข้าหาตัว แล้วจูบเปลือกตาประโลมปลอบ

“น้องท่านทำดีแล้ว เสียงร้องของเจ้าดังขึ้นคราใด เหมือนเป็นเครื่องทำคุณแก่ข้าที่เฝ้าพาอารมณ์น้องท่านให้สุขล้นได้”

มาตะลูบขาเนียนขาวใต้ภูษาชั้นนอก พจน์ยกขาเหยียดโค้งขึ้นเพื่อระบายความทรมาน ผ้าปกคลุมจึ่งเลิกร่นหล่นกองอยู่หน้าตักเผยเรียวปลีน่องอันขาวกระจ่าง นั่นเหมือนเป็นช่องสบโอกาสให้คนรูปงามหยอกเย้าถึงโคนขาขาวโดยง่าย คนจัดเจนก้มลงจูบตั้งแต่หัวเข่าเวียนวนเข้าใกล้โคนต้นหว่างจุดซ่อนเร้น พจน์ขยับถอยหนีเมื่อหลวมตัวเสียรู้ สร้อยสังวาลกระทบเข็มขัดดังเป็นจังหวะเพิ่มกำลังใจแก่ผู้รุกนำ

มือใหญ่โอบเอวดึงรั้งให้พจน์ขยับทรวดทรงเข้าหาส่วนแข็งขันของตัวเอง เพียงก้นแน่นสัมผัสส่วนแข็งร้อนก็สร้างประจุไฟฟ้าสั่นสะท้อนสู่กายคนทั้งคู่

“เนื้อผ้านี้เป็นดั่งมหานทีกางกั้นน้องเรากับตัวข้าโดยแท้ หากมีสะพาน ฤา เรือสักลำหนึ่งเป็นเครื่องพาให้เราทั้งคู่มาสู่ถึงกันได้แล้วไซร้ น้องท่านยังจะยินดีอยู่หรือ”

“อืมม มาตะ” พจน์ร้องขึ้นอีกครั้งเมื่อมาตะบีบบั้นท้ายกลมหยอกเย้า หลงลืมความอายเสียสิ้น

“วานมือน้องเจ้าเป็นดั่งสะพาน ฤา เรือน้อยชักพาให้ข้านี้ได้ออกมาสู่ท่านโดยเร็วเถิด” ว่าพลางจึ่งนำมือพจน์เข้าแตะสัมผัสส่วนเร่าร้อนกลางลำตัว พจน์สะดุ้งถอยหนีเพราะบัดนี้ขนาดขยายใหญ่นูนชัดผ่านผืนผ้า

“อย่าได้เกรงภัยอันใดเลยเจ้า ครั้งหนึ่งน้องท่านก็รู้จักตัวข้านี้เป็นอย่างดีแล้วมิใช่หรือ ทุกสัดส่วนซอกมุมใด หรือรอยแผลเป็นตำหนิแห่งใดซ่อนอยู่ใต้ร่มผ้า น้องท่านเพียงผู้เดียวล้วนรู้แจ้งโดยสิ้นแล้ว บัดนี้จะมาเกรงของสำคัญอันนำข้ามาสู่น้องท่านนั้นจะถูกต้องอยู่ ฤา”

“ไม่ได้กลัว แต่ไม่เคยจะ..จับมาก่อนนี่” พจน์ก้มหน้างุดสีหน้าแดงฉานลุกลามถึงใบหู

“ฮ่าๆ” มาตะหัวเราะอารมณ์ดี แม้แววตาฉ่ำชื้นนั้นจะกำลังอดกลั้นเหลือประมาณ “กิริยาประหม่าของน้องเรา ทำเอามาตะตื้นตันเป็นหนักหนา ว่าการทอดตัวน้องท่านมาสู่ข้านั้นเป็นครั้งแรกแลครั้งเดียวโดยแท้”

“นายกำลังจะกล่าวหาว่าเราเป็นคนใจง่ายงั้นเหรอ”

พจน์สะบัดมือหนีหุนหันถอยห่าง แต่มาตะยังคงดึงรั้งเอวบางไม่ให้เคลื่อนกายจากโดยง่าย จูบคลุกคลีลูบโลมไม่ว่างเว้น

“หาได้ไม่ กิริยาน่าเอ็นดูต่างหากเล่าที่ข้ากล่าวและประสงค์ให้น้องท่านรู้ ก็แหละเมื่อเราต่างเคยมีสัมพันธ์สวาทมาแล้วคราหนึ่ง เหตุใดข้าจักมิรู้ด้วยรสกามารมณ์เล่าว่าน้องท่านบริสุทธิ์ทั้งทางกายและใจโดยแท้ สิ่งนี้ต่างหากที่ทำให้มาตะเอ่ยด้วยความตื่นตันในอกตัวว่า กิริยาเราต่างบ่งว่ามิเคยเป็นของใครมาก่อน ใช่ ฤา ไม่” มาตะเฝ้าพะเน้าพะน้อเอาอกเอาใจคนในอ้อมแขน

พจน์พยักหน้ารับโดยเร็ว เมื่อมาตะแจงความเข้าใจผิดนั้นให้ทะลุปรุโปร่งใจโดยตลอด ก็ทำให้พจน์ฉุกคิดได้ว่าตนหลวมตัวเข้าสู่กับดักของคนมากเล่ห์จนได้ เสียงหัวเราะด้วยยินดีในสิ่งที่ต้องการของมาตะยิ่งโหมไฟราคะในกายให้ลุกลามลำพองใจมากกว่าเดิม

“แต่นายก็ช่ำชองเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ไม่น้อยเลยนะ” พจน์หลบจูบ ยกมือดันอกแข็งให้ถอยห่างตัว เมื่อไม่อยากจนแต้มยอมแพ้โดยง่าย

“ยามเมื่อเด็กทารกน้อยจักดูดน้ำนมจากอกมารดา ประพฤติอ้าปากดูดกลืนสิ่งที่จะหล่อเลี้ยงเป็นกายตนก็ล้วนเกิดขึ้นด้วยวิถีธรรมชาติ หามีผู้ใดสั่งสอน มิต่างอันใดกับประสาชายหนุ่มเมื่อปะคนต้องใจแล้วไซร้ก็ย่อมประพฤติด้วยวิถีธรรมชาติ ปฏิบัติตามใจปรารถนา มุ่งบำเรอให้อีกฝ่ายสุขล้นเช่นตนฉะนั้น” มาตะยกตัวอย่างให้เห็นจริงชัดกระจ่าง

“แม้นฤาษีชีพราหมณ์ผู้ละกิเลสทางโลกโดยสิ้น หากพบคนผู้ต้องลักษณะใจตนแล้วมิยอมละศีลภาวนาอันบำเพ็ญเพียรมาชั่วนานนั้นก็นับว่าเป็นคุณประเสริฐแก่พิภพศาสนา แต่มาตะนี้เป็นแต่เพียงปุถุชนคนเดินดิน มีความรู้สึกนึกคิดนึกรู้ในสิ่งถูกแลผิด ในสิ่งสวยงามแลล้ำค่า เมื่อมีแก้วมณีดุจหาค่ามิได้นี้หล่นอยู่ต่อเบื้องหน้าแล้วมิคว้าหยิบมาไว้เป็นของตัว ก็นับว่าโง่เขลาเบาปัญญาเหลือคณานับ”

พจน์ขนลุกวาบกับคำเปรียบเปรยนั้น แต่ก็อดทำหน้าโกรธจ้องตาตอบกลับไม่ได้

“แก้วนั้นอาจเป็นของใครก็ได้ นายเก็บเอาไว้ก็คงได้ชื่อว่าเป็นขี้ขโมยน่ะสิ” ทัดทานตอบกลับ

“แก้วมีค่าดุจอัญมณีเรืองนามฉะนี้ หากจะว่าเป็นสมบัติพัสถานของชาวบ้านชาวเมืองโดยทั่วถ้วนนั้นคงมิอาจปลงตก แต่หากจะเป็นของขุนทหารนักรบ ฤา พระราชามหากษัตริย์ก็นับว่าคู่ควรกว่า แลมาตะนี้ได้ชื่อเรืองนามทางอาวุธดาบเป็นเอกดั่งนี้ สมควร ฤา ที่จะติติงว่ามิสมควรคู่แก้วมณีมีค่า” มาตะยิ้มกริ่มโลมไล้ท่อนแขนขาวให้ยินยอมในคำตน

“อย่างนั้น ทำไมนายไม่มอบให้ท้าวพระยามหากษัตริย์ล่ะ” พจน์ล่วงรู้ฐานะมหาดเล็กของมาตะดี

“อันเชื้อสายวงศ์องค์เทพจุติล้วนมีสนมนางห้ามอันเหมือนแก้วหลากสีมากหลาย หากข้าจักนำถวายกษัตริย์เกล้าเหนือหัวก็เหมือนนำเพชรมาเกลือกกลั้วกับหินกรวดหลากสี มิหนำซ้ำจักเกิดรอยหมองแก่แก้วมณีมีค่า ควร ฤา ที่ข้าจักต้องสร้างความหมอง ก็แหละตนเก็บงำไว้แต่ผู้เดียวเฝ้าทะนุถนอมเช็ดถูให้เงาวามตามศักดิ์โดยผู้เดียวอย่างนี้ มิดีกว่าหรือเจ้า”

“ก็คงจะอย่างงั้น” พจน์เอนเอียงตามคำ

“เมื่อสิ้นความสงสัยแล้ว วานน้องท่านยื่นสะพานแขนมาชักนำสู่ตัวน้องท่านเสียทีเถิด บัดนี้ข้าเดียวดายใจหายอยู่ฝั่งฝันแต่ผู้เดียว โปรดวานปลดปล่อยน้ำใจของมาตะให้ซาบกระทบใจเจ้าด้วยเถิด” มาตะเอื้อมมือพจน์ให้สัมผัสอาวุธลับใต้ผืนผ้าอีกครั้งและครั้งนี้พจน์แตะสัมผัสได้ไม่เขินอาย

“วานลูบปลอบให้คลายร้อนหน่อยเถิด ฤา หากมีน้ำใจมากล้นแล้วจึ่งค่อยแผ้วทางแหวกสายน้ำให้มาตะนี้ได้สัมผัสไออุ่นไอเย็นจากสะพานนี้เถิดหนาเจ้า”

อาการกึ่งกล้ากึ่งกลัวทำให้พจน์ละล้าละลังไม่อาจเปลื้องผ้าหยักรั้งชั้นในของมาตะได้ เหตุเพราะคราวนั้นเหตุการณ์เริ่มต้นรวดเร็ว เจ้ามาตะเป็นผู้ผลัดผ้าเอง แต่บัดนี้อาการเหมือนหนึ่งหยอกเอินผสานคารมคนเจ้าเล่ห์ ประสงค์จักหยอกเย้าคนประสาซื่อ ถ่วงเวลาให้อยู่ใกล้ชิดเนิ่นนาน ยอมอดกลั้นฝืนอารมณ์ไฟมิให้เผาลามมอดไหม้เร็วเกินไป

มาตะเวียนจูบใบหน้างดงามเหมือนให้กำลังใจ พจน์ข่มตาข่มใจทำสิ่งที่อีกฝ่ายปรารถนา ปลดผ้าหยักรั้งภายในด้วยมือสั่น รอยสัมผัสจากริมฝีปากบนผิวกายของมาตะเสริมแรงกล้าหาญอย่างได้ผล แท่งร้อนผงาดชัดสัมผัสอากาศเย็น

“โอ้ ภัทรพจน์เอย” มาตะครางกระเส่า

“บัดนี้สายน้ำอันเป็นอุปสรรคขวากหนามลดระดับลงสิ้นแล้ว เหลือเพียงสะพานน้อยของน้องท่านช่วยนำพาข้าข้ามฟากโดยเร็วเถิด ข้านี้จักทอดสะพานช่วยท่านเฉกเช่นกัน”
 
พจน์แตะสัมผัสอาวุธร้อนแดงก่ำนั้นด้วยมือสั่นสะท้าน มาตะปลดผ้าชั้นในของพจน์ช่วยลูบไล้เสมอกัน ความเสียวกระสันในช่องท้องสร้างอารมณ์ปรารถนาลึกล้ำให้พวยพุ่ง จากนี้ไม่ต้องให้เจ้ามาตะพรรณนาสั่งสอนก็รู้ว่าต้องทำสิ่งใดต่อจึงขยับมือขึ้นลงทั้งที่ตนยังนั่งอยู่บนหน้าขาของอีกฝ่าย แขนอีกข้างเกี่ยวกระหวัดโอบหลังไหล่กันเลื่อนตก

หยาดเหงื่อผุดพรายทั่วผิวกายของคนทั้งสองตามจังหวะเร่งเร้าขยับลงขึ้น ผสานด้วยเสียงหอบหายใจกึ่งเผ็ดร้อนกึ่งสุขสม เสียงมือกระทบเนื้อแน่นเป็นจังหวะสอดผสานของคนทั้งคู่ ให้เร่งข้อมือพร้อมเพรียงกันเหมือนรู้ใจ รอยจูบนับครั้งไม่ถ้วนช่วยผ่อนปรนความรู้สึกเขินอายให้ปลดเปลื้องลง บัดนี้มีเพียงความตั้งใจให้อีกฝ่ายถึงฝั่งฝันเท่านั้นคือภาระหน้าที่ที่อีกคนต้องกระทำให้ลุล่วง

“ใจของข้าเต้นรัวเร็วเหลือเกิน” มาตะคราง

“อ่าส์” พจน์ตัวสั่นเทิ้ม

“ร้องอีกเถิดเจ้า ร้องให้มาตะนี้ชื่นใจ”

แขนล่ำสันรัดเฟ้นเอวคนตัวบางไว้แน่นนูน พจน์เงยหน้ารับรู้จังหวะที่เร่งเร้าของเจ้ามาตะ จึงขยับตามท่วงท่านั้นเช่นกัน วินาทีที่ดวงตาพจน์มองเพดานมืดนั้นกลับสว่างวาบเหิมโหมเมื่อความร้อนสำลักล้นจากกายสู่ภายนอก เช่นเดียวกับมาตะซึ่งปลดปล่อยน้ำรักนองฝ่ามือชายคู่สุดสวาสดิ์ แรงกระตุกตามติดจนหยดสุดท้ายหลั่งริน ทำให้พจน์เสมือนหนึ่งไปวิ่งซ้อมเตะฟุตบอลมา

มาตะจูบซับเหงื่อทั่วใบหน้าใสกระจ่างของพจน์ ทอดกายคนในอ้อมแขนนอนลงบนฟูก

“หยาดน้ำรักของน้องท่านนี้ มาตะขอเป็นเครื่องชูกำลังแรงกายแรงใจเถิดหนา” มาตะยื่นมือที่เปรอะเปื้อนน้ำขาวขุ่นขึ้นสูดดม โดยไม่รอคำตอบของพจน์ก็เลียลิ้มชิมรสกลืนกินจนหยดสุดท้าย พร้อมทำความสะอาดส่วนสำคัญของพจน์จนหมดสิ้น
 
“หวานเหลือเกิน ชื่นใจเหลือเกิน” มาตะคร่ำครวญสำราญ

“นายไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ มาตะ” พจน์หอบหายใจบอก

“หยาดน้ำรักนี้ล้วนเป็นสิ่งซึ่งเราร่วมกันผสานให้ก่อเกิด เป็นเหมือนสุธารสรักระหว่างคนทั้งสอง เปรียบประดุจน้ำปรุงทิพย์จากสวรรค์ชั้นฟ้า มีพลังมากมายสถิตอยู่ในนั้นตามตำนานเล่าขาน หากละทิ้งไม่กลืนสนองก็เหมือนทิ้งขว้างของมีค่าไม่รู้ราคา ฤา น้องท่านมิลิ้มชิมรส ก็จงสลัดทิ้งเช็ดชำระเสียเถิด เพราะน้ำใจของข้านั้นถูกรีดมาโดยมิได้มีจิตพิสมัย พลังอันมากมายคงไม่มีอยู่เป็นแน่”

มาตะทำสีหน้านิ่งเตรียมผ้าผืนบางสำหรับจะเช็ดน้ำนั้นออกจากฝ่ามือพจน์

แต่ด้วยเพราะคำพูดตัดพ้อหรือเพราะใจหนึ่งอยากลิ้มลองไม่อาจบอกได้ ทำให้พจน์ตัดสินใจยื่นปลายลิ้นแตะสัมผัสความหวานดุจน้ำตาลอ้อย ไร้กลิ่น ไร้ความคาว มีแต่เพียงความหวานเท่านั้นที่พจน์รู้สึก และวินาทีแห่งความอัศจรรย์ในรสชาติ พจน์รู้สึกสั่นสะท้านทั่วร่าง เหมือนมีบางอย่างลุกโชนอยู่ภายใน ผิวกายซึ่งมีมัดกล้ามแต่พองามเหมือนผุดผาดนูนชัดเกินกว่าเก่า


ข้าทรงพลังยิ่งเป็นตรีคูณ นายข้า อุบัติการณ์แห่งพลังผนึกแน่นสู่ร่างนี้โดยสมบูรณ์พร้อม


เสียงทุ้มพูดก้องกังวานอยู่ในหัวพจน์

เด็กหนุ่มตาคมสวยรู้สึกอุ่นวาบทั่วสรรพางค์กาย เรี่ยวแรงซึ่งสูญเสียผ่านหยาดเหงื่อเพราะกระทำกิจกามถูกดึงกลับคืน รู้สึกสดชื่นแข็งแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนับแต่จดจำความได้


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3275018#msg3275018)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๓ รสกามารมณ์ ๑๐๐% (๓/๑/๕๙) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 03-01-2016 12:34:01

ขอเขินแป๊บได้มั้ย
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๓ รสกามารมณ์ ๑๐๐% (๓/๑/๕๙) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 03-01-2016 15:53:37
แอร๊ยยย :jul1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๓ รสกามารมณ์ ๑๐๐% (๓/๑/๕๙) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 03-01-2016 18:09:28
มาตะ เจ้าเล่ห์จริงเชียว  :hao6:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๓ รสกามารมณ์ ๑๐๐% (๓/๑/๕๙) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 03-01-2016 18:50:08
อั่ก!!  :m25:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๓ รสกามารมณ์ ๑๐๐% (๓/๑/๕๙) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ฤดูใบไม้หลากสี ที่ 03-01-2016 20:51:51
เคยอ่ายฉากวาบหวามแต่สำนวนสวยแบบนี้ไหม ตอบเลยว่าไหม

คือมันสละสลวยมากจนดูไม่โป๊ แต่แใงไปด้วยอารมณ์อะ มาตะเกี้ยวน้องพจน์เสียไปไม่เป็นเลย

คนเขียนรู้ไหมเราลำบากมาก เพราะเราไม่เก่งไทย และอยู่บ้านแม่ไม่มีพจนานุกรม บางคำนี่เดาตามความรู้สึกล้วน ๆ 55555555555555
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๓ รสกามารมณ์ ๑๐๐% (๓/๑/๕๙) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: boworange ที่ 03-01-2016 21:11:51
 :กอด1: การใช้ภาษาของคนเขียนนี้ชั้นเทพจริงๆ อ่านแล้วให้ความรู้สึกสละสลวย มันเป็นอะไรที่ลงตัวมากๆ ตามต่อคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๓ รสกามารมณ์ ๑๐๐% (๓/๑/๕๙) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: runtothemoon ที่ 04-01-2016 02:25:18
เหมือนเจอขุมทรัพท์;_____; แงดีใจที่ได้เจอเรื่องนี้ คุณคนเขียนบรรยายภาษาสวยมากๆๆๆๆ ×10000000เลย บทกลอนบทโคลง ทำให้เรานึกถึงตอนครูให้นั่งแปลความ 555555555 ทำไม่ได้ยังไงก็ยังเหมือนเดิม พอถูไถๆไป สงสัยต้องกลับนั่งค้นนั่งแปลแล้วล่ะ555555 เนื้อเรื่องดีมากกกกกชวนติดตาม ด้วยความที่ชอบแนวนี้ยิ่งไปใหญ่

น้องพจน์นี่อ้อยใจจริงๆ อ้อยแบบไม่รู้ตัว เราแมนแมนเตะบอลแต่งกลอนเป็น5555555555 ฮือ น้องไม่ผิด ไอ้พวกผู้ชายพวกนั้นต่างหากมันไว้ใจมั้ยดั้ยยยยยยยยย คนน่ารักซื่อๆไม่ผิดจัมวรั้ย!!! (พิมพ์ไปกลั้นขำไป เรา #ทีมพจน์55555) ตอนล่าสุดนี่โมโหมาตะจริงๆขอหยาบนะคะ ไอ้บ้า คนผีทะเลพูดไม่รู้เรื่อง โมโหไปดิ เถียงฉอดๆๆๆ พอเอาเข้าจริง เห้ย มีแผนนี่หว่ากะให้น้องโมโหแล้วตะล่อมน้อง ร้ายกาจ หยอดได้หยอดดี ละโกรธไม่ลงด้วยนะ5555555555 น้องพจน์อย่ายอมนะ คราวหน้าอย่าใจอ่อน นี่อยากเห็นมาตะทุรนทุราย555555555555หมั่นไส้

ปล. น้องพจน์จะมีพลังตอนต้องเสียหยาดเหงื่อแรงกายหรอ นึกว่ามาตะพูดเป็นเล่นตอนวรรคท้าย แฮ่ก เหนื่อยแทน
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๔ ทวนอัศวาราตรีกาล ๕๐% (๐๕/๐๑/๕๙) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 05-01-2016 21:15:07
บทที่ ๑๔


ทวนอัศวาราตรีกาล



มาตะจูบซับรสหวานจากปากพจน์ ช้อนชิวหาแลกรสร้อนดูดดื่ม พจน์มัวแต่หลงคนึงถึงเสียงในหัวจึ่งพลาดพลั้งเสียทีคนตัวหนาที่เบียดชิดผิวกายผ่าวแนบกระหนาบ

“ประพฤติของน้องท่านทำใจมาตะสุขล้นเกินจะกล่าว” ถอนจูบกระซิบข้างกกหู “รสสวาทของเราสองหอมหวานดั่งคำข้า ฤา ไม่”

“หวาน หวานมาก แต่....นายขยับตัวออกจากท่อนขาเราก่อน”

พจน์เห็นกิริยาอาการของมาตะแล้วให้หวั่นเกรงกาลภายหน้า อีกทั้งท่าทีประหนึ่งกำลังปลดเปลื้องอาภรณ์นั้นทำให้ความคิดของพจน์ต้องหยุดคำนึงถึงที่มาของเสียงปริศนา

“เนื้อกายน้องท่านดูเต่งตึง แน่นกระชับผิดถนัดตา” ลูบไล้สัมผัสกล้ามแขนนูนของคนใต้ร่างอย่างพินิจ พจน์เองก็รู้สึกว่ากล้ามเนื้อทุกสัดส่วนขยายตัวเช่นเดียวกัน “เย้ายวนกวนใจข้าให้สั่นวะวาบเกินทนไหว”

“แต่นายเพิ่งจะ...เอ่อ...”

“น้องท่านอย่าด่วนตัดหนทางสู่สวรรค์ของข้าเลย” ว่าพลางแทรกเข่าเข้าหว่างขาขาวของพจน์ ปรากฏเป็นท่าอันตรายต่อหัวใจตนอย่างยิ่ง
 
“หากข้ามิได้ร่วมหลอมกายเป็นหนึ่งกับเจ้าแล้ว ราตรีนี้มาตะคงสิ้นชื่อเป็นแน่แท้ อย่าได้ปฏิเสธป้องปัดเลยเถิดหนา”

จับแยกขาพจน์ให้กว้าง หัวใจเต้นระรัวเมามัวต่อน้ำคำของมาตะ หักใจยอมตามเพราะร่างกายตนตอบสนองต่อการแตะสัมผัสจนเร่าร้อนขึ้นอีกครั้ง จึ่งพยักหน้ารับคำร้องขอ

“เช่นนั้นโปรดวานมือน้องท่านช่วยปลดภาระอาภรณ์ของข้าด้วยเถิด มาตะอยากจะตักตวงเนื้อนวลของน้องท่านให้สมกับดวงใจปรารถนา” ว่าแล้วก็จรดปลายจมูกโด่งเคล้าคลอเคลียลาดไหล่แลลำคอ พจน์พยายามขยับมือช่วยดึงผ้านุ่งหุ่มแต่สั่นสะท้านเกินกว่าจะมั่นคงได้

“มาตะ เรา...อื้อ...”

“พึงกระทำตามแต่ใจน้องท่านโปรดประสงค์ จักเปลื้องปลงแต่โดยช้า ฤา ฉีกกระชากขวากวิถีอาภรณ์เสียสิ้น มาตะจักมิดิ้นรนถอยหนี ฤา อาลัยในภูษาราคาสูงแม้แต่นิด เพียงภัทรพจน์เจ้ารื้อรั้งปราการอันเป็นอุปสรรคหนทางให้ผิวกายเนื้อเราแนบชิดกันได้นั้นจะเป็นคุณอย่างสูง”

“เราไม่ไหวแล้ว” พจน์ครวญเมื่อมาตะดูดขบหน้าอกตนจนสั่นวะวาบหวาม

“ปรารถนาสิ่งใด น้องท่านช่วยบอกให้มาตะทราบด้วยเถิด” คิ้วเข้มขมวดแน่นจนขีดขาวกลางหน้าผากเป็นเส้นตรงดุจดาบคู่กาย

เสียงรัวเคาะประตูดังสนั่นหวั่นไหว

มาตะ มาตะ” น้ำเสียงสั่นระรัวร้องเรียกขาน

“หากเจ้ากระทำการกิจอันใดอยู่ ณ บัดนี้จงละเสียโดยพลัน เร่งหุนหันพันกายให้จงดี แล้วออกมาเดี๋ยวนี้เถิด มีเหตุอันมิควรเกิดขึ้นแล้ว”

“เวฬุ” มาตะจำเสียงสหายสนิทได้ ปรับสีหน้าเป็นเครียดขมึงทันควัน รีบลุกจากกายพจน์ พร้อมประคองรั้งคนคู่เคียงให้นั่งในท่าสงบ จัดแต่งอาภรณ์อันยับย่นให้คืนดังเก่า

“จักมีเหตุอันไม่พึงประสงค์เกิดแก่เพื่อนเราเป็นแน่ หากนิ่งเฉยแลมัวเมาอยู่ในอารมณ์รักคงถูกตราหน้า ว่าทอดทิ้งสหายในยามอันตราย น้องท่านอย่าได้โกรธขึ้งมาตะเลยหนา จงประทับนั่งคอยแต่ในที่นี้ อีกสักครู่มาตะจักมามอบกายแก่น้องท่านเป็นแน่แท้”

คว้าดาบทองกระชับมั่น หุนหันเปิดประตูสู่ภายนอก พจน์ให้รู้สึกพิศวง เสียงเวฬุสำแดงว่ามีเรื่องร้อนเกิดขึ้นอยู่ภายนอก บัดนี้จิตใจตนกลับเป็นปกติแล้วเมื่อไร้การสัมผัสเล้าโลมของมาตะ หากจะนั่งรอคอยอยู่ในนี้ก็รังแต่จะสร้างอาวุธทรมานใจตัว เป็นตายร้ายดีอย่างไรคงต้องรู้ให้ได้ว่ามีเหตุใดเกิดขึ้น ตริตรองแล้วจึงลุกพรวดเปิดประตูเรือนพักออก

ลานดินกว้างอุดมด้วยแคร่ไม้ไผ่บรรจุนักร่ำสุราจำนวนมากบัดนี้กลายเป็นแคร่ไม้ร้างไร้ผู้คน คอเหล้าจำนวนหนึ่งย้ายกายไปกระจุกรวมตัวกันอยู่ ณ มุมด้านหนึ่งใกล้กับโต๊ะเตรียมสุราอาหารของนางแดงเจ้าของโรงเหล้า ที่บัดนี้กุมหน้าอกด้วยอาการปริวิตก สีหน้าหวาดผวา แสดงเหตุให้แจ้งว่า เรื่องเดือดร้อนกำลังจักเกิดเป็นหายนะสู่ร้านตนเป็นแน่แท้ เพราะท่ามกลางลานโล่งนั้น มีกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนนับสิบคน นุ่งผ้าหยักรั้งสีแดง สวมเกราะทองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ลวดลายนูนตราสิงห์ แสดงชัดว่าเป็นทหารหลวง พร้อมอาวุธทวน โล่แลดาบครบมือ

มาตะยืนองอาจอยู่ใกล้ เวฬุ และโกสินทร์ในฝั่งตรงงข้าม เจ้าเวฬุต้องคอยประคองกอดโกสินทร์ซึ่งมีท่าทีเมามาย สีหน้าแดงก่ำรวมกับดวงตาหรี่จะหลับมิหลับแหล่นั้น แสดงเหตุว่าโกสินทร์คงยกไหเหล้าดื่มไปมากพอควรระหว่างที่พจน์กับมาตะอยู่ในห้อง

“ประพฤติการณ์ดั่งสุนัขลอบกินอาจมขมต่ำนี้ หากจะแทนสิ่งที่มึงกระทำคงมิต่างกันกระนั้น” บุรุษชุดเกราะทองร่างล่ำสันสูงใหญ่เช่นเดียวกับมาตะ ก้าวเท้าออกมาจากกลุ่ม เกราะศีรษะบดบังส่วนสำคัญของหน้าเหลือเพียงปากและนัยน์ตาทั้งสองอันแข็งกร้าวเท่านั้นที่สังเกตเห็น

พจน์เห็นไหล่กว้างของมาตะขยับสั่นไหว มือข้างถือดาบทองกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน

“อันวิสัยสุนัขมีเจ้าของเลี้ยงก็ย่อมจักได้กินของคาวหวานแต่อย่างดีเสมอนายตน แลเจ้าของก็เฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูประดุจดั่งเพื่อนกายสหายรัก มิพักให้อดอยากยากแค้นอับจน จึ่งสบายแลสุขล้นยิ่งกว่าสุนัขจรจัดอันหามีนายไม่”

เจ้าคนเกราะทองนัยน์ตาคมขีดขอบตาเข้มยังคงกล่าว พลางตวัดทวนคู่กายสลับไปมาระหว่างมือทั้งสอง อารมณ์ดีราวกับกำลังเล่านิทานให้คนในที่นั้นฟัง

“ก็แหละสุนัขอันนับเป็นสัตว์เดรัจฉานแต่ดั้งเดิม นิสัยประจำเผ่าพงศ์มิเว้นจักแสวงหาของต่ำตมเป็นของกินกระนั้น แม้นมีอาหารอย่างดีวางอยู่ตรงหน้าก็มิพักจักมองของต่ำกว่าเสมอยาดี ถึงนายเฝ้าห้ามปราม ฤา ล่ามตรวนไว้มิให้กระทำการต่ำ ด้วยวิสัยเดรัจฉานจักแว้งกัดขู่เอาเมื่อไม่สมประสงค์มิรู้จักคุณผู้เลี้ยงดูฉะนี้ ควรหรือที่ความผิดนั้นจะตกอยู่ที่นายว่าเฝ้าถนอมดูไม่ดี เจ้าว่าเช่นนั้น ฤา ไม่ นางแดง”

หญิงร่างใหญ่เจ้าของโรงเหล้าแต่เดิมก็ให้อกสั่นขวัญหายอยู่แล้ว เมื่อเห็นคำถามดุจอาวุธทวนชี้ปลายแหลมมายังอกตนดังนั้นก็ร่ำไห่พลางตอบว่า

“เป็นเช่นนั้นเจ้าข้า นายกอง”

ทาสบ่าวทาสีต่างช่วยพยุงนายตนที่ทรุดกายลงให้นั่งยังที่เหมาะควร พลางโหมโบกพัดแลนำยาหอมอย่างดีมารักษานายตัวมิให้สิ้นลมไปเสียก่อน

“ดั่งนั้นควรหรือที่นายมันจะปล่อยไว้แลเลี้ยงดูต่อไป เมื่อสิ้นความไว้ใจต่อกันและกันแล้ว” เสียงประกาศกร้าวดังก้องทั่วบริเวณ ชาวบ้านร้านตลาดบริเวณใกล้เคียงต่างรีบเก็บของขายริมทางเดินเมื่อเห็นว่าจักเกิดเรื่องเป็นแม่นมั่น

ไม่มีผู้ใดในที่นั้นตอบคำถาม ความเงียบปกคลุมในอากาศอยู่ชั่วครู่

“ควรหรือที่มึงมาลอบกระทำหยามเกียรติน้องสาวกูลับหลังเยี่ยงนี้ ไอ้มาตะ”

คำตวาดดังกึกก้องสะท้อนอารมณ์โกรธของผู้พูด มาตะยังคงยืนนิ่งไม่โต้ตอบแต่อย่างใด

“หะแรกที่กูได้ยินความ มิอาจปักใจเชื่อ เหตุเพราะมึงมิเคยกระทำการอันขายหน้าแต่อย่างใดให้เสื่อมเสียมาถึงน้องสาวกูมาก่อน แลมึงกับกูต่างเป็นทหารใต้เบื้องพระบรมโพธิสมภารขององค์พระเจ้าอยู่หัว ล้วนถือเกียรติศักดิ์แลน้ำพระพิพัฒสัตยา จักกระทำมิให้เสื่อมพระยศมาถึงพระองค์ได้กระนั้น กูจึ่งมิระแวดระวังตะขิดตะขวงใจอันใดให้หนักอก” เจ้านายกองชุดเกราะทองเดินกลับไปมาพลางระงับอารมณ์ของตัว

“แลราตรีนี้กูได้ยินความข้างว่ามึงนัดแนะนัดพาสตรีไร้ศักดิ์มากกกอดอยู่ในโรงเหล้าร้านตลาด กระทำประหนึ่งสุนัขอดอยากของต่ำดั่งนี้ อดที่กูจักมาดูให้เห็นกับตามิได้ว่า ไอ้ยอดนักดาบแห่งกรุงนพรัตนบุรีนี้ มีประพฤติเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน สุขสำราญแต่ของต่ำตม ตามสันดานอันไม่สมราคากับอาวุธพระราชทานคู่กายแม้แต่น้อย” ว่าเสร็จก็ชี้ปลายทวนมายังมาตะห่างเพียงคืบก็จักถึงอกล่ำเปลือยเปล่า

เวฬุตวัดดาบเงินของตนให้อาวุธทวนหันเหห่างอันตรายจากเพื่อนตัว พลางว่า

“ระวังคำของพี่ท่านด้วย นายกองกฤษณะ สหายข้ามิได้กระทำต่ำศักดิ์อันใดให้ระคายเบื้องพระยุคลบาทแม้เพียงนิด อันคำกล่าวเกินเลยดั่งนี้จะมิเป็นคุณแก่ตัวพี่ท่านแลสหายข้า หากมีผู้นำความกราบบังคมทูล”

“ฮ่าๆ” บุรุษนามว่า กฤษณะ หัวเราะดังก้องสร้างอกหวั่นขวัญแขวนแก่คนในที่นั้นยิ่งเป็นทวีคูณ

“วิสัยช่างฟ้อง ช่างทูลเกล้า ดั่งสตรีนางในยามถูกเพื่อนอิจฉาริษยานั้นมิเคยมีในทหารผู้สังกัดกองทหารเกราะทอง หากเป็นเหล่ากองอื่นนั้นข้ามิอาจล่วงรู้ได้ ว่าจักมีนิสัยเยี่ยงพระสนมนางห้าม ฤา ฉันใดนั้น ข้ามิอาจรู้ ก็แหละในที่นี้มีแต่ทหารเกราะทอง แลทหารมหาดเล็กสังกัดกองทหารดาบทองดั่งนี้ แล้วเจ้าว่าฝ่ายใดจักนำคำข้าไปกราบบังคมทูลกระนั้นรึ”

“ไอ้คนนิสัยพาล” โกสินทร์ตวาดลั่นพร้อมชี้นิ้วใส่หน้านายกองกฤษณะ บัดนี้เริ่มมีสติทรงกายได้มั่นคงดังเดิมเหมือนสร่างเมาในทันทีเมื่อได้ยินคำดูถูกดูแคลน

แววตาดุจสิงห์ถูกหวดหลังตวัดมองโกสินทร์ราวกับเหยื่อในอุ้งเท้า กระชับอาวุธทวนในกำมือแน่น
 
“หากกูมีนิสัยพาลดั่งมึงว่า แล้วเพื่อนตายสหายของมึงนั้น มีนิสัยอย่างใดเล่า โปรดแถลงให้กูนี้หายขัดข้องหน่อยเถิด” กฤษณะสวนกลับดังก้อง

มิทันที่นายกองทหารเกราะทองจักกล่าวจบ โกสินทร์ก็ชักดาบเงินของตนออกจากฝักพร้อมพุ่งเข้าหากฤษณะทันที นายกองเกราะทองอยู่ในท่าพร้อมอยู่แล้วจึ่งยกทวนสกัดรับคมดาบได้โดยพลัน ชั้นเชิงคมทวนแลคมดาบเป็นอาวุธต่างชนิด แต่ทักษะการปะทะต่ออาวุธล้วนมีส่วนได้เปรียบเสียเปรียบต่างกัน ทวนมีอาวุธคมอยู่ปลาย แต่มีด้ามยาวเหมาะแก่การจู่โจมในระยะไกล เมื่อเห็นว่าโกสินทร์ถลันเข้ามาในระยะปลายทวนดั่งนั้น กฤษณะจึ่งแทงทวนหมายเอาเลือดผสมสุราออกสักหน่อยนึงให้เป็นแผลฝากไว้ แต่อาวุธดาบแม้สั้นยาวต่างกับทวนแต่เหมาะมือสำหรับป้องกันกายในระยะประชิด เมื่อปลายทวนหมายแผลเบื้องไหล่ซ้ายของตน โกสินทร์อันมีสติมิครบถ้วนเท่าใดก็สามารถปัดป้องปลายคมกริบจากการฉกเนื้อตนได้โดยง่าย

มาตะเห็นเพื่อนตัวถลันเข้าสู้ดังนั้นมิอาจปล่อยให้เข้าสู่กรงเล็บของพญาสิงห์ได้จึ่งตวัดดาบทองคู่กายเข้าโรมรันอีกด้านหนึ่ง ทหารเกราะทองผู้ติดตามเห็นนายตนโดนรุมดังนั้นจึ่งซัดอาวุธหมายช่วย แต่ทักษะดาบของมาตะลื่อชื่อสมคำเล่าลือ แม้นอาวุธปะทะต่างกันแต่ผู้ชำนาญในศิลปศาสตร์สรรพอาวุธเท่านั้นเป็นผู้เหนือกว่า มาตะจัดการทหารเกราะทองล้มลงโดยง่าย ฝากแผลตามช่องว่างระหว่างเกราะเอาไว้ให้เจ็บแสบเจ็บปวดตามแต่ผู้ใดหมายใจคิดฝากแผลให้ตนไม่ออมมือ

เวฬุแม้ร่างกายอวบอ้วนแต่ทักษะต่อสู้มีชั้นเชิง ร่างกายมิได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด ชักดาบเงินคู่กายเข้าช่วยเพื่อนตน ฝากรอยไว้กับทหารเกราะทองก็มากล้น

อาการตะลุมบอนผสมเสียงดาบปะทะทวนดังก้อง นักสุราต่างหน้าซีดอกสั่นหวั่นจิต เช่นเดียวกับนางแดงซึ่งบัดนี้เป็นลมล้มลงนอนพังพาบไปเรียบร้อยแล้ว แคร่ไม้ล้มคว่ำ ไหสุราแตกกระจาย น้ำเหล้าเจิ่งนองพื้น ผู้คนวิ่งหนีสับสนอลม่าน เสียงหวีดร้องดังผสานคมดาบอาวุธ

กฤษณะละจากโกสินทร์แล้วตวัดปลายทวนเข้าหามาตะ ซึ่งเอนหลังหลบได้โดยง่าย
 
“ราตรีนี้ถ้าหากปลายทวนของกูมิได้ลิ้มรสเลือดในกายมึงแล้วไซร้ ก็อย่านับกูเป็นนายกองทหารเกราะทองอีกเลย”
 
เวฬุกับโกสินทร์รับมือชุลมุนกับทหารเกราะทองทั้งสิบคนอยู่ข้างเคียง

“พี่ท่านโปรดระงับสติ แลพินิจให้จงดีเถิด” มาตะยกดาบยันปลายทวนด้วยกำลังกล้าแข็ง “ความวุ่นวายที่ท่านก่อนี้จะเป็นภัยต่อเราทั้งสองโดยแท้ จงครองสติสั่งหยุดทหารโดยพลัน แลข้าจักอธิบายให้ท่านคลายความสงสัย”

“จักมีอันใดให้สาธยายอีก กูล้วนเห็นด้วยตาโดยสิ้นแล้ว”

“หาเป็นเช่นนั้น ความอันใดที่ท่านรู้แลทราบดีแล้วนั้นล้วนผิดพลาด” มาตะเอ่ยตอบพลางปัดป้องทวนจากกายตัวแต่มิได้หมายให้อีกฝ่ายได้ลิ้มรสคมดาบ

“ในฐานะที่เราต่างเคารพกันและกันเมื่อครั้งรับราชการนั้น ข้าได้พี่ท่านสั่งสอนอบรมแลเข้าสังกัดเกราะทองเมื่อแรกต้น เข้านอกออกในเรือนพี่ท่านตามเวรฝึกซ้อม กฤษณาผู้น้องสาวเอ็นดูข้าประหนึ่งเพื่อนวัยเดียวกัน ข้านี้ก็เอ็นดูนางเสมือนน้องสาวดุจกันมิคิดต่างจากนี้ หามีสิ่งใดเกินเลยไปกว่าสนทนาตามประสาคนรู้จักมักคุ้น จวบกระทั่งบัดนี้ก็หาแตะต้องฝากเป็นราคีแก่น้องสาวพี่ท่านไม่”

“มึงจะกล่าวว่าน้องกูนึกคิดไปแต่ผู้เดียว แลมีจิตพิศวาสแต่มึงโดยที่มึงมิมีใจตอบกลับเลยกระนั้นรึ” แรงทวนซัดกลับรุนแรงกว่าเดิม ดวงตาภายใต้เกราะทองสวมป้องกันหน้ามีแต่แววเกลียดชัง

“ข้านี้มิได้มีใจด้วยน้องท่าน ขอตอบโดยสัตย์จริง”

คำตอบของมาตะเป็นเสมือนฟืนไม้เติมเชื้อไฟแค้นในอกของกฤษณะให้ลุกโชนกว่าเดิม

“มึงนี้ดำรงอยู่เป็นชายได้อย่างไร ว่ากล่าวคำร้ายแก่สตรีมีศักดิ์ให้เสื่อมเกียรติดั่งนี้ จงนำผ้าถุงมานุ่งห่มเสียเถิด”

“มนุษย์นี้เกิดมาจักรักใคร่ผูกใจกันได้ย่อมมีดวงจิตเสมอแลตรงกันมิใช่ ฤา ก็แหละข้าและน้องสาวพี่ท่านมิได้มีน้ำใจเสมอแลตรงกันดั่งนี้แล้ว แลข้าบอกความตามสัตย์จริง ดั่งนั้นพี่ท่านจะกล่าวหาว่าข้านี้ให้ร้ายสตรีได้อย่างไร”

กฤษณะเต้นวนรอบตัวมาตะ ตวัดแทงหมายที่สำคัญใดก็พลาดเพราะแรงปัดป้องจากดาบทองทุกทีไป ยิ่งโหมกำลังแค้นให้ลุกโชนยิ่งกว่าเก่า ความเจ็บในหัวอกนี้อยากให้คนคู่ประอาวุธได้รับคืนไปบ้าง

“คนทั้งพระนครต่างรู้แจ้งเห็นจริงว่า มึงแลน้องสาวกูต่างไปมาหาสู่เป็นนิตย์ สมัครรักใคร่กันโดยถ้วนทั่วแล้ว แลมึงมากลับคำฉะนี้ หวังให้น้องสาวกูได้ยินแล้วอกแตกตายอย่างนั้นหรือ”

“หามิได้ มาตะนี้กระทำการใดก็จักว่าไปตามนั้น มิได้บิดผันแปรเปลี่ยน การจักว่าไปมาหาสู่นั้นมิได้ก่อน เพียงแค่พบหน้า ฤา สนทนาต่อกันนั้นยังนับครั้งได้ภายในมือข้างเดียว ดั่งนี้ จักหาว่าไปมาหาสู่เป็นนิตย์นั้นมิได้”

“มึงคงอยากสิ้นชีวาวายโดยมิได้นอนอยู่บนตักของคู่รักเป็นแน่ จึ่งเอ่ยคำตายออกมาดั่งนี้ เช่นนั้นกูจักนำร่างมึงไปขอโทษน้องกูแทนคำมึงก็แล้วกัน”

กฤษณะหมุนทวนเป็นวงกลมรวดเร็ว มาตะก้าวถอยมาตั้งรับ กระบวนท่าของนายกองเกราะทองเป็นทักษะชนิดพิเศษประจำอาวุธ เสร็จแล้วจึ่งวาดใส่คู่ต่อสู้รวดเร็วเมื่ออีกฝ่ายมึนงงจับจ้องกับวงล้อม

เสียงวัตถุพุ่งแหวกอากาศมารวดเร็วเหมือนหวดแส้ดังกระทบ อาวุธทวนสีเงินสว่างเจิดจ้าตั้งแต่ปลายแหลมคมจรดสุดท้ามถือ อันประกอบด้วยสีเงินยวงกระทบแสงเดือนส่องประกายขาวสว่าง ประดับพู่ห้อยสีขาว สกัดกั้นกระแทกใส่ทวนของกฤษณะจนอาวุธคู่กายของนายกองมีชื่อกระเด็นหลุดมือสุดต้านทานในพละกำลัง

แววตาเหี้ยมตระหนกในอาการพลัดหลุดของอาวุธประจำกายร่วงหล่น วิถีทวนเงินหมุนย้อนกลับคืนยังผู้ซึ่งขว้างมาขัดขวาง มาตะเหลียวหลังกลับมอง กฤษณะยืนตื่นตะลึงจับจ้องผ่านไปยังบุคคลผู้ส่งทวนเทวามาสกัดตน เงาร่างนั้นรับทวนกลับสู่มือขวาก้าวออกมาจากเงามืดของเรือนพักสู่แสงสว่างของโคม

ณ วินาทีแสงเดือนต้องใบหน้า นายกองหนุ่มภายใต้ชุดเกราะทองก็มิอาจถอนสายตาจากคนผู้นั้น ด้วยไม่เคยแลเห็นบุรุษใดงดงามเท่านี้มาก่อนในชีวิต


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3277607#msg3277607)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๔ ทวนอัศวาราตรีกาล ๕๐% (๐๕/๐๑/๕๙) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: pui_noizๆ ที่ 06-01-2016 01:53:40
ก่อนอื่น เราต้องขอขอบคุณ ซึ่งต้องขอบคุณมากๆๆๆ ฮะ
เป็นเรื่องที่สนุก เพลิดเพลิน ละมุน กลมกล่อม ทั้งยังมีความสลับซับซ้อนเกินกว่าที่จะคาดเดาได้ ซึ่งเชื่อว่าผู้ประพันธ์ได้รังสรรค์ผลงานชิ้นนี้ด้วยความคิดอ่านที่ผ่านการคัดกรองมาอย่างดีและเต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ...

อ่านมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ก็ต้องขอขอกว่า เรื่องนี้ดีมาก แทบจะไม่มีที่ติ แต่เนื่องด้วยเป็นเรื่องที่มีการพรรณนาด้วยถ้อยคำที่สละสลวยซะส่วนใหญ่และมีความวิจิตรบรรจงอยู่มาก จึงทำให้มาตรฐานการอ่านจึงสูงขึ้นตาม ทั้งนี้ คำผิด แม้เพียงเล็กน้อยก็จะทำให้เสียอรรถรสได้ เช่น ท่อนร่าง ซึ่งเราจะพบได้บ่อยในบทตอนต้นๆ หรือคำ พิศวาส ซึ่งพบได้ในบทนี้ และจะพบคำอื่นๆ อีกประปราย แต่โดยรวมไม่ได้มีมากและก็ไม่ได้ทำให้ความหมายผิดเพี้ยนหรือเสียหายอะไรไป นอกจากนี้ การบรรยายความในช่วงย้อนเวลา บางช่วงบางตอน ดูจะเป็นการผสมผสานทั้งคำสมัยใหม่และสมัยก่อน ซึ่งมองว่าเป็นการหลุดออกจากโทนไปบ้าง ถ้าควบคุมการใช้คำให้สอดคล้องกับแต่ละช่วงเวลาได้ก็จะเป็นสิ่งที่ดีมาก
ทั้งนี้ทั้งหมดไม่ใช่ข้อผิดพลาดอะไรที่สำคัญมากมายอะไร แค่จะช่วยเติมเต็มให้มันสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น (เชื่อว่าถ้าได้ย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่ต้น ก็จะเจอและเข้าใจในสิ่งที่เราบอก)...
สุดท้าย...ทุกอย่างเป็น คหสต นะฮะ
ได้โปรดอย่าโกรธกันเลย หรือ ถ้าเราทำให้รู้สึกไม่ดีก็ต้องขออภัยด้วยนะฮะ
[size]
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๔ ทวนอัศวาราตรีกาล ๕๐% (๐๕/๐๑/๕๙) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 06-01-2016 02:54:35
ใครหนอมาขัดจังหวะ ต้องเป็นคุณพี่ชายของมาตะแน่เลย แต่มาตะร้ายมากนะกล่อมพจน์จนเกือบได้
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๔ ทวนอัศวาราตรีกาล ๕๐% (๐๕/๐๑/๕๙) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 06-01-2016 05:32:08
 o13
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๔ ทวนอัศวาราตรีกาล ๕๐% (๐๕/๐๑/๕๙) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 06-01-2016 13:22:17
พี่ชายมาตะหรอ?  น่าคิดๆ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๔ ทวนอัศวาราตรีกาล ๕๐% (๐๕/๐๑/๕๙) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 06-01-2016 16:49:52
แอร๊ยยย :jul1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๔ ทวนอัศวาราตรีกาล ๕๐% (๐๕/๐๑/๕๙) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 06-01-2016 18:48:21
ช่างมีเรื่องมาขัดจังหวะได้ตลอดเนอะ มาตะแลดูมีแต่อุปสรรค
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๔ ทวนอัศวาราตรีกาล ๕๐% (๐๕/๐๑/๕๙) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 07-01-2016 07:24:45
แทบขาดใจ ค้างงงง :katai1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๔ ทวนอัศวาราตรีกาล ๕๐% (๐๕/๐๑/๕๙) หน้า ๔ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 07-01-2016 14:22:42
เพิ่งเข้ามาอ่าน สนุกมากๆเลยค่ะ

 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๔ ทวนอัศวาราตรีกาล ๑๐๐% (๐๘/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 08-01-2016 20:04:26
[ต่อ]


อาการร้อนรนทนเห็นมาตะถูกบุคคลลึกลับฟาดฟันทวนเล่มยาวใส่แคล่วคล่อง เจ้าของดาบทองทำทีแต่เพียงยกปัดออกจากตัวกระนั้น ทำให้พจน์ร้อนใจเกรงคนรักจะได้รับอันตราย มองไปที่ใดก็ไม่เห็นหนทางขอความช่วยเหลือได้ ซ้ำจะเข้าไปช่วยมือเปล่าก็ลังเลไม่สมคะเน หวั่นเป็นภาระหนักทำให้มาตะระแวดระวังต้านทานไม่สมกำลัง นึกคิดอยากมีอาวุธสักอย่างหนึ่งเช่นดาบ หรือ ทวน หมายเข้าช่วยจู่โจมนำประจันกับคนนับสิบซึ่งกลุ้มรุมโรมรันพันตูกันชุลมุนอยู่

เพียงสิ้นความนึกคิดก็ปรากฏทวนเล่มยาวสีเงินตลอดคมแหลม แลสลักลายนูนสิงหนาทตลอดด้ามถือผุดขึ้นในมือขวาของพจน์ ประดับพู่ห้อยระหงขาวพิสุทธิ์ เป็นที่มหัศจรรย์แก่ใจอย่างยิ่ง ระหว่างนั้นเหลียวดูมาตะใกล้พลาดท่าเสียทีตนไม่เห็นหนทางอื่นจึงขว้างทวนในกำมือเข้าขัดขวาง และยิ่งกว่ามหัศจรรย์ในฝีไม้ลายมือ ทวนสีเงินพุ่งสกัดได้ถูกต้องเหมือนจับวางทำให้อาวุธของอีกฝ่ายร่วงหล่นสู่พื้นในทันใด แล้วหมุนคว้างกลับมาสู่มือราวกับมุมเมอแรง พจน์รีบคว้าด้ามไว้ บุ่มบ่ามก้าวเข้าหามาตะตั้งใจจะช่วยเป็นกำลังอีกแรงหนึ่ง

“ภัทรพจน์ เจ้านำทวนเทวามาจากที่ใด ฤา” มาตะละมือจากการต่อสู้เช่นเดียวกับเวฬุและโกสินทร์ ทุกคนต่างตื่นตกใจในสาเหตุที่ทำให้อาวุธคู่กายของนายกองเกราะทองถูกปลดง่ายดาย ราวกับใบไม้ปลิดขั้วร่วงหล่นลงพื้น

“ทวนเทวา อย่างงั้นเหรอ”

“ถูกแล้ว อาวุธที่น้องท่านถืออยู่ คือ ทวนอัศวาราตรีกาล อย่างไรเล่า” มาตะเฉลยให้พจน์คลายสงสัย

ทวนอัศวาราตรีกาล พจน์รำพันในใจ ทวนเทวาที่กำลังตามหาอยู่เพื่อนำไปช่วยอาธนพล บัดนี้มาอยู่ในกำมือพจน์ได้อย่างอัศจรรย์ใจยิ่ง

“ไม่รู้ อยู่ๆก็ผุดขึ้นมาในมือ” พจน์เกาหลังคอ สีหน้าสับสนทำให้มาตะไม่หายจากความแคลงใจสงสัย
 
กฤษณะและพรรคพวกต่างเฝ้ามองเหตุการณ์เบื้องหน้าไม่ไหวติงเสมือนกาลเวลาหยุดนิ่ง

“แปลกประหลาดนัก ทวนอัศวาราตรีกาลเล่มนี้เป็นสมบัติของพี่ชายเจ้าถือครองอยู่ แลบัดนี้มาอยู่ในกำมือคู่พิสวาสของเจ้าได้นี้ ข้าอับจนความคิดนัก” เวฬุกล่าว โกสินทร์ยังคงตั้งท่าคุมเชิงมิให้ทหารเกราะทองกระทำจู่โจมลับหลังได้

มาตะลูบคลำทวนจนแน่แก่ใจว่ามิผิดจากของจริงแท้จึ่งไม่ได้กล่าวอันใดอีก

“น้องท่าน โปรดถอยห่างจากลานวิวาทก่อนเถิด บัดเดี๋ยวจักพลัดหลงโดนคมอาวุธให้ต้องเนื้อนวล แลข้าจักพะวักพะวนห่วงหน้าพะวงหลังจนมิอาจรับอาวุธได้เต็มกำลัง” พยักหน้าให้พจน์ยอมถอย

“นายมีแค่สามคนจะชกต่อยกับคนเป็นสิบได้ยังไง เดี๋ยวเราจะช่วยเอง” พจน์กระชับทวนเทวาตั้งท่าได้กระฉับกระเฉงทั้งที่ไม่เคยฝึกปรืออาวุธประเภทนี้มาก่อน

“น้องท่านเปรียบดั่งดวงใจของมาตะ ชะรอยหากถูกคมหอกคมทวนต้องผิวกายเพียงนิด หัวใจมาตะก็เจ็บแปลบประหนึ่งถูกเฉือนทิ้ง เชิญน้องท่านช่วยทำคุณพาใจข้าหลบจากที่อันตรายแห่งนี้เสียก่อนเถิด” มาตะส่งสายตาเว้าวอน

พจน์มีน้ำใจแฝงท่าทีตั้งมั่นวิริยะจะเข้าช่วยให้ได้ ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนจับจ้องแต่หน้านายกองเกราะทอง

“บุรุษผู้นี่น่ะหรือ”

กฤษณะเอ่ยแทรก ใช้สองมือถอดเกราะครอบศีรษะออก เผยให้เห็นเด็กหนุ่มวัยเดียวกับพจน์ มาตะและสหาย ใบหน้ายาวแหลม จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง รวมถึงคิ้วเข้ม ดวงตาคมดุจเหยี่ยวนั้นคล้ายคลึงไอ้นิธิราวกับเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน หนวดเคราเหนือริมฝีปากทำให้กฤษณะดูเป็นผู้ใหญ่กว่าทุกผู้คน เจ้านั่นก้มลงคว้าทวนคู่กายถือไว้อีกข้าง ดวงตาเหยี่ยวนั้นจับจ้องพจน์ไม่ให้หลุดเลือน

“คือคนที่เจ้าพามาสู่ ณ สำนักเรือนพักแห่งนี้”

มาตะยืดกายเผชิญหน้า คิ้วขมวดแน่น สลับเขม้นมองพจน์กับกฤษณะด้วยสีหน้าเครียด

“หาใช่กิจอันใดของพี่ท่าน แต่เหตุวิวาทนี้จงระงับยับยั้งเถิด รังแต่จะสร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่ทรัพย์สินของแม่ป้าท่าน” มาตะดึงพจน์ให้หลบอยู่แผ่นหลังกว้าง

“ฮ่าๆ” กฤษณะหัวเราะลำพอง หยั่งเห็นกิริยาหวงของ สะกดให้อารมณ์ดีฉับพลัน ทั้งที่เมื่อครู่โกรธแค้นประหนึ่งถูกเพลิงเผา แล้วเสร็จก็ควักถุงผ้าหย่อนไปทางซึ่งนางแดงล้มเป็นลมอยู่ ข้าทาสวิ่งวนคว้าทองคำซึ่งหล่นเกลื่อนพื้นมากอบกำไว้

“เป็นความด่วนได้ใจร้อนของข้าเองที่กระทำอุกอาจสร้างความเสียหายแก่โรงสุราท่าน สิ่งนี้จึ่งเป็นทองเล็กน้อยซึ่งน่าจะทดแทนกันแลกันได้” กฤษณะน้อมก้ม กิริยาอาการเปลี่ยนแปลงเป็นนอบน้อมราวกับคนละคน

“หากพี่ท่านรู้การฉะนี้ ข้าก็ขอขอบน้ำใจนัก รอยแผลซึ่งท่านและสหายข้าต่างฝ่ายต่างฝากรอยกันไว้ให้ถือเป็นสัญลักษณ์การฝึกปรือในอาวุธ อันจะเป็นคุณประเสริฐแก่แผ่นดินในภายหน้า โปรดอย่าได้ถือสาหาความต่อกันอีก” มาตะเจรจาไกล่เกลี่ย

สีหน้าเรียบเฉยของกฤษณะพร้อมด้วยดวงตานิ่งสนิทว่างเปล่า ที่พจน์เผลอสบเข้าคราใดก็ให้ความรู้สึกลึกล้ำสุดคาดเดา
 
“วานเจ้ากลับสู่ห้องหับนับสำราญแต่แรกเริ่มเดิมทีเถิด ข้าเวฬุผู้นี้จักนำพา มาตะ จงอย่าได้พะวักพะวนเป็นห่วง”

เวฬุสังเกตอาการกฤษณะซึ่งลอบมองพจน์ดั่งนั้นจึงออกปาก เมื่อเห็นเพื่อนรูปงามพยักหน้าจึ่งเชื้อเชิญ พจน์เห็นว่าการวิวาทคงยุติแน่แล้วกลับใจยอมทำตาม
 
“ข้ายังมิรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าเลย” กฤษณะตะโกนถาม “โปรดแจ้งนามอันประเสริฐของท่านให้ข้าได้ยินสักคราเถิด”

ไม่แน่ใจว่านั่นคือคำถามสำหรับพจน์หรือเปล่าจึงหยุดยั้งรั้งรอเพียงครู่

“นามของผู้สามารถปลดทวนจากมือได้นั้น เป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับขุนทหารผู้ชาญณรงค์” กฤษณะยังคงพูดต่อ “ก็แหละการต่อยุทธกันแลกันนั้น คราใดถูกฝากรอยแผลหนึ่ง ถูกตัดพู่ทวนหนึ่ง แลถูกปลดทวนจากฝ่ามืออีกหนึ่งนี้ จักเป็นขวัญกำลังใจแก่ขุนทหารคู่ศึกในภายภาคหน้าให้ฝึกปรือฝึกซ้อม ย่อมปรารถนาชื่อแลนามของคนผู้กระทำโดยสิ้น หากท่านประสงค์ให้กฤษณะนี้มีกำลังแรงกายหมายหมั่นฝึกฝนมิยินยอมให้ผู้ใดปลดทวนจากมือตนได้อีกแล้ว วานเจ้าจงแจ้งนามนั้นให้เป็นแรงซ้อมด้วยเถิด”

“อย่าได้สนใจเลยเจ้า รีบกลับคืนห้องเถิด” เวฬุกระซิบบอก
 
“หากท่านมิยินยอมบอกนาม กฤษณะก็จักขอคุกเข่าอยู่เช่นนี้ไม่ไปไหน” ว่าเสร็จก็ทรุดกายแนบเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นดิน เหล่าทหารในสังกัดเห็นนายตัวกระทำดั่งนั้นจึ่งปฏิบัติตามโดยพร้อม พจน์เห็นท่าทีลุกะโทษแล้วก็พลันเกิดความรู้สึกเห็นใจ กัดฟันตอบไปว่า

ภัทรพจน์

สีหน้ายินดีในคำตอบทำให้กฤษณะอดวาดรอยยิ้มมิได้

มาตะส่งประกายกล้าสบตาคู่ตนแต่ไม่เอ่ยคำพูดใด พจน์กำทวนเทวาเดินตามเจ้าเวฬุกลับห้องหลังเดิม

“เจ้ามิควรฝากนามแก่คนผู้นั้น” เวฬุเติมน้ำมันตะเกียงพลางกล่าว

“ทำไมล่ะ แค่บอกชื่อเอง แล้วอีกอย่างเรื่องจะได้จบๆกันไปเสียที”
 
“หากเป็นในวาระอื่นแลบุคคลนั้นมิได้มีเจตนาแอบแฝงก็ย่อมจักชอบอยู่” เวฬุถอนหายใจ “แต่นายกองเกราะทองมองเพียงปราดเดียวก็รู้แจ้งว่า หมายปองแลหมายตาเจ้าฉะนี้ การแจ้งนามย่อมหมายถึงเจ้ายินยอมให้คนผู้นั้นทำตามประสงค์แก่ใจตัวได้”

“อะไรนะ นายนั่นน่ะเหรอ คิดอะไรกับเรา” สุดประหลาดใจ

“เจ้ารูปงาม แลกิริยาอาการน่าเอ็นดู เพียงแรกพบสบตาย่อมสร้างอารมณ์สั่นสะเทือนหวั่นใจแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่งดั่งนี้ มีหรือที่กฤษะพี่ท่านจะมิวาบหวาบใจตาม” เด็กหนุ่มร่างอวบชี้แนะ

“เราไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น จะทำยังไงดี” นึกห่วงความรู้สึกของมาตะขึ้นมาทันที

“เจ้ามีมาตะเป็นดั่งเกราะทองคุ้มภัยแล้ว จงอย่าได้ปริวิตก” เวฬุคลายสีหน้าเครียด “การณ์อันภายหน้าจักเป็นเช่นไรนั้นยากเกินคาดเดา แต่ความจริงใจของเจ้ามีแก่มาตะสหายเรานั้น ยังจะคงหนักแน่อยู่หรือ”

พจน์พยักหน้ารับ ไม่ต้องคิดให้มากความ

“ใช่แน่นอน”

“น้ำคำเจ้า แม้มาตะมาได้ยินคงชื่นอุราเป็นหนักหนา ข้าเองเป็นแต่เพียงสหายรักยังจักปริ่มอกดั่งนี้แล้ว ค่อยหายหวาดต่อสิ่งในห้วงคิดคำนึงนึก หากใจเจ้าแข็งแกร่งยึดมั่นดั่งหินผานิลกาฬตามคำซื่อ มาตะน้องเราจึ่งนับเป็นบุรุษผู้สุขล้นยิ่งในพิภพ”

มาตะเปิดประตูพรวดเข้ามาพร้อมโกสินทร์ เวฬุลุกจากตั่งแล้วยืนขึ้น สีหน้าเครียดนั้นบ่งบอกอารมณ์ของหนุ่มรูปงาม แววตาคมจับจ้องแต่ใบหน้าพจน์

“ข้าแลโกสินทร์จักคอยเฝ้าแหนอยู่หน้าห้องระวังภัย” เวฬุคว้าไหล่เด็กหนุ่มผิวเข้มสูงใหญ่ให้ละสายตาแดงไปจากพจน์

เมื่อเหลือเพียงคนทั้งสองมาตะจึ่งทรุดกายลงข้างเคียง

“นายไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม มาตะ” พจน์สำรวจหารอยแผล แต่เพียงริ้วรอยบาดเจ็บเพียงนิดก็หามีไม่ มาตะทอดถอนใจ แล้วหันมาจดจ้องพจน์อีกครั้ง

“บัดนี้น้องท่านได้ทวนอัศวาราตรีกาลมาถือครองแล้ว อาวุธซึ่งจักช่วยชุบชีวิตญาติกาน้องท่านให้กลับคืนดั่งคำกลอน โปรดจงรักษาดูแลประหนึ่งตัวมาตะอยู่เคียงข้างเจ้า”

พจน์ก้มมองทวนเทวาสีเงินในกำมือที่ปรากฏขึ้นมาหาตนได้ตามใจนึกปรารถนา

“ได้สิ”

“ทวนอัศวาราตรีกาลเป็นอาวุธคู่แผ่นดิน คือสมบัติซึ่งสนองคุณมหาอาณาจักรของชาวเรามาช้านาน นำออกรบทัพจับศึกนับครั้งไม่ถ้วน ล้วนลิ้มเลือดศัตรูมานักต่อนัก การมาสู่มือน้องท่านโดยอัศจรรย์นี้เป็นที่พิศวงแก่ใจข้า แม้นมิอาจหาคำตอบได้ แต่อาวุธทวนเทวามิเคยปรากฏว่าจักละจากมือผู้ถือครองมาสู่ผู้อื่นโดยมิมีสาเหตุ”

ทวนสีเงินสว่างวาบดุจแสงเดือน

“ด้วยเหตุเภทภัยซึ่งน้องเราประสบอยู่นี้คงจักทราบถึงทวนทรงฤทธิ์ จึ่งบันดาลมาสู่มือน้องท่านโดยมิพักต้องตามหา”

“ข้าตรองดูแล้ว เวลาซึ่งน้องท่านจักอยู่กับข้าคงเหลืออีกเพียงไม่นานแล้ว นั่นทำให้หัวอกของมาตะร้าวรานนัก” มาตะประคองหลังมือพจน์ขึ้นจูบสลับไปมา “บัดนี้พ้นยามสองแล้ว หากสิ้นมัชฉิมยามจักเสียพิธีการทำลายมนตราทมิฬ เมื่อคิดดั่งนี้อดทำให้ข้าวาบหวิวในห้วงหัวใจมิได้”

“เวลาซึ่งเราสองจักครองอยู่ด้วยกันช่างสั้นประดุจเทียนหนึ่งเล่ม เมื่อจุดไฟแลแสงเพลิงใช้ไส้เทียนจนหมดแล้วจึ่งสิ้นสุดเวลาพบเจอ”

“นายรู้หรือ....ว่าเรา....ไม่ได้อยู่พิภพนี้” พจน์ถามกลับ

“มีคำหนึ่งที่พระอาจารย์โกสินธพกล่าวกับข้าหลังคำปรึกษาสิ้นสุด”

ดวงตาสั่นไหวทำให้พจน์เจ็บปวดใจเหลือคณานับ ยกมือสัมผัสใบหน้าเศร้าให้คลายโศก มาตะจูบหน้าผากพจน์สูดกลิ่นหอมไว้ประทับทรวงเป็นครั้งสุดท้าย


“คู่ ใจเจ้าอยู่ไกลในพิภพ
ครอง บรรจบจิตมั่นอย่าหวั่นไหว
มา พบจากสิ้นวันผันเปลี่ยนไป
ตะ วันลับคืนไพรหวนกลับมา”


มือพจน์คว้าตัวเจ้าคนล่ำสันเข้าโอบกอดโดยพลัน เมื่อสิ้นสุดคำกลอนของพระอาจารย์ผู้นั้น พจน์ไม่อาจห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลได้ จิตใจของมาตะเจ็บปวดแค่ไหนบัดนี้พจน์รับรู้หมดสิ้นแล้ว หากเป็นตัวพจน์เองที่รู้ว่ามาตะต้องจากตัวไปไม่ได้อยู่เคียงข้างกันทุกวันเช่นนี้ ก็ให้รู้สึกเจ็บหัวอกทรมานจนพาลให้น้ำตาไหล

“ขอโทษ ขอโทษ” พจน์พร่ำบอก หลับตาเพื่อปิดกลั้นหยดน้ำ มาตะยกมือลูบหลังพจน์แผ่วเบา

“โปรดอย่าครวญคร่ำเลยเจ้า ข้าเข้าใจถ่องแท้โดยดีแล้ว”

“ขอโทษจริงๆ มาตะ เราขอโทษนายด้วย”

พจน์ไม่อาจรู้ได้ว่าวันเวลาซึ่งตนจะข้ามพิภพกลับไปแลมาหาคือเมื่อใดอีก คำขอโทษพรั่งพรูพร้อมหยดน้ำตาหลั่งริน สิ่งใดหนอถึงเล่นตลกกับความรักความรู้สึกของพจน์กับเจ้ามาตะเช่นนี้

ลมหนาวประดุจน้ำเย็นยะเยือกไหลผ่านตัวพจน์รวดเร็วดั่งสายฝนสาดใส่ ทำให้พจน์ต้องกลั้นใจลืมตา และทันทีที่เห็นสิ่งที่ปรากฏสู่คลองจักษุก็พาลให้น้ำตาพจน์ไม่อาจหยุดยั้งได้ ร่างสั่นวะวาบเพราะความเศร้าสุดแสนสะเทือนใจ

“ไอ้พจน์ มึงเป็นอะไรหรือเปล่า อยู่ๆก็มากอดกู”

เสียงไอ้กันซึ่งพจน์จำได้ดีกระซิบข้างกกหู เด็กหนุ่มยังคงโอบกอดนิธิอยู่เช่นนั้น เรือนพักแรมของนางแดงแปรเปลี่ยนเป็นห้องพักคนไข้โดยฉับพลัน มือขวาของพจน์ยังคงกำทวนอัศวาราตรีกาลแน่น แต่หัวใจปวดร้าวทรมานเหลือเกิน ในเมื่อทวนเทวายังสามารถติดตามพจน์มาสู่โลกปัจจุบันได้ แล้วเหตุใดหัวใจของพจน์ถึงไม่อาจนำกลับติดตัวมาด้วยได้


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3281157#msg3281157)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๔ ทวนอัศวาราตรีกาล ๑๐๐% (๐๘/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 08-01-2016 20:18:53
แอบค้างนะเนี่ย แต่คนเขียนเก่งมากอ่ะ คือก่อนหน้าก็ว่าเก่งแล้วที่แบบให้คำพูดดูคล้องจองคล้ายกลอน แต่นี่มีแต่งกลอนได้อีกสุดยอดมากเลย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๔ ทวนอัศวาราตรีกาล ๑๐๐% (๐๘/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 08-01-2016 21:16:51
 :mew6:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๔ ทวนอัศวาราตรีกาล ๑๐๐% (๐๘/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 08-01-2016 21:30:33
โหยยยยย  :z3:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๔ ทวนอัศวาราตรีกาล ๑๐๐% (๐๘/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 08-01-2016 23:30:45
คู่-ครอง-มา-ตะ ♡
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๔ ทวนอัศวาราตรีกาล ๑๐๐% (๐๘/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 08-01-2016 23:40:55
 :o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๔ ทวนอัศวาราตรีกาล ๑๐๐% (๐๘/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 09-01-2016 01:54:39
มาตะต้องรอนะ เดี๋ยวก็ได้เจอกันอีก
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๔ ทวนอัศวาราตรีกาล ๑๐๐% (๐๘/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 09-01-2016 20:52:15
นำ้ตาไหลตามพจน์เลย สงสารความรักของทั้งคู่ ต้องจากกันอีกแล้ว

ทวนมาอยู่กับพจน์ง่ายจัง ไม่รู้ว่าพจน์จะเกี่ยวข้องอะไรกับพี่ชายของมาตะหรือเปล่านะ

เสน่ห์ของพจน์ช่างน่ากลัว มาตะก็คงต้องรู้สึกหวงพจน์อยู่ตลอด มีคนรักที่งดงามก็ต้องควบคุมอารมณ์หึงหวงตลอด
มีคนมาแอบชอบพจน์กี่คนแล้วนี่  แต่มาตะได้ครอบครองทั้งกายใจไปคนเดียวเลยนะคะมาตะ :-[

รอลุ้นว่าจะใช้ทวนช่วยอาของพจน์อย่างไร แล้วพจน์จะได้กลับไปหามาตะอีกเมื่อไร
สนุกมากๆเลยค่ะ ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๔ ทวนอัศวาราตรีกาล ๑๐๐% (๐๘/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Min*Jee ที่ 10-01-2016 12:32:12
โอ๊ยยยยยยยย เศร้าาาาาาา อ่านรวดเดียวมาถึงตอนนี้เลยค่ะ!!!!!
เราเชียร์มาตะนะ พ่อคุณน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน แต่ก็สงสารกันต์ สงสารปาล์มด้วย
น้องพจน์เลือกซักคนแล้วเทที่เหลือมาให้เจ้นะคะ โอเค๊!!!!
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๔ ทวนอัศวาราตรีกาล ๑๐๐% (๐๘/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: noksamsee ที่ 10-01-2016 16:19:05
มาตะแอบหื่นน่ะเนี้ย ชอบพระเอกเริ่องจังขนาดขอncยังสุภาพ เรียกนายเอกว่าน้อง คนอ่านอยากมีโมเม้นแบบนี้
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< ช่วงพูดคุยตอบคำถาม part 3 (๑๑/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 11-01-2016 16:41:51
มาตะแอบหื่นน่ะเนี้ย ชอบพระเอกเริ่องจังขนาดขอncยังสุภาพ เรียกนายเอกว่าน้อง คนอ่านอยากมีโมเม้นแบบนี้
มาตะไม่ได้หื่นนะครับ มาตะของเราแค่อดใจไม่ไหวเท่านั้น 555

โอ๊ยยยยยยยย เศร้าาาาาาา อ่านรวดเดียวมาถึงตอนนี้เลยค่ะ!!!!!
เราเชียร์มาตะนะ พ่อคุณน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน แต่ก็สงสารกันต์ สงสารปาล์มด้วย
น้องพจน์เลือกซักคนแล้วเทที่เหลือมาให้เจ้นะคะ โอเค๊!!!!
สุดยอดครับ  :katai2-1: อ่านตั้งแต่แรกจนถึงตอนล่าสุด ไม่ได้อ่านข้ามนะครับ เดี๋ยวจะพลาดปมสำคัญไป มาตะได้แฟนคลับเพิ่มมาอีกคนแล้ว น่าดีใจ แต่ กัน กับ ปาล์ม นี่ ยังจะมีแฟนคลับอยู่บ้างไหมน้า 555 บางทีพจน์อาจจะเก็บไว้หมดเลยก็ได้นะครับ

นำ้ตาไหลตามพจน์เลย สงสารความรักของทั้งคู่ ต้องจากกันอีกแล้ว

ทวนมาอยู่กับพจน์ง่ายจัง ไม่รู้ว่าพจน์จะเกี่ยวข้องอะไรกับพี่ชายของมาตะหรือเปล่านะ

เสน่ห์ของพจน์ช่างน่ากลัว มาตะก็คงต้องรู้สึกหวงพจน์อยู่ตลอด มีคนรักที่งดงามก็ต้องควบคุมอารมณ์หึงหวงตลอด
มีคนมาแอบชอบพจน์กี่คนแล้วนี่  แต่มาตะได้ครอบครองทั้งกายใจไปคนเดียวเลยนะคะมาตะ :-[

รอลุ้นว่าจะใช้ทวนช่วยอาของพจน์อย่างไร แล้วพจน์จะได้กลับไปหามาตะอีกเมื่อไร
สนุกมากๆเลยค่ะ ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2:
คนเขียนก็น้ำตาไหลครับ ไม่อยากพรากพวกเขาเลยจริงๆ แต่ทวนมาหาพจน์ง่ายไปเหรอครับ เอ ต้องติดตาม เพราะตอนนี้อุบัติการแห่งพลังสถิตร่างของพจน์โดยสมบูรณ์พร้อมแล้วนี่นา เตรียมใจไว้เลยครับ พจน์ของเราเสน่ห์แรงกว่านี้อีกมาก รอติดตามต่อไปเรื่อยๆนะครับ

มาตะต้องรอนะ เดี๋ยวก็ได้เจอกันอีก
ใช่ครับ อดทนๆ  :z3:

:o12: :o12: :o12: :o12: :o12:
  :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

คู่-ครอง-มา-ตะ ♡
ภั-ท-ร-พจน์  :L1:

โหยยยยย  :z3:
ใจเย็นๆครับ

:mew6:
:mew4:

แอบค้างนะเนี่ย แต่คนเขียนเก่งมากอ่ะ คือก่อนหน้าก็ว่าเก่งแล้วที่แบบให้คำพูดดูคล้องจองคล้ายกลอน แต่นี่มีแต่งกลอนได้อีกสุดยอดมากเลย :katai2-1:
ขอบคุณครับ ถ้าชอบก็คอยติดตามเป็นกำลังใจเรื่อยๆนะครับ

เพิ่งเข้ามาอ่าน สนุกมากๆเลยค่ะ

 :katai2-1: :katai2-1:
ขอบคุณครับ คอยติดตามน้า อย่าทิ้งกันไปไหนนะครับ

แทบขาดใจ ค้างงงง :katai1:
อย่าเพิ่งขาดใจตายเสียก่อนสิครับ แบบนี้ก็อดรู้เรื่องต่อน่ะสิ 555

ช่างมีเรื่องมาขัดจังหวะได้ตลอดเนอะ มาตะแลดูมีแต่อุปสรรค
รักแท้ต้องพิสูจน์ผ่านกาลเวลา และอุปสรรคขวากหนามมากมายครับ ถึงจะได้ชื่อว่า รักมั่นคงชั่วนิรันดร์

แอร๊ยยย :jul1:
ฮ่าๆ  :m25:

พี่ชายมาตะหรอ?  น่าคิดๆ
ยังๆครับ พี่ชายมาตะยังไม่ปรากฏตัวง่ายๆ รอติดตามกันต่อไปนะครับ

o13
:pig4:

ใครหนอมาขัดจังหวะ ต้องเป็นคุณพี่ชายของมาตะแน่เลย แต่มาตะร้ายมากนะกล่อมพจน์จนเกือบได้
ถึงตอนล่าสุดน่าจะรู้แล้วนะครับ ว่าไม่ใช่พี่ชายมาตะ อิอิ พจน์แพ้ทางมาตะตลอดเลย คราวหน้าต้องฮึดสู้ให้ได้

ก่อนอื่น เราต้องขอขอบคุณ ซึ่งต้องขอบคุณมากๆๆๆ ฮะ
เป็นเรื่องที่สนุก เพลิดเพลิน ละมุน กลมกล่อม ทั้งยังมีความสลับซับซ้อนเกินกว่าที่จะคาดเดาได้ ซึ่งเชื่อว่าผู้ประพันธ์ได้รังสรรค์ผลงานชิ้นนี้ด้วยความคิดอ่านที่ผ่านการคัดกรองมาอย่างดีและเต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ...

อ่านมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ก็ต้องขอขอกว่า เรื่องนี้ดีมาก แทบจะไม่มีที่ติ แต่เนื่องด้วยเป็นเรื่องที่มีการพรรณนาด้วยถ้อยคำที่สละสลวยซะส่วนใหญ่และมีความวิจิตรบรรจงอยู่มาก จึงทำให้มาตรฐานการอ่านจึงสูงขึ้นตาม ทั้งนี้ คำผิด แม้เพียงเล็กน้อยก็จะทำให้เสียอรรถรสได้ เช่น ท่อนร่าง ซึ่งเราจะพบได้บ่อยในบทตอนต้นๆ หรือคำ พิศวาส ซึ่งพบได้ในบทนี้ และจะพบคำอื่นๆ อีกประปราย แต่โดยรวมไม่ได้มีมากและก็ไม่ได้ทำให้ความหมายผิดเพี้ยนหรือเสียหายอะไรไป นอกจากนี้ การบรรยายความในช่วงย้อนเวลา บางช่วงบางตอน ดูจะเป็นการผสมผสานทั้งคำสมัยใหม่และสมัยก่อน ซึ่งมองว่าเป็นการหลุดออกจากโทนไปบ้าง ถ้าควบคุมการใช้คำให้สอดคล้องกับแต่ละช่วงเวลาได้ก็จะเป็นสิ่งที่ดีมาก
ทั้งนี้ทั้งหมดไม่ใช่ข้อผิดพลาดอะไรที่สำคัญมากมายอะไร แค่จะช่วยเติมเต็มให้มันสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น (เชื่อว่าถ้าได้ย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่ต้น ก็จะเจอและเข้าใจในสิ่งที่เราบอก)...
สุดท้าย...ทุกอย่างเป็น คหสต นะฮะ
ได้โปรดอย่าโกรธกันเลย หรือ ถ้าเราทำให้รู้สึกไม่ดีก็ต้องขออภัยด้วยนะฮะ
[size]
ชอบมากครับ ความคิดเห็นยาวๆแบบนี้ โดยเฉพาะคำติชมต่างๆ คำผิดนี่จะตรวจทานให้ดีที่สุดก่อนลงนะครับ บางทีก็หลงหูหลงตาหลุดไปบ้าง แต่จะตามแก้ย้อนหลังอีกทีครับ ส่วนคำที่เป็นสมัยใหม่หรือสมัยเก่าปนกันต้องดูเหตุการณ์ว่าตอนนั้นเป็นฉากข้ามพิภพแล้วถ้าเป็นคำพูดของพจน์ก็อยากจะยังคงคำสมัยใหม่เพราะพจน์มีชีวิตอยู่ยุคปัจจุบัน เรื่องคำสมัยใหม่ติดปากมาด้วยจึงเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหากเป็นคำบรรยายในฉากข้ามพิภพ ตั้งใจว่าจะใช้คำสมัยก่อนให้มากที่สุด แต่ถ้าหากหลุดไปบ้างก็ขออภัยด้วย ณ ที่นี้ ไม่โกรธหรอกครับ ยิ่งชอบเสียมากกว่า คราวหน้าเอายาวกว่านี้อีกนะครับ

เหมือนเจอขุมทรัพท์;_____; แงดีใจที่ได้เจอเรื่องนี้ คุณคนเขียนบรรยายภาษาสวยมากๆๆๆๆ ×10000000เลย บทกลอนบทโคลง ทำให้เรานึกถึงตอนครูให้นั่งแปลความ 555555555 ทำไม่ได้ยังไงก็ยังเหมือนเดิม พอถูไถๆไป สงสัยต้องกลับนั่งค้นนั่งแปลแล้วล่ะ555555 เนื้อเรื่องดีมากกกกกชวนติดตาม ด้วยความที่ชอบแนวนี้ยิ่งไปใหญ่

น้องพจน์นี่อ้อยใจจริงๆ อ้อยแบบไม่รู้ตัว เราแมนแมนเตะบอลแต่งกลอนเป็น5555555555 ฮือ น้องไม่ผิด ไอ้พวกผู้ชายพวกนั้นต่างหากมันไว้ใจมั้ยดั้ยยยยยยยยย คนน่ารักซื่อๆไม่ผิดจัมวรั้ย!!! (พิมพ์ไปกลั้นขำไป เรา #ทีมพจน์55555) ตอนล่าสุดนี่โมโหมาตะจริงๆขอหยาบนะคะ ไอ้บ้า คนผีทะเลพูดไม่รู้เรื่อง โมโหไปดิ เถียงฉอดๆๆๆ พอเอาเข้าจริง เห้ย มีแผนนี่หว่ากะให้น้องโมโหแล้วตะล่อมน้อง ร้ายกาจ หยอดได้หยอดดี ละโกรธไม่ลงด้วยนะ5555555555 น้องพจน์อย่ายอมนะ คราวหน้าอย่าใจอ่อน นี่อยากเห็นมาตะทุรนทุราย555555555555หมั่นไส้

ปล. น้องพจน์จะมีพลังตอนต้องเสียหยาดเหงื่อแรงกายหรอ นึกว่ามาตะพูดเป็นเล่นตอนวรรคท้าย แฮ่ก เหนื่อยแทน
โห ถึงขนาดต้องนั่งแปลเลยหรือครับ 555 ใช่แล้วครับ พจน์ไม่ผิด คนที่มาชอบนั่นแหละทำให้พจน์สับสน อิอิ คราวหน้าคนเขียนก็อยากเห็นมาตะทุรนทุรายเหมือนกัน ต้องคอยติดตามครับ

:กอด1: การใช้ภาษาของคนเขียนนี้ชั้นเทพจริงๆ อ่านแล้วให้ความรู้สึกสละสลวย มันเป็นอะไรที่ลงตัวมากๆ ตามต่อคะ  :mew1:
ขอบคุณครับ ความคิดเห็นของคุณเป็นกำลังใจแก่คนเขียนเป็นอย่างดียิ่ง

เคยอ่ายฉากวาบหวามแต่สำนวนสวยแบบนี้ไหม ตอบเลยว่าไหม

คือมันสละสลวยมากจนดูไม่โป๊ แต่แใงไปด้วยอารมณ์อะ มาตะเกี้ยวน้องพจน์เสียไปไม่เป็นเลย

คนเขียนรู้ไหมเราลำบากมาก เพราะเราไม่เก่งไทย และอยู่บ้านแม่ไม่มีพจนานุกรม บางคำนี่เดาตามความรู้สึกล้วน ๆ 55555555555555
ดีใจที่คุณชอบครับ โห ถึงขนาดต้องเปิดพจนานุกรมเลยหรือครับ อ่านเอาอรรถรสครับ คำบางคำไม่รู้ก็ข้ามไปแต่พอรู้เนื้อความก็ใช้ได้แล้วครับ

อั่ก!!  :m25:
กระอักเลือดเลยหรือครับ 555

มาตะ เจ้าเล่ห์จริงเชียว  :hao6:
เค้าเรียกว่าคารมคมคาย วาจาเป็นเอก สาริกาลิ้นทองอะไรประมาณนั้น มาตะไม่เจ้าเล่ห์หรอก จริงจริ๊ง 555

แอร๊ยยย :jul1:
5555


ขอเขินแป๊บได้มั้ย
ขอเขินด้วยคนครับ  :-[

รออีก50
 อ่าาาาาาาาาา :hao6:
ขอบคุณครับที่รอ.....


เพิ่งเข้ามาอ่าน ติดตามค่าา
เชิญติดตามต่อไปเรื่อยๆนะครับ อย่าทิ้งคนเขียนน้า


o13
:pig4:

คนเขียนทำร้ายจิตใจคนอ่านมากเลย ตัดตอนได้แบบว่าค้างอ่ะ

มาตะออดอ้อนพจน์ได้น่ารักมากอ่ะ หวานมาก

ชอบการบรรยายแบบนี้มากเลยทำให้เห็นถึงความงามของภาษาไทย
จำเป็นต้องตัดจบครับ เพราะคนเขียนก็ทนเห็นเค้าสวีทกันไม่ไหวเหมือนกัน เขินแปบ

เข้าใจความรู้สึกของทั้งมาตะและพจน์เลยนะ  แต่สุดท้ายพจน์ก็แพ้คารมและแววตาของพ่อมาตะจนได้
คู่นี้หวานกันมากๆเลย :-[   อยากอ่านต่อมากๆเลย :ling1:
ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2:
หวานจนน้ำตาลขึ้นหรือเปล่าครับ อิอิ พจน์แพ้ทางคนแบบนี้ เลยไม่รู้คราวหน้าพจน์จะเอาวิธีไหนมาต้านทานดี

ตอนนี้มาตะแอบเจ้าเล่ห์อ่า~ มีอ้อนด้วย พจน์ก็ตกลงหลุมของมาตะไปเต็มๆเลย คราวก่อนลืมบอกไปว่าชอบชื่อของพนจ์มาก คำพูดที่ดีงาม (ใช่ป่ะ รึเราจำผิดหว่า) เอาเป็นว่าคนเขียนแต่งชื่อเพราะอ่ะ ชอบค่ะชอบ :katai2-1:
คุณแปลชื่อพจน์ได้ถูกต้องแล้วครับ ขอบคุณครับที่ชอบ รอติดตามชื่อตัวละครใหม่ที่จะตามมาเรื่อยๆนะครับ

พ่อมาตะ เจ้าคนปากหวาน คนหื่น
 :hao6: :hao6:
มาตะ นายต้องยอมรับแล้วล่ะว่าตัวเองหื่น มีแต่คนบอก 5555

ค้างงงงงงงง :katai1:

ทำงี้เอมาดมาแทงกันเลยนนคนเขียน  :hao5:
เกิดพลาดพลั้งแทงไป แล้วใครจะมาอ่านเรื่องนี้ต่อละครับ ไม่แทงเนอะๆ


ป๊าดดดดดดดดดดดดดดดด!!
เป็นไงๆบ้างครับ 5555

ใครเป็นเบื้องหลังเนี่ยยย แล้วกันจะเป็นไรป่าว? :katai1:
ผู้บงการเบื้องหลังจะค่อยเผยโฉมหน้าออกมาทีละน้อย คอยให้ลุ้นครับ

ชอบมากค่ะ ชอบจริงๆ อ่านไปฟินไป อบอุ่นไปกับมาตะ แอร๊ยยยย ป้าปลื้มนาง เป็นนิยายที่เหมือนลูกผสม นิยายฝรั่งกับไทยเลย ชอบจังเลยค่ะ สนุกชอบๆๆ มาอีกนะคะ
ขอบคุณครับ คุณป้า เอ๊ย เรียกแบบนี้จะแก่ไปหรือเปล่า เรียกพี่ละกันเนอะ นี่ก็เอฟซีมาตะอีกคน ยินดีครับที่พี่ชอบ อิอิ

สนุกค่า รอๆๆๆๆๆๆ :hao6: :hao6:
ถ้าสนุก ก็ต้องรอติดตามเป็นกำลังใจให้กันเรื่อยๆนะครับ คอมเม้นต์บ้าง ส่งสติกเกอร์ ก็ดีใจแล้วครับ

รอค่ะ
คอยติดตามครับ จะลงให้ถี่ที่สุด ไม่ให้ทิ้งห่างเวลาลงมากเกินจนลืมเรื่องราวบทก่อนหน้า

มารอคะ
:3123:

รออ่านต่ออยู่นะครับ
รักเลย :กอด1:

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๕ มนตราลีลาทมิฬ ๕๐% (๑๒/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 12-01-2016 18:03:47
บทที่ ๑๕


มนตราลีลาทมิฬ



วงแขนแน่นกอดกระชับแนบสนิท ต่างฝ่ายต่างชิดประกบผิวกายร้อนให้ร้อนยิ่งขึ้น พจน์ไม่อยากถอนอ้อมแขนจากไอ้กันเลยในวินาทีที่ตนกำลังร้องไห้อยู่นี้ ไม่อยากให้มันเห็นตนเสียใจ จึงโอบแขนรอบร่างสูงไว้เหมือนที่ยึดเหนี่ยว คนถูกกอดเกี่ยวเห็นกิริยาอาการดังนั้นจึงกระทำตอบกลับ ลูบแผ่นหลังผ่านเสื้อกันหนาวขึ้นลง

“มึงเจอเรื่องไม่ดี หรือว่ามีใครรังแกมึง รีบบอกกูมา ไอ้พจน์” เสียงทุ้มต่ำซักไซ้ พจน์ส่ายหน้ากับไหล่กว้าง ยกหลังมือเช็ดคราบน้ำตา

“มึงทำให้กูเป็นห่วงนะ ถ้ายังไม่บอกสิ่งที่มึงไปเจอมา กูคงทุกข์ใจอยู่แบบนี้” ไม่ได้เป็นคำสั่ง แต่เหมือนเป็นคำร้องขออ้อนวอนเสียมากกว่า

แววตาเศร้าโศกของมาตะยังติดตราตรึงใจพจน์อยู่ เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นเองที่ไออุ่นจากเนื้อกายล่ำสันสัมผัสผิวนวลของพจน์ยังไม่ทันจางหาย เขาก็ข้ามพิภพกลับมาสู่ร่างปัจจุบันทันด่วน ทำเอาหัวใจถูกบีดรัดเหมือนมีเชือกล่องหนขึงตึงจนเจ็บปวดร้าวราน อ้อมกอดของไอ้กันแม้ไม่อุ่นหนาเท่ามาตะแต่เป็นเครื่องปลอบความรู้สึกเศร้าเสียใจได้เป็นอย่างดี

“มึงพูดอะไรก็ได้ให้กูได้ยินสักคำ ให้กูรู้ว่ามึงโอเค”
 
แรงเต้นเหนืออกซ้ายของนิธิสั่นระรัว กลัวก้อนเนื้อนั้นจะหลุดออกมาสู่ภายนอก พจน์เลื่อนมือแตะบนอกแน่นให้คลายความตึงเครียด เพียงมือพจน์สัมผัส จังหวะสูดลมหายใจจึงคืนกลับปกติ เด็กหนุ่มนัยน์ตาคมเต็มตื้นด้วยหยาดน้ำถอนกอดออกเชื่องช้า ก้มหน้าปิดบังรอยชอกช้ำ

นิธิประคองใบหน้างดงามขึ้น เพียงพบเห็นตาแดงก่ำเพราะแรงบีบหยดน้ำ ส่งให้ดวงตาคมดุจเหยี่ยวเครียดขมึง คิ้วเป็นเส้นบางเคลื่อนเข้าหากัน พลางใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเช็ดคราบน้ำตาให้เหือดหาย

“ไอ้นั่นมัน...” ไอ้กันกัดฟันพูดข่มอารมณ์โกรธเบื้องลึก “มันทำร้ายมึงงั้นหรือ”

พจน์ส่ายหน้า แม้ไม่รู้ว่าไอ้กันหมายถึงใคร แต่สิ่งที่ทำให้ตนร่ำไห้เสียใจล้วนมาจากตัวเขาเองทั้งนั้น เป็นพจน์เองที่ทำให้เจ้ามาตะที่บัดนี้คงใจหายไม่ต่างจากตน

“ไม่มีใครทำอะไรกูหรอก”

ใบหน้าตึงแสดงว่าคนตัวสูงไม่เชื่อในคำอธิบายนี้ พจน์ยกหลังมือเช็ดรอยน้ำตาอีกครั้ง สูดหายใจลึกเพื่อเรียกสติและกำลังแรงทั้งหมดกลับคืน เรื่องราวระหว่างพจน์กับมาตะล้วนเป็นสิ่งเหนือคำอธิบายใดจะแจงแถลงไขให้ใครอื่นสามารรับรู้หรือเข้าใจได้ พจน์เชื่อว่าสักวันหนึ่งต้องมีใครสักคนตอบคำถามในใจนี้ได้ ว่าทำไมถึงเล่นตลกกลั่นแกล้งความรู้สึกของมนุษย์ที่มีหัวจิตหัวใจ รับรู้ทุกข์สุข รับรู้ความเจ็บปวด รับรู้ว่าการถูกพรากจากอ้อมอกของคนที่ต่างฝ่ายต่างฝากใจกันและกันไว้นั้นมันทรมานเหลือแสน

“ถ้างั้นทำไมมึงถึงร้องไห้ล่ะ” แววตาดุจ้องรอคำตอบอันน่าพึงใจ

“ไม่มีอะไร แค่...กูไม่เข้าใจอะไรบางอย่างเท่านั้น” พจน์ส่ายหน้า

“มึงเป็นคนที่กูสาบานจะปกป้องคุ้มครองด้วยชีวิต แค่เห็นมึงร้องไห้ครั้งไหน หัวใจกูก็เจ็บยิ่งกว่านั้นเสียอีก ถ้าไม่ยอมบอกว่าอะไรทำให้มึงถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ก็สลัดแววตาเศร้าให้หายไปเสียที เพราะกูนี้โคตรทรมานเลย ปากก็บอกว่าเฝ้าดูแลชีวิตมึงได้ แต่แค่มึงไม่ได้อยู่บนพิภพนี้ กูก็ไม่มีความสามารถจะติดตามไปช่วยเหลือ โธ่ เว้ย”
 
ไอ้กันยกมือข้างที่ยังพันผ้าพันแผลเงื้อง่าพร้อมจะชกกำแพงห้องทำร้ายตัวเองอีก โชคดีที่พจน์ยื้อยุดฉุดรั้งไว้ทันการณ์

“มึงอย่าทำแบบนี้ดิ ไอ้กัน” พจน์ตวาดกลับเพื่อเรียกสติอีกฝ่าย มันจึงยอมผ่อนแรงตามกำลังขัดขวาง

ขณะนี้ภายในห้องพักคนไข้มีแต่ความเงียบผิดปกติวิสัย ภพดนัยเอนซบศีรษะกับพนักโซฟา มีดารานอนหลับบนตักของบิดาในทิศตรงข้าม เช่นเดียวกับพยาบาลสาวสองคนที่นั่งฟุบอยู่ข้างเตียงของอาธนพล ส่วนพี่สุนิสาไม่มีวี่แววว่าจะอยู่ในห้องนี้ เธอคงออกไปทำธุระสักอย่างหนึ่ง บรรยากาศดึกสงัดสะท้อนผ่านกระจกริมระเบียงห้อง เข็มหน้าปัดนาฬิกาติดผนังบอกว่าเพิ่งผ่านเวลาตีสามมาเพียงห้านาที

“กูจะบอกมึงเมื่อถึงเวลา เข้าใจไหม” พจน์ลดเสียงลงไม่อยากปลุกให้คนอื่นตื่นจากนิทรา สีหน้าของนิธิดื้อรั้นกับคำพูดพจน์เป็นอาการว่าไม่เข้าใจอย่างแน่นอน “ถ้ามึงไม่เข้าใจ งั้นมึงคงอธิบายได้ว่า ทำไมถึงรู้ว่ากูสามารถข้ามพิภพได้”

นิธิขยับถอยห่างจากกายพจน์แล้วหันหน้าหลีกหนี

“เช่นเดียวกับเมื่อครั้งมึงถามว่ากูคือใคร กูขอปฏิเสธ”

พจน์ถูกคนคนนี้ขัดใจนับครั้งไม่ถ้วนนั่นทำให้อารมณ์โกรธกลับคืนทดแทนความเศร้าในทันที

“กูรู้ว่ามึงไม่ใช่เด็กนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาๆแน่ มึงรู้ว่าจะมีคนทำร้ายกู มึงรู้จักจุมพิตสีเลือด มึงรู้ในสิ่งที่คนบนโลกนี้ไม่มีทางรู้ แล้วจะให้กูยินดีที่จะฝากความเชื่อใจไว้ในความคุ้มครองของคนที่กูไม่รู้จักตัวตนแท้จริงได้ยังไง”

“กูคือไอ้กันคนเดิมของมึง ไอ้มนุษย์ที่ตกหลุมรักเพียงแรกพบสบตา ไอ้คนที่สาบานจะรักมึงคนเดียวและจะปกป้องคุ้มครองมึงไปชั่วชีวิต ไอ้คนนั้นคือคนที่นั่งอยู่ตรงหน้ามึงนี้” มันจับมือพจน์ไว้ไม่ให้ถอยหนี

“หากวันหนึ่งความจริงเปิดเผยว่ากูคือใคร กูก็จะยังเป็นคนคนเดิมที่รักมึง ถึงเวลานั้นมึงจะรังเกียจกู แต่มึงรู้ไว้เลย หัวใจกูดีใจทุกครั้งที่มึงยิ้มและเจ็บทุกครั้งเมื่อมึงร้องไห้ มึงรู้เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”

พจน์ไม่รู้จะโกรธกว่าเดิมหรือโกรธไม่ลงเมื่อได้ยินคำซื่อตรง ไม่รู้ว่าพจน์ทำสิ่งไหนให้ไอ้กันเกิดชอบพอได้ อยู่ๆมันก็มาท้าให้พจน์แปลความโคลงสี่สุภาพ พร้อมเงื่อนไขสุดประหลาด ต่อมาก็มาสารภาพความรู้สึก สำนึกผิดและสาบานจะอยู่เคียงข้างพจน์ เขาไม่เห็นว่าจะมีช่วงเวลาไหนเลยที่ปฏิบัติต่อไอ้กันด้วยดีจนมันเกิดนึกชอบพอ แต่อย่างน้อยสิ่งที่มันช่วยชีวิตไอ้น้ำก็ทำให้มันก้าวมาเป็นเพื่อนได้อย่างสนิทใจ แต่เบื้องลึกในกายคนผอมสูงใบหน้าหล่อร้ายนี้คือใครกันแน่ เจ้าตัวเองก็ปฏิเสธมาโดยตลอด

ความร้อนแผ่กระทบถึงผิวมือพจน์ข้างซึ่งกำทวนอัศวาราตรีกาลไว้ เมื่อคั้นเอาความจริงจากไอ้กันไม่ได้จึงละไว้ก่อน หักใจตัดความรู้สึกเศร้าเพราะการพรากจากมาตะอย่างปัจจุบันทันด่วนเพื่อแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้า

“คำตอบของกลอนปริศนาคือสิ่งนี้ใช่ไหม สิ่งที่มึงจะบอกกูแต่พูดไม่ได้”

“ใช่แล้ว ทวนเทวาคือส่วนซึ่งขาดหายไปในบทสุดท้ายของมนตราลีลาทมิฬ” นิธิพยักหน้ารับ จับจ้องทวนสีเงินไม่วางตา พจน์ผลุดลุกขึ้นยืน
 
“แล้วต้องทำไงต่อ”

ไอ้กันคว้ากระดาษกลอนที่ติดอยู่ในมือพจน์อีกข้างมาอ่านทวนซ้ำ สีหน้าเครียด พึมพำงึมงำกับตัวเอง สักพักจึงก้าวเข้าประชิดปลายเตียงคนเจ็บ สีหน้าซีดขาวราวกับไร้เลือดของธนพลทำให้หลานชายคนเดียวรู้เจ็บปวดอีกครั้ง พจน์เห็นกราฟบนหน้าจอของเครื่องวัดอัตราการเต้นหัวใจพุ่งขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอ นั่นช่วยให้มีความหวังมากขึ้น

ทวนอัศวาราตรีกาลสีเงินสะท้อนแสงไฟข้างเตียงผู้ป่วยดูแวววาวเปล่งประกายประหลาด ความยาวเมื่อวัดจากส่วนสูงของพจน์ปลายคมแหลมเลยศีรษะตนมาเพียงเล็กน้อย ขยับเปลี่ยนข้างถือก็ไม่เลื่อนหลุดโดยง่าย อาวุธโบราณนี้จึงเหมาะเข้ากับมือพจน์อย่างน่าพิศวง

“สิ่งที่มึงกำลังจะเจอในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เป็นสิ่งที่มึงไม่สามารถลบลืมไปจากความทรงจำได้ และกูเชื่อว่ามึงมีความกล้าหาญพอที่จะเผชิญกับอะไรก็ตามไม่ว่าสิ่งนั้นจะอันตรายแค่ไหน เหตุการณ์ทั้งหลายนี้ล้วนกำหนดไว้แล้วเพื่อให้มึงได้พบเจอ แต่กูขออย่างเดียว หากมึงไม่สามารถฝืนทนไหว จงร้องบอกกูทันที”

สายตาแน่วแน่จ้องรอขอคำตอบรับ

“ได้ดิ” พจน์ยืนยัน “มึงรู้ได้ยังไงว่าเรากำลังจะเจอกับอะไร”

“กูไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่ก่อนหน้าที่กูจะเจอมึง โลกใบนี้ล้วนเต็มไปด้วยภยันอันตรายยิ่งกว่าอันตรายทั้งหมด มึงนึกไม่ออกว่าโลกที่กูอยู่ก่อนหน้าเป็นอย่างไร แต่วินาทีที่กูสบตามึง ทุกสิ่งที่กูเชื่อพลันเลือนหายสาปสูญ อันตรายแม้ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่หวั่นเกรงอีก โลกใบนี้เป็นเหมือนลูกฟุตบอลที่มึงเตะซ้อมแข่งขัน มีผู้เล่นแข่งอยู่สองฝ่าย แต่ละฝ่ายต่างตั้งใจเตะบอลไปในทิศทางที่จะนำสู่ชัยชนะ และตอนนี้เหมือนกูย้ายข้างมาอยู่ทีมเดียวกับมึง
 
ลูกบอลเมื่อมันอยู่ในเท้า มึงก็รักมัน มั่นใจว่าสามารถนำไปสู่ชัยชนะยิ่งใหญ่ แต่เมื่อลูกกลมๆนั่นหลุดไปอยู่ในฝีเท้าคู่แข่ง มึงก็หวั่นว่าเจ้าลูกนั่นจะพุ่งเข้าตุงตาข่ายฝ่ายตัวเองจนพ่ายแพ้ราบคาบ ความรู้สึกทั้งรักหวงแหนทั้งหวาดกลัวในคราวเดียวกัน นั่นคือ ความจริงของโลก ณ ตอนนี้ เช่นเดียวกับความรู้สึกก่อนที่กูจะเจอมึง แต่ตอนนี้เหลือเพียงความรู้สึกเดียวสำหรับกู”

“รัก...หวงแหน” พจน์เผลอตอบอย่างไม่ทันรู้ตัว

“แล้วอย่างนี้จะให้กูหายหน้าไปจากชีวิตมึงได้ยังไง จะให้กูเลิกรักมึงได้ยังไง จะให้กูไม่รักลูกบอลนี้ได้ยังไง” นิธิมอบจูบสัมผัสหน้าผากพจน์แผ่วเบา อ้อยอิ่งเนิ่นนาน พจน์หลับตายินยอมให้ไอ้กันได้ปลดปล่อยความรู้สึกนั้น

“ขอบใจมึงมาก ที่ไม่ชกกูกลับเหมือนครั้งก่อน” มันยกยิ้มมุมปาก

“โลกนี้จะอยู่ในกำมือมึงหรือฝ่ายคู่แข่งนั้นไม่สำคัญอีก อันตรายแม้จะชั่วโฉดหรือร้ายกาจยากเกินรับไหวก็ไม่สำคัญอีก กูจะอยู่เคียงข้างมึงเอง จำไว้”

“มึงพูดเหมือนกับว่าโลกที่เราอยู่กำลังตกอยู่ในสถานะอันตราย”

“แล้วมึงไม่คิดว่าเรื่องน้ำท่วมโลกที่ปู่มึงประกาศไม่เป็นอันตรายงั้นเหรอ” ไอ้กันถามกลับ พจน์พยักหน้ารับ

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับอันตรายที่มึงบอกว่าเรากำลังจะเจอในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า”

“อันตรายอย่างเดียวกัน แต่ชั่วร้ายยิ่งกว่าและพบเจอได้รวดเร็วกว่าภัยน้ำท่วมโลก” ไอ้กันก้มลงอ่านทวนบทกลอนมนตราลีลาทมิฬอีกครั้งจนขึ้นใจ แววตาอ่อนโยนบัดนี้แข็งกร้าวจ้องมองใบหน้าอาธนพลบนเตียงแน่วแน่ มันยื่นฝ่ามือขวากางขยายนิ้วออกหน้านิ่วคิ้วขมวด พลางพึมพำเป็นคำที่พจน์ไม่อาจเข้าใจได้
 

“กฤษดามนตราทมิฬ ทวารตรีสหัสวรรษกัมปนาจ!!!”


คำกล่าวเมื่อเริ่มแรกแผ่วเบาประดุจสายลม แต่พอใกล้สิ้นสุดกลับแผดก้องเหมือนฟ้าผ่าลงกลางห้อง พจน์ขนลุกอย่างหาสาเหตุไม่ได้ เหลียวมองรอบกาย คุณพ่อและน้องสาว รวมถึงพยาบาลทั้งสองเหมือนหูดับ ยังคงนอนหลับลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ

และทันใดนั้นอกของอาธนพลก็ยกขึ้นสูงรวดเร็วเหมือนมีมือล่องหนฉุดรั้ง บัดเดี๋ยวก็ฟุบลงกลับคืนฉับพลัน สัญญาณกราฟอัตราการเต้นของหัวใจขยับขึ้นลงเร็วกว่าปกติ พจน์เห็นดังนั้นจึงตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก

“ไอ้กัน มึงพูดอะไรทำอาพลถึงมีอาการแบบนั้น” ตอนนี้ร่างธนพลบิดเร่าราวกับทรมานสุดแสน พจน์รีบประชิดจับแขนเย็นยะเยือกไม่ให้ทำสายน้ำเกลือเลื่อนหลุดขาด

“ไอ้พจน์ มึงกลับมายืนข้างๆกูเดี๋ยวนี้” เมื่อพจน์ยังรั้งรอมันจึงตวาดเสียงดังก้อง “เร็ว!!!”

พจน์เห็นอาการบิดซ้ายขวาทุรนทุรายของอาพลแม้หลับตาอยู่ก็ให้รู้สึกเวทนาสงสารเหลือล้ำ จำต้องถอนกลับมาตามคำของไอ้กัน

ดวงตาแข็งกร้าวยังคงจับจ้องร่างดิ้นรนของอาธนพลไม่วางตา ประกาศถ้อยคำประโยคเดิมซ้ำจนครบสามครั้งเสร็จสิ้น ร่างอาธนพลก็แน่นิ่งสงบทันที สัญญาณชีพจรฟื้นกลับคืนปกติดังเดิม และฉับพลันเสียงเตือนก็ดังลั่นบ่งบอกว่าอัตราการเต้นของหัวใจกำลังเหลือเพียงขีดเส้นตรง

“ไม่ ไม่นะ” ความรู้สึกชาวาบทั่วทั้งร่างกาย หน้าจอมอนิเตอร์เหลือเพียงเส้นขาวยาวประกอบเสียงเตือนดังสะท้อนก้อง ไอ้กันคว้าเอวพจน์ไม่ให้พุ่งเข้าหาร่างธนพล เด็กหนุ่มตาคมลืมคำเตือนทั้งหมดทั้งสิ้น เมื่อชีวิตของอาที่ตนเคารพรักกำลังจะจากไปรวดเร็วขนาดนี้ เฝ้าร้องเรียกชื่อธนพลสุดเสียง


“แดงเฉิดฉานผลาญสิ้นดิ้นแดดับ
อุราลับลามไหม้ไฟลุกโหม
ร้อนร้อนร่อนผ่อนกายคลายประโลม
เจ็บจินต์โทมนัสวาทไม่คลาดครา”


นิธิอ่านประกาศกลอนมนตราลีลาทมิฬดังก้อง ประตูกระจกระเบียงเปิดออกรวดเร็ว ลมวายุมากประมาณซัดโหมเข้ามารวดเร็วดุจมีพายุ พัดพาม่านและวัสดุเบาบางให้ปลิ่ววอนกระจัดกระจาดเกลื่อนกลาด

ภาพความทรงจำในวันแรกที่พจน์ฝึกปั่นจักรยานโดยมีอาพลในวัยห่างกันเพียงแปดปีเป็นคนสอน ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นพจน์น่าจะมีอายุห้าหรือหกขวบ หลงคิดว่าอาพลจับยื้อรถจักรยานไว้จึงปั่นอย่างไม่เกรงกลัวล้ม แต่พอลองหันกลับ อาพลโบกมืออยู่ห่างตั้งไกล ระหว่างเหลียวหลังมองทำให้ไม่ได้ดูทางจึงขี่ไปชนกระถางต้นไม้ล้มลงจนหัวเข่าแตก ก็อาพลอีกไม่ใช่หรือที่ปลอบพจน์ทั้งที่ร้องไห้จ้า เพียงแค่พูดชมว่าพจน์เก่งขี่จักรยานได้เองแล้ว เขาก็ลืมความเจ็บไปเสียสิ้น

ภาพวันที่พจน์นั่งทำการบ้านวิชาภาษาไทยด้วยสีหน้าเครียดเพราะยากเกินกว่าจะทำได้ ก็เป็นอาพลอีกไม่ใช่หรือที่อธิบายจนเข้าใจ และทำให้พจน์ชอบแต่งกลอนในที่สุด
 
ภาพความจำในวันฝนตกที่พ่อของพจน์ติดธุระด่วน ทั้งที่วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิด ก็เป็นอาพลไม่ใช่หรือที่ขับรถมารับหน้าโรงเรียน และยังพาไปฉลองวันเกิดกินไอศกรีมร้านดัง แถมยังซื้อของขวัญเป็นลูกบอลลูกแรกให้อีกด้วย
 
ภาพงานวันพ่อตอน ป. ๖ ทุกคนต่างมีพ่อมาร่วมงาน แต่พ่อของพจน์ติดงานทำข่าวต่างจังหวัดไม่สามารถมาได้ ก็เป็นอาพลอีกไม่ใช่หรือที่รีบวิ่งมาเหงื่อตกเกรงจะไม่ทันงาน ทั้งที่ใส่ชุดนักศึกษาแตกต่างจากพ่อคนอื่น แค่พจน์ได้เห็นหน้าอาพลก็น้ำตาไหลวิ่งร้องไห้กอดขาอยู่อย่างนั้น จนคุณครูต้องมาเชิญให้นั่งเก้าอี้สำหรับพิธีไหว้ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ หรือคำพูดปลอบนั้นวันนั้น พจน์จำไม่ได้เลย ในหัวมีแต่คำว่า พ่อ พ่อ

 
ภาพร่างกายที่ตนเคยก้มกราบเสมือนบิดาคนหนึ่งขณะนี้สิ้นเรี่ยวแรงและพลังอันยึดเหนี่ยวให้เคลื่อนไหว ทำให้พจน์หัวใจร้าวรานจนไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อยู่ เป็นความผิดของพจน์เองที่ไม่สามารถกลับมาช่วยได้ทัน ไม่สามารถช่วยคนที่ตนรักได้ คือความผิดของเขาเองทั้งหมด


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3284406#msg3284406)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๕ มนตราลีลาทมิฬ ๕๐% (๑๒/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 12-01-2016 23:02:08
คิดมากน่าได้ทวนมาแล้วไง ยังไงก็ต้องช่วยได้ ต้องได้แน่ๆ  o13
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๕ มนตราลีลาทมิฬ ๕๐% (๑๒/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 12-01-2016 23:30:06
ม่ายน้าาาาาาาาาาาาา  :o12:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๕ มนตราลีลาทมิฬ ๕๐% (๑๒/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 13-01-2016 02:45:52
ต้องช่วยได้อยู่แล้ว ใจเย็นๆนะพจน์
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๕ มนตราลีลาทมิฬ ๕๐% (๑๒/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 13-01-2016 22:28:20
ความรักและความจริงใจของกันไม่แพ้มาตะเลย  เริ่มสงสารกัน

พจน์ต้องลองอีกครั้ง  มีพลังแล้วนะ  รู้ตัวแล้วยัง  อย่าท้อ 

รอติดตามเสมอนะคะ  ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๕ มนตราลีลาทมิฬ ๕๐% (๑๒/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Min*Jee ที่ 13-01-2016 23:25:40
อย่าพึ่งลูกกกกกก สติค่ะ ตั้งสติ มันต้องมีหนทางสิคะ  :กอด1:
ทวนที่อยู่ในมือยังไม่ได้ใช้เลย

อย่าเหมาหมดซีคะะะะะะ สงสารคนแรก(มาตะ)บ้างงงง  :hao5:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๕ มนตราลีลาทมิฬ ๑๐๐% (๑๖/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 16-01-2016 18:34:52
[ต่อ]


“ไอ้พจน์ นำปลายทวนอัศวาราตรีกาลชี้ยังเหนืออกของอามึงเดี๋ยวนี้” ไอ้กันตะโกนลั่นแข่งกับเสียงลมพัดโหม สติอันเลื่อนลอย น้ำตาท่วมการมองเห็นทำให้พจน์แทบไม่ได้ยินคนข้างกาย เมื่อเห็นอาการนิ่งเฉยของพจน์จึงทำให้ไอ้กันคว้าข้อมือเรียวช่วยพยุงยื่นปลายทวนหันเหสู่อกไร้การกระเพื่อมไหว

“สติ ไอ้พจน์ มึงต้องกล้าหาญมากกว่านี้ อย่าหลงกลในเล่ห์เพทุบายนี้ ตั้งสติให้มั่น”

ร่างพจน์สั่นโยกเพราะแรงร้องไห้
 
“มึงโปรดไว้วางใจ น้ำตามึงนี้ทำกูเจ็บรวดร้าว อย่าร้องไห้เลย กูขอ โปรดเชื่อใจกู กูไม่มีวันทำอันตรายต่อครอบครัวมึงแน่ กลับมาตั้งสติให้มั่น”

“แต่อาพล...”

“ยัง นั่นเป็นเล่ห์กลหลอกล่อเท่านั้น” คิ้วขมวดแน่นจ้องพจน์ด้วยดวงตาสั่นไหว “อย่าได้หลงกลมนตราลีลาทมิฬ มันชั่วร้ายเกินกว่าที่กูคิดไว้”

“หมายความว่าอาพลยังไม่ได้ตายใช่ไหม” มือกำทวนสีเงินสั่นวะวาบ คาดหวังคำตอบที่พจน์อยากได้ยิน

“กูจะปกป้องดูแลชีวิตและครอบครัวมึงจนลมหายใจสุดท้าย จำคำกูได้ไหม”

“ได้ๆ” พจน์พยักหน้ายืนยัน เช็ดน้ำตารวดเดียวเพื่อไม่ให้ไอ้คนตรงหน้าเจ็บปวดอีก ถือทวนอัศวาราตรีกาลให้มั่นคงยื่นตรงไปยังตำแหน่งเหนือหน้าอกกว้างของอาพล ลมแรงยังสาดพัดใส่ทุกผู้คนในห้อง ไม่มีทีท่าว่าพยาบาลสาวทั้งสองจะฟื้นตื่น คงถูกอำนาจบางอย่างทำให้หลับใหลเช่นเดียวกับภพดนัยและดารา

แสงฟ้าผ่า ณ ที่แห่งใดสว่างวาบเหนือท้องฟ้ามืดมิด พร้อมเสียงคำรนสะท้อนก้อง

“โลหิตหลั่งทั้งเก้าทวารจุด
ฤทธิรุทธอำมหิตพิษแทรกหา”

เมื่อไอ้กันกล่าวเพียงบาทแรกของกลอนบทที่สองจบ เสียงลึกลับกรีดร้องแหลมสูงสุดทุกข์ทรมานดังแผดสนั่นผสมเสียงลมพายุ ชวนขนหัวลุก พจน์ยังเห็นอาพลหมดสติอยู่ แต่ตอนนี้เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจเผยกราฟขึ้นลงบนหน้าจออีกครั้ง นำพาความหวังกลับคืนมา

“ดวงใจน้อยลอยสู่คู่นภา
จำจากลากายสุขทุกขภัย”

สิ้นคำ ทุกขภัย แรงระเบิดของอากาศ ณ จุดที่ปลายทวนเทวาชี้เหนืออก ซัดกระหน่ำใส่พจน์ ไอ้กัน รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์มากมายล้มหงายหลังระเนระนาดทันที กระจกประตูระเบียงห้องพักแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับตั้งแต่ชั้นสูงสุดของตึกโรงพยาบาลจรดชั้นล่าง พร้อมด้วยพลังงานไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้างกว่าห้ากิโลเมตร

พจน์ถูกไอ้กันคว้าเอวไว้โดยเร็ว รีบขยับซ้อนด้านหลังไว้ ทำให้ตอนนี้ไอ้คนตัวสูงกลายเป็นถุงลมนิรภัยสำหรับพจน์ ไม่มีเสียงโอดครวญจากปากมันแม้แต่น้อย และทันทีเมื่อพจน์ลืมตาจากลมปริศนาซัดใส่ ห้องพักคนไข้จึงแปรสภาพเป็นพื้นที่โล่งกว้าง ท้องฟ้าดารดาษด้วยดาวและเดือนเต็มดวง มีเพียงเตียงนอนและอาพลเท่านั้นที่เหลืออยู่จากเศษซากแรงระเบิด เหนือหัวเตียงมีต้นลีลาวดีขนาดใหญ่ต้นหนึ่งผงาดง้ำอยู่ บรรยากาศเย็นยะเยือกจนขนตั้งชัน พจน์ขยับลุกจากตัวไอ้กัน

“มึงเป็นไงบ้าง”

“กูโอเค”

ต่างคนต่างช่วยพยุงอีกฝ่ายให้ยืนหยัด พจน์กระชับทวนอัศวาราตรีกาลในมือแน่น ก่อนหน้านี้ทวนเทวาร้อนเหมือนเพลิงไฟ แต่ตอนนี้เย็นราวกับน้ำแข็งขั้วโลก
 
“เรามาอยู่ที่ไหน” พจน์เหลียวซ้ายแลขวา หรือเขาจะข้ามพิภพมาอีกครั้ง
 
ไอ้กันสังเกตภูมิทัศน์โดยรอบด้วยสีหน้าเครียด

“ลีลาวดีเพลิง”

“ต้นนั้นน่ะเหรอ” พจน์คราง ไม่อยากเชื่อในสายตา กิ่งก้านสูงใหญ่ผลิใบเขียวชะอุ่ม แซมด้วยดอกขาวสว่างวาวท่ามกลางความมืดมิด แข่งแสงจันทร์จนดูเปล่งประกาย

“ไม่ผิดแน่”

“แล้วทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ได้” พจน์ว่าพลางจะขยับเข้าหาอาพล

กลุ่มควันดำมหึมาพวยพุ่งออกมาจากอกของธนพลก่อเกิดเป็นร่างบุรุษสูงสง่าตกแต่งภูษาอาภรณ์ด้วยผ้าดำ ประดับเครื่องอัญมณีสีนิล เกล้ามวยผม สวมเครื่องครอบศีรษะ ผิวกายล้วนมืดทมิฬมีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ทอแสงล้อจันทรา ย่างเหยียบเหนืออกของอาพลซึ่งไร้สตินอนอยู่ แววเหี้ยมโหดจ้องมองพจน์และนิธิไม่วางตา
 
“ดวงวิญญาณ ณ ร่างนี้เป็นของข้า หามีผู้ใดจักพรากจากอำนาจทมิฬได้ไม่” สำเนียงทุ้มชั่วร้ายประกาศเจตจำนงดังก้อง
 
“อำนาจทมิฬมนตราเก่าแก่ นับแต่สมัยบรรพกาลล้วนยอมศิโรราบสูญสิ้น ไร้หนทางแก้กล อนึ่งบัดดลคำกลอนสาปสูญประสบพบเจอ แลมีเกลอผู้ไขปริศนา ครบอักขราสมบูรณ์ความ” เป็นครั้งแรกที่พจน์ได้ยินคำพูดสมัยเก่าหลุดจากปากของไอ้กัน สร้างความฉงนสนเท่ห์หลากใจ

ความเงียบคือคำโต้ตอบของบุรุษดำ ดวงตาเบิกโพลงโทสะขุ่นแค้น

“หามีผู้ใดจักไขถอนอักขระคำลึกล้ำซ่อนกล จงอย่าดิ้นรนโอ่อวดให้เกินตัว” มันตวาดกลับกลั้วหัวเราะ

“มาตรแม้นเป็นจริงดั่งวาจา ก็แหละนี่หนาคือสิ่งใดเล่า หากเจ้าเกรงภัยจงละทิ้งร่างนี้โดยพลัน”

นิธิเชิญพจน์ขยับมาเบื้องหน้า แสงจันทราส่องต้องกระทบคมอาวุธทวนอัศวาราตรีกาลจนสว่างจ้า

“อาวุธเทวานี้ ฤา หมายใจจักให้ข้ายอมแพ้สวามิภักดิ์” บุรุษทมิฬประชดกลับ “จริงดังคำเจ้าว่า กลอนบุราณถูกค้นพบ แลบรรจบตริตรองด้วยปรีชาญาณจนสำแดงไขปริศนาสมคะเน แต่มีความอย่างหนึ่งซึ่งเจ้ามิอาจหยั่งรู้”

พจน์เห็นสีหน้าของไอ้กันซีดเผือด พลางว่า

“มาตรว่าอับจนระเหระหนระคนเกรงภัย จงอย่าโอ่คำสำบัดสำนวนใดให้เปลืองสิ้นเปล่าดาย หากมิยอมผ่อนปรนละทิ้ง ชะรอยตัวเจ้านั่นแลจักต้องสูญสิ่งสิ้นสลาย”

เสียงหัวเราะหวีดร้องสุดสูงดังจากริมฝีปากดำ
 
“ข้านี้ ฤา อับจนหนทางดังถ้อยคำเจ้า ก็แหละอำนาจทมิฬนี้หรือมิใช่ ที่พรากทะลวงดวงชีวิตมาเหลือคณานับ ชุบพลังอำนาจของข้าให้ทรงฤทธิ์ยิ่งกว่าเดิมร้อนเท่าพันทวี มีหรือที่ข้าจักเกรงภัยจากทวนเทวาเล่มนี้”

เด็กหนุ่มทั้งสองต่างนิ่งเงียบ พจน์กำทวนอัศวาราตรีกาลแน่นข่มอารมณ์

“ตราบนี้เจ้าควรตรึกตรองประคองปัญญาจงดี ประการหนึ่งกลอนบุราณถูกจดจารพร้อมโองการสาปแช่งล้วนล่วงผ่านกาลเวลามานับแสนสหัสวรรษ บัญญัติขึ้นก่อนข้าจักก่อถือกำเนิด มีหรือจักตระหนักรู้ถึงเดชานุภาพที่บัดนี้ทรงพลังท่วมท้นยิ่งกว่าคนผู้ขีดคำเมื่อเริ่มต้น” ดวงตาดำจ้องเด็กมนุษย์พร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม “มิหนำซ้ำจะมีผู้ใดสัมผัสพลังเหนือพลังยิ่งไปกว่าตัวข้า เพียงแค่ทวนเล่มเดียวนี้ ฤา จักถอนมนตราแลอำนาจได้ดังคำปริศนาเมื่อเนิ่นนานเช่นนั้น”

“ไอ้กัน มันหมายความว่ายังไง แปลว่าทวนอัศวาราตรีกาลไม่สามารถทำลายมนตราคำสาปนี้เหรอ”

“เงียบก่อน”

“สหายเจ้ายังถอนใจแล้วดั่งนี้ จงกลับไป ข้าจักไว้ชีวิตพวกเจ้า แต่ร่างนี้จักเป็นของข้าชั่วกัลปาวสาน”

“ไม่ยอมหรอก” พจน์ตะโกนกลับ “อาพลจะต้องกลับมามีชีวิตเหมือนเดิม”

“เช่นนั้นเจ้าประสงค์จักยอมตายใช่ ฤา ไม่”
 
“ไม่มีทางเสียหรอก” ไอ้กันหัวเราะสุขุม ใบหน้าเปื้อนยิ้มสำราญดั่งเรื่องราวเบื้องหน้าเป็นของสนุกอย่างหนึ่ง “ข้านี้เสียดายเรี่ยวแรงแลน้ำคำประวิงเพลาของเจ้าเหลือล้น”

“เสียดายอันใด” ร่างดำตวาดอื้ออึง

“ภายใต้หน้ากากนิ่งสงบนั้นมีแต่แววหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ ข้านี้รับรู้ได้ น้ำลายของเจ้าล้วนสิ้นประโยชน์ ทวนอัศวาราตรีกาลนี้แลคืออาวุธเพียงหนึ่งเดียวซึ่งจักทำลายล้างเจ้าได้” สีหน้ามีชัยชนะของไอ้กันปรากฏเด่นชัด “ไอ้พจน์ ถึงเวลาแล้ว เตียมพร้อมขว้างทวนเทวานี้ตรงไปยังร่างปีศาจนั่น”

ดวงตาหม่นหมองเสแสร้งเป็นหึกโหมลำพอง พลางว่า

“ฮ่าๆ คำกลล่อลวงอันแยบยลถูกเจ้าจับรู้โดยง่ายดาย เจ้าคงหาใช่มนุษย์ธรรมดาเป็นแน่ เช่นนั้น ข้าจักเผยความจริงอันเที่ยงแท้ให้เจ้าล่วงรู้ไว้สักอย่างหนึ่ง เหตุด้วยเลื่อมใสในปัญญาแลเวทนาสงสารนักจักบอกกล่าว ทวนอัศวาราตรีกาลนี้มีถึงสองเล่มเคียงคู่กัน แลเจ้ามั่นใจเช่นนั้น ฤา ว่าทวนเทวาในกำมือนั่นจะเป็นทวนที่สามารถล้างคำสาปมนตราลีลาทมิฬ”

พจน์เหลียวมองทวนสีเงินในกำมือ ยังมีทวนอัศวาราตรีกาลอีกเล่มงั้นหรือ ถ้างั้นแปลว่าพจน์อาจนำมาถูกหรือผิดเล่มก็เป็นได้
 
“ไม่มีประโยชน์อันใดจักเชื่อถือในคำโป้ปดของทาสปีศาจอย่างเจ้าอีก” ไอ้กันย้อนคำ “ในมิช้าเราต่างจักได้รู้เช่นเห็นกันว่า ข้านำทวนอัศวาราตรีกาลมาผิดเล่ม ฤา ไม่”

นิธิพยักหน้าให้พจน์ เด็กหนุ่มตาคมสวยหลับตาลง ภาวนาด้วยความดีซึ่งทำมาตลอดชีวิตให้ทวนเทวาซึ่งตนถืออยู่คือเล่มที่ถูกต้อง และสามารถถอนล้างมนตราลีลาทมิฬได้

“เมื่อกูท่องกลอนจบ เล็งไปยังอกด้านซ้ายของมัน แล้วพุ่งทวนใส่สุดแรง ใช้พลังทั้งหมดที่มึงมีเหมือนตอนเล่นฟุตบอล เข้าใจนะ”

“อืม เข้าใจ”

“ทวนเทวาชุบร่างกระจ่างฟ้า”

ท้องฟ้าแจ่มกระจ่างก่อนหน้าบัดนี้ถูกกลุ่มเมฆขนาดใหญ่เคลื่อนมาปกคลุมบดบังดาราเหลือเพียงดวงจันทราเท่านั้น พร้อมลมวายุซัดโหมเข้าใส่บริเวณนั้นรวดเร็ว

“หยุดเอ่ยอ้างบัดเดี๋ยวนี้”

ปีศาจลีลาทมิฬตะโกนเดือดดาล กลุ่มควันดำหลุดลอยออกจากผิวกายมันตามทิศทางลมเบื้องหลัง เหมือนฟืนถ่านมอดไหม้ สีหน้าเจ็บปวดทุรนทุราย มันยื่นฝ่ามือมายังเด็กทั้งสองพร้อมงึมงำฟังไม่ชัดเจน แล้วฉับพลันลูกไฟสีดำดวงใหญ่ก็พุ่งออกมาจากกลางหัตถ์ แหวกผ่านอากาศรวดเร็วมายังเหยื่อเคราะห์ร้าย

ไอ้กันกางฝ่ามือออกรับพร้อมเสกลูกไฟมอดไหม้สกัดใส่ทำให้ทิศทางมนตราดำทั้งสองระเบิดเป็นเพลิงประทุกลางอากาศ พจน์เหลียวมองเพื่อนข้างกายด้วยแววตาสงสัยในความสามารถเหนือมนุษย์นั้น

“กูจะอธิบายให้ฟังทีหลัง ตั้งสติให้ดี”

“อัศวาสัประยุทธ์ดุจแขไข”

“ตั้งท่าให้พร้อมกำทวนให้มั่น” กันตะโกนแข่งกับเสียงหวีดร้อง พจน์ขยับท่าทางให้มั่นคงกำทวนในท่าเตรียมพุ่งไว้เหนือไหล่ขวา รอจังหวะคำกลอนสิ้นสุด กลุ่มเมฆเคลื่อนบดบังดวงจันทร์รวดเร็ว

“ราตรีเพ็ญเช่นเดือนเลื่อนลับไป”

ถ้อยคำของไอ้กันอึงคะนึงยิ่งกว่าเสียงกรีดร้องโหยหวน ปีศาจดำทมิฬลอยจากอกของอาพลสู่อากาศเบื้องบน กางมือทั้งสองออกกว้าง ดอกลีลาวดีสีขาวทั้งหมดปลิดขั้วจากลำต้นล่องลอยสู่อากาศเช่นเดียวกัน ปากก็พร่ำโคลงสี่สุภาพทมิฬดังแข่งขัน

“มวลบุปผากิ่งก้าน   ดอกใบ ชื่นเอย
รินหลั่งเลือดโลมไหล      หล่อค้ำ
ผุดดอกเพลิงต้นไฟ      เกิดก่อ ฤาดับ
โค่นไพร่ศัตรูซ้ำ         ต่อสู้ ขัดขืน”

“หมุนทวนเป็นโล่กำบังเดี๋ยวนี้ ไอ้พจน์”

นิธิฟังโคลงนั้นให้รู้สึกเกรงภัย เพราะทันใดดอกลีลาวดีก็เปลี่ยนสีเป็นแดงฉานพุ่งแหวกอากาศตรงมายังคนทั้งคู่รวดเร็ว พจน์หมุนควงทวนเทวาเป็นโล่กำบังจนก่อเกิดเป็นอาวุธล่องหนคุ้มกัน เพียงจุมพิตสีเลือดกระทบโล่พลังก็ดับสลายกลายเป็นผุยผงทันที เป็นจังหวะให้ไอ้กันมีโอกาสได้เอ่ยกลอนบาทสุดท้าย

“กาลฉุดใจวิญญ์กลับรับคืนตน”

พจน์เปล่งซ้ำกลอนบาทสุดท้ายผสานพร้อมไอ้กัน แล้วลงมือลงแรงทั้งหมดพุ่งอาวุธทวนอัศวาราตรีกาลใส่ยังจุดหมายเหนืออกซ้ายของร่างปีศาจดำ ทวนเทวาแหวกอากาศดังสนั่นหวั่นไหว ยังมิทันให้ปีศาจตนนั้นร่ายมนตราสะกดกำบัง ทวนกลับพุ่งพรวดเร็วกว่าวิถีอาวุธปกติปักเข้าอกซ้ายร่างบุรุษกายดำในทันใด เสียงกรีดร้องดังยิ่งกว่าเคย เนื้อตัวสั่นเทิ้ม พร้อมไฟปริศนาลุกท่วมต้นลีลาวดีเพลิง จบสิ้นอาวุธพิฆาตซึ่งอยู่ยั้งยืนต้นมานับตั้งแต่บรรพกาล


*****************************************


ดวงจันทราแจ่มกระจ่างเหนือปราสาทหินเก่าแก่เมื่อพันปีล่วงผ่าน เป็นดั่งนิมิตมารแห่งชัยชำนะของแผนการทำลายล้าง มันรอเพียงแค่อาณัติสัญญาณบางอย่างเท่านั้น เสียงคล้ายแส้หวดแทรกอากาศนิ่งสนิทเสียดผ่านรวดเร็วเกินกว่ามันจะทันได้เห็นทิศทางเสียง เงาทวนสีเงินสว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงเดือนพุ่งเข้าหาร่างใต้ผ้าคลุมผืนดำทันที เร็วยิ่งกว่าแสงหรือพลังมนตราใด ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวนี้คือสิ่งซึ่งมันมิเคยรับรู้นับตั้งแต่ครอบครองสิ่งสูงค่า

แต่บัดนี้เงาอาวุธนั่นสร้างรอยแผลเจ็บลึกโทมนัส มันขยับก้าวลงขั้นบันไดศิลาซวนเซและล้มลงแทบพื้น มือซีดขาวกำเหนืออกซ้าย ความพ่ายแพ้บัดนี้ฉายชัดแก่ใจมันอย่างที่สุด ดวงตาแดงดุจเพลิงสว่างวาบ เหตุใดมนตราลีลาทมิฬทรงอิทธิฤทธิ์จึ่งถูกทอดถอนได้ง่ายดายดุจบุปผาล่วงหล่นจากกิ่งก้าน  เลือดสีดำทะลักล้นออกจากปากสาดกระเซ็นทั่วพื้นศิลา ความเจ็บทรมานแล่นทั่วสรรพางค์กายราวกับจักแตกดับในมิช้า ข้าเข้าใกล้วิถีอมตะยิ่งกว่าผู้ใดเหนือพิภพ ไฉนเลยจึ่งต้องประสบชะตากรรมเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานมิปานฉะนี้
 
“องค์จอมมาร” สมุนผู้ภักดีผิวกายฟ้าปรากฏตัวถลันเข้าพยุงผู้เป็นนาย

“เลือดซึ่งข้ากรีดลงหล่อเลี้ยงต่ออายุต้นลีลาวดีเพลิง บัดนี้กลายเป็นอาวุธหันกลับมาทำร้ายข้าแล้ว”

“ข้าพระองค์ต้องทำประการใด โปรดแจ้งด้วยเถิด” พร่ำรำพันอาลัย

“หามีประโยชน์ไม่ ร่างนี้จักแตกดับในอีกมิช้า เจ้าต้องกระทำการตามแผนเดิมบนพิภพนี้ให้ลุ่ล่วง อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา”

“พระเจ้าข้า” ก้มน้อมรับพระบัญชา

“ข้าดูเบาปัญญามหาเทพเกินไปจึ่งพ่ายแพ้เสียท่า มินึกว่ากลหมากอันแยบยล จักเป็นหนทางสู่การดับสลาย” เลือดสีดำมากประมาณแผดพุ่งสู่เบื้องหน้า

“มีสิ่งหนึ่งซึ่งเจ้าจำต้องล่วงรู้ก่อนข้าจาก บุรุษผู้ต้องมนตราลีลาทมิฬนั่นหาใช่ผู้ครอบครองสิ่งล้ำค่าสูงสุด”

“เช่นนั้นก็จักเหลือเพียงสามเท่านั้น พระเจ้าข้า”

“ข้าต้องรู้ให้ได้ว่ามันคือผู้ใด อึก”
 
แรงหายใจเฮือกสุดท้ายผ่อนออกจากกายซีดขาว พร้อมดวงตาสีแดงมอดดับลง ฉับพลันผ้าคลุมดำมืดและกายภายในก็สลายกลายเป็นควันดำต่อหน้าต่อตาอัครมหาเสนาบดีปีศาจฝ่ายขวา สิ้นสรรพเสียงอื่นใดนอกจากเสียงลมหายใจผสมประกายแววตาสีน้ำเงินสว่างวาวโรจน์เหนือใบหน้าเหี้ยมผิวกายฟ้าเท่านั้น



100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3287945#msg3287945)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๕ มนตราลีลาทมิฬ ๑๐๐% (๑๖/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 16-01-2016 19:05:44
พวกด้านมืดดดดดด  หยุดเถ๊อะะะ ปล่อยให้มาตะมันหวานกันโหน่ยยยยยย
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๕ มนตราลีลาทมิฬ ๑๐๐% (๑๖/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Min*Jee ที่ 16-01-2016 20:23:49
คุณอารอดแล้วววววววววว
มาตะ ส่งมาตะมาหวานให้เจ๊อิ่มอกอิ่มใจเถอะค่ะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๕ มนตราลีลาทมิฬ ๑๐๐% (๑๖/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 16-01-2016 21:58:30
ลึกล้ำ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๕ มนตราลีลาทมิฬ ๑๐๐% (๑๖/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: meanmena ที่ 16-01-2016 23:09:21
รอ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๕ มนตราลีลาทมิฬ ๑๐๐% (๑๖/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 17-01-2016 09:10:06
กันปกป้องพจน์แบบนี้  ได้ใจไปอีกแล้ว 

ลุ้นมากๆว่ากันเป็นใครกันแน่ 

เห็นใจพจน์เจอแต่เรื่องประหลาดใจ  และคิดถึงมาตะ555

ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ รอติดตามเสมอนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๕ มนตราลีลาทมิฬ ๑๐๐% (๑๖/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ฤดูใบไม้หลากสี ที่ 18-01-2016 03:21:41
เราชอบเรื่องนี้นะ แต่บางครั้งคำพูดโบราณมันดูโครงกลอนเกิน จนเราอ่านแล้วมัดขัด ๆ อะ ในตอนเกี้ยวกันโอเคงดงาม แต่ตอนพูดคุยหรือแม้แต่วิวาทกันมันดูอย่างไรก็ไม่ดูสิ เพราะอย่างแรกตอนต้นการพูดจาไม่ค่อยเหมือนโคลงกลอนมากนัก แต่พักหลัง ๆ มันมาแบบโคลงกลอนเกือบหมด ซึ่งเรียกได้ว่าพูดกันโดยภาษากลอน เรามองว่ามันค่อยข้างดาดไปนิด มันดูธรรมดาไปเลย แบบมาตะพูดคล้ายโคลงกลอนในบทที่วิวาทเยอะมาก หรือแม้แต่ก่อนเกี้ยวพจน์ คือมันแบบ โอ่ย พูดธรรมดา โบราณ ดั่งเช่นเจอพจน์ครั้งแรกเถอะ

รอมาต่อนะคนเขียน สงสารมาตะ แต่รู้สึกว่ากฤษณาดูมาหาเรื่องวิวาทมาตะโง่ไปนิด แต่พอเจอพจน์กับเจ้าชูงูดินได้แม้เพียงความคิด และพจน์โง่จังเลย เป็นเรานะ "อยากนั่งใช่ไหม เชิญนั่งจนตายไปเลย"

ตอนล่าสุด เราเข้าใจพจน์นะ เฮ้อ แต่บางเรื่องนี่พจน์ควรทำใจยอมรับเถอะ การสูญเสียอะไรทำนองนี้ และดูอ่อนแอจังเลย เฮ้อ

นิธิเรากำลังสงสัยว่าอาจเป็นมาตะภพก่อน หรือใครสักคนที่อยู่ภพก่อน

ความรู้สึกเรา เราคิดว่ามาตะนี่แหละพระเอก มันสะกิดใจมากเลยนะว่าใช่ ส่วนนิธิอารมณ์เหมือนพระรองเกาหลีอะไรเถือกนี้

โอ่ย ๆ เรื่องนี้มีอะไรลุ้นเยอะดี
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๕ มนตราลีลาทมิฬ ๑๐๐% (๑๖/๐๑/๕๙) หน้า ๕ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: pui_noizๆ ที่ 18-01-2016 22:13:16
เอาล่ะ พี่ท่าน ดังคำที่พี่ตอบน้องมานั้นน้องแจ้งแก่ใจดีว่า ถ้าเป็นบทที่พจน์พูดก็จักเป็นคำสมัยปัจจุบันไปพูดในอดีต แต่ที่น้องหมายคือ การบรรยายความในอดีตที่ไม่ใช่ส่วนของพจน์พูดนั้น บางครามันยังเป็นลูกผสมของปัจจุบันกับคำสมัยก่อน น้องเองก็คร้านจะหาให้ พี่ท่านโปรดพินิจเองเถิด...
ส่วนในบทนี้ซึ่งเป็นภาคปัจจุบัน มีบางคำที่ยังขัดๆ กัน ไม่แน่ช้ดว่าเป็นการที่ยังต้องการมีกลิ่นอายแห่งอดีตมาเจอในปัจจุบัน หรือเป็นการหลุดจากโทนออกไป หรือ แท้จริงเป็นการเอาภาษาเขียนไปใส่ในบทพูดแทน เลยทำให้บางคราฟังดูแปล่งๆ ชอบกล ดูไม่ใช่คำที่จะพูดแต่เหมาะเป็นคำเขียนเสียมากกว่า เช่น

“เช่นเดียวกับเมื่อครั้งมึงถามว่ากูคือใคร กูขอปฏิเสธ”
....เหมือนครั้งที่มึงถาม...

และทันใดนั้นอกของอาธนพลก็ยกขึ้นสูงรวดเร็วเหมือนมีมือล่องหนฉุดรั้ง บัดเดี๋ยวก็ฟุบลงกลับคืนฉับพลัน
...แล้วก็ฟุบ...

หากมึงไม่สามารถฝืนทนไหว จงร้องบอกกูทันที
...ถ้ามึงทนไม่ไหวให้รีบร้องบอกกูทันทีเลยนะ อย่าฝืน...

“มึงโปรดไว้วางใจ น้ำตามึงนี้ทำกูเจ็บรวดร้าว
...ขอให้มึงไว้ใจกูนะ เพราะน้ำตามึงมันทำให้กูเจ็บ...

“ไม่มีประโยชน์อันใดจักเชื่อถือในคำโป้ปดของทาสปีศาจอย่างเจ้าอีก” ไอ้กันย้อนคำ “ในมิช้าเราต่างจักได้รู้เช่นเห็นกันว่า ข้านำทวนอัศวาราตรีกาลมาผิดเล่ม ฤา ไม่”
...มิมีประโยชน์อันใด...

เป็นต้น พี่ท่านโปรดอย่าได้เคือง น้องแค่นำเสนอด้วยสมองอันน้อยนิดของน้อง เพราะน้องก็ไม่รู้ว่ส นิธินั้น นางจะมาสายไหน จะพูดเป็นทางการด้วยภาษาเขียนแต่ภาษาพูดแบบปกตินางก็ใช้ หรือจะอยากซั่มทั้งคำปัจจุบันกับคำในอดีต หรือนางจะมาแนวลิเก น้องก็ไม่รู้จริงๆ จุดนี้

แต่ต้องยอมรับว่าสนุกและฟินเฟอร์
ตกลงนิธิหรือกัน นางคงคือกฤษณะ สินะ แต่นางต้องสาปอันใด หรือให้สัตย์สาบานอะไร จึ่งไม่ตายแล้วต้องคอยมาดูแลพจน์
นอกจากนี้ น้องยังชอบการโต้ตอบกันด้วยสำบัดสำนวนต่างๆ ที่เป็นคำคล้องจองหรือมีสำผัสกัน อ่านแล้วจะรู้สึกว่าได้ย้อนไปยังสมัยก่อนจริงๆ ที่เค้าจะมีสัมผัสรับส่งกันในการสนทนาพาที
น้องขอขอบคุณอีกนะฮะ















หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๖ อนันตวัชรมรกต ๕๐% (๒๐/๐๑/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 20-01-2016 18:27:03
บทที่ ๑๖


อนันตวัชรมรกต



คำกรีดร้องสุดสะเทือนยิ่งกว่าเสียงครวญคร่ำใดจะเสมอเหมือนแผดก้องจนพจน์กับไอ้กันต้องยกมือปิดหู ร่างดำทะมึนกางแขนลอยแน่นิ่งอยู่ในอากาศเหนือกายอาธนพล ควันดำมากประมาณยังคงหลั่งไหลละทิ้งเจ้าของไว้โดยเดียว ทวนอัศวาราตรีกาลสว่างวาบปักบนอกซ้ายสุดปลายคม พจน์ไม่นึกว่ากำลังและความแม่นยำในการขว้างอาวุธทวนเทวาจะรวดเร็วตรงเป้าหมายราวกับจับวางขนาดนี้ ใจหนึ่งรู้สึกโล่งอก แต่อีกใจก็ให้รู้สึกเวทนาสงสาร เมื่อตอนนี้ดวงตาพิโรธโกรธแค้นสั่นระริกไหวจ้องมองเด็กทั้งคู่
 
“อย่าได้รู้สึกสงสารเด็ดขาด เมื่อมึงซัดอาวุธใส่ใครแล้ว อย่าให้มันได้เห็นแววตาอ่อนแอของมึง”
 
“กู...อืม เข้าใจละ” พจน์รับคำขยับจะเข้าพยุงร่างธนพลให้ห่างจากปีศาจตนนั้น พอดีเตียงนอนรวมถึงคนต้องคำสาปกลับเลือนหายจากที่แห่งนั้นจนลับตา

“ปลอดภัยแล้ว อามึงพ้นอันตรายใดๆจากอำนาจมนตราลีลาทมิฬทั้งสิ้น”
 
แสงอัคคีซึ่งลุกท่วมตั้งแต่ปลายยอดสูงสุดของต้นลีลาวดีเพลิงจรดโคนรากแสดงถึงจุดจบของอาวุธร้าย  และหมายถึงชีวิตของอาพลได้หลุดจากบ่วงปีศาจ ปรากฏเป็นประจักษ์พยานแก่สายตา นำพาความโล่งอกมาสู่ใจพจน์

ลมพายุยังคงพัดโหมให้เพลิงไฟลุกโชติช่วงยิ่งทวี เช่นเดียวกับควันดำซึ่งละทิ้งกายทมิฬมากขึ้นทุกขณะ จนในที่สุดพลังอำนาจอันชักนำให้ล่องลอยได้ก็หมดสิ้นลง ล่วงหล่นทรุดลงแทบพื้นหญ้าสีเขียวสด มือสีดำทั้งสองข้างพยายามพยุงรูปกายซึ่งกำลังจะแตกดับให้หยัดยืน อีกทั้งฝืนดึงอาวุธทวนเทวาอย่างอับจนหนทาง เรี่ยวแรงอุดมพลังงานมหาศาลบัดนี้เหลือเพียงพยุงลมหายใจให้พรั่งพรู่อีกไม่กี่มากน้อย ทวนสีเงินค้ำร่างดำไว้ในท่าคุกเข่าด้ามทวนปักลงพื้นดินใต้ผืนหญ้า เสียงกรีดร้องเจ็บปวดเหลือเพียงลมครวญอันรวยริน ไอ้กันขยับฝีเท้าเดินตรงเข้าหาปีศาจตนนั้น
 
เด็กหนุ่มร่างสูงก้มมองด้วยสีหน้านิ่งเฉยเพียงครู่ แล้วจึงกางนิ้วมือเหนือปีศาจลีลาทมิฬ
 
“บัดเดี๋ยวก่อน” เค้นคำเจรจาสุดยากแค้นแสนเข็ญห้ามปรามกระท่อนกระแท่น แววตาพรั่นพรึงสบมองพจน์แต่ผู้เดียว

“ประตูสู่อเวจีเปิดรอเจ้าอยู่พร้อมสรรพ เหตุเพราะฉุดคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์มานักต่อนัก” ไอ้กันพูดเสียงนิ่ง “ไฉนเลยมารีรอรั้งชีวิตทรมานเพื่อเอ่ยอ้างคำใดอีก”

ปีศาจทมิฬหลับแววตาเจ็บปวดลง ร่างกายสั่นสะท้านทนทรมาน เบื้องปลายนิ้วมือซึ่งควันดำผุดออกจากกายนั้นเริ่มปรากฏผิวซีดขาวลุกลามเผยเนื้อหนังอันแท้จริงทีละน้อย จนในที่สุดความดำมืดจึงหลุดเลือนหายพร้อมลมอากาศกลายเป็นบุรุษหนุ่มผิวกายขาว ทรงอาภรณ์ดุจใยสำลีพิสุทธิ์ ประดับเครื่องทองแพรวพรรณตระการตา และวินาทีที่พจน์เผลอมองดวงหน้าหล่อเหลาก็ทำให้เขาต้องก้าวถอยชะงักงัน

ร่างกำยำซึ่งคุกเข่ามีด้ามทวนค้ำอกไว้ไม่ให้ล้มนั้นดูล่ำสั่นสูงใหญ่ แต่ใบหน้าพริ้มเพรา รวมถึงดวงตาสีน้ำตาล เพียงมองปราดเดียวก็ดูราวกับพจน์กำลังจ้องตัวเองผ่านกระจกเงาอย่างไรอย่างนั้น
 
“เป็นไปไม่ได้” รีบส่ายหน้าปฏิเสธความคิดทั้งหลาย

ดวงตาหรี่เล็กลงเหมือนใกล้สิ้นสติกำลัง รวมถึงรอยโลหิตแดงไหลหลั่งจากมุมปาก เป็นสิ่งเดียวที่แสดงว่าคนผู้นี้มีชีวิต แล้วทำไมถึงได้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับพจน์ขนาดนี้ แม้จะดูออกว่ามีอายุแก่กว่าตนก็ตาม

ไอ้กันยืนนิ่งเงียบเมื่อเห็นคราบความจริงเปิดเผย อำนาจทมิฬซึ่งปกคลุมร่างแท้จริงละทิ้งมนุษย์คนหนึ่งไว้อยู่ต่อเบื้องหน้า หนำซ้ำยังดูเหมือนพจน์ราวกับฝาแฝด เมื่อไม่มีคำตอบหรือคำอธิบายจากเพื่อนข้างกาย พจน์จึงทรุดเข่าลงก้มมองพินิจให้ละเอียดถี่ถ้วน ตัวสั่นลั่นกราวราวเหน็บหนาว

“คุณ...ทำไมถึง...” พจน์ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองโดยสิ้นเชิง เมื่อพิจารณาในระยะประชิดก็ให้รู้สึกใจหายวาบ แววตาเจ็บปวดเหลือคณา ฝ่ามือไร้เรี่ยวแรงปล่อยทิ้งลงละพื้น

“ในที่สุดเราก็ถูกปลดปล่อยจากพันธนาการ” ซ้ำน้ำเสียงยังคล้ายคลึงพจน์แต่ทุ้มกว่าเล็กน้อย “อึก ขอบน้ำใจเจ้ามาก เพลานับแสนสหัสวรรษซึ่งข้าตกอยู่ภายใต้อำนาจมนตราลีลาทมิฬ บัดนี้จบสิ้นแล้วด้วยน้ำมือเจ้า”

“คุณโดนคำสาปเหมือนกันอย่างนั้นหรือ” พจน์อึกอักถามระคนเห็นใจ

“เมื่อเนิ่นนานนั้นวิญญาณข้าถูกพลังลี้ลับ สะกดกักขังไว้เพื่อเสริมสำแดงอาวุธชั่วร้ายทำลายชีวิต เราระทมใจนัก แต่จักทำอันใดต้านทานฝืนมนตราดำนั้นมิได้ ทำเพียงเฝ้าดูผู้คนร้องขอชีวิตผ่านร่างอำนาจซึ่งใช้ครอบงำ” บุรุษหน้าเหมือนพจน์สำลักเลือดพร้อมกลั้วหัวเราะเท่าที่พลังแรงกายจะพึงมี “แลบัดนี้เราปีตินัก ด้วยเหตุเพราะพลังเหนือพลังทั้งปวงได้อุบัติขึ้นแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นผมจะช่วยคุณได้ยังไง คุณเจ็บหรือเปล่า” พจน์เลื่อนมือสั่นเทาสัมผัสทวนเทวาที่ตอนนี้เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง สีหน้าหม่นหมองสะท้อนสู่กันและกัน

“หาได้ไม่ ร่างที่เจ้าเห็นนี้เป็นแต่ดวงวิญญาณเท่านั้น แลจักดับสลายคืนสู่วิถีธรรมชาติ” ชายชุดขาวหายใจรวยริน “ข้าเฝ้ารอเพลานี้มานานแสนนาน เพลาซึ่งอำนาจทมิฬทั้งปวงจะต้องดับสูญ แลนี่คือจุดเริ่มต้นแห่งความพินาศ”

บุรุษผู้นั้นเงยหน้าจ้องแสงจันทร์สว่างจ้า

“อำนาจอันเจ้าครองจักต้องสั่นคลอน แลถูกท้าทายยิ่งกว่ายุคสมัยใด องค์จอมมาร” เอ่ยอ้างกับใครสักคนที่ไม่อยู่ในที่นั้น “หากแต่เสียใจเพียงอย่างเดียวคือมิอาจเห็นวันที่เจ้าสิ้นอำนาจทั้งมวลได้ ผู้ครอบครองสิ่งล้ำค่าสูงสุดปรากฏตัวพร้อมอุบัติการณ์แห่งพลังสถิตพร้อมสมบูรณ์อยู่เบื้องหน้าเรานี้ จงระวังให้จงดีเถิด สิ่งอกุศลกรรมอันใดซึ่งเจ้าก่อไว้จักหวนตามทันในมิช้า”

“คุณเป็นใคร ทำไมถึงโดนคำสาปร้ายนี้ และอีกอย่างทำไมหน้าตาของเราทั้งคู่ถึง...”

“ข้า...” โลหิตพรวยพุ่งจากริมฝีปากบางเปรอะเปื้อนผ้าคล้องไหล่เป็นจุดด่างพร้อย

“คุณครับ ทำใจดีๆไว้ ไอ้กัน ช่วยเค้าที ทำอะไรก็ได้”

นิธิยังคงยืนมองเหตุการณ์เบื้องหน้านิ่งเฉย เมื่อพบสบคำร้องขอความช่วยเหลือ ความว่างเปล่าของดวงตานั้นคือคำตอบทั้งหมด

“ไม่มีประโยชน์ เราช่วยเขาไม่ได้”
 
“ทำไมล่ะ มึงมีพลังนี่นา มึงเสกพลังต้านทานมนตราทมิฬได้ แล้วทำไมถึงช่วยเขาไม่ได้”

“เขามีชีวิตเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว เราทำได้เพียงแค่ปลดปล่อยวิญญาณนี้จากอำนาจมืดเท่านั้น และมึงก็ทำสำเร็จแล้ว”

“อึก ได้โปรดรับเอาไว้”

บุรุษหนุ่มฝาแฝดพจน์ใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายปลดเปลื้องเครื่องประดับหน้าผาก ลักษณะคล้ายหยดน้ำสีทองสลักลายขนาดเล็ก พร้อมหยิบยื่นผ่านมือสั่นเทามาทางพจน์ ตรงกึ่งกลางเครื่องประดับนั้นมีรอยลึกคล้ายคลึงว่าก่อนหน้ามีบางสิ่งประดับอยู่แต่ตอนนี้หายสิ้น

“อะไรหรือครับ”

“ความลับซึ่งเราซ่อนงำไว้นานแสนนาน บัดนี้ขอมอบแก่เจ้า”

พจน์ยังมีท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่รู้จะรับดีหรือไม่ ใจหนึ่งอยากช่วยให้คำร้องขอสุดท้ายของร่างเจ็บปวดเป็นจริง แต่ทุกเหตุการณ์ที่พจน์เผชิญก่อนหน้าล้วนเหนือธรรมชาติและพร้อมด้วยภัยอันตรายซ่อนเร้น

“ได้โปรด...” แผ่วเบาจนเกือบไม่ได้ยิน

“ความลับ...อะไรหรือครับ”

“รับเอาไว้”

แววตาอ้อนว้อนซึ่งพจน์คงทำเสมอเวลาร้องขอให้คุณพ่อทำตามคำสะท้อนสู่ดวงตาสีเดียวกัน ผสมกับวงหน้าและเสียงครวญท่วมท้นใกล้สิ้นชีวา ทำให้พจน์ตัดสินใจหยิบเจ้าเครื่องประดับหน้าผากนั้นมาถือไว้ และในวินาทีนั้นเองเหมือนกับทัศนียภาพโดยรอบหมุนวนรวดเร็วจนไม่อาจเห็นภาพได้ชัด

กันฉุดพจน์ให้ลุกยืน บุรุษหน้าคล้ายพจน์ค่อยขยับยืนเช่นกัน ทวนอัศวาราตรีกาลล่องหนลับหาย รอยเลือดเบื้องมุมปากแลเปรอะเปื้อนผืนผ้าขาวจืดจาง เช่นเดียวกับรอยแผลเหนืออกซ้าย ความเจ็บปวดละจากรูปหน้าหล่อเหลานั้น สภาพแวดล้อมหมุนเหวี่ยงหยุดเคลื่อนไหว และนำพาต้นลีลาวดีเพลิงในสภาพก่อนอัคคีไหม้กลับคืนมา แต่ไม่สูงใหญ่เท่าเดิม พร้อมปรากฏแสงอรุณรุ่งสาดกระทบเหนือยอดกิ่งไม้โดยรอบบริเวณ

กึ่งกลางหน้าผากมนประดับอัญมณีมรกตสีเขียวขนาดเล็กเหมือนหยดน้ำภายใต้กรอบทองสลักลาย  คล้ายคลึงสิ่งที่อยู่ในมือพจน์เพียงแต่ไม่มีมณีมรกตประดับอยู่ สายตาแน่วแน่มองเลยผ่านเด็กหนุ่มทั้งสองก่อนจะหันหลังกลับเพ่งพินิจต้นลีลาวดีเพลิง

“ทูลกระหม่อมวัชรโกมล พระเจ้าข้า”

ชายหนุ่มวัยใกล้เคียงกับฝาแฝดพจน์คุกเข่าถวายบังคมอยู่ด้านหลังเด็กทั้งคู่ ทำให้พจน์และไอ้กันตกใจไม่ใช่น้อย เหลียวมองใบหน้าเกลี้ยงเกลานั้นเป็นเชิงถาม แต่ดูเหมือนชายผู้แต่งตัวด้วยภูษาสีน้ำเงินมิได้เอ่ยอ้างกับตน ไอ้กันดึงรั้งเอวพจน์ให้ขยับถอยหลบ มันส่ายหน้าเป็นเชิงไม่ให้พูดสิ่งใด

“อันใด ฤา วายุ” พระเจ้าวัชรโกมลละสายพระเนตร หันพระพักตร์กลับมาพร้อมทรงพระสรวล

“พระเจ้าอยู่หัวอนันตราชเสด็จมาหาทูลกระหม่อม พระเจ้าค่ะ” วายุผู้มีดวงหน้าเครียดทูลถวาย

“เหตุใดจึ่งทำหน้าเยี่ยงนั้นเล่า ใครเขาจักนึกว่าเจ้าปวดมวนท้องก็เป็นได้  ฤา เป็นเช่นนั้น” พระองค์เจ้าวัชรโกมลยกพระขนงพร้อมแย้มโอษฐ์ ทรงเสด็จก้าวพระบาทยื่นข้อพระหัตถ์เข้าประคองข้าคนสนิทให้ลุกยืน

“หามิได้ ทูลกระหม่อม” วายุคลายสีหน้าตึงจึ่งเห็นแววตาน่ารักพริ้มเพรา งดงามมิต่างจากนายตัว “ข้าฝ่าพระบาทเพียงแต่ปริวิตกกาลอันภายหน้าเท่านั้น”

“อย่าได้สร้างรอยบึ้งให้ตึงสถิตอยู่บนใบหน้าเลย ข้านี้พลอยอดสูตามมิได้”

“เป็นโทษานุโทษของข้าฝ่าพระบาทแล้ว โปรดลงอาชญาเถิด ต่อแต่นี้วายุจักมิแสดงใบหน้าสลดให้ทูลกระหม่อมได้ทอดพระเนตรอีก” วายุเตรียมทรุดกายก้มลงกราบก็พอดีถูกแขนผู้เป็นเจ้านายรั้งไว้

“เจ้าอย่าได้ทำเหมือนเราเป็นยักษ์มารดั่งนี้ เห็นใครทำผิดเล็กน้อยก็จักได้ลงโทษไปเสียหมด หากข้าจักลงโทษเจ้าก็เพราะเป็นต้นเหตุให้ข้าเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวล่าช้านั่นเทียว” ทรงพระสรวลขำขัน พร้อมเสด็จผ่านพจน์และไอ้กันรวดเร็วราวกับเด็กหนุ่มทั้งคู่ไม่มีตัวตน
 
“โธ่ ทูลกระหม่อม” เจ้าวายุเดินติดตามเฝ้าทูลขออภัยโทษไม่ขาดปาก

พระที่นั่งไม้ทรงยอดมนฑปทอดวางอยู่เบื้องทิศทางเสด็จของพระเจ้าวัชรโกมล เสียงหัวเราะคล้ายกับพจน์ดังแว่วอยู่เบื้องหน้าข้ารับใช้ พจน์ตัดสินใจเดินตาม ไอ้กันไม่มีท่าทีห้ามปราม เพียงแต่ประชิดติดพจน์ไม่ถอยห่าง เหมือนตอนนี้พจน์ย้อนเวลากับมาสู่เหตุการณ์บางอย่างของผู้ถูกคำสาปมนตราลีลาทมิฬร่างนั้น แต่เหตุผลใดที่เขาจำเป็นต้องรู้นั้นอยู่นอกเหนือสติปัญญา รวมถึงความลับที่เจ้าของนาม วัชรโกมล เอ่ยอ้าง ก็ยากเกินคาดเดาล่วงหน้าได้

วายุร่างน้อยรีบผลักพระทวารขององค์พระที่นั่งเข้าสู่ภายในที่ประทับ ฉากกั้นสลักลายตั้งอยู่หลังทวารบาล แสงสว่างมาจากอัจกลับติดอยู่เหนือเสาลงรักปิดทอง ข้าราชบริพารล้วนเป็นชายเสียสิ้นก้มหมอบกราบหน้าแนบพื้นอยู่ริมผนัง เบื้องหน้าเป็นพระแท่นบัลลังก์สีทอง มีตั่งพระที่นั่งตั้งเรียงไว้เช่นที่ประชุมเสนาบดี ถัดจากบัลลังก์มีทวนสีเงินวางปรากฏเป็นสง่าแก่ผู้พบเห็น แลบุคคลที่นั่งประทับอยู่พระแท่นบัลลังก์สีทองนั้น ทำเอาพจน์ซึ่งกำลังสังเกตสถาปัตยกรรมอันวิจิตรอยู่ต้องหยุดสายตาให้สะกดอยู่แต่คนผู้นั้นโดยเดียว จนหลุดคำเรียกขานโดยไม่รู้ตัว

มาตะ


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3290958#msg3290958)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๖ อนันตวัชรมรกต ๕๐% (๒๐/๐๑/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 20-01-2016 18:50:28
 :really2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๖ อนันตวัชรมรกต ๕๐% (๒๐/๐๑/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 20-01-2016 20:33:34
 :katai1:า ค้าง!!!!!
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๖ อนันตวัชรมรกต ๕๐% (๒๐/๐๑/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Min*Jee ที่ 20-01-2016 21:24:46
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด นี่พจน์กับมาตะผูกใจรักกันมาตั้งแต่อดีตชาติแล้วสินะคะ  :impress2:
ขอให้ชาตินี้สมหวังเถอะะะะะะะ

ปล. วรรคนี้ "ผู้ครอบครองสิ่งล้ำค่าสูงสุดปรากฏตัวพร้อมอุบัติการณ์แห่งพลังสถิตพร้อมสมบูรณ์อยู่เบื้องหน้าเรานี้"
STAR WARS เพลงลอยมาเลยค่ะ :m20:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๖ อนันตวัชรมรกต ๕๐% (๒๐/๐๑/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 20-01-2016 21:26:16
 :a5: :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๖ อนันตวัชรมรกต ๕๐% (๒๐/๐๑/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ฤดูใบไม้หลากสี ที่ 21-01-2016 01:27:18
ครึ่งแรกของตอนนี้เงิบมาก

เงิบแรก มีคนหน้าตาเหมือนพจน์

เงิบสอง คนหน้าตาเหมือนพจน์เกี่ยวข้องกับมาตะ หรือคนหน้าคล้ายมาตะ

โอ้ ตอนนี้สตั๊นซ์แรงมาก  :a5: หรือมาตะอายุยาวนานแล้ว หรือมาตะคือรุ่นลูก ? หรือมาตะมีความลับอะไรซ่อนอยู่

แต่ขอมโนว่าคนหน้าเหมือนพจน์อาจเป็นเมียเก่ามาตะได้นะ ฮ่า ๆ

แต่ฉันเบื่อพจน์จังเลย ช่วยเขาหน่อยสิ คนตาย ช่วยอะไร อีโง่ !
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๖ อนันตวัชรมรกต ๕๐% (๒๐/๐๑/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 21-01-2016 20:59:27
ค้างงงงง :katai1: :katai1: :katai1:

คือลึกลับซับซ้อนมากๆ  เลยต้องกลับไปอ่านตอนเรื่องเล่าอีกรอบ

พระเจ้าวัชรโกมลหน้าคล้ายพจน์  แต่พระเจ้าอยู่หัวอนันตราชหน้าคล้ายมาตะ
มาตะนี่เป็นน้องของพระเจ้าอยู่หัวอนันตราชใช่ไหมค่ะ

อยากอ่านต่อแล้ว  ลุ้นมากๆค่ะว่าใครเป็นใคร   เกี่ยวข้องกันยังไง   ความลับอะไรค่ะ :katai1:
สนุกมากๆค่ะ  ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2:

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๖ อนันตวัชรมรกต ๕๐% (๒๐/๐๑/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 22-01-2016 02:43:45
เดี๋ยวนะ นี่มาตะเป็นพระเจ้าแผ่นดินมาก่อนหรอเนี่ย
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๖ อนันตวัชรมรกต ๑๐๐% (๒๔/๐๑/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 24-01-2016 11:21:19
[ต่อ]


น้ำเสียงตะโกนก้องดุจกระซิบแผ่วเบา ทำเอาพจน์เข้าใจโดยดีว่า ไม่มีใครนั้นที่นี้จะได้ยินหรือได้เห็นเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะเหตุการณ์ยังดำเนินต่อไปไม่มีผู้ใดสนใจตนแม้แต่เล็กน้อย รู้สึกหัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นมาตะในเครื่องทรงแบบกษัตริย์ สวมมงกุฎยอดแหลม รวมถึงประดับเครื่องทอง คล้องสังวาลซ้ายขวา ห้อยทับทรวงฝังอัญมณี ฉลองภูษาดำทอยกดิ้นทองสะท้อนแสงเลื่อมระยับ พระนลาฏประดับอัญมณีสีดำกรอบทอง ดวงพระเนตรขีดขอบเข้มขับให้เด่นเป็นสง่า รวมถึงพระมัสสุเหนือพระโอษฐ์ ซึ่งทำให้ดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามาตะคนที่พจน์ข้ามพิภพไปเจอ รู้สึกว่าคนคนนี้อาจแค่เหมือน แต่ไม่ใช่มาตะตัวจริง เช่นเดียวกับฝาแฝดของพจน์ที่กำลังทรุดกายก้มกราบแนบฉลองพระบาทเชิงงอน

“น้องท่านนี้อย่างไร กระทำกิริยาอาการประหนึ่งพี่นั้นเป็นแต่เพียงนายแลเจ้าเป็นบ่าว ก้มกราบเสมอมิเคยผูกสัมพันธ์กันฉันนั้น ก็แหละพี่ราชาภิเษกน้องท่านร่วมวงศ์เดียวกันแล้วดั่งนี้ อาการห่างเหินพี่นั้นยังจักควรทำอยู่หรือ” คำทักทายเหมือนตำหนิแต่ดวงพระเนตรยกแย้มเช่นเดียวกับพระโอษฐ์

“หามิได้ กิริยาน้อมกราบแทบพระบาทนี้เป็นขัตติยประเพณีแห่งราชสำนักชั้นสูงพึ่งกระทำต่อเจ้าเหนือหัวเจ้าชีวิต ผู้ปกปักคุ้มภัยแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ให้สุขสงบร่มเย็นมาแต่ครั้งบรรพกาล หนึ่งเพราะพระองค์ประดุจดั่งสมมติเทพอวตารจุติยังโลกมนุษย์ หนึ่งเพราะทรงพระอำนาจแผ่พระอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลทั่วทศทิศมากกว่ามหากษัตริย์พระองค์ใดในพิภพ หนึ่งเพราะทรงคุณานับประการมากล้นจนผู้คนสรรเสริญยิ่งเทียบเทียมจักรพรรดิราช สามประการนี้ประกอบเป็นกิริยาน้อมก้มกราบพระบาทเพียงหนนั้นจึ่งน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำที่จักกระทำคารวะสำนึกในบุญญาธิการ” วัชรโกมลเงยหน้าสบพระพักตร์พระเจ้าอนันตราชยังมิลดพนมหัตถ์ “เกล้ากระหม่อมเป็นแต่เพียงฝุ่นผงธุลีใต้เบื้องพระบาท ไฉนเลยจักมิก้มกราบให้สมกับพระบารมีของพระองค์เล่า”

สิ้นคำอรรถาธิบายของวัชรโกมล พระเจ้าอนันตราชจึ่งทรงพระสรวลดังลั่น ตบพระชานุสุดแสนโสมนัส

 “วาจาน้องเจ้าต้องใจเรานัก แต่เหตุผลทั้งสามล้วนเป็นสิ่งซึ่งผู้คนต่างกล่าวยกย่องด้วยตา หามีใครสัมผัสแลรับรู้สิ่งในใจข้าไม่ ว่าตัวเราเป็นแต่เพียงมนุษย์ธรรมดาสามัญผิดแผกเพียงอย่างเดียวคือเลือดในกายมีส่วนเสี้ยวของเผ่าพันธุ์คนธรรพ์เท่านั้นหนึ่ง เดชานุภาพอันแผ่ครอบคลุมลุ่มแม่น้ำอนัตตาจรดลุ่มแม่น้ำนพนทีนั้นสร้างรอยแผลในใจข้าไม่เสื่อมครายเพราะสูญเสียขุนทหารชาญณรงค์ฝีมือกล้ามากมายทั้งสองฝ่าย พระราชอาณาเขตของอาณาจักรอนันตาทมิฬนี้ล้วนแลกมาด้วยเลือดแลความเจ็บปวดในใจหนึ่ง แหละอีกหนึ่งการเทียบชั้นถึงขั้นกษัตริย์จักรพรรดิราชนั้นยังมิควรกล่าว แก้ว ๗ ประการคู่บารมีอันสมกับพระนามนั้น เรามีแต่เพียง จักรแก้วอย่างหนึ่ง ช้างแก้วอย่างสอง ม้าแก้วอย่างสาม แก้วดวงอย่างสี่ ขุนคลังแก้วอย่างห้า ลูกแก้วอย่างหก แลขาดสิ่งประการสุดท้ายอันคือ นางแก้ว”

“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้โปรดอย่าตรัสเช่นนั้น พระเจ้าค่ะ” วัชรโกมลร้องท้วง

“นี่แหละคือความเป็นจริงในใจข้า แลมีเพียงเจ้าโดยเดียวเท่านั้นที่หยั่งรู้ถึงยิ่งกว่าใครอื่น โดยเฉพาะยิ่งอย่างสุดท้าย”

“มาตรแม้นพระอัครมเหสีทรงสดับรับยินจักทรงโทมนัสคลายความภักดี จักมิเป็นผลดีต่อการแผ่นดิน”

“ข้าหาสนใจไม่ หากขนบประเพณีแต่กาลก่อนเปลี่ยนจากนางแก้วเป็นนายแก้วนั่นแล้วไซร้ พี่นี้จึ่งเทียบเท่าเสมอพระจักรพรรดิราชตามคำคนกล่าวสรรเสริญ” พระพักตร์เครียดขมึงสะท้อนห้วงคิดคำนึง

“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท” พระเจ้าวัชรโกมลร้องตัดพ้อเสียงแผ่ว

“เอาเถิด พี่มาหาเจ้ามิใช่เพื่อทุ้มเถียงว่าพี่จะเทียบชั้นกษัตราธิราช ฤา ไม่ แต่เพราะความคนึงหาท่วมท้นต่างหาก หวังให้เจ้าช่วยเป็นเครื่องปลอบความในอกให้คลายลงสักเพลาเถิดหนา” ตรัสพลางตวัดพระกรพยุงกายคู่เคียงพิศวาสขึ้นประทับนั่งบนบัลลงก์ทองเสมอกัน วัชรโกมลผ่อนกายตามแรงพระหัตถ์
 
ความรู้สึกหนึ่งผุดขึ้นในความคิดพจน์ หากถอดเสื้อผ้าเครื่องประดับ รวมถึงหนวดเครานั้นออก ลักษณะท่าทีและคำหวานโอ้โลม ล้วนเหมือนมาตะราวกับคนเดียวกัน

“มีเหตุเภทภัยอันใด ระคายใต้เบื้องพระยุคลบาท ฤา พระเจ้าค่ะ” ตรัสถามตามลักษณะวิสัยเอาพระทัยใส่

“ความเมืองล้วนสงบ แต่ความอยากพบหน้าน้องท่านทำข้านอนไม่หลับทั้งค่ำคืน” ป้อนคำหวานพร้อมกระชับบั้นพระองค์เข้าหาตัว
 
“ตรัสราวกับข้าฝ่าละอองธุลีพระบาทเป็นสาเหตุดั่งนั้น จักด้วยการกระทำใดได้ล่วงล้ำทั้งวาจาแลกิริยาอันมิสมควรให้ระคายพระอุระแล้ว จงลงโทษานุโทษข้าฝ่าละอองธุลีพระบาทอย่าให้น้อยหน้านักโทษอุกฤษฎ์พึงจะได้รับโดยพลัน” ตรัสพลางถอยกายห่าง

“น้องท่านอย่าเพ่อด่วนปลงใจ ว่าความอันเป็นเหตุให้พี่นี้กระวนกระวานกระสับกระสายหาข่มตาหลับลงไม่เป็นเพราะกิริยาล่วงเกินของน้องท่าน ก็แหละหากเป็นเพราะดั่งนั้นจริง พี่คงมิบรรทมหลับแต่คงหน้าชื่นตาบานในอรุณรุ่งโดยแท้” ลูบโลมพระเกศาของพระเจ้าวัชรโกมลแผ่วเบาเหมือนปลุกปลอบ ใบหน้าคล้ายพจน์ปรากฏสีแดงอยู่ข้างแก้ม เมื่อเห็นท่าทีขวยเขินทำให้พระเจ้าอนันตราชจูบซับพระฉวีนวลนอกผ้าคล้องไหล่เป็นการใหญ่

“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโปรดระงับอาการนี้ก่อนเถิด ข้าพระองค์อับจนปัญญาเหลือล้ำว่าเหตุกวนพระราชหฤทัยนั้นคือการใด ทรงพระกรุณาแถลงไขความระคายให้ข้าฝ่าพระบาททรงทราบ หากกำลังสติปัญญาของข้าฝ่าพระบาทสามารถแบ่งเบาความหนักอึ้งนั้นได้จักเหมือนยกศิลาในใจกระหม่อมออกดุจกัน”

“น้องเรามาสู่พี่นี้ดั่งนายแก้วหนึ่งในเจ็ดของคู่บารมีพระจักรพรรดิราชโดยแท้ การใดหนักอกพี่ก็ได้น้องท่านช่วยชี้ช่องทางสว่าง แก้กลจนสำเร็จลุล่วงมานักต่อนัก หนำซ้ำมีกำลังปัญญายิ่งกว่าเสนาบดีในที่ประชุมขุนนางเสียอีก หากมิเกิดอัศวายุทธครานั้น หัวอกพี่บัดนี้คงสุมไปด้วยไฟหามีผู้ใดจักเป็นน้ำเย็นช่วยชโลมให้คลายทุกข์ได้ จักด้วยเพราะกุศลผลบุญแต่ชาติปางก่อนหรือไฉนมิอาจรู้ พี่ถึงพลาดพลั้งเสียทีน้องท่านจนพ่ายแพ้แลได้พบน้ำใจอันบริสุทธิ์ของคู่สัประยุทธ์จนซาบซ่านซึ้งใจไม่มีวันลืม”

“ไยใต้ฝ่าพระบาทมารำลึกถึงวันเก่าเอาในเพลาอันมีปัญหาคิดมิตกดั่งนี้เล่า การณ์เมื่อล่วงล้วนเกิดขึ้นด้วยใจของกระหม่อม มิหวังจักให้ราชอาณาจักรทั้งสองต้องเสียเลือดเนื้อโลมหลั่งจนท่วมทุ่งหน้าเมืองจึงขันอาสาเอาตัวเป็นเดิมพันศึก มิได้คิดจักฝากน้ำใจให้ใครอื่นรับรู้ แต่ทุกอย่างถูกลิขิตไว้แล้วว่า ใจของกระหม่อมในวินาทีที่แลเห็นใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรุดกายล้มโดยมีอาชาทับจนขยับมิได้เป็นสัญญาณเสมือนใจหยุดเต้น ฉับพลันก็ระรัวเร็วมิอาจเห็นพระองค์เจ็บปวดผุดขึ้นในห้วงความคิด นั่นแลคือความจริงโดยแท้”

พระเจ้าวัชรโกมลพนมพระกรยกขื้นเหนือเศียรสู่ทางทิศซึ่งทวนอัศวาราตรีกาลอาวุธคู่การสัประยุทธ์เมื่อคราก่อนตั้งเป็นศรีสง่าอยู่เบื้องหลัง พระเจ้าอนันตราชสดับวาจาแลทอดพระเนตรอาการรู้คุณทวนเช่นนั้น จึ่งประทับพระโอษฐ์แนบลงเหนือพระอุณาโลมของคนในอ้อมพระกร

“พี่นี้ตรองมิผิดที่ขอตัวเจ้ามาเป็นคู่ใจ ฟ้าดินจงเป็นพยาน หากเกิดชาติภพหน้าฉันใดมิได้ครองคู่กับน้องท่านแล้วไซร้ ขอจงสู่นิพพานเสียสิ้น อย่าให้ดิ้นรนทนทรมานครองตัวเป็นคนอยู่อีก”

“คำตายนี้มิเป็นมงคลแก่การเริ่มต้นอรุณเสียเลย ข้าฝ่าพระบาทขอรับเอาไว้กับตัว โปรดพระกรุณาประทานให้กระหม่อมโดยพลัน หากมิประทานก็จักขอลักขโมยมาไว้กับตัวเสียเอง” สีหน้าปริวิตกทำให้พระเจ้าอนันตราชอดเอ็นดูพระเจ้าวัชรโกมลมิได้

“จงลืมคำอันหาเป็นมงคลธรรมนั้นเสีย เพลานี้พี่อยากตักตวงกลิ่นนวลให้สมกับการสะกดอารมณ์ข่มตามาทั้งราตรีเสียก่อน” มิพักจักรอคำตอบกลับก็ประทับพระโอษฐ์เหนือริมโอษฐ์สีชมพูรวดเร็ว พจน์เห็นภาพนั้นจนหน้าเห่อร้อนรีบมองไอ้กันที่ยืนนิ่งมองการกระทำนั้นด้วยสีหน้าว่างเปล่า อยากจะเอามือปิดตาไอ้คนข้างกายเหลือเกิน เพราะเหมือนกับพจน์กำลังดูตัวเองจูบกับมาตะอย่างไรอย่างนั้น

“รสหวานปานดอกลีลาวดีนี้มีจากรสปากของน้องท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้น” ถอยพระโอษฐ์พร้อมพระเนตรหวานสบพระพักตร์คนในอ้อมหัตถ์ประคองไว้ “ไฉนเลยพราหมณ์ทั่วพิภพอ้างว่ากลิ่นรสนี้ช่วยลดความกำหนัดกามารมณ์ได้ แต่เหตุใดข้าเพียงผู้เดียวจึ่งเห็นต่าง”

“ก็แหละเป็นรสมิพึ่งประสงค์แก่ผู้ใดแล้ว เกล้ากระหม่อมจักไม่ยอมเป็นเครื่องทรมานให้ใต้ฝ่าพระบาทสัมผัสรสพิศดารอันมิเหมือนผู้ใดนี้อีก” พระพักตร์สีชาดต้องกลหลบหนี

“เหตุเพราะข้าเห็นต่าง มิใช่ว่ารังเกียจเดียดฉันท์รสนี้เหมือนปุถุชนคนอื่น แต่พี่เอาตัวเทียบประหนึ่งตนเป็นพราหมณ์ผู้ทรงศีลยามเมื่อสูดดมกลิ่นสลับจูบรับรสจากกลีบดอกขาวคราวระงับกิเลสตัณหาคราใด ก็หาได้ลดไฟราคะในอกลดหลั่นลงดั่งพราหมณ์ผู้อื่นไม่ ซ้ำจักยิ่งเหิมโหมเป็นทวีคูณยิ่งอเนกอนันต์ฉันนั้น เช่นดั่งตัวพี่ยามจูบรับรสหวานลีลาวดีจากปากวัชรโกมลท่านคราหนึ่ง ก็ตรึงอุราก่อลมวายุพัดพาไฟให้ลุกโชนมิหยุดหย่อน ต่อเมื่อได้รับรสคราแรก ก็ยิ่งอยากสัมผัสอีกมิรู้หน่าย แต่หากหยุดเสพรสอันเสมอข้าวปลาอาหารเทพชั้นดี  จึ่งเป็นที่ทรมานกายแลใจกระนั้น แลน้องท่านประสงค์จักเห็นพี่นี้หม่นหมองซูบผอมตรอมตรมแล้วไซร้ ก็จงเบือนพระพักตร์หนีเสียอย่าให้พี่ได้รับอาหารทิพย์ดั่งว่าเลย”

วัชรโกมลตรึกตรองตามคำนั้นหลุดปากตกใจสุดกำลัง

“ข้าฝ่าพระบาทมิประสงค์จักเห็นพระองค์ทนทรมานเป็นเด็ดขาด”

“ก็แหละหนทางแก้อดอยากของพี่นั้นคือกลิ่นรสอันมาจากปากน้องท่าน แลบัดนี้น้องท่านให้คำสัตย์แล้วว่าจะมิยอมให้พี่ได้รับรสนั้นอีก จักมีวิธีอื่นใดนอกจากพี่นี้แหละยอมตรอมตรมขมใจนั่นถูกแล้ว”

“เกล้ากระหม่อม....”

“แลยังมีต้นลีลาวดีซึ่งพี่ประทานปลูกไว้หลังตำหนักน้องท่านอยู่หนึ่งนั้น ยินว่าน้องท่านเฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูรดน้ำพรวนดินมิได้ขาด จึ่งยืนต้นผงาดผลิใบออกดอกสวยสดดังคำลือนั้นยังจะถูกต้องอยู่หรือ” ความรู้สึกเหมือนสายฟ้าฟาดผ่าลงกลางอุระของพระองค์วัชรโกมลจนเจ็บลึก ใบหน้าแดงเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันควัน พระหัตถ์กำแน่นสั่นสะท้าน

“น้องท่านเอาใจใส่เสมือนใช้ใจดูแลดั่งนี้ กลิ่นแลรสของดอกลีลาวดีนั้นคงมิต่างจากริมฝีปากน้องท่านเป็นแน่แท้” รอยแย้มพระสรวลปรากฏอยู่บนพระพักตร์ของพระเจ้าอนันตราชแตกต่างจากคนในอ้อมพระกร

“เมื่อน้องท่านปฏิเสธมิให้พี่ได้รับรสพิศดารนั้นอีก ก็ขอจักลองดมดอมจากต้นในความดูแลของน้องท่านสักคราหนึ่ง”

“มิได้ พระเจ้าค่ะ” รีบตรัสขัดพระราชดำริโดยพลัน เสียงสั่นเครือนั้นพระเจ้าอนันตราชพลันนึกไปทางคนรักคงคิดว่าตนจักไม่มีวันยอมจูบตอบอีก จึ่งจักแกล้งให้ถอนคำพูด ยินยอมน้อมกายให้พระองค์จุมพิตโดยมิพักต้องขอเอง

“กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ แลน้องท่านเองสืบเชื้อสายมาจากบรรพกษัตริย์เฉกเช่นนั้น จักคืนคำสัตย์ว่าห้ามตัวพี่รับรสจากปากน้องนั้น ยังจักสมควรอยู่หรือ” ตรัสหยอกล้อตามวิสัยปกติ  แต่บัดนี้สติปัญญาของวัชรโกมลมิได้สนใจท่าทีสัพยอก หลงแต่คิดเกรงสิ่งที่จักเกิดขึ้นหากดวงใจของพระองค์ประสงค์จักรับรสจากต้นลีลาวดีด้านท้ายตำหนักดังคำกล่าวนั้น

“เอ่อ กิจอันกวนพระหทัยเมื่อแรกตรัสนั้นคือสิ่งใด ฤา พระเจ้าค่ะ” วัชรโกมลเปลี่ยนเรื่องทันควัน

“หาสำคัญไม่แล้ว เพราะบัดนี้ปัญหาเรื่องรสหวานลีลาวดีนี้ต่างหากเป็นกิจอันกวนใจเรายิ่งนัก”

พระเสโทเกาะพราวรอบพระพักตร์แชล่มแช่มช้อยเช่นเดียวกับพระอัสสุชลคลออยู่สองพระเนตรสีน้ำตาล พระหัตถ์ทั้งสองสั่นจนพจน์สังเกตเห็น
 
“จริงดั่งคำพระราชปรารภ หากผู้ใดสืบสายโลหิตมาแต่กษัตริย์สมมติเทพแล้วไซร้ กล่าวคำอันใดย่อมมิอาจถอนคำคืน ดุจเดียวกับเมื่อกลืนสุธารสหวานปานเลิศรสจักคายทิ้งก็เสียของดั่งนั้น”

“ใช่ ฤา ไม่ เช่นนั้นเราจักขอเชยชมกลิ่นดอกแลจักฝากรอยประทับกลีบลีลาวดีนั้นแทนเจ้าก็คงได้รับความสุขสมดุจเดียวกับริมฝีปากเจ้าปานกัน” ตรัสพลางขยับพระวรกายหมายจักทำการตามพระราชดำริ แต่สายพระเนตรยังเหลือบแลดวงหน้าเครียดไม่วางตา หมายให้ได้ยินคำยอมจากปากคนรูปงาม

“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระเจ้าข้า” เสียงทุ้มต่ำหลุดออกมาจากปากทหารราชองครักษ์รูปงามผู้หนึ่งซึ่งก้มหมอบกราบห่างไปมิใกล้นัก เพียงคนผู้นั้นถวายบังคมแล้วเผยใบหน้าก็ทำให้พจน์ไม่อยากเชื่อสายตา

“ไอ้กัน”

เจ้าของชื่อตัวจริงยืนนิ่งอยู่ข้างพจน์ แต่คนหน้าเหมือนนิธิราวกับฝาแฝดไว้หนวดเคราดูอายุแก่กว่าขยับกายเข้ามาอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้าอนันตราช

“อันใด ฤา กาวี”

“หมายกำหนดการเสด็จออกท้องพระโรงเพลาเช้า บัดนี้ใกล้เข้ามาแล้ว หากใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท...”

พระเจ้าอนันตราชยกพระหัตถ์ห้ามปรามโดยพลัน แล้วพยักพระพักตร์หมายให้คนหน้าเหมือนไอ้กันถอยหลบ
 
“เพลาประชุมเช้านั้นอีกเนิ่นนานครัน แต่เพลาการรับรสหวานจากดอกลีลาวดีนั้นยังมิอิ่มใจเรา”

“หาจำต้องเป็นพระราชภาระแก่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทไม่ ข้าฝ่าพระบาทนี้จักเป็นธุระนำพาดอกลีลาวดีนั้นมาทูลถวายแก่พระองค์เอง” ตรัสคำหนึ่งซึ่งหาได้ต้องพระทัยพระเจ้าอยู่หัวอนันตราชไม่ จึ่งแสร้งตีสีหน้าพิโรธ

“การอันเราละริมฝีปากน้องท่านหมายจักหาสิ่งทดแทนอื่นนั้นมาปลอบใจตัว แต่น้องเรากลับสำแดงตัวเป็นธุระนำมานั้นเหมือนห้ามเสือไม่ให้ลิ้มรสเนื้อสมันแต่นายพรานจักเป็นผู้แล่เฉือนแลโยนให้ จักเหลือรสหวานสดอันใดจากการมิได้ฉกชิมด้วยริมฝีปากตน”

สีหน้าอับจนคำเหมือนเป็นชัยชนะของวาทะเกี้ยวพาของพระเจ้าอนันตราชสำแดงดั่งนั้นแล้ว กำลังจักขยับพระวรกายเข้าสวมกอดปลอบตามวิสัยปกติยามเมื่อสิ้นคำโต้ตอบ แต่พระเจ้าวัชรโกมลรีบทรุดกายลงจากพระที่นั่งบัลลังก์ทอง ก้มพระเกศาแนบพื้น พระหัตถ์ทั้งสองสัมผัสฉลองพระบาทแผ่วเบา

“หากข้าฝ่าพระบาทมิได้เป็นธุระนำของซึ่งอยู่ในอำนาจพระราชสำนักของเกล้ากระหม่อมมาทูลถวายตามขนบธรรมเนียมประเพณีของข้าราชสำนักแล้วไซร้ ก็เหมือนข้าฝ่าพระบาทฝืนกฎมนเทียรบาล กระทำการให้ระคายเบื้องพระยุคลบาล ต้องอาชญามิพ้นแน่"

แววพระเนตรฉงนสนเท่ห์เหลือล้ำผุดอยู่บนพระพักตร์ซึ่งคล้ายกับมาตะ พระขนงขมวดมุ่น เรื่องหยอกเย้าอันตามประสาคู่ครองซึ่งพระองค์ก่อ บัดนี้ส่งให้อีกฝ่ายดำริเป็นจริงจังดั่งนั้นจึ่งให้รู้สึกผิดมหันต์ในพระหทัย

“วัชรโกมลเอย พี่นี้...”

“ขอเพลาเพียงสักครู่หนึ่งเถิด ข้าฝ่าพระบาทนี้จักนำมาถวายมิช้าที” ดวงพระพักตร์ซึ่งก้มชิดพื้นอยู่นั้นทำให้พระเจ้าอนันตราชมิอาจเห็นว่า คำซึ่งคู่ครองกล่าวนั้นเป็นจริง ฤา หยอกล้อ จึ่งอ้ำอึ้งอึดอัด

“ทูลกระหม่อมวัชรโกมล!!!” วายุข้าคนสนิทอุทานเสียงดังลั่น

“จงเงียบคำเจ้าบัดเดี๋ยวนี้ หามีมรรยาทไม่ อยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจักกล่าวคำใดขัดขึ้นรวดเร็วดั่งนี้สมควรอยู่ ฤา วายุ” วัชรโกมลหันพระพักตร์ติติงข้ารับใช้รวดเร็วมีพิรุธ แต่พระเจ้าอนันตราชนั้นดั่งน้ำท่วมพระโอษฐ์ คำซึ่งตนตรัสลุกลามเป็นเรื่องใหญ่โตจนกระเทือนถึงบุคคลอื่นเสียแล้ว

ระหว่างบรรยากาศอันน่าอึดอัด พระเจ้าวัชรโกมลเร่งถวายทูลลารวดเร็ว มิทันฟังพระดำรัสทัดทานอันใด เสด็จพระราชดำเนินออกพระทวารตรงไปยังต้นลีลาวดีซึ่งอยู่ด้านท้ายตำหนัก วายุรีบติดตามมาด้วยสีหน้าซีดเผือด พจน์ตัดสินใจตามไปด้วยสังหรณ์ใจบางอย่าง ไอ้กันยังคงปิดปากเงียบเช่นเคย

แสงอรุณรุ่งบัดนี้เฉิดฉายยิ่งกว่าเมื่อแรกเจอ ต้องกระทบกิ่งใบและดอกขาวของลีลาวดีเพลิง หากมองเพียงภายนอก ต้นลีลาวดีทมิฬล้วนเหมือนกับต้นไม้ทั่วไปเป็นปกติ แต่พจน์รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้คืออาวุธร้ายที่เกือบทำลายชีวิตอาพล และตอนนี้ตนรู้แล้วว่าทำไมพระเจ้าวัชรโกมลถึงห้ามปรามพระเจ้าอนันตราชไม่ได้ดอมดมดอกมีพิษนี้ ความสงสัยอีกอย่างหนึ่งคือ แล้วทำไมพระองค์ไม่บอกเรื่องอาวุธร้ายนี้ให้ทรงทราบ หรือว่าวัชรโกมลไม่รู้ถึงอันตราย แต่สีหน้าพรั่นพรึงนั้นยากเหลือเกินว่าพระองค์ไม่ล่วงรู้

“ทูลกระหม่อม พระเจ้าข้า ได้โปรดอย่าสัมผัสดอกปีศาจนั่นเป็นเด็ดขาด” วายุที่บัดนี้ร่ำไห้น้ำตานองหน้า เสียงสั่นเครือร้องห้ามปรามนายตัว “พระองค์รู้แน่แก่พระหทัยแล้วว่า กลอันพระอัครมเหสีหมายใจจักฉุดคร่าชีวิตของพระองค์ยืนยงคงต้นอยู่เบื้องหน้า โปรดตรัสให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททราบเภทภัยนี้เถิด”

“วายุเอย” สีหน้านิ่งมิได้อาลัยหรือหวั่นเกรงอันใดสถิตอยู่บนใบหน้าคล้ายพจน์ “คำเจ้านั้นต้องใจเรานักคราเมื่อแรกรู้ภัยอำมหิต แต่บัดนี้ข้ามองเห็นบางสิ่งซึ่งเป็นอันตรายใหญ่หลวงยิ่งกว่าชีวิตเรา นั่นคือ มหาชีวิตของพระเจ้าอยู่หัว มนตราปีศาจถูกปลุกขึ้น ณ ใจกลางมหาอาณาจักร รุกล้ำราวกับคลื่นน้ำถาโถมกัดเซาะฝั่ง เจ้ายังมองมิเห็นอีกหรือ มหาอาณาจักรซึ่งร่มเย็นนับแต่ก่อตั้งบัดนี้ถูกอำนาจมืดจากทิศตะวันออกแฝงเร้นคุกคาม สิ่งอันทำให้พระเจ้าอยู่หัวปริวิตกจนมิอาจบรรทมหลับคงมิพ้นข่าวภัยมืดนี้”

“การอันใดซึ่งอยู่ในพระหทัยนั้นโปรดระงับยับยั้งเสียเถิด หาไม่วายุจักเร่งไปทูลถวายพระเจ้าอยู่หัวบัดเดี๋ยวนี้” วายุร่างน้อยทรุดกายเหมือนสิ้นเรี่ยวแรง

“เราดำริตริตรองจงดีแล้ว จำเราจักยอมทอดกายแลชีวิตเป็นหลักฐานสำคัญ อันพิสูจน์ว่าภัยอันตรายดำมืดนั้นมาสู่อาณาจักรอนันตาทมิฬแล้ว”

“ทูลกระหม่อม!!!” บัดนี้หัวใจของวายุเหมือนกับดิ้นแดดับในทันใด เอื้อมมือมาฉุดรั้งข้อพระบาทของนายตัวห้ามปราม

“ข้าหาได้อับจนตามกลลวงของพระอัครมเหสี แลอาลัยในชีวิตตัวไม่ แต่จักสละกายไว้เป็นเครื่องสัญลักษณ์ภัยคุกคามจากจอมปีศาจ ปล่อยเราเถิดวายุ วิถีทางนี้เราเลือกโดยใจบริสุทธิ์แล้ว” วายุส่ายหน้านองน้ำตา พระเจ้าวัชรโกมลผินพระพักตร์สู่เบื้องทิศซึ่งพระเจ้าอนันตราชประทับอยู่ในพระที่นั่งปราสาท คุกพระชานุพร้อมพนมหัตถ์เหนือเกศา

ข้าพระองค์สิ้นบุญที่จักคอยถวายการรับใช้ใต้ฝ่าพระบาทแต่เพียงเท่านี้ หากภพภูมิหน้ามีจริงดั่งคำกล่าว ขอให้เราสองได้สบพบเจอกันอีกครา มาตรแม้นมีมหานทีสีทันดรมาขวางกั้นอยู่เบื้องหน้า จงทลายลงเช่นผุยผง ขอจงนำเรามาสู่ครองคู่ทุกชาติภพไป

“ข้าฝ่าพระบาทนี้ยอมตายแทน อย่าได้สละพระองค์เองเลย” เสียงกรีดร้องร่ำไห้ดั่งแทรกอากาศนิ่งสนิท

“อย่าขัดขวางเราเลย วายุ เทพยดานี้จงเป็นพยาน” วัชรโกมลมองแสงอรุณเหนือท้องฟ้าใสกระจ่าง ยกพระหัตถ์ทำอาศิรวาท


“หากมิมีผู้ใดในพิภพ
จักสยบมารร้ายให้สูญสิ้น
ขอสละกายม้วยด้วยชีวิน
ถมลงดินฝังไว้ใคร่สาบาน


เกิดภพหน้าฉันใดใจพิสุทธิ์
เป็นมนุษย์เดินดงคงสืบสาน
ไกลสุดหล้า ‘ข้ามพิภพ’ รบรอนราญ
ครอง ‘ดวงมาลย์’ นพมณียอดตรีคูณ”


ตรัสจบจึ่งเอื้อมพระหัตถ์โน้มเหนี่ยวกิ่งลีลาวดีเพลิงให้ลงต่ำ หมายใจดอกสีขาวปลายยอดนั้นแล้วหลับพระเนตร เสียงห้ามปรามของวายุเหมือนดังสะท้อนอยู่ไกลแสนไกล เลื่อนพระนาสิกจรดปลายกลีบขาวสูดกลิ่นหอมนั้นคราหนึ่ง แล้วจุมพิตแนบไว้บนดอกปีศาจนั้น ฉับพลันกลีบสีขาวราวปุยนุ่นก็แปรเปลี่ยนเป็นแดงดั่งโลหิต ความรู้สึกร้อนราวกับเพลิงเผาผุดขึ้นในกาย พระเจ้าวัชรโกมลล้มลงแนบพื้นหญ้า พระโลหิตสีแดงชาดสาดกระเซ็นออกจากพระโอษฐ์ วายุกรีดร้องราวกับโลกล่มสลายอยู่ตรงหน้า

ในวินาทีใกล้แตกดับ พระเจ้าวัชรโกมลจึ่งเอื้อมพระหัตถ์สั่นเทาปลดมณีมรกตออกจากพระนลาฏก่อนจะฝังกลบไว้ใต้โคนต้นลีลาวดี สีดวงพระเนตรน้ำตาลเข้มเขม้นมองพจน์ชั่วขณะ พระอัสสุชลสีเลือดหลั่งรินพร้อมกับสิ้นพระชนม์ในทันใด

พจน์มองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยสีหน้าว่างเปล่าจนไอ้กันสัมผัสแขนถึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่ตนฝัน

“อัญมณีที่มึงเห็นและถูกฝังไว้ใต้ต้นลีลาวดีเพลิง รู้จักกันในนามว่า ‘อนันตวัชรมรกต’ เป็นสิ่งล้ำค่าหนึ่งในเก้าซึ่งทุกเผ่าพันธุ์...”

“เรื่องที่มึงเล่าคือความจริง ตำนานซึ่งไม่เคยถูกบันทึกไว้” พจน์มองดูวายุค่อยพยุงร่างพระเจ้าวัชรโกมลไว้แนบอก “และทำไมกูจะไม่รู้จักอัญมณีนั่น เพราะกูฝันเห็นสิ่งนั้นในอดีตชาติของกูนับครั้งไม่ถ้วน”


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3297591#msg3297591)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๖ อนันตวัชรมรกต ๑๐๐% (๒๔/๐๑/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 24-01-2016 14:24:37
โอยยย ขนลุกกก
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๖ อนันตวัชรมรกต ๑๐๐% (๒๔/๐๑/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: runtothemoon ที่ 24-01-2016 15:57:36
เป็นตอนที่บรรยายได้ดีเลยค่ะรับรู้ถึงอารมณ์ของตัวละครเลย สรุปแล้วพระเจ้าวัชรคืออดีตชาตินั่นเอง(ใช่มั้ย555555) แรงอธิฐานยึดมั่นมาก ซึ้งแทนเลยแอบน้ำตาคลอนิดๆตอนพระเจ้าวัชรขอสละตัวเองแทนไม่บอกให้องค์ท่านรู้ความจริง รักเขามากใช่มั้ยยT_______T แต่แหมมมม่องค์ท่านชาตินี้หยอดเก่งจริงๆแถมมือไวปากไวหอมนั่นจูบนี่เขาตลอดไม่แพ้มาตะเลยจริงๆ แล้วที่น้องพจน์บอกว่าทำไมจะไม่รู้จักเพราะฝันถึงตลอด แสดงว่ารู้อยู่ใช่มั้ยแต่ไม่ได้ติดใจสงสัยคิดว่าฝัน? อยากให้น้องกลับไปเจอมาตะไวๆ ให้มาตะช่วยปลอบขวัญ(?) เลิกหมั่นไส้มาตะแปบบบบบบ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๖ อนันตวัชรมรกต ๑๐๐% (๒๔/๐๑/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Min*Jee ที่ 24-01-2016 16:25:55
หืมมมมมมมมม เป็นอย่างนี้นี่เอง รักกันมาหลายภพหลายชาติ คงพรากจากกันมาหลายชาติเหมือนกัน
ชาตินี้ขอให้สมหวังแบบไม่พรากจากกันอีกเลยนะ
อ่านตอนนี้แล้วคิดว่าพจน์ต้องจำอะไรได้เยอะขึ้นแหละ อาจจะเป็นตัวเองในอดีตชาติ
รอตอนต่อไปเนาะ คิดถึงมาตะแล้วววว
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๖ อนันตวัชรมรกต ๑๐๐% (๒๔/๐๑/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 24-01-2016 18:24:41
 :mew6:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๖ อนันตวัชรมรกต ๑๐๐% (๒๔/๐๑/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 24-01-2016 20:09:33

อดีตชาติสินะคะ อืมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๖ อนันตวัชรมรกต ๑๐๐% (๒๔/๐๑/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 25-01-2016 19:46:14
โรแมนติกมาก รักกันมาหลายภพหลายชาติเลยใช่ไหมค่ะ

แล้วมาตะกับพจน์จะสมหวังอยู่เคียงคู่กันตลอดไปไหม ยิ่งอยู่ต่างภพกันอีก
สงสารทั้งคู่  ลุ้นตอนต่อไปมากๆค่ะ

ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๖ อนันตวัชรมรกต ๑๐๐% (๒๔/๐๑/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 26-01-2016 01:52:59
รู้สึกว่าเวลาอ่านต้องแปลไทยเป็นไทยอีกที พจน์ก็รู้ถึงอดีตชาติของตัวเองแล้วสินะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๗ เพลิงสิเน่หา ๕๐% (๐๑/๐๒/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 01-02-2016 19:04:44
บทที่ ๑๗ 


เพลิงสิเน่หา



ภาพวาระสุดท้ายของพระเจ้าวัชรโกมลในอ้อมกอดวายุสลายกลับกลายเป็นควันขาวเฉกเช่นทัศนียภาพรุ่งอรุณโดยรอบดุจหมอกยามเช้าจนรางเลือนปรากฏเป็นห้องพักคนไข้สู่สายตา อุปกรณ์ทางการแพทย์ล้มระเนระนาดเสียหายรวมถึงเศษกระจกประตูระเบียงกระจายเกลื่อนกลาด อาธนพลนอนอยู่บนเตียงคนไข้ และวินาทีที่พจน์มองเห็นโลกปัจจุบันชัดเจน อาพลก็ลืมตาขึ้นเช่นเดียวกับร่างกายที่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว นั่นเป็นสัญญาณว่าทุกอย่างที่พจน์ฝ่าฟันภัยอันตรายประสบผลสำเร็จ

“คนไข้ฟื้นแล้วค่ะ”

พยาบาลสาววัยกลางคนกรีดร้อง เรียกสติให้ภพดนัยและดาราตื่นจากนิทราโดยเร็ว ทุกคนต่างเข้าช่วยพยุงคนเจ็บ พยาบาลอีกคนช่วยถอดเครื่องช่วยหายใจ สีหน้าตื่นเต้นระคนตกใจปรากฏแก่คนทั้งสี่เมื่อเห็นความพินาศย่อยยับจากมนตราลีลาทมิฬ ตอนนี้กระแสไฟฟ้ากลับมาทำงานอีกครั้งเผยให้เห็นความเสียหายของแรงระเบิดจากอำนาจมืด แต่อาการฟื้นคืนจากคำสาปร้ายของอาพลกลับดึงความสนใจของภพดนัยและดาราไปเสียสิ้น

“อาพล อาพล ฟื้นแล้ว” เด็กสาวร่ำไห้อีกครั้งเช่นเดียวกับผู้เป็นบิดา ธนพลขยับพิงหมอนรองหลังเหลียวดูความพินาศของห้องพักรวมถึงสีหน้าโล่งอกของทุกคน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า

“ผม...เป็นอะไรหรือครับ พี่ดนัย”
 
“นายเจ็บตรงไหนหรือเปล่า รีบบอกพี่” ภพดนัยลูบคลำเนื้อตัวน้องชายเพียงคนเดียวน้ำตาคลอ
 
“ดิฉันจะรีบไปตามหมอค่ะ รอสักครู่นะคะ” พยาบาลหนึ่งในสองกระวีกระวาดหุนหันทำตามคำ ส่วนอีกคนช่วยวัดชีพจรคนไข้โดยด่วน สีหน้าซีดขาวก่อนหน้าปรากฏเลือดฝาดอีกครั้งดูสับสนกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า และทันทีที่ดวงตาเข้มผสานมองพจน์ ชายหนุ่มผู้เป็นอาก็พร่ำพูดคำบางอย่างที่ทำให้พจน์ยิ้มกว้างตอบกลับ

“ไม่เจ็บครับ แต่ดูเหมือนผมฝันว่าได้ไปผจญภัยกับหลานชายในที่ห่างไกลแสนไกลแห่งหนึ่ง ใช่ไหม พจน์”

“อย่าพูดล้อเล่นตอนนี้สิ พวกเราทุกคนเป็นห่วงแกนะ อยู่ๆก็เป็นแบบนี้” ภพดนัยสะอื้นไห้

สักพักหนึ่งกลุ่มคณะแพทย์ผู้รักษาต่างเร่งฝีเท้ากันเข้ามาตรวจอาการของอาพล และพบความเป็นปกติทุกอย่าง อวัยวะภายในซึ่งบอบช้ำจากอิทธิฤทธิ์ของจุมพิตสีเลือดคืนกลับดั่งถูกถอนพิษออก สร้างความสับสนงุนงงแก่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างยิ่ง ในระหว่างนั้นพี่สุนิสาวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ทันทีที่เห็นชายคนรักหัวเราะพร้อมแจกลักยิ้มให้แก่สีหน้างุนงงของหมอและพยาบาลอยู่ เธอก็โผเข้ากอดธนพลอย่างไม่อาจหักห้ามการกระทำและความรู้สึกได้

พจน์ยืนมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลายหนึ่งในนั้นคือ ความโล่งอกและดีใจ

“ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว งั้นกูขอไปทำธุระบางอย่าง” ไอ้กันแตะไหล่พจน์กระซิบบอก

“มึงรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าตำนานลีลาวดีเพลิงคือเสี้ยวหนึ่งในอดีตชาติของกู” พจน์จับแขนคนตัวสูงรั้งไว้

“กูขอให้คำสัตย์ หากกูรู้แม้เพียงนิดว่าเรื่องราวนั้นเกี่ยวข้องกับมึง กูคงจะบอกความจริงโดยไม่มีข้อแม้ เพราะอำนาจย้อนอดีตชาติถูกนิรมิตขึ้นจากผู้ร่วมชะตาและเหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นผู้กำหนด และนั่นคือครั้งแรกที่กูได้เห็นและจดจำได้ว่า กูเองเป็นผู้....”

อาการอ้ำอึ้งทำให้พจน์ฉุกสงสัย สีหน้าเจ็บปวดลึกล้ำเหมือนครั้งเมื่อมันขโมยจูบพจน์สะท้อนกลับ

“นั่นคืออดีตชาติของกูจริงๆสินะ” หยาดเลือดหลั่งไหลจากดวงตาสีน้ำตาลของพระเจ้าวัชรโกมลแจ่มชัดในใจ นิธิพยักหน้ายอมรับในความคิดของพจน์ บางอย่างในกายยืนยันคำตอบนี้โดยไม่ต้องอาศัยท่าทีของไอ้กันย้ำซ้ำสอง

“กูฝันเห็น อนันตวัชรมรกต มาตลอดตั้งแต่จำความได้” เครื่องประดับหน้าผากทรงหยดน้ำสีทองว่างเปล่ายังคงอยู่ในมือพจน์  “แต่ไม่นึกว่านั่นเป็นเสี้ยววาระสุดท้ายในอดีตชาติของกู กูรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในตัว กูได้ยินเสียงปริศนา สามารถข้ามพิภพ หรือแม้กระทั่งระลึกชาติได้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันทำให้กูอยากหลับตาลบความจำกลับไปในวันที่กูไม่ต้องเจอกับเรื่องเหนือธรรมชาติพวกนี้”

“มึงห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้หรอก เพราะมึงเป็นคนสำคัญที่สุดในโลกใบนี้อย่างที่กูเคยบอก มีบางอย่างที่กูต้องไปตรวจสอบให้แน่ชัด ระหว่างนี้จะมีคนดูแลคุ้มกันมึง นั่นทำให้กูเบาใจส่วนหนึ่ง” ไอ้กันพูดรวดเดียว

“หากมีอันตรายสิ่งใดเกิดขึ้นอีก จงหลับตาและนึกถึงกู แล้วกูจะกลับมาคุ้มครองป้องกันมึงจนลมหายใจสุดท้าย จำเอาไว้”

ท่าทีกระสับกระส่ายร้อนรนของไอ้กันเหมือนเกิดเหตุไม่ชอบมาพากลบางอย่าง ส่วนหนึ่งในใจพจน์ไม่อยากให้มันต้องไปเผชิญอันตรายใดๆอีก รวมถึงมีคำถามมากมายในห้วงความคิดที่ต้องการคำตอบจากคนตรงหน้า

จอมมาร คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุอันตรายทั้งหมดใช่ไหม”

ไอ้กันเม้มปากแน่น พจน์กำหมัดจนเส้นเลือดขึ้นหลังฝ่ามือทั้งสอง

“กูไม่อยากเชื่อเลยว่าจะต้องพูดคำนี้ มันอยู่ที่ไหน

“มึงยังไม่พร้อมที่จะเผชิญกับจอมปีศาจ พลังที่มึงครอบครองยังต้องอาศัยการฝึกควบคุม”

“ถ้างั้นมึงต้องช่วยฝึกกู มึง...มีพลังนั่น มึงรู้ว่าจะต้องทำยังไง”

“กูรับปาก แต่ตอนนี้อยู่กับครอบครัวมึงก่อน กูต้องไปแล้วจริงๆ หลับตาและนึกถึงกู เข้าใจนะ” เมื่อพจน์พยักหน้าไอ้กันก็ถอดสายตาผละเดินออกจากห้องพักคนไข้ทันที

“เดี๋ยวๆ ไอ้...”

หลังเสียงปิดประตูศาสตราจารย์วิชัยและชาญณรงค์จึงเปิดเข้ามารวดเร็วราวลมพัด คุณปู่เหลียวมองลูกชายคนเล็กที่เพิ่งฟื้นคืนด้วยสีหน้าโล่งอก แต่แววตาวิตกกังวลกลับเป็นสิ่งที่สัมผัสรับรู้ได้ทันทีเมื่อท่านสบมองพจน์

“แกปลอดภัยดีนะ ตาพจน์”

เป็นคำถามที่สร้างความงุนงงในใจหลานชายเช่นเดียวกับภพดนัย ดารา และคณะแพทย์พยาบาล

“ค...ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบ สายตาหลังแว่นทรงกลมเพ่งพินิจเนื้อตัวพจน์รวดเร็วก่อนจะคลายสีหน้าเครียด จากนั้นท่านจึงสำรวจอาการของธนพล ไม่ได้พูดอะไรเมื่อเห็นความเป็นปกติทุกอย่าง แต่มีคำแสดงเจตจำนงหนึ่งที่ทำให้ภพดนัยต้องถามกลับรวดเร็วดังออกมาจากปากของผู้เป็นศาสตราจารย์

“เราต้องไปที่อยุธยาโดยเร็วที่สุด”

“ทำไมหรือครับ”

สีหน้าครุ่นคิดของชายสูงอายุเหลือบมองพจน์ครั้งหนึ่งก่อนจะส่ายหน้าเชื่องช้า

“ผมอยากลองตรวจเช็คอาการภายในของผู้ป่วยให้แน่ใจอีกครั้งนะครับ ก่อนที่เราจะวางใจให้ออกจากโรงพยาบาลได้” หัวหน้าแพทย์อาวุโสกล่าวนอบน้อมกับคุณปู่ “อาจจะสักวันหรือสองวัน เหตุลมพัดรุนแรงสร้างความเสียหายแก่อาคารและเครื่องมือแพทย์จนไฟฟ้าดับเกือบหนึ่งชั่วโมง ทำให้ทางโรงพยาบาลต้องขอแจ้งให้อนุญาตย้ายคนไข้ไปรักษาโรงพยาบาลในเครือที่ใกล้ที่สุดโดยด่วน ท่านคงเห็นชอบนะครับ”

นานนับนาทีก่อนศาสตราจารย์วิชัยจะพยักหน้า

“ผมเป็นอะไรหรือครับคุณพ่อ แล้วผมก็ฝันว่า...”

“คำตอบทั้งหมดอยู่ที่เมืองเก่าอยุธยาแห่งเดียวเท่านั้น เอาเป็นว่าทำตามที่หมอบอกแล้วกัน” ศาสตราจารย์ตัดสินใจเด็ดขาด มีอะไรอยู่ที่อยุธยาอย่างนั้นหรือ แล้วกิจหลังจากท่านผละจากเมื่อช่วงหัวค่ำนั้นคือสิ่งใด รวมถึงสีหน้าเครียดเมื่อสบตาพจน์ เขาได้แต่ภาวนาว่าเหตุการณ์อันตรายเหนือธรรมชาติคงไม่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเขาอีก ในเมื่อปีศาจมนตราทมิฬได้ถูกปราบจนสิ้นแล้ว
 
ท่ามกลางความคาดหวังอันเรืองรองของพจน์นั้นมีแววตาสีฟ้าปรากฏแสงสะท้อนชั่ววินาทีเดียวก่อนจะลับเลือนหายจนไม่มีใครในที่นั้นสังเกตเห็น

***************************************

พจน์เขียนใบลาเรียนฝากให้ปาล์มทันทีเมื่อถึงวันรุ่งขึ้น เหตุการณ์สะเทือนใจที่เกิดกับครอบครัวพจน์เป็นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ รายละเอียดตีแผ่เชื่อมโยงเกี่ยวกับเหตุการณ์น้ำท่วมโลกซึ่งคุณปู่เป็นผู้ประกาศอย่างน่าประหลาดใจ สีหน้านิ่งเฉยของเปรมณัฐคือใบหน้าเดียวกับที่มันแสดงให้พจน์เห็นในห้องสมุดระหว่างกำลังพูดคุยกับไอ้กัน พจน์ไม่รู้จะอธิบายเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดกับไอ้น้ำ และอาพลให้คนตรงหน้ารู้ได้อย่างไร จึงทำได้แค่ทักทายและฝากจดหมายลาสองฉบับรวมของดาวด้วยไว้กับมือหนา
 
“ไอ้น้ำเป็นไงบ้างวะ”

“มันก็ลาเรียนเหมือนมึง คงต้องพักอีกสักวันสองวัน” ปาล์มใช้สายตาเค้นบางอย่างจากปากพจน์ “แล้วอามึงล่ะ”

“ฟื้นแล้วว่ะ แต่กูยังอดห่วงไม่ได้ ก็เลยลา ถ้างั้นกูไปก่อนนะเว้ย” มันแต่งตัวอยู่ในชุดนักเรียนเรียบร้อยแล้ว เหลียวมองประตูรั้วผ่านเข้าไปในบ้าน ก่อนจะกลับมามองพจน์ด้วยสายตาคาดคั้นเหมือนเดิม คิ้วขมวดมุ่น

“มึงกับไอ้เด็กใหม่...”

“ไม่มีอะไรนะเว้ย” พจน์หลุดปฏิเสธรีบร้อน สีหน้าตึงบอกว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อ

“พี่พจน์คะ” ดาวเปิดกระจกรถเรียกพี่ชาย

“กูต้องไปแล้วว่ะ”
 
พจน์จากมาพร้อมดวงตาคาดหวังบางอย่างของไอ้ปาล์มติดอยู่ในห้วงสมองตลอดทางจนถึงโรงพยาบาล

ผลการตรวจร่างกายของอาธนพลพบว่าปกติดีถึงดีมาก จนแม้แต่แพทย์ผู้รักษาก็ไม่อาจชี้แจงให้ศาสตราจารย์วิชัยและครอบครัวเข้าใจทะลุปรุโปร่งได้ คุณปู่ไม่ได้ซักถามอะไรมากนัก ภพดนัยพร่ำคำขอบคุณ พร้อมบอกว่าเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างกลับเป็นปกติก็ย่อมเป็นสัญญาณที่ดีแล้วไม่ใช่หรือ

พจน์ก็อยากให้เป็นเช่นนั้น แต่ในห้วงความคิดสัมผัสถึงบรรยากาศเย็นยะเยือกเหมือนมีกลุ่มหมอกดำทมิฬก่อตัวอยู่ไกลแสนไกล
 
ตลอดทั้งวันเด็กหนุ่มตาคมนั่งเฝ้ามองอาพลนอนหลับอยู่บนเตียงเพราะฤทธิ์ยานอนหลับ คำพูดคุยก่อนหน้าอาพลจะหลับทำให้พจน์รู้ว่า ความฝันซึ่งอาพลประสบระหว่างต้องคำสาปมนตราลีลาทมิฬล้วนยืนยันในสิ่งที่พจน์ได้เจอ เขาผละจากห้องคนไข้ทิ้งพี่สุนิสา คุณพ่อและน้องสาวไว้คอยเฝ้า อ้างว่าต้องการสูดอากาศ จึงเดินไปทางชั้นดาดฟ้า ทันทีเมื่อผลักประตูลมพัดหนาวเย็นยะเยือกสาดใส่พจน์ กลุ่มเมฆดำทะมึนตั้งเค้าอยู่ทางทิศตะวันตกบดบังแสงสุดท้ายของวัน

ไอ้กันหายตัวไปเลย มีคำถามมากมายวิ่งวนเหมือนสายน้ำรินไหลหาทางออกไม่ได้ รวมถึงคุณปู่และชาญณรงค์ด้วย คำประสงค์ของท่านที่ต้องการไปอยุธยาแน่วแน่ยังติดใจพจน์อยู่

“มึงมีอะไรจะพูดกับกู”

เสียงคุ้นเคยดังอยู่หน้าประตูชั้นดาดฟ้า ตรงจุดที่พจน์เฝ้ามองบรรยากาศมืดสลัวนั้นถูกบดบังด้วยบันไดหนีไฟ และทันทีเมื่อพจน์พยายามมองตามคนพูดเด็กหนุ่มร่างสูงผิวขาว หน้าตี๋ ไอ้ปาล์ม เปรมณัฐ

“มึงชอบไอ้พจน์ ใช่ไหม” อีกเสียงที่พจน์จำได้ดีคือไอ้พีท พีธนะ เด็กหนุ่มสองคนยังอยู่ในชุดนักเรียนปล่อยชายเสื้อ คลุมทับด้วยเสื้อกันหนาวหนังสีดำ

“....”

“ไม่ตอบ แปลว่าใช่สินะ” สีหน้ายิ้มแย้มอวดฟันขาวทุกครั้งเมื่อเจอพจน์ บัดนี้มีแต่แววสีเครียดเท่านั้นขยับไหวมองหน้าไอ้ปาล์มไม่วางตา

“มึงจะอยากรู้ไปทำไม” ดวงตาเล็กเสพิจารณายอดตึกชั้นใกล้เคียง

“เพราะกูจะจีบมัน และถ้ามึงไม่ใช่อย่างที่กูคิด ก็เลิกเป็นหมาห่วงกระดูกสิวะ”
 
“เหอะ หมาเลยหรือวะ” รอยยิ้มซึ่งนานครั้งจะเห็นปรากฏแต่ไม่ใช่เพราะยินดี แววตาของไอ้ปาล์มบอกว่ามันไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง ไม่แปลกใจในคำพูดของไอ้พีท พจน์รู้มาสักพักแล้วว่าท่าทีเอาอกเอาใจผิดปกตินั้น แสดงออกว่ามันคงจีบพจน์แน่นอน ระหว่างที่เด็กหนุ่มตาสีน้ำตาลกำลังตัดสินใจเผยตัวเพื่อยุติการสนทนาลับหลังตน สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ไอ้ปาล์มผู้ไม่เคยมีชื่อเสียเรื่องชกต่อยกับใคร อีกทั้งด้วยนิสัยนิ่งเงียบ รวมกับฐานะกรรมการสภานักเรียน ภาพที่เห็นจึงอยู่เหนือความคิดของพจน์ ไอ้ตี๋หล่อเงื้อง่าหมัดซัดเข้ากรามขวาของไอ้พีท จนหน้าสีแทนเปลี่ยนเป็นแดงทันควัน

“ไอ้เชี่ย มึงจะลองดีกับกูใช่ไหม” คำตวาดของไอ้พีทดังลั่น เช็ดเลือดมุมปากแล้วกำหมัดใหญ่จะชกกลับ แต่ไอ้ปาล์มรับแรงมือไว้ได้ ใช้เท้าขวาถีบเข้าที่ท้องของอีกฝ่ายแล้วเตะซ้ำเข้าชายโครงเสียงดังปึก

“มึงอย่าเที่ยวไปว่าใครเป็นหมาอีก เพราะกูไม่รับประกันว่า มันจะสั่งสอนมึงเหมือนแค่กูทำ” สีหน้านิ่งแต่สายตาเชือดเฉือนแสดงให้เห็นว่าเปรมณัฐโมโหสุดขีด

ไอ้พีทได้ฟังคำดูถูกนั้นเหมือนโดนเหยียบขยี้หัวใจ ใช้หน้าแข้งตวัดใส่ขาไอ้ปาล์ม จนมันล้มลงหงายหลัง ลุกขึ้นนั่งคร่อมเด็กหนุ่มหน้าตี๋แล้วซัดหมัดคืน พจน์เห็นเหตุการณ์ลุกลามบานปลาย รีบจะเข้าไปดึงรั้ง

“เออ กูชอบมัน ชอบมันมานานแล้วด้วย” เปรมณัฐเสยกำปั้นใต้คางเด็กหนุ่มนักบาสจนอีกฝ่ายผงะหงายหลัง พร้อมปรากฏสีหน้าเจ็บปวดสุดทรมานเมื่อได้ยินคำสารภาพนั้น “ไอ้พจน์ คือ ดวงอาทิตย์ของกู

พจน์รู้สึกเหมือนโดนน้ำเย็นสาดใส่ตัวชาวาบ ทุกสรรพเสียงเงียบงันหลังจากคำพูดของเปรมณัฐ สติของพจน์เหมือนหลุดลอย หัวอกข้างซ้ายเต้นถี่เร็วจนรู้สึกเจ็บ ไม่ใช่เพราะปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายแต่เป็นความรู้สึกในใจนั้นต่างหาก น้ำตาร้อนเอ่อท้นขอบริมจนภาพพร่าเลือน เมฆหมอกสีขาวจากท้องฟ้าพัดผ่านลงสู่ที่แห่งนั้นจนสลัวลาง นำพจน์ข้ามพิภพมาสู่ห้องนอนเรือนไม้อันคุ้นชิน เตียงสี่เสาล้อมรอบด้วยม่านขาวขนาบข้างด้วยศาสตราวุธดาบติดผนัง และมาตะผู้ซึ่งกำลังนั่งอยู่บนตั่งขีดเขียนบางอย่างลงบนกระดานชนวนตวัดสายตาปีติยินดีเมื่อแรกเห็นพจน์ ผลุดลุกถลาคว้าตัวกอดไว้ในอ้อมแขนแกร่ง

“ภัทรพจน์น้องท่าน” ดวงหน้ารูปงามดุจเดียวกับพระเจ้าอนันตราชคลอเคลียพจน์ พินิจมองคนรักสุดถวิหา “ไยน้องท่านจึ่งร่ำไห้สะอื้น ใครผู้ใดขัดขืนทำอันตรายต้องเนื้อนวลกระนั้น ฤา จงเร่งแจ้งข้ามาเถิด”

“มาตะ เราเจ็บเหลือเกิน” พจน์ปล่อยเสียงครวญสุดทรมานกับความจริงที่เพิ่งได้สดับยินก่อนข้ามพิภพ

กูชอบมัน ชอบมันมานานแล้ว ไอ้พจน์ คือ ดวงอาทิตย์ของกู



50%....TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3311180#msg3311180)

ปล. ขอโทษด้วยที่อัพตอนล่าสุดช้าไป(ไม่)หน่อย  :katai4: ช่วงนี้หน้าที่การงานรุมเร้าครับ แต่ยังไงก็จะหาเวลามาแต่งให้ผู้อ่านติดตามผลงานต่อไปเรื่อยๆ อย่างเพิ่งทิ้งกันไปไหนน้าาาาา ต้องขอโทษอีกครั้งครับ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๗ เพลิงสิเน่หา ๕๐% (๐๑/๐๒/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 01-02-2016 20:26:13

ในที่สุดพจน์ก็รู้ความในใจของปาล์มจนได้...
ไงต่อล่ะเนี่ย? อย่าเปลี่ยนใจจากมาตะเชียวนาน้องท่าน
ไม่ว่าจะมีกี่คนเข้ามา เราก็เชียร์มาตะและภัทรพจน์ได้ดองได้ครองคู่กันเสมอนะ
ตกลงกันเป็นใครกันแน่? จนถึงตอนนี้ก็ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๗ เพลิงสิเน่หา ๕๐% (๐๑/๐๒/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 01-02-2016 21:17:14
สงสารพจน์อีกแล้ว เพิ่งโล่งอกเรื่องคุณอา  แล้วก็มาเจอเรื่องความรักต่ออีก  คงจะสับสนมากๆเลย
ยิ่งแอบชอบปาล์มมาก่อนจะมาเจอมาตะอีก  มาตะก็เหมือนเป็นคนที่อยู่ในความฝัน 
จะข้ามพิภพมาหามาตะเมื่อไหร่ก็ไม่รู้  ไปๆมาๆตลอด
กับคนอื่นพจน์คงไม่รู้สึกอะไรเพราะไม่ได้ชอบ  แต่กับมาตะและปาล์มนี่สิ  จะเลือกรักและอยู่กับคนที่อยู่ในภพไหนดี
ลุ้นมากๆว่าพจน์จะจัดการเรื่องหัวใจยังไง
สนุก ลุ้นมากๆค่ะ ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๗ เพลิงสิเน่หา ๕๐% (๐๑/๐๒/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 02-02-2016 11:52:48
แวะมากอดน้องพจน์  :mew1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๗ เพลิงสิเน่หา ๑๐๐% (๑๘/๐๒/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 18-02-2016 17:18:42
[ต่อ]


ไม่จริง ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่

แต่คำพูดของปาล์มดังแจ่มชัดแม้กระทั่งเด็กหนุ่มเดินทางข้ามพิภพมาแล้วก็ตาม วินาทีนี้พจน์อยากจะมีความสามารถควบคุมพลังเพื่อข้ามพิภพกลับคืนโลกปัจจุบันโดยด่วน เพราะคำถามค้างคาแน่นในอก ทำเอาเขาอึดอันผสมทนทรมานอยากได้ยินคำยืนยันสุดพรรณา
 
‘กูมีคนที่ชอบอยู่แล้วว่ะ’

‘ใครวะ’

‘คนที่กูชอบ เค้าเปรียบเหมือนดวงอาทิตย์’

 
เป็น...เขา อย่างนั้นหรือ ดวงอาทิตย์ของเปรมณัฐ พจน์รีบส่ายหน้ากับอกหนาของมาตะ ฉุกใจให้คนถูกสัมผัสฉงนสนเท่ห์ผสานอนาทรร้อนใจ

“ทวนอัศวาราตรีกาลอันน้องท่านนำสู้แก้กลมนตราคำสาป คืนกลับสู่มือพี่ชายเราโดยมิระคายต้องคม กิจช่วยชีวีคงสมประสงค์น้องท่านดีทุกประการฉะนี้ ฤา มีเหตุอันมิควรบังเกิดขึ้นอีกกระนั้น”

“ไม่ ทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่...” ปลายนิ้วโป้งหนาเกลี่ยเช็ดหยาดน้ำจากดวงตาสีน้ำตาล พร้อมจูบซับให้เหือดหายด้วยริมฝีปากร้อนของมาตะ

“ก่อนลาจากเมื่อราตรีมัชฌิมยาม น้องท่านก็หลั่งน้ำตาลงคราหนึ่ง ด้วยเหตุเพราะเราสองต้องพลัดพราก จึ่งมีแต่ความอาลัยแลสร้างแรงสะเทือนเสมือนหอกดาบพุ่งสู่อกตัวจนมิรู้จักหาสิ่งใดมาเยียวยารักษาได้ แต่ต่อเมื่อน้องท่านหวนคืนสู่อ้อมอกข้าในเพลานี้ กลับร่ำไห้มิต่างจากครานั้น จักด้วยเหตุผลกลใดนั้นสุดรู้ แต่อกข้าอันมิได้รับยาดีอันใดมารักษา เมื่อประสบกับน้ำตาอันเป็นเหมือนอาวุธคมสร้างรอยแผลแก่อกซ้ำอีกหน จึ่งทรมานสุดจะกล่าว วานน้องท่านเอ็นดูข้าเก็บอาวุธอันทรมานทิ่มแทงหัวอกของมาตะนี้ให้พ้นจากดวงใจสักคราหนึ่งเถิด จักเป็นคุณอย่างสูง”

จิตใจอันรุ่มร้อนดั่งเพลิงสุม อยากได้ยินคำยืนยันอันหนักแน่นของไอ้ปาล์มอีกครั้งให้แน่แก่ใจ จนไม่อาจยืนทรงกายอยู่บนพิภพนี้ได้นั้น เพียงประสบยินน้ำคำเฉกวารีเย็นโลมหลั่งดับฟืนเชื้อไฟดั่งนั้น ทำให้สติปัญญาของพจน์สงบนิ่งอย่างประหลาด ทอดสายตาแลมองมาตะด้วยแววมั่นคง เนื้อตัวสั่นเทิ้มระริกไหวกลับคืนปกติดังเก่า
 
“มาตะ”

“อันใด ฤา น้องท่าน”

“ทำไมนายถึงชอบเรา ทั้งที่เราพบกันนับครั้งได้”

พจน์ผละจากอ้อมแขนแกร่ง ทรุดกายอันไร้เรี่ยวแรงลงบนตั่งไม้แกะสลัก หัวใจเจ็บปวดเพราะคำสารภาพของไอ้ปาล์มเริ่มทุเลาเบาบางลง

มาตะขยับกายล่ำสันเปลือยท่อนบน นุ่งห่มเพียงผ้าทอยกลายสีดำนั่งลงเคียงข้างพจน์ ประดับตกแต่งด้วยเข็มขัดทอง กำไลข้อมือ และกำไลรัดต้นแขน กึ่งกลางหน้าผากขีดสีดำรูปหยดน้ำ ลักษณะการแต่งกายในครั้งนี้มีส่วนคล้ายคลึงกับพระเจ้าอนันตราชมิผิดตัว ทำให้ภาพวาระสุดท้ายในอดีตชาติของพจน์หวนกลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง
 
“ข้ามีเรื่องเล่าหนึ่ง จักขอให้น้องท่านช่วยละสิ่งกวนใจไว้สักครู่เพื่อสดับยิน” มาตะกุมมือพจน์ไว้ไม่ห่างตัว สีหน้านิ่งเฉยนั้นไม่ได้อ้อนวอนหรือร้องขอ วินาทีนี้พจน์อยากได้ยินเหตุผลของคนคนหนึ่งที่พูดมาตลอดว่ารักพจน์ทั้งที่เจอกันไม่กี่ครั้ง เพราะกับอีกคนที่รู้จักพบหน้าค่าตากันมาตั้งแต่พจน์จำความได้ ยาวนานนับสิบปี ปิดบังความในใจไว้กับตัวเพื่อที่จะให้พจน์ได้มายินกับตัวเองในวันนี้ มันไม่ยุติธรรมเลยกับหัวใจของเขา ทำไม ทำไม

“อืม”

“มีทารกชายผู้หนึ่งถือกำเนิดในตระกูลขุนนางยศศักดิ์สูง ผู้เป็นบิดามีวิสัยซื่อตรง ซื่อสัตย์ ยึดถือความถูกต้องเป็นมงคลประจำตัว มิต่างจากผู้เป็นมารดาที่เฝ้าถวายงาน ถวายชีวิตเพื่อผืนแผ่นดินยิ่งชีพตัว การมีลูกน้อยสมคะเนเป็นชายดั่งปรารถนาจึ่งสุดแสนยินดียิ่งมิต่างจากครั้นเมื่อได้บุตรโทน ด้วยเหตุเพราะเลยวัยอันจักหวังตั้งครรภ์ในอุทรมาหลายปีแล้วหนึ่ง อีกเพราะมีบุตรแลธิดาพร้อมสรรพแก่การสืบตระกูลหนึ่ง ดั่งนี้จึ่งมิวาดฝันจักได้เชยชมกุมารอันมีลักษณะพิเศษบางอย่าง เพลาคืนหนึ่งก่อนจักล่วงรู้ถึงบุตรจุติลงครรภ์นั้น ผู้เป็นภรรยานิมิตเห็นเทวดารูปองค์งดงามยิ่งล้ำนำไพลินนิลสีมามอบให้ ครั้นตื่นจากฝันจึ่งเล่าให้ผู้สามีฟัง หลังตริตรองด้วยสติปัญญาแล้วเห็นเป็นนิมิตอัศจรรย์ แต่มิได้นำพาผูกใจ

จนกระทั่งคลอดบุตร พร้อมลักษณะผิดประหลาดต่างจากทารกทั่วไป คือ ยามเมื่อนางข้ารับใช้นำน้ำชำระกายซึ่งลอยแต่งกลิ่นด้วยดอกลีลาวดีมาชำระล้าง ก็บังเกิดร้องไห้จ้าเหมือนมีมือล่องหนมาบีบเค้นเช่นนั้นทุกคราไป ผู้เป็นบิดาเห็นเกินสติกำลังตัวจักไขถอน จึ่งชวนพากันไปสู่สำนักเทวาลัยอัปสรเทพ อันเป็นที่พำนักอาศัยของพราหมณ์ทรงศีลบำเพ็ญเพียรผู้หนึ่ง เป็นที่นับถือแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน เมื่อแจ้งความฝันแลเหตุแห่งทุกข์นั้นให้ผู้ทรงเพียรทราบจบ พราหมณ์ผู้เฒ่าจึ่งนิ่งงันมิได้กล่าวความใด จนขุนนางผู้บิดาพนมมือซักเตือน ท่านจึ่งคืนสติ เหลียวแลทารกในอ้อมอกมารดาพลางกล่าวว่า ลักษณะทารกเพศชายผู้นี้มีสง่าราศรีผิดปุถุชนธรรมดาสามัญหนึ่ง ทั้งมีวิสัยประหลาดคือยามเมื่อสัมผัสกลิ่น ฤา แลเห็นดอกลีลาวดี ก็จักร่ำไห้ส่งเสียงร้องเป็นที่ตะขิดตะขวงใจหนึ่ง”

เมื่อได้ฟังมาถึงตรงนี้จิตใจอันว้าวุ่นสับสนของพจน์กลับกระตุกเตือนในทันใด

“อุปนิสัยผิดแผกแปลกมนุษย์ทั่วไปนี้ติดตัวมาแต่แรกเกิด เราพิจารณาด้วยสติปัญญาอันบำเพ็ญเพียรมาช้านานแล้ว แลเห็นเหตุทั้งปวง แต่จักเฉลยไขได้เพียงน้อยเท่านั้น ผู้บิดาได้ยินดังนั้นก็พลันยินดี รีบซักว่า จักมีวิธีสบช่องหาหนทางแก้ไขนิสัยประหลาดนั้นได้ ฤา ไม่ พระอาจารย์ เหตุเพราะนครอันร่มเย็นของเราล้วนมีบุปผาชาติชนิดนี้คือ ลีลาวดี ปลูกอยู่ทั่วทุกสารทิศ จักผินหน้าทอดกายเดินไปหนใดก็ประจักษ์ฉะนี้ จักมิให้ลูกน้อยของข้าพระคุณพบเจอนั้นคงต้องจำขังไว้เป็นภาระทรมานแน่แท้ อนึ่งยามเมื่อได้ร่ำไห้คราใดก็ยากจักปลอบให้คลายลงโดยง่ายต่างจากเมื่อแรกต้น ภาพบุตรอ้าปากร้องรำพันหลั่งน้ำตานั้นทรมานใจข้าพระคุณ แลเมียผู้ให้กำเนิดเป็นทวีคูณ จึ่งประสงค์เรียนถามหาวิธีแก้ไขความทุกข์นี้ พราหมณ์ผู้ทรงญาณหลับตาลงชั่วขณะ ตรึกตรองด้วยปรีชาญาณ พลางกล่าวว่า หามีอำนาจ ฤา สรรพวิชาตำราใดจักไขถอนนิสัยอันติดตัวจากทารกน้อยนี้ได้ เหตุเพราะนิมิตอันนางเมียเห็นก่อนล่วงรู้ครรภ์ เป็นดั่งศุภนิมิตแลศุภฤกษ์ จึ่งเกินกำลังจักกล่าวเอ่ยเป็นวาจาแถลงไข มีเพียงถ้อยความเดียวเท่านั้นที่สามารถแจ้งบิดามารดาผู้ให้กำเนิดคือ

เพลาใดสบนัยน์ตาสีสมัน
ความกลัวพลันเลือนหายกลายสุขี
นิมิตฝันฤาจริงแท้ในราตรี
บุรุษมีจักษุดั่งต้องมนตร์

ลักษณะวิสัยนี้จักอยู่ติดตัวบุตรของเจ้ามิเนิ่นนาน เมื่อใดที่บุตรชายเจ้ารู้ความแลนิมิตเห็นบุรุษผู้มีนัยน์ตาสีน้ำตาลดั่งผิวเนื้อสมันเป็นคราแรก เมื่อนั้นความกลัวอันเกิดจากการสัมผัสกลิ่นแลรูปของดอกลีลาวดีจักพลันเลือนหายชั่วกาลนาน จงคลายความปริวิตกเสีย หากมันเจริญวัยเติบใหญ่ขึ้นจงส่งมาร่ำเรียนสรรพวิชาจากข้าอย่าช้าที”

“เป็นนายอย่างนั้นหรือ มาตะ เรื่องที่เล่า คือ...” พจน์แทบจะลืมความเจ็บปวดจากคำสารภาพของไอ้ปาล์มเสียสิ้น ตอนนี้เหลือเพียงความคิดเดียว บุรุษผู้มีนัยน์ตาสีน้ำตาล เป็น...

“คือ...เจ้า ผู้ที่ข้าฝันเห็นตั้งแต่จดจำความได้” มาตะประคองใบหน้าพจน์เข้าหาตัว พินิจมองดวงตาพจน์ราวกับไม่เคยเห็นชัดเจนเท่านี้มาก่อน

“คำสงสัยที่น้องท่านซักว่า เหตุใดข้าจึ่งรักแลภักดีน้องท่านเสมอชีวิตตัวเอง ก็แหละพบเจอเพียงนับครั้งได้ในฝ่ามือเดียวนั้น หาตรงกับความจริงไม่ ข้าสบเจอน้องท่านมานับครั้งไม่ถ้วน จักหาว่าข้านี้พบเจอใครแต่เพียงนับครั้งก็ยอมปลงใจโดยดีนั้นยังจักถูกต้องอยู่หรือ ภัทรพจน์เอย ข้าตกหลุมรักน้องท่านในนิมิตฝันมาเนิ่นนานครัน ก่อนบุพเพสันนิวาสจักชักนำเราสองมาสบพบเจอกันจริงแท้เสียอีก คำยืนยันว่าข้ารักท่านสุดดวงใจนี้ประกอบคำอรรธถาธิบายทั้งหมดยังจักเป็นเสาหลักให้น้องท่านได้ยึดมั่นถือครองหนักแน่นอยู่ ฤา”

“นายฝันเห็นเราตั้งแต่จำความได้ งั้นหรือ” เหมือนมีบางอย่างอัดแน่นตื้นตันจนหัวใจแทบหยุดเต้น

บุรุษมีจักษุดั่งต้องมนตร์ คือ น้องท่านมาแต่แรก แลเป็นผลให้ข้าคลายหวาดจากดอกลีลาวดี”

“ทำไมนายไม่บอกละ ว่านายเคยเจอเรามาก่อน เจอมานานแล้ว...” พจน์รู้สึกเหมือนคำพูดติดอยู่ลำคอ “แต่เราไม่...” จะว่าไม่เคยก็ไม่ถูกเสียทีเดียวนัก เพราะในห้วงฝันวาระสุดท้ายในอดีตชาติมักมีชายหนุ่มหน้าตาละม้ายคล้ายมาตะแทรกเข้ามาเป็นระยะ

“เราเคยฝันเห็นนาย มาตะ”

คำตอบของพจน์เสมือนเป็นยาดีชะโลมหัวใจมาตะจากรอยน้ำตาของคนรักได้เป็นอย่างดี เด็กหนุ่มตัวหนาโอบกอดพจน์ไว้ในอ้อมอก

“ความสงสัยใดกัดกินทรมานใจน้องท่านอยู่คงผ่อนคลายลงยิ่งกว่าเมื่อแรก” ถอนกอดแล้วจูบซับหน้าผากมน “โปรดจงคลายขมวดปมคิ้วแลประทับนั่งให้สบายกายเถิด ปัญหาหนักอกใดถ่วงใจน้องท่าน มาตะนี้จักผ่อนหนักให้เป็นเบาเอง เมื่อความจริงเป็นดั่งนี้ แลน้องท่านเป็นคุณแก่ข้าเหลือล้ำเกินจักกล่าวเป็นถ้อยคำสรรเสริญ อาการแคลงใจในความภักดีที่มาตะมีแต่น้องท่านคงแจ้งกระจ่างโดยตลอด น้องท่านเอย บัดนี้เราสองก็เหมือนคนสองคนที่ใช้หัวอกร่วมเดียวกันก็ว่าได้ เกี่ยวดองทั้งกายแลใจ ซ้ำความอันข้ายกมากล่าวนั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ความสัตย์จริงโดยแท้ เหมือนดั่งว่าเอาความสวามิภักดิ์มาแผ่ออกตรงหน้าให้เห็นทุกซอกมุมก็ว่าได้ดั่งนี้แล้ว ความปริวิตกในใจน้องท่านยังจักงำไว้เป็นหนามยอกอกอีกกระนั้นหรือ”

“ขอบใจนะ มาตะ ขอบคุณมากที่ช่วยทำให้เราสบายใจขึ้น” พจน์ส่ายหน้า กอบกุมมือหนาแน่น ทั้งน้ำตา “นายทำให้เราแน่ใจในที่สุดว่าเราควรทำยังไงต่อไป”

เมื่อเห็นแววยินดีปรีดาจากดวงตาสีน้ำตาลทำให้มาตะพยักหน้ายอมรับ

“นายเชื่อเรื่องอดีตชาติไหม มาตะ”

คำถามของพจน์ทำให้เด็กหนุ่มตัวหนานิ่งงันชั่วขณะก่อนจะลอบส่งยิ้มให้พจน์

“อดีตชาติเป็นชีวิตเมื่อล่วงผ่าน แลหลุดขาดจากการรับรู้ในชาตินี้เสียสิ้น เสมือนมิมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีก แต่หากจักสรุปเอาความแต่ข้างเดียวว่าหลุดขาดจากกันโดยเด็ดขาดก็มิอาจกล่าวได้เต็มปาก ข้านี้เชื่ออย่างหนึ่งว่า จิตใจความผูกพันใดเมื่อเกิดขึ้นในชาติที่แล้วจักไม่ลบเลือนหายไปจากความทรงจำของจิตแม้ก้าวล่วงผ่านมากี่ชาติภพ เช่นเดียวกับเมื่อแรกสบเจอน้องท่านในนิมิตฝัน จิตใจข้าว้าวุ่นบอกว่าเคยคุ้นเหมือนรู้จักน้องท่านมาเนิ่นนาน ยิ่งเมื่อได้เห็นตัวตน สัมผัสแลแตะต้องเนื้อนวล ก็ยิ่งยืนยันความเชื่อว่าอดีตชาตินั้นมีจริง จิตใจเบื้องลึกข้าบอกเช่นนั้น แลน้องท่านรู้สึกเช่นเดียวกับข้า ฤา ไม่”

พจน์พยักหน้า ตัดสินใจจะเล่าเหตุการณ์ที่ตนย้อนเวลาไปอยู่ในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตเมื่ออดีตชาติให้อีกฝ่ายได้รับรู้ เพื่อยืนยันว่าการข้ามพิภพของพจน์ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยเหตุบังเอิญ แต่เป็นเพราะ...ความรัก

เสียงเคาะประตูห้องดังถี่รัวอึงคะนึง ฉุดความสนใจของเด็กหนุ่มทั้งสองจากเรื่องสนทนา
 
“คุณพระนายเจ้าข้า มีแขกมาขอพบเจ้าค่ะ”

บ่าวทาสหญิงร้องแจ้ง

“ผู้ใด ฤา”

“กฤษณา ผู้น้องสาวนายกองกฤษณะเอง” เสียงหญิงสาวอีกผู้หนึ่งเป็นคนตอบ “เชิญพี่ท่านออกมาพบปะสนทนากันสักประเดี๋ยวเถิด น้องนี้มีข้าวของจากในพระราชวังหลวงนำมาฝากพี่ท่านอยู่หลายสำรับ แลมีเรื่องพูดคุยตามประสาผู้ที่มิเคยได้พบหน้ากันนานครัน”
 
รอยยิ้มเหือดหายจากใบหน้ารูปงาม เหลียวมองพจน์ด้วยสีหน้าเครียด ระหว่างชั่วนาทีนั้นมาตะจึ่งตัดสินใจประคองข้อมือพจน์ให้ลุกยืนตามตัว

“นายกองกฤษณะ คนที่นายมีเรื่องด้วยใช่ไหม” พจน์ครุ่นคิดถามกลับ

“ใช่แล้ว น้องท่าน แลสตรีผู้มาเยือนคือ น้องสาวของนายกองมีชื่อผู้นั้น” มาตะกระชับมือพจน์แน่นราวกับกลัวคนรักจักหายไปต่อหน้าต่อตาอีก “หากเป็นจริงดั่งข้าตรึกตรอง กิจอันชะแม่กฤษณา นางข้าหลวงฝ่ายในจากพระบรมมหาราชวังจักมีเหตุมาเหยียบชานเรือนนี้คงมิพ้นเรื่องน้องท่านเป็นแน่ อย่างไรวันนี้ข้าขอวานตัวน้องท่านเป็นเครื่องพิสูจน์น้ำใจของสตรีผู้นี้สักครั้ง ว่านางจักยินดีในความรักของมาตะที่มีต่อน้องท่านอยู่ ฤา ไม่ อีกทั้งเป็นเครื่องชำระคำครหาทั่วทั้งพระนครที่ว่ากล่าวข้าแลน้องนางผู้นี้อีกคำรบหนึ่ง ภัทรพจน์ท่านยินดีจักช่วยข้านี้ ฤา ไม่”

นายกองกฤษณะผู้นั้นได้ยินว่ามีน้องสาวแลมีเหตุทะเลาะวิวาทกับมาตะก็เพราะเรื่องนี้เป็นชนวน ถ้าตนจะมีประโยชน์ช่วยให้มาตะพ้นข้อครหาได้ก็ยินดี

“ได้สิ”

นั่นทำให้มาตะก้มลงฉกชิมกระพุ้งแก้มนวลเสริมเรี่ยวแรงกำลังสติปัญญา ก่อนจักถอดสลักประตูเปิดออก แสงสนธยาอาบไล้พื้นเรือนของมาตะจรดหอนั่งกลางหมู่เรือนรายล้อม ข้าทาสก้มหมอบกราบอยู่โดยรอบ แลปรากฏหญิงงามผู้หนึ่งนั่งพับเพียบอยู่บนตั่งผินดวงหน้ามาทางประตูห้องของมาตะ เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้พบเห็นอย่างมาก นอกจากความงดงามและรูปลักษณ์ทรวดทรงชะแล้มแช่มช้อยแล้ว ดวงตาคมยังส่องประกายกล้า และวินาทีที่พจน์เผลอสบตาสตรีผู้นั้นก็ให้รู้สึกเหมือนภายในดวงตาสีดำสนิท ปรากฏประกายเพลิงไฟประทุขึ้นอยู่ชั่วขณะ

“มาตะ พี่ท่าน” คำหวานพร้อมรอยยิ้มปรับเปลี่ยนทันทีเมื่อละสายตาจากพจน์ นางเยื้องกายลงจากที่นั่งแช่มช้าก่อนจักพนมมือไหว้เสมอทรวงอก “คำอันผู้คนเล่าลือโจษขานเห็นจะเป็นจริงดั่งว่า เหตุเพราะมีบุรุษเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลปรากฏกายขึ้นในที่สุด”


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3316902#msg3316902)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๗ เพลิงสิเน่หา ๑๐๐% (๑๘/๐๒/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Sorso ที่ 18-02-2016 20:16:36
 :a5: o22
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๗ เพลิงสิเน่หา ๑๐๐% (๑๘/๐๒/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: nightsza ที่ 18-02-2016 21:03:10
 :เฮ้อ: :katai1: :mew6:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๗ เพลิงสิเน่หา ๑๐๐% (๑๘/๐๒/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 18-02-2016 23:19:17
ชะนี นางมารร้ายมาอีกแล้ว :katai1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๗ เพลิงสิเน่หา ๑๐๐% (๑๘/๐๒/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: runtothemoon ที่ 19-02-2016 10:56:59
ขัดใจจริง คนเค้ากำลังสวีทกันฮือออออ ออดอ้อนงอแง(?)อยู่กันสองคนยังไม่ทันได้คุยรู้เรื่องดี ดันมีเรื่องตล๊อดดดด น้องพจน์อย่าไปยอมนะ จิกไว้ววววว ถ้านางนั่นแกล้งมาหนูซัดกลับเลยลูก สู้เขาาาาาา มาตะดูแลลูกเราด้วยไม่งั้นเจอดีแน่ๆ/เก๊กหน้าขรึม นี่พอจะเดาออกว่านางกฤษณาเป็นใครชาติที่แล้ว ฮึ!
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๗ เพลิงสิเน่หา ๑๐๐% (๑๘/๐๒/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 20-02-2016 15:54:35
มาตะกับพจน์หวานกันตลอด :o8:  แต่ก็มีอุปสรรคมาเรื่อยๆเลยคู่นี้  แค่ข้ามภพไปมาก็เหนื่อยแทนพจน์แล้ว :ling1:

ดีใจนักเขียนมาแต่งต่อแล้ว  รอติดตามตอนต่อไปเสมอนะคะ
สนุกมากๆ  ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :3123:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๗ เพลิงสิเน่หา ๑๐๐% (๑๘/๐๒/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 20-02-2016 19:59:40

ยังไม่ทันจะคุยกันให้รู้เรื่องเลยน้อ...
แหม่ แต่คำพูดคำจานายมาตะนี่มันน่าหมั่นไส้จริงๆนะคะ555555
แม่นางกฤษณานี่มองจากเชิงแล้วคงจะมาร้าย
แต่ก็ไม่แน่ หญิงไทยใจงามเนอะ อาจจะร้ายแค่แว๊บเดียวก็ได้(มั้งนะ)
พจน์ตัดสินใจแล้วสินะ ว่าแต่...ตัดสินใจว่ายังไงล่ะจ๊ะน่ะ? เล่นอุบอิบไม่ยอมบอกงี้เราก็ลุ้นสิจ๊ะนาย
ยังไงก็ชอบตอนอยู่กับมาตะที่สุดแล้วน้อ อดีตชาติก็ออกจากผูกพันกัน

ปล.ก็ยังคงสงสัยจนถึงบัดนี้อยู่ว่ากันเป็นใคร55
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๗ เพลิงสิเน่หา ๑๐๐% (๑๘/๐๒/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: nokkkey ที่ 21-02-2016 13:46:38
อ่านรวดเดียวจนถึงตอนล่าสุดแล้วแฮ่

เป็นเรื่องที่สนุกมากเลยค่า ปมเยอะมากกกก

ยังไม่ค่อยชินกับสำนวนการอธิบายคำพูดแบบนี้เท่าไหร่๕๕๕๕ แต่ก็จะติดตามต่อไปนะคะ

ลุ้นปาล์มมากเลยค่ะ อยากให้นายแฮปปี้ TT_TT
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๗ เพลิงสิเน่หา ๑๐๐% (๑๘/๐๒/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 22-02-2016 10:23:16
 :ruready
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๗ เพลิงสิเน่หา ๑๐๐% (๑๘/๐๒/๕๙) หน้า ๖ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 24-02-2016 16:06:07
นอกจากครั้งแรกที่เจอพจน์แล้ว มาตะวาจาออดอ้อนตลอดเลย คนเขียนเก่งมาก  o15 o15

อยากอ่านตอนหน้าแล้วอ่ะ ช่วยรีบลงหน่อยนะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๘ นารีพิฆาต ๕๐% (๒๕/๐๒/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 25-02-2016 11:36:02
บทที่ ๑๘



นารีพิฆาต



กฤษณาเจริญวัยเติบใหญ่ต้องลักษณะรัตนนารี พรั่งพร้อมด้วยรูปทรัพย์ประหนึ่งภาพสลักเทพอัปสร กิริยาอาการนบน้อม สำแดงถึงขนบวิถีแห่งชาววัง ตกแต่งกายด้วยภูษาแดงก่ำคาดอก นุ่งผ้าไหมผืนยาวสีเขียวปีกแมลงทับทอสลับดิ้นทอง มวยผมทรงสูงชโลมน้ำมันตานีเงาเลื่อม ประดับล้อมด้วยกรอบมวยผมทองคำ คล้องทับทรวงฝังอัญมณีหลากสีปิดบังร่องเนินอกนูนกระชับ ทรวดทรงองค์เอวเว้าคอดเผยผิวผุดกระจ่าง รอบข้อมือเรียวทั้งสองสวมกำไลทองหลายวง ซ้อนทับด้วยมาลัยดอกมะลิหอมกำจาย กึ่งกลางหน้าผากจรดสีทองทรงหยดน้ำ รอบดวงตาวาดขอบเข้ม ขับให้เด่นเป็นสง่า ริมฝีปากบางฉาบชาดแดงเพลิง คิ้วโก่งดั่งคันศร จนชายใดมิอาจถอนสายตาละจากสิริโฉมนี้โดยง่าย แม้กระทั่งพจน์เองยังหลวมตัวจับจ้องเพลินตา
 
“ลักษณาผ้าแต่งกายมิผิดมหาดเล็กฝ่ายภูษา” วาจาเสนาะหูเปล่งคำ “ตำหนักวังหน้าคือสถานสังกัด ฤา มิใช่”

ความเงียบปกคลุมอยู่เพลาหนึ่ง มาตะเหยียบย่ำฝีเท้าเดินสู่หอนั่ง จูงมือพจน์ไว้เคียงใกล้ไม่ห่างกาย ไร้ถ้อยคำใดปฏิสัมพันธ์ต่อแขกผู้มาเยือน ใบหน้านิ่งแฝงครุ่นคิดยากจะหยั่งถึง เป็นสิ่งที่พจน์เคยประสบครั้งหนึ่งเมื่อแรกพบในห้องเก็บตำราหลวง สุดล่วงรู้ในความคิดของคนตัวหนา ผู้เป็นนายเจ้าเรือนทรุดนั่งลงตั่งตัวกลาง บ่าวชายขมีขมันยกพานเชี่ยนหมากแลรินน้ำชาใส่จอก ทาสหญิงปรนนิบัติพัดวีบำเรอนายตัวแลแขกทั้งสองเป็นจังหวะเชื่องช้า พจน์ถูกบังคับให้นั่งตั่งตัวเดียวกับเจ้ามาตะ กิริยาท่าทีนั้นสะท้อนสู่สายตาหญิงสาวชาววังผู้ทรงเสน่ห์เต็มชัดถนัดตา
 
“ปล่อยเราไปนั่งอีกตัวก็ได้ มาตะ มัน...เอ่อ จะไม่เหมาะสมหรือเปล่า” พจน์รีบขยับถอยห่าง คิดจะทำตามความประสาซื่อ อนึ่งเขาทั้งสองไม่ได้อยู่ในที่รโหฐานตัวต่อตัวจะทำการใดก็หวั่นเกรงคำครหาตกมาสู่มาตะ

“น้องท่านโปรดประทับนั่งเคียงข้างข้า อย่าได้เกรงผีสางเทวดา ฤา ขนบประเพณีเลย” มาตะฉุดรั้งเอวพจน์เข้าหาตัว นั่นทำให้เขาผลุนผลันผลักมือเหนียวหนึบออกโดยด่วน พลางเร่งสำรวจผู้คนโดยรอบ ข้าทาสทุกคนวางสายตามองพื้น มีเพียงสายตาเดียวเท่านั้นที่จับจ้องอยู่ เป็นคู่นัยน์ตาสีดำของหญิงงามนามกฤษณา ริมฝีปากแดงฉีกยิ้มกว้างดูอัธยาศัยดี ไม่แสดงสีหน้าอื่นใดนอกจากปีติปรีดา
 
“เพลาสนธยาตะวันใกล้ลับแล้วดั่งนี้ บรรยากาศจึ่งชวนให้หนาววะวาบกายแลใจ ดุจเหมันตฤดูมาเยือน คราลมวายุกระโชกผ่านยอดกิ่งไม้มาครั้งใดก็ให้เหน็บสะท้านหนาวเย็น กายท่อนบนข้านี้เปล่าเปลือยไร้ผ้าคล้องไหล่ไว้ประดับตน ไฉนเลยจักทนต้องลมเย็นกระทบเนื้อได้ หากน้องท่านมีน้ำใจอันประเสริฐเฉกทุกครา โปรดเวทนาสงสารผิวกายมาตะนี้ให้ได้รับไออุ่นจากเนื้อนวล มิต้องจำทนหนาวสั่นด้วยเถิด” ละจากเอวบางแสร้งตีหน้าเศร้า
 
“แลภัทรพจน์ท่านมามีอาการประหนึ่งจักคิดละจากที่นั่งอันเป็นดั่งกองฟืนให้ความอบอุ่นแก่ตัวมาตะ อดที่จักทำกิริยาละลาบละล้วงหยาบโลนต่อหน้าธารกำนัลมิได้ การอันใดที่มาตะคนซื่อทำมิต้องใจน้องท่านกรุณาอภัยสักคราหนึ่งเถิด ด้วยเพราะมิอาจทนเห็นรอยบึ้งประทับเป็นอาวุธลดทอนกำลังใจตัวได้”

“เราไม่ได้โกรธนาย แต่นายหนาวจริงหรือเปล่า ถ้างั้นจะได้เอาผ้าคลองไหล่ของเราไปห่มทับ” พจน์สำรวจมองผิวกายอุดมมัดกล้ามก็เห็นสั่นสะท้านจริงดังว่า ตระเตรียมปลดผ้าขาวคล้องไหล่ประจำกาย ก่อนถูกมือหนาฉุดรั้งไว้

“ก็แหละน้องท่านมาทำกิริยาปลดเปลื้องผ้าคล้องไหล่อันเสมอของอันสำคัญประจำกายตน สำแดงบ่งสถานะแลยศถาบรรดาศักดิ์เพื่อมอบให้ผู้อื่นเฉกยกตัวให้คนผู้นั้นฉะนี้ ทำเอามาตะยินดีสุดแสนพรรณา หากแต่จักให้เนื้อนวลต้องเผยสู่สายตาอื่นนอกจากมาตะนี้แล้ว จักชอบอยู่หรือ โปรดระงับน้ำใจงาม แลประทับนั่งเคียง เพียงเท่านี้ก็จักเป็นคุณูปการนักต่อนัก”

เมื่อพจน์แจ้งใจในเล่ห์คำกลโดยตลอดก็พลันรู้สึกหน้าเห่อร้อน นั่งตัวแข็งไม่อาจขยับจากไปยังที่ที่ตนหมายใจได้ เสียงกระแอมแผ่วเบาหลุดออกมาจากริมฝีปากยิ้มสะคราญของกฤษณา
 
“พี่ท่านแลบุรุษผู้นี้ดูราวกับสนิทชิดเชื้อกันเสมอเพื่อนตายสหายรักนับเยาว์วัยมิปาน อดที่น้องจักอิจฉาแลเอ็นดูมิได้” หญิงสาวรุ่นทรามคะเนวัยประมาณพจน์กับมาตะทอดสายตาพริ้มเพราพร้อมรอยยิ้มกว้างแน่วแน่ให้แก่เด็กหนุ่มทั้งสอง ผู้เป็นเจ้าเรือนกลับมาตีสีหน้าขรึมดังเดิม พลางว่า

“จริงดังคำเจ้าคะเน บุรุษข้างกายพี่นี้รั้งตำแหน่งมหาดเล็กฝ่ายภูษาแห่งวังหน้ามิผิดตัว นามว่า ภัทรพจน์” มาตะปรับน้ำเสียงเข้มแจ้งอีกฝ่าย
 
“หะแรกเห็น มาตรแม้นตัวมิได้ดำรงกายเป็นหญิง กฤษณาคงยิ่งปั่นป่วนชวนประหม่า วุ่นใจเต้นระรัว มิหนำซ้ำพาลละล้าละลังจำต้องยับยั้งชั่งใจ เหตุเพราะดวงหน้าหวานสดใสของภัทรพจน์ผู้นี้ แช่มช้อยยิ่งกว่าสตรีนางใดในพระราชวังหลวง ชะรอยหญิงทั่วทั้งพระนครจักต้องครั่นคร้ามหม่นหมองราศีเป็นแน่แท้ แลสะกดด้วยดวงตาสีเนื้อสมัน ส่องประกายโชติช่วงอำพันโดดเด่นดั่งว่า อันประกอบเป็นรัตนาบุรุษเอกเฉกเช่นนี้ อดที่จักหักห้ามใจกระสับกระส่ายวาบหวิวตามมิได้”
 
ได้ยินคำสรรเสริญเกินตัวฉะนั้นทำให้พจน์หุนหันโบกมือปฏิเสธโดยเร็ว

“เธอกล่าวเกินความจริงไปมาก ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”

“ซ้ำน้ำเสียงดังก้องต้องใจกังวาลใสไพเราะเสนาะโสต ดุจสกุณาร้องขับขานมิปาน ใครได้ยินประจักษ์ย่อมใหลหลงในน้ำคำมิใช่น้อย ด้วยรูปลักษณ์ถ่อมตัวแลถ้อยวาจาพิเศษกว่าชายในพิภพอันอาจยกกล่าวได้เช่นนี้ สมแล้วที่จักเป็นผู้ไขถอนให้มาตะ พี่ท่าน หายขาดจากอาการหวาดเกรงดอกลีลาวดี สมดังคำกลอนของพระอาจารย์พราหมณ์หลวง”

พจน์เหลียวมองมาตะ เห็นสีหน้านิ่งเฉยไม่ได้แปลกใจที่เด็กสาวตรงหน้าล่วงรู้ลักษณะพิเศษเมื่อแรกกำเนิด ทุกผู้คนที่เกี่ยวข้องกับมาตะคงล่วงรู้อาการลี้ลับนี้โดยตลอด

“แลภัทรพจน์ท่าน เป็นบุตรอันเกิดแต่ขุนนางกินตำแหน่งราชการงานเมืองใด ฤา เหตุใดก่อนหน้าถึงมิมีผู้ใดเคยพบเห็นเรียกหา ดวงตาอันโดดเด่นของท่าน หากถือกำเนิด ณ ชานเรือนใด คงเป็นที่โจษขานเล่าลือเป็นแน่แท้”

มาตะกระแอมเสียงดังผิดปกติ พลางว่า

“แลเจ้ามาเยี่ยมเยือนพี่ถึงเหย้าเรือนนี้ คงมีกิจอันสำคัญกระมัง”

คำหัวเราะเบื้องหลังมือเรียวยาวปกปิดอาการดังกล่าวอยู่ชั่วครู่ ตวัดสายตาละจากพจน์จดจ้องเพียงมาตะ

“บัดนี้เพลาเราสองจักพบเจอกันคราใด จำต้องมีเหตุอันควรยิ่งสำคัญจึ่งสามารถสนทนาแลปะหน้ากันได้แล้วหละหรือ มาตะ พี่ท่าน” วาจานั้นฉาบปั้นไว้ด้วยรอยยิ้มเฉกดวงตา
 
มาตะสำแดงอาการอึกอักแลอึดอัดชัดแจ้ง

“คำพี่ท่านวันนี้จึ่งทำให้กฤษณาหวนรำลึกถึงวันแรกพบ ณ สำนักกองทหารเกราะทองเมื่อล่วงผ่าน วันคืนเคลื่อนเปลี่ยนจากวสัตฤดู สู่เหมันต์ แลคิมหันตฤดู เป็นวัฏจักรวิถีธรรมชาตินับได้ ๕ รอบแล้วก็ว่าได้ แต่เหตุการณ์เสมือนอุบัติขึ้นเช่นวานนี้ อรุณรุ่งเพลานั้นสวยยิ่งกว่าทุกครา กฤษณาปรนนิบัติแม่ท่านบนเรือนเสร็จครบถ้วนสมบูรณ์ความ คิดตระเตรียมสำรับข้าวปลาอาหารเป็นการใหญ่ เหตุเพราะแม่ท่านแจ้งว่า เพลาวันนี้จักมีศิษย์สำนักใหม่จำนวนหนึ่งเข้ามาฝึกปรือแลฝึกซ้อม จึ่งต้องเตรียมอาหารบริโภคมิให้บกพร่องขาดตกเป็นเด็ดขาด หว่างทางเรือนครัวแลเรือนใหญ่คือสำนักฝึกซ้อม ด้วยเหตุเพราะรุ่งอรุณนั้นตะวันยังมิพ้นขอบฟ้ามองเห็นลายมือมิชัด ข้าแลนางรับใช้จึ่งมิได้สังเกตสังกาถนัดถนี่หอบหิ้วของสดมุ่งหวังสู่เรือนครัว ฉับพลันจึ่งได้ยินเสียงดาบไม้กระทบหุ่นซ้อมดังแว่วมาแต่ในลานฝึก หมอกขาวเบาบางบดบังการมองเห็น หะแรกกฤษณาแลนางข้าทาสปลงใจว่าจักต้องเป็นขโมยลักลอบมาดักปล้นเป็นแน่แท้ จึ่งสั่งความให้ส่วนหนึ่งไปเตือนพ่อท่าน อีกส่วนเร่งตามทหารหลวงโดยพลัน ตัวข้าเองนั้นยืนจับจ้องอยู่แต่เงาคนผู้นั้นไว้ไม่ให้หลุดรอดจากสายตา

แต่ต่อเมื่อแสงสุริยาฉายฉานชัดกระจ่าง เมฆหมอกสลายจาง ปรากฏเป็นบุรุษหนุ่มร่างกำยำผิดวัย สูงใหญ่สมชาตินักรบ ปรากฏ ณ ลานฝึกซ้อม อาการมุ่งมั่นกระชับดาบไม้ตวัดปลายเข้าต่อกรกับหุ่นฝึกซ้อมดูขะมักเขม้น ดวงหน้าเอาจริงเอาจังผสานด้วยรูปงามนั้นสะกดให้กฤษณายืนจ้องมิลดสายตาจาก จนกระทั่งพ่อท่านเร่งฝีเท้ามาตามคำแจ้งเตือนจึ่งล่วงรู้ว่า บุรุษชาติเชื้ออาชาไนยผู้นี้เป็นถึงบุตรของเสนาบดีจตุสดมภ์ ผ่านสนามคัดเลือกเข้าสู่กรมทหารหลวงด้วยทักษะดาบเหนือทุกผู้คน แลประจักษ์สายตาแก่กฤษณาเป็นอย่างที่สุดในเช้าวันนั้นมิลืมเลือน คำขอบน้ำใจครากฤษณานำน้ำใสใส่ขันเงินเย็นชื่นไปให้ติดตรึงโสตมิรู้วายฉะนี้ ไยเพียงน้องจักมาขอพบพี่ท่าน แลขอดื่มน้ำดับกระหายสักขันหนึ่งนั้นจึ่งมิอาจทำได้เลยกระนั้น ฤา” สีหน้าสลดแต่รอยยิ้มยังมิจางหายสะท้อนคำตัดพ้อเคลือบแฝงน้อยใจในอกตัว

มาตะขมวดคิ้วแน่นจ้องกฤษณาไม่วางตา พลางลอบถอนหายใจ พจน์เห็นท่าทีนั้นก็รู้ว่าเจ้านั่นคงไม่สบายใจบางอย่าง
 
“หากน้องนางประสงค์จักมาเยี่ยมหา สอบถามสารทุกข์สุกดิบตามวิสัยคนรู้จัก แลต้องการจักดื่มน้ำดับกระหายจากเรือนพี่นั้นก็ชอบที่พี่จักต้อนรับขับสู้มิได้ทัดทานแต่อย่างใด พวกเจ้าจงเร่งนำภาชนะบรรจุน้ำเย็นมาสู่น้องกฤษณานี้อย่าช้าที”
 
“เจ้าค่ะ” นางรับใช้ผู้อยู่ใกล้สุดตอบรับ ถลันไปปฏิบัติตามคำสั่ง

“ขอบน้ำใจพี่ท่านเป็นยิ่งนัก” กฤษณาเอื้อมรับขันเงินบรรจุน้ำยกดื่มชั่วครู่ “ความน้อยอกอันใดที่สิงสู่กับตัวเมื่อแรกต้นบัดนี้จืดจางลงเพราะน้ำจิตอันประเสริฐนี้โดยแท้”

“คำใดมิต้องใจน้องเจ้า โปรดละไว้เป็นโทษของข้า จงอย่าใส่ใจเก็บเอามาไว้ให้หมองทรวง รังแต่จักเป็นห่วงทรมานตัว น้ำใจเจ้าเมื่อแรกเจอนั้น ไยพี่จะมิประจักษ์แจ้ง หากมิได้น้องนางเอื้ออารีดูแลเหล่าทหารฝึกใหม่พร้อมด้วยข้าวปลาอาหารอย่างเลิศตลอดการฝึกแล้วไซร้ มาตะนี้คงหามีเรี่ยวแรงผ่านสนามฝึกมาได้โดยง่าย บุญคุณในครั้งนั้นเสมอมงคลประจำตัว จักลืมหลงได้อยู่ ฤา”
 
“เพียงได้ยินคำระลึกถึงบุญตัวในครานั้น พลันจิตใจหมองก็ปราศจากรอยเศร้าเสียสิ้น” รอยยิ้มกว้างฉายชัดยิ่งกว่าเดิม “นับหลายปักษ์ล่วงผ่านแล้วเมื่อครั้งได้พบเจอพี่ท่าน บัดนี้ดูรูปกายเติบใหญ่กว่าเมื่อหนหลัง แต่จิตใจยังสุขล้นดีอยู่ ฤา”

“ข้านี้สุขสงบดี” ฝ่ามือหนาเอื้อมกอบกุมมือพจน์ไว้ด้านหลังแน่น จนเด็กหนุ่มตาสีน้ำตาลสะดุ้งตกใจ

“เพียงยินคำนี้ กฤษณาจึ่งค่อยคลายใจ” เด็กสาวปรับสีหน้าแลระงับรอยยิ้มคืนเป็นปกติ พลางว่า

“แต่การมีชีวิตคอยถวายงานอยู่ในรั้วในวังจักเหมือนว่าสุขยิ่งเทียบชั้นสรวงสวรรค์เช่นคำคนกล่าวนั้นถูกต้องเพียงส่วนเดียว เพราะอีกส่วนนั้นคือความมีอิสระอันเป็นลักษณะประจำกายมนุษย์ ถูกจำกัดขีดขวางด้วยขนบประเพณีแลกฎมนเทียรบาล จำเพาะยิ่งนางข้าหลวงกำนัลเพลาจักออกจากขอบรั้วพระบรมมหาราชวังนั้นยากเย็นแสนเข็ญ สดับข่าวคราวภายนอกใดมิรู้แจ้งเนื้อความถนัดก็อดปริวิตกหนักอกมิได้ แลมาได้ยินมาตะ พี่ท่าน แลกฤษณะ พี่เรา มีเหตุวิวาทกันจึ่งทำให้น้องเหมือนมีไฟมาสุมกองอยู่กับอก ร้อนรนทนอยู่แต่ในตำหนักหลวงมิได้ จึ่งรีบทูลลามาสู่เรือนตัวโดยด่วน”

“หากเป็นเหตุประพฤติผิดใจนั้น เรื่องจบสิ้นความเสียเมื่อราตรีแล้ว กฤษณาน้องเราอย่าเพ่อตระหนกตกใจ” มาตะยกมือห้ามปราม

“หามิได้ กิริยาอาการใจร้อน แลหุนหันมุทะลุ เป็นลักษณะประจำกายของกฤษณะนายกอง จึ่งอุกอาจกระทำการนำทหารหลวงทะลวงบุกไปก่อกวนมาตะพี่ท่านให้ระคายเคืองอันมิสมเหตุผล เพียงเพราะหลงต้องกลได้ยินความโดยมิไตร่ตรองว่า พี่ท่านนำสตรีอื่นมาร่วมห้องนั้น ยังจักเป็นความจริงอยู่หรือ”

มาตะกระชับมือพจน์แน่นยิ่งกว่าเก่า ก้มลงมองคนที่กอบกุมมือด้วยสีหน้านิ่งเฉย

“ความใดซึ่งพี่ชายเจ้าแจ้งนั้นถูกต้องทุกประการ”

ถ้อยคำมาตะเป็นเสมือนยาขมสำหรับสตรีนางนี้โดยเร็ว เพราะรอยยิ้มซึ่งปั้นฉาบไว้บนใบหน้างดงามนั้นเหือดหายเสียสิ้นพร้อมทั้งดวงตาเศร้าโศกก็พลันตึงเครียดทันควัน

“เป็นจริงดั่งนั้น ฤา” กิริยานอบน้อมเสแสร้งเปลี่ยนเป็นวู่วาม ซ้ำวิสาสะถามกลับตัวสั่นเทิ้ม

มาตะเห็นคำปรามาสดังเอ็ดอึงฉะนั้น  สติครองกำลังตัวสุดอดกลั้นหลุดขาดโดยพลัน

“ก็แหละน้องเจ้าได้ยินถ้อยความจากนายกองกฤษณะเสียสิ้นแล้ว ไยถึงต้องให้พี่นี้ทวนความซ้ำอีก หรือนายกองเกราะทองจักมิได้แจ้งว่า เหตุกระทำตนอ้างอาชญาสิทธิ์รั้งตำแหน่ง บุกทำลายทรัพย์สินอาณาประชาราษฎร์เสมือนผักปลานั้นกระทำไปด้วยความแค้นส่วนตน อันเหนือจิตสำนึกผู้ดำรงยศข้าทหารพึงระลึก เพียงเพราะได้ยินว่าข้า ไอ้มาตะ กระทำการหยามหมิ่นศักดิ์กฤษณา แลเจ้ายังมาตีซ้ำว่าการณ์ทั้งสิ้นล้วนทำไปโดยอ้างนิสัยมุทะลุมาเป็นเหตุ โดยมิได้ตรึกตรองแต่อย่างใดว่าจักก่อความเสียหายแก่ผู้ใดบ้างนั้น เหมาะควรอยู่หรือ”

พจน์ไม่เคยเห็นมาตะโกรธมากเท่านี้ ไม่นับครั้งเมื่อปะดาบกับนายกองกฤษณะ

ก็แหละสตรีผู้นั้นคือใครเล่า” กฤษณากรีดร้องถ้อยความดังเอ็ดตะโร

คือเราเอง
 
เป็นคำตอบที่พจน์คิดจะเอ่ย แต่มีอีกเสียงหนึ่งแทรกพูดแทน ยุติอารมณ์โมโหของมาตะให้ลดทอนลงตามลำดับ เช่นเดียวกับก่อความฉงนสนเท่ห์สู่กฤษณาให้ผินหน้าสู่เบื้องทิศของต้นเสียงนั้นโดยพลัน


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3319233#msg3319233)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๘ นารีพิฆาต ๕๐% (๒๕/๐๒/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 25-02-2016 14:20:18
เอ่อ... เราไหนกัน  :ruready
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๘ นารีพิฆาต ๕๐% (๒๕/๐๒/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 25-02-2016 19:27:09
เรา........แต่ไม่ใช่..เรา
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๘ นารีพิฆาต ๕๐% (๒๕/๐๒/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 25-02-2016 21:51:00
ค้าง :katai1:  ใครมาช่วยกันนะ

มาตะได้ใจมากๆ ให้พจน์อยู่ข้างกายเสมอ  พจน์จะได้อุ่นใจ แม้จะมาอยู่ในที่ที่ไม่รู้จักใครแบบนี้ คนจะมาดีมาร้ายพจน์ก็ไม่รู้ได้
ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๘ นารีพิฆาต ๕๐% (๒๕/๐๒/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 25-02-2016 22:41:33

มีใครคนหนึ่งเข้ามาในฉากอันดุเดือด
คนๆนั้นคือ.................!?!!!??!

"คือเราเอง......."

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๘ นารีพิฆาต ๕๐% (๒๕/๐๒/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 25-02-2016 22:46:06
ใครอี๊ก พ่อมาตะ ทำไมโดนรุมล้อมขนาดนี้ โอ๊ย เวียนหัวค่ะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๘ นารีพิฆาต ๑๐๐% (๒๘/๐๒/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 28-02-2016 17:22:24
[ต่อ]


หญิงสาวเจ้าของถ้อยความดำเนินทอดกายเชื่องช้าสู่หอนั่ง พร้อมข้าทาสบริวารผู้ติดตามอยู่เบื้องหลัง สตรีผู้มาใหม่แต่งองค์ทรงเครื่องคล้ายกฤษณา แต่คาดอกด้วยผ้าสีดอกอัญชัน นุ่งท่อนล่างด้วยภูษาสีเหลืองอ่อนทอลาย ใบหน้าสาวสะพรั่งเต็มตัว อายุอานามวัยใกล้เคียงกับอาธนพล คลับคล้ายคลับคลาเหมือนใครบางคนที่พจน์เคยคุ้น งดงามเสมอกฤษณา แต่ดูมีเสน่ห์เย้ายวนแตกต่างซ่อนเร้น

“เป็นข้าเอง อิสตรีอันเจ้าถามหา” หญิงสาวผู้นั้นโปรยยิ้มพร้อมยืนยันคำเดิม

โกหก
 
คำพูดแหบต่ำยานคางของสตรีเพศดังขัดขึ้น จังหวะเอื้อนเอ่ยผสมลมเย็นพัดวูบ ชวนขนหัวลุกสยดสยอง พจน์รีบเหลียวแลมองหาแหล่งที่มา แต่ดูเหมือนว่าข้าทาสทุกคนในที่นั้นจะปิดปากเงียบยิ่งชีพตน และเสียงนั้นก็ไม่ได้คล้ายคลึงน้ำคำของกฤษณาแม้แต่น้อย
 
มาตะผลุดลุกขึ้นยืนก่อนจักฟุบกายชันเข่าพนมมือเสมออกน้อบศีรษะจรดปลายนิ้วกลางหว่างคิ้ว พจน์รีบทำตามคนตัวหนาทันที

“มาลี พี่ท่าน หวนคืนสู่เรือนแต่เมื่อใดมิได้แจ้งล่วง น้องมาตะเป็นห่วง ประหลาดเหลือใจนัก”

“มาตะ น้องเราอย่าเพ่อซักความใด จงลุกขึ้นเถิดเจ้าทั้งสอง” พี่ท่าน หรือว่า หญิงสาวผู้นี้เป็น...

“ภัทรพจน์น้องเจ้า อิสตรีนางนี้เป็นพี่สาวของข้าเอง” มาตะแนะนำเครือญาติให้คนรักรู้จัก สตรีสาวงามผู้มาใหม่วาดรอยยิ้มมอบให้พจน์ทันที พลางว่า

“เหตุด้วยขณะพี่ทอดกายอยู่ลานหน้าเรือนเจ้า มุ่งหวังจักปรากฏตัวให้เป็นที่ประหลาดใจตามประสาเช่นครั้งวัยเยาว์ จึ่งมิได้ส่งบ่าวผู้ใดมาแจ้ง ครั้นความตั้งใจนั้นมาสำเหนียกยินเสียงเอ็ดอึงอื้อฉาวจับความได้แต่เพียงว่า มีผู้ถามหาหญิงอันเจ้าหมายใจเข้าพบเมื่อราตรีพระราชพิธีสำคัญ จึ่งเอะใจจำต้องสำแดงตนให้ประจักษ์ ด้วยเพราะคนอันน้องนางกฤษณาสืบหาอยู่นั้น คือเรามิผิดตัว”

โกหก
 
เสียงกระซิบปริศนาดังสะท้อนทั่วบริเวณ แต่ดูเหมือนจะมีเพียงพจน์เท่านั้นที่ได้ยิน
 
“มาลี พี่ท่าน” กฤษณายกมือพนมน้อมศีรษะก้มเคารพ “เป็นท่านมิผิดตัวกระนั้น ฤา”

หญิงสาวนาม มาลี ทรุดกายลงนั่งบนตั่งสลักลายตรงข้ามกฤษณา เหลียวแลเด็กสาวผู้สอบความด้วยสีหน้าเปื้อนรอยแย้มสรวล

“คราราตรีสำคัญนั้นข้าทูลลาสมเด็จพระขนิษฐาออกจากรั้วพระราชวังหลวง ด้วยมีกิจอันเร่งด่วนจักแจ้งต่อน้องชายร่วมอุทร โดยมิได้ฝากความไว้กับนางข้าหลวงคนใด ก็แหละมาตะ น้องเรานี้เป็นถึงผู้ครองดาบทองเทวาจึ่งจำต้องร่วมพระราชพิธีบูชาตรีเทพริมฝั่งแม่น้ำนพนทีเป็นแม่นมั่น ข้าแลนางรับใช้คนสนิท จึ่งส่งข่าวแจ้งการพบปะเพื่อการสะดวก ณ เรือนพักโรงสุราของนางแดง ผู้เป็นสหายสนิทของแม่ท่านเมื่อเยาว์วัย อีกทั้งใกล้กับประรำพิธีดั่งนี้ จึ่งเป็นเราที่น้องเจ้ากฤษณาถามหาอยู่” ว่าพลางจึ่งปรบมือสวมกำไลทองเป็นสัญญาณให้ข้าทาสผู้ติดตามยกตะลุ่มครอบฝาขนาดใหญ่มาวางเคียงแก่คนผู้มีศักดิ์ครบทุกผู้

บ่าวไพร่ชายกำยำเริ่มติดไต้ไฟให้แสงสว่าง ตะวันลับหายสู่ความมืดในที่สุด

“กฤษณาเอย กิริยาอาการน้องเราในครานี้มิสมเป็นกุลสตรีแบบอย่าง คุณสมบัติสำคัญอันประกอบเป็นหญิงซึ่งชายพึงปรารถนานั้นคือ กิริยามารยาทเรียบร้อยหนึ่ง รักนวลสงวนตัวหนึ่ง มีความกล้าหาญหนึ่ง มีความรู้ผิดชอบชั่วดีหนึ่ง มีความซื่อสัตย์จงรักภักดีหนึ่ง แลอีกประการหนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่น้องเราขาดตกอย่างยิ่ง ณ เพลานี้คือ มีสติปัญญาหลักแหลม”

สีหน้านิ่งเฉยของกฤษณาแม้ก่อนหน้าจะยังคงวาดรอยยิ้มไว้ครองอยู่ แต่เพียงได้ยินคำเตือนต้องลักษณะตัวเหนือคาดคิดเช่นนั้นเหมือนหนึ่งโดนฝ่ามือล่องหนตบเข้าจนขึ้นเฉดแดงทันควัน
 
“กฤษณายังเยาว์แลอ่อนประสบการณ์เป็นที่ยิ่ง คำตักเตือนของมาลีพี่ท่านที่ว่าน้องขาดคุณสมบัติข้อซึ่งมีสติปัญญาหลักแหลมนั้น วานช่วยแถลงไขให้เป็นคุณสักคราหนึ่งเถิด เหตุเพราะตัวมัวแต่หลงคิดว่าจักทำการสิ่งใดก็คำนึงถึงหลักคุณธรรมดั่งว่าไว้เสมอของประจำใจตน จึ่งมิรู้ว่าพลาดพลั้งตกหล่นที่ใดอันเป็นเหตุให้มาลีพี่ท่านเก็บมาเป็นข้อตำหนิได้” สีหน้าแดงก่ำปรับเปลี่ยนคืนดังเก่ารวดเร็ว

มาลีหัวเราะราวกับคำถามของกฤษณาเป็นสิ่งตลกขบขันสุดพรรณา มาตะเห็นเรื่องราวลุกลามบานปลายไปในทางผิดใจกระนั้นจึ่งตั้งท่าจักเอ่ยระงับ แต่ถูกสีหน้าผู้เป็นพี่สาวพยักให้ละไว้เป็นหน้าที่นาง

“หลักคุณธรรมคุณสมบัติแห่งสตรีพึงปฏิบัตินี้ล้วนเป็นสิ่งซึ่งมารดาจำต้องสอนสั่งเมื่อเด็กสาวผู้นั้นรู้ความเป็นหนหนึ่ง แลกฤษณาผู้ถือกำเนิดในวงศ์ขุนนางตระกูลสูงยิ่งเช่นนี้ จำต้องถูกอบรมบ่มจรรยามารยาทเป็นกิจวัตรจนสามารถท่องขึ้นใจเป็นแน่แท้แล้ว ซ้ำถูกฝากฝังเข้าสู่รั้วรอบขอบวัง เพื่อเรียนรู้งานฝีมือนานาประการอันสตรีพึงเรียนรู้มาหลายขวบปีเช่นนี้เป็นหนสอง มีหรือที่ข้าจักกล้าชี้แนะข้อผิดพลาดนั้นให้น้องเจ้าทราบได้”

“มาลีพี่ท่านครองอายุนับว่าสูงกว่ากฤษณา ดุจเป็นพี่สาวคนหนึ่งก็ว่าได้ดั่งนี้ หากจักเทียบชั้นถึงขั้นมารดาผู้มีคุณ จักกรุณาตักเตือนบุตรยามเมื่อทำผิดนอกกรอบคำสอนก็คงมิเกินเลยไปแม้เพียงนิด โปรดชี้ช่องทางอันมิสมประสงค์ให้แจ้งแก่ใจอับจนนี้ด้วยเถิด”

รอยยิ้มของมาลีเหือดหายรวดเร็วราวกับถูกฉกชิงจากเด็กสาวเบื้องหน้าด้วยคำพูดเมื่อครู่

“ดีนัก ในฐานะพี่และมารดาอันเจ้ายกเทียบ ข้าขอชี้ข้อบกพร่องอันประกอบเป็นกุลสตรีดั่งว่า เพื่อเป็นคุณต่อชายใดที่เจ้าจักครองคู่ในภายภาคหน้า ก็แหละสติปัญญาหลักแหลมซึ่งเป็นข้อท้ายแลเปรียบเหมือนข้อสำคัญสุดนี้ น้องเราพลาดพลั้งทำให้เกิดเป็นรอยราคีมัวหมอง คือการอันมาสู่เรือนชายพร้อมด้วยคำสอบความว่า หญิงอันชายผู้นั้นไปพบหานอกจากตัวนั้นคือใครอย่างไรเล่า ซึ่งขาดสิ้นสติปัญญาแหลมหลักอย่างที่สุด”

พจน์ไม่เคยเห็นคำโต้ตอบใดจะดุเดือดเท่าหญิงทั้งสองสนทนาต่อกันอีกแล้ว ฝ่ายหนึ่งนั่งอยู่บนตั่งตัวตรงข้ามด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่อีกฝ่ายก็นิ่งสงบไม่แพ้กัน รอยยิ้มกว้างยังฉาบทออยู่บนโครงหน้าของกฤษณาเช่นเดียวกับมาลี ราวกับเรื่องราวที่ได้พูดคุยกันเป็นคำถามถึงสารทุกข์สุกดิบตามปกติ

กฤษณาเหลียวมองมาตะก่อนจักตวัดดวงตาดำขลับมาสบพจน์ชั่วครู่ แล้วจึ่งวาดเรียวขาจับจีบหน้านางก้าวลงสู่พื้นกระดานของหอนั่ง แล้วก้มกราบใบหน้าจรดพื้นสู่ทิศทางซึ่งมาลีประทับนั่งอยู่

“เป็นคุณแก่กฤษณาอย่างสูงยิ่งแล้ว ด้วยมาลีพี่ท่านชี้ช่องบกพร่องแก่น้องผู้ต่ำต้อยคนนี้ กรรมแต่ปางหลังใดเอยจึ่งมาบดบังนัยน์ตาให้มืดบอดแลกระทำการลดคุณตัวเช่นนี้ได้ นับว่าน้องนี้ด้อยสติปัญญาหลักแหลม แลนำพาอารมณ์อยู่เหนือคุณธรรมประจำตัวก็ว่าได้ พี่ท่านทั้งสองโปรดอภัยแก่กฤษณาสักคราหนึ่งเถิด”

แววตาสำนึกผิดปรากฏเด่นชัดยิ่งกว่ารอยแดงของริมฝีปาก แม้แต่พจน์เองยังรู้สึกเห็นใจ

“ลุกขึ้นก่อนเถิด กฤษณา” มาตะเอ่ยเสียงเครียด

“คำอภัยนั่นแล้วจักช่วยให้กฤษณาลุกขึ้นจากพื้นเรือนได้”

รอยยิ้มแดงชาดของมาลีเผยอกว้างดุจชัยชำนะปรากฏให้เห็นเป็นสัญลักษณ์สำคัญ ก่อนจักก้าวลงจากที่นั่งตัวเอื้อมสองมือพยุงเด็กสาวต่ำอายุกว่าให้ยืดกายทรงตัวนั่งดังเก่า

“ก็แหละเจ้ายังมีสติปัญญารู้ผิดถูกรู้สำนึกโทษเช่นนี้ จักว่าด้อยสติปัญญาหลักแหลมคงมิถูกต้องเสียทีเดียว เอาเถิด คำใดที่ต้องใจ ฤา มิพึงใจจากข้านี้ น้องเราจงเก็บงำ ฤา ระงับสลัดทิ้งเสีย เหตุที่ชี้แนะข้อบกพร่องก็ด้วยเพราะเอ็นดูมิให้ถลำไปในทางผิด”

ว่าพลางก็เหลียวมองพจน์ ใบหน้าคิ้วสวยตาคมนี้มิต่างจากมาตะแม้แต่น้อย รวมถึงลักษณะคำพูดจา ล้วนมีเหตุมีผลยกเทียบเปรียบเห็นจริงตาม หากมิกล่าวว่าเป็นพี่น้องร่วมท้องกัน พจน์ก็คงคิดว่าอาจเกี่ยวดองหรือร่วมสายเลือดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

“เป็นบุญตัวยิ่งแล้วที่พี่ทูลลากลับมาเยี่ยมพ่อแม่ท่านเอาในเพลานี้ ราวกับมีสิ่งดลใจให้ร้อนรนทนอยู่ในตำหนักหลวงมิได้ มาตะเอย คำอันเจ้าเล่าถึงลักษณาแลนัยน์ตาอันประกอบเป็นร่างกายของชายผู้นั่งอยู่เคียงเจ้านั้นมิสมกับความเป็นจริงแม้แต่น้อย แลหรือยังมิอาจคัดสรรคำใดมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพได้เท่ากับพินิจมองด้วยตาของตนเอง ภัทรพจน์น้องท่านนี้ งดงามประหนึ่งรูปสลักริมระเบียงเทพของมหาเทวาลัยมิปาน”

พจน์ยิ้มเขินยกมือเกาหลังคอพร้อมก้มเคารพ มืออีกข้างก็โบกปฏิเสธยากจะรับคำชมนั้นได้

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”

“กระไรมาปฏิเสธความจริงอันน้องท่านครองอยู่ ดูเอ๋ยมาตะ กิริยาถ่อมตัวน่าเอ็นดูนี้ เจ้าอดใจนั่งครองตนมิขโมยกลิ่นนวลปรางนั้นยังจักถูกอยู่หรือ”

พจน์ผงะถอยห่างจากมาตะโดยเร็ว แต่เจ้านั่นยังคงนั่งเบ่งกล้ามหลังตรงแน่ว มีเพียงแววตาระยิบเท่านั้นที่หากอยู่สองต่อสองมันคงทำตามคำยุของพี่สาวเป็นแน่

“มาตะ น้องเรา แม้เชี่ยวชาญการณรงค์เป็นเอกเสมอขุนทหารแม่ทัพศึก แต่ข้อปฏิพัทธ์ผูกสมัครนั้นยังจักเชี่ยวชาญเสมอทักษะต่อสู้อยู่หรือ วานภัทรพจน์เจ้าแจงแถลงแก่ข้าเป็นคุณด้วยเถิด” รอยยิ้มเย้าหยอกประดับเหนือดวงหน้าชื่นสะคราญ

“พี่ท่าน!” มาตะร้องขัดเสียงเบา ภายใต้หน้านิ่งงันนั้นพจน์เห็นใบหูเจ้าตัวหนาปรากฏสีแดงรวดเร็ว

“เอาเถิด คำตอบนี้เจ้าสองคงล่วงรู้กันต่อกันโดยดีแล้ว เสียดายก็แต่พี่ชายเจ้าอีกคนที่บัดนี้ยังมิมีบุญจักได้เห็นบุรุษผู้ครองนัยน์ตาสีน้ำตาล คงมีกรรมใดบัดบังอยู่เป็นแน่จึ่งพลาดพลั้งคลาดคราทุกทีไป ยินว่ามีราชการงานด่วนให้ประจำ ณ เมืองท่าชายฝั่ง”

“เป็นเช่นนั้น มาลี พี่ท่าน”

“สงครามครั้งนี้กำลังสร้างความอกสั่นขวัญแขวนสู่ทุกเย้าเรือน” มาลีตีสีหน้าเครียดขรึม ก่อนจักยิ้มกว้างโปรยเสน่ห์อีกครั้ง “มาเถิด มาร่วมสำรับข้าวปลาอาหารเย็นที่พี่เตรียมไว้ต้อนรับเจ้า เชิญกฤษณาน้องเราด้วย”

ข้าทาสผู้อยู่ใกล้ชิดเปิดฝาครอบตะลุ่มบรรจุข้าวปลาอาหารชั้นเลิศ ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นอาหารที่พจน์ไม่คุ้นตา แต่กลิ่นหอมเย้ายวนชวนให้ท้องส่งเสียงร้องสร้างความขบขันให้แก่มาตะและมาลีดังครื้นเครง
 
“เอ่อ มาตะ พี่ท่าน กฤษณานี้ลืมหลงเสียสิ้น ด้วยเหตุเพราะน้องได้คัดสรรผ้าอย่างดีจากเมืองประเทศราชอันเข้ามาค้าขายแก่ตำหนักหลวง เห็นเนื้อผ้าละเอียดละออทอดิ้นยกลายอย่างดี อีกทั้งสีสันล้วนต้องตาทำให้นึกถึง...”

“กฤษณานี้อย่างไร หว่างกลางร่วมสำรับอาหาร ควรหรือที่จักยกเรื่องของที่เจ้าปรารถนาจักยื่นให้น้องเราผ่านข้าวปลาอันเป็นของอย่างดีเพื่อบำรุงชีวิตตัว มิรู้คุณ ข้อมารยาทเรียบร้อยนั้นน้องท่านคงลืมหลงไปแล้วกระมัง”

ท่าทางหยิบผืนผ้าสีดำประคองในมือ ถือไว้เหนือสำรับอาหารยื่นมาทางมาตะปรากฏเป็นข้อตำหนิสำคัญสู่สายตามาลี

“มาตะเอย หากเจ้ามิพูดในวันนี้ พี่จักเป็นผู้กล่าวเอง มิเกรงภัยอันใดจักเกิดกับตัวแม้แต่นิด ด้วยมองเห็นแลรับรู้ความมิสมควรมาโดยตลอดจนสุดกลั้น”

“พี่ท่านโปรดระงับคำก่อน” มาตะยกมือห้าม ถอนหายใจเหมือนตัดสินใจบางอย่าง

“มีความใดที่พี่ท่านทั้งสองซ่อนงำไว้เช่นนั้น ฤา” กฤษณาลืมหลงกิริยานอบน้อมร้องถามโดยพลัน “หรือจักเกี่ยวกับภัทรพจน์ผู้นี้เป็นสำคัญ”

ใบหน้าแสร้งโปรยยิ้มของมาลีเหือดหายเหลือแต่แววตำหนิ
 
“มีความหนึ่งซึ่งน้องคับข้องใจเหลือประมาณ อยากสอบความจากมาตะพี่ท่าน” กฤษณาละท่าทางเรียบร้อยเหวี่ยงผ้าผืนงามสีดำใส่ข้ารับใช้ใกล้ตัว

“นับแต่น้องนี้รู้จักพี่ท่าน มิเคยเห็นรอยยิ้มใดแย้มพรายปรากฏสู่ตัวเพียงนิด แลวันนี้มาเห็นจึ่งอัศจรรย์ใจเหลือประมาณ แต่รอยยิ้มสุดหวงนั้นเกิดขึ้นคราใดก็เพราะภัทรพจน์ท่านเป็นเหตุเสียสิ้นหนึ่ง อีกทั้งคำพูดจาหยอกเย้าแตะเนื้อต้องตัวจักเกิดแก่กฤษณานั้นเป็นไม่มี แต่สนธยาวันนี้กลับเกิดขึ้นให้เห็นตำตาต่อหน้าหนึ่ง ซ้ำมาลีพี่ท่านยังมากล่าวคำไปในทางว่ามาตะแลภัทรพจน์มีใจปฏิพัทธ์ต่อกันเป็นที่ฉงนใจดั่งนี้หนึ่งนั้น วานแจ้งให้ใจร้อนรนของกฤษณาได้รับน้ำคำดับกองไฟคับข้องให้มอดดับเสียเถิด”

พจน์เห็นท่าทีกระวนกระวายแลสีหน้าร้อนรนรอคำตอบด้วยความรู้สึกเศร้าหมอง นางคงมีใจให้มาตะมากประมาณ และทุกอย่างที่กล่าวล้วนเป็นดั่งหอกหนามทิ่มแทงสุดทานทน มาตะจุ่มมือลงอ่างน้ำชำระล้างเม็ดข้าวแล้วซับให้แห้งด้วยผ้าขาว

บุรุษผู้ครองนัยน์ตาสีสมัน อันพี่เฝ้าฝันแลเห็นมาชั่วชีวิต ช่วยลิขิตให้พ้นคำสาป คนผู้นี้...” มาตะวาดแขนล่ำโอบไหล่พจน์เข้าหาตัว “คือคนที่พี่หมายปอง ครองคู่ร่วมทุกข์สุข ตราบลมหายใจสุดท้าย

ริมฝีปากแดงก่ำขยับสั่นแต่พยายามอย่างยิ่งที่จักแย้มยิ้มให้สมกับเจตนาตัว ขัดกับดวงตาเศร้าหมองสุดแสนเยียวยา พจน์ไม่อาจห้ามให้มาตะพูดความจริงนี้ได้ เพราะไม่วันใดวันหนึ่ง นางต้องล่วงรู้ความจริงในที่สุด แต่การต้องมาเห็นสีหน้าประหนึ่งพร้อมยินดีแต่แววตาตรงกันข้ามสถิตอยู่บนใบหน้างดงามของกฤษณาแล้วอดใจหายไม่ได้

“คำ...มาตะพี่ท่านนี้ ช่วยลบความมืดบอดจากตาของกฤษณาเสียสิ้นในบัดดล ขอบน้ำใจเป็นยิ่งนัก หากกฤษณามิได้มาเยือนเรือนพี่ท่านในเพลานี้ ความหลงผิดใดก็จักดำเนินต่อมิรู้จบสิ้น แหละมาได้ยินน้ำใสใจจริงนี้โดยตลอดจึ่งรู้สึกเหมือนปลดความทุกข์ในอกตัวออกโดยพลัน เหมาะควรยิ่งแล้วพี่ท่านทั้งสอง เหมาะควรยิ่ง”

“กฤษณาน้องเรา” มาลีผลุดลุกเข้าปลุกปลอบเมื่อเห็นรอยน้ำตาไหลหลั่งแม้กระทั้งเจ้าของยังมิรู้ตัว “จงอย่าร่ำไห้เสียใจไปเลย การอันจักผูกสมัครรักใคร่เพื่อครองคู่กันนั้นมิได้ขึ้นอยู่ที่ความรักเพียงถ่ายเดียว แต่เป็นความผูกพัน...”

ลมหนาววูบใหญ่พัดสาดใส่สู่หอนั่งรวดเร็วทำให้ไต้ไฟส่วนหนึ่งมอดดับทันที แสงสว่างจึ่งมีเพียงริบหลี่พอมองเห็นหน้ากันเท่านั้น ข้าทาสชายต่างวิ่งวุ่นเติมเชื้อไฟ

พระแม่จ้าวววววว

เสียงสยดสยองปริศนาหวนกลับคืนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผสานความเจ็บแค้นเจ็บปวดจนพจน์รู้สึกได้ รีบเหลียวมองความมืดโดยรอบเพื่อหาต้นตอความสงสัยนี้

พระแม่จ้าววววว

กูจักทำเยี่ยงใดดี อีสร้อย
 
มีเสียงหญิงสาวอีกคนตอบคำร้องปริศนานั้น
 
อย่าทรงกรรณแสงเลยเพคะ พระแม่จ้าวววว
 
ความรักซึ่งกูเทิดทูนยิ่งชีวี บัดนี้กูกำลังสูญเสียมันไปตลอดกาล กูจักทนอยู่ได้เช่นไร กูจักทำเยี่ยงใดดี

ท่ามกลางความโกลาหลของบ่าวรับใช้ก้มเก็บข้าวของซึ่งถูกลมวายุพัดล้มระเนระนาด ผสานเสียงร่ำไห้ของกฤษณา พจน์จึงจดจำได้ว่าเสียงโต้ตอบนั้นเป็นเสียงเดียวกับที่กำลังร้องไห้อยู่นี่เอง
 
โปรดสั่งความมาเถิดเพคะ สั่งอีสร้อยผู้นี้มา มันผู้ใดสร้างรอยน้ำตาแก่พระแม่จ้าววว

เสียงยานคางถามกลับเชื่องช้า แล้วฉับพลันเงาดำของเสาเรือนเบื้องหลังตั่งที่นั่งของกฤษณาก็แปรเปลี่ยนเป็นร่างดำทะมึนของหญิงผู้หนึ่งเนื้อตัวล้วนดำมืด ผมยาวสยายลากพื้น ดวงตาขาวส่องวาวประกาย มันคลานเข่าด้วยท่าทางแปลกพิกลเสมือนกระดูกทุกส่วนผิดรูปร่าง ขยับเขยื้อนเข้าหาฝ่าเท้าของกฤษณาใช้ฝ่ามือดำลูบโลมปลอบ และพจน์เห็นริมฝีปากดำนั้นขยับเอ่ยต่อว่า

โปรดสั่งความมาเถิดเพคะ แลความตายจักเป็นสิ่งที่มันสมควรได้รับ

พจน์ไม่เคยเห็นความสะพรึงใดจะเสมอเหมือนสิ่งมีชิวิตตรงเบื้องหน้านี้อีกแล้ว ดูเหมือนว่ามาตะ มาลี หรือข้ารับใช้ทุกผู้จะไม่ได้เห็นสิ่งเดียวกับที่พจน์เห็น

“มาตะ มาตะ” พจน์ดึงรั้งแขนล่ำ

“อย่าได้เกรงภัยอันใดเลย อากาศแปรปรวนเช่นนี้คงมีพายุฝน เช่นนั้นเชิญน้องท่านเข้าสู่หอนอนข้าก่อนเถิด”

ความรักของกูพังทลายลง ก็เพราะมันผู้นั้นเป็นเหตุ

เสียงความคิดของกฤษณากรีดร้องดังก้อง และในทันใดดวงตาที่กำลังร่ำไห้ก็จับจ้องตรงมายังพจน์ทันที และรวดเร็วยิ่งกว่าลมพายุ ร่างดำทมิฬนั้นก็เหลือบตาขาวตวัดมองพจน์เช่นเดียวกัน ความแค้นสุดพรรณาสะท้อนสู่ตาพจน์ ก่อนที่มันจะกระโจนเข้าหาเด็กหนุ่มตาสีน้ำตาลรวดเร็ว พจน์หลับตาและยกแขนป้องกันแรงกระแทกใดที่จะเกิดขึ้น

คำกรีดร้องโหยหวนทรมานดังก้องสะท้อนเสียงฟ้าร้อง

ฉุดพจน์ให้เปิดตากว้างอีกครั้ง สีหน้าเครียดของไอ้กันปรากฏยืนอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยที่พจน์นอนอยู่ ความเงียบคือสิ่งที่ครอบคลุมทั่วบริเวณหลังพจน์ข้ามพิภพกลับสู่โลกปัจจุบัน แต่หัวใจเต้นระทึกยังคงกระหน่ำอกด้านซ้ายของพจน์อยู่

“ปีศาจตนนั้น” พจน์สำลักทุกอย่างเป็นคำพูดตะกุกตะกัก

นารีพิฆาต สิ่งที่มึงเจอ เป็นผีร้ายที่ถูกเลี้ยงไว้เพื่อทำสิ่งโฉดชั่ว และมึงรอดพ้นมาได้อย่างหวุดวิด” ไอ้กันอธิบายกำหมัดแน่นจนปรากฏเส้นเลือดชัด

“พจน์ เป็นยังไงบ้างลูก” ภพดนัยผลักประตูห้องพักคนไข้เข้ามาพร้อมด้วยดารา ไอ้น้ำ ไอ้ต่อ ไอ้เอก ไอ้โบท ไอ้เพียว ไอ้นาย ไอ้รัก ไอ้กี และคนที่พจน์อยากเจอมากที่สุด ไอ้ปาล์ม เปรมณัฐ


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3327107#msg3327107)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๘ นารีพิฆาต ๑๐๐% (๒๘/๐๒/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 28-02-2016 20:42:20
กำลังสนุกอยู่เลย รีบมาต่อไวๆนะคะ  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๘ นารีพิฆาต ๑๐๐% (๒๘/๐๒/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 28-02-2016 21:14:00
แอร๊ย ชอบพี่มาลี FC ค่าาา มานิ่งๆยิ้มสวยๆ คำพูดสาดใส่กฤษณาซะจนนางเงิบ 5555
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๘ นารีพิฆาต ๑๐๐% (๒๘/๐๒/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 28-02-2016 21:53:25
 :a5:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๘ นารีพิฆาต ๑๐๐% (๒๘/๐๒/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 28-02-2016 22:03:35
ช่วงนี้เนื้อเรื่องเข้มข้น อยากอ่านตอนหน้าแล้ว  :ling3:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๘ นารีพิฆาต ๑๐๐% (๒๘/๐๒/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 01-03-2016 01:20:08
สนุกมากๆคับ รอ รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๘ นารีพิฆาต ๑๐๐% (๒๘/๐๒/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 01-03-2016 21:08:03
การข้ามพิภพได้ทำให้พจน์รอดปลอดภัยใช่ไหม  ชาติก่อนๆคงถูกผีปีศาจทำร้ายตลอด

เราสงสารปาล์มนะถ้าไม่สมหวัง  แต่พอมาตะพูดในตอนล่าสุดนี้ก็อยากให้พจน์เลือกมาตะ
มาตะและพจน์ทั้งรักและผูกพันมากันหลายชาติแล้วแต่คงไม่สมหวังกันสักที 
ครั้งนี้ขอให้สมหวังอยู่เคียงคู่กันไปนานๆเลย :mew6:
สนุกมากๆ ลุ้นทุกตอนเลย  ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๘ นารีพิฆาต ๑๐๐% (๒๘/๐๒/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 06-03-2016 12:18:57
มาลีมาทีนี่ทุกคนดับ ขอโทษที่ไม่ได้เข้ามาอ่านซะนานนะคะ กลับมารอบนี้เลยได้อ่านจุใจเลย เขียนแนวนี้คงยาก ยังไงก็พยายามเข้านะคะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๘ นารีพิฆาต ๑๐๐% (๒๘/๐๒/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Marchyn ที่ 08-03-2016 00:21:45
 o18 ข้านี้จักรอจวบจนเมื่อท่านกลับมาอีกครา ช่างเพลิดเพลินเป็นยิ่งนัก
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๘ นารีพิฆาต ๑๐๐% (๒๘/๐๒/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: rubymoona ที่ 09-03-2016 11:49:25
เหลือกตายามเมื่อเลื่อนลงมาพบว่าตอนต่อไปนั้นหามีไม่...
 :z3:
โอย เกิดเป็นคนงามนั้นยากแท้
อนึ่ง อ่านเรื่องนี้แล้วเผลออ่านเว้นจังหวะจะโคนเหมือนอ่านกลอนไปเองซะอย่างนั้น นึกขำแล้วกลับไปอ่านปกติ ครู่หนึ่งก็กลับไปอ่านเว้นจังหวะเช่นเดิม  :o8:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๙ โคลงพยากรณ์ ๕๐% (๐๙/๐๓/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 09-03-2016 16:24:51
บทที่ ๑๙



โคลงพยากรณ์



“ถึงเวลาแล้วที่มึงจะต้องเข้าใจความหมายแท้จริงของโคลงสี่สุภาพที่กูเคยท้าให้มึงถอดความ”

“มึงจะพูดอะไร”

“สิ่งชั่วร้ายในพิภพอื่นที่มึงเจอ สร้างความเจ็บปวดให้กูจนแทบสิ้นลมหายใจ เพียงเพราะกูตามไปปกป้องมึงไม่ได้ มีทางเดียวเท่านั้น คือกูจะต้องฝึกให้มึงควบคุมพลังซึ่งมึงครอบครอง ยามใดเมื่อสิ้นไร้กูเคียงข้าง กูหวังว่ามึงจะรักษาหัวใจกูที่ฝากไว้กับมึงไม่ให้ต้องเจ็บปวดขนาดนี้อีก”


คำพูดของไอ้กันดังซ้ำเวียนวนนับร้อยครั้ง หลังจากพจน์ข้ามพิภพกลับสู่โลกปัจจุบัน และรอดพ้นอันตรายจากอาวุธร้ายในชื่อเรียกว่า นารีพิฆาต มาได้อย่างเฉียดฉิว แววตาระริกไหวกอรปกับคำพูดแสดงเจตจำนงยึดมั่นของไอ้คนลึกลับ ทำให้พจน์ไม่อาจลบลืมภาพวินาทีผีร้ายตนนั้นเพ่งมองประสงค์ชีวิตออกจากความทรงจำได้ หากพจน์มีพลังดังคำพูดปริศนาในความคิดเคยกล่าว รวมกับคำยืนยันจากไอ้กัน และพระเจ้าวัชรโกมลอดีตชาติของพจน์ย้ำซ้ำอีกหน ความสามารถข้ามพิภพ และพลังเร้นลับซึ่งไอ้กันลั่นคำว่าจะฝึกควบคุมนี้ทำให้พจน์รู้สึกมีความหวังบางอย่าง

อีกทั้งความหมายที่แท้จริงของโคลงสี่สุภาพต้องห้ามนั่นคือสิ่งใด มีความนัยซ่อนเร้นอยู่อย่างนั้นหรือ ภายใต้โคลงซึ่งไม่มีการจารึกใดๆบนพิภพนี้จะทำให้พจน์เข้าใจทุกเหตุการณ์และเรื่องราวเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้อย่างนั้นหรือ

คำถามทั้งหมดมีเพียงไอ้กันเท่านั้นที่ให้คำตอบได้ และตอนนี้เจ้าเด็กใหม่ก็หายตัวไปอย่างลึกลับอีกครั้ง

พจน์เชื่ออย่างหนึ่งว่าอันตรายใดๆจาก นารีพิฆาต จะไม่เกิดกับมาตะหรือพี่มาลี เพราะเป้าหมายที่แท้จริงนั้นคือพจน์อย่างชัดแจ้ง ความเคียดแค้นอาฆาตฝังอยู่ในแววตาขาวสว่างจนติดตาพจน์ยากลบเลือน เขาหวังจะเตือนมาตะ แต่วิธีควบคุมการข้ามพิภพกลับไปนั้นไม่อาจล่วงรู้เวลาที่แน่นอนได้
 
สตรีเจ้าของนามกฤษณา แม้มองด้วยลักษณะภายนอก ดูงดงามไร้เดียงสา แต่เหตุผลกลใด ถึงได้มี นารีพิฆาต สิ่งอันแสดงถึงความชั่วร้ายเลี้ยงไว้ใกล้ตัว ความลับดำมืดใดแฝงอยู่ภายใต้หน้ากากเศร้าเสียใจนั้น หากความรักชักนำให้คนคนหนึ่งดำเนินไปผิดทางอย่างนี้ พจน์อาสาจะนำนางกลับมาสู่ในที่ที่ควรด้วยมือตัวเอง

เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลถอดถอนใจ เงยหน้าจ้องประตูห้องกรรมการสภานักเรียนด้วยคิ้วขมวดมุ่น มีบางสิ่งที่พจน์ต้องจัดการให้ชัดเจน และหนึ่งในปัญหามากมายนั้นก็นำพาเขามานั่งรออยู่หน้าห้องสภานักเรียน ป้ายแขวนกับที่จับประตูบอกว่า กรรมการสภานักเรียนกำลังประชุมกันอยู่ และคนเดียวที่พจน์ต้องการพูดคุยด้วยก็อยู่ในกรรมการสภานักเรียนชุดนี้...ไอ้ปาล์ม

หลังจากพจน์ฟื้นสติจากการข้ามพิภพ แพทย์ผู้รักษาบอกว่าเป็นอาการอ่อนเพลียจากการนอนหลับไม่เพียงพอเช่นเดิม จึงให้นอนพักหนึ่งคืนก่อนจะกลับบ้านได้ตามปกติ เป็นคำวินิจฉัยที่พจน์จำเป็นต้องเห็นชอบตามโดยเร็ว ไม่มีคำพูดใดเอ่ยมาจากใบหน้าตี๋หล่อของเปรมณัฐ ยกเว้นดวงตาคมนั้นที่สะท้อนถ้อยคำมากมายจนพจน์อยากจะถามให้ชัดเจนในเดี๋ยวนั้นเลยว่า สิ่งที่พจน์ได้ยินเหนือดาดฟ้าของโรงพยาบาลคือความจริงหรือไม่ พลาสเตอร์ปิดแผลเหนือคิ้วซ้ายและร่องรอยฟกช้ำมุมปาก ยืนยันว่าพจน์อยู่ในเหตุชุลมุนระหว่างไอ้ปาล์มและไอ้พีท พร้อมได้ยินคำสารภาพของเพื่อนสนิทชัดแจ้ง แต่ท่าทีเมินเฉยนี้ส่งผลกระทบต่อพจน์จนเขาทำตัวไม่ถูก หรือว่ามันยังคงโกรธที่เห็นพจน์ยืนกอดกับไอ้กันในห้องสมุด เพราะในวันนี้ทั้งวันไอ้ปาล์มหลบหน้าพจน์ ไม่ยอมเข้ามานั่งเรียนตามปกติ ทำให้เขาจำเป็นต้องหาข้ออ้างจากครูฝึกชมรมฟุตบอล เพื่อมานั่งดักรอเจ้านั่นหลังเลิกเรียนอย่างที่ทำอยู่นี้ รู้ดีแก่ใจว่าผิดต่อเพื่อนร่วมทีมแค่ไหน แต่พจน์อยากพิสูจน์ความในใจบางอย่าง

“อะ พี่พจน์ มาทำอะไรตรงนี้คะ”

“ดาว” พจน์ยิ้มให้น้องสาว ผู้มีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด “พี่ส่งข้อความให้แล้วนี่ว่าวันนี้จะกลับบ้านเอง แล้วดาวล่ะมาทำอะไรแถวนี้”

“คือ...” เด็กสาวฉีกยิ้มกว้าง “กำลังจะกลับพอดีค่ะ มีเรื่องต้องมาส่งให้สภานักเรียนนิดหน่อย แต่ดูเหมือนเค้า...จะประชุมกันใช่ไหมคะ”

“อืม ถ้ามีอะไรฝากพี่ไว้ก็ได้นะ เดี๋ยวพี่ส่งให้ไอ้ภามเอง” พจน์อาสา แต่ดูเหมือนน้องสาวคนดีจะไม่เห็นด้วย เธอก้มหน้าส่ายปฏิเสธ พร้อมพูดว่า

“ช่วงนี้พี่พจน์สบายดีนะคะ นอกจากเรื่องโชคร้ายที่เกิดกับอาพลแล้ว ดาวรู้สึกว่าอีกคนที่น่าเป็นห่วงเหมือนกันก็คือพี่พจน์”

“เอ่อ ทำไมล่ะ พี่ก็สบายดีนะ” พจน์ยิ้มกว้างกว่าปกติ

“ไม่ เอ่อ ไม่มีค่ะ งั้นดาวไปรอคุณพ่อก่อนนะคะ”

น้องสาวหันหลังกลับตีจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้พจน์ต้องตกอยู่ในห้วงคำถามเป็นห่วงเป็นใยนั้นจนนึกรู้สึกผิด เธอคงเป็นห่วงอาการหมดสติของพจน์ เหตุเพราะเขาข้ามพิภพไปโดยทิ้งร่างแท้จริงอีกหนึ่งไว้บนโลกนี้ ความลับไม่มีในโลก แต่พจน์ไม่รู้จะอธิบายเรื่องราวนี้อย่างไรดี

“อ้าว น้องพจน์ มานั่งรอใครวะ”

ใบหน้าหล่อ คิ้วดกหนา ผิวขาว ระดับส่วนสูงล้ำกว่าพจน์เกือบสิบเซนติเมตร ส่งรอยยิ้มกว้างอวดฟันขาวเป็นระเบียบให้ขณะผลักประตูเปิดออกจากห้องกรรมการสภานักเรียน มันยักคิ้วให้พจน์หนึ่งทีแล้วเดินมาประกบชิดพร้อมวาดแขนล่ำหนาดึงไหล่คนเตี้ยกว่าเข้าหาตัว
 
“ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เห็นหน้าค่าตาเลยนะ น้องพจน์”
 
คนที่พูดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นี่ ชื่อ ไอ้ภาม หรือ พี่ภามภพของสาวๆ ทั้งรุ่นน้อง รุ่นเดียวกัน และรุ่นพี่ ไม่เว้นแม้แต่หนุ่มๆก็มีหลงผิดชอบมันอยู่มากโข ไอ้ภามเรียนอยู่ห้องสายศิลป์ นั่งเก้าอี้ประธานสภานักเรียน ในความคิดพจน์มันต้องติดสินบนให้แฟนคลับตอนเลือกตั้งแน่ ไม่งั้นไอ้คนนิสัยปากว่ามือถึงอย่างไอ้เจ้านี่จะขึ้นมาเป็นประธานนักเรียนได้ไง แต่เห็นนิสัยชอบเล่นถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้ มันเอาการเอางานได้เรื่องเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้มากกว่าที่มันได้ตำแหน่ง แต่ในสายตาพจน์ ไอ้ภามก็ยังเหมาะจะเป็นประธานชมรมดนตรีมากกว่า ฝีมือดีดกีต้าร์ของมันนี่ระดับมือเอกของโรงเรียนเลยทีเดียว
 
พจน์แงะมือหนาออกจากไหล่ แล้วเบี่ยงตัวถอยห่าง

“เมื่อไหร่มึงจะเลิกเรียกคำนำหน้ากูว่าน้องสักทีวะ” พจน์แกล้งชักสีหน้าไม่พอใจ

“โอ๋ๆ อย่าโกรธกูดิ กูก็เรียกมึงแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่หว่า ก็มึกเสือกเกิดทีหลังกูตั้งหลายเดือน แล้วไม่ให้กูเรียกว่าน้อง แล้วต้องเรียกว่าเมียหรือไง โอ๊ยๆ”

ไอ้ภามกุมไหล่หนาตัวเองพร้อมร้องเสียงหลงเมื่อเจอกำปั้นพจน์กระแทกใส่
 
“ให้มันน้อยๆหน่อย คำพูดคำจาของมึงนี่นะ ให้มันสมฐานะประธานนักเรียนหน่อยดิวะ เกิดใครมาได้ยินจะนึกว่าเป็นพวกแว้นข้างถนน” พจน์กำหมัดขู่ให้มันกลัว แต่แววตาและรอยยิ้มกว้างแสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้เจ็บจริงซ้ำยังคงไม่สำนึกแม้แต่น้อย

“จ้า พี่เข้าใจละ น้องพจน์ นานๆเจอกันที มาให้กูหอมแก้มหน่อยดิ”

ไม่เพียงไม่รอคำปฏิเสธของพจน์ มันรีบยื่นหน้าเข้าหาแก้มเนียนใสโดยเร็ว โชคดีที่เขามีภูมิคุ้มกันเรื่องหลอกหอมแก้มนี่แล้วเลยรู้จังหวะ หลบก้าวถอยห่างรวดเร็ว ไอ้พวกกรรมการสภาฯที่ส่วนใหญ่เป็นเพศชายกำลังทยอยกันออกมาส่งเสียงหัวเราะชอบใจในท่าทีลูกพี่ของพวกมัน บ้างสงเสียงเชียร์ บ้างโบกมือทักทาย บ้างเรียกชื่อพจน์ ตามประสาคนเคยคุ้นหน้า ถึงแม้ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันแต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนร่วมชั้น มีกิจกรรมส่วนกลางให้จัดร่วมกันอยู่หลายครั้ง และหลายครั้งพจน์ก็ต้องมานั่งอธิบายให้ไอ้เจ้าพวกนี้ฟังในฐานะประธานชมรมคนเจ้าบทเจ้ากลอนเพื่อของบไปใช้จ่าย
 
“เดี๋ยวนี้รู้จักหลบหลีกนะ ทีเมื่อก่อนละ มาอ้อนตลอดๆว่า หอมแก้มพจน์ทีๆ โอ๊ยๆ”

ครั้งนี้พจน์ถีบด้วยรองเท้าหนังจนมันเสถลาเลยทีเดียว แต่ดูสีหน้าแสร้งเจ็บของไอ้ประธานนักเรียน ก็ทำให้พจน์อยากจะถีบส่วนอื่นที่ไม่ใช่หน้าแข้งของมันจริงๆ

“เอ้า ถ้าไม่ใช่มาอ้อนให้กูหอมแก้ม แล้วมาดักรอกูถึงหน้าห้องสภาฯทำไม หรือว่าจะยอมให้กูยกขันหมากไปขอแล้ว ไชโย” ไอ้หน้าหล่อกระโดดชูกำปั้นขึ้นลงจนพจน์ต้องกุมขมับ

“กูไม่ได้มาหามึง”

“ก็ว่าละ” ภามภพกรอกตามองบนได้หน้าตบศีรษะมากๆ พร้อมปรับเปลี่ยนเป็นหน้าเศร้าทำปากบึนดูหน้าสงสารเหมือนเด็กน้อยห้าขวบใช้อ้อนแม่ แต่กูไม่ใช่แม่มึงครับ ใช้ไม่ได้ผลหรอก

“ถ้าน้องพจน์ไม่ได้มาหาเค้า แล้วมาหาใครอ่ะ บอกเค้ามานะตัวเอง” อาการเหมือนเด็กน้อยถูกขัดใจปรากฏสู่สายตาบรรดากรรมการสภาฯของมันโดยตลอด แต่ภามภพก็หาได้สนใจกับภาพลักษณ์ที่ตัวเองดำรงอยู่ไม่ เชื่อมันเลยจริงๆ

ระหว่างนั้นกรรมการสภาฯคนสุดท้ายก็เดินออกมาพร้อมด้วยใบหน้าฉงนสนเท่ห์ เปรมณัฐเหลียวมองพจน์ด้วยสายตาว่างเปล่า สายตาเดียวกับที่มันใช้มองนับตั้งแต่พจน์ข้ามพิภพกลับมาเมื่อคืน
 
“อ้อ ที่แท้ น้องพจน์ก็มาดักรอเลขาสภาฯของพี่นี่เอง” ไอ้ภามเลิกตีหน้าสลดเป็นยิ้มกว้าง มึงนี่สมควรไปเข้าชมรมละครนะ
 
“ทำไมอ่ะ เค้าหน้าตี๋ไม่พอเหรอ” มันใช้นิ้วชี้ดึงหางคิ้วขึ้นข้างบนจนดูประหลาดเกินจะสามารถทนดู “เค้าก็สูงล่ำ...ใหญ่...ยาวนะ” ไม่เพียงถลกแขนเสื้อโชว์กล้ามแขน ไอ้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นประธานนักเรียน ยังสามารถเซนเซอร์คำพูดตัวเองได้อีกเสียด้วย พจน์ส่ายหน้าเกินรับไหว แต่ก็อดหัวเราะตามไม่ได้

สีหน้าว่างเปล่าผนวกรวมกับดวงตาชั้นเดียวของไอ้ปาล์มเหล่มองประธานฯของมันทำให้ไอ้คนถูกจับจ้องต้องรีบสูดลมหายใจยืดอกตั้งตรงเหมือนคนปกติดังเดิม
 
“เออๆ กูรู้ละว่าตรงนี้ไม่ใช่ที่ของกู ไม่ต้องมองด้วยสายตาเหมือนกูเป็นเห็บหมาแบบนั้นก็ได้ ไอ้ห่า เดี๋ยวกูสั่งให้มึงส่งรายงานประชุมวันนี้เลยนี่” ไอ้ภามด่าลูกน้องตัวเองยาวเหยียด แต่ไอ้หน้าตี๋นั่นไม่ได้แสดงความหวาดกลัวแต่อย่างใด
 
“อะๆ มีเรื่องอะไรก็คุยกันดีๆล่ะ ขออย่างเดียวมึงอย่าได้แตะเนื้อต้องตัวน้องพจน์ของกูล่ะ ไม่งั้นมึงเจอ...”

คำพูดสุดท้ายถูกกลืนกลับสู่ลำคอรวดเดียวเมื่อเห็นสายตาพิฆาตของเลขาฯคนสนิท

“เชี่ยแมร่ง มึงมันตัวดีเลย ไอ้สัด กูเกือบได้หอมแก้มน้องพจน์ของกูเป็นรางวัลปลอบขวัญละ ประชุมวันนี้เครียดชิบหาย ให้กูชื่นใจสักหน่อยก็ไม่ได้ รีบถลาออกมาเลยนะ กูเห็นๆ ปกติมึงชอบนั่งแช่สรุปประชุมอีกนานนี่หว่า อย่าหาว่ากูไม่รู้”

ไอ้ภามตีสีหน้าโกรธ แกล้งชี้หน้าเลขาสภาฯตัวเอง จังหวะที่พจน์เผลอมองเหตุการณ์ด้วยความสะใจอยู่นั้น คนเจ้าเล่ห์อย่างไอ้ภามก็ตวัดหน้ามาทางพจน์แล้วจรดปลายจมูกเข้าแก้มขาวทันควันอย่างไม่ทันตั้งตัว และเร็วกว่าความคิดเช่นกัน พจน์เตะเท้าเข้าใส่กลางหว่างขาคนกระทำเต็มแรงจนไอ้ภามร้องโอดโอย กุมเป้ากางเกงกระโดดย่องแย่งหนีหายไปทางบันไดทันที

“มึงกลับมาก่อน ไอ้ประธานเหี้ย” พจน์กำลังจะติดตามไปจัดการให้ถึงพริกถึงขิงก็พอดีถูกมือของอีกคนฉุดรั้งไว้
 
“ปล่อยมันไปเถอะ มึงมีอะไรจะพูดกับกู” คำพูดว่างเปล่าเช่นเดียวกับดวงตานี้พจน์ไม่เคยประสบพบเจอนับตั้งแต่เขาทั้งสองคนรู้จักกันมา
 
พจน์ออกแรงถูรอยลมร้อนจากข้างแก้ม ไม่ใช่ว่าไม่เคยถูกไอ้ภามทำแบบนี้ แต่ครั้งหลังสุดก็ตั้งแต่สมัย ม.ต้น แล้วนี่นา ครั้งนี้ถือว่าพลาดเอง พจน์รู้ว่าไอ้ภามมีนิสัยชอบแกล้ง จึงไม่ได้ติดใจอะไร แต่ถ้ามีครั้งหน้าอีกมึงไม่โดนแค่นั้นแน่ ไอ้โจรขี้แกล้งในคราบประธานนักเรียน

“มึงอย่าถูแรงดิ แก้มช้ำหมดแล้ว เห็นไหม” นิ้วมือขาวดึงรั้งข้อมือพจน์ออกห่างจากรอยแดง ไอ้ปาล์มสูงกว่าพจน์ประมาณสองถึงสามเซนติเมตร ทำให้ดวงตาว่างเปล่าที่มันพยายามทำดูสั่นระริกทันทีในมุมที่พจน์เผลอเงยสบในระยะประชิด หัวใจที่เต้นแรงเพราะความอุกอาจของไอ้ภามบัดนี้สงบนิ่งอย่างประหลาด
 
ระเบียงชั้นเรียนเงียบสงัด แว่วเสียงคนตะโกนพูดคุยอยู่เบื้องล่าง บรรยากาศยามเย็นฉาบทอผนังตึกและต้นไม้ราวกับสีทอง ระหว่างที่พจน์กำลังคิดว่าสิ่งที่ตนเฝ้าตรึกตรองมาตลอดในท่าทีห่างเหินที่ไอ้ปาล์มสร้างกำแพงมาขวางกั้นเป็นสิ่งลวงตา เจ้านั่นก็รีบปรับสีหน้าเป็นนิ่งเฉยแล้วละมือออก ยืดตัวตรงเต็มความสูง กอดอกแล้วเสมองไปทิศทางอื่นที่ไม่ใช่พจน์

“มึงยังโกรธกูเรื่อง...ไอ้กัน อยู่เหรอวะ” พจน์ลองเสี่ยงถาม ปาล์มส่ายหน้า “แล้วทำไมมึงจงใจหลบหน้ากู”

“กู ไม่ได้...ไม่ได้หลบ” จุดโฟกัสเดียวที่มันมองคือเสาอาคารเบื้องหลังพจน์ ตรงกันข้ามกับพจน์ที่อยากจะพินิจใบหน้าที่ทำให้ตนรู้ใจตัวเองเป็นครั้งแรกว่า ใจของพจน์ไม่ได้เป็นของตัวเองมานานแค่ไหน

ไม่รู้ว่าสิ่งที่ไอ้ปาล์มทำนี้จะสร้างขึ้นมาด้วยเหตุผลกลใด แต่ความรู้สึกเบื้องลึกร้องตะโกนกู่ก้องทันทีว่า ปาล์ม เปรมณัฐ เพื่อนสนิทนับตั้งแต่พจน์จำความได้ไม่ใช่ไอ้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
 
วันนี้พจน์ขอเพียงอย่างเดียว ขอให้มันพูดความจริง คำสารภาพเท่านั้นจะทำให้เงื่อนปมของเชือกระหว่างคนทั้งคู่หลุดออกจากกันอย่างไร้เงื่อนไขใดๆ เด็กหนุ่มหน้าสวยหลับตา สาบานด้วยหัวใจที่ซื่อตรงและภักดีต่อมาตะ เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในไม่กี่วินาทีนี้ขอพจน์พิสูจน์ความในใจบางอย่าง และจะไม่มีสิ่งใดค้างคาระหว่างกันอีก
 
“ไอ้ปาล์ม กูอยากได้ยินเพียงคำเดียว” พจน์เห็นไอ้ตี๋หล่อกำหมัดแน่นตรงกันข้ามกับสีหน้านิ่งเฉยของมันอย่างยิ่ง

“สิ่งที่มึงพูดกับไอ้พีทเมื่อวานที่บอกว่า มึงชอบกู และ...” พจน์รู้สึกสงบอย่างประหลาด “และกูเป็นดวงอาทิตย์ของมึง มันเป็นความจริงหรือเปล่า”

ปาล์มหลับตาลง ไม่อาจรู้ว่าเพื่อระงับความในใจสิ่งใด แต่ทันทีเมื่อมันเปิดตา ราวกับพจน์ได้เพื่อนสนิทคนเดิมกลับมาอีกครั้ง เขาไม่อยากคาดคั้นมันเลย
 
“กู...”

พจน์หลับตา เฝ้ารอสัญญาณบางอย่าง
 
กูไม่ได้ชอบมึง

พจน์แทบไม่ได้ยินเสียงลมพัดหรือใบไม้ไหว รวมทั้งเสียงประกาศจากประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนเลยแม้แต่น้อย

“กูแค่อยากยั่วโมโหมัน...ก็เท่านั้น”

พจน์ลืมตาขึ้นเพื่อเผชิญกับความผิดหวัง เป็นคำตอบที่พจน์ไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน เพราะหากมันสารภาพเหมือนที่พูดกับไอ้พีท พจน์ก็มีคำตอบสำหรับคำคำนั้นอยู่แล้ว แต่ปัญหาในใจที่เหมือนจะพบหนทางออกกลับมืดดำยิ่งกว่าอุโมงค์ทางตัน และมีเสียงหนึ่งดังเสริมขึ้นเบื้องหลังพจน์เสมือนเป็นกองหินมหึมาระเบิดทลายลงปิดทางออกเพียงหนึ่งเดียวทันที

“พี่ปาล์มคะ แพรวรออยู่ชั้นล่างตั้งนาน ไม่เห็นลงมาซักที เราจะไปดูหนังกันได้หรือยังคะ” พจน์เหลียวมองเด็กสาวใบหน้าเรียว ตาโต ริมฝีปากบาง คนเดียวกับที่พจน์จำได้ว่าเคยมาหาไอ้ปาล์มข้างสแตนด์หลังพจน์ซ้อมฟุตบอลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
 
“อ้าวพี่พจน์อยู่นี่เอง ไม่ได้ยินประกาศหรือคะ ประชาสัมพันธ์ประกาศให้พี่ไปพบที่ห้องพักครูภาษาไทยค่ะ เกี่ยวกับเรื่องโคลงๆกลอนๆอะไรนี่แหละ”



50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3335703#msg3335703)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๙ โคลงพยากรณ์ ๕๐% (๐๙/๐๓/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 09-03-2016 17:52:09
ปาล์มโกหกทำไมอ่า............?
คือแบบ คนอ่านทุกคนก็รู้ๆกันอยู่เนอะ แต่ปาล์มดันตอบว่าไม่ซะงั้นน่ะ
แล้วถ้าหากปาล์มพูดว่าชอบ ตอบว่าใช่ พจน์จะพูดอะไร?
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย กลัวใจพจน์เหลือเกินค่ะ
โอมมม มาตะจงเป็นพระเอก และไม่มีอำนาจใดมาลบล้างได้!
ละตกลงนายกันนี่มันเป็นใครหรือตัวอะไรกันแน่คะ?
ยิ่งอ่านยิ่งงงจริงๆ คิดถึงมาตะแล้วด้วย ครึ่งหลังสุดหล่อจะมีบทมั้ยน้อ..
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๙ โคลงพยากรณ์ ๕๐% (๐๙/๐๓/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: rubymoona ที่ 10-03-2016 08:59:29
 :ling1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๙ โคลงพยากรณ์ ๕๐% (๐๙/๐๓/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 10-03-2016 20:56:52
ปาล์มโกหก  พจน์ก็เลยอดพิสูจน์หัวใจตัวเองเลย :ling1:
ดีที่เดี๋ยวนี้พจน์มีมาตะเต็มหัวใจแล้ว  ถ้าเป็นเมื่อก่อนพจน์คงเสียใจมากๆแน่นอน

มาตะดีที่สุดแล้ว  เปิดเผย จริงจังจริงใจ  ไม่เคยต้องให้พจน์มาคิดมาก ว่ารักหรือไม่รัก
ไม่ต้องแอบเหมือนปาล์ม  หมั่นไส้ปาล์มแล้ว555  ถ้าเปิดเผยตั้งแต่แรกคงได้เป็นแฟนกับพจน์ไปแล้ว
คนอ่านตัดสินใจเชียร์มาตะคนเดียวแล้ว555  มาตะสู้ๆ
กำลังอินมากๆเลยค่ะ  รออ่านตอนต่อไปนะคะ ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๙ โคลงพยากรณ์ ๑๐๐% (๑๘/๐๓/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 18-03-2016 11:18:44
[ต่อ]


ป้าแจ่มคอยกำกับพี่ส้มถือถาดบรรจุอาหารมื้อเย็น พลางชี้นิ้วสั่งหลานสาวให้วางถ้วยชามลงบนโต๊ะไม้ลายฉลุกลางหอนั่ง เมนูอาหารล้วนประกอบด้วย ต้มยำกุ้งส่งกลิ่นหอมมะนาว แกงเขียวหวานไก่ของโปรดของคุณปู่ ผัดเปรี้ยวหวานปลากระพง น้ำพริกกะปิเคียงกับผักทอดนานาชนิดเมนูชอบของดาวและภพดนัย ปิดท้ายด้วยต้มจืดเต้าหู้สาหร่ายทะเล เสริฟพร้อมน้ำส้มคั้นสด ป้าแจ่มออกตัวว่าคัดสรรเองกับมือ รับรองสดแท้แน่นอน พจน์เห็นท่าทางคั้นส้มของหญิงชราแล้วอดรู้สึกขำไม่ได้ ดาวยกมือเป็นสัญลักษณ์ว่าได้ออกแรงช่วยเป็นลูกมือป้าแจ่มในการนี้ด้วย ทำให้บรรยากาศตรึงเครียดซึ่งปกคลุมอยู่ก่อนหน้าจางหายทีละน้อย เพราะคำพูดของศาสตราจารย์วิชัยก่อนหน้าที่ป้าแจ่มจะเข้ามาขัดจังหวะนั้นทำเอาทุกคนปิดปากเงียบ

“ขอบใจมาก แม่แจ่ม” คุณปู่พยักหน้าให้หญิงชราอายุคราวเดียวกัน

“มิได้ค่ะ คุณท่าน เป็นหน้าที่ของอิฉันอยู่แล้ว เชิญรับประทานเถอะค่ะ ประเดี๋ยวจะหายร้อนเสียรสชาติ อิฉันขอตัวก่อนนะคะ” ว่าพลางก็ชักชวนพี่ส้มซึ่งกำลังกระซิบกระซาบกับดาวอยู่ให้กลับสู่เรือนครัว

“เอ้านี่ ของโปรดของดาวนี่นา” ภพดนัยใช้ช้อนตักผักทอดกรอบให้ลูกสาวด้วยน้ำเสียงดังกว่าปกติ “กินเยอะๆนะ ตาพลด้วย เพิ่งหายป่วย ต้องดูแลตัวเองมากๆนะ อ่ะ”
 
ภพดนัยใช้ช้อนกลางตักต้มยำกุ้งตัวโตให้น้องชายซึ่งนั่งอยู่เคียงข้าง กิริยาอาการของธนพลดูสดชื่นต่างจากหลายวันก่อนซึ่งซีดเผือดเพราะอิทธิฤทธิ์เหนือธรรมชาติของดอกลีลาวดีเพลิง แต่เบื้องลึกสีหน้าเปื้อนยิ้มนั้น มีความวิตกกังวลบางอย่างแฝงซ่อนเร้น

“ที่คุณพ่อบอกว่าจะต้องไปอยุธยาให้ได้ มันหมายความว่ายังไงหรือครับ เกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งที่ทำให้ผมล้มเจ็บอย่างไม่อาจหาสาเหตุได้หรือเปล่าครับ”

ศาสตราจารย์วิชัยหลับตาลงชั่วขณะ ชาญณรงค์นั่งนิ่งอยู่ข้างท่านแทบไม่ได้จับช้อนส้อมแม้แต่น้อย ดูราวกับสิ่งซึ่งคุณปู่คิดไม่ตกจะสร้างความกังวลแก่ทุกคนจนแม้แต่กลิ่นเย้ายวนของอาหารก็ไม่อาจให้ละทิ้งข้อคิดคำนึงในใจนี้ไปได้

“แกเตรียมตัวให้พร้อมเถอะ อย่าลืมชวนหนูสามาด้วยล่ะ จัดการเรื่องเดินทางไปถึงไหนแล้ว พ่อดนัย”

“แต่ผมว่า...น้องยังไม่หายดี แล้วอีกอย่างเดินทางไกลๆแบบนั้นอาจไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพคุณพ่อและตาพล...” ภพดนัยสร้างรอยยิ้มปกปิดความไม่สบายใจ

“พ่อต้องการสมาธิและพักผ่อนสักสองสามวัน” ศาสตราจารย์วิชัยวางช้อนส้อมลง แล้วดื่มน้ำส้มคั้นปิดท้าย “และแกคิดว่าการอยู่ในบ้านซึ่งมีแต่เสียงตะโกนของนักข่าวจะไม่ทำให้สุขภาพของพ่อแย่ยิ่งกว่าไปอยุธยาอย่างงั้นหรือ”

“คือผม...” ภพดนัยส่ายหน้าทันควัน

“ทำตามนี้ พ่อดนัย พรุ่งนี้พ่ออยากออกเดินทางแต่เช้ามืด”

คุณปู่ลุกขึ้นขยับแว่นเสมองพจน์ชั่วครู่ ก่อนจะเดินกลับสู่ห้องพัก ชาญณรงค์ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม พจน์ไม่รู้สึกหิวทั้งที่อาหารทุกอย่างล้วนเลิศรส สักพักหนึ่งอาธนพลก็ขอตัวกลับเข้าห้องตนเองเช่นกัน

รอบตัวพจน์ตอนนี้เหมือนมีพายุมรสุมลูกใหญ่พัดโหมอยู่ มองไปทิศทางใดก็พบแต่อุปสรรคขวากหนาม ใบหน้าเปื้อนยิ้มของดาวซึ่งรู้ดีว่าแสร้งทำสร้างความเจ็บปวดในใจพจน์อย่างยิ่ง เหตุการณ์เฉียดวินาทีชีวิตของอาพลเพิ่งพ้นผ่าน แต่หนทางแสงสว่างของครอบครัวเทพวิมานกลับดำมืดยิ่งกว่าเดิม หนำซ้ำสิ่งต้องประสงค์ของคุณปู่ยังสร้างความกังขาแก่ทุกผู้คน จนแม้แต่คุณพ่อซึ่งเคยอาจหาญกล้าขัดคำสั่งของท่านในหลายๆเรื่องก็จำต้องยอมแพ้ในคราวนี้ หากมองในอีกแง่หนึ่ง การเดินทางสู่อยุธยาอาจทำให้พบหนทางที่ครอบครัวของพจน์จะกลับมาปรองดองกันอีกครั้ง
 

****************************************


Phathara Phoj: พรุ่งนี้เช้ากูจะไปอยุธยาว่ะ มีใครสนบ้างป่ะวะ
Cholnatee Nam: กูๆ กูไปด้วยไอ้พจน์
Paramee Bot: กูด้วย มึงหายดีแล้วอ๋อ น้องน้ำ
Phongsakorn Pure: กูโทรยกเลิกนัดกับพิมพ์แป๊บนึง
Jongrak rak: สัด จะไปด้วยก็อย่ามาลีลา ไอ้เพียว
Keerati Gee: พวกมึงจะไปกันเนี่ยมีรถกันแล้วว่างั้น เดี๋ยวกูเอารถตู้บ้านกูรับไอ้พวกนี้ไปละกัน ไอ้พจน์
Veeraphobb Tor: พาแฟนไปด้วยได้ป่าววะ
Narint Nai: ถุย ถ้ามึงจะไปสวีทก็ไม่ต้องพามาให้คนโสดอิจฉา ไอ้ห่า กูไปด้วยไอ้พจน์
Aekachai Aek: แม่กูฝากซื้อโรตีสายไหมยี่สิบถุงแล้วว่ะ กูด้วยๆ
Phathara Phoj: โอเค ไอ้กี ขอบใจมึงมาก ล้อหมุนจากบ้านกูตอนตีสี่นะเว้ย สรุปว่ามีแค่พวกมึงแปดคนใช่ป่าว
Cholnatee Nam: ก็...มีแค่นี้แหละมั้ง...



Prem nutt: กูไปด้วย


พจน์นึกว่ามันจะนิ่งเงียบไม่ตอบหรืออาจกำลังดูหนังอยู่ เพราะสิ่งที่มันแสดงออกเมื่อตอนเย็นทำให้คิดได้ว่า เจ้านั่นคงไม่อยากเจอหน้าพจน์อีกแล้ว แต่ไอ้ปาล์มก็คือไอ้ปาล์ม สิ่งที่สร้างมาขวางกั้นพจน์กับความเป็นเพื่อนระหว่างไอ้พวกที่เหลือคือคนละส่วนกันอย่างชัดแจ้ง เพราะคำตอบตกลงทำให้รู้ว่ามันยังเป็นเปรมณัฐคนเดิมสำหรับกลุ่ม แต่ยกเว้นเพียงพจน์คนเดียว สายสัมพันธ์หรือพันธนาการใดที่พจน์คิดว่าจะพบบทสรุปได้ในวันนี้กลับผูกเงื่อนปมให้ยุ่งเหยิงพันตูจนแม้แต่พจน์ยังไม่รู้จะแก้ออกได้อย่างไร

Phathara Phoj: โอเค ตามนี้นะ

พจน์มองจำนวนผู้อ่านข้อความสุดท้ายจนครบทั้งเก้าคนแล้วกดออกจากโปรแกรมสนทนากลุ่ม ทิ้งตัวลงบนเตียงนอนหนานุ่ม จะทำอย่างไรดี สิ่งค้างคาในใจตอนนี้กลายเป็นมีดทิ่มแทงทุกครั้งที่เห็นหน้าไอ้ปาล์มลอยมา ลองหลับตาหวังจะนึกหาวิธีคลี่คลายความรู้สึกทั้งมวลให้พบทางออก ไม่ใช่เฉพาะเรื่องไอ้ปาล์ม แต่รวมถึงเรื่องหายนะภัยน้ำท่วมโลก และความสัมพันธ์อันตึงเครียดในครอบครัว จนกระทั่งเผลอหลับไป

เสียงเตือนข้อความสนทนาดังขึ้น พจน์สะดุ้งตื่นคว้าโทรศัพท์แล้วเปิดดู

G_U_N: กูรออยู่หน้าประตูรั้ว

พจน์เหลียวมองนาฬิกาแขวนผนัง เกือบเที่ยงคืนแล้ว รู้สึกแปลกใจอย่างที่สุด เจ้าของไอดีนี้ถ้าให้เดาคงเป็นไอ้คนลึกลับนั่นเอง พจน์ผลักบานหน้าต่างออก ลมหนาวพัดกระจายใส่ผิวหน้า ความมืดปกคลุมท้องฟ้าเหลือเพียงดวงจันทร์ข้างแรม ระยะห่างระหว่างตัวเรือนกับประตูรั้วไกลพอสมควร แต่ด้วยยามวิกาลไร้ผู้คนสัญจรเดินผ่าน เงาร่างของบุคคลใต้แสงไฟจึงเห็นได้ชัดเจน เด็กหนุ่มคว้าเสื้อกันหนาวหนังสีน้ำตาลสวมทับชุดนักเรียนตัวเดิม ไม่ลืมถืออีกตัวติดมือไปด้วยแล้วถอดสลักประตูออก
 
แสงไฟทอลอดละอองหมอกหนาวเหน็บซึ่งปกคลุมทัศนียภาพโดยรอบ ทุกคนคงนอนหลับกันหมดแล้ว พจน์ก้าวลงจากเรือนทางบันไดหน้า เร่งฝีเท้าผ่านถนนปูอิฐสู่จุดหมาย หลอดไฟใต้ซุ้มประตูรั้วเป็นสิ่งเดียวที่เหมือนจะให้ความอบอุ่นแก่ไอ้กันในสภาพอากาศต่ำกว่ายี่สิบองศา เจ้านั่นยืนพิงเสาซุ้มประตูด้วยสีหน้าไม่รู้ร้อนหนาว มันสวมเสื้อยืดสีดำกางเกงยีนขาดเข่าเผยหุ่นผอมแต่ปรากฏกล้ามเนื้อชัดเจน พจน์ไขกุญแจแล้วผลักประตูเล็กออกมา

“ไม่หนาวหรือไง” พจน์ยื่นเสื้อกันหนาวตัวโปรดให้อีกฝ่าย มันใช้สายตาคมกริบสำรวจสิ่งที่พจน์ยื่นให้แล้วรับไปถือไว้ “อยู่ๆก็มาบ้านกูซะจะเที่ยงคืน มีอะไรหรือเปล่าวะ”
 
เส้นทางถนนสัญจรหน้าประตูรั้วไร้พาหนะใดสัญจร ไม่มีวี่แววของกลุ่มนักข่าวหลงเหลืออยู่แม้แต่คนเดียว หมอกสีขาวเริ่มก่อตัวอยู่ตามซอกมุมถนน
 
“งั้นเข้าไปในบ้านก่อนแล้วกัน” พจน์เดินนำ แต่เงาคนตัวสูงที่ตกกระทบพื้นไม่มีวี่แววจะขยับไหวตาม “เข้ามาก่อน ตรงนี้มันหนาว เสื้อน่ะให้ไปใส่ไม่ใช่เอาไปถือไว้”

แววตาคมดุจ้องมองพจน์ด้วยความรู้สึกยากจะคาดเดา

“คุยกันตรงนี้แหละ” นิธิเงยหน้ามองหลอดไฟ แสงนีออนกระทบใบหน้าและนัยน์ตาคมดุนั้นจนเกิดประกายกล้า ดูเหมือนมันจะมีเรื่องเครียดบางอย่าง พจน์ยืดกอดอก ลมหนาวบางเบาถูกพัดมายังบริเวณที่เด็กหนุ่มทั้งสองยืนอยู่ “กูแมร่งโคตรหลอกตัวเอง หวังในสิ่งที่ไม่มีวันเป็นจริงได้ เพียงเห็นความหายนะที่ก่อเกิดนิดเดียวก็คิดไปเองว่านับแต่นี้มึงคงจะปลอดภัยแล้ว เหมือนปลาได้น้ำก็หวังว่าน้ำนั้นจะประทังชีวิตตัวไปจนตาย แต่มันไม่ใช่เลย”

“มึงหมายถึงเรื่องอะไร กูสับสนไปหมดแล้ว มึงหายไปไหนมา มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นใช่ไหม” พจน์ส่งสายตาเค้นความจริง ไอ้กันหลบมองไปทิศทางอื่น พาดเสื้อกันหนาวไว้เหนือไหล่กว้าง ยื่นมือหนามาดึงไหล่พจน์แล้วโถมตัวโอบกอดไว้แน่น พจน์ขืนตัวเล็กน้อยเมื่อเห็นอาการดื้อดึงจึงจำยอม

“กูหวังจะเป็นเกราะคุ้มภัยให้มึงตราบลมหายใจสุดท้าย แต่กูไม่ได้คาดว่า หากมึงไม่ได้อยู่บนพิภพนี้ หรือหากวันหนึ่งกูต้องจากมึงไปตลอดกาล เกราะคุ้มภัยอย่างกูจะมีค่าใดหากไม่ได้อยู่เคียงคู่หรือบุบสลายเสียสิ้นแล้ว กูมองข้าม เพราะคิดว่าจะไม่ใครสามารถทำอันตรายกูได้ แต่กูก็ตามมึงไปไม่ได้อีกเช่นกัน” อ้อมกอดผละหลุดจากตัวพจน์เหมือนสิ้นเรี่ยวแรง

“มึงไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้หรอก กูดูแลตัวเองได้” พจน์พูดปลอบ ตบไหล่หนาให้มันคลายวิตก

“ตลอดเวลากูคิดว่ามึงเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น และมีเพียงกูคนเดียวที่จะปกปักรักษาชีวิตมึงไว้ได้ แต่กูลืมไปสิ่งหนึ่ง สิ่งที่ทำให้กูและมึงได้โคจรมาพบกัน สิ่งนั้นคือจุดเริ่มต้นและบ่งบอกว่ามึงไม่จำเป็นต้องให้ไอ้คนต่ำช้าอย่างกูปกป้องแม้แต่น้อย”
 
“กูรู้ ว่า...กูไม่ปกติเหมือนคนทั่วไป” พจน์พยักหน้ารับคำ ไอ้กันหลับตาระงับความเจ็บปวดเบื้องลึก

“โคลงสี่สุภาพที่กูท้ามึงให้ถอดความ มึงจำได้ใช่ไหม” พจน์ค้นความทรงจำแล้วพยักหน้าแน่วแน่ “ถอดความให้กูฟังเดี๋ยวนี้”

พจน์เห็นท่าทีร้อนรนของไอ้กันก็อดเป็นห่วงไม่ได้ แต่คำถามในใจถูกเก็บไว้เพื่อทำตามที่อีกฝ่ายร้องขอ

"ยามใดได้ครอบครองสิ่งสูงค่าเพียงหนึ่ง ก็อาจสร้างกองทัพนับหมื่นแสน นำสู่ชัยชนะได้ ทุกเผ่าพันธุ์ต่างสืบหาเป็นที่สุด หากชายใดได้ครองสิ่งล้ำค่านี้ อันเรียกขาน แก้วเก้า อีกทั้งครองตนในฐานะชายเหนือชายแล้วไซร้ ก็อาจสามารถอยู่ยงคงกระพัน หรือเรียกได้ว่าเป็นอมตะ

เพชร สิ่งล้ำค่าสูงสุดในบรรดาแก้วทั้งเก้า ทรงพลานุภาพดั่งดวงใจแลจิตวิญญาณ หากได้ครอบครอง ก็อาจสามารถแบ่งใจ แบ่งวิญญาณลอยล่องข้ามภูผาไพรพนา สู่แหล่งที่ตนหมายปองได้ทั่วทั้งทศทิศตลอดทั้งสามโลก ตราบนั้นจึงหวนกลับสู่กายแท้จริงได้เสมอ"

“ถูกต้องทุกประการ” นิธิยืนยันสิ่งนั้น “โคลงสี่สุภาพนี้มีทั้งความจริงและความเท็จสอดแทรกอยู่โดยตลอด แต่มึงก็เลือกจะถอดความในคำที่ถูกต้อง โดยเฉพาะใช้คำว่า ก็อาจ กูคงแพ้มึงตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันแล้ว”

“มึงรู้ใช่ไหมว่าโคลงสี่สุภาพนี้มีด้วยกันทั้งหมดสี่บท” ดวงตาดุเบิกกว้างไม่คาดคิดว่าจะได้ยินสิ่งนี้ ไอ้กันปิดปากเงียบไม่พูดสิ่งใด พจน์จึงอาศัยจังหวะนี้แปลโคลงสี่สุภาพต้องห้ามที่เหลือ

"อำนาจมนตราของสิ่งสูงค่านี้ หากไร้สำนึกความถูกผิด ปรากฏเป็นด้านทมิฬในใจ ก็อาจสามารถใช้ทำลายวิญญาณจนสิ้นชีวินได้ และครั้งใดที่ฉุดล้างทำลายเสี้ยววิญญาณ แก้วนั้นก็อาจจะทรงพลานุภาพยิ่งเป็นทวีคูณ"

สีหน้าซีดเผือดปรากฏชัดอยู่บนหน้าเรียวแหลมของไอ้กัน

"ด้วยเหตุนี้ทุกเผ่าพันธุ์จึงยอมคุกเข่าแด่อำนาจมนตราด้านทมิฬ และด้วยความชั่วร้ายนี้ ก็อาจสามารถครอบครองผืนพิภพทั้งมวลให้อยู่ภายใต้การปกครองจวบจนชั่วกัลปาวสาน"

พจน์ไม่อยากจะเชื่อในสายตาที่เห็นว่าหยดน้ำซึ่งไหลออกจากดวงตาคมดุนั้นเป็นความจริง
 
“กูขอโทษ”

ไอ้กันทรุดเข่ากระแทกพื้นทางเดิน กำหมัดแน่นราวกับเจ็บแค้นบางอย่างจนสุดจะทานทน

“มึง...ขอโทษกู เรื่องอะไร” พจน์หวังว่าสิ่งที่ตนคิดจะไม่เป็นความจริง แล้วจึงตัดสินใจยื่นเศษกระดาษแผ่นหนึ่งไปเบื้องหน้าให้คนคุกเข่าร่ำไห้อ่าน ไอ้กันรับไว้ด้วยมือสั่นเทา

“มีคนส่งโคลงบทนี้ไปให้ครูที่ปรึกษาชมรมกู” พจน์อธิบายเสียงเรียบ เหม่อมองดวงจันทร์ราวกับมีคำตอบของคำถามมากมาย “ความหมายทั้งหมดของโคลงทั้งสี่บท แสดงถึงอำนาจซึ่งหากใครได้ครอบครองสิ่งสูงค่าหรือที่เรียกว่า เก้าแก้ว”

“มึงบอกว่าโคลงนี้สามารถพิสูจน์บางสิ่งในตัวกู” พจน์สูดลมหายใจเต็มปอด “ถูกต้อง มันปลุกบางอย่างให้ตื่นขึ้นในตัวกู แต่ก็ทรมานเหลือเกิน”

“มึงเจ็บมากไหม” ไอ้กันคว้ามือพจน์กอบกุมไว้

“ไม่เจ็บหรอก มันจะไม่เจ็บเลย ถ้าหากมึงบอกความจริงกูมาตั้งแต่แรก”

“กูขอโทษ กูขอโทษ กูทำให้มึงเป็นแบบนี้เอง ความผิดกูทั้งหมด มึงรู้แค่นี้ก็พอแล้ว  เมื่อถึงเวลานั้นมึงจะเกลียดกูก็ขอให้กูตายไปเสียก่อน กูขอโทษ”

พจน์ดึงไหล่คนตัวสูงให้ลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากัน

“ตอนแรกกูก็ไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่คิดจะเป็นจริงไปได้ยังไง เมื่อลองนำความสงสัยมาปะติดปะต่อ นั่นทำให้กูเห็นภาพชัดเจนขึ้น แต่ก็ขอบคุณมึงมาก” พจน์รู้สึกเจ็บลึกๆข้างในเมื่อท่าทีของไอ้กันบ่งแสดงว่าข้อสงสัยทั้งหมดนั้นเป็นความจริง “มึงอ่านโคลงสี่สุภาพบนกระดาษแผ่นนั้นให้กูฟังหน่อยสิ”

สีหน้ากล้ำกลืนฝืนทนยากควบคุม

“ชายเอยชายหยั่งรู้           แก้วนพ เจ้าเอย
ชายหนึ่งในพิภพ               ดั่งข้าม
ชายโฉมงามยามสบ           ตาตื่น ฤาเจ้า
ชายหนึ่งเดียวหยุดห้าม      ต่อสู้ ศึกสอง”

                                        สินะกาวี, โคลงพยากรณ์

      
“โคลงบทนี้เป็นบทต้นของอีกทั้งสี่บทใช่ไหม” ความเงียบคือคำตอบทั้งหมด
 
“กูไม่ได้ตั้งใจโกหกมึง กูไม่ได้ตั้งใจให้มึงต้องแบกรับภาระหนักหนาขนาดนี้”
 
“เมื่อเนิ่นนานกว่าสหัสวรรษ นักปราชญ์ผู้หนึ่งนามว่า สินะ เป็นผู้แต่งถวายเจ้าผู้ครองอาณาจักรโบราณ” คำพูดมาตะในห้วงความทรงจำดังสะท้อนก้อง
“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระเจ้าข้า”
“อันใด ฤา กาวี” เช่นเดียวกับพระราชดำรัสตรัสตอบของพระเจ้าอนันตราช


“อดีตชาติของมึงชื่ออะไรกันแน่ สินะ หรือว่า กาวี” พจน์กลัวคำตอบนั้นหรือเลย

“หรือว่าเป็นทั้งสองชื่อ นี่ใช่ไหมคือความลับซึ่งมึงบอกกูไม่ได้ว่ามึงเป็นใครหรืออะไร เพราะมึงได้แต่งโคลงพยากรณ์จนปลุกให้ทั้งพิภพลุกเป็นเพลิงไฟ และโคลงพยากรณ์นี้อีกเช่นกันที่นำหายนะมาสู่อาณาจักรอนันตาทมิฬ และทำให้พระเจ้าวัชรโกมลจำต้องสละชีวิตเพื่อต้านภัยคุกคามชั่วร้าย ทุกคนล้วนคิดผิดหมดว่าอำนาจนั้นจะตกมาสู่ตัวเพียงแค่ได้ครอบครองเก้าแก้ว แต่โคลงพยากรณ์บทต้นนี้ไม่ได้หมายถึงใครอื่นใดนอกจากเด็กหนุ่มในอีกภพชาติต่อมาที่ยืนอยู่ตรงหน้ามึงนี้ต่างหาก”         



100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3347169#msg3347169)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< ช่วงพูดคุยตอบคำถาม part4 (๒๙/๐๓/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 29-03-2016 11:43:59
ปาล์มโกหก  พจน์ก็เลยอดพิสูจน์หัวใจตัวเองเลย :ling1:
ดีที่เดี๋ยวนี้พจน์มีมาตะเต็มหัวใจแล้ว  ถ้าเป็นเมื่อก่อนพจน์คงเสียใจมากๆแน่นอน

มาตะดีที่สุดแล้ว  เปิดเผย จริงจังจริงใจ  ไม่เคยต้องให้พจน์มาคิดมาก ว่ารักหรือไม่รัก
ไม่ต้องแอบเหมือนปาล์ม  หมั่นไส้ปาล์มแล้ว555  ถ้าเปิดเผยตั้งแต่แรกคงได้เป็นแฟนกับพจน์ไปแล้ว
คนอ่านตัดสินใจเชียร์มาตะคนเดียวแล้ว555  มาตะสู้ๆ
กำลังอินมากๆเลยค่ะ  รออ่านตอนต่อไปนะคะ ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :L2:
ตอนนี้มีแต่คนไม่ชอบปาล์มของเราเสียแล้ว คะแนนลดฮวบเลย ก็พ่อคุณเล่นตอบพจน์ไปแบบนั้น แต่ยังไงเรื่องของปาล์มพจน์ไม่จบง่ายๆแน่ครับ รอติดตาม

:ling1:
:katai1:

ปาล์มโกหกทำไมอ่า............?
คือแบบ คนอ่านทุกคนก็รู้ๆกันอยู่เนอะ แต่ปาล์มดันตอบว่าไม่ซะงั้นน่ะ
แล้วถ้าหากปาล์มพูดว่าชอบ ตอบว่าใช่ พจน์จะพูดอะไร?
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย กลัวใจพจน์เหลือเกินค่ะ
โอมมม มาตะจงเป็นพระเอก และไม่มีอำนาจใดมาลบล้างได้!
ละตกลงนายกันนี่มันเป็นใครหรือตัวอะไรกันแน่คะ?
ยิ่งอ่านยิ่งงงจริงๆ คิดถึงมาตะแล้วด้วย ครึ่งหลังสุดหล่อจะมีบทมั้ยน้อ..
ขอโทษครับที่ครั้งหลังพระเอกของเรายังไม่ปรากฏตัว รอกันต่อไป ตอนนี้กำลังปั่นบทต่อไปอยู่ครับ

เหลือกตายามเมื่อเลื่อนลงมาพบว่าตอนต่อไปนั้นหามีไม่...
 :z3:
โอย เกิดเป็นคนงามนั้นยากแท้
อนึ่ง อ่านเรื่องนี้แล้วเผลออ่านเว้นจังหวะจะโคนเหมือนอ่านกลอนไปเองซะอย่างนั้น นึกขำแล้วกลับไปอ่านปกติ ครู่หนึ่งก็กลับไปอ่านเว้นจังหวะเช่นเดิม  :o8:
อีกสักพักก็คงชินครับ จะอ่านเป็นกลอนคล้องจอง หรืออ่านปกติ ผมว่าได้อรรถรสต่างกัน แล้วอีกอย่างเจตนาของคนเขียนก็อยากให้คนอ่านมาชื่นชมคุณค่าของภาษาไทยของเราครับ คำหลายคำไพเราะสวยงาม ยิ่งกลอนนี่ควรค่าแก่การอนุรักษ์สืบทอดกันต่อไป พจน์ของเรางามขนาดไหนก็สู้คนอ่านไม่ได้แน่นอน (ผมข้ามพิภพไปดูมาแล้ว) 555

o18 ข้านี้จักรอจวบจนเมื่อท่านกลับมาอีกครา ช่างเพลิดเพลินเป็นยิ่งนัก
บทต่อไปกำลังมาครับ รอติดตาม อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนน้า อาจจะอัพช้าหน่อย แต่มาชัวร์แน่ครับ

มาลีมาทีนี่ทุกคนดับ ขอโทษที่ไม่ได้เข้ามาอ่านซะนานนะคะ กลับมารอบนี้เลยได้อ่านจุใจเลย เขียนแนวนี้คงยาก ยังไงก็พยายามเข้านะคะ
อีกคนที่เป็นFCมาลี ยินดีที่คุณชอบครับ ยากครับแต่ไม่ยากเกินความตั้งใจที่จะเขียน ยังไงก็รอติดตามตอนต่อไปนะครับ

การข้ามพิภพได้ทำให้พจน์รอดปลอดภัยใช่ไหม  ชาติก่อนๆคงถูกผีปีศาจทำร้ายตลอด

เราสงสารปาล์มนะถ้าไม่สมหวัง  แต่พอมาตะพูดในตอนล่าสุดนี้ก็อยากให้พจน์เลือกมาตะ
มาตะและพจน์ทั้งรักและผูกพันมากันหลายชาติแล้วแต่คงไม่สมหวังกันสักที 
ครั้งนี้ขอให้สมหวังอยู่เคียงคู่กันไปนานๆเลย :mew6:
สนุกมากๆ ลุ้นทุกตอนเลย  ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :L2:
นารีพิฆาตเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่สำคัญพอสมควรนะครับ แต่พจน์จะรอดจากเงื้อมมือของนางแน่แล้วหรือ อย่าเพิ่งสบายใจไปแล้วกันครับ ขอเตือนไว้ก่อน อิอิ ครับ ปาล์มเป็นตัวละครอีกตัวที่น่าสงสารที่สุดในเรื่อง ตัวละครนี้จะพบจุดจบ ณ ที่ไหน คอยติดตามครับ

สนุกมากๆคับ รอ รออ่านตอนต่อไปคับ
สนุกแล้วก็อย่าลืมคอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้ด้วยครับ แค่สติกเกอร์ตัวเดียวผมก็มีกำลังใจเขียนต่อมากๆๆๆๆเลย

ช่วงนี้เนื้อเรื่องเข้มข้น อยากอ่านตอนหน้าแล้ว  :ling3:
พจน์ของเราจะต้องเผชิญเหตุการณ์มากมาย และจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ คอยเป็นกำลังใจให้พจน์และคนเขียนด้วยครับ

:a5:
เป็นอะไรครับ อ่านอยู่ดีๆก็ตกใจขนาดนั้น 555

แอร๊ย ชอบพี่มาลี FC ค่าาา มานิ่งๆยิ้มสวยๆ คำพูดสาดใส่กฤษณาซะจนนางเงิบ 5555
ชูป้ายไฟมาลี ดีใจที่มีคนชอบตัวละครตัวนี้ กว่าจะคิดบทนี้ต้องศึกษามาเยอะว่าจะให้เป็นแนวไหนดี ไหนๆก็ต้องรับมือกับกฤษณาแล้ว ก็คลอดออกมาเป็นพี่มาลีแบบฉบับนี้นี่แล หวังว่าคุณจะติดตามบทบาทของนางต่อไปนะครับ

กำลังสนุกอยู่เลย รีบมาต่อไวๆนะคะ  :กอด1: :กอด1:
ถ้าจริง คุณต้องเป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยนะครับ ติดตามตอนไปได้เร็วๆนี้

ใครอี๊ก พ่อมาตะ ทำไมโดนรุมล้อมขนาดนี้ โอ๊ย เวียนหัวค่ะ
จนถึงตอนนี้คุณคงรู้แล้วว่าเป็นใคร อิอิ


มีใครคนหนึ่งเข้ามาในฉากอันดุเดือด
คนๆนั้นคือ.................!?!!!??!

"คือเราเอง......."
ลุ้นดีนะผมว่า จะได้ตื่นเต้นรอตอนต่อไปด้วยความกระวนกระวายใจ การทรมานคนอ่านคือหน้าที่ของผู้เขียน 555 ล้อเล่นครับ

ค้าง :katai1:  ใครมาช่วยกันนะ

มาตะได้ใจมากๆ ให้พจน์อยู่ข้างกายเสมอ  พจน์จะได้อุ่นใจ แม้จะมาอยู่ในที่ที่ไม่รู้จักใครแบบนี้ คนจะมาดีมาร้ายพจน์ก็ไม่รู้ได้
ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2:
มาตะเป็นคนขาดความอบอุ่นครับ ต้องให้พจน์อยู่ใกล้ตัว เหรออออ 5555 เริ่มหมั่นไส้มาตะเหมือนกันครับ

เรา........แต่ไม่ใช่..เรา
ก็คือเรานั่นเอง งง ไหมครับ

เอ่อ... เราไหนกัน  :ruready
เราแต่ไม่ใช่เรา เอ๊ะ ยังไง เขียนเอง งง เอง

นอกจากครั้งแรกที่เจอพจน์แล้ว มาตะวาจาออดอ้อนตลอดเลย คนเขียนเก่งมาก  o15 o15

อยากอ่านตอนหน้าแล้วอ่ะ ช่วยรีบลงหน่อยนะ  :pig4:
มาตะเป็นคนนิ่งๆเงียบๆครับ เหรอ 555 ถ้าไม่รุ้จักกันจริงๆจะไม่ค่อยพูด แต่ยกเว้นพจน์นะครับ เขาสองคนรู้จักกันตั้งแต่จำความได้แล้วนะๆ

:ruready
ง่วงเหรอครับ 555

อ่านรวดเดียวจนถึงตอนล่าสุดแล้วแฮ่

เป็นเรื่องที่สนุกมากเลยค่า ปมเยอะมากกกก

ยังไม่ค่อยชินกับสำนวนการอธิบายคำพูดแบบนี้เท่าไหร่๕๕๕๕ แต่ก็จะติดตามต่อไปนะคะ

ลุ้นปาล์มมากเลยค่ะ อยากให้นายแฮปปี้ TT_TT

เก่งมากครับ อ่านรวดเดียวมาถึงตอนนี้ ยกนิ้วโป้งให้เลย อ่านสักพักก็จะชินครับ แรกๆอาจแปลกๆ แต่รับรองสนุกแน่ รวมกับปมอีกมากมายหลายปม 555 ปาล์มของเราจะมีหวังแฮปปี้ไหม เอ๊ะ เอาไงดีน้า 555


ยังไม่ทันจะคุยกันให้รู้เรื่องเลยน้อ...
แหม่ แต่คำพูดคำจานายมาตะนี่มันน่าหมั่นไส้จริงๆนะคะ555555
แม่นางกฤษณานี่มองจากเชิงแล้วคงจะมาร้าย
แต่ก็ไม่แน่ หญิงไทยใจงามเนอะ อาจจะร้ายแค่แว๊บเดียวก็ได้(มั้งนะ)
พจน์ตัดสินใจแล้วสินะ ว่าแต่...ตัดสินใจว่ายังไงล่ะจ๊ะน่ะ? เล่นอุบอิบไม่ยอมบอกงี้เราก็ลุ้นสิจ๊ะนาย
ยังไงก็ชอบตอนอยู่กับมาตะที่สุดแล้วน้อ อดีตชาติก็ออกจากผูกพันกัน

ปล.ก็ยังคงสงสัยจนถึงบัดนี้อยู่ว่ากันเป็นใคร55
ถึงตอนนี้คุณคงรู้แล้วว่า กฤษณามาดีหรือมาร้าย แต่นางเป็นอีกตัวละครที่คิดแคแรกเตอร์ยากมากคนหนึ่ง รอติดตามนะครับ ที่สงสัยว่ากันเป็นใครตอนล่าสุดนี่คงคลายปมออกแล้วนะครับ หรือเปล่า ก็ไม่รู้ 555

มาตะกับพจน์หวานกันตลอด :o8:  แต่ก็มีอุปสรรคมาเรื่อยๆเลยคู่นี้  แค่ข้ามภพไปมาก็เหนื่อยแทนพจน์แล้ว :ling1:

ดีใจนักเขียนมาแต่งต่อแล้ว  รอติดตามตอนต่อไปเสมอนะคะ
สนุกมากๆ  ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :3123:
ไม่เหนื่อยหรอกครับ ถ้าเราจะข้ามพิภพไปหาใครสักคนที่เรารักและรักเรา แหวะๆๆ 555

ขัดใจจริง คนเค้ากำลังสวีทกันฮือออออ ออดอ้อนงอแง(?)อยู่กันสองคนยังไม่ทันได้คุยรู้เรื่องดี ดันมีเรื่องตล๊อดดดด น้องพจน์อย่าไปยอมนะ จิกไว้ววววว ถ้านางนั่นแกล้งมาหนูซัดกลับเลยลูก สู้เขาาาาาา มาตะดูแลลูกเราด้วยไม่งั้นเจอดีแน่ๆ/เก๊กหน้าขรึม นี่พอจะเดาออกว่านางกฤษณาเป็นใครชาติที่แล้ว ฮึ!
แล้วกฤษณาเป็นใครเมื่อชาติที่แล้วครับ ผมก็อยากรู้เหมือนกัน อิอิ

ชะนี นางมารร้ายมาอีกแล้ว :katai1:
แค่เปิดตัวมา นางก็ได้ตำแหน่งนางมารร้ายไปซะแล้ว โถ กฤษณา ไม่น่าเลยๆ 555

:เฮ้อ: :katai1: :mew6:
โห ไม่รู้จะอารมณ์ไหนเลยใช่ไหมครับเนี่ย

:a5: o22
เฮ้ย สะดุ้งตกใจหมด 555

แวะมากอดน้องพจน์  :mew1:
แวะมากอดบ่อยๆนะครับ

สงสารพจน์อีกแล้ว เพิ่งโล่งอกเรื่องคุณอา  แล้วก็มาเจอเรื่องความรักต่ออีก  คงจะสับสนมากๆเลย
ยิ่งแอบชอบปาล์มมาก่อนจะมาเจอมาตะอีก  มาตะก็เหมือนเป็นคนที่อยู่ในความฝัน 
จะข้ามพิภพมาหามาตะเมื่อไหร่ก็ไม่รู้  ไปๆมาๆตลอด
กับคนอื่นพจน์คงไม่รู้สึกอะไรเพราะไม่ได้ชอบ  แต่กับมาตะและปาล์มนี่สิ  จะเลือกรักและอยู่กับคนที่อยู่ในภพไหนดี
ลุ้นมากๆว่าพจน์จะจัดการเรื่องหัวใจยังไง
สนุก ลุ้นมากๆค่ะ ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2:
ช่วยเป็นกำลังใจให้พจน์สะสางปัญหาต่างๆด้วยนะครับ โดยเฉพาะปัญหาหัวใจ อิอิ


ในที่สุดพจน์ก็รู้ความในใจของปาล์มจนได้...
ไงต่อล่ะเนี่ย? อย่าเปลี่ยนใจจากมาตะเชียวนาน้องท่าน
ไม่ว่าจะมีกี่คนเข้ามา เราก็เชียร์มาตะและภัทรพจน์ได้ดองได้ครองคู่กันเสมอนะ
ตกลงกันเป็นใครกันแน่? จนถึงตอนนี้ก็ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
มาตะพจน์จงเจริญๆๆๆๆ เย้ๆๆๆๆๆ

รู้สึกว่าเวลาอ่านต้องแปลไทยเป็นไทยอีกที พจน์ก็รู้ถึงอดีตชาติของตัวเองแล้วสินะ
ถึงกับต้องแปลไทยเป็นไทยเลยหรือครับ 555

โรแมนติกมาก รักกันมาหลายภพหลายชาติเลยใช่ไหมค่ะ

แล้วมาตะกับพจน์จะสมหวังอยู่เคียงคู่กันตลอดไปไหม ยิ่งอยู่ต่างภพกันอีก
สงสารทั้งคู่  ลุ้นตอนต่อไปมากๆค่ะ

ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2:
คุณเชื่อเรื่องชาติภพไหม? อิอิ นั่นแหละครับ คำตอบอยู่ที่คู่พระนายของเรานี่เอง


อดีตชาติสินะคะ อืมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม
อืมมมมมมมมมมมมมมมม นี่หมายความว่ายังไงหรือครับ อยากรู้ๆ

:mew6:
โอ๋ๆ เจ้าเหมี่ยวอย่าร้องไห้เลยนะ

หืมมมมมมมมม เป็นอย่างนี้นี่เอง รักกันมาหลายภพหลายชาติ คงพรากจากกันมาหลายชาติเหมือนกัน
ชาตินี้ขอให้สมหวังแบบไม่พรากจากกันอีกเลยนะ
อ่านตอนนี้แล้วคิดว่าพจน์ต้องจำอะไรได้เยอะขึ้นแหละ อาจจะเป็นตัวเองในอดีตชาติ
รอตอนต่อไปเนาะ คิดถึงมาตะแล้วววว
ถ้าไม่สมหวังในชาตินี้ คนเขียนจะโดนคนอ่านปารองเท้าใส่หรือเปล่า หลบแปบ

เป็นตอนที่บรรยายได้ดีเลยค่ะรับรู้ถึงอารมณ์ของตัวละครเลย สรุปแล้วพระเจ้าวัชรคืออดีตชาตินั่นเอง(ใช่มั้ย555555) แรงอธิฐานยึดมั่นมาก ซึ้งแทนเลยแอบน้ำตาคลอนิดๆตอนพระเจ้าวัชรขอสละตัวเองแทนไม่บอกให้องค์ท่านรู้ความจริง รักเขามากใช่มั้ยยT_______T แต่แหมมมม่องค์ท่านชาตินี้หยอดเก่งจริงๆแถมมือไวปากไวหอมนั่นจูบนี่เขาตลอดไม่แพ้มาตะเลยจริงๆ แล้วที่น้องพจน์บอกว่าทำไมจะไม่รู้จักเพราะฝันถึงตลอด แสดงว่ารู้อยู่ใช่มั้ยแต่ไม่ได้ติดใจสงสัยคิดว่าฝัน? อยากให้น้องกลับไปเจอมาตะไวๆ ให้มาตะช่วยปลอบขวัญ(?) เลิกหมั่นไส้มาตะแปบบบบบบ
ขอบคุณครับ บทนี้ผมนี่เปิดตำราราชาศัพท์กันเลยทีเดียว หวังว่าคุณจะชอบ

โอยยย ขนลุกกก
ปวดท้องหรือครับ 5555

เดี๋ยวนะ นี่มาตะเป็นพระเจ้าแผ่นดินมาก่อนหรอเนี่ย
นั่นน่ะสิ ใช่หรือเปล่าน้า ติ๊กต๊อกๆ 555

ค้างงงงง :katai1: :katai1: :katai1:

คือลึกลับซับซ้อนมากๆ  เลยต้องกลับไปอ่านตอนเรื่องเล่าอีกรอบ

พระเจ้าวัชรโกมลหน้าคล้ายพจน์  แต่พระเจ้าอยู่หัวอนันตราชหน้าคล้ายมาตะ
มาตะนี่เป็นน้องของพระเจ้าอยู่หัวอนันตราชใช่ไหมค่ะ

อยากอ่านต่อแล้ว  ลุ้นมากๆค่ะว่าใครเป็นใคร   เกี่ยวข้องกันยังไง   ความลับอะไรค่ะ :katai1:
สนุกมากๆค่ะ  ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ :L2:
เริ่มมาถูกทางแล้วครับ แต่มาตะจะเป็นน้องหรือสายสัมพันธ์กับพระเจ้าอนันตราชยังไงต้องติดตามครับ

ครึ่งแรกของตอนนี้เงิบมาก

เงิบแรก มีคนหน้าตาเหมือนพจน์

เงิบสอง คนหน้าตาเหมือนพจน์เกี่ยวข้องกับมาตะ หรือคนหน้าคล้ายมาตะ

โอ้ ตอนนี้สตั๊นซ์แรงมาก  :a5: หรือมาตะอายุยาวนานแล้ว หรือมาตะคือรุ่นลูก ? หรือมาตะมีความลับอะไรซ่อนอยู่

แต่ขอมโนว่าคนหน้าเหมือนพจน์อาจเป็นเมียเก่ามาตะได้นะ ฮ่า ๆ

แต่ฉันเบื่อพจน์จังเลย ช่วยเขาหน่อยสิ คนตาย ช่วยอะไร อีโง่ !
ถ้าจะเงิบเยอะขนาดนั้น 555 ถ้าพจน์มาได้ยินประโยคท้ายสุดมีสิทธิ์เงิบเหมือนกันนะเนี่ย

:a5: :a5: :a5:
5555

กรี๊ดดดดดดดดดดดดด นี่พจน์กับมาตะผูกใจรักกันมาตั้งแต่อดีตชาติแล้วสินะคะ  :impress2:
ขอให้ชาตินี้สมหวังเถอะะะะะะะ

ปล. วรรคนี้ "ผู้ครอบครองสิ่งล้ำค่าสูงสุดปรากฏตัวพร้อมอุบัติการณ์แห่งพลังสถิตพร้อมสมบูรณ์อยู่เบื้องหน้าเรานี้"
STAR WARS เพลงลอยมาเลยค่ะ :m20:
A long time ago in a Galaxy far, far away...Da, daaa, da da da daaaa, daaaaaaaaaaaa da da da daaaaaaaaaaa daaaaaaaaaaaaaaaaaaaa da da da daaaaaaaaaaaa.

:katai1:า ค้าง!!!!!
คอมไม่ดีหรือ เน็ตไม่ดีครับถึงค้าง อิอิ

:really2:
:katai5:

เอาล่ะ พี่ท่าน ดังคำที่พี่ตอบน้องมานั้นน้องแจ้งแก่ใจดีว่า ถ้าเป็นบทที่พจน์พูดก็จักเป็นคำสมัยปัจจุบันไปพูดในอดีต แต่ที่น้องหมายคือ การบรรยายความในอดีตที่ไม่ใช่ส่วนของพจน์พูดนั้น บางครามันยังเป็นลูกผสมของปัจจุบันกับคำสมัยก่อน น้องเองก็คร้านจะหาให้ พี่ท่านโปรดพินิจเองเถิด...
ส่วนในบทนี้ซึ่งเป็นภาคปัจจุบัน มีบางคำที่ยังขัดๆ กัน ไม่แน่ช้ดว่าเป็นการที่ยังต้องการมีกลิ่นอายแห่งอดีตมาเจอในปัจจุบัน หรือเป็นการหลุดจากโทนออกไป หรือ แท้จริงเป็นการเอาภาษาเขียนไปใส่ในบทพูดแทน เลยทำให้บางคราฟังดูแปล่งๆ ชอบกล ดูไม่ใช่คำที่จะพูดแต่เหมาะเป็นคำเขียนเสียมากกว่า เช่น

“เช่นเดียวกับเมื่อครั้งมึงถามว่ากูคือใคร กูขอปฏิเสธ”
....เหมือนครั้งที่มึงถาม...

และทันใดนั้นอกของอาธนพลก็ยกขึ้นสูงรวดเร็วเหมือนมีมือล่องหนฉุดรั้ง บัดเดี๋ยวก็ฟุบลงกลับคืนฉับพลัน
...แล้วก็ฟุบ...

หากมึงไม่สามารถฝืนทนไหว จงร้องบอกกูทันที
...ถ้ามึงทนไม่ไหวให้รีบร้องบอกกูทันทีเลยนะ อย่าฝืน...

“มึงโปรดไว้วางใจ น้ำตามึงนี้ทำกูเจ็บรวดร้าว
...ขอให้มึงไว้ใจกูนะ เพราะน้ำตามึงมันทำให้กูเจ็บ...

“ไม่มีประโยชน์อันใดจักเชื่อถือในคำโป้ปดของทาสปีศาจอย่างเจ้าอีก” ไอ้กันย้อนคำ “ในมิช้าเราต่างจักได้รู้เช่นเห็นกันว่า ข้านำทวนอัศวาราตรีกาลมาผิดเล่ม ฤา ไม่”
...มิมีประโยชน์อันใด...

เป็นต้น พี่ท่านโปรดอย่าได้เคือง น้องแค่นำเสนอด้วยสมองอันน้อยนิดของน้อง เพราะน้องก็ไม่รู้ว่ส นิธินั้น นางจะมาสายไหน จะพูดเป็นทางการด้วยภาษาเขียนแต่ภาษาพูดแบบปกตินางก็ใช้ หรือจะอยากซั่มทั้งคำปัจจุบันกับคำในอดีต หรือนางจะมาแนวลิเก น้องก็ไม่รู้จริงๆ จุดนี้

แต่ต้องยอมรับว่าสนุกและฟินเฟอร์
ตกลงนิธิหรือกัน นางคงคือกฤษณะ สินะ แต่นางต้องสาปอันใด หรือให้สัตย์สาบานอะไร จึ่งไม่ตายแล้วต้องคอยมาดูแลพจน์
นอกจากนี้ น้องยังชอบการโต้ตอบกันด้วยสำบัดสำนวนต่างๆ ที่เป็นคำคล้องจองหรือมีสำผัสกัน อ่านแล้วจะรู้สึกว่าได้ย้อนไปยังสมัยก่อนจริงๆ ที่เค้าจะมีสัมผัสรับส่งกันในการสนทนาพาที
น้องขอขอบคุณอีกนะฮะ
เป็นคอมเม้นต์ที่ยาวดีและคนเขียนชอบมาก ตอบทีละข้อเลยนะครับ
1.ในส่วนเหตุการณ์ที่พจน์ข้ามพิภพไปหามาตะ คำบรรยายตั้งใจจะเลือกเฟ้นคำสมัยเก่ามากที่สุด หากจะมีตกหล่นหรือแทรกด้วยคำสมัยปัจจุบันก็อาจหลุดไปต้องอภัยมาในที่นี้ แต่อย่าลืมว่า รากฐานของภาษาในปัจจุบันบางคำล้วนมีมาเมื่อเจ็ดร้อยกว่าปี บางคำเพิ่งเกิดขึ้นไม่ถึงร้อยปี และช่วงเวลาที่มาตะอาศัยอยู่ผู้เขียนไม่อยากระบุช่วงเวลาให้แน่ชัด แต่คำบางคำเมื่อร้อยกว่าปีปัจจุบันก็ยังใช้อยู่จึงไม่รู้จะเรียกว่า คำสมัยใหม่ ได้เต็มปากเต็มคำหรือไม่ แต่หากในภาคบรรยายมี คำสมัยใหม่ แทรกเข้าไปในเหตุการณ์ข้ามพิภพ อาจด้วยจงใจหรือไม่จงใจก็แล้วแต่ คือความผิดของผู้เขียนทั้งหมด ขอน้อบรับคำติชมทุกประการ
2.ในส่วนเหตุการณ์ปัจจุบัน คำบรรยายหรือคำสนทนาก็ดี หากมีคำสมัยเก่าแทรกปะปนเข้ามาในวาระต่างๆนั้น เจตนาแรกของผู้เขียนประสงค์ไม่ให้เนื้อเรื่องทั้งสองภพนั้นหลุดขาดโดดเด่นจากกันเกินไป แต่หากคำไหนเก่าเกิดที่จะสามารถดำรงอยู่ในเหตุการณ์ปัจจุบันจนแสลงในอกของผู้อ่านจนรู้สึกตะขิดตะขวงใจเกินรับไหว ก็นั่นแหละคือความผิดของผู้เขียนอีกเช่นกัน
3.ในส่วนของประโยคสนทนาของกันนั้น ผู้เขียนตั้งใจให้ติดคำสมัยเก่าเข้าไป เหตุเพราะ...นั่นแหละ น่าจะรู้ว่าคนคนนี้ไม่ใช่ธรรมดา เปรียบเหมือนคนสุพรรณเข้ากรุงบางทีก็ติดสำเนียงมาบ้างประมาณนี้

ขอบคุณสำหรับคำติชมนี้มากๆ มีประโยชน์ต่อผู้เขียนอย่างยิ่ง จุดไหนที่มืดบอดไม่อาจมองเห็นด้วยตาตัวเอง คนอ่านนั่นแลจักเป็นกระจกสะท้อนกลับมา ขอบคุณมากๆครับ

เราชอบเรื่องนี้นะ แต่บางครั้งคำพูดโบราณมันดูโครงกลอนเกิน จนเราอ่านแล้วมัดขัด ๆ อะ ในตอนเกี้ยวกันโอเคงดงาม แต่ตอนพูดคุยหรือแม้แต่วิวาทกันมันดูอย่างไรก็ไม่ดูสิ เพราะอย่างแรกตอนต้นการพูดจาไม่ค่อยเหมือนโคลงกลอนมากนัก แต่พักหลัง ๆ มันมาแบบโคลงกลอนเกือบหมด ซึ่งเรียกได้ว่าพูดกันโดยภาษากลอน เรามองว่ามันค่อยข้างดาดไปนิด มันดูธรรมดาไปเลย แบบมาตะพูดคล้ายโคลงกลอนในบทที่วิวาทเยอะมาก หรือแม้แต่ก่อนเกี้ยวพจน์ คือมันแบบ โอ่ย พูดธรรมดา โบราณ ดั่งเช่นเจอพจน์ครั้งแรกเถอะ

รอมาต่อนะคนเขียน สงสารมาตะ แต่รู้สึกว่ากฤษณาดูมาหาเรื่องวิวาทมาตะโง่ไปนิด แต่พอเจอพจน์กับเจ้าชูงูดินได้แม้เพียงความคิด และพจน์โง่จังเลย เป็นเรานะ "อยากนั่งใช่ไหม เชิญนั่งจนตายไปเลย"

ตอนล่าสุด เราเข้าใจพจน์นะ เฮ้อ แต่บางเรื่องนี่พจน์ควรทำใจยอมรับเถอะ การสูญเสียอะไรทำนองนี้ และดูอ่อนแอจังเลย เฮ้อ

นิธิเรากำลังสงสัยว่าอาจเป็นมาตะภพก่อน หรือใครสักคนที่อยู่ภพก่อน

ความรู้สึกเรา เราคิดว่ามาตะนี่แหละพระเอก มันสะกิดใจมากเลยนะว่าใช่ ส่วนนิธิอารมณ์เหมือนพระรองเกาหลีอะไรเถือกนี้

โอ่ย ๆ เรื่องนี้มีอะไรลุ้นเยอะดี
เห็นด้วยที่บางบทสนทนามันคล้องจองเกินจนดูเหมือนกลอน เจตนาแรกของผู้เขียนประสงค์ให้มันดูแตกต่างจากภพอื่น เจตนาที่สอง คือให้อ่านไหลลื่นประหนึ่งคนที่จัดเจนภาษาเสมือนอาวุธคู่กาย เพราะฉะนั้นจะลดคำคล้องจองลงในบทสนทนาลงตามลำดับ

กันปกป้องพจน์แบบนี้  ได้ใจไปอีกแล้ว 

ลุ้นมากๆว่ากันเป็นใครกันแน่ 

เห็นใจพจน์เจอแต่เรื่องประหลาดใจ  และคิดถึงมาตะ555

ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ รอติดตามเสมอนะคะ :L2:
ดีใจครับที่คุณชอบกัน ตัวละครตัวนี้ลึกลับซับซ้อนอีกตัวหนึ่ง แต่ตอนนี้ความลับกำลังถูกเปิดเผยทีละน้อยๆแล้ว

รอ
มาแล้วๆ

ลึกล้ำ
ขอบคุณครับ

คุณอารอดแล้วววววววววว
มาตะ ส่งมาตะมาหวานให้เจ๊อิ่มอกอิ่มใจเถอะค่ะ
พระเอกของเรายิ้มแก้มแตกพอดี มีแต่คนรักคนชอบ ดีใจด้วยๆ

พวกด้านมืดดดดดด  หยุดเถ๊อะะะ ปล่อยให้มาตะมันหวานกันโหน่ยยยยยย
จอมมารมาได้ยิน คงมีสะดุ้งก็คราวนี้แหละ

อย่าพึ่งลูกกกกกก สติค่ะ ตั้งสติ มันต้องมีหนทางสิคะ  :กอด1:
ทวนที่อยู่ในมือยังไม่ได้ใช้เลย

อย่าเหมาหมดซีคะะะะะะ สงสารคนแรก(มาตะ)บ้างงงง  :hao5:
พจน์คงลืมสติไว้ที่ไหนสักแห่งครับ 555 ขอบคุณที่เตือน เหมาหมดนี่ยังไงครับ อิอิ

ความรักและความจริงใจของกันไม่แพ้มาตะเลย  เริ่มสงสารกัน

พจน์ต้องลองอีกครั้ง  มีพลังแล้วนะ  รู้ตัวแล้วยัง  อย่าท้อ 

รอติดตามเสมอนะคะ  ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :L2:
เย้ เอฟซีกัน ชูป้ายไฟๆ #ทีมกัน

ต้องช่วยได้อยู่แล้ว ใจเย็นๆนะพจน์
:hao5:




หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๑๙ โคลงพยากรณ์ ๑๐๐% (๑๘/๐๓/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 29-03-2016 20:50:35
 o13
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๐ คำหวานครวญ ๕๐% (๓๑/๐๓/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 31-03-2016 10:20:24
บทที่ ๒๐



คำหวานครวญ



“...ใช่...ใช่หรือเปล่า” ท้ายคำพจน์แทบจะถามกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างขาดความมั่นใจ ปรารถนาให้สิ่งใดที่คาดเดาไว้ผิดทั้งหมด

“....”

“ได้ยินไหม ที่กูพูดมันเป็นความจริง...ใช่...หรือเปล่า” หากไม่ใช่ความจริง ขอให้ไอ้กันพูดมาเพียงคำเดียวว่า ไม่ และพจน์ยินยอมพร้อมใจจะเชื่อในคำยืนยันนี้ทันที
 
“มึงรู้เพียงแค่ว่าโคลงพยากรณ์...หมายถึงมึงก็พอแล้ว”

คำตอบแบ่งรับแบ่งสู้ทำให้ดวงตาพจน์เหมือนถูกเมฆหมอกสีขาวบดบังการมองเห็น
 
“มึงควรจะปฏิเสธ ไม่ใช่ทำเหมือนกำลังปิดบังความจริงกูครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้ แล้วจะให้กูไว้เนื้อเชื่อใจในตัวมึงอีกได้ยังไง”

“มึงเชื่อใจกูได้ แต่มันยังไม่ถึงเวลาที่จะรู้เรื่องราวทั้งหมด”  สายตามั่นคงตอกย้ำน้ำคำ

“ทำไมต้องเป็นกูวะ” พจน์ส่ายหน้ากุมขมับ ก้าวถอยห่างจากนิธิ “มนุษย์มากมายหลายพันล้านคนบนโลกจะเป็นใครก็ได้ ทำไมโคลงสี่สุภาพต้องห้ามถึงจำเพาะเจาะจงที่กูคนเดียว มึงรู้ไหมมันทำให้ชีวิตกูสับสนแค่ไหน”

“ทั้งพิภพนี้ไม่มีใครอื่นอีกนอกจากมึงคนเดียวที่ได้ครอบครองสิ่งล้ำค่าสูงสุด”

“ไหนล่ะ เพชร สิ่งล้ำค่าที่ว่า มันอยู่ที่ไหน” นิธิส่ายหน้า “ถ้างั้นมึงเอาคืนไปได้ไหม กูไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น ไม่อยากต้องแบกรับภาระมากมายที่รออยู่” พจน์ยื่นความว่างเปล่าให้คนตัวสูง
 
“กูขอโทษ แต่มึงยังจำวินาทีสุดท้ายในอดีตชาติได้หรือเปล่า ปณิธานหนักแน่นคือคำตอบที่มึงถาม ไม่มีใครอื่นอีกที่โคลงพยากรณ์จะหมายถึง นอกจากดวงใจของไอ้กันคนนี้”

เป็นพจน์จริงๆน่ะหรือ เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองจะพิเศษเหนือคนอื่น มีสองมือสองขาเหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไป เป็นเด็กมัธยมปลายคนหนึ่งที่อยากทำตามความใฝ่ฝันมากมาย และอยากมีชีวิตสุขสงบกับครอบครัว
 
 ข้ามพิภพ

ใช่ นั่นคือความสามารถอย่างหนึ่งของผู้ครอบของสิ่งล้ำค่าสูงสุด ยากเหลือเกินที่จะปฏิเสธและทำใจยอมรับโคลงพยากรณ์บทนั้นกล่าวอ้าง

แต่ความรู้สึกผิดหวังซึ่งถาโถมประดุจคลื่นสาดซัดอยู่ขณะนี้ เป็นเพราะไม่มีใครยอมพูดความจริงกับพจน์เลย ทั้งคุณปู่ซึ่งเก็บงำความลับเรื่องหลักฐานยืนยันเหตุหายนะภัยน้ำท่วมโลก ทั้งไอ้ปาล์มที่มีท่าทีเปลี่ยนไปเป็นคนละคนหลังจากปฏิเสธคำพูดของตัวเอง หรือแม้แต่คนตรงหน้านี้ก็ยังเลือกที่จะไม่บอกความจริงพจน์ทั้งหมด
 
ท่ามกลางความรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนโลกนี้ไม่มีใครอื่นเข้าใจความรู้สึกเบื้องลึกอ้างว้างนั้นได้ เสียงของเครื่องดนตรีคลับคล้ายซออู้ก็ดังแว่วผ่านอากาศหนาวเย็นมาแผ่วเบา พร้อมค่อยๆชัดเจนขึ้นเมื่อพจน์ลองหลับตา

“บุญคุณที่มึงช่วยชีวิตอาพล กูไม่ลืม สักวันกูจะตอบแทนอย่างแน่นอน มึงกลับไปก่อนเถอะ นับแต่นี้...มึงกับกูคงไม่มีเรื่องต้องคุยกันอีก”

“กูขอโทษ ไม่ ไม่ ไม่ อย่าทำแบบนี้ ไอ้พจน์ อย่าเพิ่งจากกูไป กูขอโอกาสแก้ตัว ให้กูทำอะไรก็ได้ แต่อย่าผลักไสไล่ส่งกูเลย”

เบื้องหน้าพจน์เห็นเงาร่างของไอ้กันยื่นมือไขว่คว้าเลือนรางจนหายลับไปพร้อมกับกลุ่มหมอกสีขาว อากาศหนาวเย็นยังคงอยู่แต่ก็อุ่นขึ้นทันทีเมื่อมันนำพจน์มาสู่ปราสาทผนังไม้ลงรักปิดทองลวดลายเทพพนม รอบเสาขนาดใหญ่สูงชะลูดแกะสลักปิดทองประณีต เบื้องหลังฉากกั้นมีเพียงดวงไฟจากอัจกลับหนึ่งเดียวเท่านั้น เผยให้เห็นเงาร่างของชายผู้กำลังบรรเลงเครื่องดนตรีลักษณะซออู้ เพียงเห็นแผ่นหลังกว้าง และเสี้ยวหน้าจมูกโด่ง ก็ทำให้พจน์จดจำได้ทันควัน พลันเกิดความรู้สึกตื้อตันอัดแน่นเกิดแต่อกตัว เพราะเสียงสีซอฟังดูโศกเศร้าระคนหม่นหมองประดุจเดียวกับอารมณ์ของพจน์ไม่ต่างกัน เผลอจ้องมองมาตะซึ่งหลับตาขมวดคิ้วแน่น ขยับคันสีเป็นจังหวะเช่นเดียวกับนิ้วที่กดเส้นสายเป็นเสียงคร่ำครวญ

ท่วงทำนองหากจะฟังเอาความด้านไพเราะก็เสนาะหู หากจะฟังเอาอารมณ์อันแทรกอยู่ในเส้นสายลายเสียงก็จับจิต พจน์ไม่เคยรู้ว่ามาตะมีทักษะด้านดนตรีชนิดนี้จึ่งเผลอหยุดจับจ้อง อารมณ์โกรธในใจถูกระงับลดทอนลงตามลำดับ ลองหลับตาฟังก็ให้รู้สึกขนลุกแล่นทั่วสรรพางค์กาย ก่อเกิดหยดน้ำรอบดวงตากลมเอ่อคลอได้อย่างประหลาดโดยแท้ ดูราวกับสรรพเสียงอื่นใดก็มิอาจแข่งขันสู้กับเสียงดนตรีนี้ได้ และหรืออาจเพราะสรรพสัตว์ทั้งหลายต่างเงี่ยหูฟังความไพเราะถึงจะถูกต้อง

อกด้านซ้ายกระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะท่วงทำนองนำพา ฉับพลันก็รู้สึกเหมือนมีมือล่องหนมาบีบรัด ชักนำให้ลมหายใจกำเริบสะดุดหยุดนิ่ง ประดุจเสียงซอผสานทำนองเชื่องช้าถ่ายทอดเป็นคำพูดของมาตะ และพจน์สามารถเข้าใจได้โดยตลอดความ มือทั้งสองกำแน่นระงับความเจ็บลึกภายใน
 
รูปกายกำยำของมาตะในผ้าภูษาสีขาวบริสุทธิ์ตกแต่งเครื่องประดับทองสะท้อนแสงไฟวับวาม ทอดกายนั่งบนตั่งแกะสลักรูปทรงเทพพนม รายล้อมด้วยเครื่องดนตรีหลากชนิด บ้างคล้ายระนาด กลองชาตรี กลองโทน วางเรียงรายอยู่บนแท่นสูงชิดติดผนัง
 
ไม่รู้ว่าสายตาพร่ามัวเพราะหยาดน้ำชักนำให้พจน์เห็นเรือนร่างมาตะผิดต่างจากทุกคราที่เคยเจอหรือเพราะมีบางสิ่งดลบันดาลให้เห็นภาพเงาพระเจ้าอนันตราชซ้อนทับมาตะจนดวงตาพจน์ไม่อาจแยกแยะความแตกต่างออก ประหนึ่งภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าคลับคล้ายคลับคลาเคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง รู้สึกตัวอีกทีพจน์ก็กำลังก้มกราบแทบพระบาทเชิงงอนของเงาอดีตชาตินั้น แล้วหลุดคำกล่าวสุดหักห้ามไว้

“ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท วัชรโกมลอยู่ ณ ที่แห่งนี้แล้ว พระเจ้าค่ะ”

เงาร่างของพระเจ้าอนันตราชปรากฏรูปรอยแจ่มชัด ทรงแย้มพระโอษฐ์กว้างตอบรับคำกราบบังคมทูล พระองค์ทรงฉลองภูษาดำเลื่อมระยับ ประดับเครื่องทรงอย่างกษัตริย์ พร้อมสวมมหาพิชัยมงกุฎเหนือพระเศียร อัญมณีสีนิลกึ่งกลางพระนลาฎต้องแสงไฟดูเปล่งประกาย

“เพลงบรรเลงบทนี้ยังคงต้องใจน้องท่านอยู่ ฤา ไม่” พจน์พยักหน้ารับเชื่องช้า “ยามใดน้องเจ้าวอนพี่ให้ทรงดนตรีสีซออู้ คำหวาน นี้แหละหนาคือยอดชู้ต้องใจเจ้า แม้โศกเศร้าเหงาทรวงก็ได้ท่วงทำนองหวานช่วยคลายการหนักอกให้ทุเลาเบาบางลงเฉกทุกครา วานตอบให้อุราพี่เต็มตื่นชื่นฤดีเถิดหนาเจ้า”

“พระเจ้าค่ะ ยังคงไพเราะเสนาะโสตต้องใจข้าฝ่าพระบาทเสมอเหมือนมิลืมเลือน”

“นานแสนนานเหลือเกิน...ยามเราสองจักได้พบเจอกัน พี่นี้คิดคะนึงถึงเจ้ามิเว้นว่าง ยอดดวงใจแลดวงสุริยะของพี่”

เสี้ยวหนึ่งในกายพจน์ส่งสัญญาณให้รู้สึกปริ่มจะขาดใจ พยักหน้ารับพร้อมหลั่งน้ำตานอง

“เจ้าสุขกายสบายดี ฤา แลหรือปริวิตกการใดอันหนักอกจึ่งสุดกลั้นน้ำตาไว้ได้”

“ใต้ฝ่าพระบาท เกล้ากระหม่อมสุขสำราญดี แต่เหตุอันหลั่งน้ำตาเนื่องเพราะปีติยินดีที่ได้สบพระพักตร์ใต้ฝ่าพระบาทอีกคราหนึ่ง” คำพูดหลุดจากปากพจน์ราวกับต้องมนตร์

“การใดหนักอกยากจักปลงลงได้จงวางเสีย หนทางมิได้มีแค่วิถีเดียวจักสู่ผลสำเร็จ จงตรึกตรองใคร่ครวญให้ถ้วนถี่ แลน้องพี่จักพบหนทางสว่างนั้น”
 
“เป็นบุญตัวยิ่งแล้วที่ข้าฝ่าพระบาทได้พานพบพระองค์อีกครา หนทางอับจนใดมืดทึบก็บังเกิดเห็นทางออก เหตุเพราะพระราชดำรัสตรัสชี้แนะเสียสิ้น หากแต่หัวใจข้าพระองค์ทนทรมานเหลือล้ำ เส้นทางยาวไกลเบื้องหน้ามากล้นปริศนา มืดดำยิ่งกว่าหินผานิลกาฬ”

“เพลาเราสองจักพบหน้ากันครานี้ เหมือนดั่งจันทราถูกเมฆาบดบังชั่วขณะหนึ่ง ครั้นลมวายุพัดโหมหมู่เมฆเคลื่อนย้ายทิศทาง เผยแสงเดือนส่องพื้นโลกอีกครั้งจึ่งสิ้นสุดเวลาพบเจอ น้องเราลุชันษาเติบกล้า ครองวิสัยอาจหาญชาญณรงค์ ทำการสิ่งใดรู้คิดผิดชอบชั่วดีโดยตลอด เป็นดั่งขุมทรัพย์ปัญญาเคียงข้างพี่ก็อาจกล่าวได้ดั่งนี้ แม้นหนทางเบื้องหน้ามีอุปสรรคขวากหนามกั้นกางอยู่ สติปัญญาน้องท่านจักคิดทลายลงในมิช้า”

พจน์ก้มหน้าผากจรดปลายนิ้วโป้งน้อมกราบซ้ำอีกหน

“พระราชดำรัสอันใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงตรัสล้วนแผ้วถางอุปสรรคให้ลดลงประมาณกึ่งหนึ่งก็ว่าได้ดั่งนี้  ด้วยพระปรีชาญาณแลเดชานุภาพอันเกรียงไกรสมฐานะแห่งกษัตราธิราชเจ้า ข้าฝ่าพระบาทจักสนองคุณแลสนองคำตามพระราชประสงค์ อาวรณ์ก็แต่เพียงบัดนี้เสี้ยวชีวิตหนึ่งของข้าฝ่าพระบาทกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ แลประสบภยันอันตรายมากล้น อีกทั้งปัญหาขบคิดนานัปการเกินสติกำลังจะไขถอน เกรงจักแบกรับคำสนองไว้มิได้ตลอด”

“ก็แหละเสี้ยวชีวิตหนึ่งของพี่ได้กลับมาเกิดเพื่อจักครองคู่ครองรักสมัครสมาน ร่วมผสานร่วมพิชิตสิ่งโฉดชั่วทั้งปวงมิใช่ ฤา อย่าได้หวั่นเกรงสิ่งอันยังมิเกิดขึ้นในภายภาคหน้าเลยน้องเจ้า ความรักชักนำส่วนเสี้ยวของแต่ละฝ่ายมาพบเจอกันแล้ว สิ่งใดจักเกิดก็มิอาจฝืนลิขิตชะตาฟ้าได้อีก”

“น้ำพระราชหฤทัยนี้ทราบซึ้งตรึงใจข้าฝ่าพระบาทยิ่งแล้ว หากแต่อดปริวิตกอยู่สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นอาชญาหนักยิ่งฝังรอยแก่ตัวข้าฝ่าพระบาทจวบจนกระทั่งวันตาย คือทอดกายถวายชีวิตโดยมิได้กล่าวคำอำลาสู่พระองค์เมื่อครานั้นได้” พจน์สะอื้นไห้สุดหักห้าม “มิเพียงนั้นยังทอดทิ้งพระองค์ไว้โดยเดียวทั้งตั้งมั่นสาบานแล้วว่าจักครองคู่จวบเฒ่าชราภาพ”

เงาพระเจ้าอนันตราชยังครองพระพักตร์แจ่มกระจ่าง เอื้อมหัตถ์ลูบโลมผมของพจน์แผ่วเบา

“หาเป็นความผิดถึงขั้นอุกฤษฏ์โทษไม่ ก็แหละกาลโพ้นเมื่อล่วงผ่านเราสองจำต้องละจากกันยังมิทันกล่าวคำลา แต่ภพชาตินี้พี่ลั่นสัตย์วาจา จักมิอาจมีผู้ใดพรากเราสองจากกันอีก”

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งแล้ว”


เสียงซอบรรเลงท่อนจบของมาตะดังแทรกในห้วงคำนึง ฉุดพจน์หลุดออกจากภาพนิมิตสู่เหตุการณ์ความจริง สัมผัสรู้หยดน้ำหลั่งไหลอาบแก้ม พระราชดำรัสของพระเจ้าอนันตราชเสมือนยาดีสมานความคิดให้เฉียบแหลมยิ่งขึ้นเป็นทวี ทั้งมากล้นเรี่ยวแรงกำลังใจล้นพ้น พจน์พนมมือยกเหนือศีรษะน้อมรำลึกถึงบุญญาธิการและบารมีของสองขัตติยราชที่ช่วยขับไล่เงาเมฆหมอกขุ่นมัวออกจากดวงตา

มาตะค่อยๆลืมตาเหม่อมองจดจ้องแสงเดือนนอกหน้าต่าง ไม่อาจรู้ว่าภาพที่เห็นเป็นสิ่งใดถึงได้ดลใจให้อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยถ้อยคำเป็นบทกลอน

“ถ้อยคำในถ้อยใจอัดแน่นอก
กล่าวฝากนกฝากลมถวิลหา
ร้อยคำหวานถักรักปักอุรา
ยอดดวงตา ณ แห่งใดใคร่แจ้งการ”

พจน์ยกหลังมือเช็ดรอยน้ำตาก้าวเท้าเข้าสู่แสงอัจกลับ ทอดสายตาพินิจมองมาตะขยับคันสีจวบกระทั่งจบเพลง กลอนคำกล่าวถ่ายทอดสำเนียงเสียงซออู้เป็นคำพูดได้อย่างดีจนพจน์จำต้องระบายบางสิ่งในอกโต้ตอบเป็นกลอนบทต่อมา

“อันคำหวานฝากลมรสกลมกล่อม
หากเปรียบย่อมยกเทียบน้ำตาลหวาน
รสวาจาเลิศล้ำฉ่ำชื่นนาน
แม้นผ่านกาลผ่านภพจบตรึงใจ”

ใบหน้าเศร้าเคล้าหม่นหมองพลันชื่นปีติทันควันเมื่อสบเห็นร่างของพจน์ มาตะละซออู้ไว้ข้างกายก่อนผลุดลุกเข้าหาคนรัก เด็กหนุ่มร่างหนาประคองสัมผัสมือพจน์แผ่วเบา แววตาสะท้อนความรู้สึกหลากหลายจนพจน์ต้องเอื้อมนิ้วสัมผัสใบหน้านั้นให้คลายวิตก ก่อนที่มาตะจักกล่าวเป็นกลอนอีกครั้ง

“รสน้ำตาล ฤา วาจาโอชารส
จะเปรียบปดว่าหวานก็หาไม่
ซ่อนขื่นขมปนหวานผสานไป
ทั้งอาลัยอาวรณ์ซ้อนอารมณ์”

พจน์เก็บรายละเอียดบนใบหน้ามาตะไว้แน่วแน่แก่ใจ ไม่ให้ขาดหายลืมหลงแม้ไกลห่างสักแค่ไหน เพียงหลับตาก็นึกเห็นอีกฝ่ายอยู่เบื้องหน้าในทันใด แล้วจึ่งกล่าวตอบว่า

“ถ้อยคำเอยคำหวานสำราญถ้อย
จะหวานน้อยหวานมากหรือหวานขม”

มาตะจ้องริมฝีปากพจน์สลับดวงตาสีน้ำตาล ก่อนจักขยับใบหน้ารูปงามเข้าหายอดดวงใจของตน พลางว่า

“เพียงพบหน้าสบตาอกทุกข์ตรม
พลันสุขสมสุขล้ำคำหวานเอย”

สิ้นคำทุ้มไม่ทันที่พจน์จะกล่าวคำใดมาตะก็ประกบริมฝีปาก มอบจุมพิตดูดดื่มเนิ่นนาน ราวกับห้วงเวลาได้หยุดเดินเสียสิ้นในทันใด ราวกับโลกนี้ไม่มีใครอื่นอีกนอกจากคนทั้งคู่ ลมหายใจร้อนพรั่งพรูสู่กันแลกันเป็นจังหวะถี่กระชั้น ปลุกไฟในกายให้ลุกโหมดั่งกองฟืนต้องลมวายุ


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3360964#msg3360964)

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๐ คำหวานครวญ ๕๐% (๓๑/๐๓/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 31-03-2016 11:51:39
 :ling1:ค้าง  ลุ้น รอ ไร้ท  :katai4:
สนุก ชอบ ลึกลับ สมชื่อ ข้ามพิภพ  :katai2-1:
ไร้ท เขียนเก่งมาก คนอ่านตีความกันจ้าละหวั่น  :mew1:
อรรถรสทางภาษา ยอดเยี่ยม หรือไร้ท ก็ข้ามพิภพ มาเช่นกัน  :katai1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๐ คำหวานครวญ ๕๐% (๓๑/๐๓/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 31-03-2016 16:12:02
พอเลื่อนมาถึง TBC 50% แบบ  อ่ะ......อะไรอ่ะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะ     อ้างปากค้างกันเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๐ คำหวานครวญ ๕๐% (๓๑/๐๓/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 01-04-2016 00:48:25
กอดคนแต่ง อิ่มเอิบมาก ยิ่งอ่านยิ่งมีความสุข  :กอด1:
แต่พอเห็น 50% แล้ว ไม่กอดคนแต่งแล้ว ใจร้าย ค้างงง :katai1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๐ คำหวานครวญ ๕๐% (๓๑/๐๓/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: nokkkey ที่ 01-04-2016 04:47:37
กรีดร้อง 50% :ling1: :heaven
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๐ คำหวานครวญ ๕๐% (๓๑/๐๓/๕๙) หน้า ๗ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 06-04-2016 20:05:15
คิดถึง
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๐ คำหวานครวญ ๑๐๐% (๑๘/๐๔/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 18-04-2016 15:35:01
[ต่อ]


ริมฝีปากแดงฉานจักว่าร้อนดั่งเพลิงกาฬก็อาจเปรียบเทียบเคียง ด้วยรุมเร้าผิวกายพจน์จนรุ่มร้อนทุกขุมขน กระสับกระส่ายเวียนวนเพราะรอยจูบของมาตะกลุ้มรุมชิวหา จนกำลังกายาอันเป็นเรี่ยวแรงยืนหยัดแทบอ่อนระทวย ฝ่ามือเรียวใช้พละกำลังเท่าที่เหลือบรรจงค้ำประคองออกแรงผลักอกล่ำให้ขยับถอย เพียงแตะสัมผัสผิวกายเปลือยของเจ้าหนุ่มล่ำสัน ก็สั่นสะท้านซ่าบซ่านเป็นจังหวะละถอนชั่วขณะ ได้ช่องให้พจน์พลอยสูดอากาศเข้าสู่กายโดยพลัน มิพักให้รอช้า มาตะฉวยขยับใบหน้ารูปงามสาละวนเพียรมอบจุมพิตสู่พจน์ไม่ออมแรง

“ดะ...เดี๋ยว”

ลมหายใจสำลักพุ่งเข้าออกละล่ำละลักทักท้วงห้าม แต่มาตะทำประหนึ่งสรรพเสียงบนพิภพนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงความตั้งใจมั่นของตน มุ่งหวังจักระบายห้วงคิดคำนึงให้หายบรรเทากู่ดังก้อง พจน์ยกฝ่ามือยับยั้งรอยปากมาตะมิดชิด ก่อนทุกอย่างจะถลำลึกเกินควบคุม หากเกิดจุมพิตซ้ำอีกหน สติอันเลือนรางตอนนี้คงไม่อาจยุดยื้อการกระทำใดได้อีก
 
ครั้นแววตาวอนสะท้อนสู่การมองเห็น จึ่งทำให้เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลระงับเปลือกตาปิดลง เขาจะหลวมตัวหลงกลหลงแววอ้อนเฉพาะตนนั้นมิได้ ไม่ใช่เพราะอยากปฏิเสธ แต่มีบางสิ่งรบกวนใจยากจักมีอารมณ์ร่วม ประกอบกับบาดแผลจากคำโกหกของทุกคนรอบตัวพจน์เป็นรอยฉกรรจ์ฝังลึก

“ประพฤติน้องท่านนี้แจ้งเหตุ แลประสงค์ให้มาตะต้องทุกข์ทรมานปานเจียนสิ้นชีวาวายกระนั้น ฤา” มาตะตัดพ้อต่อว่าหน้าสลด

“จึ่งยกมือยุดห้ามรอยปาก อันเสมอกล่องดวงใจเพื่อปูนบำเหน็จสู่น้องท่าน เปรียบเป็นเครื่องเยียวยาความทุกข์มากล้นให้ลดทอนลงยิ่งกว่ายาดีเป็นไฉน แหละมาต้องกิริยาผลักไสเฉกคนเจ็บนอนซมใกล้เจียนตายมาถูกหมอยาปฏิเสธการรักษา จึ่งให้รู้สึกเวทนาในอกตัว มาตะนี้ครองตนนับว่ากล้าหาญอดทนเสมอขุนศึกในแนวรบหน้า ไม่ประหวั่นเกรงภัยอริราชศัตรูเมื่อแรกปะทะ หากยามใดได้ออกศึกตอบแทนคุณผืนแผ่นดินก็จักอาสาอยู่กองรบแรกต้นเสมอเป็นกิจประจำใจ หาได้ร่นระย่อท้อถอยแม้เพียงนิด แต่ยามนี้จิตใจกล้าหาญอันยกเทียบเมื่ออดีตกาล เพียงประสบเห็นกิริยาผลักไสของน้องท่านแจ้งว่ารังเกียจตัวฉะนี้ ความกล้าหาญในสมรภูมิรบใดจักนำมาปลอบใจในขณะนี้หามีไม่ ซ้ำท่าทีห่างเหินเมินหน้าหนีเป็นยิ่งกว่าอริราชศัตรูคู่อาฆาตจักอาจหาญสู้ต่อกร ความคิดแจ้งกลใดในเพลงดาบ ฤา จักนำมาใช้ต่อยุทธกับอาการเหมือนดั่งเดียดฉันท์ตัว จนมาตะหวาดกลัวมิอาจครองสติปลอบขวัญให้หยืดหยัดได้แล้ว วานน้องท่านเป็นคุณ ยกดาบทองคู่กายข้านี้ประหัตประหารมาตะเสีย อย่าให้เป็นที่ระคายตาของน้องท่านอีกเลย”

คำน้อยอกน้อยใจของมาตะลุกลามเกินกว่าเจตนาพจน์เมื่อแรกกระทำ เพียงเห็นสีหน้าเศร้าเคล้าโศกสลดก็ให้รู้สึกผิดมากประมาณ

“ไม่ใช่จะผลักไสนาย แต่....”

“เมื่อแรกเห็นเงาน้องท่านขยับสู่แสงอัจกลับงามจับตา ประดุจเมฆาคลายแสงเดือนต้องพื้นโลก ปลอบให้เหล่าสรรพสัตว์คลายโศกชื่นปีติว่าวันคืนแน่แท้ยังคงอยู่เฉกจันทราคู่สุริยา อดที่สกุณาน้อยต่ำต้อยจักยินดีแลนอนตาหลับได้ในทิวาราตรี จวบกระทั่งจันทรานั้นมาหยุดฉายแสงริบหรี่ลงแลกลืนหายลับสู่ห้วงเวหา กระทำประหนึ่งมิสนแววตาของสกุณาน้อยอันคอยเฝ้าแหนเฝ้ารอ เหตุแสงเดือนเป็นดั่งผ้าห่มอันอบอุ่นแก่ตัว มาบัดนี้ถูกทอดทิ้งไว้ท่ามกลางความเหน็บหนาวในราตรีฉะนี้ เปรียบท่าทีเช่นกิริยาน้องท่านมิต่างกัน หากสกุณาน้อยประสงค์ไออุ่นจากจันทราปลอบขวัญตัวในยามรัตติกาลให้ผ่านพ้นความเหน็บสะท้านไปสู่วันใหม่ให้ได้ฉันใด มาตะนี้ก็ประสงค์ไอร้อนจากผิวกายน้องท่านปลอบใจให้ผ่านราตรีนี้ไปได้ฉันนั้น ก็แหละไอร้อนอันเป็นของหวงแหนแก่ตัวน้องท่าน มิประสงค์จักทำคุณแก่คนต่ำต้อยเช่นมาตะแล้ว จงดับชีวานกน้อยผู้นี้อย่าให้ดำรงตนทนทรมานสืบไปเมื่อหน้าเลย”

วาจาเปรียบเทียบอ้อนวอนทำเอาพจน์วุ่นใจ ไฟร้อนในกายยังไม่ทันดับลง หนำซ้ำยังถูกพัดกระพือจากถ้อยคำน้อยในอกตัวของมาตะอีกจนไม่รู้จะตัดสินใจเอ่ยคำใดโต้ตอบ จึ่งเงียบนิ่งเสีย

ฝ่ายมาตะเห็นท่าทีคนรักนิ่งเฉย ดำริไปข้างว่าไม่สนใจคำรำพันตัว จึ่งบังเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจเหลือประมาณ ย่อกายทรุดลงบนตั่งประหนึ่งไร้เรี่ยวแรงพยุงร่าง ปรับสีหน้าให้โศกสลดยิ่งกว่าก่อนบรรเลงซออู้

คำหวาน นี้ เป็นเพลงบทแรกซึ่งข้าเรียนรู้แลบรรเลงได้จนจบ แม้นครูท่านเวียนสอนเพลงอื่นก็หาได้สีต้องใจครูผู้พร่ำสอนเท่าเพลงนี้ไม่ จึ่งเป็นเครื่องปลอบใจข้า ยามสหายศิษย์ร่วมสำนักประชันคันสีได้เชี่ยวชาญในท้วงทำนองบทที่ยากกว่านี้หลายเท่า แลเมื่ออีกฝ่ายโอ่อวดในฝีมืออันเหนือกว่าคราใด มาตะก็ได้เพลงคำหวานเป็นเครื่องประโลมใจว่า อย่างน้อยหนึ่งนั้นเกิดมาในชาตินี้มีฝีมือด้านดนตรีอาจเอื้อมถึงบทบรรเลงคำหวานก็มิเสียชาติเกิด จึ่งมุ่งมั่นหมั่นฝึกซ้อมให้เจนจัดมิให้ขาดตกจนเป็นที่ระคายหูแก่ครูผู้อาจารย์ ความมักน้อยในความสามารถเชิงสังคีตศิลป์นี้ ประดุจความสามารถในรักอันมีแก่น้องท่าน เพราะคราใดเมื่อน้องท่านมิได้อยู่เคียงข้าง ก็อาศัยความมักน้อยปลอบใจตัวว่า ได้เพียงรักแลได้รับรักตอบถึงแม้นอยู่ไกลห่างเพียงไหนก็สุขล้นยิ่งแล้ว จักหวังให้มากกว่านี้ก็เกินกำลังสติปัญญาความสามารถตัวจะทำได้”

“มาตะ...”

“ทั้งที่รู้ว่าเพลาพบเจอกันนั้นยากเย็นแสนเข็ญ แต่มาตะก็ยังดื้อดึงหวังสูงยิ่งกว่านั้น ตะกรุมบุ่มบ่ามทำบัดสีมูมมามตามแต่ใจตัว ให้น้องท่านมัวหมองจนถึงต้องออกแรงผลักไส แต่โปรดอภัยเถิดหนาเจ้า เหตุด้วยทุกห้วงขณะจิตยามไร้น้องท่านเคียงข้างกาย มิว่าเพลาข้าจักฝึกซ้อมศิลปศาสตร์เพลงดาบ แลหรือฝึกซ้อมสังคีตศาสตร์เพลงซอ ก็หามีเพลาใดสักเพียงลมหายใจหนึ่งที่ไอ้มาตะคนนี้จักมิหวนคิดคะนึงถึงน้องท่าน สักชั่วยามหนึ่งก็ไม่มี” พอสิ้นถ้อยวาจาของมาตะพลันน้ำตาพจน์ก็ท่วมอกเอ่อคลอขอบริมซ้ำอีกหน
 
“จักยามตื่น ฤา ยามนอน ใบหน้าน้องท่านวนเวียนอยู่ในห้วงคำนึงฝันทุกลมหายใจเข้าออก แลราตรีนี้มาสบเห็นพบตัวโดยมิได้ตั้งตน จึ่งมิอาจระงับความคิดถึง โลดแล่นคุมสติมิได้ ผลุนผลันกระทำการหยาบโลนเกินหักห้าม ด้วยเพราะหะแรกเห็น ดวงใจคิดถึงปริ่มจนล้นทะลัก และมาประจักษ์น้องท่านพลันมิอาจยั้งคิดไว้ได้ ความผิดใดเป็นโทษหนักเบาจงลงแก่มาตะเถิด”

ทำไมพจน์จะไม่รู้ว่าความคิดถึงมันทรมานขนาดไหน แต่ไม่อาจสรรหาคำใดมาเอ่ยอ้างกลับได้
 
“โปรดอย่าตำหนิว่าละทิ้งเลยเจ้า เหตุด้วยราตรีนี้น้องท่านคงมิอาจทนปะหน้าสนทนา เพราะความวู่วามล่วงเกินของมาตะ อภัยเถิดขอลา จักมิทนฝืนยิ้มชื่นอุราปั้นความรู้สึกมาทดแทนสุดจะพยายามแล้ว”

กล่าวจบมาตะผุดลุกขึ้นหมายใจสู่ประตูพระที่นั่งลายเทพพนมโดยมิได้หันมามองพจน์อีก ถ้อยความทั้งสิ้นล้วนเหมือนยอดหนามทิ่มแทงดวงใจพจน์ เพราะทุกสิ่งศัพท์ล้วนเป็นความจริง พจน์เองก็รู้สึกหน่วงอกไม่ต่างกัน จะต่างก็เพียงแค่มาตะจะรู้หรือเปล่า ว่าความเจ็บปวดจากสิ่งที่พจน์เผชิญถึงแม้จะสับสนแค่ไหนก็ไม่เท่ากับความเจ็บปวดจากการเข้าใจผิดที่อีกฝ่ายกำลังละจากไปโดยไม่ฟังคำอธิบายแบบนี้

“นายจะเป็นคนเดียวใช่ไหมที่ไม่โกหกเรา มาตะ”

แผ่นหลังกว้างหยุดนิ่งชั่วขณะ ไม่อาจเห็นสีหน้าหรือแววตา มาตะยังคงยืนนิ่งไม่เอ่ยคำใด

“ความในใจหรือคำพูดทั้งในปัจจุบัน หรืออนาคตข้างหน้า นายจะไม่มีวันโกหกเราใช่ไหม ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น เราเชื่อใจนายได้ใช่ไหม มาตะ” เสียงพจน์สั่นเครือสุดหักห้าม

“หากการควักดวงใจของตัวเป็นเครื่องพิสูจน์ความสัตย์ซื่อสุจริตต่อน้องท่านได้แล้วไซร้ ข้าจักขอกรีดอกเพื่อแสดงความบริสุทธิ์แลจริงใจทั้งมวลในทันใด ข้ามาตะนี้หรือที่จักกล้าผิดคำมุสากับยอดดวงใจแลดวงวิญญาณ อันเหมือนดั่งครึ่งชีวิตอีกเสี้ยวหนึ่งของตัวเองได้กระนั้น” ว่าพลางก็ปลดฝักดาบทิ้งลงยังพื้น พจน์เห็นท่าทีเงื้อง่าดาบทองประสงค์จักทำตามคำพูดแล้วให้รู้สึกหัวใจถูกบีบรัด ถลันตัวคว้าแขนยื้อยุดข้อมือขวานั้นไว้มิให้กระทำการใดก็ตามที่อีกฝ่ายประสงค์

“อย่าทำแบบนี้ มาตะ เราเชื่อแล้ว เราเชื่อนายแล้ว”

น้ำตาซึ่งเอ่อคลออยู่สบช่องทะลักล้นสุดห้ามปราม ความรู้สึกผิดก่อเกิดเป็นหอกซัดทำลายตัวเอง จนพจน์ต้องออกแรงสุดกำลังบีบข้อมือให้อีกฝ่ายละทิ้งอาวุธนั้นเสีย ด้วยเรี่ยวแรงผิดแผกกว่าปกติส่งผลให้มาตะจำต้องปล่อยดาบทองลงพื้นแล้วโผเข้าสวมกอดร่างอรชรไว้แนบหว่างอกหนา พลางลูบโลมเนื้อตัวปลอบประโลมคนคู่ใจให้คลายร่ำไห้ พจน์สะอึกสะอื้นหวาดกลัวสิ่งใดที่อาจเกิดขึ้นหากตนไม่อาจปลดอาวุธในมือมาตะได้ คิดแล้วก็ยิ่งตอกย้ำความผิดตัวเองซึ่งเป็นต้นเหตุทั้งมวลอันเป็นเครื่องทรมานให้มาตะจำต้องทำร้ายตัวเองเพื่อพิสูจน์ความจริงใจ
 
“ยอดดวงใจของมาตะ โปรดอย่าร่ำไห้เลยเถิดเจ้า ข้านี้ล่วงรู้น้ำใจของน้องท่านโดยตลอดแล้ว กิริยาก่อนหน้าก่อเกิดขึ้นด้วยเพราะความมืดบอดของข้าเอง แลบัดนี้มาต้องน้ำตาแลน้ำใจน้องท่านชำระล้างโดยสะอาดแล้ว อาการวู่วามใดสิ่งสู่สติตัวก็ปราศจากเสียสิ้นในบัดดล”

“ขอโทษ มาตะ ขอโทษที่ทำร้ายจิตใจนาย ขอโทษที่ไม่เชื่อใจนาย ทั้งที่นายจริงใจกับเรามาตลอด มีแต่เราที่ทำร้ายนายทั้งด้วยกิริยา และคำพูดต่างๆนานา” คำพูดกระท่อนกระแท่นผสานเสียงสะอึกสะอื้นร่ำร้อง

“คำลาอันข้ากล่าวเพราะความน้อยอกมาสิงสู่ว่าจักละทิ้งน้องท่านไว้โดยเดียวมีหรือที่มาตะคนซื่อผู้นี้จักกระทำลง เอ่ยขึ้นก็ด้วยไร้ความยั้งคิดเป็นที่ตั้งและเจ็บเองฉะนี้ หนำซ้ำมาเห็นรอยน้ำตาน้องท่านเป็นผลเซ่นคำคะนองปากเกินสติตัวจักแก้ไข เห็นเป็นโทษทัณฑ์แลพ่วงพิสูจน์น้ำใจตัวจึ่งวู่วามหมายจะปลิดชีวิตยืนยันคำ แหละภายหลังมาตรึกตรองโดยสติจึ่งเห็นความสิ่งหนึ่ง วานน้องท่านช่วยตอบเถิดหนา หว่างกลางความเป็นตายเมื่อครู่ มาตะผู้นี้ประจักษ์สิ่งใด”

พจน์เงยหน้าสบตาเจ้าหนุ่มรูปงาม มาตะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยรอยโศกให้เลือนหาย ภายในหัวไม่มีสิ่งใดนอกจากดวงหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

“ข้าแลเห็นครึ่งหนึ่งชีวิตของตัวยืนทรงกายอยู่เบื้องหน้าในเพลาชั่วแล่นนั้น” จูบซับหน้าผาก พร้อมกุมมือพจน์ไว้ในอ้อมหัตถ์ “หากมาตะผู้นี้ปลิดชีพควักดวงใจตัวพิสูจน์ความจริงใจแล้วไซร้ มีหรือที่อีกครึ่งชีวีนั้นจักมิเจ็บเจียนตายเสมอพร้อมด้วยกัน เห็นดั่งนั้นจึ่งมิอาจกระทำให้น้องท่านเจ็บประหนึ่งถูกควักดวงใจได้ นั่นแลคือสิ่งซึ่งมาตะผู้นี้ประจักษ์แจ้ง”

คำพูดมาตะส่งผลให้หัวใจพจน์เต้นเร็วและแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งชุ่มชื่นยินดีดุจดั่งฝนพร่างพร่มลงกลางใจกังขารกแล้งให้ฉ่ำเย็น แลเสมือนยาดีกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดให้เดือดพล่านสูงสุด พร้อมปลุกไฟภายในให้ลุกโชนยิ่งกว่าถูกจุมพิตเมื่อแรกต้น

“นายทำให้เรารู้สึก....” พจน์ไม่เคยปั่นป่วนร้อนกายเท่านี้มาก่อน ไม่ใช่เพราะพิษไข้ แต่เพียงมาตะสัมผัสผิวกายพจน์ ณ จุดใดก็ให้รู้สึกสั่นเทิ้มสะท้านทั่วร่าง จึ่งรีบก้มหน้าทันทีไม่อาจขยับเขยื้อนไปทิศทางใดได้

“น้องท่าน เป็นกระไร มิสบายกระนั้นฤา” มาตะพิจารณาอาการพจน์ผิดแผกต่างจากปกติ แลเล็งเห็นอารมณ์กลับคืนสงบดีด้วยกันทั้งสองฝ่ายแล้วจึ่งหยอกถาม
 
“มาตะ อื้ม...” พจน์ผละถอยห่างรวดเร็วเมื่อถูกแตะท่อนแขน แล้วปลุกบางสิ่งที่ไม่ควรตื่นขึ้นเพียงแค่สัมผัส “มีบางอย่างไม่ปกติ เอ่อ ถ้านายจะออกไปรอข้างนอก...”

“ข้าตกปากรับคำน้องท่านแล้วว่าจักมิปล่อยให้อยู่โดยเดียวเป็นเด็ดขาดในราตรีนี้ หากน้องท่านยังสงสัยในความซื่อตรงของมาตะ โปรด...” มาตะรวบรัดข้อมือพจน์ไว้ และสิ่งไม่คาดคิดจึ่งเกิดขึ้น พจน์ไม่อาจทานทนคำร่ำร้องในกายได้ เพียงมาตะสัมผัสสัดส่วนใด ไฟในกายก่อเกิดยิ่งเป็นทวี จุดซ่อนเร้นก็ขึงขังปวดร้าวอัดแน่นทุกครั้งจนไม่อาจระงับกิริยาน่าอายไว้ได้ ตวัดแขนโน้มเหนี่ยวลำคอหนาขยับเข้าใกล้แล้วประกบริมฝีปากระงับความต้องการ ความเร่าร้อนถูกสะกดลงเพียงครู่เมื่อถูกสัมผัส แต่กลับลุกโชนยิ่งกว่าเดิม จนปลุกความรู้สึกซึ่งถูกความยับยั้งชั่งใจของมาตะปิดกั้นไว้ให้พังทลายลง

“ภัทรพจน์ น้องท่าน หาก...อื้ม” ครั้นเห็นกิริยาผิดวิสัยปกติของคนรัก พยายามร้องท้วงสติ แต่พจน์เหมือนถูกถ้อยคำจริงใจของมาตะครอบงำ เลื่อนจากริมฝีปากประทับจูบลงลำคอเรื่อยลงมาถึงกล้ามอก พร้อมกระชากผ้าคล้องไหล่ออกรวดเร็วอย่างขัดใจ

“นายต้องช่วยเรา อ้า...มาตะ คำพูดนายทำเราร้อนไปหมดเลย” พจน์หอบหายใจ แล้วปิดปากมาตะด้วยปากตน ลิ้นร้อนหยอกล้อกันพัลวัน

“น้องท่าน โปรดแจ้ง...” มาตะอาศัยจังหวะสูดอากาศหายใจสำลักห้าม

“อย่าพูด” พจน์ละจากยอดอกปิดปากมาตะอีกครั้ง จนปลุกห้วงอารมณ์ของอีกฝ่ายให้ลุกโชนจนไม่อาจฝืนทน เจ้าหนุ่มกล้ามหนาจึงผลักพจน์ทอดกายลงยี่ภู่บนตั่งไม้ เหลือบแลดวงหน้าแดงของพจน์ด้วยหัวใจเต้นระทึกไหว

“ทำให้เราหายร้อนที มาตะ เราต้องการนาย ต้องการ...”

เพลิงราคะถูกปลุกขึ้นแล้วและร่างกายพจน์ก็ชวนให้ใหลหลงยิ่งกว่าธรรมดาเป็นทวีคูณ เพียงแตะสัมผัส ณ จุดใด เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลก็ร้องครวญคำหวานสุดหักห้าม ยิ่งมาตะมอบริมฝีปากร้อนสัมผัสยอดอกแข็งขืน เจ้าตัวก็ยกลอยตามการเคลื่อนไหวสร้างขวัญกำลังใจแก่มาตะยิ่งนัก แม้นบรรยากาศภายนอกเย็นสบายแต่ห้องหับซึ่งเด็กหนุ่มทั้งคู่นอนเอนกายอยู่กลับเร่าร้อนราวไฟสุม

“น้องท่านต้องการสิ่งใด โปรดแจ้งมาตะคนเขลาให้รู้ด้วยเถิด” เห็นสีหน้าทรมานสุดทานทน จนมาตะอดหยอกเย้ามิได้ ทำทีจักละกายถอยหนี ก็ถูกมือเรียวไขว่คว้าดึงรั้งไว้ไม่ไกลห่าง

“มาตะ เราต้องการนาย นาย...คนเดียว ครึ่ง...ครึ่งชีวิตของพจน์” พจน์สำลักความเสียวกระสันผสานคำพูด เกร็งตั้งแต่ส่วนกลางลำตัวถึงหน้าท้อง “มอบให้เราคนเดียวนะ นะ นะ มาตะ นะ นะ”

สีหน้าออดอ้อนร้องขอผสมถ้อยคำแผ่วเบามีหรือที่จะมิทำลายเกราะกำแพงใจของคนเบื้องบน วงแขนนูนกระชับโอบช้อนกายพจน์ให้ประทับนั่งบนหน้าขา ภูษานุ่งห่มเลื่อนแหวกออกเผยเรียวขาขาวของแต่ละฝ่าย ยิ่งสัมผัสเสียดสีกันต่อกันยิ่งทำให้สติของพจน์แทบจะหลุดเลือนออกจากร่าง เร่งเปลื้องเครื่องทรงด้วยมือสั่นเทา แรงหอบหายใจผสานกันเป็นจังหวะสอดคล้อง มาตะยกสะโพกพจน์ให้อีกฝ่ายอยู่ในตำแหน่งเหมาะสม ชกฉิมยอดอกชมพูกระตุ้นเสียงครวญ เบิกช่องทางหวานด้วยนิ้วมือครั้งใดก็เรียกเสียงครวญจากภัทรพจน์ทบทวี อารมณ์แลรักผนึกด้วยแรงกำดัดวัยหนุ่มรุ่นมิอาจทนฝืนอัดอั้นก็สอดส่ายของสำคัญเชื่อมผสานคนทั้งคู่ประดุจใจดวงเดียว

อัศจรรย์ผืนดินถิ่นรกแล้ง
แตกระแหงริ้วรอยเพราะขาดฝน
สิ้นไร้ป่าพฤกษาระทมทน
เพียงหยาดชลหนึ่งน้อยพลอยเปรมปรีดิ์

พลันเพลิงกาฬรุกรามตามยอดหญ้า
พร้อมลมพาพัดโหมโรมรุกหนี
ต้นสู่ต้นยืนตายวายชีวี
ขุดรากลึกเผาปฐพีร้อนในทรวง

แผ่นดินไหม้แสบซ่านพาลร้อนรุ่ม
ดั่งไฟสุมทิ่มแทรกแยกสุดสรวง
อกแม่พระธรณีปริ่มแดดวง
ดุจทะลวงดาบคมจมดวงมาลย์

เบื้องพิภพบาดาลสำราญสุข
รับรู้ทุกข์เวทนาน่าสงสาร
ผาดผุดน้ำฉ่ำชื่นรื่นกลางลาน
ทะลักล้นวาบหวานเช่นตาลทราย

พจน์เผลอตัวกรีดร้องจนต้องยกมือปิดปากในทันใด เมื่อวินาทีแห่งความสุขสมของแต่ละฝ่ายถึงฝั่งฝัน หยาดเหงื่อเกาะพราวราวน้ำค้างทั่วผิวหนังเปล่าเปลือย ผ้าคล้องไหล่แลผ้านุ่งต่างสีเลื่อนหลุดยับย่นแลช่วยซับหยดเหงื่ออันเร่าร้อนเป็นการดี มาตะประคองพจน์ทอดกายลงบนยี่ภู่ หอบหายใจแรงราวกับวิ่งออกกำลังกายมา เลื่อนนิ้วเกลี่ยเส้นผมให้พ้นจากดวงหน้าหวาน

“ในพิภพนี้จะมีสิ่งใดหวานเสมอสิริโฉม ฤา ผิวกายเปล่งปลั่ง แลรสรักจากน้องท่านไม่ ภัทรพจน์เอย มาตะคนซื่อยอมมอบกายแลใจบริสุทธิ์ฝากไว้แก่ตัวท่านแล้วเพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ความสัตย์ซื่อซ้ำในครานี้ ข้าเพียงขอสดับยินคำหนึ่งซึ่งน้องท่านยังมิกล่าวฝากไว้ให้ชื่นจิต”

“อะ..อะไรเหรอ” พจน์หอบตัวโยน หัวใจแทบจะทะลักล้นออกมานอกอก

“คำหวานหนึ่งเดียวที่มิอาจเปรียบความหวานซึ่งได้รับจากบทบรรเลงเพลง คือ น้องท่านรักมาตะผู้นี้ ฤา ไม่”

พจน์แทบไม่ต้องใช้ความคิดใด เพราะหัวใจเต้นโครมครามของตัวแทบจะร้องกู่ก้องยืนยันคำตอบอยู่แล้ว

“รักสิ รัก...และภักดีต่อนายคนเดียวเท่านั้น มาตะ"


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3367199#msg3367199)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๐ คำหวานครวญ ๑๐๐% (๑๘/๐๔/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Fenfen2537 ที่ 18-04-2016 23:37:09
ขอเม้น เพราะสะพรึง "คำหวาน" มาตะมากๆ ถ้าโดนจีบแบบนั้นคง :a5: :a5: :a5:
แต่บทกลอน เข้าพระเข้านาง หื่นจรุงง คนเขียนแต่งเก่งงงง นึกถึงกลอนขุนแผนอึบสาว 555
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๐ คำหวานครวญ ๑๐๐% (๑๘/๐๔/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 19-04-2016 09:34:50

โอ้ยยยยยยยยยยยยย งื้ออออออออออ! คือเขินมาก มันหวานมาก เลี่ยนมาก และเร่าร้อนมากพอกัน นอนๆอ่านไปก็ขนลุกซู่ หน้านี่ร้อนเลยค่ะ ต้องกรีดร้องอัดหมอนเพราะกลัวแม่ด่าว่าเสียงดัง(ฮา)

 :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๐ คำหวานครวญ ๑๐๐% (๑๘/๐๔/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: zoochi ที่ 19-04-2016 09:57:46
นี่อ่านไปด้วยหน้านิ่งๆ แต่ใจนี่เต้นแรงมากกกกกกก อะไรมันจะ...ฮึ่ม!...ฮึ่มม!!!!

วารีดำเนิน 5555 :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๐ คำหวานครวญ ๑๐๐% (๑๘/๐๔/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: dragon123 ที่ 19-04-2016 14:29:05
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๐ คำหวานครวญ ๑๐๐% (๑๘/๐๔/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 19-04-2016 20:54:42
เย้ พจน์บอกรักได้เต็มปากแล้ว
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๐ คำหวานครวญ ๑๐๐% (๑๘/๐๔/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 19-04-2016 22:38:08
ช่างกล้าเรียกตัวเองว่า "มาตะคนซื่อ" ไอ้เจ้าเล่ห์!
 :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๐ คำหวานครวญ ๑๐๐% (๑๘/๐๔/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: runtothemoon ที่ 26-04-2016 08:11:17
หวานมากกกกกกกกกก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๑ สุริยะพจน์ ๕๐% (๒๗/๐๔/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 27-04-2016 11:11:23
บทที่ ๒๑



สุริยะพจน์

   

กลิ่นหอมหวนคลับคล้ายดอกลีลาวดีตลบอบอวลทั่วทุกอณูอากาศ ผสานลมหายใจรุ่มร้อนอันผ่อนเปลื้องจากเรือนกายของสองหนุ่ม ก่อเกิดเป็นรสสุคนธ์หวานชื่นดุจกลิ่นรสทิพย์จากสรวงสวรรค์ จนมาตะอดที่จักยับยั้งใจจรดปลายจมูกสูดสัมผัสรสหวานจากผิวกายขาวของภัทรพจน์ไว้ประดับนาสิกมิได้ พจน์เห็นกิริยาเจ้าหนุ่มล่ำสันมีอาการสั่นวะวาบมิต่างจากตนแลกระทำดอมดมกลิ่นกายตัวกระนั้น อดสะเทิ้นอายแลปลื้มปริ่มใจคับอก เพียงมาตะสูดเนื้อนวล ณ จุดใดก็สำแดงสีหน้าสุขล้นยิ่งกว่าเก่า สมรภูมิรักเพิ่งผ่านพ้นแต่กำลังกายพจน์เหมือนกล้าแข็งขึ้นทบทวี ผิดประหลาดจนน่าพิศวง เรี่ยวแรงอันควรอ่อนล้าหลังร่วมกามกิจมีหรือที่จักแช่มชื่นทรงพลังขนาดนี้ ซ้ำยังไม่รู้สึกเจ็บปวดช่องทางเบื้องหลังมากเท่าครั้งแรก เมื่อมาตะขยับถอยออกด้วยดวงหน้าอาวรณ์ ร่างกายพจน์ก็ตอบสนองบีบรัดเสมือนมิอยากให้ขยับห่าง ความเจ็บไม่มีหนำซ้ำยังมากเรี่ยวแรงเช่นนี้ สะท้อนความทรงจำเมื่อแรกร่วมรักกับมาตะ ครั้งนั้นพจน์นิมิตเห็นบุรุษผู้หนึ่งร่างกายกำยำมีใบหน้ามิต่างจากตน เอ่ยคำหนึ่งซึ่งตรึงจิตอยู่ในห้วงความคิด
 
ข้าทรงพลังยิ่งกว่าทวีคูณ นายข้า

มีบางอย่างกำลังเกิดขึ้นในร่างกายพจน์ เขารับรู้ได้ หากจะบอกว่าแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม กระฉับกระเฉงพร้อมทั้งสดชื่นทุกครั้งที่....เอ่อ ได้ทำเรื่องอย่างว่าก็คงไม่ผิดนัก

ครั้นคำพูดของมาตะสะท้อนน้ำใจซื่อตรงต่อพจน์ จนจุดความกระสันในวัยหนุ่มให้ลุกโชนได้นั้นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเสียงลึกลับในหัวจากบุรุษชุดขาวเป็นแน่ มาตรว่าพจน์จะปฏิเสธว่าเบื้องลึกในใจหาได้ยินยอมพร้อมประพฤติกิริยาน่าอายชักชวนให้มาตะกระทำการร่วมกันก็พูดไม่ได้เต็มปาก ด้วยส่วนเสี้ยวหนึ่งของหัวใจยอมทอดกายแลชีวิตให้คนเบื้องบนนี้ ไม่ว่าเจ้านั่นจะร้องขอสิ่งใดก็ตาม เขารู้ใจตัวเองแน่วแน่แล้วในวินาทีฉุกละหุกยื้อยุดอาวุธอยู่นั้น พจน์เห็นภาพเหตุการณ์ภายภาคหน้า หากไม่มีมาตะ ชีวิตตนจะดำรงอยู่ได้อย่างไร และนั่นทำให้เขาค้นพบคำตอบที่เจ้ามาตะถาม ความรักเอยความรัก....มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

“กิริยาน้องท่านชวนลุ่มหลงยิ่งนัก” มาตะวาดรอยยิ้มกว้างข่มใจระงับฤทธิ์รัก “ประเดี๋ยวแย้มสรวล ประเดี๋ยวก็หายใจสะท้าน จนมาตะอดที่จักยินดีคิดเข้าข้างตัวมิได้ว่า การอันลงมือทุ่มเทปฏิบัติปลอบขวัญด้วยกำลังแรงกายแลใจนี้ต้องใจน้องท่านมากน้อยเพียงไร จึ่งผลิผลให้น้องท่านสำแดงอาการประหนึ่งเย้ายวนแลเหมือนประสงค์จักให้มาตะผู้นี้ปรนนิบัติรับใช้ท่านอีกคราหนึ่งกระนั้น”

พจน์สังเกตคำพูดและท่าทีแนบชิดของเจ้ามาตะก็ล่วงรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังขุดหลุมให้ตัวหลงตกไปในเล่ห์กลเป็นแน่จึ่งแสร้งทำสีหน้าอ่อนแรงแลไม่ทันคำ พลางว่า

“ขอโทษที่ทำให้นายต้องทำแบบนี้ เป็นความผิดของเราเองที่จู่ๆก็ชักนำให้นายทำในสิ่งไม่ปรารถนา ช่างน่าอาย การปลอบขวัญที่นายว่านั้นถือว่าเป็นบุญคุณอย่างที่สุด ตอนนั้นจิตใจเราอ่อนล้ามาก หากจะให้นายฝืนใจมาปลอบขวัญซ้ำทั้งที่เราตั้งมั่นในใจแล้วว่าจะรักและภักดี  คือซื่อตรงต่อจิตใจนาย จะมาบังคับกะเกณฑ์ฝืนใจก็ดูไม่ให้เกียรติคำพูดมากนัก” พจน์ผินหน้ามองแสงเดือนลอดผ่านหน้าต่างตกกระทบพื้นห้องตีสีหน้านิ่งเฉย

ชั่วครู่เงียบงันถูกทำลายด้วยเสียงหัวเราะห้าวของมาตะ ดุจคำพูดพจน์เป็นเรื่องตลกขบขันสุดกลั้น จนเจ้าตัวต้องหยัดกายขึ้นนั่งเสมอกัน มองท่วงทีหัวเราะจนตัวโก่งด้วยแววตาฉงน

“นายหัวเราะเรื่องอะไร”

“ต้นสายปลายเหตุอันปลุกเสียงหัวเราะจากปากมาตะนี้นั้นล้วนมาจากตัวข้าเองเสียสิ้น คำน้องท่านกล่าวหาได้เป็นเหตุระคายหูไม่ แต่มานึกตรึกตรองเอากับตัวเองซ้ำหนหนึ่งจึ่งคิดเปรียบได้ว่า ยามเมื่อนกน้อยถูกนำมาเลี้ยงในกรงเมื่อแรกต้นจะหาได้ยินยอมพร้อมใจเสมออาศัยอยู่ในป่าดงไม่ จึงสำแดงอาการหวาดระแวงซ้ำดิ้นรนถอยหนีจากมือนายผู้ครอบครอง ด้วยสัณชาตญาณสัตว์ปีกผู้ดำรงวิถีอิสระไม่เคยต้องน้ำมือมนุษย์ก็สร้างรอยแผลกระหน่ำจิกตีป้องกันตัวพัลวัน ครั้นนานวันเข้าเจ้าของเวียนให้ข้าวปลาอาหารพร้อมด้วยน้ำสะอาดอย่างดีเป็นกิจวัตรเคยตัว อาการดิ้นรนหวาดกลัวก็จืดจาง ซ้ำถูกมือหนาเวียนลูบปลอบอยู่หลายครั้งหลายหนก็เคยมือ ยอมอ่อนโอนแลประพฤติคุ้นชินเป็นปกติเช่นอยู่ในดงป่าฉันใด คำน้องท่านนี้ก็ประหนึ่งถูกถ้อยความสำบัดสำนวนของข้าเวียนลูบปลอบอยู่หลายหน จนเคยชินกับคำโอ้โลมโดยทะลุปรุโปร่งฉันนั้น แลมาประสบคำน้องท่านโต้ตะกี้ จึ่งรู้ว่านกน้อยในอ้อมหัตถ์บัดนี้เคยชินกับมืออุ่นแลประพฤติตัวเป็นปกติไม่ต่างจากเผ่าพงศ์วงศ์เดียวกันแล้ว จึงเอ่ยคำแฝงกลเป็นท่าทีชั้นเชิงซับซ้อน ก็ให้อดหวัวขำขันมิได้”

พจน์สะดุ้งเหมือนเล่นซ่อนหาแล้วถูกจับได้ แต่จิตใจตั้งมั่นอยากเอาคืนไม่ให้มาตะทำความประสงค์มีมากล้น จึ่งยังคงตีสีหน้าอ่อนแรงแลฉงนอยู่

“ทำไมนายถึงคิดว่าเราคุ้นเคยกับสำนวนนายล่ะ มาตะ ทักษะคารมนายมีชั้นเชิงเหมือนคำครู แต่คำพูดเราทุกสิ่งล้วนพูดมาจากใจทั้งสิ้นเหมือนวาจาศิษย์ผู้ต่ำตอย จะมีเคลือบแฝงเล่ห์กล ถึงขั้นยกเปรียบเทียบเคียงนั้นทำไม่ได้ นกแม้จะเคยคุ้นกับมือมนุษย์ก็จริง แต่จิตใจอิสระก็ยังคงมีอยู่ มีหรือที่จะหลงกลในอาหารข้าวปลา สักวันก็คงแสดงท่าทีของสัตว์ปีกที่ต้องการเป็นอิสระในที่สุด”

คราวนี้เจ้ามาตะหัวเราะเสียงดังกว่าเดิม จนพจน์เกรงว่าจะมีใครภายนอกอาจได้ยินเสียงจึ่งรีบค่อมตะครุบปิดปากเจ้านั่นให้เงียบลง กลับกลายเป็นท่วงท่าหวาดเสียวสำหรับคนทั้งคู่ คำหัวเราะเมื่อแรกเริ่มดังขันมาต้องเนื้อนวลของภัทรพจน์เผื่อแผ่ผิวกายเนียนขึ้นคล่อมหน้าตักเปล่าเปลือยของตนซ้ำ เหมือนพญาเสือโคร่งพินิจเห็นเนื้อสมันเดินเยื้องย่างข้ามเขตมาสู่อาณาจักรตน ก็สงบปากคำเสียในทันใด ด้วยเกรงเหยื่ออันโอชะจักเตลิดไปไกล พจน์แลเห็นมาตะเงียบเสียงรวดเร็วดั่งนั้นจึงผละฝ่ามือออก และรับรู้ในทันทีว่าได้ล่วงล้ำเข้าสู่เขตอันตรายด้วยเพราะไม่ระวัง คิดจะขยับกายถอยหนีก็พลาดพลั้งเสียรู้ ด้วยคู่แขนล่ำโอบสะโพกไว้แน่นหนา ยิ่งขยับก็ยิ่งรัดรึงแน่นขนัดประหนึ่งงูรัดเหยื่อ

“มาตะปล่อยเราก่อน” ขยับขืนส่งเสียงประท้วงแผ่วเบา

“ก็แหละบัดนี้น้องท่านมีฝีปากกล้าเฉียบแหลมเปรียบเหมือนมีคมอาวุธคู่กายอย่างหนึ่งได้แล้วดั่งนี้ จงรู้ใช้มาปกป้องตัวสักคราจักเป็นไร ผิว์วาจาน้องท่านมีคุณถึงขนาดเอาชนะคำของมาตะแล้วไซร้ จำเราจักยอมปล่อยให้รอดจากเงื้อมมือ แลครั้งใดคำเจรจาน้องท่านพ่ายแพ้ จุมพิตนั่นแลจักเป็นรางวัลของมาตะ” กระซิบกกหูจนลมหายใจร้อนส่งผลให้ผิวหน้าเห่อแดง ทำทีขัดขืนจากอ้อมกอดทั้งที่รู้ว่าไร้ผล แต่พจน์อับจนหนทางด้วยไม่รู้จะปะทะแลชนะคารมคนสัดทัดเล่ห์นี้ได้อย่างไร

“ภัทรพจน์เอย บัดนี้มาตะเหมือนคนยากถูกทอดทิ้งอยู่ท่ามกลางผืนดินรกแล้งแตกระแหง ผินหน้าแลมองไปทิศทางใดก็ประสบแต่ไม้ผลยืนต้นตาย สิ้นชีวาวายกระทั่งสรรพสัตว์ เพลาวันหนึ่งบังเกิดมีน้ำผุดขึ้นมาจากเบื้องบาดาลช่วยประทังชีวิตตัวให้ยืดยาวไปสักระยะหนึ่ง จึ่งวาดฝันวาดหวังเพิ่มพูนกำลังใจว่าหนทางเบื้องหน้านั้นคงจักมีแหล่งธารใหญ่รอคอยอยู่เป็นแน่ ครั้นมาประจักษ์ว่าแท้จริงแล้วน้ำซึ่งผุดขึ้นมาในคราแรกก่อเกิดจากความเมตตาของดวงสุริยะเบื้องบนยอมผ่อนปรนให้หยาดฝนพร่างพรมไว้ก่อนหน้า ก็แหละความเมตตานั้นจักมีใครกำหนดเกิดขึ้นก็หาไม่ หยาดลงเหมือนเม็ดฝนฉ่ำชื่นใจ แลไฉนจึ่งเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว วานดวงสุริยะเบื้องหน้ามาตะนี้ช่วยแจ้งแถลงไขด้วยเถิดเจ้า”

ในใจพจน์หวั่นพะวงพ่ายแพ้แต่ทิฐิมานะสูงกว่า ครั้นหรือจะยอมปฏิเสธชิงชัยในสนามประลองวาจาก็เหมือนลายอมทรุดกายตั้งแต่ยังไม่ได้เดินทาง แต่ใจหนึ่งอยากเอาชนะคนมากคำให้ลิ้มรสเสียท่าสักครั้ง เหมือนไม่เห็นหนทางอื่นจึ่งทำใจดีสู้เสือเจรจาความกลับ

“ในเมื่อผืนดินแห้งแล้งมีหยาดฝนหล่นลงเป็นแหล่งน้ำเพียงหนึ่ง ก็มากคุณมากค่านับอนันต์ต่อสัตว์โลกแล้ว จะมาหวังสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้เบื้องหน้านั้นควรอยู่หรือ” พจน์เชิดหน้าตอบอย่างมั่นใจ พอกล่าวจบมาตะก็ชกชิมรสหวานจากปากพจน์ทันที

“ทำไมนายถึง....” พจน์ร้องประท้วงทันทีเมื่อมาตะถอนจูบออก

“น้องท่านเปรียบดั่งดวงพระอาทิตย์ แลเมื่อเป็นเช่นนั้นโปรดจงยกอกของน้องท่านเข้าเทียบองค์สุริยะเสมอกันแล้วจึ่งตอบแก่สัตว์โลกผู้ต่ำต้อยด้อยค่า แหละเมื่อความเป็นจริงทุกสรรพสิ่งดำรงอยู่ได้ก็ด้วยความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลสามัคคีกัน จึ่งก่อเกิดเป็นพิภพโลกาดำเนินต่อกันมานับอสงไขย แลเมื่อมาตะเป็นแต่เพียงมนุษย์ท่ามกลางผืนดินแห้ง แหละมีแหล่งน้ำเกิดขึ้นด้วยหยาดฝนครั้งหนึ่งแล้ว ตามวิถีธรรมชาติเป็นวัฏจักรกาลเวลา จำต้องล่วงผ่านสู่วสัตฤดูเป็นแม่นมั่น เมื่อความจริงของโลกเป็นดั่งนี้ หยาดวสันต์มีหรือที่จักตกเพียงหนึ่งครั้งในรอบปี เมื่อเกิดแล้วก็จักตกให้ฉ่ำชื่นฤดีปลุกพรรณพฤกษาให้งอกงามตามวีถีธรรมชาติดำรงสืบต่อไปไม่มีสิ้นสุดเป็นเช่นนี้กาลนาน น้องท่านเห็นจริงตามข้า ฤา ไม่ จุมพิตอันเป็นรางวัลของมาตะจึ่งได้มาเพราะเหตุนี้เป็นปฐม”

พจน์คิดตามก็เห็นจริงดังว่าเผลอตัวพยักหน้าอย่างลืมตัว ครั้นมาเห็นแววตาคมเข้มเขม้นมองอยู่ก็แก้เก้อด้วยการผลักอกหนาพลางขยับจากท่วงท่าอันตรายสู่ปกติ เห็นอับจนปัญญาจักตอบโต้ได้ก็นึกรู้ว่าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แน่แล้ว จึ่งนั่งนิ่งเสีย

“ไยน้องท่านมามีอาการดุจน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟฉะนี้ โบราณท่านว่าการรบยังมิสิ้นสุดอย่าพึงนับศพทหาร โอกาสแก้ตัวนั้นยังมีอยู่ วาจานั้นหากจักยกว่าเป็นศาสตร์หนึ่งเทียบเคียงศิลปศาสตร์ก็อาจกล่าวได้ ด้วยทั้งมีคุณแลโทษ ด้วยเหตุนั้นจึ่งก่อกำเนิดอัครราชทูตเจริญสัมพันธไมตรีเป็นตำแหน่งสำคัญ โดยอาศัยคำพูดเป็นดั่งหอกดาบเช่นนี้ ทั้งเป็นเครื่องสื่อสารถ้อยความสู่กันแลกัน ผสานเป็นโวหารคำกลอนไพเราะเสนาะโสต ดั่งท่านว่า ถ้อยทีถ้อยอาศัย ลิ้นของมาตะนี้จักกล่าวคำใดก็คิดโดยละเอียดถี่ถ้วน ครั้นมาปะน้องท่านเหมือนดั่งทารกอมมือฝึกหัดพูดมีเชิงชั้นคราแรกฉะนี้จึ่งคะนองปากไม่ออมแรง อภัยเถิดโปรดละสีหน้าเศร้าจักเป็นคุณอย่างสูง” ฝ่ายมาตะลอบเห็นท่าทีคนรักสำนึกรู้พ่ายแพ้เช่นนั้นจึ่งปลอบโยนด้วยน้ำคำ ฉวยมือไว้แนบอก “ประสงค์แท้จริงหวังหยอกเย้าตามประสาอารมณ์ดี โปรดผ่อนสีหน้าบึ้งลงนั่นเถิดหนา ใจมาตะจักได้คลายวิตกลง”

พจน์เห็นคำปลอบมาตะพ่วงท่าทีอ่อนน้อมก็รู้สึกต้องอารมณ์แต่เก็บงำเสีย พลางว่า

“แล้วจะตัดสินยังไงว่าเราแพ้นายหรือยังไม่แพ้”

“อย่างสุดท้ายนี่แล้วจักเป็นคะแนนตัดสินทักษะวาจา วานน้องท่านใคร่ครวญให้จงดีเถิด ดวงอาทิตย์เฉิดฉันพันขอบฟ้า ใจเมตตามากล้นพ้นเวหน มาโปรดสัตว์ฉายแสงทุกตัวคน ตะวันรอนอาบฝนใจอุ่นกาย น้องท่านรู้ ฤา ไม่ กลอนบทนี้หมายถึงอะไร”

รอยยิ้มกว้างผสานใบหน้ารูปงามเฝ้ารอคำตอบจากพจน์ เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลลองทบทวนกลอนสี่สุภาพนั้นอีกครั้งก็ให้รู้สึกเห่อร้อนขึ้นหน้าทันควัน พลางส่ายไหวปฏิเสธกลบเกลื่อน

“เรายอมแพ้ ไม่เล่นแล้ว นายจะทำอะไรก็ตามใจเถอะ แต่จะให้เราพูดคำตอบนั้นไม่มีทาง” พจน์เขยิบถอยห่างได้นิดเดียวก็ถูกมือหนาคว้าเอวดึงรั้งเข้าหาตัว มาตะจูบลาดไหล่เปล่าเปลือยเป็นรางวัลปลอบความร้อนในกายที่ระอุขึ้นมาอีกครั้ง

“เชิญตอบเถิดหนาเจ้า หากน้องท่านตอบถูกต้องในครานี้ ความพ่ายแพ้นั่นแล้วจักมาสู่มาตะ แลน้องท่านจักรอดพ้นมิต้องเจ็บตัวซ้ำอีกหน”

สีหน้าเศร้าแต่แววตาระยิบระยับขยิ่มใจ ล่อหลอกชักจูงพจน์ให้จนมุมทุกหนทาง เขาส่ายหน้า หวังให้บางสิ่งในกายส่งกำลังแรงกล้าหาญมาเช่นเมื่อถูกปลุกด้วยคำพูดของมาตะ แต่บัดนี้มีแต่ความสงบเยือกเย็นและความกระดากอายกัดกินหน้า เมื่อจวนตัวพจน์จึ่งก้มลงคางชิดอก ฝามือหยาบลูบโลมเนื้อนวลกระตุ้นคำตอบ

“ไม่...”

มาตะกระพริบตาเป็นจังหวะเชื่องช้าปั้นหน้าแกล้งสงสัยจนน่าหมั่นไส้

“มาตะรู้ว่าน้องท่านเฉลียวฉลาดเชี่ยวชาญทักษะโวหารโคลงกลอนเป็นเอก กลอนสี่สุภาพธรรมดาเช่นนี้มีหรือที่จักมิรู้ความนัยซ่อนอยู่ ทว่าแท้จริงแล้วน้องท่านเจตนาประสงค์ให้ข้าเป็นพนักงานปรนนิบัติบำเรอซ้ำมาแต่แรกแล้วหากแต่แสร้งทำทีเอ่ยอ้างเพราะเขินอาย พอสบช่องก็ต้อนมาตะให้ต้องกลยังจักถูก ฤา ไม่”

“ไม่ใช่สักหน่อย นายต่างหากที่ซ้อนกลเรา คนไม่ดี” พจน์ได้โอกาสดีทุบตีไปที่แผงอกนูน แต่หาเจ็บสะเทือนไม่ มาตะหลุดยิ้มพึงใจจนไม่อาจบังคับฝืนกลั้น

“น้องท่านโปรดเพลามือแต่พองาม มาตะรู้แล้วว่าฝีปากฝึกหัดนี้ยังอ่อนทักษะมากนัก แต่ความน่ารักน่าชังต่างหากนี้เล่าที่ทลายฝีปากกล้าของข้าให้เชื่องราวกับช้างถูกควาญสับขอ มาตะนี้ต่างหากที่พ่ายแพ้น้องท่านตั้งแต่ยังมิได้เอ่ยความสิ่งใดโปรดจงรับรู้ไว้ด้วยเถิด ดวงสุริยะของข้า ดวง-ใจ-มา-ตะ

เพียงคำตอบนั้นหลุดออกมาจากผู้ตั้งคำถาม พจน์ก็ไร้แรงขัดขืนใดๆอีก พยักหน้ายินยอมให้ใบหน้าเว้าวอนได้ริมรสจากยอดอกหวานชื่นใจอีกครั้งจนสุดกลั้นเสียงครวญไว้ได้


****************************************

บุรุษร่างกำยำทรงเครื่องประดับแพรวพรรณด้วยทองคำเหลืองอร่าม บังเกิดเสียงกระทบเป็นจังหวะก้าวย่าง นุ่งห่มภูษาสีทองงามจับตา แลผ่อนฝีเท้าลงเมื่อดำเนินมาถึงตำหนักพระที่ทรงดนตรี สบเห็นแสงอัจกลับทอลอดมาตามบานหน้าต่างซึ่งเปิดรับลม จึ่งรู้ว่ามีคนที่ตามหาอยู่ในนั้น ด้วยเสียงซออู้ดังก้องสะท้อนไปถึงฝ่ายใน อดใจที่จะมาร่วมประชันฝีมือมิได้ ครั้นมาถึงปลายขั้นบันไดสดับยินเสียงสนทนาพาทีก่อความนึกคิดสงสัย จึงหุนหันผลักบานพระทวารเข้าไปในทันใด


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3371877#msg3371877)



หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๑ สุริยะพจน์ ๕๐% (๒๗/๐๔/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 27-04-2016 12:34:46
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๑ สุริยะพจน์ ๕๐% (๒๗/๐๔/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-04-2016 21:59:41
 o13 o13 o13 o13 o13 o13
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๑ สุริยะพจน์ ๕๐% (๒๗/๐๔/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 29-04-2016 16:35:46
ตายแน่ๆล่ะคราวนี้  คงไม่มีการตัดหัวกันหรอกนะ  เป็นนิยายในรอบปีเลยที่น่าสนใจและน่าติดตามมาก นานๆทีจะมีนิยายแนวที่ชอบมา ขออย่างเดียวโปรดแต่งให้จบอย่าหนีกายไปไหน  เพราะนิยายที่ถูกใจจริงๆแบบเรื่องนี้หาอ่านยากมาก  และนานๆทีจะมีสักเรื่อง  และอีกอย่างนิยายที่ชอบมากคนแต่งมักจะแต่งไม่จบและหนีหายไปเลย เช่น  ดวงใจรามสรู  รองไปอ่านดูเผื่อจะชอบกัน  ดวงใจหมาป่า  เรื่องนี้เหมือนหลายปีมาแล้ว  มันหายไปพร้อมกันคนแต่ง  เสียดายมาก  ส่วนเรื่องนี้คงไม่ทำให้ผิดหวังนะครับ  แต่เรื่องนี้มีบ้างจุดที่ทำให้คนอ่านงง  คือภาษาคำพูด  มันดูสวยงามแต่บ้างครั้งมันทำให้งงและตีความไม่แตกบ้าง
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๑ สุริยะพจน์ ๑๐๐% (๐๔/๐๕/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 04-05-2016 09:18:40
[ต่อ]


ฝ่ายมาตะมีทักษะหูไวกว่าคนทั้งปวง ด้วยฝึกฝนศิลปศาสตร์เพลงดาบโดยอาศัยการปิดตาเพื่อสดับการเคลื่อนไหวของศัตรูจนช่ำชอง หว่างการเล้าโลมปลุกอารมณ์คนรักให้เคลิบเคลิ้มด้วยรอยจูบตน บังเกิดแว่วยินฝีเท้าดังมาแต่ซุ้มประตูกำแพงแก้ว พร้อมด้วยเสียงสังวาลย์สายกระทบเข็มขัดเป็นจังหวะชัดเจนใกล้เข้ามาสู่สำนักพระที่ทรงดนตรีฉะนั้น เห็นมิพ้นผู้มียศศักดิ์สูงเป็นแน่แท้ ด้วยเหตุสำนักดนตรีแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานฝ่ายวังหน้า ผู้เข้านอกออกใน ฤา สามารถเหยียบย่างสู่เขตหวงห้ามในเพลาดึกสงัดได้นอกกว่าทหารมหาดเล็กรับใช้ใกล้ชิดแล้วมิเห็นตัวคนอื่นอีก คะเนดั่งนั้นจึ่งละจูบจากลำคอระหง

“น้องท่านอย่าหาว่ามาตะนี้ชั่วช้า กระทำรัดเฟ้นต้อนอารมณ์เราสองจนใกล้ถึงจุดพิศวาสแล้วมารั้งรอหยุดยั้งฉะนี้ เหมือนหนึ่งอ้อยกำลังเข้าปากช้างแต่นายควาญก็ละออกเสีย อารมณ์น้องท่านนี้แล่นโลดถึงเพียงไหนโปรดระงับไว้ชั่วครู่หนึ่งเถิด” มาตะกล่าวด้วยหน้าสำนึกผิด อารมณ์พจน์เมื่อแรกต้นนอกกว่ารุ่มร้อนราวไฟสุมเป็นไม่มี แลมาเห็นกิริยาผละจากรวดเร็วดั่งถูกพิษร้อนก็ให้ฉงน อารมณ์เพลิงเย็นลงตามลำดับ ขยับนั่งเคียงคู่จนเห็นแววตระหนก

“นายเป็นอะไรหรือเปล่า”

“เพลานี้จักมีสิ่งใดมาฉุดรั้งให้มาตะหยุดกระทำการปรนนิบัติดูแลน้องท่านให้ถึงขนาดนั้นเป็นไม่มี นอกเสียจากว่าห่างออกไปภายนอกนี้ประมาณสองร้อยวา มีคนดำเนินล่วงเข้ามาเขตสำนักดนตรีแห่งที่เราทอดกายอยู่ ก่อเป็นอุปสรรคขวากหนามให้มาตะจำต้องละรอยปาก แลวิตกอยู่เพียงสิ่งเดียวว่าเพลานี้ อารมณ์น้องท่านเป็นปรกติดีหรือไม่ หากการละจากก่อเป็นโทสะครุ่นแค้นขึ้นในใจแล้ว มาตะก็จักระงับโดยปรนนิบัติน้องท่านต่อ แลมิพะวักพะวงการอันคนนอกมาเห็นแต่อย่างใด”

พจน์ได้ยินเช่นนั้นก็สะดุ้งเพราะประสาทการรับรู้ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดนอกจากความเงียบ ทว่าจะคิดเป็นเล่ห์กระเท่อย่างหนึ่งของเจ้ามาตะก็สบเห็นท่าทีเครียดเป็นจริงเป็นจังจึงอดหวาดเกรงไม่ได้

“ถ้ามีคนกำลังมาจริง นายจะมาสนทำไมกับอารมณ์ของเราล่ะ” พจน์คว้าผ้าสีขาวของตัวซึ่งเลื่อนหลุดออกจากกายท่อนล่างมาบรรจงนุ่มห่มมือสั่น มาตะเห็นท่าทีเงอะงะประสาซื่อมิรู้จักตลบภูษาพันกายอย่างไรก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เอ็นดูเอื้อมผูกให้สำเร็จโดยเร็วพลางว่า

“ก็แหละน้องท่านคือยอดชีวิตยอดดวงใจของมาตะดั่งนี้ จะหยุดยั้ง ฤา ปลุกโอ้โลมตามแต่อารมณ์ตัวเป็นที่ตั้งนั้นเหมาะควรอยู่หรือ น้องท่านรักข้าแลเรารักกันแลกันดุจคนๆเดียวกันแล้ว หากมิห่วงอารมณ์ของคนในอ้อมอกอ้อมใจก็ถือว่าชั่วช้ายิ่งนัก” พจน์ถูกมาตะแต่งตัวกลับคืนได้อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ ก่อนเจ้าตัวจะหันไปจัดการเครื่องนุ่งห่มของตนเอง

“แล้วจะทำยังไงดี เป็นเพื่อนนายสองคนที่เคยเจอ หรือว่าใครอื่น ถ้าเกิดเห็นเราอยู่ร่วมห้องด้วยคงสงสัยแน่” พจน์เหลียวมองโดยรอบนอกจากเครื่องดนตรีนานาชนิดซึ่งส่วนใหญ่มีขนาดเล็กตั้งวางห่างสลับกันอยู่แวดล้อมแล้วไม่มีสิ่งอื่นที่จะเป็นแหล่งกำบังกายได้เลย
 
“ด้วยรูปโฉมรัญจวนใจของน้องท่าน งดงามราวรูปสลักเทพ ณ สรวงสวรรค์ ใครพบเห็นยังมิทันเจรจาความก็ต้องใจคนผู้นั้นได้ไม่ยาก หากจักเป็นดาบก็เหมือนดาบสองคม คมหนึ่งนั้นเป็นที่ชื่นตาชื่นใจแก่มาตะ ทว่าอีกคมหนึ่งนั้นก็เหมือนทิ่มแทงมาตะเช่นกัน ดั่งนี้เชิญน้องท่านหลบอยู่เบื้องหลังฉากลับแลสลักลายพรรณพฤกษาเบื้องหลังตั่งนี้ก่อนเถิด หากถึงเวลาเหมาะควรแล้วจักเชิญมาทำความรู้จัก”

บัดนี้เสียงฝีเท้าคนย่ำลงเชิงบันไดยินชัดเจนแน่แท้ พจน์อยากจะโต้คำเรื่องรูปหน้าอันเป็นเหตุให้เจ้ามาตะต้องขับไสไปหลบซ่อนหลังฉากกั้น ก็สะดุ้งทำตามโดยเร็ว เขาหล่อเถอะ ไม่ใช่สวยสักหน่อย ใบหน้าแบบนี้ในโลกปัจจุบันผู้หญิงชอบนัก ไม่งั้นพจน์จะได้ของขวัญจากรุ่นน้องสาวๆไม่ซ้ำกันทุกสัปดาห์เหรอ พอค้อนควักให้เจ้ามาตะแล้วจึงรีบปลีกตัวหลบอยู่หลังฉากลับแลทันที เป็นจังหวะที่บุคคลที่สามผลักประตูพรวดพราดเข้ามา

ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับมาตะและพจน์ถลันเข้าสู่ภายใน ใบหน้ารูปงามมิต่างจากมาตะ คิ้วเข้มหนาเหมือนมีคนเอาสีดำมาป้ายไว้ได้รูปทรงรับกับดวงตาสองชั้นกว้าง จมูกโด่งสูง ริมฝีปากบาง คางเรียวยาว กึ่งกลางหน้าผากมนฝังหยดน้ำสีทองบรรจุอัญมณีสีเขียว รูปลักษณ์สง่าโอ่อ่าผ่าเผย ลำตัวล่ำสันบึกบึนเสมอมาตะ ทั้งกล้ามอก กล้ามท้อง แขนหรือขา ปรากฏรอยชัดเจนเหมือนคนออกกำลังกายมาอย่างดี ตกแต่งภูษาสีทองทั้งผ้านุ่งแลอาภรณ์คล้องไหล่ ขับผิวขาวให้กระจ่างเด่นชัด สังวาลย์สายห้อยสลับผลัดซ้ายขวา สวมกำไลทองต้องตารัดกล้ามแขนราวกับจะปริแตก พร้อมด้วยข้อมือและข้อเท้า แต่ที่ต่างจากมาตะชัดเจนคือห้อยต่างหูรูปกรวยทั้งสองข้าง สวมมงกุฏครอบศีรษะวิจิตรตะการตา วาดรอยยิ้มกว้างทันทีเมื่อเห็นมาตะนั่งอยู่

“มาตะ น้องเรา” เสียงทุ้มกว้างทักอีกฝ่าย มาตะฟุบกายลงพื้นยังมิทันจะก้มกราบตามความตั้งใจก็ถูกคนผู้มาใหม่ดึงรั้งไว้ด้วยกำลัง “เหตุไฉนมากระทำการก้มกราบเราเหมือนคนมิเคยรู้จักกันฉะนั้น”

มาตะทำหน้านิ่งยามปกติวิสัย ย่อกายลงบนตั่งตามแรงบังคับ เจ้าคนชุดทองก็นั่งเคียงเสมอกันแล้วตบไหล่ดูสนิทชิดเชื้อ มาตะกระพุ่มมือเคารพ แล้วว่า

“ด้วยใต้ฝ่าพระบาทเป็นถึงหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ ดำรงศักดิ์ถึงขั้นพระมหาอุปราชา ขัตติยประเพณีสืบแต่โบราณมา บัญญัติให้ข้าฝ่าพระบาทควรน้อมกราบอย่าช้าที”

เจ้าของตำแหน่งอุปราชทรงพระสรวลเสียงดัง ตรัสว่า

“คำน้องเราวันนี้ผิดแผกจากปกติเมื่อพบปะนัก เราสองคนต่างเติบกล้าจำเริญวัยมาด้วยกัน นับถือเป็นพี่เป็นน้องดุจร่วมอุทร จะมีวันใดที่มาตะน้องเรากล่าวถึงเชื้อสาย แลหรือตำแหน่งแห่งที่ทำราชการอยู่นั้นมิเคยพบ แลมาสบคำราชาศัพท์อันมีแต่คนอื่นเป็นผู้กล่าว บังเกิดขึ้นจากปากน้องเราซ้ำ จึ่งอดสงสัยมิได้ ราตรีนี้เกิดสิ่งใดขึ้นจึ่งชักนำให้มาตะน้องร่วมวงศ์เรา มาทำประหนึ่งต่ำศักดิ์กว่าเราเช่นนี้ ฤา”

“หามิได้” มาตะสวนคำกลับรวดเร็ว “เอ่อ...หากแต่ทุกสิ่งล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น แลมาพบพระองค์...” มหาอุปราชหนุ่มส่งเสียงกระแอมแสร้งตีหน้าพิโรธ “แลมาพบพี่ท่านปัจจุบันทันด่วนกระนั้นเผลอตัว เจียมตนสำนึกถึงฐานะรากเหง้าแท้จริงจำเดิม คำใดกล่าวมิต้องใจพี่ท่าน วานละทิ้งเสีย”

“อายุเราห่างกันเพียงสองขวบปีนับเราเป็นพี่นั่นถูกแล้ว คราวใดน้องเรากล่าวคำ พระองค์ หรือ ใต้ฝ่าพระบาท ซ้ำอีกหนในภายภาคหน้า ความน้อยใจนั่นแล้วจักเป็นเครื่องทำร้ายพี่ ก่อนแม่เจ้าพาน้องท่านมาร่วมเล่นด้วยกันเมื่อครั้งยังเยาว์ จะมีคำไหนซึ่งมาตะน้องเราเรียกขานนอกจาก สุริยะ แล้วเป็นไม่มี ครั้นพระราชเทวีบังเกิดได้ยินด้วยวิสัยสตรีศักดิ์สูงยึดขนบประเพณีกฎมนเทียรแต่โบราณเป็นที่ตั้ง คือ ห้ามมิให้ออกพระนามแพร่งพราย จึ่งบังคับเจ้าให้เรียก พี่ แทน บัดนั้นจึ่งกลายเป็นเรียกพี่ทุกครั้งไป”

มาตะกลายสภาพเป็นคนนิ่งเงียบไร้คำ เมื่อเทียบกับอีกฝ่ายที่พูดฉะฉานราวกับไม่เคยเจรจามาก่อน

“สุริยะ นี่แล้วเป็นนามแต่กำเนิดอันได้รับพระราชทานมาแต่พระเจ้าอยู่หัว ครั้นต่อมาสถาปนาเลื่อนยศเป็นพระมหาอุปราชเจ้าวังหน้า จึ่งปรากฏนามในพระสุพรรณบัฏใหม่ว่า อาทิตยาธร แต่ครั้งใดใครเอ่ยเรียกนามเดิม สุริยะ พี่กลับรู้สึกยินดีทุกคราไป ก็แหละด้วยนามนี้อีกเช่นกัน อันพระอาจารย์โกสินธพครูเราเป็นผู้คิดตั้ง พระเจ้าอยู่หัวเห็นพ้องจึ่งพระราชทานมาสถิตเป็นชื่อเรา ครั้นวันก่อนความอยากรู้มากมีพอกพูนมาหลายขวบปี พี่วอนเซ้าซี้ครูเราให้อรรถาธิบายเบื้องลึกความนัยหมายชื่อ เฝ้าเวียนพัดวีปรนนิบัติเอาเป็นธุระอยู่นานหลายเพลา พราหมณ์ผู้เฒ่าจึ่งยอมใจอ่อน อธิบายความทั้งสิ้นทั้งปวงให้คลายสงสัย

 ‘วันประสูติของใต้ฝ่าพระบาทเป็นเพลาสุริยะกลด บังเกิดรัศมีเป็นวงล้อมเลี้ยวลดรอบดวงพระอาทิตย์เป็นที่อัศจรรย์แก่อาณาประชาราษฎร์ เนื่องเพราะพระราชเทวีเจ็บพระครรภ์มาแต่ยามย่ำรุ่งแต่ยังมิบังเกิดพระสูติการเป็นที่ปริวิตกแก่พระญาติพระวงศ์โดยถ้วนหน้า อาตมันเห็นเป็นนิมิตประหลาดแลสดับยินทหารรับใช้มาแจ้งการว่า พระเจ้าอยู่หัวให้เรียกหา จึ่งดำเนินสู่พระราชวังหลวงมิช้าที หว่างทางฉนวนกับตำหนักพระประสูติการนั้น อาตมันเห็นสมันตัวหนึ่งร่างกายล่ำสันมีเขาเกี่ยวกระหวัดงดงามสูงชะรูด นัยน์ตาอันควรเป็นสีดำกลับเป็นสีเดียวกับผิวตัว ย่างเยื้องและเล็มยอดหญ้าอ่อนอยู่ในอุทยานนั้น มิได้ตระหนกตกใจแก่ผู้คนซึ่งพากันเฝ้ามองแม้แต่น้อย แลมิอาจล่วงรู้ว่าเหตุผลกลใดสัตว์ชนิดนี้จึ่งเล็ดลอดเข้ามาถึงพระราชฐานฝ่ายในได้ เสียงเจ็บท้องของพระราชเทวียังคงดังแว่วมาจากพระที่นั่ง พลันสมันตัวนั้นบังเกิดเงี่ยหูฟัง ก่อนจักแหงนหน้าจ้องดวงอาทิตย์ทรงกลดพร้อมหลุดอ้าปากร้องเป็นคำว่า “พจน์” ชัดเจนไปถึงห้องประสูติกาล บังเกิดให้ทารกในพระครรภ์ถือกำเนิดเป็นที่น่าอัศจรรย์แก่คนทุกผู้ ท่ามกล่างความยินดีของพนักงานนางกำนัล สมันตัวนั้นก็เลือนหายลี้ลับราวกับมิเคยมีอยู่ อาตมันเล่าถวายพระเจ้าอยู่หัว เห็นเป็นนิมิตอัศจรรย์ จึ่งถวายพระนามว่า สุริยะ ตามดวงพระอาทิตย์ทรงกลดในวันมงคลนั้น แต่ปริศนาคำอันสมันตัวนั้นกล่าวว่า พจน์ ยากเกินกว่าอาตมันจักทูลถวาย เหตุการณ์นี้นี่เล่าจึ่งเป็นที่มาของพระนามของพระองค์’

พี่ติดใจเงื่อนงำสมันร้องเป็นถ้อยวาจาภาษามนุษย์มาแต่นั้น แลเพลาค่ำนี้บังเกิดหวนขุดเรื่องเดิมขึ้นมาอีก นั่งตรึกตรองอยู่หลายชั่วยามมิเห็นหนทางสว่าง พอดีเสียงซอคำหวานดังสะท้านถึงตำหนักฝ่ายใน รู้ว่าเป็นฝีมือมาตะน้องเราแน่แท้จึ่งเร่งมาหา ด้วยหวังอยากปะหน้าและเฉลียวคิดได้ว่าน้องเราไวปัญญาเจนจัดเลิศล้ำเป็นทุนเดิม ปริศนานิมิตในวันกำเนิดพี่นี้ น้องเราอาจไขออกก็เป็นได้จึ่งเร่งฝีเท้ามาหา”

มาตะได้ฟังความโดยตลอดก็เอะใจ หน้าซึ่งนิ่งขรึมอยู่แล้วก็ตึงเครียดขึ้นทันควัน ฝ่ายพระมหาอุปราชเห็นคนข้างเคียงนิ่งเงียบตรึกตรองอยู่นาน ทั้งขมวดคิ้วมุ่นเป็นที่วิตกว่าจักนำเรื่องยากมาทำลายอารมณ์คนผู้น้องเสียแล้วจึ่งออกปากร้องห้ามทันที

“การอันพี่ไหว้วานปรึกษาเมื่อครู่ ถือเสียว่าเป็นความเล่าสู่กันแลกันยามปกติเถิด ก็แหละครูท่านบำเพ็ญพรตถือศีลมายาวนานยังมิอาจไขถอนได้แล้ว ฆราวาสเช่นเราสองอันเป็นปุถุชนธรรมดาไฉนเลยจักอาจเอื้อมแก้กลได้ จงผ่อนปรนปล่อยวางเสียเถิด มาตะ น้องเรา แลอีกเหตุหนึ่งที่พี่ด่วนเร่งมาหาก็ด้วยมีใจอยากประชันซอให้ถึงขนาดดอก วานน้องท่านหยิบซออู้คู่กายพี่มาบรรเลงลบความข้องในหูให้เลือนหายเสียเถิด”
 
มาตะดำริตามคำร้องของอุปราชชั่วครู่ อดหวั่นเกรงสิ่งที่บังเกิดขึ้นในใจมิได้ ความในอกอัดอั้นฉันใดก็ปรากฏสู่ใบหน้าทั้งสิ้น แลถูกมหาอุปราชชักชวนเลี่ยงไปซ้อมดนตรีจึ่งถอนใจทำตามเสียมิได้ ขณะเจ้าหนุ่มทั้งคู่ขยับขันสีเป็นท่วงทำนองสอดคล้องเสนาะโสต สุริยะผู้พี่จึ่งกล่าวความสลับกันไปมิให้ขาดการสนทนา

“ก็แหละวันนี้เราเข้าเฝ้าเสด็จแม่ที่ตำหนักฝ่ายใน ณ พระราชวังหลวง หลังเสร็จกิจออกว่าราชการของพระเจ้าอยู่หัวแล้ว สุขภาพแม่เราเป็นปรกติดี แต่สีหน้าหนักอกเป็นพิรุธชัดแจ้งอยู่เต็มตา พี่จึ่งออกปากถามความในใต้เบื้องพระพักตร์ พระนางจึ่งดำรัสตรัสว่า
 
‘เพลานี้จักว่าสุขกายเทียบชั้นถึงขั้นบริบูรณ์นั้นมีอยู่ แต่ความสุขในใจเทียบชั้นถึงขั้นขัดสน พระมหาอุปราชราชบุตรเป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน มีราชกิจมากล้นนั้นรู้อยู่ นานครั้งจึ่งเข้าพระที่มาปะหน้ากันหนหนึ่งนั้นคะเนว่าหนึ่งครั้งในปักษ์ แลหนท้ายซึ่งเห็นเราว่ามีสุขก็ล่วงผ่านมาเกือบสิบห้าทิวาราตรีดั่งนี้ ก็แหละการห้ามราชรถพระอาทิตย์มิให้เสด็จพ้นจากขอบฟ้านั้นยากฉันใด หว่างกลางเพลาล่วงจักมิบังเกิดเหตุอันก่อความให้ไม่สบายใจขึ้นก็ยากเย็นฉันนั้น พอสดับยินคำกล่าวเหมือนมีเหตุทุกข์ร้อนก่อขึ้นในอกมารดาผู้ให้กำเนิดเช่นนั้น ตริแล้วจึ่งพยักหน้าขับให้ข้าหลวงที่ปฏิบัติพัดวีอยู่แวดล้อมล่นถอยออกไปก่อน ครั้นปรากฏอยู่สองต่อสองแล้ว จึ่งเอ่ยปากทูลถามพระราชมารดาซ้ำอีกหน พระราชเทวีเห็นเหตุสบช่องที่จะเปลื้องทุกข์ออกจากอกได้จึ่งมิพักออมแรง ระบายความทั้งสิ้นทั้งปวงสู่ราชบุตรในทันใด การอันเป็นเหตุให้แม่นี้หนักอกบังเกิดขึ้นสองประการ หนึ่งคือความคิดถึงอันเกิดแก่ผู้ที่ได้ชื่อว่าครองฐานะสตรีแลแม่ ก็แหละมหาอุปราชราชบุตรถึงนานครั้งจักมาให้สบเห็นหน้าให้คลายระลึกถึง แต่ก็ยังเสด็จมาหาเป็นกิจวัตรเสมอต้น ความอยากพบหน้ามีมากล้นเช่นไร ก็ลดทอนลงได้เมื่อแลเห็น แต่ตัวเรานี้คงสร้างทัณฑกรรมหนักมาแต่ชาติปางก่อนหรือไร จึ่งเป็นที่น่ากลัวแลหรือเป็นที่รังเกียจจนราชบุตรอีกคนมิอยากมาให้เห็นแลพบหน้า แม้แต่เพียงเงากายก็ไม่เคยพบนับได้ครบไตรมาศนี่แล้ว’”

“ข้า...” มาตะเอ่ยคำหนึ่งคัดค้าน แต่ถูกสุริยะมหาอุปราชกระแอมขัดคอให้เงียบความเสียก่อน

“น้องเราอย่าเพ่อด่วนแก้ความ โปรดฟังจบให้สิ้นถ้อยกระบวนก่อนเถิด”
 
“พระราชมารดารำพันพลางกันแสงพลางจนพระอุปราชจำต้องซักความตื้นลึกซ้ำว่า ไยพระมารดาจึ่งตรัสเช่นนั้น พระเมตตาท่วมท้นจนข้าราชบริพารแวดล้อมต่างสรรเสริญทราบซึ้งทั่วทุกตัวคน อีกทั้งพระสิริโฉมนั้นเล่าก็งดงามมิมีผู้ใดเปรียบ ด้วยเหตุทั้งสิ้นนี้จึ่งมิควรที่พระมารดาจักมาวิตกว่าเป็นต้นเหตุ พระราชเทวีได้ยินราชบุตรยกเหตุมาล้างคำตนบังเกิดความชื่นใจขึ้นมากประมาณ แต่จะหักลบความเศร้าอันเกิดจากความคิดถึงนั้นให้เลือนหายมิได้หมด จึงรำพึงว่า เช่นนั้นจักด้วยเราเป็นมารดาแต่ในนามกระมัง พระราชบุตรบุญธรรมผู้นั้นจึ่งมิเห็นความคิดถึงตามประสาแม่ จึ่งได้ทอดทิ้งให้เราทนทรมานอยู่เช่นนี้ พระมหาอุปราชหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็อดพระสรวลมิได้ พระราชเทวีเห็นกิริยาราชบุตรอุปราชผิดไปจากคะเน ก็กันแสงซ้ำตรัสว่า ดูเอ๋ย กระทั่งบุตรจากอุทรตัวยังประพฤติเห็นเป็นเรื่องขบขัน วันใดเจ้ารู้สึกคิดถึงเจียนสิ้นชีวาวายกับตัวนั่นแล้ว มหาอุปราชบุตรเราจึ่งประจักษ์รู้แจ้งเห็นจริง
 
อาทิตยาธรอุปราชตรัสตอบว่า ไยเสด็จแม่จึ่งมากล่าวร้ายด้วยข้า ความผิดทั้งหมดล้วนเกิดจากอนุชาเราต่างหาก แลบัดนี้ข้าพระองค์กลายเป็นคนผู้นั้นแลเหมือนได้รับโทษทัณฑ์แทนมิต่างกัน เอาเถิดจักว่าเป็นความผิดของกระหม่อมก็ย่อมถูก ด้วยลูกเป็นเหตุให้พระราชบุตรบุญธรรมฝึกปรือในกิจการงานมหาดเล็กให้เชี่ยวชาญทักษะราชการรอบด้าน ตำแหน่งยศศักดิ์ใดในการครองฐานะราชบุตรบุญธรรมจึ่งวางละเสีย เข้าสวมกอดฐานะมหาดเล็กมาจักได้ครบสามเดือนได้แล้วดั่งนี้ จึ่งมิอาจนำตัวมาทูลถวายพระแม่ท่านได้ พระราชเทวีได้ยินดั่งนั้นเหมือนเมฆหมอกบังตาเลือนหาย แลมาแจ้งว่าบุตรตัวอีกคนมามีอันเป็นมหาดเล็กเช่นนั้นจึ่งเบาใจคลายโศก แลว่า พระมหาอุปราชราชบุตรไฉนเลยถึงลดศักดิ์อนุชาร่วมวงศ์โดยมิได้กราบทูลแม่ ฤา พระเจ้าอยู่หัว จนก่อเป็นความหนักอกเช่นนี้ เฝ้าแต่คิดไปข้างว่าบุตรอันตัวนำมาชุบเลี้ยงรังเกียจตนจนไม่อาจพาตัวมาเข้าเฝ้า เป็นเหตุให้ผิดใจกลัดอก เหมาะควรอยู่หรือ สุริยะราชบุตรแย้มโอษฐ์ตรัสว่า การทั้งนี้ล้วนเป็นความประสงค์ของอนุชาเราทั้งสิ้นจะมีการบังคับกะเกณฑ์ก็หาไม่ ด้วยต้องการละฐานะราชบุตรบุญธรรมไว้บนที่สูง ประพฤติตนเหมือนเช่นราษฎรสามัญแต่ดั้งเดิม ทั้งต้องการเรียนรู้ราชการงานเมืองให้ครบทุกกรมกองเช่นนี้ ลูกจึ่งอดที่จักยินดีแลพร้อมสนับสนุนมิได้ พระราชเทวีได้ยินความทั้งสิ้นทั้งปวงค่อยคลายใจ ตรัสว่า เช่นนั้นพระอุปราชราชบุตรโปรดแจ้งลูกเราอีกคนว่า บัดนี้แม่ในตำหนักหลวงเรียกหา อยากพบปะหน้าสักคราให้คลายความคิดถึง โปรดละตำแหน่งมหาดเล็ก นำตนมาสู่อ้อมอกอ้อมกอดให้สตรีผู้นี้ยลโฉม ซักถามสารทุกข์สุขดิบสักเพลาหนึ่งจักเป็นคุณอย่างสูง
 
พระมหาอุปราชก็รับคำ แลว่ายังมีประการสองในอันเป็นข้อให้พระมารดาหนักอกนั้นจักเป็นเรื่องใด ฤา พระราชเทวีสดับยินคำถามเมื่อแรกหน้าชื่นตาบานก็กลับปริวิตกซ้ำอีก ตรัสว่า มีความหนึ่งบังเกิดขึ้นมาร้อนหูเราเป็นข้อใหญ่ ซ้ำเจ้าตัวยังวอนว่ามิให้เอ่ยนามแพร่งพรายแก่ผู้ใด ด้วยความอันนำมาสู่เรานั้นทุกข์ยิ่งกว่าเมื่อข้อแรก เหตุเพราะมีข่าวลือว่า อนุชาบุญธรรมของเจ้าถูกต้องกลเสน่ห์ พระอุปราชหลุดคำ ‘ต้องกลเสน่ห์’ ซ้ำสุดจะเชื่อ ด้วยไม่คิดว่าจักได้ยินคำนี้มาก่อนล่วงหน้า แล้วว่า พระมารดาเอาสิ่งใดมายืนยันคำกล่าวนี้จนพาลให้เชื่อถือ พระราชเทวีตรัสว่า ผู้ที่กล่าวได้เห็นมากับตาตนเอง ซ้ำยังถูกอนุชาเจ้าเมินเฉยห่างเหินไม่เหมือนเก่า มีทีท่าลุ่มหลงเมามัวแต่กับผู้อื่นจนผิดจากปกติวิสัย สุริยะอุปราชซักต่อว่า รูปการณ์เพียงแต่เท่านั้นยังมิอาจปลงใจเชื่อได้ว่าถูกต้องกล จงละการณ์นี้ไว้เป็นธุระลูก สบช่องจักหาลู่ทางเลียบเคียง วานพระมารดายกทุกข์นี้เป็นกิจหน้าที่ของลูกเอง แลเมื่อได้ความใดคืบหน้าจักนำคำมาสนองโดยเร็ว พระราชเทวีแย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า เห็นพระมหาอุปราชราชบุตรรับคำหนักแน่นเช่นนี้ค่อยเบาใจ เกรงก็แต่คนผู้มาทูลนั้นจักเศร้าเสียใจหนักจนทุกข์ยิ่งกว่าแม่ ด้วยหมายตาหมายใจนางผู้นั้นไว้แล้วว่าจักได้ไว้เป็นคู่ครองเสกสมรสกับอนุชาเจ้าในภายภาคหน้า’


เรื่องราวตื้นลึกเป็นมาดั่งนี้ เจ้าจักแก้ต่างชำระความเช่นไร มาตะ น้องพี่” อาทิตยาธรอุปราชตรัสจบพร้อมเชิญคำถามสู่คนข้างเคียง

กล่าวถึงพจน์ซุ่มหลบอยู่หลังฉากลับแลได้ยินคำเจรจาทุกอย่างชัดเจนเหมือนหนึ่งนั่งอยู่เคียงข้าง ลำดับเทียบเคียงเรื่องราวมาแต่ท่าทางกระทำคารวการของมาตะจนไปสู่ฐานะสูงศักดิ์ของผู้มาถึง แลลักษณะความสัมพันธ์ทั้งคู่บ่งว่าสนิทชิดเชื้อทางวาจาและกาย ในชั้นแรกได้ฟังที่มาของพระนามของอุปราชผู้นี้ก็นึกฉุกใจขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตกว่าปริศนาคำพูดของสมันตัวนั้นแสดงให้เห็นความใด ต่อมาพระอุปราชสุริยะกล่าวถึงถ้อยความครั้งเมื่อได้เข้าเฝ้าพระมารดา ก็บังเกิดเค้าความสงสัยผุดขึ้นในใจซ้ำอีกหนว่า บุคคลที่สามอันถูกกล่าวถึงคือผู้ใด แม้ในใจปรากฏชื่อหนึ่งขึ้นมาก็หักลงเสียโดยอ้างว่าคงเป็นไปไม่ได้ แต่ในท้ายที่สุดเรื่องราวคำกล่าวหาที่ว่าถูกต้องกลเสน่ห์โดยมีผู้นำความมากราบทูลนั้นคลับคล้ายเหมือนพจน์ปรากฏอยู่ในเหตุการณ์นั้นแต่เป็นคนละเรื่องกันเลยทีเดียว จนมาในยินคำท้ายซึ่งถูกโยนกลับให้มาตะจึ่งพบว่า บุคคลซึ่งเป็นถึงพระราชบุตรบุญธรรม และถูกหมายมั่นไว้แล้วว่าจะแต่งงานกับหญิงสาวในอนาคตข้างหน้า คือ มาตะ นั่นเอง
 
เมื่อความจริงปรากฏชัดแจ้ง ความรู้สึกอย่างหนึ่งผุดขึ้นในใจพจน์

นายจะเป็นคนเดียวใช่ไหมที่ไม่โกหกเรา มาตะ

พลังแรงกายซึ่งเคยกล้าแข็งก่อนหน้าแทบเหือดหายในบัดดลนำพาให้พจน์โซซัดซวนเซเอนชนกลองชาตรีจนไม้ตีล่วงหล่นกระทบพื้นบังเกิดเสียงดังขึ้นในทันใด

“ผู้ใดอยู่ตรงนั้น จงเร่งออกมาอย่าช้าที”

พระมหาอุปราชสุริยะผุดลุกตวาดถาม พจน์หยัดกายยืนทรงให้ตั้งตรง ไม่อยากทำให้มาตะเดือนร้อนแต่ก็พลาดเผลอซุ่มซ่ามก่อเหตุขึ้นจนได้ เมื่อไร้หนทางหลบเลี่ยงจึ่งจำต้องก้าวเท้าออกมาจากหลังฉากกั้น ครั้นใบหน้าต้องแสงอัจกลับปรากฏสู่ดวงเนตรของพระมหาอุปราชาหนุ่ม ยังมิทันที่พจน์หรือมาตะจะเอ่ยคำใด หน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ก็ตรัสถามโดยพลัน

“นะ...นามของเจ้า ชื่อเสียงเรียงนามของเจ้า โปรดแจ้งข้าบัดเดี๋ยวนี้”

พจน์พยายามหลบสายตาของมาตะ เพราะเมื่อสบดวงตาคมนั้นครั้งใด พจน์ก็รู้สึกเจ็บช้ำทรมานเหลือล้ำ ไม่อาจดำรงกายยืนอยู่ให้ผู้ใดเห็นตัวได้ อีกทั้งเจ้านั่นก็นิ่งเงียบไม่เอ่ยคำใดปกป้องอย่างเช่นที่เคยออกปาก เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกล่าวตอบคำ

“พจน์...ภัทรพจน์”

เพียงพจน์บอกชื่อ พระมหาอุปราชก็ทำสีหน้าประหนึ่งสุดเหลือเชื่อ หลุดคำแผ่วเบาที่มีแต่องค์เองเท่านั้นได้ยิน

“สุริยะ...พจน์”


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3375491#msg3375491)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๑ สุริยะพจน์ ๑๐๐% (๐๔/๐๕/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 04-05-2016 10:15:19
มาตะโกหกพจน์ระวังพจน์จะไม่ยอมกลับไปหาอีก
หวังว่าจะไม่เกิดรักหลายเศร้าแย่งชิงพจน์กันนะ :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๑ สุริยะพจน์ ๑๐๐% (๐๔/๐๕/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 04-05-2016 10:41:33

เอาแล้ว แล่วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
กลายเป็นว่ามีตัวพระเพิ่มมาอีกหนึ่งซะอย่างงั้น
มาตะนี่เป็นราชบุตรบุญธรรมด้วย ว้าววววว
ถ้าเป็นในยุคปัจจุบันคงต้องบอกว่า หล่อล่ำบ้านรวย(เมียสวยม๊ากๆ) สินะคะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๑ สุริยะพจน์ ๑๐๐% (๐๔/๐๕/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 04-05-2016 12:14:22
แล้วพจน์จะอธิบายว่าตัวเองเป็นใครยังไงกันเนี่ย ตัวละครโผล่มาอีกหนึ่งแล้ว ท่าจะชอบพจน์แน่ มาตะจะทำยังไง รออ่านตอนหน้า รีบมาต่อไวๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๑ สุริยะพจน์ ๑๐๐% (๐๔/๐๕/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Robinhood.ha ที่ 06-05-2016 09:58:07
เป็นนิยายที่ทรงคุณค่าทางภาษาเรื่องหนึ่ง ภาษาสวยงาม เนื้อเรื่องดี เก็บทุกรายละเอียด บ่งบอกถึงความตั้งใจของคนเขียนมากๆ (ถ้าได้หนังสือเรื่องนี้ไว้ในครอบครอง คงจะดีไม่น้อยเลย )ให้กำลังใจคนเขียน... :mc4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๑ สุริยะพจน์ ๑๐๐% (๐๔/๐๕/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 06-05-2016 23:48:03
ภาษาสวยใกค่ะ!
ชอบๆ
สู้ๆนะคะเป็นกำลังใจให้กับผลงานดีๆเรื่องนี้ค่ะ^^
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๑ สุริยะพจน์ ๑๐๐% (๐๔/๐๕/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 07-05-2016 22:34:50
มาติดตามให้กำลังใจ ชอบมาก
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๑ สุริยะพจน์ ๑๐๐% (๐๔/๐๕/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ปุกปิกกุกกิกไปตามสไต ที่ 08-05-2016 06:07:32
สนุกดีแต่งงนิดๆเพราะไม่เก่งกลอน
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๑ สุริยะพจน์ ๑๐๐% (๐๔/๐๕/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 08-05-2016 11:11:52
 :mew5:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๒ มหาราชภัย ๕๐% (๐๙/๐๕/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 09-05-2016 08:56:58
บทที่ ๒๒



มหาราชภัย
   


“ช้าก่อน มหาบุรุษ”
   
กระแสเสียงเฒ่าชราร้องเตือนดังกังวานจนฉุดความสนใจของบุรุษเพศทั้งสามให้หันเหสายตาไปยังบริเวณประตู ณ จุดนั้นปรากฏตัวเป็นร่างชายชราผู้หนึ่ง ผมเผ้าขาวโพลนตลอดทั้งศีรษะ มุ่นเป็นมวยไว้กลางกระหม่อม เช่นเดียวกับหนวดเคราสีเงินยาวถึงกลางอก นุ่งโจงกระเบนห่มผ้าขาวผ่องคล้องคอด้วยลูกประคำสีดำหนึ่งเส้น ไม่มีเครื่องประดับอื่นใดนอกจากนี้ กึ่งกลางหน้าผากวาดสีแดงสดเป็นหยดน้ำ ประกายตาวาวภายใต้คิ้วขาวผ่อง ริ้วรอยยับย่นบนผิวหน้าสีทรายสำแดงถึงความสูงวัย สรีระแม้จะหย่อนยานตามอายุ แต่ยังคงอุดมด้วยกล้ามเนื้อ รูปทรงสูงใหญ่ผิดต่างคนวัยเดียวกัน คือดูกระฉับกระเฉงแคล่วคล่อง  ท่าทีเดินเหินไม่จำเป็นต้องใช้ไม้ค้ำยัน  ดูทรงภูมิความรู้ ทั้งน่าเกรงขาม อดที่จักพนมมือทำคารวการโดนพลัน

“พระอาจารย์”

“ครูท่าน”

มาตะและพระมหาอุปราชสุริยะฟุบกายลงกับพื้นกระทำเคารพนบน้อม

“ลุกขึ้นเถิดมิต้องมากพิธี”

กล่าวพลางก็ดำเนินเชื่องช้ามายังที่ชุมนุม ฝ่ายมาตะและอุปราชสุริยะยินคำพระอาจารย์ตนออกปากผิดวิสัยเช่นนั้นจึ่งดื้อแพ่งคงอิริยาบถไว้ ส่วนพจน์เมื่อแรกคิดว่าไม่อาจยืนทรงกายอยู่บนพิภพนี้ได้ก็รู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่างกำลังพาตัวตนกลับคืนสู่โลกปัจจุบัน พลันมาถูกคำร้องท้วงห้ามของพราหมณ์ผู้เฒ่ากู่ร้องเหมือนหนึ่งประกาศิตคำศักดิ์สิทธิ์ อำนาจชักนำจึ่งเสื่อมคลายลง ลองหลับตาหวนนึกถึงบ้านทรงไทยเทพวิมานก็มืดสนิทไร้สิ่งใดในความคิด

“มหาบุรุษท่าน จักหวนคืนกลับด้วยดวงตามืดบอดแลร้าวรานใจเช่นนั้นมิควรก่อน โปรดยืนทรงกายประทับอยู่เบื้องพิภพนี้สักเพลาหนึ่งเถิด”

ฝ่ายอุปราชสบเห็นนัยนาของพระอาจารย์จ้องเจรจาความกับคนอีกผู้หนึ่งที่มิใช่ตนก็พลันตะขิดตะขวงใจ ด้วยบุคคลปริศนามีลักษณะคลับคล้ายคลับคลามหาดเล็กฝ่ายภูษา แอบหลบอยู่หลังฝากั้นนั้นมิเคยพบ แลมาประสบกับตัวแลตาในราตรีเป็นคราแรก พร้อมกับมีคำตอบบางอย่างผุดขึ้นในพระหทัยของพระองค์เป็นที่สะกิดพิศวง ด้วยนามของเจ้าหนุ่มดวงหน้าแฉล้ม ปลุกปริศนาค้างคาให้ตื่นขึ้น

มาตะเหลียวมองภัทรพจน์คนรัก เห็นรอยน้ำตาเปิดเผยเป็นที่เสียดแทงอกตัวเหลือแสน แลมาพบที่มาปริศนาชื่อพระมหาอุปราชเป็นกลทิ่มแทงอก หัวใจมืดบอดมิอาจเห็นทางออกก็อ้ำอึ้งสุดกล่าวคำ ซ้ำมาถูกท่าทีเมินเฉยจากคู่ปฏิพัทธ์ เดาว่าคงเกิดโทสะด้วยงำความตื้นลึกในฐานะตัวไว้ จักกระทำเข้าลูบโลมปลอบโยนเช่นเคยอยู่สองต่อสองก็เกรงจะเป็นที่ครหาตกมาสู่ภัทรพจน์ จึ่งนั่งเก็บคำแลอาการไว้แน่นอก

พจน์เห็นความเจรจามุ่งมาสู่ตัวเช่นนั้นเหมือนถูกจี้ใจด้วยเหล็กร้อน น้ำตาอัดอั้นตันอยู่ก็ปริ่มจะรินไหล แผลใดจะเจ็บเท่าแผลอันเกิดจากผู้ที่เคยไว้ใจลั่นสัตย์สาบานว่าจะไม่มีวันทำร้ายตนด้วยคำโกหกนั้นเป็นไม่มี

“มหาบุรุษท่าน อย่าเพ่อด่วนปลงใจในความอันเพิ่งสดับยิน ก็แหละมาตะผู้ศิษย์อาตมันนี้ จำเดิมเป็นแต่เพียงปุถุชนสามัญธรรมดามาแต่กำเนิด หากแต่ภายหลังทำคุณถึงขนาดด้วยฝีมือเหนือชั้นแก่ข้าทหารทุกผู้ในอาณาจักร จึ่งเป็นที่ต้องตาต้องใจพระเจ้าอยู่หัว ประสงค์นำตัวมาชุบเลี้ยงเป็นพระราชบุตรบุญธรรม แหละการทั้งนี้จักลบล้างกิริยาแลวิสัยติดพื้นสามัญของศิษย์อาตมันก็หาไม่ ความประพฤติเรียบร้อยเสมอราษฎรไพร่ฟ้ามีมากเพียงไรก็ยังคงอยู่เพียงนั้น ตำแหน่งยศศักดิ์อันพึงได้รับเมื่อหนหลังจักมีผลให้เปลี่ยนอุปนิสัยแต่เดิมนั้นมิอาจทำได้ มหาบุรุษเอย หากจักเปรียบศิษย์อาตมันนี้ ก็เหมือนอาชาหนุ่มในไพรพนา ต่อมาออกทักษะปกป้องกษัตริย์สิงหราชเป็นคุณยิ่งชีวิต จึ่งถูกชุบขึ้นมาเป็นบุตรร่วมวงศ์ฉันใด มาตะศิษย์อาตมันก็ยังคงเป็นอาชาตัวเดิมที่อยู่ในป่าดงพงไพรฉันนั้น ตำแหน่งแห่งที่ถูกอวยยศเหมือนเป็นรูปทรัพย์มิอาจแตะต้องได้ ประหนึ่งนามรูปธรรมมีแต่เพียงชื่อ ตัวตนแท้จริงนั้นหรือต่างหากเล่าที่ยังยึดถือเจตนารมณ์ ไม่หลงมัวเมาในอารมณ์ทรัพย์ยศถา ประพฤติตามแต่ฐานาเดิมเป็นกิจ แม้กระทั่งลดตัวมาทำราชการต่ำศักดิ์กว่า แลมิถือสาในเพื่อนพ้องน้องพี่ คลุกคลีเหมือนหนึ่งมิมีฐานะพระราชบุตรบุญธรรมค้ำชีวิตอยู่นี้ ท่านจงตรองเถิดว่า ศิษย์เอกของอาตมันนี้ มีความผิดถึงขั้นมิอาจให้อภัยได้เลยนั้นจักควรอยู่หรือ”

คำพราหมณ์เฒ่าเอ่ยอ้างสอดคล้องเห็นจริง ทั้งท่าทีน่าเกรงขามของผู้ทรงศีล ผสานมากคุณวุฒิแลวัยวุฒิ ทำให้พจน์ค้อมศีรษะพนมมือรับคำ ใจเมื่อได้ยินหะแรกกรุ่นไปด้วยเจ็บช้ำ ซ้ำมาฟังจบสิ้นความก็ทุเลาลง ตรองดูแล้วมิอาจต่อความได้ก็นิ่งเงียบเสีย

“ด้วยการทั้งสิ้นนี้เป็นความผิดของอาตมันเอง คราวเมื่อมาตะนำเรื่องท่านมาปรึกษา จักด้วยสติปัญญาเสื่อมถอย หรือมิอาจเข้าใจวิสัยชีวิตปุถุชนเมื่อรุ่นกำดัด จึ่งพลั้งเผลอคิดเอาแต่ความด่วนได้อยากพิสูจน์น้ำใสใจจริงของท่าน จึ่งออกปากท้วงมาตะว่า อย่าเพ่อเผยฐานะตัวให้ท่านล่วงรู้ จนกว่าจักสบช่องเห็นว่าท่านรักศิษย์เราจริงมิได้คะนึงถึงลาภยศสรรเสริญนั่นแล้ว จึ่งแจ้งการ กรรมหนักใดอันเสี้ยมสอนให้ศิษย์เอกกระทำเหมือนหมิ่นน้ำใจ มหาบุรุษท่าน โปรดจงมาลงเอาที่อาตมันเถิด ด้วยบังเกิดความคิดผิดกมลสันดาน ก่อการเป็นเหตุให้ต้องระทมหม่นหมอง เพียงเพราะอยากพิสูจน์ในสิ่งซึ่งเหนือพรหมณ์จักมิมีอำนาจเอื้อมถึง”

วงหน้าและแววสำนึกผิดนั้นฉายชัดเป็นเหมือนกระจกสะท้อนภาพในใจทั้งหมด แต่พจน์ไม่รู้ว่าสิ่งไหนในตอนนี้ ใครพูดความจริง หรือใครโกหก ยากจักปลงใจเชื่อ หากเป็นความจริงดังคำพราหมณ์เฒ่าว่า มาตะก็ไม่ผิด แต่คำโกหกจะหาได้เจ็บช้ำเท่ากว่าการได้ยินว่า ชายคู่รักกำลังถูกมารดาหมายใจให้ได้ครองคู่กับหญิงสาวอื่นในเบื้องหน้านั้นยังคงกัดกินอกอยู่ ยากที่จะมองสบตามาตะได้สนิทใจ

“ความจริงใจทั้งมวลจากปากอาตมัน ฤา จักเทียบกับความจริงในใจของมาตะศิษย์รักนั้น มิอาจยกเทียบได้เช่นไร การยกเขาพระสุเมรุด้วยกำลังมือเปล่าก็มิอาจทำได้เช่นนั้น”

บัดนี้อาจารย์พราหมณ์ผู้เฒ่ายืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าพจน์โดยที่มาตะแลพระมหาอุปราชคุกเข่าพนมมืออยู่เคียงข้าง พจน์ฟังคำซ้ำลองชั่งน้ำหนักประโยคแก้ต่างจากอาจารย์ของมาตะแล้ว ความโกรธเต็มร้อยก็ลดลงเหลือประมาณกึ่งหนึ่ง ขยับจะทรุดกายลงทำความเคารพน้อมกราบก็ถูกพราหมณ์โกสินธพเอื้อมมือมาดึงรั้งไว้

“ดูก่อน มหาบุรุษ บัดนี้หัวใจมัวหมองคงปลดเปลื้องทุกข์ลงไม่มากก็น้อยแล้ว อาตมันยังมิได้เผยตัวตามฐานะ นามสมณะอันผู้คนต่างเรียกขานคือ โกสินธพมหาพราหมณ์ราชครู แหละมาเห็นกิริยานอบน้อมของท่านจึ่งฉุกคิดในเบื้องลึกได้ว่า ไฉนเลยตนซึ่งเป็นแต่เพียงสังขารหนึ่งล่วงผ่านใกล้ถึงฝั่งแล้ว มายืนอรรถาธิบายโดยยึดอายุและสมณเพศว่าอยู่เหนือคนทั้งปวง ยังมิเร่งควรกระทำการคารวะมหาบุรุษท่าน ให้สมกับที่ตั้งตารอคอยมาตราบชั่วชีวิตจะหาไม่นี่แล้ว โปรดเชิญท่านยืนประทับให้เป็นสง่า แลรอรับการบูชาจากอาตมันมิให้เสียชาติเกิดสักคราเถิด”

กล่าวเสร็จก็ทรุดกายลงรวดเร็ว พระมหาอุปราชเห็นกิริยาทั้งคำพูดสรรเสริญคนแปลกหน้าของอาจารย์ตัวผิดแผกนับแต่แรกต้นแล้ว มาต้องท่าทีประหนึ่งนำของสูงมาแลกของต่ำดั่งนั้น ก็ผุดลุกเร่งพยุงกายพราหมณ์ผู้ทรงศีลให้ยืนเป็นที่เคารพดังเดิม ด้วยอารมณ์โทสะขึ้นหน้าเดือดดาลเห็นการมิควร จึ่งตวาดเสียงดังว่า

“ไยมหาดเล็กต่ำศักดิ์เบื้องหน้านี้ควรหรือที่จะปั้นตัวเป็นเสาหลักให้พราหมณ์ผู้เฒ่าก้มกราบเหมือนมิรู้จักบาปบุญคุณโทษ แล้วมิหนำยังลอยหน้าลอยตามิรู้สำนึกห้ามปราม ตัวอายุต่ำกว่าควรหรือจักให้ผู้สืบทอดศาสนา ดำรงฐานาวรรณสูงก้มกราบ หัวจักหลุดจากบ่ายังมิรู้ตัว”

หะแรกพจน์ยังมิทันฉุกใจว่าพราหมณ์มากวุฒิจักคิดก้มกราบจริง เห็นสิ้นคำแลกระทำแน่ดังนั้นตื่นตะลึงขยับจะยื้อยุด แต่ถูกมหาอุปราชหนุ่มรั้งไว้ได้ทันก่อนก็โล่งใจ ด้วยมิควรเลยที่ผู้ใหญ่จะมากราบผู้น้อยเช่นนั้น หนำซ้ำมาต้องคำตวาดชี้ความผิดตนเป็นที่อึงคะนึงก็ฮึดสู้ ละจริตนอบน้อมสวนกลับทันทีมิได้ว่า

“เป็นความผิดจริงตามที่นายว่า หากพราหมณ์ผู้นี้ก้มกราบเราซึ่งอายุน้อยกว่า แต่เราเห็นแล้วกำลังจะเข้าไปพยุงห้าม นายก็เข้ามาช่วยก่อน หาว่าเรายืนนิ่งไม่ทำอะไร คิดให้ดีก่อนสิว่า เรานี้แต่เด็กถูกอบรมบ่มนิสัยมาอย่างดีว่าเป็นผู้น้อยควรเคารพผู้ใหญ่ และนายมาด่าเราเหมือนไร้การอบรมแบบนี้ มันใช่เรื่องไหม”

พระมหาอุปราชรูปงามโดนโต้คำฉะฉานสุดประหลาดหลากใจทั้งหงุดหงิด ด้วยไม่คิดว่าข้ารับใช้ใต้เบื้องบรมโพธิสมภารจักกล้าหาญหมิ่นหยาม ย่ามใจมาเถียงกลับตัวอันดำรงฐานะเจ้าชีวิตเช่นเจ้าหนุ่มร่างอรชรงามวิไลสะดุดนัยน์ตาตรงหน้านี้มิเคยพบ แลมาประสบคำย้อนว่าเป็นความผิดของพระองค์ซ้ำเล่าก็คะนองปาก แย้มพระสรวลต้องประสงค์ให้เจ้าภัทรพจน์เลอโฉมลิ้มรสความพ่ายแพ้สยบยอมให้สมใจตัวจึ่งโต้กลับว่า

“แรกเห็นมิรู้ว่าคนผู้นี้มีลมปากกล้าห้าวหาญชาญชัย ด้วยแอบหลบฟังคำคนอยู่เบื้องหลังฉากลับแลเป็นที่น่าอดสู แลบัดนี้มาเห็นอาจารย์เราหนำซ้ำยังมิยอบกายเคารพ กลับคบคิดว่าตนอยู่สูงกว่าผู้ทรงศีล ยืนผงาดประหนึ่งเทพยาดามหาบุรุษมิปาน อีกทั้งยังรนรานหาที่ตายโดยมิพักต้องโทษทัณฑ์ คือโต้เถียงคำเราอันเป็นเจ้าชีวิตเฉกเช่นนี้ โทษหนักเบาใดกองอยู่ตรงหน้า มาตะเจ้าจงแจ้งให้มันได้รับรู้อย่าช้าที” พระมหาอุปราชดำรัสด้วยเลือดขึ้นพระพักตร์ มาตะคุกเข่าฟังอยู่มิได้นิ่งเฉยร้อนรนสุดอัดอั้น พอสบช่องได้ทำการจึ่งตอบคำรวดเร็ว

“ไหนเลยพี่ท่านถึงมาใส่ใจในสิ่งที่มิควรวิตก ด้วยภัทรพจน์ผู้นี้กินตำแหน่งแต่เพียงมหาดเล็กฝ่ายภูษา ต่ำศักดินากว่าพระองค์หลายพันเท่าทวี เสมือนหนึ่งข้ารับใช้กระทำผิดเพียงผุยผงใต้ฝ่าพระบาท จักระคายถึงเบื้ององค์ก็มิได้แล้ว โปรดอย่าเก็บมาคิดให้หมองใจ การมิควรใดบังเกิด ก็ด้วยไม่รู้ยศถาของพระองค์เป็นที่ตั้ง ด้วยพนักงานผู้นี้ยังมิเจนขนบประเพณีจึ่งเจรจามิออมปาก วานพี่ท่านระงับโทสะให้ลดลง แลอภัยเสียเถิด”

พระหทัยหนึ่งนั้นมิได้พิโรธเท่าที่ดำริ ครั้นมาเห็นท่าทีจองหองโอหังของเจ้าหน้าสวยสะอางเหมือนมิรู้ฐานะตนโต้เถียงคำมิตกฟากจึ่งอยากคาดโทษให้หลาบจำเป็นข้อใหญ่ พอถูกวาจามาตะอนุชาลูบปลอบเป็นน้ำเย็นชะโลมใจก็คลายเลือดร้อนลงกึ่งหนึ่ง ทว่าท่าทีของภัทรพจน์มิได้รู้สำนึกสะทกสะท้านเช่นคำน้องตนว่า กลับเชิ่ดหน้างามพริ้งเพราท้าท้ายอยู่เช่นเดิม ความคิดเมื่อแรกเริ่มก็กำเริบซ้ำอีกหน

“หากเป็นแต่ฝุ่นผงก็อาจสามารถระคายดวงตาเราได้มิต่างกัน อาชญาหนักเบาเช่นไรหากมิลงแก่มันผู้นี้ เราหรือจักควรดำรงตำแหน่งมหาอุปราชสืบไปเมื่อหน้าได้ คนที่ควรจักยำเกรงก็ไม่ไว้หน้า จักพึงเย้ยหยันได้ว่า ถูกถอนเขี้ยวราชสีห์แล้วยังมิจัดการเหยื่อให้ตายฆ่าปากเล่า คนอื่นรับรู้จักเอาไปนินทาลับหลังเราได้ว่าไร้ความกล้าความสามารถจักปกครองบ้านเมืองให้สงบสุขร่มเย็น”

ในชั้นแรกพจน์เพียงแค่อยากให้อุปราชสุริยะรู้สึกนึกว่า ไม่ควรตัดสินคนแต่เพียงภายนอก จึ่งฮึกเหิมอาจหาญต่อคำ พอประสบเห็นเรื่องราวเอ็ดอึงบานปลายลุกลามไปถึงมาตะ เห็นสีหน้าเจ้านั่นปริวิตกสุดอัดอั้น ใจหนึ่งก็แค้นอยู่แต่อีกใจก็อดเป็นห่วงไม่ได้ จึงสงบคำแลความตั้งใจลงเสีย

“ราชองครักษ์!!” พระมหาอุปราชหนุ่มร้องตะโกนดังก้อง
 
“ดูก่อน มหาบพิตร” พราหมณ์โกสินธพขัดคำขึ้น “การณ์ทั้งปวงนี้ล้วนเกิดขึ้นมาจากการกระทำของอาตมันทั้งสิ้น จักมีใครบังคับก็หาไม่ หากมหาบพิตรพิจารณาตามคำของอาตมันมาแต่ต้นแล้วจักเห็นความจริงทั้งปวง ด้วยการอันอาตมันกระทำน้อมลงกราบนั้นเกิดขึ้นด้วยเหตุใด แล ฤา ชะรอยหว่างนั้น มหาบพิตรมิได้ฟังคำทั้งสิ้น ด้วยใจหนึ่งคะนึงคิดแต่ข้อคำตอบอันผุดขึ้นในใจ จึ่งเลือนเลอะหย่อนสติมิทันคำ อาตมันจักแจงแถลงการณ์ทั้งปวงซ้ำอีกหนหนึ่ง”
 
อารมณ์ร้อนของพระมหาอุปราชเพียงยินวาจาพระอาจารย์ตัวตักเตือนเช่นนั้นเหมือนไฟถูกดับลงด้วยน้ำ ทรุดกายลงกระพุ่มหัตถ์อ้อมแอ้มรับสำนึกผิดว่า

“หว่างนั้นใจของศิษย์สับสนจริงดั่งว่า ด้วยผุดคำตอบหนึ่งขึ้นมาก่อนหน้าพระอาจารย์ปรากฏตัว เป็นที่กังขาแลพิศวงยิ่งนัก จึงมิอาจลำดับความเป็นมาในถ้อยความได้ว่า เหตุใดพระอาจารย์จึ่งละวรรณะสูง กระทำสิ่งที่มิควรเช่นนี้ได้”

“นั่นแล้วเป็นสิ่งที่มิควรเกิดขึ้น ในฐานะที่พระองค์จักเป็นผู้สืบราชสมบัติต่อไปเบื้องหน้า ก็แหละหลักทศพิธราชธรรมกล่าวไว้ว่าเช่นไร อาตมันจักทวนซ้ำย้ำอีกหน หนึ่ง ทานัง คือการให้ สอง สีลัง คือการประพฤติดีงามทั้งกายวาจาใจ สาม ปริจาคัง คือบริจาค สี่ อาชชวัง คือความซื่อตรง ห้า มัททวัง คือความอ่อนโยน หก ตปัง คือความเพียร เจ็ด อักโกธัง คือความไม่โกรธ แปด อวิหิงสา คือความไม่เบียดเบียน เก้า ขันติ คือความอดทน สิบ อวิโรธนัง คือความเที่ยงธรรม ทั้งสิบประการล้วนประกอบเป็นราชธรรมจริยาวัตรประจำตนของผู้ปกครองบ้านเมือง มหาบพิตรละทิ้งข้อใดบ้างในเหตุการณ์เมื่อครู่นี้โปรดแจ้งต่อหน้าคนทั้งปวง”

พระมหาอุปราชถูกอาจารย์ตนสอบความรู้เช่นนั้น เห็นผิดอยู่หลายกระทงมิอาจเอ่ยออกเป็นคำอันเป็นเครื่องขายหน้าต่อเจ้าหนุ่มมากสิริโฉมคู่ปรับของตนได้ ก็ก้มลงกราบแนบเท้าพราหมณ์ผู้เฒ่าเป็นทีลุกะโทษแน่นิ่งอยู่เช่นนั้น

“เราจักละการนี้ไว้เป็นข้อให้มหาบพิตรตรึกตรองยึดมั่นให้จงหนัก และด้วยโทษานุโทษซึ่งพระองค์ขาดหลักทศพิธราชธรรมนี้เป็นข้ออันมิควรเกิด แต่อยู่ต่อหน้าเราแล้วย่อมมีความผิดมิควรละเป็นที่อับอายแก่ข้ารับใช้ จักลงทัณฑ์มหาบพิตรเป็นธุระนำข่าวร้าย เข้ากราบบังคับทูลพระเจ้าอยู่หัวในทันทีแต่ราตรีนี้”

ครั้นมาตะแลพระมหาอุปราชยินความอันเป็นข่าวร้าย อารมณ์มิควรใดสิ่งสู่อยู่กับตัวก็ละเสียโดยพลัน ขยับเข้าหาน้อมรับคำสั่งการ

“มีเหตุเภทภัยใดเกิดขึ้น ฤา พระอาจารย์” มาตะซักด้วยสีหน้าเครียดมิต่างจากมหาอุปราชสุริยะ พราหมณ์ผู้เฒ่าผินหน้าเสมองพจน์ซึ่งคุกเข่าอยู่ก่อนทอดถอนหายใจ พระมหาอุปราชมองตามก่อนส่งยิ้มขยิบตายั่วโกรธไปให้ มาตะเห็นท่าทีนั้นโดยตลอดก็ขมวดคิ้วมุ่น

“บัดนี้เสียงกรีดร้องของนางผีร้ายตนหนึ่ง ด้วยต้องพลานุภาพศักดิ์สิทธิ์ดังกึกก้องไปถึงหุบผาทมิฬเสียสิ้นแล้ว ดวงตามัจจุราชเพ่งเล็งมายังมหาอาณาจักรของชาวเราในที่สุด”

สิ้นคำของพระอาจารย์ มาตะและพระมหาอุปราชต่างหน้านิ่วตระหนก
 
“เพลานี้ราชภัยดำมืดคืบคลานเหยียบย่างมาถึงขอบขัณฑสีมาเบื้องทิศตะวันออกแล้ว พระมหาอุปราชจงเร่งเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว นำคำเราแจ้งเหตุ เรียกประชุมขุนนางเสนาบดีอย่าช้าที”


50%...TBC โปรดติตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3379665#msg3379665)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๒ มหาราชภัย ๕๐% (๐๙/๐๕/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Robinhood.ha ที่ 09-05-2016 11:26:49
ภัทรพจน์จะเป็นใคร นะ มีความสำคัญ...อะไร ยังไง ตื่นเต้นๆ รอ 100 % :call:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๒ มหาราชภัย ๕๐% (๐๙/๐๕/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 09-05-2016 12:36:08
พจน์อาจเป็นคนสำคัญที่มีส่วนช่วยเมืองของมาตะไว้ได้
แต่ขออย่าให้มาตะต้องไปตบแต่งกับใครหรือแม้แต่พจน์เอง
ก็ขออย่าให้ได้มีคำทำนายว่าต้องแต่งกับพี่ชายมาตะเลย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๒ มหาราชภัย ๕๐% (๐๙/๐๕/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 09-05-2016 14:28:16
 :hao4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๒ มหาราชภัย ๕๐% (๐๙/๐๕/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ผ้าขนหนูสีฟ้า ที่ 11-05-2016 14:19:50
ชอบมากกกกก ถึงแม้ว่าจะอ่านยากไปหน่อยก็เถอะ แต่ก็ชอบนะ ชอบที่เรื่องมันลึกลับดี มีอะไรให้น่าติดตาม
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๒ มหาราชภัย ๑๐๐% (๑๕/๐๕/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 15-05-2016 09:21:30
[ต่อ]


ในชั้นแรกพระมหาอุปราชทรงสดับข่าวร้ายนึกข้างไปว่า คงมีเหตุมิบังควรเกิดขึ้นแต่เพียงไม่สำคัญ  ครั้นมาฟังคำสาธยายสำทับว่าข้องเกี่ยวกับราชภัยทมิฬก็พระวรกายสั่น เหมือนหนึ่งปลาถูกจับเปลี่ยนแหล่งที่อยู่จากน้ำอุ่นมาเป็นน้ำเย็น พระราชดำริอันหลักแหลมประจำพระองค์ก็มาถูกเมฆหมอกดำทมิฬปกคลุมไร้หนทางแก้ อ้ำอึ้งมึนงงอยู่ชั่วขณะ จนมหาพราหมณ์จำต้องเตือนซ้ำ

“มหาอุปราชจงครองสติให้มั่น แลประพฤติตามคำของอาตมันโดยพลัน”

“ขอรับ พระคุณเจ้า” อุปราชอาทิตยาธรพนมมือกราบลา คืนสติรวดเร็วด้วยเลือดขัตติยะ แล้วผุดลุกขึ้นฉับไว เสมองทางเจ้าหนุ่มมากสิริโฉมชั่วครู่ หักใจเอาธุระบ้านเมืองเป็นที่ตั้งมาก่อนความร้อนในใจตัว หุนหันไม่รอช้าจากไปทำการทันที

ในห้องทรงดนตรีบัดนี้เหลือคนเพียงสาม เมื่อสำเหนียกเสียงใจความแจ้งจากปากผู้ทรงศีลเป็นเหตุใหญ่หลวงฉะนั้น พจน์อดวิตกหนักใจด้วยไม่ได้ เฝ้านึกคิดแต่เพียงว่า ดูหรือจักคือตนเองที่เป็นต้นสายปลายเหตุของราชภัยนี้ ก็ด้วยเนื้อความอันพราหมณ์ผู้เฒ่ากล่าวแจกแจง นึกเพียงครู่ก็ล่วงรู้ว่า ผีร้ายที่ส่งเสียงร้องปลุกมหาภัยมาสู่บ้านเมืองนี้ เป็นนารีพิฆาตตนนั้นซึ่งคิดปองร้ายพจน์ไม่ผิดตัว ภัทรพจน์เฝ้าคิดวนเวียนกล่าวโทษตัวเองซ้ำอยู่เช่นนั้น จนถูกวาจาพราหมณ์โกสินธพกล่าวทักท้วง

“การอันมหาบุรุษท่านดำริอยู่ในใจนั้นมิควรก่อน ทุกสิ่งสรรพมีเกิดมีดับเป็นสังสารวัฏหมุนเวียนอยู่เช่นนี้มิรู้จบสิ้น ก็แหละมหาราชภัยนี้ช้าเร็วจำต้องเกิดขึ้นมิมีผู้ใดยับยั้งได้ บัดนี้ทั่วทั้งมหาพิภพประสบเคราะห์กรรมทุกข์เข็ญไปทุกหย่อมหญ้า ด้วยแสงเพลิงพิโรธของมารร้ายแผ่กระจายทั่วทศทิศ ทุกเผ่าพันธุ์ต่างผจญชะตากรรมเดียวกัน หะนี้ภัยนั้นเหยียบย่างมาถึงชานเรือนของชาวเราแล้ว มิอาจยกเว้นด้วยประการทั้งปวง ความสามัคคีแลความสวามิภักดิ์จงรักต่อผืนแผ่นดินแลบุญญาธิการขององค์พระเจ้าอยู่หัวเท่านั้นจักช่วยให้ชาวเราเผชิญกับความทุกข์ยากแสนเข็ญนี้ได้”

พจน์ส่ายหน้าพนมมือตอบ มองอย่างไรก็เพราะเขาเป็นตัวการจุดชนวนให้เกิดทั้งสิ้น
 
“ตามที่พราหมณ์ว่าผมไม่มีความผิดเลยนั้น คงไม่อาจลบล้างสิ่งที่กระทำล่วงผ่านมาแล้วได้ เพราะการปรากฏตัวของผมนี่แล้ว เป็นต้นตอของภัยร้ายซึ่งพวกท่านกำลังต้องเผชิญ”

มาตะเองตะลึงตะไลในข่าวร้ายสุดคาดคิด ซ้ำมาตรองดูตามถ้อยวาจาของอาจารย์ตนก็ฉุกคิดได้ว่า เหตุอันทำให้ดวงตาปีศาจฉายแสงมายังอาณาจักรอันร่มเย็นนี้ เพราะคำกรีดร้องของผีร้ายตนหนึ่งเป็นตัวการ ซึ่งในเพลาสนธยาวันนั้น ท่ามกลางลมโหมโบกพัดราวกับโกรธเกรี้ยวโกรธา ในที่ชุมนุมหอนั่งมีตน คนรัก แลมาลีผู้พี่ อีกทั้งกฤษณาเป็นสักขีพยาน หว่างความมืดมัวอนธการก่อนภัทรพจน์ยอดดวงใจจักเลือนหายกระทันหัน บังเกิดเสียงปริศนากรีดร้องสุดเจ็บปวดดังก้องสะท้อนทั่วอาณาบริเวณ เพียงชั่วครู่ตื่นตระหนกแลสับสนอลหม่าน พระอาจารย์โกสินธพจึ่งปรากฏกายขึ้นให้เห็นทันตาเหมือนเช่นราตรีนี้เป็นที่อัศจรรย์  ท่านบริกรรมคาถาสาดใส่ในที่ชุมนุมบนเรือนได้ทันท่วงที ศัพท์เสียงเจ็บปวดเงียบงันโดยพลันเช่นเดียวกับลมวายุลึกลับ กฤษณาสลบไสลเพราะแรงร้องไห้ มีมาลีพี่ท่านเป็นผู้ปฐมพยาบาล บ่าวไพร่สาละวนเก็บข้าวของที่ถูกลมพายุพัดเกลื่อนกลาด ครูท่านสั่งความหนึ่งเป็นข้อตะขิดตะขวงใจว่า “มาตะเจ้า นับแต่นี้จงทอดกายดูแลคนรักให้จงหนัก ด้วยเภทภัยอันตรายกล้ำกรายมาสู่ภัทรพจน์ผู้นี้เป็นแน่แท้แล้ว พวกมันได้กลิ่นแลระแคะระคายแล้วว่า มหาบุรุษในตำนานปรากฏกายขึ้นในที่สุด”

มีหรือมาตะจักมิรู้ว่า คนรักของตัวมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากปุถุชนสามัญ ทั้งด้วยการจากไปอย่างลึกลับ แลหรือมาปรากฏตัวให้เห็นอีกครั้งเป็นข้อประหลาดใจ มิมีใครในพิภพนี้จักทำได้ พลังอำนาจใดแฝงอยู่ในกายรูปงามจนเป็นเหตุให้เหล่าปีศาจร้ายจ้องหมายปองนั้นสุดล่วงรู้ แต่ดวงหน้างดงามมาทำประหนึ่งวิตกกังวลว่าตนเป็นต้นเหตุของเภทภัยทั้งหมดนั้น มาตะมิอาจทนเห็นได้ ซ้ำจะเข้าไปเวียนปลอบตามวิสัยตัวก็สำนึกได้ว่าตนกระทำปิดบังฐานะเป็นรอยแผลในใจคนคู่พิศวาส ท่าทีอึกอักจักขยับเอื้อมลูบโลมแต่ใคร่ครวญถี่ถ้วนเกรงอีกฝ่ายจะลำบากใจ ประเดี๋ยวยื่นมือออกไปประเดี๋ยวก็ชักกลับเป็นที่น่าเวทนาปรากฏสู่ตาผู้ทรงศีลในที่นั้น

“มาตะเอย ไฉนเลยยังมิติดตามพระมหาอุปราชผู้เชษฐา จงแจ้งข่าวด้วยวาจาเราซ้ำ แลหว่างกลางชุมนุมขุนนางเสนาบดีนั้นจงฝากคำเรากราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวว่า การทั้งนี้ยังมิพักต้องตระเตรียมพยุหพลเสนาเรือนหมื่นแสน ด้วยประสงค์แต่เพียงกองทะลวงฟันมากน้อยมิกี่หยิบมือ เร่งขับม้าเร็วลาดตระเวนลอบสังเกตดูเหตุการณ์มิชอบมาพากล ณ เทวาลัยร้าง อันตั้งอยู่ตรงข้ามประตูช่องเขาสุวรรณคีรี ซึ่งเป็นประตูหน้าด่านปราการศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเดียวด้านทิศตะวันออก มหาเทวาลัยแห่งนั้นถูกทิ้งร้างมาเนิ่นนานหลายชั่วอายุคน ต่อมามีพราหมณ์ลัทธิหนึ่งอพยพมาอาศัยบำเพ็ญเพียรได้เกือบครบเดือนแล้ว จงเล็ดรอดสืบดูความเป็นไปของนักพรตเหล่านั้น ด้วยมีบางสิ่งมิชอบมาพากล เพราะที่แห่งนั้นมิเคยประสบว่ามีพราหมณ์ใดอาศัยอยู่เกินกว่าเจ็ดทิวาก็หาไม่ แลราตรีนี้ระหว่างอาตมันบำเพ็ญเพียรอยู่ ปรากฏเห็นกลุ่มเงามืดปกคลุมเทวาลัยร้างแห่งนั้นเป็นที่ผิดสังเกต อาจมีเล่ห์กระเท่หลุมพลางใดแฝงเร้นอยู่ แหละการทั้งนี้มิควรแพร่งพรายให้กรมการเมือง เจ้าเมืองพระยามหานคร แลหรือเจ้าเมืองประเทศราชทราบโดยเด็ดขาด จงงำไว้แต่เพียงภายในราชสำนักเพื่อมิให้เกิดความแตกตื่นระส่ำระส่ายทุกหย่อมหญ้า แลอาตมันจักตามสมทบหลังเสร็จกิจ ณ ที่นี้แล้ว”

“แต่ศิษย์...” มาตะอ้ำอึงห่วงพะวงสีหน้าเครียดของพจน์แล้ว ไม่อาจสะกดใจละจากไปด้วยจิตสงบได้  อีกทั้งตนยังออกปากไว้เป็นคำหนักแน่นแล้วว่า จะไม่ทอดทิ้งยอดรักไว้เพียงคนเดียวในราตรี

“เพลานี้หากเจ้าฝืนดันทุรังดื้อแพ่งประสงค์จักทำการในใจเป็นทุนเดิม เห็นทีคงพบการแตกหักเป็นแน่แท้ สมมติยามเมื่อกระแสน้ำไหลเชี่ยวควรหรือที่จักเอาเรือไปขวางกลางลำก็จะหักสะบั้นพังลงในทันใด ควรจักรอให้สายธารนั้นสงบนิ่งเหมาะควรแก่การพายล่วงก่อนจึ่งออกเรือ ก็แหละสินธุจักไหลเชี่ยวทุกมื้อยามก็หาไม่ สบช่องเห็นลู่ทางจึ่งควรออกพาย แต่การทั้งนี้ต้องอาศัยน้ำอดน้ำทนรอให้สายวารีทุเลาลงก่อน เจ้าว่าดี ฤา ไม่ มาตะ”

พระอาจารย์พราหมณ์กล่าวเป็นกลเปรียบเห็นชัด มาตะยกใจเข้าเทียบก็มิเห็นหนทางอื่น พยายามสบตามองภัทรพจน์ แต่พจน์ก็เสตาดูสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ตัวมาตะ เหลือบทางหางตาเห็นเจ้าหนุ่มล่ำสันยังคงคุกเข่ามั่นคงอยู่แต่สีหน้าเครียดขมึงจนพจน์อดใจอ่อนมิได้ แต่ไฟแค้นสุมอกยังมีอีกครึ่งหนึ่งในตัว หักใจด้วยทิฐิมานะมิอยากให้มาตะเสียการต้องมาพะวงกับตัว จึ่งออกปากว่า

“ไปเถอะ เราอยู่ได้”

สะบัดหน้าเจรจาทิศทางอื่นเหมือนพูดกับลมฟ้า มาตะได้ยินคำเสนาะโสตหมายถึงตัวแน่แล้วใจหนึ่งยินดีที่คนรักยอมเจรจาด้วย แต่อีกใจก็เศร้าสลดด้วยเป็นตัวการทำให้คนรักต้องเจ็บช้ำ ซ้ำท่าทีเมินเฉยนั้นยังคงเป็นปราการหนักแน่นอยู่จึ่งไม่อาจเข้าประชิดตัวตามใจหวัง ได้แต่ปลอบว่าเพียงเท่านี้ก็เหมือนดั่งใจแห้งแล้งมาได้หยดน้ำประทังชีพแล้วอดปลื้มปิติมิได้ ละการหนักอกเก็บไว้หวนนำราชการบ้านเมืองมาเคียงคู่ แล้วจึ่งก้มกราบแทบเท้าพระอาจารย์ตน เอ่ยปากฝากคนรักกับผู้ทรงศีลก่อนลา

“ครูท่านเปรียบดั่งบิดาผู้พร่ำสอนสรรพวิชาทั้งสิ้นทั้งปวงสู่ข้า นับมากคุณอนันต์จักตอบแทนคืนได้ในชาติภพนี้ ทั้งมากด้วยจิตเมตตาพรั่งพร้อมบริบูรณ์เป็นที่สรรเสริญ ความเมตตาท่านนั้นเคยหลั่งลงเหนือตัวมาตะมากเท่าใด โปรดเมตตาภัทรพจน์คู่ใจมิให้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันด้วยเถิด หากจักเทียบแล้วคนผู้นี้ประดุจครึ่งชีวีของศิษย์ ความเจ็บปวดในกายของอีกคนมากเท่าใดมีหรือที่ศิษย์จักมิเคยรับรู้ แลคำฝากครั้งนี้นอกกว่าฝากเมตตาแล้ว เหมือนฝากดวงใจแลชีวิตไว้ในความดูแลของพระอาจารย์ก็เช่นเดียวกัน” มาตะก้มหน้าฝากฝังใต้เบื้องบาทพระอาจารย์
 
โกสินธพมหาพราหมณ์เห็นศิษย์เอกตัวเอ่ยปากฝากความเป็นนัยเจ็บช้ำเช่นนั้นอดที่จะระงับความอาดูรไว้มิได้ แต่หักลงเสียด้วยเป็นผู้ละกิเลสทั้งปวง พยักหน้ารับคำให้วางใจ

“มาตะเอย ควรหรือมาทำกิริยาอ่อนแอแลโศกสลดต่อหน้าคนรักเจ้าเฉกเช่นนี้ ครั้งหนึ่งอาตมันเคยพร่ำสอนว่าเช่นไรจำได้ ฤา ไม่”
 
ในตอนแรกพจน์ยินความฝากฝังตัวไว้ก็ให้รู้สึกสะเทือนใจสุดกลั้น อยากจะปลดความแค้นใจทิ้งละแล้วโผเข้าโอบกอดมาตะพร้อมคำอภัย แต่ถูกสายตามีความนัยของพราหมณ์ผู้เฒ่าสะท้อนคัดค้านห้ามปรามอยู่จึ่งยั้งไว้
 
มาตะส่ายหน้าด้วยตอนนี้ตื้อตันในอกไปหมด ห่วงแสนห่วงคนรักสุดแสน ห่วงการบ้านเมืองก็พอกัน
 
“ก็แหละเจ้านี่เองมิใช่หรือ พะเน้าพะนอถามอาตมันเมื่อแรกรุ่นหนุ่มว่า สตรีผู้ใดในพิภพคือคู่ครองของมาตะ ด้วยเพราะเจ้ามิเคยปะผู้ใดแล้วรู้สึกวาบหวิวใจอย่างเช่นต้องชะตากัน อาตมันกล่าวสอนว่า ความรักใดก่อเกิดขึ้นจักรู้สึกวาบหวิวแต่เพียงนั้นเป็นมิได้ ด้วยการครองคู่กันแลกันนั้น คนทั้งสองต้องเคยร่วมทำบุญกุศลมาแต่ชาติปางก่อนฉันใด ชาติภพนี้จึ่งรู้สึกเหมือนผลบุญหลั่งโลมรินไหลทั่วกายทันควันเมื่อสบเห็นฉันนั้น เพราะการครองคู่นอกกว่าความสุขแล้วยังมากทุกข์อนันต์ ซ้ำยังฉุดให้ใจกล้าเป็นอ่อนแอโดยง่าย หากเจ้ารู้สึกสุขแลทุกข์ประหนึ่งมีน้ำเย็นเป็นผลบุญโลมหลั่งตามคำอาตมันกล่าวแล้วไซร้ นั่นแล้วคือคู่ครองเจ้า”

“ขอรับ เป็นจริงเช่นนั้น” มาตะรับคำสอนหน้าสลด

“แหละตอนนี้เจ้าค้นพบแล้วหรือยังว่า การแสวงรักครองคู่กันนอกกว่าความรู้สึกเมื่อแรกเกิดแล้ว มีทุกข์แลสุขสอดผสานอยู่ทั้งสิ้น เช่นนั้นจงเร่งเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวพร้อมอาสาอุทิศตัวเป็นกองทะลวงฟันตามคำอาตมันแนะ เพื่อขจัดความอ่อนแอออกจากกายเป็นเครื่องพิสูจน์คำสอนเรา”

พอพจน์มาได้ยินคำแนะนำของพราหมณ์โกสินธพบอกเป็นช่องให้มาตะอาสาไปสอดแนมภยันตรายเช่นนั้นไฟแค้นมีมากอยู่ก็ลดละโดยพลัน ถลันเกาะชายผ้าคล้องไหล่สีขาวของอาจารย์พราหมณ์ไว้เป็นหลักชัยแล้วว่า

“ขออย่าได้ส่งมาตะไปทำการนี้เลยครับ ผม...ผมขออาสาไปเอง”

มาตะเห็นกิริยาท่าทีเป็นห่วงเป็นใยของภัทรพจน์ บังเกิดซาบซึ้งตรึงใจสุดแสน พราหมณ์โกสินธพขยิบตาให้เจ้าหนุ่มแล้วแสร้งตวาดเสียงดัง

“ดูหรือมาตะ ยังชักช้าเอ้อระเหยรั้งรอการใดอยู่ เร่งปฏิบัติตามคำเราอย่าช้าที”
 
เสร็จแล้วก็ผลักไสมาตะให้ห่างตัว มาตะเห็นอาจารย์ตนต้องประสงค์ให้ทำจริงดังคำ แต่อัดอั้นตันอกอดห่วงภัทรพจน์ไม่ได้ก็อิดเอื้อนละล้าละลังอยู่

“บัดนี้คำเรามิเหลือความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ฤา”

พจน์ไม่แจ้งอุบายระหว่างศิษย์อาจารย์ก็ออกปากห้ามซ้ำ มาตะทอดสายตาอนาทรเห็นควรปฏิบัติตามคำของอาจารย์แน่แท้ จึ่งข่มใจผละจากด้วยอาลัยอาวรณ์

คำร้องเรียกนามมาตะไล่หลังจนเจ้าตัวลับหายในเงามืดเบื้องประตู นอกจากตนจะเป็นต้นตอของมหาราชภัยแล้วยังเป็นเหตุให้มาตะถูกขับไสสู่อันตรายดำมืดซ้ำ ในใจอัดอั้ดสับสนตีกันจนกลั่นเป็นหยดน้ำตารินไหลมิรู้สึกตัว

“ผมขออาสาร่วมสืบเรื่องราวด้วย พราหมณ์ อนุญาตให้ผมไปร่วมกับมาตะด้วยเถอะ” พจน์กระพุ่มมือวอนทั้งน้ำตา

“การณ์ทั้งนี้มิอาจล่วงรู้ถึงเหตุภายภาคหน้าได้ อันตรายใดสิงสู่อยู่ในเทวาลัยร้างเกินความสามารถอาตมันจะหยั่งถึง อีกทั้งมาตะหรือจักยอมให้ท่านร่วมเดินทาง ศิษย์เอกของอาตมันคงมิเห็นชอบเป็นแน่” พจน์กัดริมฝีปากแน่นบ่งสำแดงอาการดื้อดึง “ดูก่อน มหาบุรุษ บัดนี้เราต่างอยู่สองต่อสองแล้ว อุปสรรคอันประกอบด้วยความไม่รู้ของศิษย์อาตมันได้ขัดขวางการทำคารวการมาหนหนึ่ง ควรหรือที่อาตมันจักลืมหลง โปรดยืนประทับองค์ให้เป็นสง่า ละกิริยาร่ำไห้เสียเถิด”

กล่าวสิ้นแล้วทรุดกายลงหมายจักน้อมกราบให้สมคะเน พจน์เห็นกิริยาเดิมมิบังควรเกิดซ้ำ ก็ถลันเข้าพยุง ยื้อยุดกันครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มเลิศสิริโฉมสังเกตเห็นรอยน้ำไหลรินจากดวงตาฝ้าฟาง คิดไปข้างว่าพราหมณ์เฒ่าคงได้รับความเจ็บจากการดึงรั้งของตนก็ผละมือออกทันควัน เป็นจังหวะให้โกสินธพมหาพราหมณ์ประนบมือก้มเคารพบูชาศีรษะจรดพื้นตามประสงค์ แน่นิ่งอยู่พักหนึ่ง แล้วว่าเป็นกลอนดังก้องจนพจน์ขนลุกชัน

“ประนมหัตถ์มนัสน้อมเศียรกราน
ทั้งพรหมานแซ่ซ้องเป็นสุขี
ตราบชีวิตเหลือเพียงผงธุลี
ขอบูชาเพชรมณีมิ่งมงคล”

“พราหมณ์ลุกขึ้นเถิด ท่านจะทำให้ผมอายุสั้น อย่าทำแบบนี้เลย” สำนึกรู้ถูกผิดกัดกินใจพจน์จนไม่อาจยืนนิ่งให้สมคะเนนักบวชพราหมณ์ได้ก็เอื้อมพยุงซ้ำ หยดน้ำตายังคงปรากฏให้เห็นชัดเจน นักพรตทรงศีลทำตามสมใจตัวแล้วจึ่งเงยหน้าขึ้นลุกยืนตามเดิม

“ผมทำให้พราหมณ์เจ็บใช่ไหม ขอโทษๆ เจ็บตรงไหนมากหรือเปล่า” พจน์ก้มสำรวจหารอยมือตน

“หามิได้ มหาบุรุษ เหตุอันก่อให้อาตมันเกิดหลั่งน้ำตาในครานี้เกิดขึ้นสองประการ หนึ่งคือปีติยินดีสุดจะกล่าว เพราะการปรากฏตัวของท่านเป็นเหมือนดั่งแสงสว่างผุดขึ้นกลางหมอกมัวดำมืด จุดไฟให้เห็นเส้นทางเบื้องหน้าต่อไปได้ชัดเจนขึ้น สองคือโศกสลดเสียดายในตนเองที่มิอาจมีอายุขัยยืนยาวจนเห็นวันที่หมอกมัวดำมืดสูญสลายไปสิ้น”

“พราหมณ์ทำไมพูดไม่เป็นมงคลแบบนี้” พจน์ตกใจไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะกล่าวแช่งตัวเอง

“ทุกสิ่งล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น มหาบุรุษเอย อาตมันมีชีวิตอยู่มายืนยาวนัก สบเห็นทุกสรรพสิ่งมามากเกินพอ แต่มีสิ่งหนึ่งที่อาตมันไม่เคยทำสำเร็จ คือการพิชิตความโฉดชั่วให้สิ้นไปจากโลกา อุปมากลุ่มเมฆาปกคลุมทั่วพื้นพิภพฉันใด แสงสว่างจากดวงสุริยะหรือจะอาจเอื้อมฉายแสงฉันนั้น แหละการณ์ทั้งนี้เกิดก่อนที่จักมี โคลงทำนาย กระจัดกระจายทั่วทั้งมหาพิภพ ครั้นบังเกิดข่าวลือ กลอนปัจฉิมวาจา แพร่สะพัดซ้ำเป็นหลักชัยยึดถือแน่นหนัก ดุจประจักษ์หยาดน้ำเบื้องบนมาหยดลงกลางผืนดินแห้งแล้ง ความหวังก็พลันจุติในเบื้องใจอาตมันนับแต่นั้น ด้วยรอคอยสิ่งที่เหมือนมิมีตัวตนอยู่เช้าค่ำ เนิ่นนานจนลืมหลงวันเวลา แต่เพลานี้ความหวังลมๆแล้งๆนั้นปรากฏเป็นจริงอยู่เบื้องหน้านี่แล้ว จักมิให้อาตมันก้มลงกราบกรานเป็นคุณสักคราหนึ่ง แลยื้อยุดรอยน้ำตามิให้รินไหลนั้นทำมิได้”

ครั้นมารับรู้ความเบื้องลึกในใจของผู้ทรงศีลจนก่อเป็นการกระทำแลอาการหลั่งน้ำตาเช่นนั้น พจน์ก็รู้สึกอึดอัดบอกไม่ถูก ดูราวกับมีหินผาหนักอึ้งถมทับอยู่บนไหล่ทั้งสองข้าง ความหวังซึ่งพราหมณ์เฒ่ากล่าวนั้นหรือคือตัวพจน์ ทั้งที่รู้ว่าตัวเองมีบางอย่างผิดต่างจากคนปกติธรรมดา แต่ตอนนี้จะมีอำนาจเสกพลังเช่นที่ไอ้กันเคยทำได้นั้นไม่ปรากฏให้เห็น นอกกว่าความสามารถข้ามพิภพแล้ว ทุกสิ่งสิ้นล้วนไม่มี

“ผม...ผมไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนที่พราหมณ์คาดหวังไว้ พลังอำนาจใดที่จะทำลายความชั่วร้ายได้ ตอนนี้ผมแทบไม่รู้สึกหรือทำได้เป็นชิ้นเป็นอัน เกรงว่าโคลงพยากรณ์คงกล่าวถึงคนอื่น”

“เป็นท่าน มิผิดตัวแน่แท้แล้ว หากแต่เพลานี้ทุกสิ่งเพิ่งเริ่มต้น อย่าเพ่อด่วนสรุปความสามารถลึกลับอันท่านพึงมี ทุกสิ่งล้วนอาศัยเพลาแลการฝึกฝนฝึกปรือ อาตมันนี่แลจักเป็นผู้ชี้แนะท่านในการนี้เอง” โกสินธพมหาพราหมณ์อาสารับคำมั่น พจน์ไม่มีข้อโต้แย้งอื่นจักอ้างมาลบล้างได้ก็ทรุดกายกระทำความเคารพ

“เช่นนั้นเพลานี้ มหาบุรุษท่าน จงเดินทางข้ามพิภพกลับคืนถิ่นเดิมก่อนเถิด”

พจน์พยักหน้ารับ คะนึงถึงเวลาแล้วคงใกล้อรุณรุ่งในอีกไม่ช้า เวลาบนพิภพนี้ใกล้จบลง จึงกราบลามหาพราหมณ์ซ้ำอีกหน พลางว่า

“ตอนนี้ผมห่วงก็แต่มาตะ ซึ่งพราหมณ์ใช้ให้อาสาไปสืบราชการ เกรงว่า...”

“อย่าได้ปริวิตกการณ์อันยังมามิถึง แลศิษย์เอกของอาตมันผู้นี้เลื่องลือทักษะในอาวุธเป็นที่กล่าวขาน ฝีมือเจนจัดช่ำชองคงเอาตัวรอดได้มิยาก ทั้งยังเป็นการเสริมเกียรติยศตนหากทำการสำเร็จ สิ่งใดก่อกวนใจจงละไว้เสีย” มหาพราหมณ์เปล่งวาจา “แต่สิ่งอันน่าปริวิตกยิ่งกว่านั้นอยู่บนพิภพซึ่งท่านจากมา มหาบุรุษ จงกลับไปแจ้งผู้คนทั้งปวงว่า เพลาแท้จริงนั้น เหลือหลงไม่มากแล้ว มหาภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่กำลังคลืบคลานใกล้เข้ามาเช่นเดียวกับอำนาจชั่วร้าย จงเตือนแลปกป้องชีวิตอันมีค่าเหล่านั้น เพราะทุกสิ่งล้วนเป็นความผิดของทุกลมหายใจบนพิภพนี้ทั้งสิ้น นอกจากจะมิอาจยับยั้งความชั่วร้ายไว้ได้ หนำซ้ำยังลุกลามเป็นภัยในเบื้องพิภพของท่านอีก บัดนี้ทั้งสองพิภพกำลังเผชิญมหาราชภัยใหญ่หลวงมิต่างกัน แลท่านเท่านั้นจักยุดห้ามการมิควรนั้นให้คืนดังเดิม”

สิ้นคำของพราหมณ์โกสินธพ พจน์ก็ถูกเมฆหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมรอบตัว บดบังห้องทรงดนตรีแลผู้ทรงศีลค่อยๆลับจากดวงตา นำพาตัวเขากลับคืนมายังห้องนอนบนเรือนไทยเทพวิมานในทันใด


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3384445#msg3384445)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๒ มหาราชภัย ๑๐๐% (๑๕/๐๕/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-05-2016 21:52:32
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๒ มหาราชภัย ๑๐๐% (๑๕/๐๕/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 17-05-2016 01:33:18
 o13 o13รอติดตามอย่างจดจ่อ :katai4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๒ มหาราชภัย ๑๐๐% (๑๕/๐๕/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-05-2016 07:03:29
อาจารย์แกล้งทำให้พจน์สงสารมาตะ
รอวันมาตะปรับความเข้าใจกับพจน์

 :pig4:  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๒ มหาราชภัย ๑๐๐% (๑๕/๐๕/๕๙) หน้า ๘ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Robinhood.ha ที่ 19-05-2016 11:47:27
 o13 น่าติดตามเสมอ :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๓ รักต้องห้าม ๕๐% (๒๒/๐๕/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 22-05-2016 09:34:18
บทที่ ๒๓


รักต้องห้าม

   

หมอกสีขาวหนาวเย็นลับเลือนหาย สิ่งของเครื่องใช้ภายในห้องนอนแจ่มชัดเต็มตา ก่อนพจน์จะข้ามพิภพไปหามาตะ จำได้ว่ายืนสนทนาอยู่กับนิธิหน้าประตูรั้ว เจ้านั่นคงพาร่างพจน์กลับคืนยังเตียงนอนอย่างไม่ต้องสงสัย เด็กหนุ่มยังไม่ทันเจรจาร่ำลาพราหมณ์ราชครูก็ข้ามพิภพกลับมาฉับไว แม้นในใจส่วนหนึ่งอดเป็นห่วงมาตะไม่ได้ แต่อีกใจก็โกรธเคืองเมื่อโดนคำลวง หากแต่ด้วยถ้อยอธิบายของอาจารย์มาตะ ทำให้ความเข้าใจผิดอันก่อเกิดขึ้นบรรเทาลงส่วนหนึ่งก็ตาม ทว่ายามนึกย้อนถึงความจริงซ่อนปิดบังไว้ครั้งใด ก็เสียดเจ็บในอกเสมอครั้งนั้น เรื่องปกปิดฐานะถึงพระราชบุตรบุญธรรมนั้นอาจยกเว้นไม่คิดแค้นได้ แต่รูปความแม่นางกฤษณาอันเป็นผู้พระราชเทวีหมายตาไว้เป็นคู่รักแก่ตัว มาตะมีหรือจะไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ซ้ำยังมาประกาศต่อหน้านางว่า พจน์เป็นคนที่ตนหมายสมัครใจหลงรักเช่นนั้นด้วยแล้ว หากล่วงรู้มาก่อนหน้า จะไม่มีวันให้มาตะประกาศเด็ดขาด และมีหรือถ้าพจน์ดื้อดึงหยุดห้ามคำเจตจำนง ผีร้ายนารีพิฆาตจะปรากฏตัวคิดแค้นเข้ามาทำร้าย จนอำนาจลึกลับสร้างรอยแผลแก่ภูติผีปีศาจตนนั้นก่อเป็นเสียงสัญญาณให้ความชั่วร้ายเพ่งเล็งราชภัยมายังมหาอาณาจักร

พันธสัญญาระหว่างพจน์และอาจารย์พราหมณ์นั้นไม่เห็นหนทางอื่นนอกกว่าถ่ายทอดคำทั้งสิ้นสู่คุณปู่ ท่านเป็นผู้เดียวที่สามารถประกาศย้ำเตือนถึงหายนะภัยซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น พราหมณ์ผู้ทรงศีลย้ำคำหนักหนาว่า เวลาแท้จริงใกล้สิ้นสุด นั่นทำให้พจน์ตระหนักได้ว่า ผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมดคงไม่พ้น จอมมาร ลึกลับผู้นั้น ตอนนี้ภัยร้ายคุกคามทั้งสองภพด้วยฝีมือของจอมปีศาจแน่แท้ พจน์จำต้องเร่งเตือนคุณปู่ ครั้นนึกหวนถึงภัยร้ายครั้งใดก็ปรากฏเห็นภาพวาระสุดท้ายของพระเจ้าวัชรโกมลชัดเจนเหมือนอยู่เบื้องหน้า พจน์หยิบกรอบพระนลาฏหยดน้ำสีทองว่างเปล่าออกมาจากลิ้นชักหัวเตียง นึกได้ว่ามีสร้อยทองของคุณแม่อยู่เส้นหนึ่ง ควานหากล่องกำมะหยี่อยู่ชั่วครู่ ได้แล้วจึงนำมาร้อยผ่านลายฉลุวิจิตรบรรจงแล้วคล้องใส่คอตน เป็นสัญลักษณ์เตือนสติให้พจน์สำนึกรู้อยู่ทุกขณะลมหายใจว่า ความชั่วร้ายมืดทมิฬนี้คือต้นสายปลายเหตุของความเจ็บปวดรวดร้าวทั้งมวล

เมื่อคิดถี่ถ้วนโดยตลอดแล้วไม่อาจระงับข่มใจฝืนทนนั่งอยู่ได้ ก็เอื้อมคว้านาฬิกาปลุกข้างเตียงนอนมาดู อีกสิบห้านาทีจะสี่นาฬิกา ซึ่งเป็นเวลากำหนดนัดหมายเพื่อเดินทางไปอยุธยาแต่เช้ามืดตามความประสงค์ของคุณปู่ ด้วยไม่ต้องการเจอปราการกองทัพนักข่าวขวางทางหรือติดตาม จวนได้เวลานัดหมายแล้ว พจน์ร้อนใจอยากแจ้งเตือนท่านจึงหุนหันพรวดพลาดถอดสลักประตูออก พลันได้ยินเสียงสนทนาเล็ดรอดมาจากภายนอก แทรกมาตามร่องรอยแง้มค้างไว้ เขม้นแลไปยังหอนั่งซึ่งเปิดไฟสว่างจ้า มีภพดนัยกำลังนั่งจัดเตรียมสัมภาระอยู่ และบุคคลที่ร้องทักคุณพ่อของพจน์ก็คือ ชาญณรงค์ นั่นเอง
 
ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าเชื้อสายจีนพินิจมองภพดนัยด้วยรอยยิ้มกว้าง

“คุณชาญณรงค์จัดเตรียมข้าวของเรียบร้อยแล้วหรือครับ” ภพดนัยขยับแว่นตาถามพร้อมยิ้มกว้างตอบกลับเช่นกัน

“ครับ”

“นี่ยังเหลือเวลาอีกหลายนาที ผมเกรงว่าอาจจะออกเดินทางช้ากว่ากำหนดด้วยซ้ำ เช้าขนาดนี้ ดาวกับพจน์คงยังไม่พร้อมแน่ๆ ผมว่าสักตีห้าก็น่าจะปลอดภัยนะครับ” ชายหนุ่มใบหน้าสวยชวนคุย

“ครับ” ชาญณรงค์แต่งกายรัดกุมเตรียมสำหรับเดินทาง หิ้วกระเป๋าเป้ใบใหญ่ไว้บนไหล่กว้าง ก่อนวางลงข้างกองข้าวของมากมายของภพดนัย

“คุณภพดนัยเอาอะไรไปบ้างหรือครับ ผมเห็น...” ชายหนุ่มหน้าตี๋ยิ้มเขิน เกาหลังคออึกอัก

“อ๋อ อย่าแซวสิครับ” ภพดนัยหัวเราะ “ไปเที่ยวตั้งสองวันหนึ่งคืนแบบนี้ ผมก็ต้องเตรียมให้พร้อม ไม่อยากไปหาเอาดาบหน้า จะหวังพึ่งน้ำบ่อหน้าอย่างเดียวก็กลัวจะผิดพลาด ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้า อุปกรณ์ปฐมพยาบาล อาหารแห้ง ขนมนมเนย แล้วก็ของว่างระหว่างเดินทางครับ ที่ขาดไม่ได้เลยก็อุปกรณ์กางเต็นท์ อุปกรณ์สนาม”

“เอ๋ ผมไม่ทราบว่าอาจารย์ท่านจะนอนกลางเต็นท์ด้วย”

“เอาเผื่อไว้น่ะครับ เผื่อมีเหตุฉุกเฉินหรือใครอยากซึบซับบรรยากาศชายทุ่ง ทำนองนี้แหละครับ” ภพดนัยจัดกล่องยาใส่กระเป๋าใบโตเป็นระเบียบเรียบร้อย

“คุณภพดนัยนี่สมกับเป็นพ่อบ้านพ่อเรือนจริงๆนะครับ ตระเตรียมข้าวของไม่ให้ขาดตกบกพร่องเลย” ชาญณรงค์ทรุดนั่งลงบนยกพื้นใกล้กับภพดนัยที่ยังคงแจกยิ้มเรี่ยราด

“พูดขนาดนั้น ผมก็เขินกันพอดี ไม่ยักรู้ว่าคุณชาญณรงค์ชอบเห็นคนอื่นหน้าแดงแบบนี้”

“เปล่าครับ ผมแค่ชมจากน้ำใสใจจริง” ชาญณรงค์ทำหน้าตาตื่น ยกมือปฏิเสธพัลวัน

“ผมล้อเล่นน่ะครับ อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังเลย” ภพดนัยจับมือที่โบกอยู่นั้นให้หยุดเคลื่อนไหว เป็นจังหวะชาญณรงค์ไม่ทันระวังสะบัดฝ่ามือหนาโดนมือเรียวบางข้างขวาเต็มแรง ส่งผลให้ภพดนัยร้องเจ็บโอดโอย

“ขอโทษครับ เจ็บมากหรือเปล่า” ชาญณรงค์ตื่นตระหนกยิ่งกว่าเดิม ซ้ำหน้าซึ่งซีดอยู่แล้วก็ซีดเผือดกว่าปกติ รีบคว้ามือภพดนัยลูบคลำหารอยเจ็บชุลมุน
 
ฝ่ายภพดนัยนั้นไม่ได้เจ็บมากนัก แต่ด้วยอาการตื่นตกใจไม่คาดคิดว่าจะโดนมือของอีกฝ่ายกระทบเหนือคาดไว้เช่นนั้น ทั้งตกใจและตระหนกก็ร้องลั่นเป็นเหตุให้ชาญณรงค์รีบคว้ามือไปถนอมไว้

“มียาแก้ฟกช้ำในกระเป๋าบ้างหรือเปล่าครับ ผมเห็นรอยแดงบนหลังมือแล้ว คิดว่าอาจห้อเลือดขึ้นได้”
 
“เอ่อ...” ภพดนัยเห็นชายหนุ่มตัวการมีท่าทีเป็นห่วงเป็นใยเกินกว่าอาการเช่นนั้น ก็ลูบหลังมือปลอบ “ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง ทิ้งไว้สักพักก็คงหายเป็นปกติ ตอนนี้ผมห่วงก็แต่คุณนั่นแหละ หน้าซีดเหมือนกับคนขาดเลือด แถมเหงื่อกาฬก็ไหลท่วมหน้า เห็นจะเป็นคุณมากกว่าที่ต้องปฐมพยาบาล จริงหรือเปล่าครับ”

ภพดนัยหยิบผ้าเช็ดหน้าติดกระเป๋ากางเกงไว้เสมอ ขยับตัวแนบชิดยื่นเหยียดซับเหงื่อรอบใบหน้าของอีกฝ่าย ครั้นชาญณรงค์มาถูกท่าทีเอาใจใส่ของภพดนัยเกินคาดเดาเช่นนั้น ก็เป็นฝ่ายนิ่งเงียบสงบคำตามวิสัยเดิมโดยเร็ว ดวงตาหลังแว่นสำรวจมองภพดนัยอย่างใกล้ชิด คอเสื้อเชิ้ตซึ่งติดกระดุมไม่หมดเผยให้เห็นผิวกายขาวนวลสะท้อนวับแวบเป็นที่ล่อตา จนชาญณรงค์จำต้องระงับความรู้สึกในกายให้ดับลง ทั้งที่อีกฝ่ายมีเจตนาดีแต่ก็ผุดความคิดเดิมซ้ำอีก หักเท่าไหร่ก็มิอาจลงได้สมคะเน จึงคว้ามือเรียวไว้ให้หยุดซับเหงื่อบนหน้าตน

ภพดนัยเห็นผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชัยถลึงตามองกลับเช่นนั้น คิดข้างว่าได้กระทำการล่วงเกินใกล้ชิดจนก้าวก่ายข้ามเขตส่วนบุคคลไว้นั้นก็ได้สติ ขยับถอยคืนดังเดิม ในใจนั้นเป็นห่วงที่อีกฝ่ายมัวพะวังเรื่องตนเจ็บมือจนมามีอันต้องเหงื่อไหลไคลย้อยจนอาจเป็นธุระต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เช่นนั้น ลืมหลงว่า คนทั้งสองไม่ได้สนิทสนมเป็นเพื่อนกันถึงขนาดแตะเนื้อต้องตัวกันได้ก็ก้มหน้านิ่ง ไม่อาจเอ่ยคำขอโทษที่จะระบุความผิดตัวได้ เหลือบดูทางสายตาเห็นคุณชาญณรงค์ยังนั่งนิ่งตีสีหน้าขรึมเหมือนโกรธจัดก็รู้สึกอึดอัด จนต้องพูดคำหนึ่งขึ้นเพื่อทำลายความเงียบซึ่งก่อตัวกั้นขวางบุคคลทั้งคู่

“ผมขอโทษด้วยที่อยู่ๆก็กระทำล่วงเกินคุณโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต เห็นคุณเหงื่อไหลเกรงจะต้องกลับไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ไม่สมควร จึงละลาบละล้วงแตะต้องสัมผัสใบหน้าคุณโดยถือวิสาสะ”

เมฆละอองหมอกจืดจางซึ่งปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณถูกลมแผ่วเบาพัดมาต้องหอนั่งพร้อมความเงียบ บรรยากาศหนาวเย็นผิดฤดูกาลเช่นนี้ ถึงจะเป็นคนเหงื่อออกง่ายมาสัมผัสสภาพอากาศเย็นยะเยือก มีหรือที่เหงื่อจะเกาะพราวราวน้ำค้างกลางเวหา ถ้าไม่ด้วยเพราะชาญณรงค์ตื่นเต้นใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว คงไม่มีเหตุให้ภพดนัยต้องมาเอื้อมเช็ดให้กับมือ
 
“สิ่งใดเป็นการขัดข้องหมองใจ ไม่สมควร คุณชาญณรงค์บอกผมได้เสมอ และครั้งต่อไปผมจะได้ระมัดระวังไม่กระทำอีก ถ้าตอนนี้คุณไม่มีอะไรจะพูดกับผม ขอให้ได้ยินคำตอบรับก็ยังดี แล้วผมจะหลบหน้าไปเดี๋ยวนี้”

ภพดนัยไม่เคยรู้สึกอึดอัดใจเท่านี้มาก่อน ซ้ำพาลให้น้ำตาจะรินไหล ด้วยผู้ช่วยคุณพ่อท่านนี้ เมื่อสนทนากันครั้งไหนมักพูดจาเป็นหลักการ หน้าชื่นตาบานเสมอ จึงทำให้ภพดนัยสามารถปรึกษาอย่างสนิทสนม หรือสอบถามในสิ่งไม่รู้ได้ รอยยิ้มนั่นแล้วผุดผาดเสมอเป็นที่ชื่นตาชื่นใจ ครั้งใดบิดามามีอาการเคร่งเครียด ภพดนัยจะคอยสอบถามเอาความกับคนผู้นี้เสมอ ด้วยทั้งเป็นห่วงเป็นใย แต่จะมีครั้งไหนผู้ช่วยคุณพ่อคนนี้มามีอาการเหมือนหนึ่งเป็นอีกคนที่ไม่เคยรู้จักมักจี่นั้นไม่เคยพบ เมื่อไม่อาจฝืนทนนั่งอยู่ที่แห่งนั้นได้ ภพดนัยระงับสีหน้าผลุดลุกยืนขึ้น แต่มามีมือหนาของคนเบื้องหน้าไขว่คว้าฉุดรั้งไว้ น้ำตาน้อยอกน้อยใจก็พลันไหลโดยไม่รู้ตัว

ชาญณรงค์เห็นท่าทีลูกนายตัวแสดงว่าเสียใจเช่นนั้น วิสัยเดิมเป็นคนมีมารยาท รู้จักกาลเทศะ รู้ขอบเขตของเจ้าบ้านเจ้าเรือนและคนอาศัย อีกทั้งไม่ใช่เพื่อนสนิทกันมาแต่เล็กแต่น้อย จึงมีช่องว่างระหว่างคนทั้งคู่มากกว่าปกติ ทั้งในฐานะนายและผู้อาศัย แต่เช้ามืดวันนี้ ดูเหมือนช่องว่างเหล่านั้นคับแคบร่นระยะลงกว่าเดิมมาก พอมาเห็นน้ำตาเคล้าแสงไฟเช่นนั้น หัวใจเดิมเต้นเป็นจังหวะปกติ ก็รัวเร็วผิดท่วงทำนอง

ภพดนัยสะอึกสะอื้นเพราะความผิดตนเป็นเหตุทั้งสิ้น พยายามไม่แสดงท่าทีขายหน้าปิดเสียงห้ามบังเล็ดรอดออกจากปากจนเป็นภาพเวทนาสงสาร พอมาคิดตรองว่า เหตุนำพาให้ตัวเองมานั่งอยู่ตรงนี้ เนื่องด้วยไม่อาจทัดทานบิดาเดินทางไปอยุธยาจนอาจกระเทือนสุภาพท่านได้อีก ก็ก่อเป็นความอัดอั้นซ้ำกว่าเดิม ทุกสิ่งอย่างเป็นเพราะตนไม่สามารถจะช่วยแก้ไขปัญหาหนักอกของท่านได้แม้แต่น้อย ตัวเองเป็นบุตรชายคนโต ไม่เพียงจะไม่ดูแลบิดาหรือช่วยเหลือบิดาในทางที่ควรได้แล้ว ยังสร้างความขัดข้องหมองใจให้คนผู้ติดตามท่านอีก ตัวเขาเองสมควรแล้วที่จะได้ชื่อว่า เป็นลูกอกตัญญู สมกับคำของเพื่อนคนหนึ่งว่ากล่าวให้เมื่อไม่นานมานี้

“ปล่อยผมเถอะครับ คุณชาญณรงค์ ผมลืมของไว้ที่ห้อง อึก...คุณชาญณรงค์นั่งคอยคุณพ่ออีกสักประเดี๋ยวท่านก็คงออกมา ผมขอตัวก่อน” ภพดนัยฝืนบิดข้อมือให้หลุดจากการกอบกุมไว้ แต่ท่าทีไม่ยอมผ่อนปรนให้โดยง่ายทำให้ภพดนัยต้องมองช้อนอ้อนวอน

“คุณอย่าเพิ่งไปเลยครับ คนที่สมควรหนีหน้าคือผมต่างหาก ผมนี่แหละ นอกจากจะไม่สามารถช่วยศาสตราจารย์ให้สมความปรารถนาแล้ว ยังมามีโทษทำให้ลูกของท่านต้องเจ็บช้ำน้ำใจอีก  หากคุณภพดนัยลาจากโดยไม่รับรู้ความในใจผมแล้ว มีหวังผมคงครองตัวเป็นคนอยู่ไม่ได้อีก” สีหน้าดื้อดึงฉุดรั้งชายหนุ่มหน้าหวานไว้

“ผมต่างหากที่ทำไม่ดีกับคุณ ทำไม่ดีกับคุณพ่อ ทั้งที่รู้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นกับครอบครัว แต่ผมก็ยังไม่สามารถหาหลักฐาน หรือพยานมายืนยันได้ว่า อุบัติเหตุซึ่งเกิดกับตาพลเป็นผลมาจากสิ่งใด ทั้งที่ตัวเองเป็นลูกชายคนโต ควรจะเป็นคนที่สามารถปกป้องอันตรายจากทุกสิ่งได้ แต่ทุกอย่างกลับมืดมน มาตอนนี้ผมยังทำเกินเลยกับคุณเหมือนคนไร้ความสามารถไร้สติ ไม่สมควรเลยที่ผมจะนั่งให้คุณทนมองหน้าอยู่ได้ ขอเถอะครับ ปล่อยผมเถอะ”

เสียงพูดคุยของคนทั้งคู่ไม่ได้ดังเกินกว่าเสียงกระซิบแต่พจน์ที่อยู่ในห้องฝั่งตรงข้ามได้ยินและได้เห็นท่าทีนั้นชัดเจน ใจหนึ่งอยากออกมาปลอบใจคุณพ่อ เพราะเห็นได้ชัดว่าท่านกำลังโทษตัวเองอยู่ ใจหนึ่งก็บังเกิดความรู้สึกเห็นใจชาญณรงค์ ทำไมพจน์จะไม่รู้ว่า คนคนนั้นรู้สึกบางอย่างกับพ่อของพจน์ เพราะในเช้ามืดวันหนึ่งพจน์ได้ยินเสียงดังมาจากห้องของผู้ช่วยคุณปู่ที่เป็นสัญญาณว่า บุคคลคนนี้ไม่ได้รู้สึกกับพ่อของพจน์ในฐานะบุตรของเจ้านายตัวเองแต่เพียงเท่านั้น

ชาญณรงค์ตัดสินใจโอบคว้าตัวของภพดนัยเข้าหาตนแล้วกดใบหน้าเปื้อนน้ำตาให้ซบกับไหล่กว้างทันที จนภพดนัยไม่ทันได้คิดหรือขัดขืนได้ มือข้างหนึ่งลูบหลังปลอบ อีกด้านก็กอบกุมไว้แน่น ภพดนัยนั้นถูกอารมณ์รู้สึกผิดกัดกินใจมายาวนาน พอหวดกระตุ้นถูกจุดเสมือนมีคนมาทุบทำนบกั้นน้ำออกก็ไหลทะลักท่วมท้นทันใด ภาพความโดดเดี่ยวท่ามกล่างฝูงชนมากมายที่รุมล้อมศาสตราจารย์วิชัยในวันแถลงการณ์น้ำท่วมโลกฉายชัด ท่านเหมือนถูกทิ้งไว้ผู้เดียว ไม่มีใครสักคนเข้าใจ และคนที่เข้าใจท่านมากที่สุดตอนนี้กลับจมอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิก เพราะอุบัติเหตุเครื่องบินตกเมื่อสิบปีก่อน คุณแม่ครับ ผมจะช่วยคุณพ่ออย่างไรดี หากคุณแม่อยู่ทุกอย่างคงไม่เลวร้ายเช่นทุกวันนี้ รอยยิ้มสักครั้งหนึ่งจากคุณพ่อไม่เคยปรากฏเลยนับแต่คุณแม่จากไป
 
“ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่าสักวันสิ่งที่ศาสตราจารย์พูดจะต้องมีใครสักคนเข้าใจท่าน และเห็นพ้องเช่นเดียวกับความคิดท่าน และตอนนี้ผมก็เห็นว่าคนคนนั้นไม่เพียงแต่เชื่อหรือเข้าใจเท่านั้น แต่ยังห่วงใย ดูแลทุกข์สุข คอยทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ไม่ว่าจะพยายามเสนอข่าวน้ำท่วมโลกให้มากที่สุดสวนกระแสกับความต้องการของมวลชน เป็นคุณไม่ใช่หรือ คุณภพดนัย แล้วอย่างนี้คุณจะมาบอกว่าเป็นคนไม่มีความสามารถ ไม่สมควรเป็นลูกชายคนโตได้ยังไง ในเมื่อทุกสิ่งที่คุณทำก็พิสูจน์ทุกอย่างทั้งหมดแล้ว”

ชาญณรงค์พูดเป็นประโยคยาวที่สุดเท่าที่พจน์เคยได้ยินเลยทีเดียว และนั่นส่งผลให้คุณพ่อของพจน์ค่อยๆหยุดสะอึกสะอื้นแหงนมองคนปลุกปลอบตัวทั้งโอบกอดไว้ด้วยอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วจึงสำนึกรู้ได้ว่าตัวเองแสดงกิริยาน่าอายให้คนตรงหน้าได้เห็นเสียแล้ว ก้มหน้าลงพร้อมกล่าวขอบคุณ เช็ดน้ำตาให้แห้งโดยเร็วแล้วผละถอยออกจากอ้อมกอดอุ่น

“ขอบคุณที่เตือนสติครับ” ภพดนัยรู้สึกว่าทุกข์ในอกลดทอนลงมากเมื่อได้ระบายทุกสิ่งผ่านน้ำตา พอได้สติครบถ้วนก็รู้สึกขัดเขินเกินกว่าจะนั่งอยู่เคียงกับอีกคนได้ เมื่อลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว เป็นตัวเขาเองสร้างบรรยากาศตรึงเครียดไม่สมควร อีกทั้งเผลอแสดงด้านอ่อนแอให้อีกฝ่ายได้เห็นเป็นเรื่องน่าอดสูใจ ฝ่ายชาญณรงค์เห็นรอยหมองลบเลือนออกจากหน้าภพดนัยแล้ว แต่ทีท่าเหมือนเผลอหลุดกิริยานั้นทำให้ไม่รู้จะวางตัวอย่างไรต่อเป็นที่น่าเอ็นดู

“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณภพดนัย คุณทำให้ผมมีกำลังใจจะช่วยศาสตราจารย์มากยิ่งขึ้น” ชาญณรงค์กล่าวจากใจจริง

“ครับ เอ่อ ถ้าอย่างนั้นคุณนั่งคอยอยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมขอตัวลงไปตามส้มให้ยกอาหารเช้าขึ้นมา” ภพดนัยปรับอาการคืนดังเก่าเหมือนไม่มีอะไรเกิด

“ผมมีบางสิ่งจะพูดกับคุณครับ กรุณานั่งลงก่อน ผมยังไม่หิวสักเท่าไหร่” ชาญณรงค์จะเอื้อมมือไปไขว่คว้าเช่นเดิมแต่ก็รั้งกลับคืน

“อะ...อะไรหรือครับ” ภพดนัยก้มหน้ามองพื้นเรือนถาม

“ผมบอกว่ามีความในใจจะแจ้ง ไม่ทราบ...คุณยังจำได้หรือเปล่า”

รอยยิ้มกว้างผสานใบหน้าสุขสำราญเป็นสิ่งที่ภพดนัยสบเห็นได้ทันทีเมื่อเงยหน้าขึ้น

“ครับ แต่...”

“ผมอยากบอกคุณภพดนัยว่า...ผม....”

“คุณพ่อ!...”


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3387441#msg3387441)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๓ รักต้องห้าม ๕๐% (๒๒/๐๕/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: zizits ที่ 22-05-2016 12:13:44
มาอ่านรวดเดียวถึงตอนนี้เลย ชอบมากค่ะ แต่บางทีแอบแปลยากไปหน่อย5555 รอค่า
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๓ รักต้องห้าม ๑๐๐% (๒๖/๐๕/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 26-05-2016 09:10:45
[ต่อ]


พจน์ถลันพรวดผ่านผลักบานประตูห้องนอนแทบไม่ทันการณ์ ซ้ำร้องเรียกบิดาตนดังลั่น ภพดนัยสะดุ้งสุดตัวเพราะคำร้องคุ้นหู ผิดต่างจากชาญณรงค์กลับปิดปากเงียบแล้วทำหน้าเรียบเฉยตามเดิม เมื่อเห็นว่าคนร้องเรียกเป็นบุตรชายตนอาการผวาตื่นตกใจก็ลดลง
 
“มีอะไรหรือเปล่า พจน์ เรียกหาพ่อเสียงดังเลย”

“คือ...ผมมีเรื่องจะบอกคุณพ่อน่ะครับ พอดีผมชวนเพื่อนที่โรงเรียนไปอยุธยากับเราด้วย แต่บังเอิญเพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อตอนตื่น เห็นคุณพ่ออยู่หอนั่งพอดีเลยดีใจไปหน่อยน่ะครับ” พจน์บอกกล่าวความจริงผสานด้วยคำแก้ตัว เหลือบเห็นชาญณรงค์นิ่งเฉยต่างจากอยู่สองต่อสองกับภพดนัยโดยสิ้นเชิง
 
ไม่ใช่เพราะพจน์กลัวคำพูดของชาญณรงค์ แต่เป็นเพราะในใจลึกๆแล้วเขาอยากพิสูจน์ให้แน่แก่ใจแล้วว่า บุคคลนี้ดีพอสำหรับครอบครัวเทพวิมาน ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าความรักมันสวยงามเหมือนดอกไม้สีสดสวย เพียงแลเห็นหรือดอมดมก็ชื่นตาชื่นใจ แต่เคลือบผสานไว้ด้วยหนามแหลมคอยเกี่ยวปักทุกครั้งคราวไม่ระมัดระวัง พจน์ไม่อยากเห็นพ่อของตนต้องเจอดอกไม้แฝงหนามแหลมคมแบบนั้น หากเป็นเพราะคนทั้งคู่เป็นชายด้วยกันพจน์จึงคิดข้ออ้างอื่นมาขัดขวาง ตนขอปฏิเสธ เพราะความรักไม่ใช่มีหนทางเพียงแค่สายเดียว อีกทั้งเขาเองก็ไม่ได้ปฏิบัติไปในลู่ทางที่คนส่วนใหญ่เลือกเช่นกัน เหตุผลนี้จึงตกไป แต่มีบางสิ่งตะขิดตะขวงใจจนไม่อาจพูดคุยหรือเชื่อใจคนคนนี้ได้สนิทเหมือนเช่นดาว หรือทุกคนในบ้าน และคำตอบนั้นพจน์ก็ไม่อาจรู้ว่าอยู่ที่ไหน

“ลูกได้บอกหรือเปล่าว่าเราจะออกเดินทางตอนเช้ามืด นี่ก็ใกล้ถึงเวลาแล้วด้วย” ภพดนัยผุดลุกขึ้นเดินเข้าหาลูกชายคนเดียวพลางลูบโลมศีรษะ สายตาฉ่ำน้ำเช่นเดียวกับปากวาวสวย

“บอกครับ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าพวกมัน...เอ่อ พวกนั้นจะ...”

ยังไม่ทันพูดจบประโยค สายตาพจน์ก็เหลือบแลเห็นเงากลุ่มคนพร้อมเสียงพูดคุยดังขึ้นมาทางซุ้มบันไดหน้าเรือน และยังไม่ทันได้ประมวลความคิดว่าแขกผู้มาเยือนนั้นเป็นใคร แสงไฟสาดกระทบใบหน้าของชลนธี ซึ่งเดินนำขบวนเข้ามาด้วยท่าทีวางกล้ามใหญ่โต ตามมาด้วยไอ้โบท ไอ้กี ไอ้ต่อ ซึ่งทั้งสามคนนี้นัดใส่เสื้อลายดอกไม้แต่คนละสี เหมือนกำลังจะไปเล่นเทศกาลสงกรานต์ ส่วนไอ้รัก ไอ้เพียว ไอ้เอก ต่างสวมแว่นกันแดดสีดำโดยพร้อมเพียงกัน ถามจริงมองเห็นหรือเปล่า และมนุษย์ปกติธรรมดากลุ่มสุดท้ายก็ตามมา คือ ไอ้นาย และ....ปาล์ม ซึ่งแต่งตัวได้เหมือนคนที่สุด

“คุณพ่อพจน์ สวัสดีครับ” ทุกคนยกมือไหว้ทักทายเป็นเสียงเดียวกัน

ภพดนัยยิ้มกว้างเช่นเคย กวักมือเรียกทุกคนมานั่งรวมตัวกัน ณ หอนั่ง พวกมันแต่ละคนมีสัมภาระเป็นกระเป๋าเป้คนละใบ

“มานั่งพักกันก่อน เดี๋ยวพ่อจะหาอะไรมาให้ทาน”

“เอาของอร่อยๆนะครับ ผมไม่ได้ชิมอาหารที่บ้านคุณพ่อมาตั้งนานแล้ว คิดถึงแย่” น้องน้ำจีบปากจีบคอออดอ้อนพ่อของพจน์ ราวกับเป็นลูกคนเล็กอีกคนก็ไม่ปาน พลางเกาะแข้งเกาะขาบิดาตนพัลวัน

“ให้มันน้อยๆ ไอ้เตี้ยน้ำ” ไอ้กีโบกหัวน้องน้ำหยอกล้อจนเจ้าตัวหน้าคะมำ “ไม่ต้องหาอะไรให้มันทานหรอกครับคุณพ่อ ตัวเล็กแบบนี้กินไปก็ไม่โตขึ้นหรอก”

น้องน้ำเปลี่ยนจากหน้าชื่นตาบานเป็นหน้าบอกบุญไม่รับหันค้อนไอ้กีและทุกคนที่หัวเราะขำโดยพร้อมกัน มันแลบลิ้นส่งสายตาคาดโทษไว้เรียงตัวรวมทั้งพจน์ด้วย พอหันมาทางภพดนัยก็ปั้นหน้าระรื่นยิ้มแย้มกว้างกว่าเดิม เจ้านี่มันร้ายนัก พจน์คิดในใจ

“ถึงตอนนี้ยังไม่โต กินเยอะๆเดี๋ยวก็โตเองแหละเนอะ พ่อว่า” ภพดนัยสัพยอกเล่นด้วย ก่อนจะแนะนำชาญณรงค์ที่นั่งเป็นเทวรูปให้เพื่อนพจน์รู้จัก ทุกคนยกมือไหว้ตามมารยาท เสร็จแล้วภพดนัยและชาญณรงค์จึงขอตัวลงไปที่โรงครัวเพื่อหาของกินมาขุนน้องน้ำและไอ้พวกตัวโตทั้งหลาย

“มึงเอารถอะไรมาวะ ไอ้กี” พจน์กระซิบถาม ถ้าอยู่ในบ้านพ่อเขาสั่งไว้ห้ามพูดหยาบคาย

“รถตู้บ้านกูไง ไอ้ห่า มึงได้อ่านข้อความหรือเปล่าเนี่ย” คุณกีสาดคำหยาบแผ่วเบาใส่พจน์ทันที โชคดีที่พ่อพจน์ไม่อยู่ ไม่งั้นอดกินอาหารเช้าแน่พวกมึง

“เออ อ่านสิวะ คนมันลืมกันได้นี่หว่า งั้นเดี๋ยวกูลงไปช่วยพ่อยกอาหารขึ้นมาดีกว่า รออยู่บนนี้ก่อนแล้วกัน” พจน์เตรียมลุกขึ้น น้องน้ำฉีกยิ้มกว้าง นั่งรอกินกระดิกปลายเท้าเสมือนเป็นลูกชายเจ้าของบ้านเลยนะ พจน์กะจะโบกหัวเกรียนๆนั่นสักหน่อยแต่ไอ้น้ำก็หลบหลีกได้ทัน

“กูไปด้วย”

ให้ทายว่าเป็นคำพูดใคร ถ้าไม่ใช่ผู้เป็นสุภาพบุรุษที่สุดในกลุ่ม คนที่เคยเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของพจน์ นับแต่มันขึ้นมาบนเรือนไทยเทพวิมานพจน์พยายามพูดคุยหยอกล้อ หรือโฟกัสสายตาไปยังจุดอื่นที่ไม่ใช่ตัวของเปรมณัฐ ไอ้ตี๋หล่อผลุดลุกขึ้นโดยไม่ทันฟังคำตอบของพจน์ พวกเรายืนสบตากันอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้จนกระทั่งคุณโบทพูดขัดขึ้นว่า

“มึงจะจ้องให้ท้องกันเลยหรือไง เร็วดิ กูหิว”

“เออๆ เร่งจังวะ” พจน์ผละสายตาออกก่อน แล้วเดินจ้ำพรวดทะลุทางหลังเรือน ผ่านประตูกั้นเรือนชั้นนอกเข้าเรือนชั้นใน แล้วเดินลัดเลาะตามทางคุ้นชินเพื่อหาประตูออกสู่ระเบียงด้านหลัง เสียงฝีเท้าตามติดอยู่ไม่ห่าง พจน์ไม่รู้ว่าระหว่างเส้นทางเดินสู่โรงครัวกับเส้นทางปัญหาภายในใจอย่างไหนยาวไกลกว่ากัน เพราะยิ่งพจน์เร่งฝีเท้ามากเท่าไหร่ ดูเหมือนไม่ถึงชานเรือนด้านหลังเสียที จนเผลอใจร้อนก้าวสะดุดเท้าตัวเองเพราะอาการเร่งรีบไม่อยากอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดเช่นนี้

ทันทีเมื่อกำลังหน้าคะมำคว่ำใส่พื้นเรือนไทย เปรมณัฐก็พุ่งตัวมาโอบเอวคว้าหมับราวกับมันล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า เมื่อฝ่ามือยาวของไอ้ปาล์มแตะสัมผัสเสื้อสีขาวบางสำหรับสวมใส่นอนของพจน์ เด็กหนุ่มผู้พยายามหนีก็สะดุ้งเฮือกไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะโถมพุ่งว่องไว ฉับพลันจึงบังเกิดความรู้สึกใจเต้นระทึกตกประหม่า อาจด้วยออกแรงจ้ำเดินรีบร้อน หรือเพราะโอกาสใกล้ชิดแนบกายระหว่างคนทั้งสองกันแน่ พจน์ภาวนาขณะหลับตาให้เป็นอย่างแรก

“มึง...เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ไอ้พจน์” เสียงทุ้มที่พจน์เกือบลืมไปแล้วกระซิบแผ่วใกล้กกหู พจน์ขนลุกตั้งชันทันที พร้อมเปิดตามองใบหน้าใกล้นิดเดียวของปาล์มระยะห่างไม่ถึงครึ่งไม้บรรทัด ร่องรอยชกต่อยกับพีธนะยังคงปรากฏแต่เลือนรางลงแล้ว พจน์ไม่เคยเห็นรูปหน้ามันชัดเจนเท่านี้ อาจเป็นเพราะเมื่อก่อนพจน์ไม่ได้สังเกตจริงจัง ดวงตาชั้นเดียว คิ้วเข้ม จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากสีส้มนั้น ทำให้พจน์ถึงกับต้องกลั้นลมหายใจ

“เอ่อ ไม่อ่ะ” อ้อมแอ้มผลักอกปาล์มออกห่างจากตัว แล้วหันหลังให้เพื่อนที่เคยสนิท
 
“มึง...ยังโกรธกูอยู่หรือวะ” พึมพำแต่ชัดเจน

“เปล่า”

“แต่...มึงทำตัวแปลกๆ ไม่เหมือนเดิม”

“ก่อนจะว่าคนอื่น มึงมองดูตัวเองหรือยัง คนที่แปลกไปเป็นมึงต่างหาก” พจน์ขยับตัวเผชิญหน้าสวนกลับทันควัน “มึงเปลี่ยนไป ทำไมกูจะไม่รู้ ถ้าเป็นเพราะว่ากูได้ยินความในใจของมึง แล้วทำให้คนอย่างมึงไม่พอใจก็บอกกูดีๆ กูจะได้ลบมันออกจากสมอง ไม่ใช่ให้มึงมาเปลี่ยนท่าทีแบบนี้”

“กูไม่ได้ชอบมึง”

พจน์ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดประโยคนี้ซ้ำสอง ใจซึ่งตระเตรียมไว้สำหรับสู้รบตบมือกับไอ้คนหัวดื้อเมื่อถูกคำพูดเดิมหวดซัดโดยไม่คาดคิด ก็นิ่งอึ้งดั่งน้ำท่วมปาก

“กูทำตัวเป็นปกติเหมือนเดิมทุกอย่าง แต่มึง...ต่างหากที่ไม่เหมือนเดิม ไอ้พจน์” แววตาตัดพ้อนั้นชัดเจนจนพจน์ต้องเสหลบมองอ่างดอกบัวใต้โคนเสาเรือน “เรายังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ใช่ไหม เพราะตอนนี้ท่าทีของมึงเหมือนไม่อยากได้กูเป็นเพื่อนเคียงข้างมึงอีกแล้ว”

พจน์ไม่เข้าใจคำพูดของไอ้ปาล์มแม้แต่น้อย ว่ามันมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ อย่างไหนคือความสัมพันธ์ที่มันต้องการ ในเมื่อท่าทีเย็นชาเมินเฉย พจน์กลับรู้สึกได้ทุกครั้งนับแต่เผลอยินคำสารภาพที่มันยืนยันหนักแน่นว่า โกหก

“กูสับสนว่ะ” พจน์รู้สึกเวียนหัวจนเซพิงเสาเรือนหน้าห้องพระ
 
“กูขอโทษ หากทำให้มึงรู้สึกแบบนั้น แต่ได้โปรดอย่าโกรธกู เวลาที่มึงไม่สบายใจหรือเครียดหาทางแก้ไม่ออก กูยังสามารถเป็นคนคนนั้นที่มึงกอดให้คลายความกังวลได้อยู่หรือเปล่าวะ”

ทั้งน้ำเสียงทั้งท่าทีหรือคำพูดทั้งหมดล้วนเป็นปกติเช่นมันเคยกระทำ แต่ตอนนี้พจน์กลับรู้สึกว่าทุกสิ่งเป็นความจริงจอมปลอมทั้งสิ้นโดยไอ้ปาล์มพยายามสร้างขึ้นมาให้เหมือนเดิม ในใจพจน์ไม่เคยรู้สึกเจ็บเท่านี้มาก่อนทั้งที่รู้ใจตัวเองแล้วว่าตนรักใครกันแน่ แต่โซ่ตรวนซึ่งอยู่เบื้องหน้านี้กลับพันธนาการฉุดพจน์ไว้เหมือนคนเห็นแก่ตัว เหมือนคนจับปลาสองมือ ไม่อาจปล่อยสิ่งมีค่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปได้ จึงยื้อไว้จนสุดความสามารถ เจ็บ....ไม่ใช่ว่าพจน์รู้สึกรักปาล์มเทียบเท่ามาตะ แต่เป็นความสัมพันธ์คลุมเครือนั้นต่างหาก มันผนึกแน่นจนไม่อาจระบุความรู้สึกที่แท้จริงได้ หากเจ้านั่นเลือกเส้นทางนี้ พจน์ก็ไม่เห็นหนทางอื่นนอกจากความเจ็บปวด ไม่ใช่เกิดกับใจพจน์เท่านั้น แต่มันต่างหากที่เจ็บกว่าพจน์หลายเท่านัก

“กูยังเป็นคนคนนั้นอยู่หรือเปล่า” เปรมณัฐเอื้อมคว้าข้อมือพจน์กอบกุมไว้ พจน์ไม่อยากทำแบบนี้เลย รู้ว่ามีทางเลือกอื่น และมีวิธีทำให้ไอ้ปาล์มไม่ต้องหลอกตัวเองต่อไปแบบนี้ แต่ในเมื่อมันเลือกว่า ไม่ได้รักพจน์ ความเจ็บปวดนั้นจะคงอยู่กับเปรมณัฐตลอดกาล
 
“อืม”

ภัทรพจน์พยักหน้า ยินยอมกับความต้องการแน่วแน่ของมัน รอยยิ้มกว้างดูก็รู้ว่าแสร้งทำเผยชัดบนใบหน้าตี๋หล่อ

“ก็แค่นี้แหละ กูจะได้แน่ใจว่ามึงไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างที่กูคิด”

พูดจบมันก็โอบคว้าตัวพจน์กกกอดไว้ แล้วลูบหลังปลอบเช่นเคยทำ

“กูขอโทษที่หลบหน้าเมินเฉยมึง กูเองก็มีส่วนผิด แต่ตอนนี้กูรู้แล้วว่าเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ และมึงไม่ได้เปลี่ยนไปเหมือนที่กูคิด เรามาดีกันนะ” เปรมณัฐยื่นนิ้วก้อยมาให้พจน์เหมือนเด็กๆง้อขอคืนดี พจน์มองกิริยาน่าเอ็นดูแล้วนึกขำหลุดยิ้ม

“เร็วดิ”

ในใจจริงๆของมึงรู้สึกอย่างไรกันแน่ ปาล์ม พจน์อยากมีความสามารถอ่านใจคนได้เหลือเกิน เขาฝืนยิ้มกว้างราวกับไม่มีเรื่องข้องใจเกิดขึ้นระหว่างกันมาก่อน แล้วเกี่ยวนิ้วก้อยคืนกลับ หักใจละความสัมพันธ์นี้ทิ้งไว้ ถ้านี่คือบทสรุปที่ไอ้ปาล์มต้องการ พจน์จะมีสามารถใดไปฝืนขัดขวางได้

“อ้าว พี่ปาล์ม มาอยู่นี่เอง แพรวเดินตามหาซะทั่วเลย” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งผุดรอดมาจากหมอกสีขาวซึ่งปกคลุมเรือนไทย เธอเป็นคนเดียวกับที่ไปหาไอ้ปาล์มหน้าห้องสภานักเรียนเมื่อเย็นวาน และบอกว่ามีนัดดูหนังกับเลขาฯสภาหน้าตี๋หลังเลิกเรียน

“พะ...แพรว มาได้ยังไง”

สีหน้าหม่นหมองผุดขึ้นชั่วแล่น ก่อนเปรมณัฐจะใช้ความสามารถขั้นเทพปกปิดได้รวดเร็ว

“พี่ปาล์มจะทิ้งแพรวไปเที่ยวอยุธยาแบบนี้ได้ยังไงกัน ถ้าแพรวไม่หลอกถามพี่โบท แพรวจะรู้ไหมว่าพี่ปาล์มโกหกแพรว” วงหน้าสวยใสสมวัยมามีอันลดคุณค่าลงเมื่อถูกรอยบึ้งเข้าครอบครอง พจน์พยายามบิดนิ้วก้อยออกจากนิ้วของเด็กหนุ่มหน้าตี๋ แต่เจ้านั่นก็ใช้ตัวหนาบังมือไว้ไม่ให้หญิงสาวผู้มาเยือนเห็น

“เบาเสียงหน่อยแพรว” คำพูดสุภาพนิ่งขรึมตอบโต้อีกฝ่าย “แล้วพี่ก็ไม่ได้โกหกเรา”

“นี่ยังไม่เรียกว่า โกหก อีกหรือคะ พี่ปาล์ม” เด็กสาวชื่อแพรวตวาดแว้ด

“พี่บอกแล้วไงว่าให้พูดเสียงเบา นี่แพรวกำลังรบกวนสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอยู่นะ” เปรมณัฐห้ามปรามใจเย็น พจน์ไม่นึกว่าเจ้านี่นอกจากเป็นคนน้ำนิ่งไหลลึกแล้ว ยังปากว่าตาขยิบ ยึดข้อนิ้วก้อยของพจน์ไว้แน่น ฝืนบิดอยู่นานก็ไม่หลุดสักที

“ก็ได้ค่ะ ถ้าพี่ปาล์มบอกแพรวดีๆ ไม่ใช่บอกว่าจะไปหาญาติที่ต่างจังหวัด แพรวก็คงไม่ต้องโมโหขนาดนี้” แพรวลดเสียงเบาลง เมื่อเจอวาจาน้ำเย็นเข้าลูบ

“ดีแล้ว งั้นแพรวมายังไง ให้พี่เรียกแท็กซี่ไปส่งที่บ้านไหม”

พจน์ลอบเห็นสีหน้าสงบพลันบึ้งตึงทันควัน เขาไม่เคยเจอสาวเอาใจยากเท่าคนคนนี้มาก่อน

“แพรว-จะ-ไป-อยุธยากับพี่ปาล์มค่ะ”

เปรมณัฐนิ่งเงียบทันที พจน์ไม่เห็นสีหน้าเจ้าตัว เดาว่ามันคงทำหน้านิ่งเหมือนเดิม

“เราเป็นแฟนกันนะคะ!”

หญิงสาวขึ้นเสียงอีกครั้ง พจน์สะดุ้งไม่ใช่เพราะถ้อยคำประกาศความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง แต่เป็นเพราะเสียงหวีดแหลมนั่นต่างหากจนต้องใช้นิ้วข้างเดียวอุดหู

ปาล์มเหลียวหลังมองพจน์หน้าละห้อย

“กู...ขอเอาคนไปเพิ่ม...ได้ไหมวะ”

แพรวเหลือบมองตามสายตาเปรมณัฐก็สะดุดเข้ากับพจน์ หญิงสาวทำหน้าตื่น แล้วยิ้มแก้ขวยเหมือนขอลุแก่โทษ

“ก็แล้วแต่มึงดิ และที่สำคัญปล่อยนิ้วกูด้วย” ประโยคท้ายพจน์กระซิบกระซาบใส่หูเปรมณัฐ เจ้าตัวคลายนิ้วก้อยออกทันทีประหนึ่งลืมตัว

พจน์ไม่อยากนึกเลยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับปาล์มและพ่วงน้องแพรวคนสวยมาด้วยนี้จะเป็นอย่างไร ใจหนึ่งอดเป็นห่วงไม่ได้ หากพจน์จะลองปลงใจเชื่อว่า ความ รัก ที่มันเลือกนี้ดีสำหรับทุกคนแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะ ต้องห้าม อีก


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3391903#msg3391903)
______________________________

น้ำนิ่งไหลลึก : หงิมๆไม่ค่อยพูด
ปากว่าตาขยิบ : พูดว่าไม่ดีแต่กลับสนับสนุนหรือทำสิ่งที่ตนว่าไม่ดีนั้น

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๓ รักต้องห้าม ๑๐๐% (๒๖/๐๕/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 26-05-2016 09:57:21
อีรุงตุงนังดีแท้ๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< ช่วงพูดคุยตอบคำถาม part 5 (๒๖/๐๕/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 26-05-2016 10:03:26
มาอ่านรวดเดียวถึงตอนนี้เลย ชอบมากค่ะ แต่บางทีแอบแปลยากไปหน่อย5555 รอค่า
โห....นับถือมากครับ อ่านตั้งแต่แรกจนถึงตอนล่าสุด นับถือๆ อาจจะอ่านยากนิดนึงครับ แต่ค่อยๆอ่านไม่ต้องเร่งรีบครับ เดี๋ยวจะพลาดข้อมูลสำคัญไป แล้วจะหาว่าไม่เตือนนะครับ อิอิ

o13 น่าติดตามเสมอ :pig4:
ขอบคุณครับที่ติดตาม ยังไงก็อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนน้า มาอ่านเป็นกำลังใจให้คนเขียนบ่อยๆนะครับ

อาจารย์แกล้งทำให้พจน์สงสารมาตะ
รอวันมาตะปรับความเข้าใจกับพจน์

 :pig4:  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
มาตะของเราปิดบังความลับไว้แบบนี้จะง้อพจน์ยังไง รอติดตามครับ สปอยว่า ถึงพริกถึงขิงแน่นอน

o13 o13รอติดตามอย่างจดจ่อ :katai4:
ตอนล่าสุดเพิ่งลงครับ มาอ่านกันเยอะๆน้า คอมเมนต์เพียงหนึ่งก็เพิ่มกำลังใจให้คนเขียนได้ล้านเท่าเลยครับ

:mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
  :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:

ชอบมากกกกก ถึงแม้ว่าจะอ่านยากไปหน่อยก็เถอะ แต่ก็ชอบนะ ชอบที่เรื่องมันลึกลับดี มีอะไรให้น่าติดตาม
ขอบคุณครับ อ่านยากแต่ค่อยๆอ่านนะครับ เดี๋ยวก็คงจะคุ้นเคยเอง รอติดตามนะครับๆ

:hao4:
เอ๋? เป็นอะไรครับ 555

พจน์อาจเป็นคนสำคัญที่มีส่วนช่วยเมืองของมาตะไว้ได้
แต่ขออย่าให้มาตะต้องไปตบแต่งกับใครหรือแม้แต่พจน์เอง
ก็ขออย่าให้ได้มีคำทำนายว่าต้องแต่งกับพี่ชายมาตะเลย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
อืมม...พจน์ก็คือ...นั่นแหละครับ มาถูกทางแล้ว ส่วนมาตะจะไปแต่งงานกับใครหรือพจน์จะแต่งกับพี่ชายมาตะหรือเปล่านี่ ต้องรอติดตามครับ บอกได้คำเดียวว่า ปวดใจ

ภัทรพจน์จะเป็นใคร นะ มีความสำคัญ...อะไร ยังไง ตื่นเต้นๆ รอ 100 % :call:
พจน์ก็เป็นนายเอกของเรื่องนี้ไงครับ 5555 ล้อเล่น เรื่องราวเริ่มเปิดเผยที่ละน้อย คุณคงเดาได้ว่า พจน์ข้ามพิภพมาเพื่ออะไร แล้วจะเกิดเหตุการณ์อะไรต่อนับจากนี้ลองคาดเดาเล่นๆไว้ เดี๋ยวผมมาเฉลยว่า จะตรงกับใจคุณหรือเปล่า โอเคนะ

:mew5:
อ้าว...ไม่สบายหรือเปล่าครับเนี่ย หน้าคล้ำหน้าม่วงเลย

สนุกดีแต่งงนิดๆเพราะไม่เก่งกลอน
ขอบคุณครับ ภาษาในโคลงกลอนบางคำอาจไม่เห็นในชีวิตประจำวัน ลองเปิดพจนานุกรมดูความหมายก็จะเพิ่มอรรถรสในการอ่านมากขึ้นครับ ลองดูๆน้า

มาติดตามให้กำลังใจ ชอบมาก
คอมเมนต์สั้นๆแค่นี้ ก็เป็นกำลังใจผมได้มากเลยครับ อย่าลืมติดตามเรื่องราวต่อนะครับ

ภาษาสวยใกค่ะ!
ชอบๆ
สู้ๆนะคะเป็นกำลังใจให้กับผลงานดีๆเรื่องนี้ค่ะ^^
ภาษาไทยเป็นภาษาที่สวยงามที่สุดในโลกนะผมว่า ขอบคุณที่คุณชอบ เรามาอนุรักษ์ภาษาไทยโดยการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องกันนะครับ

เป็นนิยายที่ทรงคุณค่าทางภาษาเรื่องหนึ่ง ภาษาสวยงาม เนื้อเรื่องดี เก็บทุกรายละเอียด บ่งบอกถึงความตั้งใจของคนเขียนมากๆ (ถ้าได้หนังสือเรื่องนี้ไว้ในครอบครอง คงจะดีไม่น้อยเลย )ให้กำลังใจคนเขียน... :mc4:
ขอบคุณที่คุณชอบครับ เรื่องนี้วางโครงเรื่องมาประมาณหลายปีเลยครับกว่าจะแล้วเสร็จ เรื่องราวยังดำเนินมาไม่ถึงหนึ่งในสามเลยครับ หวังว่าคุณจะชอบและรอติดตามต่อไป ส่วนจะรวมเล่มหนังสือนั้นคงต้องรอกระแสก่อนครับ แล้วอีกอย่างนิยายก็ยังไม่ใกล้คำว่า จบบริบูรณ์ เสียด้วย น่าจะรอ....กันต่อไป คอยเป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยนะครับๆ

แล้วพจน์จะอธิบายว่าตัวเองเป็นใครยังไงกันเนี่ย ตัวละครโผล่มาอีกหนึ่งแล้ว ท่าจะชอบพจน์แน่ มาตะจะทำยังไง รออ่านตอนหน้า รีบมาต่อไวๆ นะคะ
คุณคงรู้แล้วว่าพจน์แก้ตัวในฉากนี้ยังไง แล้วตัวละครใหม่มีทีท่ายังไงกับพจน์ แต่ขอบอกว่า อย่าหลงเทใจจากมาตะให้พระมหาอุปราชแล้วกันครับ รอติดตามน้า


เอาแล้ว แล่วๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
กลายเป็นว่ามีตัวพระเพิ่มมาอีกหนึ่งซะอย่างงั้น
มาตะนี่เป็นราชบุตรบุญธรรมด้วย ว้าววววว
ถ้าเป็นในยุคปัจจุบันคงต้องบอกว่า หล่อล่ำบ้านรวย(เมียสวยม๊ากๆ) สินะคะ
ขอซื้อลิขสิทธิ์คำนี้นะครับ หล่อล่ำบ้านรวยเมียสวยม๊ากๆ ตรงกับคาแรกเตอร์มาตะจริงๆ 555 ตัวละครใหม่นี้ จะมาสร้างอุปสรรคให้ความรักมาตะพจน์หรือว่ายังไง ขอจงโปรดติดตามเป็นกำลังใจด้วยนะครับ

มาตะโกหกพจน์ระวังพจน์จะไม่ยอมกลับไปหาอีก
หวังว่าจะไม่เกิดรักหลายเศร้าแย่งชิงพจน์กันนะ :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
อืม รักหลายเศร้านี่ดูจากเรื่องราวแล้วเห็นจะไม่พ้นแน่ครับ แต่ว่าพจน์กับมาตะจะฝ่าฟันอุปสรรคไปได้หรือไม่ รวมถึงพจน์จะกลับไปหามาตะอีกหรือเปล่านั้น รอติดตามครับ

ตายแน่ๆล่ะคราวนี้  คงไม่มีการตัดหัวกันหรอกนะ  เป็นนิยายในรอบปีเลยที่น่าสนใจและน่าติดตามมาก นานๆทีจะมีนิยายแนวที่ชอบมา ขออย่างเดียวโปรดแต่งให้จบอย่าหนีกายไปไหน  เพราะนิยายที่ถูกใจจริงๆแบบเรื่องนี้หาอ่านยากมาก  และนานๆทีจะมีสักเรื่อง  และอีกอย่างนิยายที่ชอบมากคนแต่งมักจะแต่งไม่จบและหนีหายไปเลย เช่น  ดวงใจรามสรู  รองไปอ่านดูเผื่อจะชอบกัน  ดวงใจหมาป่า  เรื่องนี้เหมือนหลายปีมาแล้ว  มันหายไปพร้อมกันคนแต่ง  เสียดายมาก  ส่วนเรื่องนี้คงไม่ทำให้ผิดหวังนะครับ  แต่เรื่องนี้มีบ้างจุดที่ทำให้คนอ่านงง  คือภาษาคำพูด  มันดูสวยงามแต่บ้างครั้งมันทำให้งงและตีความไม่แตกบ้าง
ชอบมากครับคอมเมนต์ยาวๆแบบนี้ ขอบคุณที่คุณชอบ ขอสัญญาว่าจะไม่หนีหายไปไหนแน่นอน นอกจากช่วงติดภาระหน้าที่การงาน ก็จะไม่ได้อัพตอนบ่อยอย่างที่ใจนึกไว้ แต่ก็ไม่หายไปง่ายๆแน่ ผมวางโครงเรื่องทั้งหมดจบแล้ว เหลือแต่เขียนให้จบเท่านั้น ผมต่างหากที่จะกลัวคุณเบื่อหรือหนีหายทิ้งผมไปซะก่อน ด้วยคะเนแล้ว นิยายเรื่องนี้คงมีมากตอนแน่ๆกว่าจะถึงบทสรุป ผมได้ลองตามไปอ่านนิยายที่คุณแนะนำแล้วถูกจริตกับผมสมกับคำคุณจริงๆ ยังไงก็ขอบใจมากๆนะครับ เรื่องภาษาที่บางครั้งหลายคนอ่านแปลความไม่ออก ผมมีแนวคิดว่า หากตอนต่อไป มีคำที่คิดว่าผู้อ่านจะไม่ทราบความหมายแน่ๆจะด้วยเป็นลักษณะคำเก่า หรือไม่อาจพบเห็นได้ในปัจจุบัน หรือมีความหมายขยายความน่าสนใจแล้ว ผมจะเขียนเป็นเชิงอรรถเขียนไว้ส่วนล่างของแต่ละตอนแล้วกันนะครับ

o13 o13 o13 o13 o13 o13
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ขอบคุณครับ

:-[ :-[ :-[
เขินอะไรหรือครับ อิอิ

หวานมากกกกกกกกกก :katai2-1:
หวานขนาดไหนครับ ลองบรรยายความรู้สึกหน่อย อิอิ

ช่างกล้าเรียกตัวเองว่า "มาตะคนซื่อ" ไอ้เจ้าเล่ห์!
 :hao6: :hao6:
555 ถ้ามาตะมาเห็นคอมเมนต์นี้ เจ้าตัวจะว่ายังไงละเนี่ย พี่ท่านคงแก้ตัวกันยาวหลายบรรทัดแน่ครับ

เย้ พจน์บอกรักได้เต็มปากแล้ว
ดีใจแทนมาตะด้วย เย้ๆๆๆ

แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
:hao6:

นี่อ่านไปด้วยหน้านิ่งๆ แต่ใจนี่เต้นแรงมากกกกกกก อะไรมันจะ...ฮึ่ม!...ฮึ่มม!!!!

วารีดำเนิน 5555 :haun4: :haun4:
ดีใจที่ทำให้คุณ วารีดำเนิน ครับ 5555 ล้อเล่น ขอบคุณที่ทำให้คุณรู้สึกอินไปกับตัวละคร ขอบคุณมากครับ


โอ้ยยยยยยยยยยยยย งื้ออออออออออ! คือเขินมาก มันหวานมาก เลี่ยนมาก และเร่าร้อนมากพอกัน นอนๆอ่านไปก็ขนลุกซู่ หน้านี่ร้อนเลยค่ะ ต้องกรีดร้องอัดหมอนเพราะกลัวแม่ด่าว่าเสียงดัง(ฮา)

 :o8: :o8: :o8:
ขอโทษครับ เกือบทำให้คุณโดนแม่ว่าเสียแล้ว คราวหน้าลองเปลี่ยนจากหมอนเป็นเปิดเพลงกลบสิครับ จะได้ร้องดังๆได้ เย้ๆ

ขอเม้น เพราะสะพรึง "คำหวาน" มาตะมากๆ ถ้าโดนจีบแบบนั้นคง :a5: :a5: :a5:
แต่บทกลอน เข้าพระเข้านาง หื่นจรุงง คนเขียนแต่งเก่งงงง นึกถึงกลอนขุนแผนอึบสาว 555
เป็นตอนที่ผมฟังเพลง คำหวาน ประมาณร้อยรอบได้ กว่าจะเขียนตอนนี้จบ แต่ที่ว่าเหมือนกลอนขุนแผนอึบสาวนี่ ทำให้ผมเห็นภาพตามจริงๆครับ แฮ่ๆ

คิดถึง
ผมก็คิดถึงคุณครับ มาติดตามชีวิตมาตะพจน์กันต่อน้า

กรีดร้อง 50% :ling1: :heaven
ใจเย็นๆครับ 555

กอดคนแต่ง อิ่มเอิบมาก ยิ่งอ่านยิ่งมีความสุข  :กอด1:
แต่พอเห็น 50% แล้ว ไม่กอดคนแต่งแล้ว ใจร้าย ค้างงง :katai1:
ไม่ใจร้ายหรอกครับ แค่อยากให้คนอ่านทุรนทุรายก็แค่นั้น หลบแปบ 5555

พอเลื่อนมาถึง TBC 50% แบบ  อ่ะ......อะไรอ่ะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะ     อ้างปากค้างกันเลยทีเดียว
พักเบรค หายใจหายคอกันหน่อยครับ ไม่ได้แกล้งน้า เดี๋ยวคุณจะหัวใจวายต่างหาก นี่ผมเป็นห่วงคุณหรอก อิอิ

:ling1:ค้าง  ลุ้น รอ ไร้ท  :katai4:
สนุก ชอบ ลึกลับ สมชื่อ ข้ามพิภพ  :katai2-1:
ไร้ท เขียนเก่งมาก คนอ่านตีความกันจ้าละหวั่น  :mew1:
อรรถรสทางภาษา ยอดเยี่ยม หรือไร้ท ก็ข้ามพิภพ มาเช่นกัน  :katai1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ผมไม่ได้ข้ามพิภพมาหรอกครับ แต่ผมข้ามสะพานลอยมาทำงานทุกวัน 5555 ขอบคุณที่คุณชอบ อย่าลืมติดตามนะครับ

o13
แค่สติ๊กเกอร์อันเดียวก็เป็นกำลังใจในการเขียนบทต่อไปได้มากเลยครับ

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๓ รักต้องห้าม ๑๐๐% (๒๖/๐๕/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 26-05-2016 10:44:57
อ่านแล้ววางไม่ลงจริงๆ จะตามอ่านต่อไปปปปปปป  :mew1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๓ รักต้องห้าม ๑๐๐% (๒๖/๐๕/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 26-05-2016 12:00:31
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๓ รักต้องห้าม ๑๐๐% (๒๖/๐๕/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: runtothemoon ที่ 26-05-2016 19:16:00
ในที่สุดได้อ่านตอนใหม่แล้วเย่ จุดพลุลลล  คิดถึงน้องพจน์มากกกกกกกกกก ตอนนี้ขอแนะนำให้พจน์ปลงกับปาล์มซะเถอะไหนๆเค้าก็ยืนยันแบบนั้น=_=;; มาวางแผนเอาคืนมาตะคนซื่อ(หรอ?)กันดีกว่า55555555555สมควรจะงอนนานๆไปเลยพจน์ถูกเสมอ มาตะทำอะไรก็น่าโมโหในสายตาเรา555555555 แอบกังวลเรื่องคุณผู้ช่วยว่าจะจริงใจกับคุณพ่อรึเปล่า มาดีมาร้ายหรืออะไร;__; กลัวจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่คุณก็รู้ว่าใคร(?) แฝงตัวมาในครอบครัวพจน์ ระวังๆตัวนะลูกกกกกพี่เป็นห่วงมาก อินเหลือเกิน :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๓ รักต้องห้าม ๑๐๐% (๒๖/๐๕/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 27-05-2016 17:40:06
ปาล์มถูกโหวดออก  :ling1: เฮ้อออ่านแล้วเห็นปมพันกันยุ่งเลย

พจน์สู้ๆ ค่อยๆตามแก้กันไปทีละนิดๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๓ รักต้องห้าม ๑๐๐% (๒๖/๐๕/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: zizits ที่ 27-05-2016 22:01:04
ภาษาสวยจริงๆ และปมก็เยอะมาก กลัวตอนท้ายจะเก็บปมไม่หมดจัง สู้ๆนะคนเขียน ทำงานหนักเลย
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๓ รักต้องห้าม ๑๐๐% (๒๖/๐๕/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 31-05-2016 14:38:11
สวัสดีครับคนแต่ง  ผมไม่เบื่อนิยายเรื่องนี้แน่นอน  ยิ่งอ่านยิ่งสนุกนะ  ยิ่งอ่านมันยิ่งมีปมขึ้นเรื่อย  ทำให้ระแวงไปหมด  กลัวพจน์จะเพี่ยงพร่ำ  ขนาดรู้ว่ามาตะมีคู่มั่นยังทำให้อ่อนแย่เลยอ่ะ  ส่วนเรื่องคุณพ่อนี้ก็อ่านแล้วอึดอัดใจไแด้วยเลยกะความรักครั้งนี้  แต่กลัวว่ามันจะไม่ใช่ความจริงนะสิ  ถ้าเป็นตัวร้ายคงรู้สึกแย่  อีกอย่างกลัวใจพจน์ด้วย  แต่คนแต่งคงไม่โหดกับคนอ่านขนาดนั้นใช่ไหมครับ  จะรอต่อไป  คนแต่งก็สู้ๆนะครับผม 
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๔ เพื่อนรักทาสภักดี ๕๐% (๐๑/๐๖/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 01-06-2016 10:14:04
บทที่ ๒๔



เพื่อนรักทาสภักดี

   

แสงรุ่งอรุณฉายฉานเหนือริมขอบฟ้ามาได้สักระยะแล้ว ขณะพจน์กำลังนั่งงัวเงียสะลึมสะลืออยู่ในรถตู้ซึ่งกำลังออกเดินทางสู่เมืองเก่าอยุธยา เด็กหนุ่มเหลือบแลภาพทุ่งนาเขียวขจีถูกปกคลุมด้วยละอองหมอกสีขาวดูราวกับปุยเมฆแล้วรู้สึกสดชื่นแจ่มใส สองข้างทางเป็นผืนเกษตรกรรมกว้างใหญ่แทรกด้วยไม้ยืนต้นขนาดมหึมา ริมทางซ่อนซากเจดีย์ปรักหักพักผุดแซมอยู่หลังดงไม้เป็นระยะ บรรยากาศสลัวรางสะท้อนประกายแดดอ่อนทอแสงทองระยิบระยับ ปลุกสติกลับคืนทดแทนความง่วงงุนเพื่อชื่นชมทัศนียภาพตามธรรมชาติซึ่งไม่อาจหาดูได้แล้วในเมืองหลวง

หลังจากทุกคนรับประทานอาหารเช้าที่เช้ากว่าปกติแล้ว จึงตระเตรียมขนสำภาระขึ้นรถยนต์สองคัน และรถตู้อีกหนึ่ง โดยมีป้าแจ่ม ลุงชม และพี่ส้มอาสาอยู่คอยเฝ้าเรือน ทั้งนี้พี่ส้มแสดงอาการอยากมาด้วยแต่ก็ไม่อาจค้านสายตาดุของป้าแจ่มได้จึงจำยอม โบกมือลาเด็กทั้งสองด้วยสายตาน่าสงสาร พจน์คิดว่าควรจะซื้อของมาฝากพี่ส้มเป็นรางวัลปลอบใจ ระหว่างพจน์ยืนรวบรวมความกล้าเมื่อเห็นศาสตราจารย์วิชัยนิ่งขรึมมองพวกลูกลิงช่วยขนของขึ้นรถอยู่นั้น เพียงเด็กหนุ่มนัยน์ตาสวยอ้าปากจะเอ่ยเรื่องเหตุหายนะภัยรวมถึงคำเตือนของพราหมณ์โกสินธพ ก็ถูกคุณปู่เอ่ยปากห้าม ราวกับล่วงรู้ในสิ่งที่พจน์ตั้งใจจะพูด

“ไม่มีประโยชน์ที่คนเราจะทำในสิ่งซึ่งหมดศรัทธาต่อไปแล้ว ตาพจน์ สักวันหนึ่งแกจะเข้าใจในสิ่งที่ปู่พูด”

นั่นทำให้พจน์ไม่กล้าเอ่ยคำใดอีก

ตอนนี้ภยันตราย เริ่มคุกคามครอบครัวพจน์ และอาจรวมถึงทุกชีวิตบนโลก ทำไมพจน์จะไม่รู้ว่า ความเจ็บปวดจากการเห็นคนที่ตนรักทุกข์ทรมานเป็นอย่างไร ในเมื่ออาธนพลพึ่งรอดพ้นเงื้อมมือจอมปีศาจมาได้อย่างหวุดหวิด นับจากนี้เขาไม่คิดว่าโลกใบนี้จะมีวันสงบสุขอีก ภัยซ่อนเร้นคุกคามทั้งสองพิภพจริงดังคำพราหมณ์เฒ่า และคำหนึ่งบอกว่า พจน์เป็นคนเดียวที่จะหยุดความสูญเสียนี้ได้นั้น เพียงแค่ตนคิดจะพูดให้คุณปู่เปลี่ยนใจกลับมาประกาศเตือนภัยยังไม่อาจทำได้เลย แล้วพจน์จะเชื่อได้ว่า คนคนนั้น คือตนได้อย่างไร

“คิดอะไรอยู่วะ น้องพจน์ หน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่น่ารักเลยนะ”

พจน์สะดุ้งเหล่คนนั่งเคียงอยู่ขวามือใกล้หน้าต่าง ใบหน้ายิ้มล้อเลียน หล่อเหลาแนวเกาหลี อวดฟันเรียงสวย ยักคิ้วใส่พจน์ คือ ภามภพ ไอ้ประธานนักเรียนกระล่อน คราวก่อนเคยหลอกหอมแก้มพจน์ กำลังเหล่มองเขาพร้อมคำถามกวนให้โดนเหยียบเท้า

“เรื่องของกูดิ มึงจำเป็นต้องอยากรู้ขนาดนั้น”

พจน์ไม่อยากแลมองหน้าไอ้ภามเลยเบนสายตาสังเกตทัศนียภาพอีกด้าน และคนที่นั่งขนาบพจน์อยู่อีกข้างก็เป็นเด็กหนุ่มตัวสูงผิวแทน แขนล่ำ ยิ้มอวดฟันขาวของมันมาให้พจน์แทบจะในทันทีที่สบตา พีธนะยื่นขวดน้ำเปล่าให้พจน์ เขาส่ายหน้าแอบถอนหายใจ เลือกมองเส้นทางผ่านกระจกด้านหน้ารถซึ่งมีพี่คนขับรถตู้ของบ้านไอ้กีเป็นสารถี ฮำเพลงเสียงเบาอารมณ์ดีผิดต่างจากอารมณ์พจนอย่างยิ่ง เก้าอี้ข้างคนขับเป็นเด็กหนุ่มร่างผอมสูงในชุดเสื้อยืดสีดำกางเกงยีนส์นั่งเคียงคู่ไม่พูดไม่จา เมื่อพจน์จับตามองดูเหมือนมันจะรู้สึกตัว หันหลังสบตายกคิ้วเป็นเชิงถาม  พจน์ส่ายหน้าให้ไอ้กัน นิธิ แล้วถอนหายใจอีกรอบ
 
ตอนนี้เพื่อนทุกคนในกลุ่มของพจน์คงสงสัยไม่แพ้ตัวเขาเองว่า แขกไม่ได้รับเชิญอีกสามคนนี้ มีที่มาที่ไปยังไง แล้วรู้ได้อย่างไรว่าพจน์กำลังเดินทางไปอยุธยา พวกมันทั้งสามเลยหอบหิ้วกระเป๋ามาดักรออยู่หน้าประตูรั้วก่อนออกเดินทางไม่กี่นาที ผู้ไม่น่าเป็นไปได้ที่สุดก็คือ ไอ้ภาม ร้อยวันพันปีมันไม่เคยมาบ้านพจน์มาก่อน แล้วรู้จักที่อยู่บ้านเขาได้อย่างไร คำถามนี้ไร้คำตอบจากปากคนทั้งสาม เมื่อพวกมันสบมองกันด้วยท่าทีเหมือนโกรธแค้นมานับสิบชาติ โดยเฉพาะไอ้กันเกือบถูกไอ้กี ไอ้ต่อ ไอ้โบท พุ่งตัวเข้าใส่โดยไม่ยั้งคิด โชคดีมีพวกที่เหลือคอยดึงรั้ง โดยมีสายตาของคุณปู่ คุณพ่อ เป็นตำรวจห้ามปรามอยู่

นิธิบอกว่า ขอติดรถไปทำธุระที่เมืองเก่าอยุธยา แต่สีแววตาบ่งแสดงว่ามีอะไรมากกว่านั้น พจน์แทบไม่ได้พูดคุยกับมันแม้แต่คำเดียว ทั้งโกรธเรื่องโกหก ทั้งผิดหวังเรื่องไม่ยอมคายความจริงที่ปิดบังไว้ พจน์ไม่มีสิ่งใดสนทนาด้วยจึงเลี่ยงจะพูดคุย
 
สำหรับพีธนะ หลังจากวันที่มันชกต่อยกับไอ้ปาล์มพจน์ก็ไม่ได้เห็นหน้าค่าตาอีกจนกระทั่งวันนี้ รอยแผลฟกช้ำดีขึ้นมาก แต่แววเจ็บปวดพจน์รู้สึกได้ มันยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เบี้องลึกในใจพจน์รู้ดีว่า สายตามองไอ้ปาล์มเคลือบแฝงไว้ด้วยความเกลียดชังทุกครั้ง เปรมณัฐไม่ได้พูดคำใดอีกเช่นกัน มันมองไอ้พีทเพียงครั้งเดียวแล้วพาน้องแพรวแฟนสาวไปนั่งรถยนต์ของภพดนัย

บรรยากาศอึมครึมเหมือนเช่นทัศนียภาพแวดล้อมถูกหมอกปกคลุมเกิดขึ้นภายในรถจนแทบหายใจไม่ออก ตอนแรกพจน์เลือกนั่งรถยนต์ของอาธนพล พร้อมศาสตราจารย์วิชัย พี่สุนิสา และชาญณรงค์ แต่ถูกภาพภพ และพีธนะดึงรั้งแขนให้ขึ้นไปนั่งบนรถตู้ ไอ้พีทเห็นประธานนักเรียนแตะสัมผัสเนื้อตัวพจน์ก็เดือดดาลนั่งประกบเขาอีกข้างไม่ห่างตัว นั่นคือเหตุการณ์ทั้งหมดที่ทำให้พจน์จำยอมต้องมานั่งอยู่กลางภูเขาสูงทั้งสองลูกแบบนี้
 
รถยนต์สีดำสองคันแล่นอยู่เบื้องหน้ารถตู้สีขาว หากมองจากสายตาของบุคคลภายนอกนับว่า ขบวนท่องเที่ยวครั้งนี้น่าสนุกเพราะประกอบด้วยทุกคนในครอบครัวและเพื่อนสนิท แต่แท้จริงแล้วภายในทุกคนรู้สึกอย่างเดียวกันว่า มีแต่ความอึดอัด สับสน
 
“อึดอัดหรือเปล่า พจน์ ผมเห็นนายสีหน้าไม่ค่อยดี ให้เปิดหน้าต่างไหม” พีทก้มลงถามเสียงเบา

“เปิดกระจกก็หนาวตายกันพอดี มึงเอาอะไรคิดวะ”

เสียงไอ้ต่อซึ่งนั่งถัดเบาะด้านหลังร้องดังลั่น น้องน้ำซึ่งนั่งข้างมันทำหน้าเหมือนมีของเหม็นเน่ามาจ่ออยู่ใต้จมูกนับตั้งแต่รถออกจากบ้านเทพวิมานแล้ว ชลนธีส่งเสียงเชอะดังลั่นจนทุกคนได้ยินกันทั่ว พจน์หลุดยิ้มชั่วอึดใจ ไอ้น้ำมันยืนกรานจะนั่งข้างพจน์ แต่ถูกยักษ์สองตัวนั่งแทนที่แบบนั้น อารมณ์ขุ่นมัวจึงปรากฏอย่างที่เห็น

ตลอดเส้นทางแทบไม่มีคำพูดสนทนาสนุกสนานเฮฮากันระหว่างคนในรถผิดวิสัยของคนกำลังไปเที่ยว พวกไอ้เอก ไอ้เพรียว และไอ้รัก พยายามบอกให้พี่คนขับรถเปิดเพลงเป็นจังหวะคึกคักเพื่อเพิ่มบรรยากาศ แต่เมื่อเปิดไปได้ครึ่งเพลง นอกจากพวกมันสามคนร้องแหกปากเคาะอุปกรณ์เป็นเครื่องให้จังหวะแล้ว คนอื่นๆนั่งนิ่งสีหน้าเครียดกันทั้งนั้น บ้างก็ปิดเปลือกตาราวกับหลับเช่น ไอ้นาย เป็นต้น ความพยายามของพวกมันสามคนจึงมีอันต้องจบลงอย่างน่าอนาถ

“น้องพจน์ กูมีลูกอมติดมาวะ เอาไหม ลองทีเดียวหายง่วงแน่มึง” ภามทำทีล้วงกระเป๋ากางเกง ควักลูกอมรสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดยี่ห้อหนึ่งออกมา พจน์กำลังคิดว่าระหว่างแกล้งทำเป็นเนียนหลับ หรือลองลูกอมอย่างไหนจะช่วยให้ยักษ์สองตนหยุดพูดดีกว่ากัน  ไอ้น้ำเหวี่ยงพุ่งตัวเอื้อมแขนมาหยิบลูกอมในมือไอ้ภามนับสิบลูกไปอย่างรวดเร็ว

“กูขอนะ กำลังอยาก...อยู่พอดี พวกมึงเอาเปล่าวะ” น้องน้ำยักคิ้วใส่ประธานนักเรียนหน้าหล่อ แล้วแลบลิ้นใส่อย่างไม่เกรงกลัวสถานะของอีกฝ่าย พร้อมโยนลูกอมรสเปรี้ยวให้ไอ้พวกทีเหลือที่ทำสีหน้านับถือในความกล้าเกินตัวของน้องน้ำ ไอ้ต่อกับไอ้กีแอบชูนิ้วโป้งให้ชลนธีลับหลังประธานฯ พร้อมรอยยิ้มสะใจ

“พวกมึงอยากกินก็บอกดีๆดิวะ กูมีอีกเป็นถุงเบ่อเริ่ม อะ เอาไป” ภามภพแงะกระเป๋าสะพายแล้วโยนถุงบรรจุลูกอมรสเดิมใส่หน้าตักไอ้น้ำทำหน้าเหวอชั่วครู่

“ขอบใจว่ะ กูขอนะ มึงเสนอเองนะเว้ย เดี๋ยวจะหาว่ากูแอบหลอกกินของมึง” มันพูดไม่ชัดเพราะกำลังอมลูกอมที่ขโมยมาอยู่เต็มปาก แต่สีหน้ามั่นใจแสดงความท้าทายประธานนักเรียนอย่างเห็นได้ชัด

“เออสิวะ มึงอยากกินเท่าไหร่กินเลย กูไม่หวงของขนาดนั้น” ภามภพยิ้มแย้มอัธยาศัยดี พจน์รู้จักมันมานานเจ้านี่มีนิสัยไม่เคยหวงของ ใครจะขอยืมหรือขออะไรถ้ามันมี มันก็จะให้ แต่ไอ้ภามกับกลุ่มของพจน์แทบไม่เคยได้พูดคุยเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้ ส่วนใหญ่เจอกันในที่ประชุมสภาฯ วันนี้จึงเหมือนเป็นการเปิดตัวมันสู่สาธารณชนโดยแท้

สีหน้าประหลาดใจปรากฏสู่เพื่อนทุกคนของพจน์ พวกมันคงไม่คิดว่า ประธานนักเรียนสุดโต่ง คนนี้จะมีน้ำใจผิดต่างจากที่คาดไว้

“มึงก็ดูเป็นคนดีเหมือนกันนี่หว่า ไอ้ภาม” กีรติพูดเสียงนิ่ง

“เอ้า แล้วตอนแรกพวกมึงคิดว่ากูเป็นคนเลวว่างั้นสิ” ภามภพหัวเราะขบขัน

“มึงอย่าเพิ่งด่วนสรุป แค่มันเอาลูกอมมาล่อก็หลงเชื่อแบบนี้ มันใช้ได้ที่ไหน” น้องน้ำปฏิเสธเสียงดังลั่นทั้งที่ลูกอมของคนที่มันพูดถึงยังอยู่เต็มปาก มีหวังฟันผุแน่ น้องน้ำเอ๊ย
 
“มีมารยาทหน่อยสิวะ น้องน้ำ ผู้ใหญ่ไม่เคยสอนหรือไงว่า เวลาพูดให้เคี้ยวอาหารให้หมดก่อน” โบทแซวแกล้ง ชลนธีทำหน้าคว่ำหันหลังให้คนพูดทันที ทุกคนหัวเราะโดยพร้อมเพรียงกัน เป็นภาระของคุณปารมีแล้วล่ะครับต้องทำหน้าที่ง้อ

“กูก็มีหมากฝรั่งวะ พวกมึงจะเอาป่ะวะ”

พีธนะหยิบกล่องสีเขียวขึ้นมา ไอ้ต่อ ไอ้กี เหล่มองสีหน้าคมเข้มชั่วอึดใจ ก่อนจะคว้ามาแจกจ่ายให้ทุกคนเช่นเดิม

“ไม่ยักรู้ว่ามึงก็เป็นคนมีน้ำใจเหมือนกันนะ ไอ้พีท แตกต่างกับตอนเล่นบาสสุดๆ เห็นรุ่นน้องกูบอกว่ามึงฝึกมันทั้งโหดทั้งหนัก” ไอ้เอกซักถาม

“นั่นมันในสนาม ก็ต้องเข้มงวดกันหน่อย ส่วนนอกสนามกูก็เป็นของกูแบบนี้แหละ พวกมึงไม่ต้องเกรงใจนะเว้ย กูเป็นคนง่ายๆ เรียกใช้กูได้เสมอ”

พจน์สังเกตเห็นนายปารมี นายกีรติ และนายวีระภพ สามตัวพ่อของกลุ่มพยักหน้าเบาๆโดยพร้อมเพรียงกัน เป็นอันว่าการเปิดตัวของภามภพและพีธนะต่อกลุ่มเพื่อนของเขาสอบผ่านไปได้ด้วยดี แต่ที่ไม่ดีก็คือ พจน์ นี่แหละ ทั้งที่รู้ว่าพีทมีเจตนาอะไรถึงมาทำตีสนิทกับพจน์ ทำให้ตนไม่อาจพูดคุยอย่างที่ควรจะทำได้ แต่สำหรับภามนี่สิ ไม่รู้ว่ามันมาไม้ไหน อยู่ๆก็ติดสอยห้อยตามครอบครัวพจน์มาเฉย ทั้งที่ก่อนหน้ามันแทบจะไม่มีเวลามาวุ่นวายกับพจน์เลยนับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งประธานนักเรียน

บุคคลคนเดียวที่นั่งนิ่งอยู่ข้างคนขับมองจุดหมายเบื้องหน้าแน่วแน่ ไม่สนใจความเคลื่อนไหวภายในรถแม้แต่น้อยนั้น ดูเพิกเฉยกับทุกสิ่งจนพจน์ไม่แน่ใจว่า สิ่งที่มันทำทั้งหมด เพื่อปกป้องพจน์อย่างที่มันเคยลั่นวาจาเพียงแค่นั้นหรือ เจ้านั่นถูกเพื่อนของพจน์ทุกคนลงมติแล้วว่าไม่ผ่านการทดสอบ คือ ทุกคนไม่ยอมรับในตัวมัน นั่นหมายความว่า พจน์ไม่ควรจะเสวนาติดต่อพูดคุยกับไอ้กันเด็ดขาด แต่ลึกๆแล้วพจน์รู้สึกสงสารนิธิอย่างประหลาด ทั้งด้วยแววตาดุแฝงรอยโศก เหมือนมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนโลกใบนี้ พจน์ไม่รู้เรื่องครอบครัวของมันเลย ว่าพ่อแม่ของมันเป็นอย่างไร นั่นทำให้พจน์ไม่อาจตัดใจตัดอีกฝ่ายออกจากชีวิตไปได้โดยง่ายอย่างที่เคยออกปากไว้

ในไม่ช้ารถจึงแล่นมาถึงจุดหมายปลายทาง หลังจากขับผ่านสะพานข้ามแม่น้ำล้อมรอบเกาะอยุธยาแล้ว ย่านชุมชนและบ้านเรือนจึงปรากฏให้เห็นทั้งสองฟากฝั่งถนน ความเจริญได้รุกล้ำเข้ามามากมาย มีอาคารหลายชั้นถูกสร้างขึ้นบดบังเจดีย์ปรักหักพังจากสายตา พจน์เหลียวมองโบราณสถานเหล่านั้นผ่านม่านหมอกสีขาวซึ่งปกคลุมราวกับควันไฟ แทรกซึมอยู่ในทุกอณูอากาศ นับวันหมอกปริศนานอกจากจะปกคลุมแน่นหนาขึ้นทั่วภูมิภาคของประเทศ และทุกทวีปของโลกแล้ว ยังสามารถคงสถานะอยู่เช่นนั้นจนเกือบเที่ยงวันจึงสลายหายไป เป็นปรากฏการณ์น่าพิศวงอย่างประหลาด
 
ซากเจดีย์มีให้เห็นตลอดเส้นทาง สร้างความตื่นตามิใช่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่พจน์มาเยือนสถานที่แห่งนี้ ภาพจินตนาการถึงความรุ่งเรืองของกรุงศรีอยุธยาเมื่อในอดีตแจ่มชัดขึ้นมาในใจ เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจถ้อยคำชวนคุยของพีธนะหรือภามภพ เอาแต่เงยหน้ามองภาพวิถีชีวิตของชาวอยุธยา สลับกับกดถ่ายภาพผ่านโทรศัพท์มือถือ ผู้คนตื่นแต่เช้า มีรถสัญจรไม่ขาดสาย ริมถนนมีพระภิกษุสงฆ์เดินแถวบิณฑบาตเป็นสายยาวเหยียด นับว่าเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่ง

พี่คนขับรถขับมาถึงเขตอุทยานประวัติศาสตร์ฯ เสียค่าเข้าชมบริเวณป้อมข้างประตู แล้วแล่นเข้าจอดยังลานรถอันกว้างขวาง พจน์ก้มมองนาฬิกาข้อมือ เป็นเวลาแปดโมงพอดี เขาถอดเสื้อกันหนาวหนังสีน้ำตาลออก ร้องปลุกไอ้นาย มันเริ่มตื่นด้วยดวงตาสะลึมสะลือ

หลังจากนั้นจึงบอกให้พีธนะเปิดประตู ก่อนทุกคนจะทยอยลงจากรถเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าซึ่งไม่อาจหาได้ในกรุงเทพมหานคร ธนพลและภพดนัยจอดรถยนต์อยู่ใกล้เคียงกัน ทันทีที่ทุกคนลงมาจากรถแล้ว ศาสตราจารย์วิชัยจึงเดินนำไปข้างหน้า พจน์พยายามวิ่งตาม

“คุณปู่มองหาอะไรอยู่หรือครับ” พจน์ถามพลางมองรอบบริเวณสลัวลางเพราะหมอกมัวขาว แกล้งทำเป็นไม่สนใจเสียงร้องเรียกของไอ้พีทและไอ้ภาม น้องน้ำใช้ความตัวเล็กของมันเล็ดรอดมาเกาะแขนเกาะขาพจน์ได้ทันท่วงที

รูปปั้นปฐมบรมกษัตริย์ราชวงศ์อู่ทอง ผู้ก่อตั้งกรุงศรีอยุธยายืนผงาดผุดเด่นอยู่บนแท่นสูง แวดล้อมด้วยกลุ่มหมอกสีขาวราวกับมีชีวิต พจน์ยกมือไหว้ตามคุณปู่และทุกคนก็ทำแบบเดียวกัน ศาสตราจารย์วิชัยหยุดพินิจรูปปั้นอนุสาวรีย์อยู่ชั่วครู่ เริ่มมีนักท่องเที่ยวทยอยมาเดินชมหนาตามากขึ้น พวกเพื่อนของพจน์ใช้กล้องถ่ายรูปประจำตัวถ่ายเก็บบรรยากาศโดยรอบ

“ไม่มีอะไร เดินเที่ยวเล่นกันตามอัธยาศัยแล้วกัน พ่อดนัยช่วยดูเด็กๆด้วย พ่อกับชาญณรงค์จะเดินไปทางนั้น” ศาสตราจารย์วิชัยฝากคำสั่งสู่บุตรชายคนโต แล้วผละจากสู่ทิศทางซึ่งท่านชี้ เป็นกลุ่มเจดีย์ใหญ่สามองค์ของวัดพระศรีสรรเพชญ์
 
“ฝากดูคุณพ่อด้วยนะครับ คุณชาญณรงค์” ภพดนัยขมวดคิ้วให้ผู้ช่วยหนุ่ม ชาญณรงค์ยิ้มกว้างพยักหน้าตอบกลับ

“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ คุณภพดนัย ผมจะดูท่านเอง วางใจได้”

“ผมขอไปด้วยครับ” พจน์อยากหาโอกาสแจ้งภัยให้คุณปู่ทราบ แต่ดูเหมือนท่านไม่ได้ยินคำขอของหลานชาย เดินหายเข้าไปในกลุ่มหมอกสีขาวเสียแล้ว

“เราไปไหว้พระในวิหารมงคลบพิตรกันก่อนไหม ตามโปรแกรมเที่ยวที่เขียนไว้น่าจะเริ่มจากไหว้พระทำบุญจากจุดนี้ก่อนนะ” ภพดนัยลูบไหล่ปลอบพจน์ ดาวหยิบเอกสารนำเที่ยวของบริษัททัวร์เพื่อนของคุณพ่อออกมาแจกให้ทุกคน

“ไปกันเถอะครับ” ธนพลโอบเอวสุนิสาแฟนสาวซึ่งแต่งตัวงดงามประหนึ่งหลุดมาจากหนังสือแฟชั่น สวมหมวกปีกกว้างราวกับดารา เดินนำสู่ทิศทางของวิหารมงคลบพิตร พวกเพื่อนๆของพจน์จ้องมองพี่สุนิสาไม่วางตา จนตนต้องกระแอมเสียงเบา พวกมันจึงหลุดออกมาจากภวังค์ ทำเป็นชี้มือชี้ไม้ถ่ายรูปกลบเกลื่อน คุณชายเปรมณัฐสวมแว่นเรย์แบน มีน้องแพรวเกาะแขนเหมือนคนตาบอดหลงทาง ยืนมองกลุ่มเพื่อนอยู่ห่างๆ เบื้องหลังแว่นกันแดดนั้นพจน์ไม่รู้ว่ามันมองสิ่งใดแต่ก็ทำให้พจน์ต้องหลบพินิจดูสิ่งอื่น

ระหว่างภพดนัยกำลังกวาดต้อนเด็กวัยรุนทั้งสิบสี่คนให้ขยับเดินตามธนพลและสุนิสา ก็มีเสียงหนึ่งร้องทักมาจากเบื้องหลัง

“นายนี่มันน่าผิดหวังจริงๆเลยนะ ดนัย”

น้ำเสียงทุ้มเอ่ยปากทัก ทุกคนหันกลับไปมองตามคำร้อง ปรากฏเป็นชายหนุ่มรูปลักษณ์สูงสง่า ดูภูมิฐาน แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพงบ่งแสดงเป็นคนมีฐานะ พลางถอดแว่นกันแดดออก เผยให้เห็นใบหน้าเข้ม หล่อคมราวกับพระเอกละคร แต่รอยยิ้มเสแสร้งแกล้งทำฉายชัด ดวงตาสีดำส่องประกายกล้า คล้องคอด้วยกล้องถ่ายรูปยี่ห้อดัง ภพดนัยขยับแว่นสายตาเหลียวสังเกต แล้วก็อ้าปากค้างชั่วประเดี๋ยวก่อนจะละล่ำละลักเอ่ยทักเสียงเบา

“ธนชัย!”

“ตกใจงั้นหรือที่เห็นเรา” หนุ่มวัยกลางคนคะเนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับภพดนัยย้อนคำ
 
“นายไม่น่าจะรู้นี่ว่าเรามาอยุธยา” ภพดนัยเดินเข้าหาอีกฝ่าย พ่อของพจน์สูงเพียงแค่ปลายคางของคนชื่อธนชัยเท่านั้น เพื่อนพจน์ต่างสงบคำมองดูแขกผู้มาเยือนโดยพร้อมเพรียงกัน

“เป็นนักข่าวก็ต้องมีหูตาว่องไวเสมอ นายลืมไปแล้วงั้นหรือ” ธนชัยเอื้อมมือสอดเข้ากระเป๋ากางเกงดูอารมณ์ดีเมื่อเห็นภพดนัยหน้าขึ้นสี

“คุณพ่อท่านไม่มีทางให้นายสัมภาษณ์หรอก กลับไปเถอะ เราอยากใช้เวลาส่วนตัวกับครอบครัว”

“นายนี่มันเป็นลูกอกตัญญูจริงๆเลยนะ” คำพูดประโยคเดิมส่งผลให้ภพดนัยหน้าซีดเผือดรวดเร็ว ถ้อยคำที่คิดไว้ว่าจะตอบโต้อีกฝ่ายก็จุกอยู่บริเวณลำคอ อัดอั้นจนพาลให้รู้สึกน้ำตาก่ออยู่ริมขอบ

“ถ้านายช่วยเราให้ได้ข่าวน้ำท่วมโลกจากปากของศาสตราจารย์วิชัย เราจะคิดเรื่องที่นายเคยขอร้อง” ธนชัยเขม้นมองสีหน้าโศกของภพดนัยด้วยดวงตาแข็งกร้าว

“มะ...ไม่ จำเป็น” ภพดนัยปฏิเสธเสียงสั่น พจน์เห็นทีท่าไม่ดีเหมือนบิดาของตนกำลังถูกอีกฝ่ายข่มขู่ทำร้ายจิตใจจึงเข้าประชิดข้างกายแล้วจับมือภพดนัยไว้แน่น ยืนจ้องนักข่าวธนชัยด้วยสีหน้าท้าทาย

“นี่ลูกชายสินะ” ชายหนุ่มตัวสูงแสยะยิ้มเสแสร้ง “ลูกชายที่อยู่ๆก็เกิดมาโดยที่ไม่มี....”

ยังไม่ทันธนชัยจะกล่าวจบประโยค ภพดนัยก็ซัดหมัดขวาเข้าใส่มุมปากของอีกฝ่ายเต็มแรงจนนักข่าวตัวสูงเซถลา ปรากฏรอยเลือดซึมเหนือริมฝีปาก

“ถึงเราจะเคยเป็นเพื่อนรักกัน แต่นายไม่มีสิทธิ์จะพูดแบบนั้นต่อหน้าเด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยสักนิด”

พจน์ไม่เคยเห็นบิดาของตนโมโหโกรธเกรี้ยวเท่านี้มาก่อน แล้วประโยคที่ชายหนุ่มเจ้าของส่วนสูงกว่าร้อยเก้าสิบเมตรเผลอกล่าวออกมานั้น หมายความว่าอย่างไร


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3395385#msg3395385)

_____________________________

ภยันตราย : สิ่งที่อาจทำให้ตายหรือบาดเจ็บได้
สุดโต่ง : ไกลมาก
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๔ เพื่อนรักทาสภักดี ๕๐% (๐๑/๐๖/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 04-06-2016 12:48:21
มีป่มมาให้ปวดหัวอีกแหละ  รู้สึกอุปสรรคนายเอกเราจะเยอะขึ้นนะ  อืมตัวจุดฉนวนรึเปล่าเนี้ย  นายเอกเราไม่ใช่ลูกแท้ๆงั้นหรอ แล้วทำไมพ่อนายเอกต้องกลัวเพื่อนด้วยล่ะ  หรือเคยมีความหลังกันนะ  สู้ๆคนแต่ง
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๔ เพื่อนรักทาสภักดี ๑๐๐% (๐๖/๐๖/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 06-06-2016 09:34:17
[ต่อ]


เด็กนักเรียนสะพายกระเป๋าทัศนศึกษาเดินเรียงแถวอย่างระเบียบเรียบร้อย ส่งเสียงจ้อกแจ้กเกรียวกราว กว่าพจน์และทุกคนจะเบียดแทรกกลุ่มนักเรียนตัวน้อยเข้ากราบนมัสการพระมงคลบพิตรได้ ทำเอาเหนื่อยพอสมควร
 
“พระมงคลบพิตรเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่สูงเกือบจรดเพดานวิหาร ผิวพระพุทธรูปสวยงามเปล่งปลั่งด้วยศิลปกรรมอันงดงาม ฉาบด้วยสีทอง วิหารหลังนี้ปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่ จึงยังคงดูสวยงามแตกต่างจากโบราณสถานส่วนอื่นที่ชำรุดทรุดโทรม พระพุทธรูปองค์นี้สร้างด้วยสัมฤทธิ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นค่ะ”

ดาราอธิบายข้อมูลซึ่งปรากฏอยู่ในแผ่นพับโปรแกรมนำเที่ยว พจน์ฟังบ้างไม่ได้ฟังบ้าง เพราะใจส่วนหนึ่งนึกห่วงภพดนัยผู้บิดาไม่ได้ ท่าทีที่พยายามทำตัวให้เป็นปกติแต่แววตาหลังกรอบแว่นสำแดงชัดแจ้งว่าครุ่นคิดปัญหาหนักอกอยู่ หลังจากท่านจัดการชกหมัดใส่หน้าอดีตเพื่อนรักตัวสูงแล้ว ก็คว้าไหล่พจน์เดินนำออกมาจากที่เกิดเหตุโดยเร็ว ไม่หันกลับไปมองสักนิดว่านักข่าวชายคนนั้นจะเป็นตายร้ายดียังไง
 
“เอาละ งั้นเราไปต่อที่วัดพระศรีสรรเพชญกันเถอะ” ภพดนัยแจ้งบอกกล่าว

“พ่อมึงไม่เป็นอะไรแน่นะ กูเห็นตาแดงๆ” ชลนธีเขย่งเท้ากระซิบอุบอิบใส่หูพจน์ ทำหน้าทำตาโตผิดปกติ

“อือ”
 
“น้องพจน์ กูอยากถ่ายรูปคู่กับมึงหน้าวิหารว่ะ ไอ้น้ำถ่ายให้กูที” ภามภพยัดเยียดโทรศัพท์ใส่มือน้องน้ำแกมบังคับ แล้วโอบไหล่พจน์ทันทีด้วยกลัวเด็กหนุ่มจะหนีเช่นก่อนหน้า ไอ้น้ำทำหน้าไม่พอใจแต่ก็ถ่ายรูปให้โดยแทบไม่ได้นับให้สัญญาณถ่ายภาพ เขาอยากจะหัวเราะแต่ก็กลั้นขำไว้ รู้สึกตัวอีกทีภพดนัยก็เดินเลยไปทางแนวกำแพงแก้วแล้ว พจน์พุ่งตัวตาม
 
ภาพขององค์พระมหาเจดีย์ใหญ่สามองค์เรียงกันอยู่ตรงหน้า ซากปรักหักพังของโบราณสถานวางกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดอย่างเป็นระเบียบ นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติหลั่งไหลชื่นชมสถาปัตยกรรมเมื่ออดีตจำนวนมาก ภพดนัยและดาราเดินนำอยู่เบื้องหน้าไม่ห่างนัก กลุ่มเพื่อนของพจน์เกาะกลุ่มติดหน้าตามหลัง ภามภพและพีธนะพยายามประกบพจน์แจเป็นเงาตามตัว  โดยมีน้องน้ำเป็นปราการสำคัญ เขาต้องขอบใจมันที่ทำให้เจ้ายักษ์สองตนไม่สามารถประชิดตัวพจน์ได้มากกว่านี้ ส่วนบุคคลรั้งท้ายขบวนนั้นเป็นนิธิ มันเดินเตร่ล้าหลังเหมือนไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับพวกเขา พจน์เหลียวมองผ่านคู่รักปาล์มแพรวด้วยสายตาเย็นชา จึงเห็นว่าเจ้านั่นสาวเท้าจนมาถึงพจน์ในที่สุด

“ไอ้พจน์ กูขอแยกตรงนี้” ไอ้กันส่งสายตาดุประจำตัวพร้อมบอก

พจน์หยุดเดิน ไอ้ต่อ ไอ้โบท ไอ้กี รีบเฮละโลยกพวกมาขวางช่องว่างระหว่างพจน์กับนิธิโดยเร็ว ส่วนคุณเอกชัย คุณพงศกร คุณนรินทร์ และคุณจงรักษ์ แปรขบวนโอบกระชับพื้นที่ล้อมไว้

“ถ้ามึงคิดจะ...”

“กูมาบอกมึงแค่นี้แหละ”

กันชำแรกแทรกตัวผ่านกำแพงมนุษย์ ชิงสั่งลาก่อนไอ้กีจะกล่าวจบประโยคทำให้คุณชายกีรติหน้าเหวอเป็นชั่วครู่ ดวงตาดุอ้อยอิ่งมองพจน์อยู่ขณะหนึ่ง ไม่สนสายตาเป็นเดือดเป็นแค้นของหมู่เพื่อนพจน์แม้แต่น้อย ไอ้คนลึกลับฝ่าดงแข้งแล้วเสร็จก็หันหลังก้าวเดินผละจาก

“เดี๋ยว” ทั้งที่พจน์โกรธแสนโกรธในตัวคนคนนี้ และลั่นวาจาแล้วว่าจะไม่สนทนาต่อกันอีก แต่เพราะแววตาและความรู้สึกเป็นห่วงก่อเกิดท่วมท้นจนทำลายกำแพงตั้งใจลงราบคาบ

นิธิยืนนิ่งเมื่อถูกร้องท้วง ขยับหันหน้าเรียบเฉยกลับมา

“มึงจะไปไหน”

“กูต้องไปทำธุระ...แถวนี้ ขอบใจที่ให้ติดรถมาด้วย”

“ไอ้พจน์ ปล่อยมันไปเถอะ กูว่าเรารีบเดินต่อดีกว่า” วีระภพพูดดังกว่าปกติ

“แล้วมึงจะกลับมาไหม” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องอยากรู้ถึงขนาดนั้น

นิธิยกยิ้มมุมปากชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยคำหนึ่งที่ทำให้ไอ้พีทถึงกับหน้าตึงขึ้นมาทันที

“ถ้ามึงพูดมาคำเดียวว่าไม่อยากให้กูไป กูจะอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหน”

พจน์รู้สึกผิดเหลือเกินที่กล่าวผลักไสมันเมื่อคืน และตอนนี้คำพูดของพจน์คงกลายเป็นอาวุธทำร้ายจิตใจคนคนนี้อยู่
 
“ถ้ามึงเสร็จธุระแล้ว จะไปนอนที่ไหนวะ” พจน์พยายามลืมความเจ็บปวดจากคำโกหกของไอ้กัน “คือ...ถ้ามึงไม่มีที่นอนคืนนี้ กลับมาหากูแล้วกัน”
   
เด็กหนุ่มร่างผอมสูงยกยิ้มอีกครั้งแล้วพยักหน้าเข้าใจ ลัดเลาะกลืนหายลับกลับฝูงชนนักท่องเที่ยว

“มึงน่าจะปล่อยมันไป ทำไมยังชวนกลับมานอนด้วยอีกวะ” พอนิธิคล้อยหลัง ไอ้โบทก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง

“เอาน่า มึงก็เห็นว่ามันมาตัวคนเดียว แล้วอีกอย่างมันก็เป็นเพื่อนร่วมห้องเราด้วย อะไรที่ช่วยเหลือกันได้ก็น่าจะช่วย” บ่ายเบี่ยงหน้ายิ้ม

“แต่มันเคยทำร้ายมึงนะ” น้องน้ำตะโกนเท้าความ ตีโพยตีพายเป็นเดือดเป็นแค้นจนดวงตาโตยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกจนพจน์หลุดขำ “ไม่ตลกนะเว้ยไอ้พจน์”

“ไปเถอะ พ่อกูรออยู่นั่น” พจน์คิดว่าตัดสินใจถูกต้องแล้ว ความรู้สึกเบี้องลึกบอกว่า ไอ้กันคงมีเหตุผลของมันที่ไม่สามารถพูดความจริงทั้งหมด

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าพจน์” ภพดนัยซัก เมื่อเห็นน้องน้ำบ่นเป็นหมีกินผึ้ง
 
“เปล่าครับ พอดีเพื่อนคนหนึ่ง กัน น่ะครับ จะขอตัวไปทำธุระแถวนี้ เดี๋ยวตอนเย็นจะตามไปสบทบที่พักค้างแรม” พจน์อธิบาย “แล้วคุณปู่อยู่แถวนี้หรือเปล่าครับ เห็นท่านบอกว่ามาบริเวณนี้”

“นั่นน่ะสิ เอ...นั่นไง คุณพ่อครับ คุณพ่อ” ภพดนัยโบกมือเป็นสัญญาณให้ศาสตราจารย์วิชัยและชาญณรงค์ที่ด้อมๆมองๆอยู่บริเวณเจดีย์สามองค์ เมื่อคนทั้งคู่เห็นกลุ่มสมาชิกครอบครัวก็ผละเดินมาหาหน้าเคร่งเครียดกว่าปกติ

“หาอะไรอยู่หรือครับ คุณพ่อ” ธนพลถามทันทีเมื่อท่านมาถึง “เหตุผลที่คุณพ่อต้องการมาอยุธยาคือสิ่งที่ตามหาอยู่ใช่ไหมครับ คำตอบของคำถามที่ว่าทำไมผมถึงเจ็บป่วยสาหัสแบบนั้น”

ศาสตราจารย์วิชัยเหลียวมองลูกชายคนเล็กด้วยใบหน้าบึ้งตึง ชาญณรงค์ยืนสงบอยู่ด้านหลัง

“พูดอะไรแบบนั้นคะ พล เรื่องก็ผ่านไปแล้วถือว่าฟาดเคราะห์ไปเถอะ” พี่สุนิสาร้องท้วง

“ไม่มีอะไรอย่างที่แกคิด” คุณปู่ตัดจบความสงสัยทั้งมวล

“ขอโทษนะครับ ศาสตราจารย์วิชัย กระผมธนชัย อมรวิวัฒน์ นักข่าวจากสำนักข่าว...”

“อ้าว พ่อชัย นี่เอง” ชายหนุ่มตัวสูงชะงักงันยังไม่ทันกล่าวแนะนำตัวจบก็ถูกคุณปู่ทักกลับรวดเร็ว ภพดนัยขยับยืนเคียงข้างศาสตราจารย์ “ไม่เจอกันเสียนานเลยนะ สบายดีหรือ”

“คะ...ครับ ผมสบายดี เอ่อ ผมอยากจะสัมภาษณ์ท่านเรื่องน้ำ...”

“ไม่เห็นมาเยี่ยมลุงตั้งนาน นึกว่าได้ดิบได้ดีจนลืมคนบ้านเทพวิมานเสียแล้ว ตำแหน่งหน้าที่การงานคงเจริญก้าวหน้ากว่าแต่ก่อนแล้วนะ พ่อดนัยไม่เคยพูดถึงเราเลย เมื่อก่อนเข้านอกออกในบ้านลุงบ่อยจนนึกว่ามีลูกชายสามคนเสียอีก ไม่นึกว่าจะได้เจออีกทีที่นี่นะ” ศาสตราจารย์วิชัยตบไหล่ธนชัยทักทาย “แล้วอยู่ๆทำไมถึงหายไปแบบนั้นละ ฮืม แม่แจ่มถามหาไม่เว้นวันช่วงสองสามเดือนแรก เธอว่าอดคิดถึงหน้าพ่อชัยไม่ได้ ขนมทองหยิบทองหยอดของโปรดของพ่อชัยก็ขายไม่ออกเลย เห็นขนมชนิดนี้ทีไรก็พาลน้ำตาจะไหลเพราะใจก็หวนนึกเห็นพ่อชัยอยู่ร่ำไป”

“เหรอครับ ผมฝากขอโทษป้าแจ่มด้วย” ใบหน้ามั่นใจของธนชัยปรับเป็นซีดสลดทันที

“ผิดใจอะไรกับพ่อดนัยหรือเปล่า หลายปีมานี้ไม่เห็นหน้าค่าตาเลย เคยเป็นเพื่อนรักกันมาตลอดนี่นา”

“ไม่มีอะไรครับคุณพ่อ” ภพดนัยผลีผลามปฏิเสธทันที

“หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกันเถิด คนเราเกิดมามีอายุไขเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้” ศาสตราจารย์วิชัยชี้แนะราวกับไม่ได้ยินเสียงอุทธรณ์ของบุตรชายคนโต “วันหนึ่งอาจจากกันอย่างปัจจุบันทันด่วน ไม่ทันได้ร่ำลา แล้วจะมานั่งเสียใจในภายหลังก็ไม่อาจยื้อเวลาหวนกลับมาได้อีก”

“ผม...”

“มาเที่ยวอยุธยาเหมือนกันสินะ พอดีลุงก็มาพักผ่อนเหมือนกัน พักที่ไหนล่ะ พ่อ มาค้างด้วยกันสิคืนนี้ เห็นพ่อดนัยได้ทุนจากบริษัททัวร์มาให้สำรวจเส้นทางท่องเที่ยว เรื่องเงินทองๆนี่ไม่ต้องลำบากเลยสักแดงเดียว” คุณปู่หัวเราะเสียงแห้ง

“เรื่องน้ำท่วมโลก”

“ไม่เหมาะกระมังที่จะพูดเรื่องนี้ท่ามกลางนักท่องเที่ยวมากหลาย” คุณปู่ตอบแบ่งรับแบ่งสู้  “อารมณ์สนุกเมื่อได้ชื่นชมโบราณสถานคงจะลดทอนลงมากหากลุงเอ่ยเรื่องนั้น ไปเถอะ ไปเดินเป็นเพื่อนลุง อยากได้ช่างกล้องถ่ายภาพอยู่เหมือนกัน”

“แต่คุณพ่อครับ” คำทักท้วงของภพดนัยเสมือนกลายเป็นสายลมพัดผ่าน เมื่อความตั้งใจของผู้เป็นบิดากล่าวเป็นคำชัดเจนแล้ว ก็ไม่อาจมีใครฝืนขัดได้ สีหน้าไม่เต็มใจบ่งแสดงชัดว่าไม่อยากให้นักข่าวธนชัยร่วมเดินทางด้วยปรากฏเป็นคิ้วขมวดมุ่น

สักพักหนึ่งท้องฟ้าแจ่มใสปรากฏเมฆหนาเคลื่อนเข้าปกคลุมทั่วบริเวณ กลุ่มเมฆดำทะมึนมาพร้อมลมพายุซึ่งในตอนแรกพัดแต่เพียงเบาบาง แต่บัดนี้เริ่มโหมแรงมากขึ้นทุกขณะ ภพดนัยเห็นสภาพอากาศแปรปรวนรวดเร็วถึงเพียงนั้นจึงร้องบอกทุกคนให้หาที่หลบฝนและแรงลมพายุ หวั่นเกรงกิ่งไม้จะแตกหักเป็นอันตรายได้ นักท่องเที่ยวทุกคนต่างทยอยเดินออกมารวมตัวกันยังลานหน้าวิหารมงคลบพิตร อาศัยโบสถ์และอาคารโดยรอบเป็นแหล่งกำบังแรงลม และคาดว่าอีกไม่กี่นาทีนี้หยาดฝนคงกระหน่ำลงมาในไม่ช้า

กลุ่มของพจน์เข้าหลบในวิหารพระมงคลบพิตรเช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวคนอื่น เหลียวมองสภาพอากาศมืดทึบขมุกขมัวฝนฟ้าคะนองลมโหมกรรโชกแรงแล้วนึกหวั่นใจเป็นห่วงไอ้กันไม่ได้ ตอนนี้มันจะไปหลบอยู่ที่ไหน รวมทั้งเจ้านั่นอีกคน...มาตะ

****************************************

ซากโบราณสถานนอกเกาะเมืองอยุธยาแห่งหนึ่งปรากฏเหลือเพียงเสาก่ออิฐถือปูนของสิ่งที่เคยเป็นพระอุโบสถ แลปรากฏเจดีย์ทรงระฆังคว่ำย่อมุมไม้สิบสองเป็นฉากเบื้องหน้า บริเวณโดยรอบรายล้อมด้วยกลุ่มโพธิ์ยืนต้นขนาดใหญ่หลายสิบเป็นฉากเบื้องหลัง ณ ลานศิลาหน้าเศษซากประตูวิหาร บังเกิดกลุ่มหมอกเงาดำล่วงหล่นจากท้องฟ้าดำมืด มีลมพัดโหมรุนแรง กลุ่มเงานั้นก่อตัวเป็นรูปร่างมนุษย์สูงใหญ่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำปกปิดใบหน้าแลร่างกาย เสียงฟ้าร้องคำรนคำรามราวกับเจ็บปวดดังสะท้อนก้อง เช่นเดียวกับแสงฟ้าแลบแปลบปลาบเป็นจังหวะสอดคล้องกัน ลมวายุรุนแรงนั้นหาได้ทำอันตรายแก่ผืนผ้าดำนั้นไม่ ราวกับรอบกายของคนผู้นั้นมีอำนาจลึกลับปกป้องอยู่ สภาพอากาศมืดมัวราวกับราตรีกาลมิปาน ลมหายใจพรั่งพรูจากร่างใต้ผ้าคลุมเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ราวกับรอคอยบางสิ่งที่จะไม่มีวันมาถึง

ฉับพลันบังเกิดแสงอสุนีบาตผ่าลงเบื้องหน้าร่างผ้าคลุมดำนั้น สิ้นรังสีวาบกลับกลายเป็นปีศาจร่างกายสีเขียวทุกสัดส่วน นุ่งห่มภัตราภรณ์สีกาฬ ประดับตกแต่งด้วยอัญมณีนิล ดวงตาเหลืองส่องประกายวาบ เขี้ยวสีขาวโค้งงอผุดจากมุมปากทั้งสอง ริมฝีปากฉาบสีดำมะเมื่อม พร้อมขีดขอบรอบดวงตาขับให้น่าเกรงขาม เล็บมือสีดำยาวขยับพนมก้มลงกราบแนบพื้นศิลา ต่อหน้าร่างใต้ผ้าคลุม

“ถวายความเคารพ องค์จอมมาร” สุรเสียงฮึกเหิมกล่าวคารวการ

“ดียิ่ง ทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของข้า” ถ้อยคำน่าขนลุกดำรัสตอบ พลางเอื้อมมือซีดขาวไว้เล็บยาวสีดำสนิทลูบโลมศีรษะไว้ผมมุ่นมวย
เงามืดโถมทับสู่ทุกบริเวณโดยรอบ

“ข้าฟื้นคืนชีพขึ้นอีกคราในร่างนี้” จอมมารเจราจาด้วยเสียงแผ่วแต่ทรงพลัง มันรับรู้ถึงโทสะที่พุ่งสูงขึ้นและจะไม่มีวันสิ้นสุด

“ข้าพระองค์ยินดียิ่ง วิถีอมตะซึ่งท่านครอง จักมิมีผู้ใดอาจเอื้อมทำสำเร็จ” ปีศาจผิวกายเขียวเงยหน้าอยู่ในท่าชันเข่าตอบ

“ดูก่อน อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายของข้า” จอมปีศาจท้วงแย้ง “หากเป็นเมื่อกาลโพ้นข้าจักมิหลงเหลือความสงสัยในถ้อยความของเจ้าแม้เพียงนิด ทว่าแต่...เพลานี้ มีบางสิ่งก่อเกิดเป็นเสี้ยนหนามทิ่มแทงใจข้าเหลือประมาณ อำนาจสูงสุดที่ข้าเฝ้าตามหากลับกลายมาอยู่ในมือมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งสามารถสกัดเส้นทางวิถีอมตะของข้าให้สั้นลงทุกขณะจิต”

“มันผู้ใดอาจหาญจงแจ้งนามแก่ข้าพระองค์บัดเดี๋ยวนี้ แลความตายจักเป็นสิ่งสุดท้ายที่มันพบเห็น” อัครมหาเสนาบดีปีศาจลั่นสัตย์วาจา กำมือแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน

“บัดนี้มิอาจระบุตัวตนได้แน่ชัด แลนั่นจึ่งเป็นเหตุให้เราสองต่างมายืนคอยอยู่ ณ ที่แห่งนี้ นั่นก็เพราะว่าคำตอบของคำถามของเจ้านั้นจักมีผู้นำมาให้ในมิช้า”

“นอกกว่าข้าพระองค์ แลสหายผู้มาก่อนล่วงแล้ว ยังจักมีผู้ใดรับใช้องค์จอมมารอีกกระนั้น”

“เจ้าจะเห็นด้วยตาตนเองในอีกมิกี่เพลานี้”

ลมวายุโหมพัดรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ฟ้าก็ร้องพร้อมแสงเบื้องบนฉายวับแวมสลับกัน แหละเบื้องหลังเจดีย์ทรุดโทรมนั้น ปรากฏเงาคนผู้หนึ่งขยับไหว พร้อมก้าวฝีเท้าออกมาสู่ลานหน้าโบสถ์ในทันที ร่างนั้นทรุดกายลงถัดจากอัครเสนาบดีปีศาจ ก้มลงกราบหน้าผากแนบพื้นแล้วเงยขึ้น แสงฟ้าแลบต้องใบหน้าผอมเรียวแหลม ดวงตาคมดุดุจเหยี่ยวเพ่งมองนัยนาสีแดงภายใต้เงาผ้าคลุม

จอมปีศาจกรีดเสียงหัวเราะสุดพรรณนาเปรมปรีดิ์ ดุจสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นมหรสพต้องตาต้องใจสุดจะกล่าว เด็กหนุ่มในชุดกางเกงยีนส์สวมเสื้อยืดสีดำชันเข่า แล้วก้มหน้าพูด

“องค์จอมมาร”

มันหัวเราะในลำคออีกครั้งอย่างพึงใจ

“ดี...ดียิ่ง กาวี ทาสผู้ภักดีของข้า นามของ ‘มัน’ ผู้นั้น นามของผู้ที่ครอบครองสิ่งล้ำค่าสูงสุด จงบอกข้ามาบัดเดี๋ยวนี้ แลข้าจะทำลายเกราะมนตราทั้งหมดที่คุ้มกัน แหละช่วงชิงสิ่งซึ่งมันเป็นของของข้ามานับแต่แรก
....ผืนพสุธามหาอาณาจักรอโยธยา จักเป็นหลุมฝังศพไร้วิญญาณของพวกมันทุกตัวคน ความพินาศย่อยยับสิ้นวงศ์ตระกูลนี้จะเตือนมหาเทพได้ว่า ทรงดำริผิดพลาดแล้วที่กล้าท้าทายอำนาจที่ข้ามี”



100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3398246#msg3398246)

______________________________

สัมฤทธิ์ : โลหะเจือ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยทองแดงกับดีบุก
เงาตามตัว : ไปด้วยกันเสมอ
ฝ่าดงแข้ง : ฝ่ากลุ่มชายที่จะทำร้าย
บ่นเป็นหมีกินผึ้ง : บ่นพึมพำไม่หยุด
อสุนีบาต : ฟ้าผ่า
มหรสพ : การแสดงให้ชมเพื่อความบันเทิง

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๔ เพื่อนรักทาสภักดี ๑๐๐% (๐๖/๐๖/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 06-06-2016 12:43:10
 :hao4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๔ เพื่อนรักทาสภักดี ๑๐๐% (๐๖/๐๖/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 09-06-2016 05:09:36
มีแต่คำถามลอยอยู่เต็มไปหมด :katai5:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๔ เพื่อนรักทาสภักดี ๑๐๐% (๐๖/๐๖/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 09-06-2016 21:52:01
ปาดน้ำตา สนุกมากจนน้ำตาไหล
ชอบมาตะจังแต่ตอนล่าสุดมาตะออกมาแต่ชื่อ จอมมารยังมีบทมากกว่าเลย อ่านเรื่องนี้ไปก็ทวนหลายๆรอบ ยิ่งกาย์พ กลอง โครงทั้งหลายที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเรามา ก็ต้องขุดรากถอนโคนมารื้อเพื่ออ่านเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๕ มาตะวันพันชะตา ๕๐% (๑๐/๐๖/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 10-06-2016 10:23:05
บทที่ ๒๕


มาตะวันพันชะตา


   
“ผมขอเข้าไปนะครับ”

พจน์เคาะประตู ได้ยินเสียงภพดนัยตอบรับคำอนุญาตมาจากภายใน
 
เด็กหนุ่มหลีกหนีเกมส์หมุนขวดตอบคำถามสัปดนจากห้องพักกลุ่มเพื่อนโดยอาศัยข้ออ้างมาพบบิดาเป็นข้อใหญ่ใจความ ไอ้โบทเห็นว่าบิดาตนดูเครียดจริงดังว่า จึงยอมปล่อยตัวพจน์มาอย่างเสียไม่ได้
 
ตอนนี้พวกเขาเข้าพักรีสอร์ทเรือนไทยติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งหนึ่งด้านในเกาะเมืองอยุธยา ซึ่งภพดนัยเป็นผู้ติดต่อจองห้องพักไว้ก่อนหน้าแล้ว หลังพายุโหมกรรโชกแรงไม่มีทีท่าว่าจะหยุดโดยง่าย พ่อของพจน์จึงเสนอว่าควรย้ายมาหลบฝนยังที่พักก่อน ศาสตาจารย์วิชัยเห็นด้วย และท่านยังชวนนักข่าวธนชัยเข้าพักพร้อมพวกเราโดยไม่สนคำทัดทานของบุตรชายคนโตเลยแม้แต่น้อย นั่นคงเป็นสาเหตุหลักที่หลังจากรับประทานอาหารเย็น ณ ห้องอาหารของรีสอร์ทแล้ว ภพดนัยจึงปลีกตัวกลับมายังห้องของตนโดยเร็ว

“มีอะไรหรือเปล่า พจน์”

ภพดนัยผลัดเสื้อผ้าเดิมเป็นชุดเตรียมนอน ผุดลุกจากเก้าอี้ริมหน้าต่าง  บรรยากาศภายนอกมืดมัวเคล้าพายุฝนยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง
 
“คุณพ่อสบายดีนะครับ”

“สบายดีสิ เป็นอะไรน่ะเรา” ภพดนัยขยับแว่นปั้นรอยยิ้ม
 
“ถ้านักข่าวคนนั้น เอ่อ คุณธนชัย เพื่อนคุณพ่อนะครับ ถ้าเขาทำให้คุณพ่อไม่สบายใจ เราก็ทำเป็นไม่สนใจเขาดีกว่าไหมครับ” ผุดความคิดชั่วแล่นรีบเสนอโดยเร็ว

“มัน...ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก พจน์ ความจริง...” ชายหนุ่มถอนใจ “คือพ่อรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับ...คืนนั้น”

“คืนนั้น?” หย่อนตัวลงบนฟูกเตียงเคียงข้างบิดาหน้าสะสวย

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร”  รีบสะบัดมือปฏิเสธพัลวันจนก่อพิรุธ พจน์ไม่อยากเซ้าซี้ให้ท่านลำบากใจจึงเลือกสงบคำ ความเงียบเกิดอยู่ชั่วครู่

‘ทำไมคุณพ่อถึงต้องชกนักข่าวคนนั้นด้วยครับ เขาพูดบางอย่างเกี่ยวกับตัวผมใช่ไหม’

คำถามผุดหวางกลางใจแต่ไม่อาจหลุดซักไซ้ได้เมื่อเห็นรอยโศกจากดวงหน้าหวานสะดุดตา หยดน้ำระริกไหวเบื้องหลังแว่นของภพดนัยไม่อาจอำพรางได้อีกเมื่อสบมองบุตรชาย
 
“พ่อรักลูกนะ พจน์”
 
ประเดี๋ยวหนึ่งภพดนัยจึงคว้าตัวพจน์กอดกระหวัด เขาก็รักบิดาเช่นเดียวกัน ราวกับห้วงเวลาได้หยุดเดินขณะหนึ่ง นานแล้วที่พจน์ไม่ได้รู้สึกอบอุ่นด้วยอ้อมอกบิดา ทำให้ปัญหาค้างคาถาโถมเข้ามาในช่วงชีวิตนับตั้งแต่ตน ข้ามพิภพ ได้ดูกลายเป็นเศษผงเข้าตาไม่กี่ละออง
 
“งั้นผมขอนอนด้วยนะครับ” คืนนี้คงต้องปล่อยให้ไอ้น้ำนอนกับไอ้ภามและไอ้พีทไปคนเดียวเสียแล้ว

“ฮืม แล้วเพื่อนลูกล่ะ พจน์ ไปนอนกับเพื่อนเถอะ พ่อโอเค” ภพดนัยยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม

“ไม่ครับ คืนนี้ผมอยากอยู่กับคุณพ่อ” เด็กหนุ่มยืนกรานหนักแน่น

“เอางั้นก็ได้ พ่อเริ่มง่วงแล้วเหมือนกัน บรรยากาศกำลังเย็นสบายเลย” ภพดนัยตกปากรับคำ จัดแจงจัดที่ทางให้บุตรชาย ก่อนจะปิดไฟล้มตัวลงนอน พจน์ขยับกุมมือเรียวไว้แน่น ฟังเสียงลมหายใจของคนข้างกายเป็นจังหวะสม่ำเสมอแล้วผล่อยหลับตามโดยไม่รู้ตัว

เสียงนกเค้าแลเสียงน้ำไหลรินผ่านก้อนหินลำธารดังชัดเจนอยู่รอบอาณาบริเวณ พจน์ลืมตาเหลียวมองรุกขชาติคล้ายต้นตะเคียนผุดขึ้นก่อเป็นดงป่าสูงชะรูดใบรกครึ้ม บดบังท้องฟ้าแลแสงเดือนจนหายลับ ไม่ใกล้ไม่ไกลมีกองไฟก่อด้วยฟืนกองหนึ่งถูกจุดอยู่กลางลานโล่ง ม้าจำนวนสิบตัวถูกล่ามไว้กับโคนต้นไม้ ร่างกายของชายหนุ่มจำนวนแปดคนนอนหลับใหลอยู่บนใบไม้หญ้าแห้งปูทับด้วยผ้าอีกชั้นหนึ่ง กระจัดกระจายรายล้อมรอบกองเพลิง พจน์ขยับเท้าเดินเข้าหาเชื่องช้า เกิดนึกสงสัยว่าบัดนี้ตนข้ามพิภพมาอยู่ที่ไหน และกลุ่มคนเหล่านั้นมีใครที่รู้จักบ้าง

ระหว่างย่องเยื้องก้าวย่างอยู่นั้น ปรากฏมีมือปริศนาฉุดคว้าเอวแล้วปิดปากพจน์ไม่ให้ส่งเสียง เขาดิ้นรนสุดแรงกำลังเท่าที่มี แต่บุคคลลึกลับเบื้องหลังสังเกตเห็นมัดกล้ามแขนใหญ่กว่าอุดมพละกำลังไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน มันลากพจน์ถอยหลังกลับคืนทางแนวพุ่มไม้ เสียงลำธารเริ่มชัดเจนมากขึ้นทุกขณะ

ในใจพจน์ไม่ได้ตระหนกเท่าใดนัก พะวงแต่ว่าเจ้าคนคนนี้อาจเป็นโจรผู้ร้ายหมายปองประสงค์ทรัพย์หรือชีวิตของกลุ่มคนรอบกองไฟ ซึ่งหนึ่งในนั้นคงมีมาตะนอนรวมอยู่ด้วยเป็นแน่ ระหว่างร่นถอยบังเอิญเจ้าคนตัวการเผลอไม่ระวังเกิดสะดุดก้อนหินเป็นจังหวะให้พจน์ใช้ข้อศอกสวนกลับใส่ลำตัวหนา เป็นช่องให้มือทั้งสองเผลอหลุดปล่อยทันที พจน์สะบัดตัวหุนหันประจันหน้ากำหมัดแน่นพร้อมสวนกลับ เจ้าโจรนุ่งห่มผ้าสีกรัก ไม่มีผ้าคล้องไหล่ ปิดพันใบหน้าด้วยผ้าสีเดียวกันเหลือเพียงดวงตาเข้ม เปลือยอกหนาอวดหุ่นได้รูปทรงพร้อมเหงื่อกาฬเกาะพราว เจ้านั่นหายใจหอบ กำดาบซึ่งห่อด้วยผ้าอีกชั้นไว้แน่น

“อย่าเข้ามานะเว้ย ไม่งั้นกูชกกลับไม่ออมมือแน่” ตั้งท่าพร้อมเตะต่อย ทั้งร้องขู่

ชั่วขณะความเงียบงันเข้าแทรก พจน์ลอบสังเกตเห็นเรือนกายผิวขาวรูปลักษณ์เคยคุ้น อีกทั้งส่วนสูงล้ำกว่าตัวไม่มาก เขม้นมองแววตาเข้มผสานลมหายใจถี่ระรัวจับจ้องโจ่งแจ้ง จึ่งทำให้พจน์ล่วงรู้ฐานะของเจ้าโจรตรงหน้านี้ไม่ผิดจากหยั่งคะเน คิดได้ดังนั้นก็รีบหุนหันผละหนี หมายใจกลับสู่ลานก่อกองฟืน  ยังไม่ทันก้าวเดินเกินกว่าสามครั้ง ชายผู้ปิดบังใบหน้าก็เอื้อมคว้าข้อมือดึงรั้งไว้
 
“เมื่อน้องท่านแจ้งแก่ใจแล้วว่าข้านี้คือผู้ใด ทั้งมามีอาการประหนึ่งมิอยากชายตาแลเช่นนั้น มาตะมีหรือจักทนฝืนยับยั้งชั่งใจห้ามมิให้เอื้อมมืออันต่ำช้าแตะสัมผัส อภัยเสียเถิด หากน้องท่านรังเกียจเดียดฉันท์ ด้วยใจหนึ่งอยากสบเห็นหน้าให้เต็มตา มิได้ประสงค์จักสร้างราคีเป็นรอยมัวหมอง โปรดอย่าเพ่อด่วนจากไปเลยเจ้า ก็แหละน้ำมือของไอ้มาตะผู้นี้หากเป็นเครื่องทรมานน้องท่านแล้ว ขอจงใช้น้ำใจพระแม่คงคา ชำระล้างเสียก่อนเถิด”

เพียงได้ยินสำเนียงคำต้นก็แน่แก่ใจว่า เจ้าของใบหน้าเบื้องหลังใต้ผ้าพันศีรษะนั้นคือผู้ใด มาตะปลดผ้าคล้องไหล่ออก เผยให้เห็นสีหน้าซูบลงทุกข์ตรมสุดจะกล่าว ทั้งคิ้วขมวดมุ่นชนกัน ทั้งแววตาเจ็บปวดรวดร้าวชัดแจ้ง พจน์เห็นเช่นนั้นจึงเลือกแลมองสิ่งอื่น จ้องสายน้ำแตกฟองกระทบโขดหินต้องแสงจันทร์เกิดประกายขาวชัดเจน มาตะค่อยผละปล่อยข้อมือพจน์เมื่อแน่แก่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ถอยหนีจาก

“ภัทรพจน์เอย มาตะนี้มิอาจขอให้ท่านอภัยในความผิดปิดบังความ อันก่อเป็นเหล็กหนามเสียดแทงใจท่านหนึ่ง แหละมิอาจปล่อยให้น้องท่านละจากไปโดยมิได้สนทนากันต่อกันอีกหนึ่ง ทั้งสองเหตุนี้ก่อเป็นการกระทำฉุดรั้งแตะต้องตัวให้มัวหมอง ความผิดก่อนหน้าแลหรือความผิดในปัจจุบันนี้ หากก่อสุมในอกท่านเกิดเป็นเพลิงพิโรธมากขึ้นฉันใด เบื้องในอกข้าก็ราวกับมีหนามยอกอกผุดทิ่มมากเท่าขนาดเพลิงฉันนั้น”

เจ้าหนุ่มกล่าวพลางก็ถอยห่างพจน์พลาง แสงเดือนฉายกระทบสัดส่วนล่ำสันเป็นมันวาวเพราะหยาดเหงื่อ มาตะไม่ได้แต่งตัวโอ่อ่าเช่นเคย อีกทั้งยังไร้เครื่องประดับมากราคา มีแต่เพียงผ้าสองผืนปกปิดกายาเท่านั้น กึ่งกลางหน้าผากไร้รอยเขียนสี ทำให้ดูเหมือนชาวบ้านชาวเมืองธรรมดาที่พจน์เคยเห็นแถวโรงสุราของนางแดง
 
ภัทรพจน์มัวแต่ลอบสังเกตลักษณะของมาตะจึงนิ่งเงียบไม่เอ่ยความใด เป็นเหตุให้อีกฝ่ายปริวิตกหนัก ตีขลุมลงข้างว่าชังตัวเหลือประมาณ ความมุมานะว่าจักนำคนรักมาสู่ความเข้าอกเข้าใจด้วยสติปัญญาตนนั้นก็ลดทอนลงตามลำดับ
 
“บัดนี้แม้แต่คำทักเพียงหนึ่งก็มิอาจเอ่ยเป็นคุณแก่มาตะผู้นี้แล้วกระนั้น ฤา น้องท่าน”

มาตะกำดาบพันผ้าไว้แน่น ข่มใจไม่อยากกระทำการด้านร้ายหักหาญน้ำใจให้ยินดีกับคำตัว ความคิดข่มเหงเพื่อให้ยอมความกำเนิดขึ้นชั่วครู่หนึ่ง แต่ถูกมาตะหักลงได้ หากตนทำการดื้อดึงมอบน้ำใจสู่ภัทรพจน์ระหว่างอีกฝ่ายมิสมยอมเฉกนั้น รังแต่จะเพิ่มรอยแผลมากกว่าเป็นผลดี ครุ่นคิดแล้วจนใจมิเห็นหนทางอื่นนอกจากอาศัยสำแดงความสวามิภักดิ์ด้านดีออกตีแผ่พิสูจน์ จึ่งยอบกายคุกเข่าตรงหน้าคนรัก

พจน์มัวแต่ตั้งข้อสังเกตรูปพรรณสัณฐานของมาตะพ่วงระลึกถึงคำสั่งของอาจารย์พราหมณ์แล้วก็ตระหนกขึ้นในใจ แน่แล้วว่ามาตะคงถูกส่งมาให้สืบข่าวราชภัยมืดจึงเข้าใจสภาพแวดล้อมป่าทึบและเหตุการณ์ตรงหน้าโดยตลอด ระหว่างนั้นมาตะคุกเข่าอยู่ไม่ล่วงรู้ท่าทีอีกฝ่าย พจน์กำลังเอ่ยวาจาห้ามปรามก็ถูกมาตะชิงพูดเสียก่อน

“ความผิดติดตัวมาตะนี้เป็นข้อฉกรรจ์สาหัสนัก ข้าประจักษ์ด้วยสติปัญญาเห็นว่า มิอาจกระทำสิ่งใดลบล้างรอยนี้ได้ นอกกว่าความอภัยอันอยู่ในกำมือน้องท่านเพียงเท่านั้น หากตราบาปนี้เกินกว่าน้องท่านจะยกทอนโดยมิคิดแค้นฝังใจแล้ว มิเห็นหนทางอื่น คือยินยอมพลีกายให้กระทำประทุษกรรมลงทัณฑ์ตามแต่ประสงค์เถิด หากความผิดมาตะถึงขั้นอุกฤษฏ์โทษ จงพิพากษาทุบตีให้ถึงขนาดอย่าได้ออมแรง” มาตะยืดอกตัวตั้งตรงแน่วแน่ ดวงตาจดจ้องใบหน้าภัทรพจน์ไม่ให้หลุดเลือน

“นายลุกขึ้นก่อน” พจน์เห็นท่าทีผสมถ้อยความแล้วอดใจอ่อนไม่ได้ แต่ยังหักล้างข้อแค้นในใจมิได้หมดก็เจรจายับยั้ง เสียงสายน้ำกระทบโขดหินดังซาบซ่าน ผสานเป็นท่วงทำนองของธรรมชาติดังแว่ว
 
“คำอภัยนั่นแล้วจึ่งสามารถปลดมหันตโทษ แลฉุดมาตะให้ยืนได้ดังเดิม น้องท่านกรุณาลงอาญาชำระความให้จงหนัก มาตะคนชั่วนี้สมควรเจ็บให้เท่ากับที่น้องท่านเจ็บทั้งกายแลใจเสมอกัน” มาตะยังคงยืนกรานหนักแน่นคงเดิม

“นายเคยบอกว่าจะไม่มีวันโกหกเรา พระราชบุตรบุญธรรม” พจน์ถอนหายใจ
 
“ได้โปรดอย่าเรียกด้วยฐานะนั้นเลยเจ้า ตรงเบื้องหน้านี้หามีพระราชบุตรใดนอกกว่ามาตะของท่านคนนี้เพียงผู้เดียว”
 
“เรื่องฐานะตำแหน่งพระราชบุตรนั้นเราเชื่อถือตามคำของอาจารย์พราหมณ์ แต่มีคำถามข้อหนึ่ง นายรู้มาก่อนหรือเปล่าว่า พระราชเทวีต้องการให้นายแต่งงานกับกฤษณา” ตัดสินใจถามทั้งกลัวคำตอบของอีกฝ่าย

มาตะหน้านิ่วหม่นหมองสบมองแต่ดวงหน้าภัทรพจน์แน่นิ่งอยู่เป็นครู่ แล้วว่า

“บุรุษเมื่อเติบใหญ่ถึงวัยรุ่นสะคราญเหมาะควรทั้งวัยวุฒิแลคุณวุฒิประกอบพร้อมสมบูรณ์แล้วนั้น มิพ้นผู้บิดามารดาจักประสงค์หมายตาหาคู่ครองคู่ชีวิตมาประดับเคียงข้างตามอุดมคติ ก็แหละมาตะเจริญวัยนับได้สิบเจ็ดขวบปี นับว่าครองตัวตามขนบประเพณีวิถีมนุษย์เทียบชั้นอยู่ในเกณฑ์ดั่งว่า ทั้งที่ตัวมิอยากประพฤติตามกฏประเพณีสืบทอด ก็มิอาจขัดความประสงค์ของผู้มีคุณยิ่งชีวิตตัวได้”

เพียงได้ยินน้ำใสใจจริงของมาตะแต่เท่านี้ คำประสงค์เหมือนผุดแทรกอยู่ในถ้อยความ บังเกิดเศร้าผิดหวังหน่วงอกทั้งที่คิดมาล่วงว่าจะรับมืออย่างไร อดกลั้นหลับตาระงับข่มใจมิให้แสดงอาการอื่นนอกกว่าความสงบนิ่ง

“เข้าใจแล้ว นายลุกขึ้นเถอะ” เอื้อนเอ่ยคำเสียงเบาบาง กำลังจะก้าวย่างผ่านมาตะตรงสู่ฝั่งริมลำธาร ก็ถูกฉวยมือไว้แน่น

“น้องท่านอย่าเพ่อด่วนสรุปความ คำเบื้องต้นทั้งนี้คือสิ่งที่ควรเป็นสำหรับวิถีบุรุษชาติเชื้ออาชาไนยทุกผู้ทุกนาม หากจะมีผิดต่างก็เฉพาะวิสัยตัวคนเป็นผู้ลิขิต น้องท่านยังจำความอย่างหนึ่งอันมาตะกล่าวก่อนหน้าได้ ฤา ไม่”

พจน์จ้องสายน้ำสาดละอองเย็นกระทบถึงเท้าแล้วส่ายหน้า ในหัวมีแต่ความผิดหวังซ้ำดังวนเวียน แต่ยกข้อที่ว่า คนเราเกิดมาจะไม่เคยทำความผิดเลยนั้นเป็นไปไม่ได้ พจน์เองก็เคยทำผิดพลาดมาบ้าง จึงพยายามมองข้ามข้อผิดหวังในตัวมาตะผ่านสายน้ำลำธารให้ช่วยพัดพาความทุกข์ในอกหลุดลอย

“ข้าฝันเห็นนัยน์ตาแลดวงหน้าน้องท่านมาตั้งแต่รู้ความ ทั้งยามตื่น ฤา ยามนอน น้องท่านเฝ้าวนเวียนอยู่ในห้วงคะนึงคิดทุกลมหายใจ จนมาตะยอมตกอยู่หลุมความรักมานับแต่นั้น อุทิศชีวิตและดวงใจเสมือนหนึ่งยกให้คนในความฝันเสียสิ้นแล้ว โดยมิอาจรู้ได้ว่า วันใดฝันนั้นจะเป็นความจริง ก็แหละบัดนี้ตัวตนน้องท่านกรุณาปรากฏอยู่เบื้องหน้าสมความปรารถนา สมมติดั่งมาตะพบอัญมณีมีค่าประมาณราคามิได้ครองอยู่ในกำมือ ต่อมามีผู้บอกว่า มีแก้วอีกอย่างเหมาะควรกว่าหมายให้มาตะเลือกถือไว้อีกสิ่งนั้น น้องท่านจงตรองเถิดว่า หว่างมณีมิอาจเปรียบราคาในกำมือที่เฝ้าฝันมาแต่จำความ แลแก้วอย่างหนึ่งอันพึงได้ยินในภายหลัง มาตะย่อมปลงใจเลือกสิ่งใด”

พจน์คิดตามก็ได้แต่นิ่งเงียบ มาตะสบช่องเห็นเป็นโอกาสจึงรีบสำทับว่า

“อีกประการหนึ่ง น้องท่านซักว่า ล่วงรู้พระประสงค์ในพระราชหฤทัยของพระราชเทวีมาก่อน ฤา ไม่ มาตะขอตอบว่าไม่ แต่ท่าทีแลถ้อยอัธยาศัยชักนำ แหละมักนัดแนะชะแม่กฤษณาชาววังมาพบปะหว่างเข้าเฝ้าทุกครั้งเป็นข้อตะขิดตะขวงใจ ครั้นบังเกิดขึ้นบ่อยครั้งจึ่งระแคะความนัยอันพระราชเทวีหมายใจอยู่ แต่พระนางมิได้ออกโอษฐ์ตรัสโดยซื่อ มาตะจึ่งมิอาจคิดได้ว่า เบื้องลึกในพระราชหฤทัยโดยแท้แล้วประสงค์สิ่งใด สำมะหามาตะนี้เป็นแต่ปุถุชนสามัญธรรมดา มิได้มีอิทธิฤทธิ์อ่านใจผู้ใดออก อาศัยสติปัญญาตัวกำกับกิริยามิให้สนิทสนมเกินกว่าพี่น้องสนทนา รักษาระยะห่างขอบเขตสุภาพใกล้ชิด ทั้งอยู่ต่อหน้าแลลับหลังคนทั้งปวง ใจบริสุทธิ์นั่นแล้วเป็นเครื่องพิสูจน์สัจจะความสามิภักดิ์สัตย์จริง แล้วมิหนำมาทราบในภายหลังจากพระมหาอุปราชซ้ำว่า พระนางเธอฯประสงค์สิ่งใดจึ่งคลายใจแลยันความบริสุทธิ์ว่า ตัวประพฤติมิได้เกินเลยจนผู้คนเอาไปติฉินนินทา อีกทั้งเป็นแต่ความประสงค์ของพระนางเจ้าท่านนั้น แต่หาได้เป็นความประสงค์ของมาตะไม่ คำตอบของมาตะนี้ต้องใจน้องท่านเพียงไร ฤา ก่อเกิดเป็นโทสะขุ่นแค้นขึ้นอีก วอนจงแจ้งเถิด ด้วยคำทั้งสิ้นคือความสัตย์จริงโดยแท้”

พจน์ลำดับเนื้อความแล้วบังเกิดเอนเอียงเข้าใจ แลคลายทุกข์ลงส่วนหนึ่ง หากจะว่ามาตะโกหกไม่ล่วงรู้มาก่อนก็พูดไม่ได้เต็มปาก แต่จะว่าไม่รู้เลยก็ไม่ใช่

มาตะยังคงคุกเข่ารอคำตอบของพจน์แน่วแน่ เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบแลใบหน้ารูปงามเพียงครู่ แต่ปากแข็งไม่ได้เอ่ยคำใด ย่อกายนั่งลงบนโขดหินหย่อนเท้าละลงสายน้ำฉ่ำชื่น รู้สึกใจเย็นขึ้นกว่าเมื่อแรกต้น เจ้าหนุ่มตัวหนาชันเข่าประชิดเบื้องหลังคนสุดสวาสดิ์ วางอาวุธแล้วโอบแขนรัดแน่นไว้ จุมพิตลาดไหล่ขาวเนียนต้องตาด้วยไม่อาจระงับความต้องการไว้ได้ ก็เวียนจูบหลังคอตักตวงพะเน้าพะนอสำนึกผิด


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3401088#msg3401088)

______________________________

ชะตา : สิ่งที่กำหนดไว้ว่าจะบังเกิดขึ้นแก่บุคคล
คงคา : ลำน้ำใหญ่ซึ่งเป็นที่รวมของลำธารทั้งปวง
อุกฤษฏ์โทษ : โทษใหญ่ยิ่ง
มหันตโทษ : โทษหนัก

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๕ มาตะวันพันชะตา ๕๐% (๑๐/๐๖/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 10-06-2016 10:56:46
จะได้อยู่คู่กันง่ายๆคงไม่มีทางยิ่งมีเรื่องฐานันดรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว
มาตะจะขัดขืนได้จริงๆเหรอ ถ้าวันหนึ่งมีรับสั่งให้แต่งงานกับคนอื่นที่ไม่ใช่พจน์
 :ling3: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๕ มาตะวันพันชะตา ๕๐% (๑๐/๐๖/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 10-06-2016 12:46:28
อืมดูท่าจะดราม่าหนักนะ  สู้ๆแล้วกัน  ความรักก็มักทีอุปสรรคแบบนี้แหละ  ถ้าไม่เข้าใจกันแล้วก็มีแต่แตกหัก ปมเรื่องพ่อนายเอกกะนักข่าวนั้นก็ยังเหมือนเดิม  ไหนจะผู้ช่วยคนนนั้นอีก คนแต่งอย่าสมองตันก่อนแล่วกัน  จากที่อ่านมา  ปมมีนเยอะๆ  แถมยังไม่ชัดเจนสักอัน  ลืมไปว่าเรื่องนี้หลายตอนนี้นะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๕ มาตะวันพันชะตา ๕๐% (๑๐/๐๖/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 10-06-2016 20:34:23
 :mew6:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๕ มาตะวันพันชะตา ๑๐๐% (๑๔/๐๖/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 14-06-2016 09:33:40
[ต่อ]



ฝ่ายพจน์ครั้นถูกมาตะจูบแนบเนื้อนวลเช่นนั้นบังเกิดสั่นวะวาบหวาบสุดทานทน มาตะเห็นกิริยาคนรักยินยอมให้ตนเล้าโลมก็คลายวิตก ความขุ่นแค้นในใจคงทุเลาลงมากแล้วจึงมิพักออมแรงโอ้โลมปฏิโลม เฉกเช่นยามอยู่สองต่อสอง

“หากน้องท่านคลายโกรธมาตะแล้วจงแสดงอาการอย่างหนึ่ง คือผินหน้าแลยื่นนวลแก้มให้มาตะสูดกลิ่นหอมราวดอกลีลาวดีด้วยเถิด”
 
ความผิดหวังแลโกรธแค้นลดลงคลายความขัดข้องหมองใจเสียสิ้นดังว่า แต่หากจะยอมคืนดีโดยง่าย ต่อไปภายภาคหน้าเกิดเหตุมิคาดคิดขึ้นซ้ำอีก มาตะคงใช้กลวิธีเดิมคือ อาศัยทักษะวาจาผสานกิริยาน่าสงสารเป็นหนทางออกเอาตัวรอดอีก พจน์อยากแก้แค้นกลับก็นั่งนิ่งอยู่มิได้หันไปตามคำ

“ไยท่าทีน้องท่านทำประหนึ่งความคิดด้านดียินยอมคลายแค้น แต่ความคิดด้านร้ายยังคงทำลายมาตะอยู่ หวังจะให้พิเคราะห์ตีความเป็นด้านใดนั้น เกินสติกำลังตัวจักทำได้ วอนน้องท่านเจรจาสักหนึ่งถ้อยความเถิด ว่าบัดนี้ยินดีด้วยรสสัมผัสขอโทษ ฤา ยังมิโปรดการให้อภัย มาตะผู้โง่เขลาเบาปัญญาใจ จักอาจเอื้อมคาดเดานั้นทำมิได้”

มาตะกอดกระหวัดพจน์ไว้แนบกาย สัมผัสมือถือแขนไว้มั่น หัวใจเต้นระทึกนั้นเด็กหนุ่มนัยน์ตาคมสัมผัสรู้แต่ไม่ได้ขัดขืน
 
“เราขอคำมั่นอย่างหนึ่ง นายจะให้ได้หรือเปล่า” พจน์เหล่ตามองคนเบื้องหลัง มาตะรีบพยักหน้าโดยไวจนพจน์นึกขันในใจ
 
“หากครั้งไหน เราจับได้ว่านายโกหกเราอีก เราจะ...” พจน์ยกยิ้มมุมปาก “ถีบนายให้ตกน้ำ”

สิ้นคำพูด มิรู้ว่ามาตะมัวแต่งุนงงในถ้อยความหรืออย่างไรจึงเผลอตัวไม่ได้ตั้งสติ จึ่งถูกภัทรพจน์ยอดดวงใจออกแรงผลักด้วยสองมือพร้อมด้วยเท้าอีกหนึ่งข้างยันถอยหลังตามเรี่ยวแรงมหาศาลผิดปกติ หล่นลงสู่ธารน้ำฉ่ำเย็นในทันที
 
สายน้ำซ่านกระเซ็นสัมผัสผิวกายพจน์เพียงเล็กน้อย แต่เจ้ามาตะเปียกโชกตั้งแต่ศีรษะมุ่นผมจรดปลายเท้า โผล่พรวดสำลักน้ำตาแดงเป็นที่ขบขัน ทำให้พจน์นึกย้อนไปถึงวันแรกพบ เจ้านั่นก็เปียกม่อล่อกม่อแล่ก เพราะน้ำเช่นกัน พยายามกลั้นขำลอยหน้าลอยตาเหมือนมิได้ทำสิ่งใดผิด มาตะตั้งสติได้ทั้งที่รู้ว่าโดนแกล้งก็อดแสร้งนิ่วหน้าเศร้าเหมือนหนึ่งมิรู้ความ ว่ายทวนสายน้ำตามเกาะโขดหินเบื้องเท้าของภัทรพจน์พร้อมวางหน้าสลด พลางว่า

“ความผิดของมาตะนี้หากลบล้างด้วยสายวารีได้แล้วไซร้ ขอยอมตกสักกี่ครั้งเท่าใดก็ไม่หวั่นเกรง หากสิ่งนั้นเป็นเครื่องเซ่นพิสูจน์ความจริงใจแลล้างความผิดได้ก็จักยอมทน”

“เข้าใจแบบนี้ก็ดีละ งั้นนายแช่น้ำอยู่ตรงนี้สักประมาณชั่วโมงเป็นไง” พจน์ปั้นหน้านิ่งขรึม ผุดลุกยืนปัดฝุ่นออกจากผ้านุ่งสีเดียวกับมาตะ เพิ่งสังเกตเห็นว่าตัวเองก็ไม่มีเครื่องประดับอื่นใด คลับคล้ายชาวเมืองสามัญเป็นปกติเช่นกัน

หว่างพจน์กำลังก้าวถอยห่างจากริมลำธาร มาตะเห็นสบโอกาสจะแกล้งคืนก็ทะลึ่งพรวดคว้าเอวคอดไว้ได้ แล้วเอนกายหงายหลังลงกระแทกผืนน้ำ ความเย็นสัมผัสผิวกายพจน์ทุกรูขมขน เมื่อเสียรู้มาตะเช่นนั้นจึ่งออกแรงผลักอีกฝ่ายให้ห่างตัว กลั้นหายใจโผล่ขึ้นเบื้องบนเพื่อสัมผัสอากาศ หอบหายใจถี่ ใช้ฝ่ามือลูบสายน้ำออกจากใบหน้า แลเห็นดวงตาสีเข้มเขม้นมองมาจากอีกด้านไม่ห่างนัก มาตะแหวกว่ายเข้ามาใกล้พจน์มากขึ้นทุกขณะ เมื่อเห็นสถานการณ์พลิกผันเช่นนั้นก็เกิดหวั่นใจขึ้นมาทันที ด้วยสีหน้านิ่งเฉยแลขยิบตาคมพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็นผุดพรายอยู่บนใบหน้ามาตะต้องกระทบแสงจันทร์ชัดเจน บัดนี้ผ้าคล้องไหล่ของพจน์หลุดหายจากตัวไปตอนไหนไม่รู้ จึ่งหันหลังว่ายทวนกระแสน้ำสู่ริมธารโดยเร็ว แต่ดูเหมือนพละกำลังระหว่างพจน์กับมาตะจะต่างกันมาโข เพราะยังไม่ทันที่พจน์จะโผถึงฝั่ง เจ้านั่นก็โถมแนบแผ่นหลังพจน์ได้รวดเร็วเหลือประมาณ ลำแขนใหญ่เกี่ยวรัดเฟ้นลำตัวพจน์ไว้ใต้น้ำจนเสียวสะดุ้ง เหลียวมองเจ้าหนุ่มรูปงามที่เข้ามาประชิดติดพันรวดเร็ว

“นะ...นายจะทำอะไร” ถลึงตาข่ม

“ทำตามหัวใจเรียกร้องร่ำหา ด้วยกายาน้องท่านเป็นที่ล่อตาล่อใจใต้แสงจันทร์ มิอาจหันแลหนีไปทิศทางใดนอกจากคนตรงเบื้องหน้านี้” มาตะคร่ำครวญพรรณนา หยดน้ำเกาะพราวทั่วใบหน้า ผมเรียบลู่ด้วยเปียกชื้น เช่นเดียวกับคิ้วดกหนาและหนวดรำไร ริมฝีปากขยับโผเข้าใกล้ทุกขณะ ลมหายใจร้อนพรั่งพรูต่างกับสายน้ำเย็นฉ่ำ ถึงแม้นพจน์จะเคยเห็นมาตะในระยะใกล้ชิดมาก่อน แต่ก็ไม่เคยเห็นในรูปลักษณ์เช่นนี้ พยายามดิ้นรนถอยหนี สายน้ำก็เหมือนเป็นใจด้วยมาตะโอบกระชับซัดให้ห่างจากริมฝั่งออกมา
 
“พวกเพื่อนนายกำลังนอนหลับอยู่ตรงกองฟืนใช่ไหม ระ...เราไปตรงนั้นเถอะ เริ่มหนาวแล้ว” ไม่เห็นหนทางอื่นนอกจากหาข้ออ้างมาหยุดห้ามสิ่งใดที่มาตะประสงค์

“น้องท่านรู้ ฤา ไม่ ใจข้าเต้นระทึกหวั่นไหวราวกับจะแตกดับ ณ บัดนี้ แม้นสายน้ำจักเย็นชื่นใจเช่นไรก็มิอาจระงับดวงใจให้สงบได้ มีแต่จะรุ่มร้อนเกินทานทน” พูดจบก็ตะโบมฉกชิมรสหวานจากพวงแก้ม

เมื่อจนมุมพจน์จึงใช้สองมือใต้น้ำดันอกไว้ แต่ระยะห่างเริ่มลดลงทุกลมหายใจเข้าออก

“เรายังไม่หายโกรธนายเรื่องที่โกหกเลยนะ ละ...แล้วนายก็กำลังทำให้เราโกรธอีก” พจน์หลบริมฝีปากร้อนแสร้งตีหน้าบึ้ง

“หากน้องท่านยังมิคลายโกรธจริงดังว่า ก็โปรดลงโทษานุโทษให้สมประสงค์ คือโปรดขยับทรวดทรงเข้าหา ยั่วเย้าให้อุรารุ่มร้อนทนทรมานเสียเถิด” มาตะหลับตาระงับความต้องการท่วมท้น

“ไม่ใช่ นายต้องปล่อยเราก่อน” พจน์รู้สึกหน้าร้อนเพราะรอยสัมผัส

“น้องท่านเป็นดั่งเครื่องทรมานมาตะโดยแท้ นี่แลคือโทษทัณฑ์ที่ข้าสมควรได้รับ มองเห็นเรือนร่างอรชรอยู่ในอ้อมอกอ้อมแขน แต่มิอาจเอื้อมชนะใจเชื้อเชิญมาครอบครองได้ ความทรมานใดจะเหมือนเพลานี้หามีไม่แล้ว น้องท่านจงดำรงความตั้งมั่นในใจให้แน่วแน่ไว้เถิด ผลกรรมอันมาตะก่อไว้บังเกิดตามทันบัดเดี๋ยวนี้แล้ว”

สีหน้าอดกลั้นจะจูบจุมพิตแต่พจน์หลบหลีก หรือยื้อแย่งแตะสัมผัสสัดส่วนใดพจน์ก็ปัดป้องออกทุกครั้ง กลับกลายเป็นความทุกข์ทรมานปรากฏแก่ดวงหน้ามาตะโดยตลอด ความตั้งใจแก้แค้นกลับคืน มาถูกแววเจ็บปวดอดกลั้นทำลายลงทีละน้อย ใจหนึ่งนึกสงสาร แต่อีกใจก็ยึดมั่นแน่วแน่ ครั้นพจน์ถูกสัมผัสกายเช่นนั้นเหมือนปลุกอารมณ์ให้ลุกโชนมิต่างกัน หลับตาพยายามระงับใจ พอลืมตาก็ถูกสีหน้ามาตะกระตุ้นเตือนซ้ำอีกหน

“ก่อนอาสาจากมาทำราชการลับ พระอาจารย์ท่านกล่าวคำหนึ่งเป็นที่ติดตรึงฝังใจในห้วงความคิด” มาตะข่มอารมณ์เอ่ยปากเท้าความ “ด้วยจิตสำนึกขณะนั้นประหวั่นห่วงหาน้องเจ้าเสมอภัยบ้านเมืองเป็นเครื่องระคายตาสู่ครูท่าน จึ่งฝากความหนึ่งไว้เป็นเครื่องปลอบประโลมมาตะมิให้หวั่นไหวโดยว่า

'มาตะเอย นับแต่เจ้ารู้ความจวบกระทั่งร่ำเรียนสรรพวิชาจวนหมดสิ้นกระบวนตำราพิชัยยุทธ์นี้แล้ว คำหนึ่งอาตมันมิเคยกล่าวชื่นชมยกย่องให้ได้ยิน ด้วยจักเป็นกิเลสหล่อเลี้ยงเสี้ยมให้หยิ่งพยองเกินความสามารถตน จักก่อเป็นภัยมากกว่าเป็นผลดี แต่วันนี้อาตมันเห็นจำต้องละความตั้งใจเดิมไว้ แลขอกล่าวชื่นชมยินดีว่า จักหามีศิษย์ในสำนักผู้ใดเชี่ยวชาญการรณรงค์ยิ่งไปกว่าเจ้านั้นเป็นไม่มี หะนี้มหาอาณาจักรต้องราชภัยใหญ่หลวง แลการไปสืบข่าวทั้งนี้จำต้องอาศัยฝีไม้ลายมือเป็นที่ยิ่ง แหละยามอุบากอง เป็นศุภฤกษ์ดั่งนี้ หากบังเกิดสิ่งรบกวนก่อขึ้นในใจ ราชการงานเมืองจึ่งอาจมีหวังพังพินาศได้ อาตมันจำต้องเล่าความอย่างหนึ่งฝากไว้เป็นเครื่องเตือนสติ
 
แหละเรื่องราวนี้มิเคยมีผู้ใดล่วงรู้ แม้กระทั่งบิดามารดรผู้ให้กำเนิด ราวสิบเจ็ดปีก่อน ในราตรีวันเพ็ญเดือนเก้าเพลาใกล้รุ่งอรุณ อาตมันได้ทราบข่าวว่า นางเมียผู้กินตำแหน่งภรรยาของเสนาบดีจตุสดมภ์ผู้หนึ่งบังเกิดเจ็บครรภ์แก่ใกล้คลอด แลสองผัวเมียคู่นี้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ใจบุญสุนทาน กอรปกับ ทำกรรมดีมาทั้งชีวิต แลบัดนี้เสียงครวญเจ็บท้องดังแว่วมาถึงสำนักของอาตมันเป็นที่ผิดประหลาด แม้นอยู่ห่างเป็นระยะโยชน์ ระหว่างอาตมันลืมตาขึ้นจ้องแสงเดือนเหนือยอดมหาปราสาท บังเกิดความปลื้มปีติท่วมท้นในใจ ครั้นเสียงร้องของทารกดังลั่นเป็นหนแรก ราวกับมีถ้อยคำจากท้องฟ้าไหล่หลั่งลงผ่านศีรษะกระทั่งผุดออกมาจากปากอาตมันเป็นกลอนว่า


ทารกหนึ่งพึงกำเนิดเกิดย่ำรุ่ง
แสงสูรย์พุ่งเพริศพริ้งมิ่งเวหา
อรุณวาบเหนือภพกลบเมฆา
มาตะวันพันชะตา_ _ _

แหละกลอนนี้จักเกิดเป็นปกติก็หาไม่ หลั่งลงมาจากฟากฟ้านภาไกล เป็นนิมิตอัศจรรย์ใจเหลือประมาณ เจ้าตรองให้จงดีเถิดว่า ความนัยหมายชื่อในบทกลอนนี้นอกจากเป็นที่มานามเจ้าแล้ว ยังจักหมายถึงสิ่งใด’

เหตุการณ์วันนั้นเป็นนิมิตถือกำเนิดของมาตะ แลเป็นที่มานามของข้า พอสิ้นคำของอาจารย์ น้องท่านจงยกใจเข้าเทียบอกมาตะในเพลานั้นเถิดว่าจักรู้สึกเช่นไร”

“มาตะ... ชื่อของนายมาจากกลอนนี้สินะ” พจน์หลงลืมกิริยาผลักห้าม ปล่อยช่องว่างระหว่างเนื้อได้แนบเนื้อ

“คำสามพยางค์สุดท้ายนั้นทำลายความมัวหมองในใจให้สดใสบริสุทธิ์อีกครา ก่อเกิดเป็นความมั่นใจอย่างหนึ่ง คือไม่ว่าจักมีอุปสรรคขวากหนามใดก่อเกิดขึ้นระหว่างข้าแลน้องท่าน เราสองจักผูกพันกันยิ่งกว่าชีวิต มาตะวันพันชะตา_ _ _ ”

“วาจางาม” พจน์เผลอต่อกลอนจนจบความแล้วให้รู้สึกขนลุก ไม่ใช่เพราะความหนาวเย็นจากสายน้ำลำธาร แต่เป็นความจริงที่ว่า
 
“ถูกแล้ว มาตะวันพันชะตาวาจางาม” มาตะเลื่อนใบหน้าเข้าหาพร้อมลดเสียง “เป็นความหมายชื่อของน้องท่านมิใช่ ฤา ภัทรพจน์

เด็กหนุ่มเจ้าของนามวาจางามพยักหน้าเห็นชอบ มาตะจรดปากเหนือหน้าผากภัทรพจน์ พลางว่า

“ข้าขอโทษ ดวงใจของมาตะ ขอโทษที่ทำท่านเจ็บ ขอโทษ”

พจน์รู้สึกอุ่นวาบ ณ อกเบื้องซ้ายสุดจะบรรยาย ความตั้งใจแน่วแน่ถูกทำลายลงด้วยกลอนที่มาชื่อของมาตะ ไม่อาจทนฟังคำขอโทษได้ก็เงยหน้าหลับตาประกบแนบด้วยริมฝีปากฉ่ำ เพราะใจตัวเองบัดนี้ก็ร่ำร้องต้องการความผูกพันจากมาตะเหลือประมาณ

ดอกบัวงามชูช่อกอใต้น้ำ
ผุดก้านล้ำเหนือคลื่นตื่นหลีกหนี
ด้วยมัจฉาคอยตอดลอบลักมี
ขย้ำก้านกัดตีฝังรอยคม

เจ็บจำทนฝืนชูให้พ้นโศก
ดอกงามโยกส่ายไหวคล้ายสุขสม
จากเจ็บปวดสุขล้ำระรื่นรมย์
ก้านระทมดอกตูมก็ผลิบาน

มัสยาใจกล้าผวากอด
ตวัดสอดเสียดสีเกล็ดวาบหวาน
ประทุมมาลย์กลีบสั่นลั่นร่วงลาน
ทั้งโคนใบดอกก้านรากแทรกตม

น้ำยอดรักเกิดในกลางใจดอก
สำลักออกรสหวานปนฝาดขม
เจ้ามัจฉะผุดอ้ากล้าลิ้มชม
บัวโน้มก้มหยดหวานปานดวงใจ

****************************************

เบื้องหลังพุ่มไม้ปรากฏแววตาคู่หนึ่งจับจ้องเรือนร่างเปล่าเปลือยของเด็กหนุ่มทั้งคู่สะท้อนแสงเดือนขาวสว่างตัดกับสายน้ำในลำธารชัดเจนถนัดตา ปลุกอารมณ์ก่อราคะเกิดมิต่างจากบุรุษในผืนน้ำ ดวงใจเต้นครึกโครมเฉกเช่นฝ่ามือที่กำแน่นระงับความต้องการ กล้ามเนื้อนูนแน่นเกร็งรัดจนถึงหน้าท้อง เมื่อมิอาจฝืนทนได้ก็ลูบโลมขยับจังหวะตามท่วงท่าของเด็กหนุ่มทั้งสอง จวบกระทั่งถึงจุดหมายเดียวกันทั้งสามโดยพร้อมเพรียง


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3403380#msg3403380)

เพจนิยายข้ามพิภพ (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/) ฝากกดเข้าไปติดตามด้วยครับ ถ้าหากมีข่าวสารแจ้งให้ทราบ หรืออัพนิยายตอนใหม่ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ จะได้รู้ฉับไวมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเอาไว้เป็นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือติชม งานเขียนในอีกช่องทางหนึ่ง ด้วยครับ

______________________________

โอ้โลมปฏิโลม : แสดงความรัก
ม่อล่อกม่อแล่ก : เปียกและเปื้อนเปรอะไม่น่าดู
ยามอุบากอง : ฤกษ์เวลาออกเดินทางอย่างหนึ่ง
กอรปกับ : ใช้แสดงว่ามีนอกเหนือไปอีก
โยชน์ : หน่วยวัดความยาวของไทยแต่โบราณ เท่ากับ ๔๐๐ เส้น
แสงสูรย์ : แสงของดวงอาทิตย์
มัสยา : ปลา
ประทุมมาลย์ : บัว

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๕ มาตะวันพันชะตา ๑๐๐% (๑๔/๐๖/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-06-2016 20:15:42
มือที่สามแน่ๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๕ มาตะวันพันชะตา ๑๐๐% (๑๔/๐๖/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 14-06-2016 21:31:25
ตัวพี่หรือ?  :hao4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๕ มาตะวันพันชะตา ๑๐๐% (๑๔/๐๖/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: iiizo ที่ 14-06-2016 22:50:26
ตัวพี่ใช่ ฤๅ ไม่  o22 :a5:  อ่านรวดเดียวเลยค่า สำนวนดีมาก ภาษาก็ดี สนุกมากกกกกก :hao7: :katai2-1:
มาต่อไวๆนะคะ รอติดตาม :impress2: :pig4: o13 :z3:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๕ มาตะวันพันชะตา ๑๐๐% (๑๔/๐๖/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 17-06-2016 09:18:29
ผมว่าคนที่หลงรักพจน์แน่ๆเลย  ที่มาเห็นเนี้ย
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๖ ตรีทินกรศศิธรทวิดวง ๕๐% (๑๗/๐๖/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 17-06-2016 15:20:47
บทที่ ๒๖


ตรีทินกรศศิธรทวิดวง


   
ภัทรพจน์นอนหอบแผ่อยู่ริมลำธาร มีสายลมพัดผ่านเป็นระยะ เนื้อตัวแลภูษานุ่งห่มเริ่มแห้งเหือด ถัดเคียงข้างเป็นเจ้าหนุ่มมาตะนอนเท้าแขนผินหน้าลอบยิ้มอยู่ในที ขณะพินิจมองยอดชีวีหลับตาพริ้มอยู่
 
“จักมีครั้งใดที่ข้าสุขสำราญเสมอรสรักครานี้ก็หาไม่” มาตะผุดลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ อกหนากระเพื่อมขึ้นลง หน้าท้องเป็นลอนขยับเกร็งดูสุขสมดังว่า พจน์ขมวดคิ้วก่อนจะลืมตาจ้องดวงจันทราเหนือนภากาศ

“หมายความว่าครั้งก่อนนายไม่มีความสุขงั้นสิ” กอดอกแน่นหน้าแดงอารมณ์ขุ่นมัว

“หามิได้ ก็แหละนับแต่หนแรกแลถึงครั้งนี้น้องท่านเสียตัวให้มาตะนับเป็นหนสาม”  ได้ยินคำ เสียตัว ก็พลันตีอกชกกายมาตะด้วยขัดใจ “น้องท่านโปรดเพลามือด้วยเถิด แลสดับให้สิ้นความก่อน เราสองต่างร่วมที่เป็นผัวเมียจริงแท้ดั่งนี้ ล้วนมีรสแตกต่างเสมือนข้าวปลาอาหารมีหลากชนิด ประกอบด้วยเปรี้ยวหวานมันเค็มเช่นไร กามรสอันได้แต่น้องท่านก็หลากรสเช่นเดียวกันฉันนั้น”
 
เจ้ามาตะยกเรื่องอย่างว่ามาพูดด้วยหน้านิ่งเฉย ต่างกลับพจน์ที่ต้องยกแขนปิดบังดวงตา อายแสนอายสายน้ำทั้งอายแสงเดือนก็พอกัน

“เสื้อผ้าเราแห้งแล้ว ไปจากที่ตรงนี้เถอะ” เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่องเพราะเมื่อแลมองสายน้ำ ฤา โขดหินครั้งใดก็ปรากฏภาพตัวเองแลมาตะไร้อาภรณ์เปล่าเปลือยผุดว่ายแนบชิดก่อเกิดเป็นท่วงท่าต่างๆนานาจนมิอาจฝืนทนจับจ้องได้ ความอายมีมากกว่าความกล้าก็ชักชวนอีกฝ่ายละจากที่

มาตะยกยิ้มปล่อยเสียงหัวเราะห้าว แลว่า

“กระไรน้องท่าน มามีอาการขวยเขินประหนึ่งมิเคยถูกมาตะปรนนิบัติเช่นนั้น” โอบแขนกอดรัดเฟ้นด้วยไออุ่น พจน์พยายามขืนแต่ก็ทำได้แค่ความคิด “ผิวกายเราสองปฏิสัมพันธ์รู้จักกันแลกันมากกว่าหนหนึ่งแล้วดั่งนี้ น้องท่านควรจักละกิริยาน่าเอ็นดูไร้เดียงสาลงเสียเถิด ด้วยท่าทีนี้บันดาลก่อเกิดให้มาตะจำต้องข่มใจหักห้ามมิให้ฝืนกระทำล่วงปลอบซ้ำ”

“บ้าไปแล้ว เราไม่ได้ยั่วยวนนายสักหน่อย หยุดความคิดแบบนั้นเดี๋ยวนี้” พจน์ชี้นิ้วใส่หน้า มาตะก็อ้าปากงับใช้ชิวหาหยอกเย้าจนเด็กหนุ่มตัวบางกว่าต้องรีบดึงกลับคืน “นายมันหื่นจริงๆเลย”

“เพลานี้เป็นหน้าที่เวรยามลาดตระเวนของข้า อย่าพะวงว่าจักมีคนอื่นมาเห็นเลยน้องท่าน อีกหลายชั่วยามกว่าจักผลัดเปลี่ยนเวรเฝ้า มีเพลาอีกมากที่มาตะจักขอความเมตตาน้องท่านโปรดช่วยเอ็นดู แลลงโทษในฐานกระทำปิดบังความท่านไว้ แหละการลงโทษเพิ่งผ่านพ้นเพียงหนเดียวเช่นนี้ อารมณ์โกรธของน้องท่านคลายลงสิ้นแล้ว ฤา มาตะยินดีให้ท่านประทุษกรรมซ้ำอีกหนเถิด ใจขุ่นแค้นจักได้คลายลงจนกลับกลายเป็นปรกติดังเดิม”

วาจาซ่อนความนัยซับซ้อนมีหรือพจน์จะไม่เข้าใจเจตนา แต่เพียงยินคำที่มาชื่อของมาตะความกังขาโกรธแค้นก็เหมือนมลายสิ้น จักเหลือหลงความโกรธนั้นก็คงเป็นนิสัยเอาแต่ได้นี้ต่างหาก คิดแผนการได้อย่างหนึ่งผุดขึ้นในใจแล้วก็วาดรอยยิ้มกว้าง

มาตะเห็นคนรักเปลี่ยนสีหน้าเขินแดงเป็นยินดีด้วยคำตัวก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อุปมาน้ำตาลใกล้มด  เมื่อมดแลเห็นหยาดน้ำตาลหยดคล่อมหน้าตักตนเช่นนั้น ย่อมห้ามใจมิได้ มดจึงตวัดลิ้นดูดลิ้มชิมรส ทั้งจรดจมูกสูดกลิ่นน้ำตาลหวานซ้ำจนพอใจ

ฝ่ายพจน์เห็นมาตะเคลิบเคลิ้มระเริงใจในกิริยาตนสมคะเนดังนั้น โอบแขนคล้องลำคอหนาขยับรั้งใกล้เข้าหาตัวตามสมคิด ขยับสะโพกเสียดสีผ้านุ่งหุ่มจนเลิกขึ้นเผยให้เห็นผิวขาวนวลใต้ร่มผ้าเป็นที่ล่อตาล่อใจ มาตะส่งเสียงครวญขึ้นครั้งหนึ่ง พจน์ก็กดสะโพกย่อกายลงบนหน้าขาซ้ำ ก่อเป็นท่วงท่าล่อแหลมแลปลุกอารมณ์เร่าร้อนให้ลุกโชนติดกับดักในทันที ระหว่างเคล้าเคลียฉกชิมยอดอกภัทรพจน์เสริมเรี่ยวแรงอยู่นั้น พจน์ก็อาศัยความว่องไว ถอดผ้าคล้องไหล่ประจำกายตัวปิดตามาตะรวดเร็วด้วยเงื่อนตาย ครั้นมาตะถูกคนรักใช้ผ้าปิดตาเหมือนนัยนาบอดสนิทมองไม่เห็น  ภาพรัญจวนใจเบื้องหน้าราวกับถูกลักพาจากคลองจักษุ อารมณ์เต็มขั้นก็ถูกถอนออกปัจจุบันทันด่วน เสียงหัวเราะหวานดังอยู่ใกล้เคียง แต่มาตะไม่อาจแลเห็นได้ พยายามแก้ปมเชือกเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ

พจน์ยืนกอดอกมองดูผลงานตัวสำเร็จสมความคิดก็ส่งเสียงหัวเราะลำพองในชัยชนะ

“ดูสิ คนปากว่ามือถึงอย่างนาย พอมองไม่เห็นแล้วจะทำอย่างไรต่อ” เด็กหนุ่มขยับถอยเมื่อมาตะลุกยืนเซเอื้อมคว้ามาทางตน กระโดดย่องแย่งหลบหลีกพัลวัน

“เอ็นดูเถิดเจ้า วานน้องท่านปลดเครื่องบังสิริโฉมท่านนี้ออกเสียเถิด มาตะคนซื่อมิทันเล่ห์กลมีหรือจะกระทำปลดเองได้”

“เราไม่ใจอ่อนยอมทำตามแน่ นายโดนปิดตาเสียบ้างก็คงดี จะได้ลดท่าทีหื่นกระหายให้คลายลง” พจน์สวนความกลับกลั้นหัวเราะตัวงอ ก้าวถอยหลบมือเอื้อมไขว่คว้าของคนถูกปิดตา เมื่อสังเกตเห็นมาตะอาศัยเสียงฝีเท้าคะเนว่าตัวอยู่ทิศทางใดก็ย่องเบาขึ้น ปิดปากกลั้นเสียงขันไม่ให้เล็ดรอด ขยับถอยสู่ทางแนวพุ่มไม้ห่างลำธาร ส่วนมาตะอยากร่วมเล่นกับยอดรักให้สมใจอีกฝ่าย ผูกเงื่อนตายเช่นนี้มีหรือตัวจักมิอาจปลดออกได้ แสร้งประหนึ่งไร้หนทางก็ยอมทำตามการละเล่น
 
ภัทรพจน์ก้าวถอยพลางปิดกลั้นเสียงหัวเราะพลางจนถึงเนินดินกระทั่งแผ่นหลังเปลือยเปล่าชนเข้ากับผิวเนื้อของคนผู้หนึ่งก็สะดุ้งใจ หันเหลียวกลับมองคนที่ตัวชนโดยพลัน

“สุริยะ เอ่อ...มหาอุปราช”

พจน์เผลอออกพระนามเดิม พอได้สติก็เรียกขานตำแหน่งศักดิ์สูง ด้วยไม่คาดคิดว่าบุคคลเบื้องหลังตนจะเป็นถึงหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน เพราะลักษณะฉลองพระองค์มิผิดต่างจากสีผ้าของพจน์ อีกทั้งยังไร้เครื่องประดับทองคำอันประกอบเป็นพระเกียรติยศเมื่อแรกเจอ แต่มิอาจกลบรัศมีของเลือดขัตติยะให้มัวหมองได้ ด้วยมองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่า คนตรงหน้านี้มีเชื้อสายแตกต่างสามัญชนทั่วไป พระหัตถ์ซ้ายกำพระแสงทวนปลายสีเงินกระจ่าง พระพักตร์พิศวงก่อเกิดให้พระขนงขมวดมุ่น พระนลาฎไร้เครื่องประดับเฉกเดียวกัน ทำให้พจน์ต้องขยับถอยห่างเพื่อเตรียมทำความเคารพ แต่บังเกิดฉุกคิดได้ว่า พระองค์เคยกล่าวคำผิดใจฝากไว้ต่อกันแลกัน อีกทั้งฝังลึกยังมิคลายลงก็ยืนจดจ้องอยู่

“ออกนามเราซ้ำอีกหน”

“อะ...อะไรนะ” พจน์สลัดความคิดผิดใจ แล้วส่ายหน้ารวดเร็ว

“ออกนามเราอีกครา ‘สุริยะ’ พจน์” พระมหาอุปราชหนุ่มย้ำพระดำริแผ่วเบา

“ทำไมเราต้องเรียกชื่อท่านด้วย ก็ในเมื่อท่านสืบเชื้อสายกษัตริย์ กฎมนเทียรบาลบัญญัติว่า...”

“ช่างเถิดกฎมนเทียรบาล นับแต่นี้ครั้งใดเจ้าจงเรียกขาน ออกนามตามเราสั่ง” สุริยะอุปราชคลายพระพักตร์อ่อนโยน ทอดพระเนตรเห็นท่อนบนเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ปิดบังก่อเป็นเครื่องกระตุ้นให้พระหทัยเต้นผิดจังหวะ ก็หยิบยื่นผ้าคล้องไหล่ประจำพระองค์แล้วพันให้ พจน์เห็นอุปราชสุริยะมีท่าทีอ่อนลงกว่าเมื่อครั้งก่อน ความผิดฝังใจก็ลดทอนลง
 
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่ตรงนี้”

“เอ่อ คือ...”

“พี่ท่าน” มาตะแก้มัดผ้าพันตาออกแล้วเร่งเดินมาสบทบ สีหน้านิ่งเฉยปรากฏตามวิสัยเดิม

“มาตะน้องเรา คนผู้นี้ไยถึงติดตามหมู่เรามาได้ ด้วยหะแรกออกเดินทางมีด้วยกันมีเพียงเก้า แหละมหาดเล็กลึกลับผู้นี้บังเกิดโผล่ขึ้นในเขตพักแรมเราช่างน่าพิศวง” อุปราชสุริยะปั้นพระพักตร์กลับเป็นน่าเกรงขามตามเดิม ราวกับคำเจรจาก่อนหน้าเหมือนมิได้หลุดออกจากพระโอษฐ์  พจน์เห็นท่าทีแปรเปลี่ยนเป็นคนละคนของพระมหาอุปราชก็เกิดฉงน

“ด้วยพี่ท่านดำรงยศถึงเจ้าวังหน้า คือผู้ที่จักสืบราชสมบัติไอศูรย์สวรรค์ ราชการลับครานี้นอกกว่าจำต้องปลอมองค์เป็นราษฎรสามัญแล้วหนึ่ง แลมีข้าราชบริพารติดตามเพียงหยิบมืออีกหนึ่ง เกรงจักมีผู้รับใช้ไม่สมประสงค์ จึ่งจำต้องปลอมปนมหาดเล็กผู้น้อยคอยถวายงานให้สุขสำราญมิให้ขาดตกยิ่งกว่าในพระราชวังหลวง เป็นเหตุให้ข้าจำต้องลักลวงพนักงานผู้นี้ติดสอยห้อยตามมาด้วย”
 
มาตะกล่าวยืดยาวเป็นเรื่องราวหนักแน่นอยู่ พระมหาอุปราชสุริยะในชุดปลอมองค์เป็นชาวบ้านพยักพระพักตร์พอพระทัยกับคำทูลถวาย แลมิได้ซักความเพิ่มเติมอีก แล้วตรัสกับพจน์ว่า

“กิจอันเราเดินทางไปนี้มีอันตรายใดแฝงอยู่มิอาจรู้ ก็แหละเจ้าเป็นแต่เพียงมหาดเล็กฝ่ายภูษา เรียนรู้แต่การงานปรนนิบัติพัดวี มีหรือที่จักช่ำชองสรรพอาวุธประจำกาย มาตรว่ามีเภทภัยอันตรายใดคุกคามคณะ ก็จงอย่าดำรงตัวเป็นภาระให้ผู้อื่นประหวั่นพะวักพะวงดูแล จงนำหอกซัดเล่มนี้ปลิดชีพตัวเสียในทีเมื่อมีโอกาส”

อาทิตยาธรอุปราชหยิบหอกซัดด้ามสั้นเหน็บบั้นพระองค์ แล้วโยนใส่ภัทรพจน์หมายพระทัยให้อีกฝ่ายคว้ารับ แต่เด็กหนุ่มมากสิริโฉมกลับยืนชะงักตื่นตะลึงในคำ พระแสงอาวุธจึ่งตกกระทบพื้นเบื้องปลายเท้า ในชั้นแรกพจน์ตรึกตรองข้างว่า ความโกรธระหว่างกันคงคลายลง แต่กิริยาบริภาษเหมือนขับไล่ไสส่งให้ตนฆ่าตัวตายทันทีหากมีภัยร้ายมากล้ำกรายเพื่อไม่เป็นภาระคนอื่น ก่อความอัดอั้นผสมสับสนปนเปท่วมท้น ด้วยทีท่าอ่อนโยนก่อนหน้ากลับกลายเป็นเย็นชาชังน้ำหน้านั้นไม่คาดคิด

“พี่ท่านอย่าด่วนตัดสินความสามารถคนผู้นี้ หากเสี้ยมสอนฝึกปรืออาวุธให้คล่องมือมิกี่เพลา ก็เห็นจักช่ำชองเชี่ยวชาญพอตัว มาตะขอเป็นธุระในการนี้อย่าได้ปริวิตก” มาตะเห็นการแตกหักกำเนิดขึ้นซ้ำก็ขัดขวางโดยวาจาอ่อน

พระมหาอุปราชหนุ่มเงยพระพักตร์สูงทอดพระเนตรสีหน้าแดงโกรธจัดของมหาดเล็กงามวิไลแล้ว พระพักตร์ก็บึ้งตึงกริ้วยิ่งขึ้นไปอีก พระแสงทวนประจำพระองค์ถูกกำแน่นยิ่งกว่าเก่า นิ่งมองเจ้าหนุ่มทรงเสน่ห์ไม่วางตา ส่วนภัทรพจน์ไม่รู้ว่าความรู้สึกทับถมก่อเกิดขึ้นในใจนี้เรียกว่าสิ่งใด การกระทำของผู้ดำรงยศสูงจึงเหมือนตบหัวแล้วลูบหลัง ทำประหนึ่งตนเป็นของเล่น ยั่วเย้าเอาตามแต่อารมณ์ปรารถนา หากตนเป็นภาระแลอาจเป็นตัวถ่วงสำหรับการนี้ ก็ไม่ขอยืนทนให้เป็นที่อับอายต่อไป หันมองหน้ามาตะ เขาไม่ควรข้ามพิภพมาในช่วงเวลานี้เลย รังแต่จะสร้างภาระเป็นที่ลำบากใจแก่มาตะ แล้วหากเกิดภัยร้ายคุกคามจริงดังว่า ตนคงจะดำรงตนเป็นภาระไม่พ้นแน่
 
มาตะลอบเห็นสีหน้าท่าทางคนรักแล้วให้รู้สึกเจ็บปวด ด้วยคำของพระอุปราชเป็นเหมือนปลายทวนประจำพระองค์ทิ่มเกาะกินใจคนคู่พิสมัย เสมือนหนึ่งผู้ไร้ความสามารถไม่ควรติดตามพระองค์เช่นนั้น จักเข้าลูบปลอบก็มิอาจทำต่อหน้าพระพักตร์ได้ อ้ำอึ้งอัดอั้นตันอกมิต่างกัน

พจน์ลองเพ่งหลับตาพยายามนึกถึงโลกที่จากมาแต่ไร้ผล จะทำอย่างไรดี เขาไม่อยากอยู่ที่แห่งนี้แล้ว ช่วยนำพจน์ข้ามพิภพกลับไปเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด

“หากเช่นนั้น ต่อแต่นี้น้องเราจงเป็นธุระกวดขันฝึกปรือเท่าที่มันจักทนสามารถรับวิชาได้ แลหอกซัดเล่มนั้นจงเก็บไว้กับตัวมัน สอนให้มันเรียนรู้วิถีอาวุธ อย่าให้เป็นภาระในการณ์ภายหน้าเป็นเด็ดขาด” สุริยะอุปราชยอมผ่อนปรนโดยง่าย มาตะเห็นเช่นนั้นก็ตื้นตันทรุดตัวพนมไหว้

“พี่ท่านสมแล้วที่จักขึ้นครองราชสมบัติเป็นมหากษัตริยาธิราชเจ้า พระเมตตาการุณย์ท่วมท้นเผื่อแผ่แก่อาณาประชาราษฏร์โดยมิเลือกชั้นวรรณะเช่นนี้ มาตะอดที่จักขอกระทำก้มกราบสนองพระเดชพระคุณตราบชีวิตจะหาไม่” มาตะกำลังจะทำตามความคิดตัวก็ถูกสุริยะผู้เชษฐาตรู่เข้าประคอง

“นอกจากเจ้าจักมิสนคำพี่อันเคยกล่าว ยังมาดื้อแพ่งทำกิริยาอันเราเคยห้ามซ้ำดั่งนี้ ไม่เหมาะควร ทั้งเราสองมีฐานะพี่น้องร่วมวงศ์เช่นนี้ด้วย หากพี่มิเมตตามหาดเล็กผู้นี้ เห็นที่น้องเราคงตีหน้าบึ้งไม่คลายเป็นแน่”

อุปราชหนุ่มสัพยอก มาตะก็ยิ้มรับคำ พยักหน้าเป็นสัญญาณให้พจน์กล่าวคำขอบคุณ แต่มีหรือพจน์จะยอมทำตามคำร้องของมาตะ เห็นได้ชัดว่าพระมหาอุปราชองค์นี้ไม่เพียงแต่มีพระหทัยเหี้ยม แข็งกร้าวน่ากลัว ยามขึ้นปกครองบ้านเมืองราษฎรคงเดือนร้อนทุกหย่อมหญ้า ก็เพียงแต่พจน์ยังเดือดดาลดูถูกดูแคลนหมิ่นหยามความสามารถเช่นนี้แล้ว ต่อไปเบื้องหน้าหากมีใครทุกข์ร้อนมาขอความช่วยเหลือ นายสุริยะผู้นี้คงยื่นดาบให้ประหัตประหารตัวตายเสียกระมัง คิดได้เช่นนั้นก็ยืนค้ำเสมอองค์

“หะนี้หมดเวรยามเจ้าเฝ้าแล้ว พี่จึ่งมาขอผลัดเปลี่ยน น้องเราจงกลับไปนอนพักเอาแรงเสียก่อนเถิด เราขี่ม้าเร่งเดินทางผ่านคืนวันหลายชั่วยามมิได้หยุดพัก นี่เป็นหนแรกที่ค้างแรม จงอาศัยหลับนอนเสียอย่าได้เป็นห่วง” สุริยะอุปราชตรัสสั่ง “แลมหาดเล็กผู้นี้จงปล่อยไว้กับพี่ก่อน ด้วยมีกิจสั่งความให้กระทำอย่างหนึ่ง ตามหน้าที่รับใช้”

มาตะรั้งรอมิอาจทำตามได้ก็นิ่งเฉยอยู่ พจน์เห็นความลำบากใจเกิดขึ้นเต็มหน้ามาตะแล้วรู้สึกสงสารและเข้าใจ จึ่งออกปากว่า

“นายไปเถอะ มาตะ เดี๋ยวเราตามไป”

กิริยาอาวรณ์รีรอมิอาจละทิ้งภัทรพจน์ไว้หนสองได้นั้นพจน์เห็นอยู่เต็มตา จึ่งส่ายหน้าแล้วพยักเพยิดให้จากไปเสีย ด้วยไม่อยากให้มาตะต้องมาเดือดร้อนเพราะตนเป็นเหตุ ครั้นถูกวาจาของสุริยะผู้พี่สั่งซ้ำ มาตะหักใจข่มอารมณ์ถอยห่าง หายลับทางแนวไม้อันเป็นทิศทางสู่ลานกองฟืน

เมื่ออยู่สองต่อสองแล้ว สุริยะอุปราชจึ่งก้มลงเอื้อมพระหัตถ์หยิบหอกซัดประจำพระองค์ขึ้นมาถือไว้ สายพระเนตรจับจ้องแต่อาวุธขนาดสั้นนั้นแน่วแน่ แล้วตรัสว่า

“หอกซัดเล่มนี้ เป็นอาวุธชนิดแรกยามข้าเริ่มฝึกศิลปศาสตร์สรรพอาวุธ แลของชิ้นนี้ยังเป็นศาสตราวุธอันได้รับพระราชทานมาจากพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงธรรม ถึงแม้นอายุอานามขณะนั้นจะเพียงครบเจ็ดชันษา ข้าก็ยังจดจำพระกระแสรับสั่งได้ชัดเจน ทรงตรัสว่า

‘พระราชบุตรจงฟังคำเราให้มั่น แลยึดถือเป็นหลักชัยจงดี ยามเมื่อรบทัพจับศึก ราชศัตรูฝ่าดงบุกชุลมุนตลบเข้าประชิดกายโดยมิอาจทันระวัง อาวุธเล่มเล็กอันถูกมองข้ามนี้แล จักเป็นผู้ชุบชีวิตของเจ้าในยามคับขัน จงหยิบมันจ้วงแทงปลิดชีพศัตรูในจังหวะแนบชิดอย่าให้มันผู้นั้นได้ล่วงรู้ถึงชะตากรรมเป็นเด็ดขาด ยามใดเจ้ามิได้จับทวน ฤา ดาบ จงฝึกปรือใช้อาวุธนี้ให้เชี่ยวชาญประหนึ่งเพื่อนกายสหายรัก มิว่ายามตื่น ฤา ยามนอน จงนำมันติดตัวไว้มิให้ห่างกายเป็นเด็ดขาด จงมอบใจฝากไว้กับหอกซัดเล่มนี้ประดุจเป็นตัวเจ้าอีกคนหนึ่ง แลเมื่อใดเจ้ารู้สึกว่าอยากปกป้องอันตรายมิให้มากล้ำกรายคนที่เจ้ารักแล้ว จงมอบอาวุธชนิดนี้ให้แก่คนผู้นั้น เสมือนเจ้าคอยปกปักรักษาอยู่ทุกชั่วยาม’

พระราชดำรัสในครานั้นฝังตรึงในห้วงความจำ จวบกระทั่งราตรีนี้ เจ้าโปรดตอบข้ามาคำหนึ่งเถิด ภัทรพจน์ มหาดเล็ก ว่าเจ้ามิอยากรับหอกซัดอันข้ามอบให้นี้เลยกระนั้น ฤา แม้แต่จักเอื้อมหยิบหรือชายตาแลแต่เพียงนิดก็เจ็บปวดรวดร้าวประหนึ่งรังเกียจเดียดฉันท์  ฤา เพราะคำมุสาอันข้ากล่าวฝากพร้อม เป็นเหตุให้ท่านเมินเฉยเย็นชา จงโปรดตอบมาสักคำหนึ่งเถิดเจ้า”


50%...TBC  โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3406475#msg3406475)

เพจนิยายข้ามพิภพ (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)

______________________________

ทินกร : ดวงอาทิตย์
ศศิธร : ดวงจันทร์
น้ำตาลใกล้มด : ยามใกล้ชิดกัน ย่อมห้ามใจไม่ให้รักกันได้ยาก
ปากว่ามือถึง : ไม่เพียงแต่เกี้ยว ยังแตะเนื้อต้องตัวด้วย
ไอศูรย์ : สมบัติของพระราชา
หอกซัด : หอกด้ามสั้น ใช้พุ่งหรือซัดไป
บั้นพระองค์ : เอว
บริภาษ : ว่าผู้อื่นทำผิดและใช้ถ้อยคำรุนแรง

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< ช่วงพูดคุยตอบคำถาม part 6 (๑๔/๐๖/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 17-06-2016 15:22:07
ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

อีรุงตุงนังดีแท้ๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ความสัมพันธ์พจน์ปาล์มนี่ยอมรับว่าซับซ้อนอีรุงตุงนังดีแท้ๆอย่างคุณว่านั่นแหละครับ สุดท้ายแล้วปาล์มจะแก้ปมความสัมพันธ์นี้ยังไงต้องติดตามเอาใจช่วย แถมมีน้องนีเข้ามาเกี่ยวพันอีก แค่คิดก็เหนื่อยแทนละ เฮ้อออออ

อ่านแล้ววางไม่ลงจริงๆ จะตามอ่านต่อไปปปปปปป  :mew1:
ขอบคุณครับที่ทำให้คุณมีอาการแบบนั้นได้ แต่ผมว่าวางก่อนก็ดีนะครับ เมื่อยแย่เลย 555

:เฮ้อ:
โห ถอนหายใจแรงขนาดนี้ วิ่งมาเหนื่อย หรือว่า อ่านนิยายของผมแล้วเหนื่อยกันแน่นะ ติ๊กต๊อกๆ หรือว่านิยายเราเป็นตัวการหว่า ฮ่าๆ

ในที่สุดได้อ่านตอนใหม่แล้วเย่ จุดพลุลลล  คิดถึงน้องพจน์มากกกกกกกกกก ตอนนี้ขอแนะนำให้พจน์ปลงกับปาล์มซะเถอะไหนๆเค้าก็ยืนยันแบบนั้น=_=;; มาวางแผนเอาคืนมาตะคนซื่อ(หรอ?)กันดีกว่า55555555555สมควรจะงอนนานๆไปเลยพจน์ถูกเสมอ มาตะทำอะไรก็น่าโมโหในสายตาเรา555555555 แอบกังวลเรื่องคุณผู้ช่วยว่าจะจริงใจกับคุณพ่อรึเปล่า มาดีมาร้ายหรืออะไร;__; กลัวจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนที่คุณก็รู้ว่าใคร(?) แฝงตัวมาในครอบครัวพจน์ ระวังๆตัวนะลูกกกกกพี่เป็นห่วงมาก อินเหลือเกิน :hao5: :hao5: :hao5:
ดูเหมือนแฟนคลับปาล์มจะทยอยตีจากไปทีละคนสองคน ไม่นะ ได้โปรดอย่าทิ้งพี่ปาล์มของเราเลย เป็นตัวละครที่น่าสงสารอีกตัวเช่นกัน นายต้องมีเหตุที่ทำแบบนี้แน่นอน (อะไรเป็นคนแต่งก็น่าจะรู้เหตุผลดิ ยังมาถามอีก : ปาล์มพูด 555) ส่วนของการวางแผนเอาคืนมาตะนั้น ไม่รู้ว่าพจน์จะใจแข็งได้นานแค่ไหน ถึงตอนล่าสุดนี่คุณคงรู้ว่า พจน์งอนนานได้ถึงสิบนาทีหรือเปล่ายังไม่รู้เลย (ลืมเอานาฬิกาข้ามพิภพไปด้วย) แต่ก็หวังว่าคุณจะพอใจกับพ่อแง่แม่งอน (สั้นๆ) บวกเอาคืนเล็กๆ (ใครเอาคืนใครกันแน่ ฮ่าๆ)นะครับ สำหรับด้านคุณผู้ช่วยกับพ่อของพจน์ หวังว่าคุณจะเดาทางถูกนะครับ แต่...ก็อาจจะไม่ถูก หรือ เปล่า เอาไว้รอเฉลยๆ

ปาล์มถูกโหวดออก  :ling1: เฮ้อออ่านแล้วเห็นปมพันกันยุ่งเลย

พจน์สู้ๆ ค่อยๆตามแก้กันไปทีละนิดๆ :mew1:
ปาล์ม นายเป็นจุดอ่อนของทีม ถูกใครๆก็โหวตออก (น่าสงสารแทน) (ก็คุณเขียนให้ผมเป็นแบบนี้เอง ยังกล้ามาสงสารผมอีกซะงั้น : ปาล์มพูด) น้องพจน์ของเราก็ไม่รู้จะจัดการยังไงดี เอาเป็นเวลาฉากสรุปปาล์มพจน์จะมาถึงแน่นอนครับ รอชม

ภาษาสวยจริงๆ และปมก็เยอะมาก กลัวตอนท้ายจะเก็บปมไม่หมดจัง สู้ๆนะคนเขียน ทำงานหนักเลย
ขอบคุณที่คุณชอบครับ เอ...พอคุณท้วงขึ้นมาเรื่องเก็บปมไม่หมด ผมก็ชักจะกลัวๆขึ้นมาซะแล้ว ต้องรีบไปจดปมต่างไว้ก่อนกันลืม แต่หวังว่าพอถึงบทสรุป ทุกอย่างจะคลี่คลายไม่มีสิ่งใดค้างคาแน่นอนครับ ให้สัญญาด้วยเกียรติของลูกเสือสำรองเลยเอ้า ฮ่าๆ

สวัสดีครับคนแต่ง  ผมไม่เบื่อนิยายเรื่องนี้แน่นอน  ยิ่งอ่านยิ่งสนุกนะ  ยิ่งอ่านมันยิ่งมีปมขึ้นเรื่อย  ทำให้ระแวงไปหมด  กลัวพจน์จะเพี่ยงพร่ำ  ขนาดรู้ว่ามาตะมีคู่มั่นยังทำให้อ่อนแย่เลยอ่ะ  ส่วนเรื่องคุณพ่อนี้ก็อ่านแล้วอึดอัดใจไแด้วยเลยกะความรักครั้งนี้  แต่กลัวว่ามันจะไม่ใช่ความจริงนะสิ  ถ้าเป็นตัวร้ายคงรู้สึกแย่  อีกอย่างกลัวใจพจน์ด้วย  แต่คนแต่งคงไม่โหดกับคนอ่านขนาดนั้นใช่ไหมครับ  จะรอต่อไป  คนแต่งก็สู้ๆนะครับผม
งั้นก็ฝากติดตามกันต่อไปเรื่อยๆนะครับ เป็นกำลังใจให้ผมได้ดีมากเลย อย่าระแวงเลยครับ อ่านสบายๆ ฮ่าๆ ส่วนเรื่องพ่อพจน์นี่เป็นอีกคู่ที่ควรติดตามครับ ใจพจน์เป็นยังไง จะมั่นคงแค่ไหน หรือจะเอนเอียงปันไปให้ใครหรือเปล่านี่ไม่รับปากครับ เพราะบางทีสิ่งที่แน่นอนอาจไม่แน่นอนอย่างที่คิด อิอิ

มีป่มมาให้ปวดหัวอีกแหละ  รู้สึกอุปสรรคนายเอกเราจะเยอะขึ้นนะ  อืมตัวจุดฉนวนรึเปล่าเนี้ย  นายเอกเราไม่ใช่ลูกแท้ๆงั้นหรอ แล้วทำไมพ่อนายเอกต้องกลัวเพื่อนด้วยล่ะ  หรือเคยมีความหลังกันนะ  สู้ๆคนแต่ง
อย่าถึงขั้นเก็บมาคิดให้ปวดหัวเลยครับ ปมแต่ละปมมีเหตุมีผลทีทำให้นิยายเรื่องนี้ดำเนินต่อไปอย่างมีอะไรรองรับอยู่ ยังไงก็อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ ยังมีปมอีกเยอะคอยคุณอยู่ แต่ละปมก็จะคลี่คลายเมื่อถึงจุดๆหนึ่งเอง หวังว่าพจน์จะไม่ใช่เป็นอย่างที่คุณคิดนะครับ พ่อพจน์กับอดีตเพื่อนรัก ต้องมีซัมติงแน่ๆ บอกใบ้ไว้เลยครับ

:hao4:
  :really2:

มีแต่คำถามลอยอยู่เต็มไปหมด :katai5:
ถามมาสักข้อสิครับ เผื่อผมจะตอบให้คุณคลายสงสัยได้บ้าง อิอิ

ปาดน้ำตา สนุกมากจนน้ำตาไหล
ชอบมาตะจังแต่ตอนล่าสุดมาตะออกมาแต่ชื่อ จอมมารยังมีบทมากกว่าเลย อ่านเรื่องนี้ไปก็ทวนหลายๆรอบ ยิ่งกาย์พ กลอง โครงทั้งหลายที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเรามา ก็ต้องขุดรากถอนโคนมารื้อเพื่ออ่านเรื่องนี้
ถึงขั้นปาดน้ำตา นี่ไม่ได้ประชดใช่ไหมครับ ล้อเล่นๆ ดีใจที่ทำคุณน้ำตาไหลได้ คิดถึงมาตะ ตอนล่าสุดนี่มาตะก็โผล่มาให้หายคิดถึงแล้วครับ เรื่องโคลงกลอนนี่ไม่ยากอย่างที่คิดครับ เพราะมีฉันทลักษณ์กำหนดไว้ชัดเจน แต่คำที่นำมาเรียบเรียงเป็นกลอนนี่แหละครับยาก กว่าจะหาคำหรือความหมายที่เราต้องการได้ แถบบางทีอ่านไปอ่านมาแปลความไม่ได้อีก ช่วงหลังๆผมเลยทำเป็นเชิงอรรถอธิบายความหมายไว้ตอนท้ายของแต่ละตอน หวังว่าจะช่วยให้คุณอ่านได้ง่ายขึ้นนะครับ

จะได้อยู่คู่กันง่ายๆคงไม่มีทางยิ่งมีเรื่องฐานันดรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว
มาตะจะขัดขืนได้จริงๆเหรอ ถ้าวันหนึ่งมีรับสั่งให้แต่งงานกับคนอื่นที่ไม่ใช่พจน์
 :ling3: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
รักแท้หากไม่มีอุปสรรค ก็ไม่เรียกว่ารักแท้ที่แท้จริงหรอกครับ ว่าไหม เอ ถ้าวันหนึ่งมาตะถูกจับแต่งงานตามอย่างที่คุณว่ามาจริงๆ และคนนั้นก็ไม่ใช่พจน์ซะด้วย อืมมม ดราม่านั้นจงบังเกิดสิครับ แหม ถามได้ อิอิ

อืมดูท่าจะดราม่าหนักนะ  สู้ๆแล้วกัน  ความรักก็มักทีอุปสรรคแบบนี้แหละ  ถ้าไม่เข้าใจกันแล้วก็มีแต่แตกหัก ปมเรื่องพ่อนายเอกกะนักข่าวนั้นก็ยังเหมือนเดิม  ไหนจะผู้ช่วยคนนนั้นอีก คนแต่งอย่าสมองตันก่อนแล่วกัน  จากที่อ่านมา  ปมมีนเยอะๆ  แถมยังไม่ชัดเจนสักอัน  ลืมไปว่าเรื่องนี้หลายตอนนี้นะ
ก็คงจะไม่ดรามายาวไปตลอดทั้งเรื่องที่เหลือหรอกครับ รอติดตามต่อไป ปมพ่อนายเอกกับเพื่อนนักข่าว อีกเช่นกัน จงรอติดตาม พอคุณพูดย้ำเรื่องเก็บปมไม่หมดและสมองตันขึ้นมา ผมก็สะดุ้งซ้ำสองเหมือนกัน เอ หรือว่าเราต้องไปหาเครื่องดื่มบำรุงสมองมาดื่มบ้างละ เกิดเผลอคิดอะไรไม่ออก คนอ่านรุมแย่แน่เรา แน่นอนว่าหลายตอนครับ แลขอสปอยว่านิยายเรื่องนี้วางโครงเรื่องไว้ทั้งหมด ๓ ภาคจบครับ เป็นไงล่ะครับ ยาวนานแน่นอน กลัวอย่างเดียว กลัวคุณจะเบื่อไปซะก่อน ฮือๆอย่าทิ้งกันไปน้า

:mew6:
เย้

มือที่สามแน่ๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ครับ แต่จะเป็นใครนี่สิ ยังไม่เฉลยง่ายๆหรอก อิอิ

ตัวพี่หรือ?  :hao4:
เอ๋ ใช่หรือเปล่าน้า ติ๊กต๊อกๆ #หลับแปบ ฮ่าๆ

ตัวพี่ใช่ ฤๅ ไม่  o22 :a5:  อ่านรวดเดียวเลยค่า สำนวนดีมาก ภาษาก็ดี สนุกมากกกกกก :hao7: :katai2-1:
มาต่อไวๆนะคะ รอติดตาม :impress2: :pig4: o13 :z3:
ขอบคุณที่คุณชอบ และสามารถมากๆที่อ่านรวดเดียวถึงตอนล่าสุด ยกนิ้วให้เลย ใช่ตัวพี่ ฤา เปล่านี้ ไม่เฉลยแล้วกันให้เดากันเอาเอง

ผมว่าคนที่หลงรักพจน์แน่ๆเลย  ที่มาเห็นเนี้ย
คนที่หลงรักพจน์เนี่ย ใช่คุณหรือเปล่าครับ ล้อเล่นๆ ฮ่าๆ

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๖ ตรีทินกรศศิธรทวิดวง ๕๐% (๑๗/๐๖/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 17-06-2016 20:33:59
ใช่คุณ  แน่ๆ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๖ ตรีทินกรศศิธรทวิดวง ๕๐% (๑๗/๐๖/๕๙) หน้า ๙ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 17-06-2016 22:54:32
คนพี่ชัว (แอบเติมไม้เอกได้ไหม)
ของน้องนะพ่อคุณ :katai1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๖ ตรีทินกรศศิธรทวิดวง ๑๐๐% (๒๑/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 21-06-2016 10:59:15
[ต่อ]


ท่ามกลางความสบสนมึนงงอยู่นั้น ดูเหมือนสมองของพจน์จะประมวลผลถ้อยคำของพระมหาอุปราชผิดไปจากเมื่อแรกยินหรืออย่างไร จึงทบทวนความนั้นซ้ำอีกหน ก็พลันรู้สึกสะดุ้ง กำลังจะอ้าปากถามก็มาถูกเสียงเอ็ดตะโลอื้ออึงดังโหวกๆมาแต่ชายป่าด้านทิศกองฟืนตั้งอยู่ สุริยะอุปราชหนุ่มละกิริยาสลดเป็นเข้มแข็งรวดเร็ว สะบัดพระแสงทวนในท่วงท่าเตรียมพร้อม พลางตรัสว่า

“คงมีเหตุมิบังควรเกิดขึ้นเป็นแน่ จำเราจะตรวจดู เจ้าคอยอยู่ ณ  ที่แห่งนี้อย่าเขยื้อนไปที่ใด”

“ไม่ เราจะไปด้วย” พจน์ยืนกราน พระมหาอุปราชสีพระพักตร์ขึงขังแล้วยัดเยียดหอกซัดใส่มือ

“เอาไว้ป้องกันตน หากเกิดสิ่งใดขึ้น เจ้าต้องร้องให้ข้าได้ยิน อย่าทำอัตวินิบาตกรรมดั่งคำข้ามุสากล่าวอ้างมาก่อนหน้าเป็นเด็ดขาด” สุริยะหนุ่มสั่งความหนักแน่น ทั้งที่ในหัวพจน์ผุดคำถามมากมายแต่ก็พยักหน้ารับ รู้สึกเป็นห่วงมาตะจนไม่สามารถยืนฟังต่อได้ เร่งฝีเท้านำสู่เสียงชุลมุนนั้น

รอบกองเพลิงปรากฏเงาคนแลม้าขยับกีบเท้าล้อมอยู่รอบคนทั้งแปด มาตะตั้งท่าถือดาบในอิริยาบถพร้อมรบ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ พจน์และอุปราชสุริยะแฝงเร้นอยู่แนวนอกวงล้อมของกลุ่มคนผู้มาใหม่ แต่ละคนนุ่งห่มผ้าผืนดำ ท่อนบนเปลือยอก ปิดพันใบหน้าเหลือเพียงดวงตา นั่งอยู่หลังอาชา คะเนด้วยสายตาคงราวๆประมาณยี่สิบคน อาวุธดาบแลทวนครบมือส่องประกายต้องแสงอัคคีเจิดจ้า

“จงวางศาสตราวุธทั้งหมดลงกับพื้น บัดเดี๋ยวนี้”

เสียงฮึกเหิมของชายหนุ่มออกคำสั่งดังลั่น พจน์ขยับพุ่งจะเข้าหามาตะแต่ถูกอุปราชสุริยะดึงรั้งแขนไว้ อาศัยแนวต้นไม้เป็นที่กำบังหลบภัยซ่อนเร้น

“ปล่อย!” พจน์ขืนตัวหมายใจเข้าช่วย

“รอก่อน หากเจ้าถลันเข้าสู่วงล้อม หนทางออกนั้นจักมีอยู่หรือ ฤา เจ้ามีแผนการตีฝ่ากระนั้น” อุปราชหนุ่มแย้งยกถ้อยความจริงมาอ้าง พจน์ส่ายหน้า รู้แต่ว่าตนต้องเข้าไปช่วยมาตะให้ได้

“ข้าทั้งหมดกระทำผิดอันใด ฤา จึ่งเป็นเหตุให้พวกเจ้ามากลุ้มรุมล้อม เสมือนหนึ่งโจรชั้นต่ำจักวางกลลอบเข้าปล้นฉะนี้”

ถ้อยความส่อเสียดโอหังนั้นพจน์จดจำสำเนียงแลสุ้มเสียงได้ และเมื่อแสงไฟสาดกระทบใบหน้าคล้ายไอ้กันจึ่งเห็นเป็นนายกองกฤษณะ นุ่งหุ่มคล้องผ้าราคาพื้น ถือทวนประจำตัวยืนตั้งมั่นพร้อมรบไม่ขลาดกลัว ฮึดสู้ท้าทายฉายชัด เช่นเดียวกับโกสินทร์แลเวฬุ สหายคนสนิทของมาตะ ต่างกระชับอาวุธเคียงข้างถัดมา เบื้องหลังเป็นบุรุษอีกจำนวนสี่คนที่พจน์ไม่รู้จักสอดส่ายอาวุธระแวดระวัง ด้วยลักษณะรูปร่างใหญ่โตล่ำสันของคนทั้งแปด ทำให้ผู้ปิดล้อมขยับบังเหียน ม้าเคลื่อนไหววนเวียนไม่อาจเข้าประชิดได้สมคะเน

“อ้ายถ่อยฝีปากกล้าเยี่ยงนี้น่ะรึ สามหาวอวดดีมากล่าวคำปรามาสว่ากูเป็นโจรชั้นต่ำ พวกมึงทั้งนั้นต่างหากมิผิดตัว คือโจรชั่วอันชาวเมืองเลื่องลือสื่อถึงกรมการเมือง” เจ้าคนชุดดำปิดบังใบหน้าตัวสูงสันทัดคนเดิมเย้ยซ้ำ “ด้วยท่าทีหลบๆซ่อนๆ มีลับลมคมใน แลมิเคยคุ้นสำหรับถิ่นที่นี้ จำกูต้องนำตัวพวกมึงทั้งหมดไปสอบความให้จงได้ จงวางอาวุธแหละยอมถูกพันธนาการแต่โดยดี หาไม่แล้วความตายจักเป็นสิ่งที่พวกมึงเห็นเป็นครั้งสุดท้าย”

“ก็แหละตัวกูนี้ เกิดมาหาใช่ด้อยฝีมือถึงขั้นยอมยืนฝืนนิ่งให้ใครอื่นมาดูถูกตัวได้ โดยไม่ฝากรอยแผลเป็นเครื่องเตือนสติแลฝีปากกล้าของมัน” กฤษณะตวัดทวนหมุนวนข่ม มิได้ระย่อเกรงกลัวแม้แต่นิด “จงเร่งควบม้าเข้ามาอย่าช้าที แลรอยแผลชั้นดีจักตราตรึงฝังกายมึงจวบกระทั่งวันตาย”

“ช้าก่อน กฤษณะพี่ท่าน”

มาตะเห็นสถานการณ์ลุกลามบานปลายจนอาจก่อเกิดเป็นการตะลุมบอนเช่นนั้นไม่เหมาะสม อีกทั้งลักษณะคำพูดของกลุ่มคนชุดดำสังเกตดูคล้ายเจ้าหน้าที่พนักงานกรมการเมืองอย่างหนึ่ง แลคงมิพ้นทหารหลวงเป็นแน่แท้ หากก่อการวิวาทนอกจากจำต้องฆ่าฟันคนดีซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่แล้ว ยังอาจสร้างเรื่องราวลุกลามบานปลายใหญ่โต การมาสืบราชการลับคงมิลับอีกต่อไป เห็นเช่นนั้นจึ่งออกตัวยุติความ

“หากเดามิผิด พวกท่านเหล่านี้คงดำรงยศถึงทหารหลวง คอยลาดตระเวนตรวจตราราชภัยเป็นแม่นมั่น หากข้ากล่าวผิดพลาด ฤา มิถูกต้องจงทักท้วงด้วยเถิด ด้วยลักษณะอาชารูปร่างใหญ่โตผิดขนาดอันราษฎรสามัญจักมีไว้ครอบครองหนึ่ง พร้อมด้วยเครื่องม้าอันผูกประดับด้วยลายวิจิตรเป็นต้น ขลุม จงกล หรือ ตาบ หนึ่ง” มาตะสืบเท้าเข้าหาแจกแจงถี่ถ้วนโดยละเอียด พิจารณารูปพรรณสัณฐานม้าอันถูกปิดบังไว้ด้วยไม่ระมัดระวัง แลประกอบขึ้นเป็นที่ผิดสังเกตก็มองเห็นทะลุปลุโปล่งโดยสิ้น อาศัยความทั้งนี้เป็นข้อใหญ่ใจความสำคัญในคำเจรจา
 
“แลทั้งวาจาพูดคุยเป็นหลักการน่านับถืออีกหนึ่ง พร้อมด้วยอาวุธยุทธภัณฑ์อันประกอบด้วยดั้ง โล่ เขน ธนู ดาบ แลทวน ล้วนตระการตาเงาวับ ราวกับจับดูแลมาอย่างดี ทั้งลวดลายสีสันวิจิตรบรรจง บ่งยศศักดินากว่าชั้นไพร่ ทั้งคมกริบสะท้อนแสงไฟเป็นสัญญาณบอกความนัยแห่งวรรณนักรบหนึ่ง สี่ประการนี้ทำให้ข้าอาจสรุปความได้ว่า นอกจากพวกท่านทั้งหมดจักเป็นยอดขุนพลรับใช้แผ่นดินแล้ว คงกินยศศักดิ์สูงสง่า สังกัดกองพยุหสิงหราลาดตระเวนเขตขันธ์เป็นแน่แท้” มาตะอาศัยทักษะไวปัญญาแก้ไขไกล่เกลี่ย

“เหตุใดเจ้ามาทำท่าทีอ่อนน้อมอ่อนแอเฉกนี้ มาตะ พวกมันเห็นจักตริเอาได้ว่า อ้ายไพร่ตรงหน้านอกจากไร้ฝีมือแล้วหามีสิ่งใดจะคมเท่าฝีปากของมันก็เท่านั้น จงสงบคำแลปล่อยเป็นธุระเราจัดการเอง” กฤษณะเห็นมาตะทำประหนึ่งเสือติดบ่วงแล้วมาสำแดงกิริยาอ่อนน้อมแก่นายพรานหวังให้นายพรานเมตตานั้นทนไม่ได้จึ่งตวาดดังลั่นซ้ำว่า “หากเป็นทหารหลวง หรือโจรป่าชั้นเลว ก็จงเข้ามาอย่าช้าที ทวนของข้านี้อยากลิ้มโลหิตฝากรอยแผลแก่มันผู้กล้าหาญสุดทานทนแล้ว”

“วิสัยมุทะลุประจำกายท่าน มิอาจนำมาใช้ในสภาวะการณ์เช่นนี้ได้ ก็แหละข้าชี้ช่องแล้วว่า คนเหล่านี้เป็นถึงทหารรับสนองคุณแผ่นดิน ย่อมถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาสวามิภักดิ์จงรักต่อองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แลอาณาประชาราษฎร์มิให้ได้ยากลำบาก คติประจำใจยึดมั่นเป็นหลักชัยเช่นนี้ เราเป็นแต่เพียงประชาชนใต้ร่มบรมโพธิสมภาร กอรปกับทำความดีมาทั้งชีวิต มีหรือทหารประจำพระองค์จักมิยึดถือเหตุแลผล ปฏิบัติกับเราด้วยเมตตาธรรม ก็แหละพวกท่านประสงค์จักสอบความเรานั้นย่อมสามารถ ก็หมู่ข้าทั้งนี้จำเดิมเป็นพ่อค้าวาณิช เที่ยวร่อนเร่สืบหาของอย่างดีไปค้าขายแล้ว ยังดำรงชีพด้วยการรับจ้างนำทางตามแต่ผู้เรียกหา หากชาวเมืองนี้จักมิเคยคุ้นหน้าย่อมถูกต้อง ด้วยพวกพ้องเหล่าข้าอพยพระเหระหนย้ายที่ทางทำกินอยู่เสมอ จากเมืองหนึ่งสู่อีกเมืองฉะนี้ จนก่อเป็นข้างระแวงว่าเป็นโจรผู้ร้ายนั้นไม่ควรก่อน ความสุจริตใจแลอาชีพเป็นมาดั่งนี้ หมู่ท่านผู้ครองสติแลบรรดาศักดิ์วรรณะสูงโปรดตรองจงดีเถิด ว่าพวกข้าเป็นอันตรายจนถึงขั้นก่อภัยนั้นยังจะถูกอยู่หรือ”

กฤษณะมีทีท่าไม่ยอมลงโดยง่าย ครั้นจะกระทำตามใจมุ่งหมายเดิม พวกที่มาด้วยก็ไม่เป็นใจด้วยตน หากมุทะลุบุ่มบ่ามประจันบานแต่เพียงผู้เดียว คงเสียมากกว่าได้จึ่งอดกลั้นข่มใจยืนนิ่งหน้าถมึงทึงอยู่

“เจ้าคนผู้นี้พูดจาเป็นหลักการน่าเชื่อถือ แต่จักให้เราปล่อยวาง ไม่สอบความนั้นทำไม่ได้ นอกจากพวกเจ้าในที่แห่งนี้แล้ว ยังจักมีใครอื่นอีก ฤา ไม่”

มาตะถูกถามเช่นนั้น บังเกิดห่วงคนรักขึ้นมาในทันใดก็อ้ำอึ้งอยู่ อีกทั้งจักดึงพระมหาอุปราชมาสู่ที่เป็นตายเสมอกันด้วยนั้นไม่อาจทำได้ เหลือบแลมองโกสินทร์และเวฬุ ต่างส่ายหน้าตอบเป็นนัยอยู่ เช่นเดียวกับกฤษณะนายกอง จึ่งว่า

“นอกกว่าเราในที่แห่งนี้ ท่านแลเห็นเงาคนอื่น ฤา หาไม่ หากจักสอบความ ณ บัดนี้ หมู่ข้ายินยอม จงเร่งกระทำเถิดอย่าได้ยากเสียเพลาเลย” มาตะอาศัยความใจเย็นลูบเข้าปลอบ

เจ้าคนชุดดำบนหลังม้าเหวี่ยงตัวลงมาพร้อมธนูในกำมือ เดินดุ่มๆเข้าประจันหน้ากับมาตะ ระดับส่วนสูงคะเนใกล้เคียงกัน มาตะลดอาวุธแต่มิได้เปิดช่องให้โดยง่าย หากเกิดสิ่งไม่คาดคิดก็สามารถป้องปัดได้ทันท่วงที

“เราถูกชะตาเจ้านัก ทั้งฝีปากเฉียบคมแลไหวพริบชาญฉลาด แต่หะนี้ตกขาดไปบางสิ่ง ก็แหละหากสายตาข้ามิได้เลอะเลือนแล้วไซร้ อาชาซึ่งผูกรั้งตามโคนไม้ข้านับได้สิบ ฤา เจ้าจักบอกว่าอีกสองตัวมีไว้สำรองก็มิอาจแก้ได้ ด้วยสัมภาระหามีมากถึงขั้นนั้นสามารถนำติดตัวไม่ลำบาก จงเอ่ยปากบอกเราบัดเดี๋ยวนี้ ใครอีกที่เจ้าปกปิดไว้”

ดวงตาคมเบื้องใต้ผ้าคลุมสีดำเขม้นรอความจริง
 
“หากข้าจักกล่าวว่าเป็นม้าสำรองจริง ก็ถูกท่านดักไว้เสียแล้ว เมื่อความเที่ยงแท้เป็นเช่นนั้นหากถูกท่านแปรเจตนาเป็นเท็จแล้ว ไหนเลยข้าจักอาจเอ่ยความเดิมได้อีก ก็แหละในเมื่อท่านปลงใจว่าหมู่ข้าผิดมาตั้งแต่หนต้น ความจริงใดจักสามารถมาลบล้างผิดอันฝังใจท่านนั้นคงไม่มี” มาตะยืนนิ่งสุขุมไม่ให้มีพิรุธจับได้ “เชิญท่านสรุปโทษแลลงอาชญาเสียเถิด อย่าได้ประวิงเวลาอันมีค่าอยู่เลย หากแม้นตัวตายแล้ว ทว่าความซื่อสัตย์ประจำตัวจะตายไปพร้อมด้วยชีพนั้นเป็นไปมิได้”

ฝ่ายเจ้าหนุ่มชุดดำเห็นมาตะสำแดงทีท่าสุจริตใจ อีกทั้งแววตาขรึมเป็นหลักฐานมั่นคงอยู่ก็หลากใจสนเท่ห์ เจ้าคนชุดดำอีกคนแต่งกายมิดชิดสวมเสื้อปกปิดหน้าอกเหวี่ยงตัวก้าวลงจากหลังม้าเดินมาเคียงคู่ เพียงเอ่ยคำหนึ่งก็รู้ว่าเป็นเสียงสตรีเพศ

“น้องเราอย่าเพ่อด่วนตัดสินความคนเหล่านี้ หลักฐานยืนยันถูกผิดนอกจากคำลือของชาวบ้านชาวเมืองแล้วมิเห็นสิ่งใดเป็นที่ยึดถือ หากเรากุมตัวส่งกรมการเมืองพิพากษาไต่สวน ก็รังแต่จะหวนสร้างความร้าวฉานแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน เพราะท้ายสุดก็คงถูกปล่อยตัวหามีความผิดมิได้ หน้าที่เราคือพิทักษ์ดูแลความสงบสุขของอาณาประชาราษฎร์ ประเดี๋ยวนี้พี่แลเห็นว่าเจ้ากลับอาละวาดสร้างความเดือดร้อนเสียมากกว่า”

มาตะสดับสำเนียงเสียงหวาน สำรวจทรวดทรงเป็นสตรีแน่แท้ก็ให้คลายใจ เพราะดวงตาระริกไหวของเจ้าหนุ่มชุดดำเริ่มสั่นคลอน หน้าอกนูนแน่นกระเพื่อมขึ้นลงราวกับตื่นเต้น ความมั่นใจก่อนหน้ามาถูกสตรีเคียงข้างเขย่ายื้อดึงรั้งไว้ สบเห็นเป็นช่องทางเอาตัวรอดได้แล้วจึ่งว่า
 
“หากเพื่อความสบายใจของท่าน ข้ายินยอมติดตามสู่สำนักสอบสวนความโดยละมุนละม่อม แต่จักให้ยากถึงย่อมนำพาขบวนทั้งหมดนั้นไม่ควรก่อน รังแต่จะเป็นภาระเคลื่อนย้ายจงคุมตัวไว้แต่ที่นี้ แลหากสิ้นคดีจงอโหสิปล่อยคนของเราไปอย่าได้ถือโทษโกรธกันอีก”

เจ้าหนุ่มชุดดำสบตามาตะแน่วแน่ พลางกำมือรอบคันธนูแน่น มิได้เอ่ยความใดตอบกลับ เอาแต่ยืนจดจ้องเช่นเดียวสตรีชุดดำข้างกาย ทหารม้าต่างคุมเชิงรอคำตอบอยู่รายล้อม

“ท่านจักเดินทางไปที่ใด” เจ้าหนุ่มชุดดำซัก

“ผ่านนครเขตขันธ์ลูกหลวงนี้แล้ว ข้ามุ่งหมายเลียบเคียงหยุดค้าแลเปลี่ยนม้า ณ มัธวะอาชา ครั้นแล้วจึงบ่ายหน้าสู่ทวาระบุรี ออกช่องเขาสุวรรณคีรี สู่นครไพรพนาวรรณ แล้ววกกลับมาเส้นทางเดิม” มาตะเผยแผนการโดยซื่อแต่งำเรื่องสืบราชการลับไว้

เจ้าหนุ่มนิ่งฟังชั่วครู่แล้วจึงปลดผ้าคลุมศีรษะออก เผยให้เห็นใบหน้างดงามราวกับอิสตรี ด้วยคิ้วโค้งดวงตารีเรียวใส พร้อมริมฝีปากแดงจับใจสวยสด หากมิเคยได้ยินยศสำเนียงเสียงห้าวคงเดาได้ไม่ยากว่าเป็นหญิงเลิศผู้เลอโฉมเป็นแน่ กึ่งกลางหน้าผากเขียนสีขาวเป็นหยดน้ำ เช่นเดียวกับหญิงสาวใกล้เคียงก็ปลดผ้าคลุมศีรษะออกเช่นกัน นางงามแฉล้มเช่นเดียวกับเจ้าหนุ่มหน้าสวย คลับคล้ายคลับคลาราวกับพี่น้องร่วมอุทร

“นามของข้าคือ บุหลัน แลสตรีผู้นี้คือ สิตางศุ์ ผู้พี่” เจ้าหนุ่มหน้าสะคราญนาม บุหลัน บอกชื่อตัวและแนะนำคนข้างเคียง พลางทอดถอนใจ ดวงตาจับจ้องมาตะไม่กะพริบไหว “เจ้าจงให้สัตย์สัญญากับข้าอย่างหนึ่ง ด้วยเส้นทางอันเจ้าเลือกนั้นเป็นทิศทางประกอบด้วยอันตรายคอยอยู่ ก็แหละเบื้องหลังช่องเขาประตูด่านสุวรรณคีรีนั้น บัดนี้ร่ำลือถึงเงามืดปกคลุมเป็นสัญญาณแห่งความตาย เหตุใดถึงขนาดต้องนำตัวไปสู่ที่วอดวาย ด้วยพ่อค้าแม่ขายอื่นหะนี้มีแต่หลีกเลี่ยงเส้นสายทางมรณะเป็นลำดับต้น”

ในชั้นแรกมาตะประหวั่นว่าความลับจักถูกแพร่งพราย แต่ถ้อยความแลสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยฉายชัดเช่นนั้น มองครั้งเดียวก็นึกรู้ว่าอีกฝ่ายคิดตรองเช่นไร จึ่งตอบให้คลายใจว่า

“พ่อค้าเช่นเราจักมีหนทางเลือกได้มากมายนักนั้นเป็นไม่มี ด้วยไม้จันทน์ หอมซึ่งอยู่นอกเขตประตูด่าน อันปลูกขึ้นเป็นดงอุดมสมบูรณ์บัดนี้ราคาค้าขายเหยียบหลายร้อยชั่ง๑๐ เป็นที่ล่อตาล่อใจแก่พ่อค้าทุกผู้ แลบัดนี้ไม้หายากนั้นขาดตลาด ราคาจึ่งพุ่งผาดสูงลิ่วด้วยไม่มีผู้ใดอาจหาญเข้าไปจริงดังท่านว่า แต่จักเกิดหวั่นกลัวแก่ใจหมู่ข้านั้นเป็นไม่มี ด้วยฝีไม้ลายมือป้องกันตนพอมีประดับเป็นเกราะคุ้มภัยอย่างหนึ่งแล้ว อันตรายใดแฝงอยู่ก็มิอาจลดทอนวิสัยพ่อค้าลงได้”

“เห็นจะมิต้องฝ่าฟันนำชีวิตไปเสี่ยงถึงขั้นเอาวิญญาณมาวางไว้บนเส้นด้ายกระมัง กำไรอันมากมีไหนเลยจะเทียบได้กับชีวีของคนคนหนึ่ง” สิตางศุ์กล่าวห้ามด้วยหน้าเศร้า “เรามองท่านเพียงปราดเดียวก็เห็นว่าเป็นคนซื่อ แลจะมีคำโกหกเคลือบแฝงอยู่หรือไม่พระพรหมเท่านั้นที่จะเป็นผู้บอกได้ ความจริงใจของท่านสำแดงผ่านแววตาคม พร้อมถ้อยคำสมเป็นหลักฐานมั่นคงแล้วว่า เกิดจากความเข้าใจผิด แลด่วนปลงใจเชื่อในสิ่งที่ไม่เห็นด้วยตา เราขอปล่อยท่านบัดเดี๋ยวนี้”

มาตะรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก กฤษณะเห็นคำพูดมาตะมีคุณเช่นนั้น คำพูดหยาบช้าเกิดขึ้นในใจแต่เดิมก็มีอันลบหาย
 
“ช้าก่อน” เจ้าบุหลันคนงามท้วงห้ามหน้าเฉย “เราขอคำสัตย์จากท่านอย่างหนึ่งนั้น ยังจำได้ ฤา ไม่”

มาตะเหลียวมองคนผู้นั้นทั้งที่ใจยินดีกำลังจะหลุดพ้นจากสถานการณ์เดือดร้อนนี้ แต่ท่าทีสีหน้าของอีกฝ่ายประหนึ่งมิประสงค์ให้สถานการณ์สิ้นสุด

“เรื่องใด ฤา”

“จักไม่เอยนามของท่านให้ข้าได้รับรู้เชียวหรือ” บุหลันกดริมฝีปากแน่น

“นามข้าคือ มาตะ”

“มาตะ ท่านจงสัญญากับข้าอย่างหนึ่ง หากข้าปล่อยท่านไปแล้ว ไม่ว่าหนทางเบื้องหน้าจักเป็นเช่นไร มีอันตรายอย่างหนึ่งอย่างใดแฝงเร้นอยู่ จง...” มาตะเห็นรอยน้ำตาคลออยู่รอบนัยนาสวย “จงเอาชีวิตรอดกลับมา ขับอาชาเข้าไปในเมืองเขตขันธ์ สอบหานายกองบุหลันมีชื่อ นำใบหน้าของท่านมาให้ข้าได้เห็นว่า ข้าปล่อยท่านไปเพื่อต่อชีวิต มิใช่ปล่อยท่านเพื่อไปตาย จักทำได้ ฤา ไม่ มาตะ”

“ข้าให้คำสัญญา...”

ยังไม่ทันมาตะจะกล่าวจบ เจ้าหนุ่มบุหลันนายกองทหารลาดตระเวนก็โผตัวยื่นริมฝีปากสวยเข้าประกบปากมาตะรวดเร็วจนอีกฝ่ายไม่ทันระวัง ก่อเกิดเสียงร้องพิศวงตกใจจากผู้คนรายรอบด้วยไม่คิดจะได้เห็นกิริยาจุมพิต ปรากฏชัดเจนด้วยแสงเพลิงต้องประชิดใบหน้าของเจ้าหนุ่มทั้งคู่ฉายชัดมาสู่ดวงตาภัทรพจน์เสมอกัน


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3408618#msg3408618)
เพจนิยายข้ามพิภพ (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)

______________________________

บังเหียน : เครื่องบังคับม้าให้ไปในทิศทางที่ต้องการ ทำด้วยเหล็กหรือไม้ใส่ผ่าปากม้า ที่ปลายมีห่วง ๒ ข้างสำหรับผูกสายบังเหียนโยงไว้ให้ผู้ขี่ถือ
ขลุม : เชือกถักเป็นเครื่องสวมหัวม้า สำหรับล่ามหรือจูง
จงกล : ก้านของพู่ที่ประดับหัวม้าติดอยู่กับขลุมทั้ง ๒ ข้าง
ตาบ : เครื่องประดับหน้าผากม้า มีลักษณะเป็นแผ่น
ดั้ง : สิ่งที่ใช้ป้องกันตัว ทำด้วยหนังดิบทารักดำ มีลายยันตร์ทอง หรือเป็นเหล็กด้านหลังทารักสีแดง รูปกลมหรือสี่เหลี่ยมยาว
เขน : สิ่งที่ใช้ป้องกันตัวชนิดเหลี่ยมทำด้วยไม้ทารักดำเขียนลายทองหน้าราหู ด้านหลังทารักสีแดง ใช้บนพื้นดิน ชนิดกลมทำด้วยหนังดิบและหวาย ใช้บนหลังม้า
บุหลัน : ดวงจันทร์
สิตางศุ์ : ดวงจันทร์
ไม้จันทน์ : เนื้อไม้ของต้นจันทน์หอม จันทน์ขาว เป็นต้น
๑๐ ชั่ง : มาตราเงินตรา ๑ ชั่งมีค่าเท่ากับ ๘๐ บาท

______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

ใช่คุณ  แน่ๆ
ที่บอกว่า 'คุณ' เนี่ย หมายถึงคุณ หรือว่าผม หรือว่าใครครับ เอาให้แน่ๆ 555 ครึ่งหลัง บทที่ ๒๖ มาแล้วนะครับ เป็นไงบ้าง รู้หรือยังว่า เป็น 'คุณ' หรือ 'ใคร' อิอิ

คนพี่ชัว (แอบเติมไม้เอกได้ไหม)
ของน้องนะพ่อคุณ :katai1:
โห อย่าเติมไม้เอกเลยครับ ถ้าพระมหาอุปราชสุริยะมาเห็นเข้าจะเสียใจเอาน้า อิอิ ถึงจะเป็นของน้องแต่ดูเหมือนพี่ท่านจะไม่รู้หรือว่าอย่างไรจึงพูดเหมือนฝากตัวฝากใจแบบนั้น ดูเหมือนจะได้กลิ่นดราม่าโชยมาอีกละ แหะๆ

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๖ ตรีทินกรศศิธรทวิดวง ๑๐๐% (๒๑/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 21-06-2016 17:07:02
เย้ๆๆๆมาแล้วววว รอทุกวันเลยย
มาตะคนซื่อ? โดนเล่นซะแล้ววมาตะตัวละครเพิ่มอีกแล้ว จะจำหมดไหมนิ ภัทรมีคู่แข่งดร่าม่ามากไหม :ling3: สู้ค่ะคนเขียนรอตอนต่อไปจ้าา
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๖ ตรีทินกรศศิธรทวิดวง ๑๐๐% (๒๑/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 21-06-2016 17:44:30
มาตะคนซื่อ........เก็บเสน่ห์ไว้ก็ดีนะ :katai5:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๖ ตรีทินกรศศิธรทวิดวง ๑๐๐% (๒๑/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 21-06-2016 19:53:03
 :mew4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๖ ตรีทินกรศศิธรทวิดวง ๑๐๐% (๒๑/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: zizits ที่ 21-06-2016 21:48:36
จะหักมุมอะไรอีก อย่ามีดราม่ามือที่สามเลยจะได้ไหม มือที่สามหลายทางจริงๆ  :ling3:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๖ ตรีทินกรศศิธรทวิดวง ๑๐๐% (๒๑/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: runtothemoon ที่ 22-06-2016 02:12:06
น้องพจน์กับมาตะนี่ยังไง ทำไมหนุ่มๆ(?)สาวๆชอบมารุม5555555555555 บอกได้เลยว่ามาตะตายแน่ จะไม่มีการใจอ่อนให้อภัย! พจน์ห้ามใจอ่อนเหมือนรอบก่อนนะ นี่มันต่อหน้าต่อตาชัดๆแหม่ทีศัตรูถือดาบมาฟาดยังหลบได้ แล้วทำไมถึงหลบจูบหนุ่มน้อยนายกองไม่ได้ล่ะ โมโหๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :ling1: :ling1: :ling1: :m16: :katai1: :angry2: :m31:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๖ ตรีทินกรศศิธรทวิดวง ๑๐๐% (๒๑/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 22-06-2016 11:30:27
ตบสุริยะพร้อมบุหลันเลย มีสิทธิอะไรมาแตะต้องพระนายเรื่องนี้ แง่ง!!
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๗ น้ำตาสายโลหิต ๕๐% (๒๔/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 24-06-2016 14:29:19
บทที่ ๒๗


น้ำตาสายโลหิต



หยดน้ำค้างหลั่งลงเกาะตามใบตะเคียนอุปมาฝนพร่างพรมจากท้องฟ้า ลัดเลาะยอดไหลลามลงอาบโคน นัยนาน้ำตาลสวยสะพรั่งสั่นระริกไหว เจ้าหนุ่มภัทรพจน์มิได้รับรู้ถึงหยดน้ำค้างกระทบร่องแก้มจวบกระทั่งพระมหาอุปราชสุริยะทรงใช้พระดัชนีลูบเกลี่ยนุ่มนวลจึ่งสำนึกตัว ราวกับสติหลุดลอยชั่วขณะ ด้วยภาพเหตุการณ์เบื้องหน้ามองเห็นชัดเต็มตาดุจเกิดห่างเพียงลมหายใจรดกัน

นายกองบุหลันถอนริมฝีปากออก นัยน์ตาคมล้อมด้วยแพขนตางอนมองช้อนมาตะด้วยหน้าละห้อย ขยับถอยห่างเล็กน้อย มิได้สนคำกระซิบกระซาบรายล้อมตัว

“ข้าขอฝากรอยจูบนี้ติดตัวท่านไว้ ด้วยหนึ่งเพียงสบตาแลเห็นกิริยาวาจาแล้วอดที่ใจข้าจักทะเยอทะยานวาบหวานมิได้ แลอีกหนึ่งการกระทำนี้ล้วนแฝงถ้อยคำมากมายอันผุดพรายเป็นความยืดยาว คือ ทั้งฝากตัว ฝากรัก ฝากใจไว้กับท่านนับจากนี้” กล่าวพลางก็ยืดอกมั่นคงในเจตนา
 
“ช่างน่าอดสูนัก ตัวเป็นชายแต่หวั่นไหวนิยมชมชอบในชายด้วยกันยังมิพอ กลับกระทำกิริยาเลวทรามประหนึ่งคนลามกมูมมามมักมากในกามล่วงเกินมาตะท่าน โดยมิอายผีสางเทวดาน่าบัดสี ความผิดใดก่อปัดไมตรีจงลงแก่ข้าบุหลันเถิด แต่หากท่านหมายประสงค์ปฏิเสธน้ำใจด้อยค่า ด้วยมิได้พึงรักใฝ่ปรารถนาสมัครสมานในอาการทอดตัวไปหา เป็นกิริยาหน้าอายต่อสายตาสหายท่านแลคนทั้งปวงแล้ว จงออกปากมาคำหนึ่งเถิดว่า มิอาจรับรักรับน้ำใจ แลทั้งนี้จงอย่าหวั่นเกรงว่า ข้าทหารใต้บังคับบัญชาผู้ติดตามจะบังเกิดความขุ่นแค้นเมื่อเห็นนายตัวถูกปฏิเสธ ในใจท่านรู้สึกเช่นไรจงแจ้งกล่าวให้บุหลันได้ยินสักคำหนึ่งเถิด”

ฝ่ายมาตะมาสำนึกตัวจะขยับถอยก็สายเสียแล้ว ครั้นถูกวาจาของนายกองมากโฉมรำพันความรู้สึกล้ำลึกก็พลันน้ำท่วมปาก

“บุหลันน้องเรา ไยกล่าวคำเป็นดั่งหินผาถาโถมใส่วาณิชผู้นี้เล่า ก็แหละเจ้ามิอาจระงับใจแลอาการให้มั่นคงจนเผลอไผลก้าวล่วงจาบจ้วง คำเดียวเท่านั้นอันควรกล่าว คือ ขออภัย” สิตางศุ์ชี้ช่องเตือนสติ
 
กฤษณะ โกสินทร์ แลเวฬุต่างตะลึงตะไลอ้ำอึ้งในการกระทำเกินคาดคิด มิอาจพูดช่วยเพื่อนเกลอได้ก็คอยฟังความจากเจ้าหนุ่มรูปงามอยู่ ครั้นเห็นตรึกตรองเงียบงันคือรางวัลแทนคำตอบจากมาตะ เจ้าบุหลันจึ่งคืนสติ ราวกับถ้อยคำบอกปัดผุดผลิบนใบหน้าหล่อเหลาชัดแจ้ง

“ขออภัยที่ล่วงเกินมาตะท่าน ข้ารู้คำปฏิเสธผ่านนัยเนตรนั่นแล้ว อย่าได้เอ่ยคำใดอีก บุหลันเห็นทีมิอาจยืนเป็นเครื่องทรมานสายตาท่านต่อไปได้ ขอตัวลา” เจ้าหนุ่มบุหลันผลุนผลันหมายใจสู่อาชาประจำตน ครั้นมาตะเห็นน้ำตาก่อเกิดขึ้นเพราะตัวเป็นต้นเหตุก็รีบไขว่คว้าแขนนายกองมีชื่อไว้ ไม่ทันระวังว่ากิริยาอาการทั้งนี้จะเป็นดั่งอาวุธยอกแสยงหัวใจภัทรพจน์ จนพระมหาอุปราชหนุ่มผู้อยู่เคียงข้างลอบสังเกตเห็นความกำสรดปรากฏแน่ชัด พระหทัยมั่นคงก็สั่นไหวร้าวรานเสมอกัน
 
“นายกองบุหลันท่านมิควรตัดสินความโดยอาศัยแต่เพียงม่านตาคน มาตะเป็นชายสมชายคลุกคลีอยู่แต่บุรุษด้วยกันคือเพื่อนตายสหายรัก ครั้งใดเพื่อนตัวมามีอาการเศร้าสลดรันทด ความจริงในใจแลคำพูดทั้งนั้นคือสิ่งปลอบโยน  ก็แหละท่านพินิจดูแล้ววัยวุฒิเราสองคงต่างเดือนกันมิกี่มากน้อย หากนับเข้าร่วมสมาคมกัลยาณมิตรก็คงนับได้เช่นนี้แล้ว อาการท่านมอบจูบฝากฝังไว้กับมาตะ ในสายตาข้ามิเห็นเป็นอื่นนอกจากน้องฝากตัวกับพี่ชาย ก็แหละเมื่อท่านประสงค์จักหมายกระทำฝากตัวไว้เฉกนั้น จะมีอาการหลบลี้หนีหน้ามิควรก่อน น้ำใจท่านนอกกว่าผู้น้องมอบให้ผู้พี่แล้ว มาตะมิเห็นเป็นอย่างอื่นได้อีกจึ่งขอรับไว้”
 
มาตะยิ้มแย้มแก้ความนัยของนายกองบุหลันเปลี่ยนจากคนพิศวาสฝากความกันเป็นน้องฝากตัวกับพี่เช่นนั้น บุหลันนายกองชั้นแรกก็ผุดเคืองขึ้นมา ครั้นเห็นเจตนาเคลือบแฝงพยายามแก้หน้าตัวมิให้ตกเป็นเครื่องอับอายแก่คนใต้บังคับบัญชาก่อเป็นคำนินทาลับหลังก็นิ่งฟังความอยู่
 
“แลหากข้าดั้นด้นค้าขายกลับมาหนทางเดิมซ้ำอีก จะเพิกเฉยมินำตัวไปให้น้องเราเห็นหน้านั้นทำมิได้ ก็แหละบัดนี้เราต่างเป็นพี่น้องฝากฝังตัวกันไว้แล้ว หยดน้ำตาโศกศัลย์อันกลั่นจากดวงตาบุหลันน้องท่านควรละทิ้งเสียเถิด เมื่อพี่มาแลเห็นน้องร่ำไห้ระทมมีหรือจะนิ่งดูดาย มีแต่จะตรมตรอมวุ่นวายมิต่างกัน”

เมื่อสองศรีพี่น้องร่วมอุทร สดับยินคำเจ้าหนุ่มวาณิชรูปงามเอ่ยวอนเปลี่ยนเรื่องราวเหมือนพลิกฝ่ามือจากหน้าเป็นหลังเช่นนั้น อีกทั้งมิถือสาหาความกล่าวโทษ ยังเชื้อเชิญนับญาติเข้าร่วมเป็นสหายก็ประหลาดใจเป็นที่ยิ่ง บังเกิดซาบซึ้งตรึงใจก่อเป็นความรู้สึกสำนึกบุญคุณ ในการแนะหนุนมิให้ถูกตกเป็นข้อติฉินครหา ซ้ำยังสีหน้ายินดีแก้ต่างจากผิดเป็นถูก จากดำเป็นขาวเช่นนั้น บุหลันมิเห็นหนทางอื่นจึ่งพยักหน้า ใช้หลังมือเช็ดรอยน้ำตาน้อยเนื้อต่ำใจ แต่มิได้เอ่ยความใดกลับ

“กิริยาบุหลันน้องเราล่วงล้ำก้ำเกินมาตะท่านโดยพลการ ด้วยวิสัยเดิมเป็นคนมุทะลุมักวู่วามกระทำตามใจตัวเป็นทุนเดิมมิทันได้ฉุกคิด ด้วยเราคู่พี่น้องกำพร้าบิดามารดรมาแต่ยังจำความมิได้ อาศัยเลี้ยงดูโดยพราหมณ์ผู้ทรงศีลแห่งเทวาลัยหลวงเมืองเขตขันธ์ คำสอนใดขาดตกเป็นกิริยาขุดด้วยปาก ถากด้วยตา แลหมิ่นหยามหยาบช้า ก็ด้วยเป็นความผิดของข้าเองหาโทษใครอื่น อาการก้าวร้าวเป็นข้อหมางสองเปลาะนี้ ขอมาตะท่านโปรดจงเอ็นดูเถิด” สิตางศุ์กระแอมแล้วแกล้งเห็นสมด้วยคำเจ้าหนุ่มมาตะ
 
“เจตนาฝากตัวเป็นน้องแลพี่อันคำท่านยกกล่าว คือความจริงแน่แท้มิเป็นอื่นดั่งนี้ แลท่านรับน้ำใจนั่นแล้ว ความยินดีจึ่งกลั่นเป็นน้ำตาไหลหลั่งลงมาดอก สิตางศุ์รองนายกองลาดตระเวนผู้พี่ จำจะฝากน้ำใจผูกสมัครร่วมนับเครือญาติกับท่านอีกผู้หนึ่ง แลท่านยังจะยินดีเกื้อกูล ฤา ไม่”
 
มาตะก็พยักหน้ารับ แลว่า

“ข้าเกิดมามีพี่น้องร่วมสายโลหิตเพียงสาม อาศัยตามฐานะพอกินอยู่ เพียรใฝ่รู้การขายจนได้เป็นนายพ่อค้าวาณิช จะมีครั้งใดที่ผู้มีบรรดาศักดิ์เทียบชั้นถึงขั้นทหารหลวงลดตัวมาผูกสมัครเป็นพี่น้องนั้นไม่เคยพบ แลมาประสบวันนี้นับว่าเป็นบุญตัวยิ่งแล้ว คำปฏิเสธนั้นหรือจะหลุดออกจากปากมาตะได้ มีแต่คำยินดีพรั่งพร้อมคือของตอบแทนน้ำใจท่านทั้งสองดุจกัน”

“เช่นนั้นนับแต่นี้เราสามคนถือเป็นพี่น้องกันมิใช่ใครอื่น มีทุกข์ร้อนใดจงแจ้งเราอย่าช้าที แหละทั้งนี้ความเข้าใจผิดใดก่อเกิดในหมู่ท่านจงคลายเสีย ถือว่าเป็นน้องอย่าหาความสืบไปเลย แหละพวกข้าทั้งนี้กระทำคุกคามยามหลับนอนของท่าน ซ้ำกล่าวโทษเป็นข้อฉกรรจ์ แลกล่าวคำจนก่อเป็นความจุกใจฝากไว้น่าละอาย สิ่งแทนทดไม่มีอื่นนอกจากความรู้แลประสบการณ์นักเดินทางก่อนเข้ารับราชการ เมื่อท่านเข้าสู่เขตเมืองมัทธวะอาชาแลผลัดเปลี่ยนม้าพาหนะแล้ว จงเลียบกำแพงเมืองด้านติดแม่น้ำคีรีนคราจนสุดป้อมปืนด้านทิศนั้น แลจงสังเกตกระท่อมเรือนแพมุงจากหลังหนึ่งปลูกไว้ใกล้ต้นไทรอายุหลายพันปีเป็นที่สังเกต นำชื่อเราแลของสิ่งนี้มอบให้เฒ่าชราเจ้าเรือน” สิตางศุ์ปลดสร้อยเงินจากลำคอห้อยเหรียญเงินสลักรูปม้ายืนบนเรือ “บอกว่า สิตางศุ์และบุหลันคู่ฝาแฝดฝากคำมาคารวการ แลขอความเมตตามอบของขลังชนิดเดียวกันนี้ให้ไว้แก่พวกท่านด้วยเป็นเครื่องประดับคุ้มกันภัย”

“เช่นนั้นท่านจะมีสิ่งใดคุ้มครองเล่าหากมอบให้เราเป็นเครื่องนำทาง” มาตะซักแลรับไว้

สิตางศุ์แย้มยิ้มร้องว่า

“บุหลันน้องเรายังมีอีกหนึ่ง แลสิ่งนี้จึ่งเหมือนเป็นเครื่องรับประกันว่าท่านจะนำกลับมาคืนให้เรา อีกทั้งกิตติศัพท์เหรียญ เภตราวลาหก นี้เลื่องลือว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าสิ่งใดในลุ่มแม่น้ำนพนที มิทราบท่านยังจักเคยได้ยินมาบ้าง ฤา ไม่”

“ข้าได้ยินมาเช่นนั้น” โกสินทร์ครุ่นคิดแล้วเห็นชอบด้วย

“เช่นนั้นจงเข้าไปตามหาเถิด ในเมื่อจุดหมายปลายทางหมู่ท่านนับว่าอันตรายพอดู แหละฝีมือชาญณรงค์เพียงใดจักต่อกรภัยมืดได้นอกจาก นวรัตน์ แล้ว คงเป็นสิ่งนี้เท่านั้น อีกประการหนึ่ง เฒ่าชราเจ้าเรือนมีชื่อ เมื่อรุ่นหนุ่มเคยท่องเที่ยวค้นคว้าตำรารักษาคนลือเลื่องทั่วสารทิศ กอรปกับเคยร่อนเร่เยียวยาชนอนาถามานักต่อนักในแถบชายแดนเบื้องทิศตะวันออก จงสอบถามลักษณะชัยภูมิแลผืนป่าไม้จันทร์หอมอันท่านหมายใจนั้นเถิดว่า จักมีเส้นทางใดใช้หลบเลี่ยงหรือมีที่พักหลบซ่อนหลบภัยหากถึงคราวคับขัน สิ่งเหล่านี้แลคือของตอบแทนความเข้าใจผิดกันต่อกัน”

สิตางศุ์เหยียบโกลน แล้วโหนตัวคล่อมนั่งอานหลังอาชา บุหลันคนงามก็ทำตามดุจกันด้วยหน้าสร้อยเศร้า ดวงตาคมจับจ้องมาตะไม่ลดละ

“ขอบน้ำใจท่านเป็นที่ยิ่ง บุญคุณครั้งนี้หมู่พวกข้าคงมิอาจทดแทนได้หมด” มาตะสำนึกบุญคุณ
 
สิตางศุ์พยักหน้าเป็นที่เข้าใจแล้วส่งอาณัติสัญญาณถอยล่ากองทหารกลับ ควบม้ามุ่งสู่ทิศทางตรงกันข้าม บุหลันดึงบังเหียนอ้อยอิ่งอยู่รั้งท้าย ชะเง้อชะแง้สายตาฝากไว้กับมาตะแล้วจึ่งหักใจติดตามกองทหารลาดตะเวนจวบจนลับหายกับเงามืด

พจน์มารู้สำนึกตัวอีกหนก็เมื่อเห็นสีพระพักตร์ของพระมหาอุปราชตื่นตระหนกยิ่ง สายพระเนตรนั้นสั่นไหวเช่นเดียวกับพระองคุลีที่ขยับเอื้อมเข้าหาใบหน้างาม

“เหตุใดน้ำตาเจ้าถึง...”

เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังแว่วจากเบื้องหลังพร้อมไต้ไฟ ฉับพลันปรากฏเป็นมาตะ กฤษณะ โกสินทร์ แลเวฬุ ทันทีเมื่อคนทั้งสี่สบเห็นพจน์ก็บังเกิดหน้าถอดสีอย่างเดียวกันกับพระมหาอุปราชา  จิตใจพจน์บอบช้ำแสนหม่นหมอง จนไม่อาจมองสบตาผู้ใดได้ก็ยืนนิ่งระงับความอาดูรอยู่

“น้ำตาสายโลหิต” เวฬุหนุ่มร่างอวบหลุดคำหนึ่งขึ้นมาพร้อมหน้าซีดเซียว “มะ มาตะ เจ้าจงเร่งหาใบสาบเสือมาโดยด่วน”

ฝ่ายมาตะเมื่อแลเห็นโฉมหน้ายอดรักก็พลันตะลึงตะลานทรมานหัวใจปริ่มจะขาด สติอันคอยอยู่กำกับตัวก็ขาดสะบั้นลงในทันใด จวบกระทั่งเพื่อนกายสหายสนิทร้องสั่งดังลั่นจึ่งคืนสติ ละล้าละลังแล้วหุนหันพรวดพราดจากไปทำการในทันที
 
หัวใจพจน์บีบกลั่นสั่นไหวรุนแรงผิดวิถีครรลอง ทั้งอึดอัดทรมานชอกช้ำสาหัสทุกสัดส่วน ภาพจุมพิตระหว่างมาตะกับบุหลันสลักลงกลางใจ วนเวียนฉายซ้ำจนมิอาจลบล้างหักลง แหละเมื่อนึกปลงครั้งใด รอยจูบติดตาก็ย้อนหลงหวนกลับ น้ำตาลี้ลับพลันไหลหลั่งสุดหักห้าม เวฬุถลันเข้าหาฉีกเศษผ้าออกจากภูษาคล้องไหล่สีน้ำเงินหม่นแล้วซับน้ำตาพจน์ด้วยมือสั่นระริก

“ขอบใจนะ เวฬุ” พจน์บอกเสียงสั่น บัดนี้เจ้าหนุ่มเวฬุไม่อาจระงับความทุขเวทนาไว้ได้ก็ปลดน้ำตาหลั่งรินเช่นกัน
 
“เจ้าโปรดจงหยุดร่ำไห้เถิดหนา ภัทรพจน์” เวฬุห้ามปรามเสียงสั่นดุจเดียวกัน

“อืม ไม่รู้สิ มันไหลไม่ยอมหยุดเลย ว่าแต่ ทำไมรู้สึกเหมือนเวียนหัวแบบนี้” พจน์เซถอยหมดเรี่ยวแรงแนบหลังลงกับต้นไม้ นายกองกฤษณะ และโกสินทร์ต่างพุ่งเข้าประคมประหงมพยุงตัวไว้ให้ยืนหยัด

“เจ้าจงครองสติให้มั่น ภัทรพจน์” กฤษณะตวาดเสียงดัง แต่พจน์เหมือนได้ยินจากสถานที่ไกลแสนไกล “เป็นเจ้ามิใช่หรือที่กล้าหาญเข้มแข็งสามารถปลดทวนจากมือข้าได้ ก็แหละอย่างนั้นการห้ามมิให้น้ำตารินไหลจักยากเย็นแสนเข็ญได้เช่นไรเล่า ระงับอาการโศกบัดเดี๋ยวนี้เถิด”

สายตาพจน์เริ่มพร่าเลือน มองเห็นแต่มาตะจุมพิตแนบปากกับนายกองบุหลันแจ่มชัดบาดตา

“ภัทรพจน์!” โกสินทร์ร้องเรียก

“เจ้าจงเร่งช่วยมาตะตามหาใบสาบเสืออีกคนเถิด โกสินทร์ ก่อนภัทรพจน์ผู้นี้จะเสียเลือดไปมากทบทวี” เวฬุออกคำสั่งสั่นเครือ พจน์เห็นทุกคนวุ่นวายผิดปกติ พระมหาอุปราชสุริยะยืนนิ่งกำพระแสงทวนจ้องมองพจน์ด้วยวงพักตร์ตระหนก กัดพระทนต์แน่นจนแนวพระกรามนูนชัด พจน์รู้สึกอ่อนระโหย แต่ทำไมเวฬุถึงพูดว่าพจน์เสียเลือด ในเมื่อตนมิได้บาดเจ็บที่ตรงไหน เพียงแค่ร้องไห้ไม่หยุดก็เท่านั้น

พลันสายตาเหลือบแลผ้าซับหยดน้ำตาตนในมือเวฬุ ก่อเกิดเป็นรอยเลือดแผ่กระจายทั่วผืนก็บังเกิดพรั่นพรึงท่วมอก แต่ความเสียใจมีมากกว่า น้ำตาจึงกลั่นเป็นเลือดตกออกมาซ้ำอีก

“เจ้าโปรดหยุดคะนึงคิดถึงสิ่งมิบังควรก่อน รังแต่จะลดทอนกำลังเลือดในกายมากเท่านั้น” เวฬุเปลี่ยนผ้าซับแล้วซับอีก น้ำตาสายโลหิตไหลอาบแก้มพจน์ปรากฏเป็นที่น่าสงสารแก่คนทุกผู้

“ทะ ทำไมเราถึงร้องไห้เป็นเลือดได้” พจน์พยายามไม่นึกถึงภาพสะเทือนใจแต่ช่างยากลำบากเหลือล้ำ

น้ำตาสายโลหิตนี้ จักบังเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคนผู้นั้นได้รับความสะเทือนใจแลอารมณ์อย่างหาที่สุดมิได้ หยดน้ำอันควรใสราวจันทราจึ่งกลั่นเป็นหยดธาราโลหิตดั่งนี้ แหละในประวัติศาสตร์จดจารจารึกไว้ว่ามีเพียงผู้เดียวซึ่งเคยปรากฏอาการดั่งว่า คือ...” เวฬุเบิกตาโพลงจ้องมองพจน์ไม่ลดละ “เพลานี้เจ้าจงระงับความเจ็บทั้งปวงเถิด มิเช่นนั้นคนที่เจ็บกว่าคงมิใช่เจ้า”

“มองหน้าข้า อย่าได้ปริวิตกสิ่งอันก่อกวนใจเถิดหนา พวกข้าต่างคอยพยาบาลท่านมิห่างไปไหน” กฤษณะกระชับตัวพจน์ไว้แนบแน่น

“มา...ตะ”

นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่พจน์กล่าวก่อนทุกอย่างจะดับวูบมืดมนอนธการราวกับนิรันดร


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3410767#msg3410767)
เพจนิยายข้ามพิภพ (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)

______________________________

ยอกแสยง : เจ็บร้าวทรมานใจ
เภตรา : เรือ
วลาหก : ม้า
นวรัตน์ : แก้ว ๙ อย่าง
โกลน : ห่วงที่ห้อยมาจากอานม้า ๒ ข้าง สำหรับสอดเท้ายันเวลาขึ้นหรือขี่
พระองคุลี : นิ้วมือ

______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

เย้ๆๆๆมาแล้วววว รอทุกวันเลยย
มาตะคนซื่อ? โดนเล่นซะแล้ววมาตะตัวละครเพิ่มอีกแล้ว จะจำหมดไหมนิ ภัทรมีคู่แข่งดร่าม่ามากไหม :ling3: สู้ค่ะคนเขียนรอตอนต่อไปจ้าา
ดีใจที่คุณมารอทุกวันแบบนี้ บทที่ ๒๗ มาแล้วเป็นไงบ้างครับ สมกับการรอคอยหรือเปล่าเอ่ย? กลายเป็นว่าตอนนี้ มาตะมีคำต่อท้ายชื่อว่า คนซื่อ ไปซะแล้ว 555 เป็นไงบ้างครับสำหรับตัวละครใหม่ถูกใจ?คุณบ้างหรือเปล่า ตัวละครที่จะเพิ่มมานั้นยังมีอีกเยอะครับ หวังว่าคุณจะจำได้หมดนะ ดราม่าไหม บอกได้คำเดียวว่า มากกกกก ขอบคุณที่เป็นกำลังใจครับ

มาตะคนซื่อ........เก็บเสน่ห์ไว้ก็ดีนะ :katai5:
เป็นอีกคนที่อยู่ในทีม มาตะคนซื่อ อิอิ ความมีเสน่ห์ของมาตะนอกจากรูปลักษณ์แล้วยังอุปนิสัยดี วาจางาม แบบนี้ ใครเห็นใครก็รักครับหรือว่า คุณไม่รักพ่อหนุ่มคนนี้เหรอ

:mew4:
อย่าเศร้าไปเลยครับ โอ๋ๆ

จะหักมุมอะไรอีก อย่ามีดราม่ามือที่สามเลยจะได้ไหม มือที่สามหลายทางจริงๆ  :ling3:
ไม่ทันแล้วครับ ดราม่ามือที่สามมาเต็มมากในตอนล่าสุดนี้ ผมไม่อาจทำความปรารถนาคุณให้เป็นจริงได้ ยังไงก็ทนดราม่ากันต่อไปนะครับ ไหนๆก็ติดตามมาจนถึงขนาดนี้แล้ว อิอิ

น้องพจน์กับมาตะนี่ยังไง ทำไมหนุ่มๆ(?)สาวๆชอบมารุม5555555555555 บอกได้เลยว่ามาตะตายแน่ จะไม่มีการใจอ่อนให้อภัย! พจน์ห้ามใจอ่อนเหมือนรอบก่อนนะ นี่มันต่อหน้าต่อตาชัดๆแหม่ทีศัตรูถือดาบมาฟาดยังหลบได้ แล้วทำไมถึงหลบจูบหนุ่มน้อยนายกองไม่ได้ล่ะ โมโหๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :ling1: :ling1: :ling1: :m16: :katai1: :angry2: :m31:
พจน์กับมาตะนี่ถือได้ว่าเสน่ห์แรงพอตัวเลยครับ ใครเห็นใครก็รัก แถบตอนล่าสุดยังเกิดดราม่าตามมาอีก เอ็นดูทั้งมาตะ ทั้งพจน์เลยทีเดียว โห ถึงขนาดประกาศสนับสนุนห้ามใจอ่อนกันเลยหรือครับ พจน์มาเห็นจะว่ายังไงน้า 555 จะไม่ขอแก้ตัวแทนมาตะละกันครับ แต่ถ้าเป็นคุณกำลังคุยๆกันอยู่ แล้วทันทีทันใดคู่สนทนาก็พุ่งหน้าประกบจูบปากคุณ คุูณจะหลบทันไหมน้อ อิอิ

ตบสุริยะพร้อมบุหลันเลย มีสิทธิอะไรมาแตะต้องพระนายเรื่องนี้ แง่ง!!
โห คนนี้มาสายโหดเลยครับ เยี่ยมมาก แต่อย่าเพิ่งถึงขั้นลงมือลงไม้กันเลยครับ พูดคุยไกล่เกลี่ยกันดีกว่าไหม อิอิ


หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๗ น้ำตาสายโลหิต ๕๐% (๒๔/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 24-06-2016 19:00:36
 :o12: :o12: พจน์ :monkeysad: ถึงขั้นน้ำตากลายเป็นสายเลือดโอ๊ยยยนี้น่าสงสารที่สุด อยากจะต่อยพ่อมาตะคนซื่อแทนพจน์เหลือเกินนนนน :ling1: :serius2: ขอแบบเต็มตอนได้ไหมค่ะคนเขียน :mew2: :mew1: ค้างงงงง
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๗ น้ำตาสายโลหิต ๕๐% (๒๔/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 24-06-2016 20:17:54
 :mew6:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๗ น้ำตาสายโลหิต ๕๐% (๒๔/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 25-06-2016 01:16:53
น้ำตาเป็นสายเลือด ค้าง ต่อด่วนๆ  :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๗ น้ำตาสายโลหิต ๕๐% (๒๔/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: narakarr ที่ 25-06-2016 09:39:41
อ่านตอนนี้สงสารพจน์มาก คือพออ่านแล้วฉากนี้มันทำเราเหมือนดดนบีบหัวใจไปด้วยเลย
 :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๗ น้ำตาสายโลหิต ๕๐% (๒๔/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 25-06-2016 18:21:25
อื้อหือ พ่อคนซื่อ พ่อเทพบุตร พจน์มาทีไรเป็นเรื่องตลอด  :katai1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๗ น้ำตาสายโลหิต ๑๐๐% (๒๗/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 27-06-2016 15:08:54
[ต่อ]


สรรพเสียงผู้คนกู่ร้องป้องตะโกนดังสะท้านสารทิศ ผสานด้วยฤทธิ์ระเบิดกัมปนาทก่อกำเนิดเป็นถ้อยวาจาหวีดแหลมระงม พจน์ฝืนใช้เรี่ยวแรงกำลังกายขยับลืมตา มองเห็นท้องฟ้ายามสนธยาปรากฏเป็นสีส้มเหลือบแดงสลับเหลืองอยู่เบื้องหน้า กลองรบถูกตีลั่นดังสนั่นแจ้งเตือนภัย ต้นไม้ขนาดใหญ่ผุดขึ้นอยู่รายรอบ ลีลาวดีต้นหนึ่งปลูกอยู่กลางลานศิลา ดอกสีขาวเหลือบเหลืองเกาะกลุ่มเป็นพวงช่อบานสะพรั่ง บ้างร่วงหล่นประปรายกระทบพื้น สายลมโบกกลิ่นอ่อนโยนกำจายรอบลานเวียง มหาปราสาทราชวังตั้งเรียงอยู่แนวเชิงชั้นเขาลดหลั่นจากล่างสู่ยอดสูงสุด ยอดปรางค์ปราสาทสีทองสะท้อนแสงพระอาทิตย์ยามเย็นส่องประกายเจิดจ้า ความกาหลชุลมุนวุ่นวายฉายฉานตามผู้คน บ้างเดินโซซัดโซเซ บ้างวิ่งหนีหน้าตาตื่น สลับกับกรีดร้องร่ำไห้ พจน์เหลียวมองลานศิลาขาวอันกว้างขวางเบื้องหน้ามหาปราสาทองค์หนึ่งของแนวชะง่อนผา ผู้คนวิ่งวนขวักไขว่ บ้างเป็นหญิงหรือชาย บ้างสวมเกราะทองรูปมนุษย์มีปีก บ้างถือธนูหรือดาบ บ้างมีสีหน้าหวาดกลัว บ้างก็มีสีหน้าเคร่งขรึม
 
พจน์ขยับตัวผ่านความอลม่านก้าวผ่านเข้าหาแนวกำแพงแก้ว กวาดสายตามองจากชะง่อนหน้าผาภูเขาลงสู่เบื้องล่าง กลุ่มควันไฟแลเพลิงอัคคีลุกลามปรากฏให้เห็นทั่วทุกหย่อมหญ้า เสียงตูมระเบิดดังกึกก้อง พร้อมก้อนหินขนาดมหึมาถูกเหวี่ยงจากเบื้องล่างพุ่งเข้าใส่พลับพลาปราสาทหลังหนึ่งพังพินาศย่อยยับกับตา พจน์ยกแขนก้มหลบ บัดนี้ตนอยู่ที่ไหน ยังมิทันเสาะวิเคราะห์หาต้นสายปลายเหตุก็เหลือบแลเห็นบุรุษผู้หนึ่งเร่งฝีเท้าก้าวลงมาจากเชิงบันไดมหาปราสาทยอดสีทองเบื้องหลัง พระเศียรทรงมงกุฎตระการตา ประดับกายด้วยเครื่องทองแพรวพรรณอย่างกษัตริย์ สวมเกราะทองสลักลายรูปคนมีปีก ทรงฉลองพระองค์ภูษาหยักรั้งสีทอง พระอูรุสักลายคล้ายขนนกสีเขียวลามมาถึงพระชานุ พระพักตร์เครียดขมึงไว้พระมัสสุน่าเกรงขาม หัตถ์ขวากำธนูทองคำคันมโหฬารไว้แน่น มีทหารติดตามนับสิบ

“มาตะ!”

ใบหน้านี้พจน์จำได้แม่นยำ ทำไมบุรุษผู้นี้จึ่งมีลักษณะเหมือนมาตะราวกับคนคนเดียว
 
“ใต้ฝ่าละอองพระบาท!” เสียงหนึ่งร้องเรียกดังก้อง และเมื่อพจน์เหลียวมองก็ถึงกับขนลุกชันอย่างหาสาเหตุมิได้ ด้วยเพราะเจ้าของถ้อยคำนั้นมีใบหน้าอย่างเดียวกับพจน์เช่นกัน

บุคคลหน้าเหมือนพจน์เร่งรีบลงมาทันคนผู้คล้ายมาตะ แต่งกายลักษณะเดียวกัน ต่างก็ตรงที่กึ่งกลางหน้าผากปรากฏหยดน้ำสีทองฝังอัญมณีสีดำไว้ ดวงตาสีน้ำตาลเอ่อคลอด้วยหยดน้ำ

รพีกานต์ น้องท่าน” เจ้าคนหน้าคล้ายคลึงมาตะตรัสเรียก วงพระพักตร์แกร่งลดทอนอารมณ์เป็นอาวรณ์ทันควัน

พัชรพรรดิพ่ออยู่หัว ตริตรองดีแล้ว ฤา” พระเจ้ารพีกานต์พนมหัตถ์กราบบังคมทูล “มิควรนำองค์เองเข้าสู่สมรภูมิศึกในเพลาหน้าสิ่วหน้าขวานเฉกยามนี้ หากพลาดพลั้งเสียทีมีหรือที่ข้าฝ่าพระบาทจักดำรงตนอยู่ได้”

เสียงปืนใหญ่แลเสียงเภรีกำกับกองทัพเข้าตีดังระงมทั่วทศทิศ พระเจ้าพัชรพรรดิทอดสายพระเนตรมองรพีกานต์พร้อมส่ายพระพักตร์

“หามีหนทางอื่นใดจักปลุกขวัญแลกำลังใจข้าทหารให้ฮึกหาญเท่าการเราปรากฏตัวท่ามกลางหว่างปะทะประจัญบานอีกแล้ว น้องท่าน”

“แผนการศึกครานี้คือหากกองทหารรักษาแนวกำแพงพระนครเบื้องล่างมิอาจทานกำลังข้าศึกได้ให้ถอนร่นกลับสู่เขตกำแพงชั้นสองของมหาบรรพต แลบัดนี้กำลังพลกองหน้าเพลี่ยงพล้ำเสียทีแลถอยกลับมาตามยุทธวิธีดั่งนี้แล้ว มหากำแพงศักดิ์สิทธิ์ทวิปราการสูงราวโยชน์จักทำหน้าที่ป้องกันไพรีดั่งเคยผ่าน แลบัดนี้ใต้ฝ่าพระบาทจักนำองค์สู่สมรภูมิตะลุมบอนมิสมเหตุ หากเกิดอาเพศมิบังควร ขุนทหารชาญณรงค์ แลเหล่าเสนามหาอำมาตย์จักมีขวัญแลกำลังใจต่อกรข้าศึกได้อีกกระนั้น” รพีกานต์เป็นเจ้าอรรถาธิบายเป็นลำดับขั้นตอน พยายามแย้งด้วยความจริงสุจริต

“ยุทธวิธีแต่โบราณกาลนั้นล้วนประสบผลสำเร็จจริงดั่งน้องเรากล่าว เมื่อข้าศึกล่วงเข้ามาแลเล็งเห็นมหากำแพงสูงเทียบฟ้าจึ่งระย่อใจถอนกลับคืนในที่สุด แต่มหาปัจจามิตรเบื้องล่างนี้คือเผ่าพันธุ์คนธรรพ์ ผู้ช่ำชองเล่ห์กลแลมีทักษะการดนตรีเป็นเอก พวกมันเหล่านั้นนอกจากใช้เครื่องดนตรีฆ่าฟันชาวเราล้มตายได้แล้ว อำนาจอันแฝงอยู่ในเส้นสายลายเสียงยังมีเดชานุภาพทำลายสิ่งกีดขวางนานับประการมิเว้นมหากำแพงของเมืองเรา เช่นนั้นรพีกานต์น้องพี่ อย่าหยุดห้ามรั้งพี่ไว้อยู่ตำหนักหลวงนี้เลย ผู้คนล้มตายลงมากประมาณเกินกว่าพี่จะทานทนได้แล้ว ตัวเป็นกษัตริย์แต่มิอาจต้านทานข้าศึกให้พ่ายแพ้กลับไปได้แล้วยังจะมาหลบซ่อนอยู่ในพระราชวังหลวงอีกทำไม่ได้ น้องเราจงเข้าใจพี่เถิด”

“เหตุเภทภัยทั้งหมดนี้เกิดจากตัวข้าฝ่าพระบาทโดยแท้ หากพระองค์มินำตัวข้าฝ่าพระบาทมาชุบเลี้ยงไว้ในมหาอาณาจักร มีหรือหมู่คนธรรพ์เหล่านั้นจักอ้างยกเหตุมาต่อตีบ้านเมืองของพระองค์ได้” พระเจ้ารพีกานต์ผู้เลิศโฉมส่ายพระพักตร์ตำหนิองค์เอง ครั้นเห็นพระอัสสุชลไหลลงจากนัยเนตร พระเจ้าอยู่หัวพัชรพรรดิราชจึ่งทรุดกายเอื้อมหัตถ์พยุงรั้งไว้ด้วยพระหทัยทรมานมิต่างกัน

“เราเป็นถึงจักพรรดิราชแห่งกินนร ราชกิจหลักคือปกครองเหล่ากินนรแลกินรี ทุกตัวตนให้สงบสุขร่มเย็น ก็แหละน้องท่านมีเชื้อสายสิทธิศักดิ์กินนรมิต่างกันเฉกนี้ อีกทั้งใจเราสองต่างปฏิพัทธิ์ผูกพันล้ำลึก หากพี่มิสถาปนายกรพีกานต์น้องท่านขึ้นร่วมวงศ์ตามขัตติยะประเพณีแล้วไซร้ ความผิดฝังใจคงกัดกินภายในกายมิให้ดำรงสุขอยู่ได้”

พระเจ้าพัชรพรรดิทรงจดพระนาสิกสูดกลิ่นหอมดอกลีลาวดีข้างพระปรางนวล แล้วประทับพระโอษฐ์ลงบนอัญมณีสีนิลกึ่งกลางพระนลาฏของรพีกานต์

“โปรดอย่าโทษตัวเองเลยเถิดเจ้า อนึ่งทุกพงศ์เผ่าล้วนมีเกิดมีดับ แลเพลานี้มัจจุราชเดินทางมาเคาะประตูหน้าปราสาทของเราแล้ว นอกจากฝีมือแลความกล้าหาญมิมีสิ่งอื่นใดจะนำไปใช้ได้อีก จงทำใจให้สบายเถิด แลพี่นี้จักนำตัวมาให้น้องท่านยลหลังสิ้นศึกสงคราม”

“หากการปลิดชีพตัวเองสามารถหยุดห้ามมหาสงครามได้ ข้าฝ่าพระบาทจักขอกระทำบัดเดี๋ยวนี้ ด้วยมิควรเลยที่จักต้องนำพระราชวงศ์แลเศวตรฉัตรมาเสี่ยงล่มสลายเพราะ ไพลินนิลสี เพียงชิ้นเดียว” รพีกานต์สะอื้นไห้ปลดอัญมณีสีนิลจากหน้าผากออกมาถือไว้ในพระหัตถ์ “ในเมื่อข้าฝ่าพระบาทมิอาจยื้อห้ามพระประสงค์ไว้ได้ก็ขอสละสิ่งนี้มอบไว้เป็นเกราะคุ้มกันภัยให้พระองค์ โปรดจงรับไว้ด้วยเถิด”

พระพัชรพรรดิราชเจ้า มหากษัตริย์แห่งเผ่าพันธุ์กินนรแย้มพระโอษฐ์ แลตรัสสุขุมว่า

“การอันพี่ลงมือลงแรงประกาศสงครามครานี้มิใช่เพื่อหวังเก็บสิ่งล้ำค่าไว้ประดับมหาราชวงศ์ แต่เป็นตัวน้องท่านต่างหากเล่า รพีกานต์ น้องท่านเสมือนดวงใจแลดวงวิญญาณอีกกึ่งหนึ่งของพี่ หากจะมีค่าก็มีค่ายิ่งกว่าสิ่งที่อยู่ในมือน้องท่านหลายเท่าพันทวีนัก ความรักนั่นแล้วเป็นสิ่งล้ำค่าสูงสุดในสายตาพี่ บัดนี้มิมีสิ่งอื่นใดจะอาจเทียบเคียงหรือคุ้มครองพี่ได้นอกจากการที่น้องท่านโปรดจงครองตัวแลรักษาตนให้ปลอดภัยอย่างที่สุด จงเก็บไว้กับตัวเถิด ยอดรัก”

รพีกานต์เป็นเจ้าก็กรรแสงซ้ำอีก พลางว่า

“เช่นนั้นขอได้โปรดให้ข้าฝ่าพระบาทตามเสด็จสู่สมรภูมิด้วยเถิด อำนาจใดแฝงอยู่ในอัญมณีนี้จักได้คุ้มเกล้าเหล่าชาวเราทั้งมวล” อ้อนวอนพระวรกายสั่นเทา

เพลงคำหวานขับขานด้วยขลุ่ยดังแว่วมาจากที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ทว่าท่วงทำนองโศกเศร้าผิดต่างจากครั้งก่อนที่พจน์เคยได้ยินเหลือประมาณ

“พี่ได้ฝากดวงใจไว้กับรพีกานต์ท่านแล้ว หากจักเข้าสู่สนามรบโดยพกใจไปกับตัวด้วยนั้นหวั่นเกรงจะรบได้ไม่เต็มกำลังฝีมือ เชื่อพี่เถิด หะนี้ทุกสิ่งอย่างใกล้สิ้นสุดแล้ว หากพี่นำกำลังทหารล้อมวังเข้าหนุนเนื่องในครานี้ กองทัพซึ่งกำลังเพลี่ยงพล้ำล่าถอยอยู่ก็จักได้แรงเสริมเสมือนพลิกหมากจากรับเป็นรุกได้เสมอกัน น้องท่านจงประทับคอยอยู่ในมหาปราสาทรอข่าวคราวแห่งชัยชำนะเถิด”

กล่อมด้วยวาจาแลเหตุผลทั้งปวงเข้าปลอบ แต่พระหทัยพระเจ้ารพีกานต์กลับหวั่นไหวกริ่งเกรงอย่างประหลาด ด้วยหน่วยสอดแนมแจ้งว่ากองกำลังข้าศึกมากประมาณอุปมาสายน้ำหลากหลั่งไหลถาโถมเข้ามาทุกทิศ เพียงกองทหารล้อมวังหยิบมือหนึ่งจะพลิกสถานการณ์เป็นเหนือกว่าดั่งคำพระราชดำรัสนั้นมืดมนอยู่

“รพีกานต์เอย พี่มิเคยเสียใจเลย นับแต่ได้แสวงรักพิทักษ์เจ้ามาร่วมเหล่ามหาราชวงศ์ น้องท่านประดุจดั่งแก้วตาดวงใจแลแสงตะวันยามเช้าสาดส่องให้ความผาสุขแก่ใจพี่แลอาณาประชาราษฎร์ทุกตัวตน เป็นดั่งมหามณียอดนวรัตน์ในตำนานที่ล้ำค่ายิ่งกว่าชีวิตพี่ โปรดให้สัจจะสัญญากับพี่คำหนึ่ง เจ้าจักทำได้ ฤา ไม่”

“สิ่งใด ฤา พระเจ้าค่ะ” ฉุดรั้งพระภูษาคล้ององค์ไว้แน่น

“จงรักษาดวงใจอันพี่ฝากไว้กับเจ้า แลหากชาติภพหน้ามีจริง เราสองคงได้พบกันอีก” ตรัสเสร็จก็ส่งสัญญาณให้ทหารราชองครักษ์เข้ายื้อยุดฉุดร่างพระเจ้ารพีกานต์ไว้แน่น รพีกานต์ก็สะดุ้งตกใจขัดขืนพัลวันร้องขอพระราชทานอนุญาตให้ปล่อยตัวเสียงสั่น พ่ออยู่หัวกินนรทอดพระเนตรคนรักแล้วจดพระโอษฐ์ลงแนบโอษฐ์สีชมพู หักใจถอยออกพร้อมแย้มพระสรวล ก่อนจะกางแขนกว้าง เนรมิตปีกสีเขียวขนาดใหญ่ผุดออกจากเบื้องพระปฤษฎางค์ ทหารล้อมวังทุกคนกางปีกออกโดยพร้อมเพรียงกัน
 
“ลาก่อน น้องพี่

จำจากลาพลัดพรากจากยอดรัก
ผูกสมัครจิตมั่นอย่าหวั่นไหว
ชาติภพหน้าพบกันผสานใจ
อย่าพรากจากกาลไกล ‘พัชรพี’”

สิ้นปัจฉิมพระราชดำรัสก็โผองค์ขึ้นท้องฟ้า ขยับปีกนำพา บ่ายหน้าสู่ควันไฟแลแสงเพลิง ณ สมรภูมิเบื้องพิภพในทันที

พระเจ้ารพีกานต์ดิ้นรนสุดกำลังแต่มิอาจต้านทานพละแรงกายของทหารราชองครักษ์ไว้ได้ ทรงร้องเรียกพระสวามีดังก้อง พระหทัยปริ่มจะขาด ด้วยรับรู้อยู่ในทีว่า กลอนปัจฉิมบทนั้นแฝงไว้ด้วยความหมายใด หากตนไม่ติดตามเสด็จ ชาตินี้คงมิอาจเห็นพระจักษุหยอกล้อ แลพระโอษฐ์ช่างเจรจานั้นอีก ก็บังเกิดเจ็บปวดทรมานสุดทานทน เรี่ยวแรงขัดขืนเมื่อแรกต้นจึงลดลงตามลำดับ  ทุกสิ่งสิ้นล้วนเป็นเพราะพระองค์เองเป็นต้นเหตุ ศึกครานี้ประสงค์เพียงสิ่งเดียวคือ ไพลินนิลสี อันตัวพระองค์ครอบครอง แลบัดนี้ก่อเป็นหายนะสู่มหาอาณาจักรซึ่งกำลังล่มสลายถึงกาลวิบัติ แหละยังชักนำให้คนรักต้องมาเสี่ยงภัยอีก ความผิดกัดกินพระหทัยมายาวนานก็ปริแตกออก สะอึกสะอื้นเศร้าระทมเหลือประมาณก่อเกิดให้พระอัสสุชลอันควรหลั่งเป็นสีใสก่อกำเนิดเกิดเป็นแดงดั่งดวงใจ สำแดงเป็นภาพพรั่นสะพรึงแลเวทนาสังเวชแก่เหล่ากินนรกินรีซึ่งอยู่ ณ ลานพระราชฐาน หยดน้ำตาสายโลหิตหลั่งลงชลธาร มิขาดสายกระทบลานศิลาขาวและดอกลีลาวดีเป็นรอยโศก
 
“ปล่อยตัวเรา” ร่ำร้องครวญหา กินราราชองครักษ์ผ่อนปรนด้วยอาดูร รพีกานต์เสียสูญฟุบแนบพื้นศิลา ตริแล้วพนมมือเรียกปีกปักษา แต่พลังกายาหามีไม่ ก็ซวนเซซวดทรุดลงไป เอื้อมหัตถ์หนึ่งกำไว้แนบอก ชกกระหน่ำด้วยเจ็บล้ำ แขนอีกข้างก็กล้ำกลืนยื่นไขว่คว้า ร้องเรียกหาพระราชสวามีด้วยเรี่ยวแรงสุดท้าย

“ทูลกระหม่อมแก้ว...”

เหล่านางกำนัลข้าราชสำนักฝ่ายในต่างเข้าพยาบาลรักษา แต่รพีกานต์เป็นเจ้าเห็นแต่เพียงดวงพระพักตร์ของพระเจ้าพัชรพรรดิยอดชีวา พระนัยนาแดงก่ำเพราะบีดรัดจนโลหิตหลั่งใกล้สิ้นสติสมประดี
 
ช่วงเพลาชุลมุนนั้นบังเกิดยินคำร้องแว่วมาแต่เบื้องทิศสมรภูมิ เป็นเสียงร้องเจ็บปวดหนึ่งครั้ง แหละพระเจ้ารพีกานต์จำพระสุรเสียงได้แม่นยำ ว่าคือยอดดวงใจของพระองค์เอง ดวงเนตรเหลียวสบมองพจน์ชั่วอึดใจหนึ่ง สติแลวิญญาณประจำพระองค์ก็หลุดลอยออกจากร่างในทันใด

พจน์ยืนนิ่งมองใบหน้าคล้ายตนมีน้ำตาสายโลหิตไหลอาบแก้มด้วยสีหน้าเจ็บปวด ไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใดมาย้ำเตือนก็รู้ได้เองว่า เหตุการณ์ตรงหน้านี้คืออดีตชาติหนึ่งของพจน์กับมาตะอย่างไม่ต้องสงสัย และทหารราชองครักษ์ผู้ชันเข่าโอบกอดพยุงกายพยายามยื้อชีวิตพระเจ้ารพีกานต์อย่างสุดความสามารถนั้น มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็น พระมหาอุปราชสุริยะในชาติภพต่อมาไม่ผิดตัว


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3413007#msg3413007)
เพจนิยายข้ามพิภพ (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)

______________________________

พระอูรุ : โคนขา
คนธรรพ์ : มนุษย์กึ่งเทพ ชำนาญวิชาดนตรีและขับร้อง
กินนร : อมนุษย์ในนิยาย มี ๒ ชนิด ชนิดหนึ่งท่อนบนเป็นคน ท่อนล่างเป็นนก อีกชนิดหนึ่งมีรูปร่างเหมือนคน แต่เมื่อใส่ปีกใส่หางก็บินได้
กินรี : กินนรเพศหญิง
พระปฤษฎางค์ : หลัง

______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

:o12: :o12: พจน์ :monkeysad: ถึงขั้นน้ำตากลายเป็นสายเลือดโอ๊ยยยนี้น่าสงสารที่สุด อยากจะต่อยพ่อมาตะคนซื่อแทนพจน์เหลือเกินนนนน :ling1: :serius2: ขอแบบเต็มตอนได้ไหมค่ะคนเขียน :mew2: :mew1: ค้างงงงง
ครึ่งหลังมาแล้วครับเต็มตอนรวดเร็วทันใจไหมเอ่ย? อิอิ นี่รีบแต่งเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วนะครับ หวังว่าจะไม่รอนานจนเกินไป พจน์ร้องไห้เป็นสายเลือดได้นี่ผู้เขียนก็แทบเลือดตากระเด็นเหมือนกัน สงสารจับใจ อย่าเพิ่งโกรธมาตะเลยครับ คอยรอดูว่ามาตะจะง้อคืนดีพจน์ยังไงดีกว่าเนอะๆ

:mew6:
:hao5:

น้ำตาเป็นสายเลือด ค้าง ต่อด่วนๆ  :pig4:
มาแล้วครับ หวังว่าคุณจะไม่รอนานนะ

อ่านตอนนี้สงสารพจน์มาก คือพออ่านแล้วฉากนี้มันทำเราเหมือนดดนบีบหัวใจไปด้วยเลย
 :mew6: :mew6: :mew6:
จริงครับ ไม่อยากเขียนให้เป็นแบบนี้เลยแต่จำเป็น พอเขียนบทนี้เสร็จผู้เขียนเศร้าทำอะไรไม่ได้ตั้งหลายชั่วโมง เอาแต่นั่งฟังเพลงคำหวานวนไปวนมาแล้วก็ร้องไห้อีก หวังว่าครึ่งหลังคุณจะชอบนะครับ

อื้อหือ พ่อคนซื่อ พ่อเทพบุตร พจน์มาทีไรเป็นเรื่องตลอด  :katai1:
เอาใจช่วยใครดีครับระหว่าง พ่อเทพบุตร กับ พ่อน้ำตาสายเลือด มีเรื่องทีผู้เขียนก็ทรมานแทนตัวละครจริงๆ เอาใจช่วยทั้งสองคนเลยนะผมว่า

มาเม้นให้กำลังใจกันเยอะๆน้าครับ ถูกใจไม่ถูกใจยังไงติชมกันได้เลย

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๗ น้ำตาสายโลหิต ๑๐๐% (๒๗/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 27-06-2016 15:19:33
รอไม่นาน แต่อ่านแล้วยังค้างอยู่ดี มันยังไม่ได้ต่อตอนที่แล้วไง แค่ได้ความชาติก่อนมาอีกนิด  :ling3:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๗ น้ำตาสายโลหิต ๑๐๐% (๒๗/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 27-06-2016 17:00:07
 :mew4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๗ น้ำตาสายโลหิต ๑๐๐% (๒๗/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 28-06-2016 16:27:36
เพิ่มปมมาอีกแล้วนะครับคนแต่ง  รู้สึกสองคนนี้ผูกพันธ์มากี่ชาติภพเนี้ย  รู้สึกว่าพจน์ของเราจะเป็นตัวทำให้มาตะในแต่ละชาติต้องจบชีวิตนะ  แทนที่จะเป็นตัวทำให้มีคุณ  แต่เป็นโทษซะนี้  ล่าสุดก็น้ำตาเป็นสายเลือด โอ้ย  ใจจะขาดตาม  แต่เพลงเพราะมากแต่เศร้าสุดๆ  แทนที่จะหวานเหมือนชื่อเพลง  แฟนนิยายคนนี้ก็ยังติดตามเสมอนะครับ  ว่างตอนไหนก็เข้ามาอ่าน  คนแต่งชอบทิ้งปมไว่ท้ายตอนตลอดเลยอ่ะ  มันคาใจมากเลยขอบอก
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๗ น้ำตาสายโลหิต ๑๐๐% (๒๗/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 28-06-2016 16:29:26
อดีตชาติเศร้าสุดจะบรรยาย TT
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๗ น้ำตาสายโลหิต ๑๐๐% (๒๗/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐ UP...
เริ่มหัวข้อโดย: korinasai ที่ 28-06-2016 17:05:18
มาตะ ช่างน่าขัดใจจริงๆ  :hao5: :hao5:
ความจริงแล้ว เห็นมาตะโดนฉกจูบ ยังไม่เจ็บเท่าเห็นมาตะรั้งอีกฝ่ายไว้ เมื่ออีกฝ่ายเหมือนจะร้องไห้
ทิ้งให้อีกฝ่ายร้องไห้ก็ได้ มีประโยชน์อะไร ถ้าปลอบอีกฝ่าย แล้วคนรักของตัวเองกลับเป็นฝ่ายเสียน้ำตา
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๘ ไพลินนิลสี พัชรพีนิลกาฬ ๕๐% (๓๐/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 30-06-2016 15:02:13
บทที่ ๒๘


ไพลินนิลสี พัชรพีนิลกาฬ



“ค้อมเศียรสูงก้มกราบบรมเทพ
อัญเชิญเสพสิ่งทิพย์มิ่งสวรรค์
ประทานพรเยียวยารักษาพลัน
ชุบชีวันวิญญาณ์พากลับคืน”

สรรพเสียงคลับคล้ายคำกลอนอย่างหนึ่งอย่างใดสวดดังอึงอล พจน์ได้ยินแว่วสลับกับคำร้องของบิดา

“พจน์ ลูกเป็นไข้ ดื่มน้ำกินยาก่อน” เด็กหนุ่มเห็นใบหน้าภพดนัยสลัวรางขยับพยุงตน พร้อมป้อนยาและน้ำให้ ฉับพลันก็เลือนหายทดแทนด้วยกลุ่มหมอกสีขาว เสียงประกาศโองการดังชัดเจนอีกครั้ง

“พนมหัตถ์เหนือเกล้ามหาราช
องค์เทวาสเจ้าชีวิตลิขิตฝืน
มานพน้อยบุตรท่านถูกกินกลืน
ด้วยขัดขืนทุกข์โศกวิโยคภัย

จรดผากกระแทกพื้นองค์สุดสรวง
ทวิดวงนัยนาดุจแขไข
เพรียกวิญญาณขานนพภพผูกใจ
จุติในสรรพางค์ฤดีกาย”

สิ้นคำกลอน นาสิกของพจน์สัมผัสกลิ่นหอมสมุนไพรอบอวล เริ่มเห็นภาพพร่าพรางสู่ดวงตาแจ่มชัด เบื้องบนเป็นหลังคามุงจากต้องแสงไต้ไฟ ผนังโดยรอบเป็นไม้ไผ่สานขัดแตะ และบุคคลซึ่งกุมมือพจน์ไว้เคียงเตียงนอนคือ มาตะ พจน์พยายามหยัดกายโผเผยันตัวนั่งด้วยเรี่ยวแรงอ่อนเพลีย รู้สึกปวดศีรษะแต่ทุเลาลงมาก ลำคอแห้งผากดุจผุยผง
 
“น้องท่านประสงค์สิ่งใด จงแจ้งแก่ไอ้มาตะเถิด”

คำพูดสอดรับกับนัยน์ตาโศก พจน์สะบัดโยกตัวออกกลอกหน้าหนี  ใจมาตะก็แปลบจุกเป็นทวี ภัทรพจน์ยอดชีวีมิเหลียวมอง ลองเอื้อมดึงภูษาคล้องอนงค์ เจ้าโฉมยงยกเท้าป้องจ้องตาสอง เม้มปากแน่นสุดกลั้นน้ำตานอง เห็นเพื่อนพ้องเคียงอยู่จึงอุ่นใจ โกสินทร์แลเวฬุหน้าใสชันเข่าอยู่อีกด้าน ส่วนพระมหาอุปราชสุริยะ แลนายกองกฤษณะต่างผุดลุกยืนขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าพจน์ฟื้นคืนสติ กฤษณะนายกองถลันเข้าประชิดติดเตียง

“อาการเจ้าเป็นเช่นไร โปรดแจ้งกล่าว สิ้นสติสมประดีอยู่ราวชั่วยาม จนข้าอดครั่นคร้ามกริ่งเกรงหวั่นใจมิได้” ใบหน้าดุจเดียวกับนิธิถามกลับพร้อมความห่วงหาอาทร

“โกสินทร์...ขอน้ำ”

เจ้าโกสินทร์จับจ้องภัทรพจน์ไม่วางตาอยู่ ครั้นถูกไหว้วานเป็นธุระเกินกว่าคาดคิดก็สะดุ้ง เหลียวหาคนโทแลจอกมาใส่ ขยับเอื้อมยื่นให้ภัทรพจน์ทันที เมื่อลำคอแห้งรับรสสายธารชำระล้างเสริมเรี่ยวแรงอยู่หลายจอก พละกำลังกายก็ค่อยยังชั่วกลับคืนได้ส่วนหนึ่ง ครั้นสำนึกว่าก่อนตัวจะสิ้นสติ ตนร่ำไห้จนกลั่นเป็นสายโลหิตก็ยกปลายนิ้วขึ้นแตะชิดขอบดวงตา แต่ไม่ปรากฏมีสีเลือดเหลืออยู่อีกแล้ว

“น้ำตาสายโลหิตมิเคยปรากฏว่าผู้ใดในพิภพจักประสบอาการขื่นขมเฉกนั้นมาก่อน นอกจากเมื่อห้าพันปีล่วงผ่าน ณ เชิงเขากินราบรรพตเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”

น้ำเสียงชราดังพร้อมตัวผู้เฒ่าคนหนึ่ง หนวดเคราแลมุ่นมวยผมผุดสีขาวโพลน ผิวหนังคล้ำเหี่ยวแห้งตามวัย มิอาจคะเนอายุได้ พจน์ก็พนมมือไหว้ เฒ่าชราแต่งกายผ้าขาวมอซอ ดวงตาอันควรดำขลับกลับขาวซีดเช่นเดียวกับผมเครา  มือขวาถือไม้ไผ่ตาปุ่มตาป่ำด้ามขนาดเหมาะมือ โดยใช้ไม้เท้าเคาะนำทางเป็นจังหวะก้าวเดิน

“ข้านี้ดวงตามืดบอดมานับแต่เมื่อย่างสู่วัยหนุ่ม” เฒ่าชราคลำทางมาจนถึงเตียงแคร่ที่พจน์นั่งอยู่แล้วทรุดลง เหม่อมองเบื้องทิศบานประตูกระท่อม “ด้วยอยู่ๆก็บังเกิดอุปมาดั่งแสงมหาสุริยาฉายฉับพลันสู่ดวงตาเมื่อครั้งเที่ยวผจญภัย นับแต่นั้นข้าก็มิเคยเห็นสิ่งอื่นใดอีกนอกจากความมืด นามอันผู้คนเรียกขาน คือ เฒ่าวลาหก

วลาหกผู้เฒ่าหันดวงตาสีขาวโพลนมาทิศทางที่พจน์จ้องมองอยู่ก็ให้รู้สึกสะดุ้งเฮือกขยับถอยไม่รู้ตัว

“ฮะๆๆ” เฒ่าตาบอดหัวร่องอหาย แล้วว่า “กิริยาท่านประหนึ่งมิเคยเห็นคนตาบอดมาก่อน คนประเภทนี้สูญเสียการมองเห็นตราบชั่วลมหายใจ จึ่งปรากฏให้หูนั้นใช้การได้ประหนึ่งต่างตา ด้วยวัยล่วงชราอันควรจักสดับยินสิ่งใดได้ยากนั้นกลับแจ่มชัดยิ่งกว่าสมัยกำดัด เพียงท่านขยับ ฤา หายใจเพียงนิด เฒ่าผู้นี้ก็รับรู้แลเห็นท่านได้ดุจมีดวงตาสมบูรณ์มิต่างกัน”

ผู้เฒ่าตาบอดคงแก้ไขพจน์จนฟื้นคืนสติ กิริยาท่าทางน่าเคารพนับถือ ทั้งพูดจาเป็นหลักการ จึงพนมมือไหว้ซ้ำ แล้วว่า
 
“คุณกรุณาช่วยชีวิตผมไว้ใช่ไหม”

“คนผู้ช่วยชีวีท่านหาใช่ข้าไม่ แต่เป็นหมู่คนเหล่านี้ต่างหากเล่า” เฒ่าวลาหกส่ายหน้าปฏิเสธ

พจน์ส่งรอยยิ้มให้กฤษณะ โกสินทร์ เวฬุ พระมหาอุปราชสุริยะ ยกเว้นไว้คนเดียวในที่นั้น

“ขอบใจพวกนายนะ”

มาตะเห็นอาการเมินเฉยของคู่สุดสวาทแล้วข่มใจขยับถอยห่างจากเตียง พลางก้มลงบ่มหน้าสลด
 
“ใบสาบเสือยุดห้ามเลือดมิให้ไหลจากนัยน์ตาเจ้าได้ก็จริง แต่สติอันหลุดลอยออกจากร่างนั้นพวกข้าสิ้นปัญญาจักเรียกกลับคืนได้ แหละได้ยินรองนายกองทหารลาดตะเวนนาม สิตางศุ์ กล่าวเป็นคำน่าเชื่อถือหนักแน่นว่า นอกชานเมืองมัทธวะอาชา มีหมอยาเลื่องชื่อผู้หนึ่งนอกจากเก่งกล้าด้านเครื่องรางของขลังแล้วยังมีกิตติศัพท์ด้านการเยียวยารักษา ก็แหละเส้นทางระหว่างเมืองเขตขันธ์สู่มัทธวะอาชาสั้นระยะกว่าหวนกลับกรุงนพรัตนบุรีเฉกเช่นนี้ อีกทั้งหากทอดเพลาปล่อยให้ยืดนานไปไม่รักษา ก็มิอาจรู้ชาตาว่าท่านจะฟื้นสติได้เมื่อไรจึงขับม้ามาสู่แหล่งสำนักไม่รอรี” เวฬุอธิบายเรื่องราวเป็นลำดับ

“มาตรแม้นชักช้ากว่านี้เพียงนิด วิญญาณประจำร่างคงหลุดพ้นมิหวนกลับ หากแต่ข้าสงสัยอยู่ประการหนึ่งเป็นข้อสะกิดใจในคำพวกท่านเหลือประมาณ ด้วยภูมิความรู้พอมีประดับปัญญาอยู่ อนึ่งระยะทางจากชานเมืองเขตขันธ์ลูกหลวงสู่มัทธวะอาชาพระยามหานครนี้ จำมิผิดห่างกันราว ๔๐ โยชน์ ก็แหละฝีเท้าม้าชั้นดีเพียงไรก็สามารถอาจเอื้อมควบวิ่งได้ต่ำกว่า  ๒๐ โยชน์ต่อชั่วยามเท่านั้น แลหมู่ท่านทั้งนี้คะเนแล้วประหนึ่งเหาะเหินเดินอากาศ ควบม้าจากเมืองเขตขันธ์ยังมิพ้นยามต้นดีก็ถึงที่หมายแล้วดั่งนี้ มิให้ยกว่าเหาะมาก็ยากจักปลงลงได้”

“เกรงจักมิต้องให้ผู้เฒ่าต้องมาเป็นกังวัล ฤา สงสัยในการนี้ ข้าจักขอกล่าวแถลงไขข้อข้องใจ” พระมหาอุปราชสุริยะตรัสสุรเสียงชัดเจน วลาหกผู้เฒ่าตะแคงหูผินสู่ทิศอาทิตยาธรอุปราช แลตั้งใจฟัง “ก็แหละเบื้องมหาพิภพนี้ท่านยังจักได้ยินนาม จตุบทอาชา ฤา ไม่”

เพียงได้ยินเท่านั้นเฒ่าวลาหกตาบอดก็สะดุ้งเฮือกยืดกายตรง หันหน้าซ้ายขวาราวกับพยายามจะหาต้นเหตุอันก่อตระหนก ดวงตาขาวบอดเบิกโพลงซ้ำอีก

“ข้าเชี่ยวชาญตำราอัศวศาสตร์มิยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใด อีกทั้งบูชาสัตว์ชนิดนี้ประหนึ่งนายเหนือบ่าว ด้วยเมืองมัทธวะอาชาเราเป็นแหล่งกำเนิดพันธุ์ม้าชั้นดี ทั้งม้าเทศ ม้าอาชาไนย ม้าอุปการ ล้วนส่งเข้าสังกัดกองทหารหลวงและกรมพิธีการมานักต่อนัก อีกทั้งค้าขายต่างอาณาจักรนำเงินเข้าท้องพระคลังเป็นที่โจษขาน ทุกเหย้าเรือนจึ่งเคารพสัตว์ชนิดนี้ประหนึ่งผู้มีคุณ พันธุ์ม้าชนิดใดในตำรามีหรือชาวเราจักไม่รู้ แหละพันธุ์จตุบทอาชานั้น อยู่รั้งอันดับต้นของพันธุ์ม้าชั้นเลิศ ฝีเท้าเร็วปานสายลมกรด จึงเหมาะยศชนชั้นสูง สำหรับผู้สืบเชื้อสายสมมติเทพเท่านั้นที่จักควบทรงได้ ก็แหละท่านเอ่ยคำนี้ขึ้นมาบ่งชัดว่าเป็นข้อสำคัญ ฤา ในหมู่ท่านมี...”

กล่าวได้เพียงครึ่งเฒ่าวลาหกก็ทรุดกายลงพื้นประนมมือปลกๆ ยกขึ้นเหนือหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าทางทิศซึ่งพระมหาอุปราชประทับยืนอยู่ ปากก็สั่นอีกทั้งเนื้อตัวสั่นงันงกมิต่างกัน พจน์มองทางหางตาเห็นมาตะ โกสินทร์ แลเวฬุชักดาบออกจากฝักโดยพร้อมเพรียง สุริยะอุปราชเร่งยกมือห้ามปราม

“กระไรท่านผู้มีวัยสูงกว่ามาทำประหนึ่งลดทอนอายุหมู่ข้าเล่า” อุปราชหนุ่มแย้มพระโอษฐ์เข้าดึงรั้งให้วลาหกนั่งบนแคร่ตามเดิม “เราเพียงแต่เอ่ยนามพันธุ์ม้าเท่านั้น ท่านผู้เฒ่าก็คิดเห็นยืดยาวไกลนัก หมู่ข้านี้ล้วนเป็นแต่เพียงพ่อค้าวาณิชเที่ยวเร่รอนทำมาค้าขายเป็นชีวิตประจำวัน หากำไรจากการค้าประทังตัว หวังประสงค์ไม้จันทน์หอมนอกเขตแนวภูเขานพรัตนคีรีเป็นจุดหมายเดิม หว่างทางคนของข้าเกิดเจ็บป่วยด้วยอาการประหลาด แลได้ยินกิตติศัพท์ท่านมีคุณชุบคนให้ฟื้นมานักต่อนักจึ่งเร่งมาหา ก็แหละกิริยาท่านก้มกราบประหนึ่งหมายใจว่าในหมู่ข้าคนใดคนหนึ่งมีเชื้อสายสมมติเทพแล้วไซร้นั้นยังจะถูกอยู่หรือ”

วลาหกผู้เฒ่าแท้จริงในใจล่วงรู้คำตอบอยู่แล้วก็ให้รู้สึกอกหวั่นขวัญแขวน ตัวเป็นแต่เพียงสามัญชนแลทำการต้อนรับเชื้อพระวงศ์ไม่ได้เต็มกำลัง หวาดเกรงความผิดติดตัวอยู่ ซ้ำคนผู้หลั่งน้ำตาสายโลหิตมีลักษณะผิดประหลาดเหนือคนธรรมดาเป็นข้อสงสัย ครั้นมาสดับยินเสียงเจ้าหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวคำนุ่มนวลน่าเกรงขามบอกช่องเป็นนัยให้หลงลืมแลเพิกเฉยก็นิ่งฟังอยู่

“เรามาเหยียบชานเรือนท่านยามวิกาล ประสงค์ให้ท่านช่วยพยาบาลรักษาชีวิตคน แลบัดนี้คนในคณะค้าขายคืนสติดังเดิมเป็นคุณยิ่งแล้ว เวฬุ เจ้าจงนำถุงทองประมาณสิบชั่งมอบเป็นสินรางวัลในการนี้ด้วยเถิด” สุริยะอุปราชเบี่ยงบ่ายมิให้ฐานะองค์ถูกเปิดเผยโดยง่าย พยักพระพักตร์ให้เวฬุปฏิบัติตาม แลตรัสรวบรัดว่า “แลมีอีกสิ่งหนึ่งนั้น ข้าได้เป็นธุระนำของสำคัญมาฝากแก่ท่านพร้อมคำคารวการ เหตุมีคู่นายทหารพี่น้องนามสิตางศุ์และบุหลันฝากฝังมาพร้อมสร้อยเครื่องราง”

วลาหกผู้เฒ่าระงับอาการสั่น ลังเลรับสร้อยแล้วคลำด้วยนิ้วมือ ก็เห็นว่าเป็นของที่มาจากตนจริง

“คนคู่นี้นี่เล่าเป็นผู้ชี้ช่องให้หมู่ข้ามาหาคราวคับขัน ซ้ำยังบอกว่าท่านมีของขลังชนิดเดียวกัน ยินว่าศักดิ์สิทธิ์นัก หมู่ข้าจึงหวังความเมตตาอยากจักได้ไว้คุ้มภัยตนยามเดินทาง มิทราบว่าพ่อเฒ่ายังจะมีหลงเหลือบ้าง ฤา ไม่”

เมื่อสติแลปัญญาหวนกลับคืนดังเดิมแล้ว ความสงบอันเป็นวิสัยประจำกายตนจึงปรากฏดังเก่า แสร้งทำเป็นว่าหมู่คนเหล่านี้เป็นแต่เพียงพ่อค้าวาณิชธรรมดามิได้มีเชื้อสายสมมติเทพปลอมปนก็รู้สึกคลายใจ แลว่า

“การอันท่านประสงค์เครื่องรางมีชื่อคงผิดหวัง เพราะเหรียญ เภตราวลาหก ปลุกเสกขึ้นเพียงครั้งเดียวเป็นครั้งสุดท้ายมีด้วยกันทั้งหมด ๙  ชิ้น แลบัดนี้เหรียญนั้นกระจัดกระจายสู่มือต่อมือ จากบิดาสู่บุตร จากพี่สู่น้อง จากญาติสู่ญาติ นานนับยี่สิบปีแล้ว เหรียญอันท่านได้มานี้จึ่งเป็นหนึ่งในเก้าของเหรียญทั้งหมด ข้ามิเห็นเป็นอื่นได้นอกจากคู่พี่น้องสิตางศุ์บุหลันผู้นั้นหวังสละให้มันเป็นเครื่องคุ้มภัยท่านหาเป็นอื่นไม่” วลาหกผู้เฒ่าค่อยๆยื่นเครื่องรางคืนลงบนพระหัตถ์ของพระมหาอุปราชา

พจน์ตวัดมองพินิจมาตะชั่วครู่ สายตาผสานกันมิเกินลมหายใจเข้าออก พจน์ก็ละจ้องเฒ่าเจ้าเรือน รู้สึกเจ็บลึกในห้วงหัวใจอีกครั้ง

“ขอบน้ำใจท่านมากที่แจงแถลงไข บัดนี้คนของเราฟื้นกำลังแล้วเห็นจะมิรบกวนผู้เฒ่าให้ล่วงเกินมัชฌิมยาม จำจะขอลา” อุปราชหนุ่มกระชับพระแสงทวนแน่น มาตะเงยหน้าขยับจะเข้าพยุงพจน์ แต่เจ้าหนุ่มมากโฉมรีบเกาะแขนเวฬุกับโกสินทร์ที่อยู่ใกล้กว่าแล้วยืนขึ้นโดยไม่ปรายตาแลดูอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

“หาเป็นการรบกวนไม่” เฒ่าวลาหกผุดลุกยืนเช่นกัน “ท่านผู้นี้เพิ่งได้สติยังอ่อนกำลังมากนักเห็นควรนอนพักฟื้นสักชั่วยามหนึ่งก่อน ต่อรุ่งเช้าจึงค่อยออกเดินทาง หว่างนี้ข้าจัดเตรียมให้บุตรสาวหุงหาข้าวปลารับรองท่านอยู่มิให้ขาดตก ด้วยมีข้อใหญ่ใจความอย่างหนึ่งประสงค์จักมอบไว้เป็นความรู้”

“สิตางศุ์รองนายกองกำชับมาให้พวกข้าสอบถามเส้นทางเดินเหินออกนอกประตูช่องเขาสุวรรณคีรี ยินว่าท่านเคยร่อนเร่รักษาเยียวยาผู้คนในแถบนั้น ทั้งบัดนี้มีภัยอันตรายมืดทมิฬปกคลุมอยู่นอกด่าน เกรงจักไม่สะดวกในการเสาะหาไม้จันทน์มาค้าขาย” เวฬุล้วงถามโดยเร็วเมื่อนึกขึ้นได้ “หวังว่าท่านคงรู้ลู่ทางหลบหลีกหากเกิดเข้าตาร้ายไม่คาดคิด”

“ท่านทั้งหลายจงประทับนั่งลงก่อน” โกสินทร์ผ่อนแขนให้พจน์นั่งคืนดังเดิม ตอนนี้ใจตนเป็นปรกติดีแล้ว อาการเวียนหัวทุเลาลง หากนอนพักตามคำแนะของวลาหกผู้เฒ่าแล้วก็คงดีเช่นเดิม

“ดงไม้จันทน์หอมขึ้นหนาแน่นอยู่เบื้องหลังมหาเทวาลัยร้างแห่งหนึ่งตั้งอยู่ทิศตรงข้ามกับประตูช่องเขาสุวรรณคีรีห่างประมาณ ๑ โยชน์ ขั้นกลางคือป่าอาถรรพณ์อันตราย บัดนี้ขอบเขตลี้ลับนั้นเล่าลือว่า แม้แต่สรรพสัตว์ยามย่างกรายเข้าไปก็จักมิมีวันหวนคืนกลับมาเป็นข้อสงสัย หากท่านจะซอกซอนเข้าตัดไม้จันทน์หอม มีหนทางเดียวคือต้องผ่านนครไพรพนาวรรณและมหาเทวาลัยแห่งนั้น”

“เจ้าพูดประหนึ่งคิดอ่านให้เราฝ่าภัยมืดเดินดงเข้าไปตาย เหมาะควรอยู่หรือ” กฤษณะหลุดกิริยาสงบก็ฮึดฮัดตวาดอึ้งไปไม่ยั้งคิด

“ดูก่อน ท่านผู้ค้าขาย ด้วยแนวไพรพนากั้นขวางเป็นดั่งปราการชั้นแรก ซ้ำนอกเขตมหาเทวาลัยปรากฏเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ปกคลุมรกชัฎเป็นพืชน้ำนานาพรรณ ย่อมยากแก่การเดินผ่านเป็นกำแพงชั้นสอง หนทางครรลองอันข้ากล่าวจึ่งเป็นทางเดียวเท่านั้น โดยย่างเข้าป่าอาถรรพณ์อย่างเงียบที่สุด โปรดอย่าโอ้เอ้เอ่ยทักในสิ่งไม่รู้แม้แต่คำเดียว จงตั้งจิตบริสุทธิ์อย่าหวั่นกลัว พ้นดงพฤกษาแล้ว จงหมายตารูปปั้นสิงหราชหน้าประตูมหาเทวาลัยเป็นหลักสำคัญ มีเป็นคู่เสมือนทวารบาลก่อนเข้าเขต ตรงฐานก่อศิลา จารึกอักขระโคลงสองบท แลบทท้ายมีข้อความหายไปหนึ่งคำของแต่ละบาท ท่านจงตรองด้วยสติปัญญาเถิดว่า คำเหล่านั้นคือสิ่งใด แล้วสิ่งนั้นจะเป็นกลไกเปิดเป็นช่องทางลับให้ท่านเล็ดลอดผ่านใต้มหาเทวาลัยไปผุด ณ ใจกลางดงไม้จันทน์หอมเป็นแน่แท้”

วลาหกผู้เฒ่ากล่าวเสริมเป็นลำดับชัดเจน

“แต่เหตุใดภัยมืดนั้นจึ่งบังเกิดสิงสู่ ณ เทวาลัยเทพจนเรามิอาจเดินผ่านได้โดยง่าย” อุปราชหนุ่มซักพระพักตร์ฉงน

“แหล่งที่แห่งนั้นเล่าลือว่า เมื่อหลายพันปีล่วงผ่านเป็นมหาสุสานฝังพระศพของมหากษัตริย์คนธรรพ์พระองค์หนึ่ง เหตุใดพระบรมศพกษัตริยาธิราชแห่งคนธรรพ์จึ่งถูกฝังอยู่นอกสุสานหลวงของมหาอาณาจักรอนันตาทมิฬนั้นสุดล่วงรู้ จวบกระทั่งเมื่อล่วงผ่านมามิถึงเดือนข่าวลือสะพัดไปทั่วว่า พระมหากษัตริย์คนธรรพ์พระองค์นั้นทรงพระนามว่า พระเจ้าอนันตราช มหากษัตริย์ลำดับเก้าแห่งพระราชวงศ์คนธรรพ์” พจน์รวบมือกำแน่นขนลุกกราว ใจเต้นระทึกสุดหักห้าม “แลเงามืดจึ่งแผ่มาปกคลุมนับแต่นั้น หากท่านล่วงรู้หนังสือตำราประวัติศาสตร์แล้วไซร้จักมิสงสัยเลยว่า เหตุใดราชภัยจึงผุดขึ้นอยู่หน้าประตูราชอาณาจักรของชาวเรา” วลาหกเบิกตาโพลงขาวสะท้อนแสงไฟ

“ข้าอับจนปัญญานัก โปรดแถลงไขเถิด” โกสินทร์เฉลียวคิดชั่วครู่ก็มิเห็นคำตอบ วลาหกผู้ตาบอดทอดใจใหญ่ แลว่า

“กษัตริย์พระองค์นี้กล่าวขานกันว่าเป็นพระองค์สุดท้ายที่ได้ครอบครอง ไพลินนิลสี หนึ่งในมหานพมณีอย่างไรเล่า”

เด็กหนุ่มผู้เคยย้อนระลึกชาติลอบสังเกตมาตะ รูปหน้าอย่างเดียวกับพระเจ้าอนันตราชกำลังตั้งใจฟังอย่างแน่วแน่ โดยไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า ถ้อยความทั้งนั้นกล่าวถึงอดีตชาติของตน


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3415876#msg3415876)
เพจนิยายข้ามพิภพ (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)

______________________________

โยชน์ : หน่วยวัดความยาวของไทยแต่โบราณ ๑ โยชน์ เท่ากับ ๔๐๐ เส้น หรือ ๑๖ กิโลเมตร
ยาม : ส่วนของวัน วันหนึ่งมี ๘ ยาม ยามละ ๓ ชั่วโมง ในบาลีแบ่งกลางคืนเป็น ๓ ยาม ยามละ ๔ ชั่วโมง เรียก ปฐมยาม มัชฌิมยาม ปัจฉิมยาม

______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

รอไม่นาน แต่อ่านแล้วยังค้างอยู่ดี มันยังไม่ได้ต่อตอนที่แล้วไง แค่ได้ความชาติก่อนมาอีกนิด  :ling3:
ใจเย็นๆครับ อย่างเพิ่งรีบร้อน ผมมาต่อให้สมใจแล้วครับ อาการค้างนี่ถือว่าเป็นความตั้งใจแกล้งของผู้เขียนเองแหละครับ อิอิ หวังว่าตอนล่าสุดนี่จะไม่เกิดอาการ 'ค้าง' อีกนะครับ

:mew4:
เศร้าไหมครับตอนที่ผ่านมา ผมนี่แทบเขียนต่อไม่ได้เลย  :katai1:

เพิ่มปมมาอีกแล้วนะครับคนแต่ง  รู้สึกสองคนนี้ผูกพันธ์มากี่ชาติภพเนี้ย  รู้สึกว่าพจน์ของเราจะเป็นตัวทำให้มาตะในแต่ละชาติต้องจบชีวิตนะ  แทนที่จะเป็นตัวทำให้มีคุณ  แต่เป็นโทษซะนี้  ล่าสุดก็น้ำตาเป็นสายเลือด โอ้ย  ใจจะขาดตาม  แต่เพลงเพราะมากแต่เศร้าสุดๆ  แทนที่จะหวานเหมือนชื่อเพลง  แฟนนิยายคนนี้ก็ยังติดตามเสมอนะครับ  ว่างตอนไหนก็เข้ามาอ่าน  คนแต่งชอบทิ้งปมไว่ท้ายตอนตลอดเลยอ่ะ  มันคาใจมากเลยขอบอก
ครับ เป็นปมที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้แต่จำทุกปมได้แน่ครับ จะมีปมไหนที่คลายไปแล้วก็ถือว่าหมดหน้าที่ผู้เขียน ส่วนปมไหนที่ค้างอยู่ก็ยังเป็นหน้าที่ของผู้เขียนต่อไปที่จะทยอยคลี่คลาย ถ้าถึงตอนนี้ก็สามชาติภพได้แล้วครับ คือ ภพปัจจุบันที่พจน์ข้ามพิภพไปเจอมาตะ หนึ่ง พระเจ้าอนันตราช(มาตะ)คู่กับพระเจ้าวัชรโกมล(พจน์) สอง และล่าสุดก็พระเจ้าพัชรพรรดิ(มาตะ)คู่กับพระเจ้ารพีกานต์(พจน์) สาม ครับ ให้ทายว่ามีอีกหรือเปล่า อิอิ ในอดีตชาติ พจน์จะเป็นสาเหตุให้มาตะตายหรือเปล่าเนี่ย ต้องมาคุยกันยาวครับ แต่เท่าที่เรื่องราวเล่าถึงถ้ามองจากมุมนั้นก็คงมีส่วน โดยเฉพาะภพชาติกินนร ส่วนภพชาติคนธรรพ์นั้น ต้องลองกลับไปอ่านดีๆครับ ว่าจะเป็นอย่างที่คุณกล่าวหาพจน์หรือเปล่า อิอิ เพลงคำหวานมีหลายเวอร์ชั่นมาก แล้วที่เป่าด้วยขลุยซึ่งนำมาประกอบตอนล่าสุดก็เศร้าสุดบรรยายจริงๆครับ ขอบคุณที่มี 'แฟนนิยาย' ติดตามเหนียวแน่นขนาดนี้ ทั้งติท้วงในข้อลืมหลง ทั้งชมเป็นแรงกำลังใจ ยินดีครับที่งานเขียนชิ้นนี้เหมาะใจกับคนอ่าน ขอบคุณครับ

อดีตชาติเศร้าสุดจะบรรยาย TT
เป็นตอนที่เขียนไปก็ไม่อยากให้ตัวละครต้องมาพบจุดจบแบบนี้เลย ขัดใจตัวเองสุดๆเลย ถ้าเลือกได้จะแต่งให้สมหวัง อ้าว ถ้างั้นก็คงไม่ต้องมีภพชาติมาตะพจน์ล่ะสิ แฮปปี้เอนดิ่งตั้งแต่ภพชาติกินนรแล้ว ฮ่าๆ ขำตัวเอง ดีใจที่ทำคุณเศร้า 'สุดบรรยาย' ได้นะครับ

มาตะ ช่างน่าขัดใจจริงๆ  :hao5: :hao5:
ความจริงแล้ว เห็นมาตะโดนฉกจูบ ยังไม่เจ็บเท่าเห็นมาตะรั้งอีกฝ่ายไว้ เมื่ออีกฝ่ายเหมือนจะร้องไห้
ทิ้งให้อีกฝ่ายร้องไห้ก็ได้ มีประโยชน์อะไร ถ้าปลอบอีกฝ่าย แล้วคนรักของตัวเองกลับเป็นฝ่ายเสียน้ำตา
จริงครับ เห็นด้วยกับคุณอย่างยิ่ง เรื่องจูบอาจไม่ทันตั้งตัวเพราะไม่เต็มใจ แต่ยังดึงรั้งไว้นี่ปวดใจยิ่งกว่า ถ้าเป็นพจน์ก็คงเหมือนเจ็บซ้ำสอง แต่มาตะก็ต้องมีเหตุผลแหละที่ดึงรั้งไว้ การเป็นคนหล่อ แล้วก็คนดีไปด้วยเนี่ย มันน่าเหนื่อยใจจริงๆนะครับ ฮ่าๆ หวังว่าคุณจะชอบนิยายเรื่องนี้และติดตามไปเรื่อยๆจนจบนะครับ


หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๘ ไพลินนิลสี พัชรพีนิลกาฬ ๕๐% (๓๐/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 30-06-2016 20:29:18
สงสารพจน์ ภพเริ่มยอมโดนพิษลีลาวดี เพียงเพราะพ่อคนซื่อตัดพ้อ ภพถัดมา เสียน้ำตา(สายโลหิต)เพราะ พ่อคนซื่อ จะไปรบ ได้ยินเสียงร้อง ตายไหมไม่ทราบได้ พจน์สิ้นใจก่อน  :katai1:
เซ็งสุดตอนโดนจูบ แต่ดันยื้อคนจูบ  :angry2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๘ ไพลินนิลสี พัชรพีนิลกาฬ ๕๐% (๓๐/๐๖/๕๙) หน้า ๑๐ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 01-07-2016 17:55:30
ผมลืม  ภพนั้นพจน์ตายเพราะมาตะ  จากเมียหลวง  รอต่อไปคราบ  ว่าปมนี้จะคล้ายแบบไหน  ลุ้นละทึก  คึคึ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๘ ไพลินนิลสี พัชรพีนิลกาฬ ๑๐๐% (๐๔/๐๗/๕๙) หน้า ๑๐
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 04-07-2016 13:51:42
[ต่อ]


พจน์ไม่อาจข่มตาหลับลงได้ทั้งรู้สึกอ่อนแรงเหลือกำลัง พยายามหยุดความคิดไม่ให้หวนคำนึงถึงใจความอันวลาหกผู้เฒ่ากล่าวแจ้ง คราใดใคร่ครวญซ้ำก็ระทึกรุ่มร้อนเหมือนมีคนลอบเผาไฟในกาย พลิกตัวกระสับกระส่ายอยู่นาน พิจารณาแน่แล้วมิอาจหลับลงก็ผุดลุกขึ้นนั่ง บัดนี้ทุกคนหลังได้เสพอาหารพื้นถิ่นตามฐานะผู้เฒ่าโดยมีลูกสาวเจ้าเรือนเป็นผู้ปรุงแล้วก็หลับตาเอาเรี่ยวแรง แสงไต้ไฟทอลอดผ่านซี่ไม้ไผ่ต่างผนังเรือน แว่วยินสายน้ำไหลผ่านพื้นกระดานก็สำนึกได้ว่าห้องแห่งนี้คงเป็นเรือนแพ ก้าวย่างหย่อนฝีเท้าลงน้ำหนักเบาอย่างที่สุด เวฬุนอนเคียงโกสินทร์ พระมหาอุปราชบรรทมบนแคร่ไม้มุมหนึ่ง ส่วนผู้เฒ่าวลาหกกลับไปนอนยังอีกห้องของตนพร้อมบุตรี ไม่เห็นมาตะหรือกฤษณะทอดกายอยู่บริเวณนั้นก็ให้ฉงน ผลักบานประตูออกจ้องแสงเดือนกระทบสายน้ำเป็นคลื่นชนเข้าหาฝั่ง
 
ลำน้ำคีรีนครากว้างใหญ่พอประมาณ ปรากฏเรือนแพอย่างเดียวกันนี้ปลูกถัดเป็นแนวต่อกันยาวสุดลูกหูลูกตา ความเงียบสงัดผสานเสียงน้ำกระทบฝั่งแว่วมาพร้อมถ้อยนกร้องแลลมหายใจม้าแทรกซ้อนอยู่ในอากาศ พจน์ทรุดลงบนลานไม้หน้าเรือนหย่อนเท้าลงละสายน้ำเย็นชื่นใจ ทบทวนถึงคำของเฒ่าวลาหก

‘พระบรมศพกษัตริยาธิราชแห่งคนธรรพ์....พระองค์นั้นทรงพระนามว่า พระเจ้าอนันตราช’

ราวกับความจริงในตำนานขยับเข้าใกล้พจน์ทีละน้อย
 
อีกทั้งเหตุการณ์อดีตชาติกินนรรพีกานต์หลั่งน้ำตาสายโลหิตฝังแน่นในห้วงจิต เหตุผลที่ตนถูกทำให้ระลึกชาติคงไม่ใช่เพียงเพื่อสบเห็นความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน แต่เป็นบางสิ่งที่กินนรรพีกานต์ครอบครองในวาระสุดท้าย เช่นเดียวกับพระเจ้าอนันตราชอดีตชาติของมาตะ ไพลินนิลสี ไม่น่าแปลกใจเลยหากภัยมืดจะเคลื่อนเข้าปกคลุมเทวาลัยแห่งนั้น เพราะจอมปีศาจคงหวังจะชกชิงอัญมณีสีนิลลึกลับนี้เป็นแน่
 
“เจ้าควรนอนพักเอาเรี่ยวแรง ด้วยเผชิญทุกขเวทนาน่าสงสาร เพียงแลเห็นก็เจ็บปวดใจล้ำประมาณ”

ใบหน้าอย่างเดียวกับไอ้กันไต่ถาม ฟุบกายนั่งเสมอเคียง

“เรานอนไม่หลับ”

กฤษณะหัวเราะมาคำหนึ่ง พลางว่า

“แค่เพียงเห็นหยดน้ำตาสายโลหิตของเจ้าหลั่งลงต่อหน้าต่อตาเฉกนั้น ประดุจหัวใจตัวเองหยุดเต้น  มินึกว่าใจนั้นอยู่กับกายโดยแท้ แต่ถึงคราวคับขันจึ่งล่วงรู้ว่ามิใช่ของตัวอีก” กฤษณะกระชับด้ามทวน ดวงตาดุดุจเหยี่ยวจ้องมองพจน์ไม่ลดละ

“ขอโทษที่ทำให้พวกนายต้องลำบาก” พจน์ก้มมองสายน้ำ

“ข้ากฤษณะขันอาสาทำราชการลับครานี้ มิเคยประหวั่นเกรงภัยราชศัตรูใดขวางกางกั้นอยู่เบื้องหน้าแม้เพียงนิด ถึงจักเป็นยักษ์มารปีศาจมากเล่ห์ก็หาพรั่นพรึงไม่ ด้วยใจกล้ามีประจำกายตัวมาแต่จดจำความได้ อีกทั้งทักษะฝีมือทวนมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้ใด หากแม้นเผชิญภัยก็จักขอเอาตัวแลกถวายผืนแผ่นดิน ครั้นหว่างทางบังเกิดพบว่าหัวใจกล้าหาญประจำตนบัดนี้ถูกลักพานับแต่ทวนอาวุธคู่กายถูกปลดจากมือโดยคนผู้หนึ่งแล้วยังมิรู้ตัว จวบกระทั่งเห็นท่านมีอาการหลั่งน้ำตาเป็นโลหิตจึ่งค้นพบความจริงนั้นในทันใด” กฤษณะพูดสีหน้านิ่งเฉย แต่ถ้อยคำซ่อนเร้นเผยความรู้สึกมากมาย “วานภัทรพจน์ท่านช่วยเอ่ยคำหนึ่งเถิดว่า กฤษณะผู้ไร้หัวใจนี้จักตามหาใจตัวได้จากที่ใด”

พจน์ชะงัก ไม่คาดคิดว่าจะถูกอีกฝ่ายจู่โจมด้วยคำแทะโลมคาดคั้นกะทันหัน สติปัญญาเพิ่งฟื้นคืนกำลังยังมิเฉียบคมเท่าเพลาปรกติก็ตื้อตันกระวนกระวายมิอาจสรรหาคำมาบ่ายเบี่ยงได้

“เรา...ไม่รู้สิ เอ่อ” หันสบตาดุก็รีบก้มลงมองตักตัวเองทันที

“เราสองเจอกันในสถานการณ์มิถูกควร ก็แหละคราวนั้นกฤษณะถูกโมหะเข้าครอบงำชั่วขณะ จึ่งก่อกิจจะลักษณะชั่วช้าโดยมิยั้งคิด ปลุกการวิวาทสร้างความเสียหายแก่ราษฎร ทั้งยังหยาบช้าเจรจาน่าอดสูระคายหู จิตใจในครานั้นนอกกว่ารุ่มร้อนผสมไฟแค้นมิสมควรแล้ว ยังหนุนเนื่องมาด้วยฤทธิ์สุรามึนเมาอีก สติอันควรมีประจำตัวนายกองทหารเกราะทองเป็นที่ตั้งจึ่งมีอันพังลงน่าอับอายปรากฏต่อสายตาท่านเป็นชนักติดหลัง กฤษณะกระทำต่ำเลวพ่วงนิสัยพาลเป็นข้อฉกาจฉกรรจ์เหลือจักกล่าวฉะนี้ แลนำตัวมาขอเป็นเครื่องรองรับผิด คำหนึ่งโปรดแจ้งให้ไอ้คนเลวอันท่านมิอาจทนมองหน้า ได้ยินสักถ้อยหนึ่งเถิดว่า จักกรุณาอภัย ฤา โกรธแค้นสืบต่อ”

สีหน้าเศร้าอกตรมขมไหม้ปรากฏเป็นรอยขุ่นมัวชัดแจ้ง พจน์ลำดับเรื่องราวเมื่อแรกเจอ ณ ลานโรงสุราของนางแดงแล้วก็ให้เวทนา เหตุการณ์ทั้งนั้นเกิดเพราะความเข้าใจผิดต่อกันเป็นเหตุหลัก มองจากคนนอกแล้วเห็นว่า มิอาจกล่าวหาฝ่ายใดผิดได้เต็มปาก หนึ่งเพราะมาตะถูกหมายตาให้เป็นคู่ครองกฤษณาอยู่แล้ว คนทุกผู้จึงมิอาจเห็นเป็นอื่น ซ้ำกฤษณะดำรงฐานะถึงพี่ชายมาทราบว่า มาตะลักลอบนัดแนะพบพจน์ ก็ก่อเกิดเป็นโทสะขึ้นสมเหตุผล ตัวการทั้งนี้หากจักกล่าวฝ่ายมาตะผิดก็คงผิดมากกว่ากฤษณะ ตัวครองตนไม่เด็ดขาด จนผู้คนเข้าใจผิดคิดว่าลอบผูกสมัครรักใคร่กับกฤษณา หรือแท้จริงแล้วประสงค์ดั่งว่าก็สุดคาดคิด ตริตรองได้เช่นนั้นก็พาลเจ็บช้ำในอกซ้ำ น้ำตาก็หวนเอ่อคลออีก

“ไยภัทรพจน์ท่านมามีอาการดุจขื่นขมมิอาจอภิรมย์ด้วยคำอภัยสู่กฤษณะผู้นี้ ซ้ำบังเกิดรอยโศกทันทีเมื่อยินคำของข้า อภัยเถิดมินึกว่า ถ้อยคำกฤษณะจักเป็นดั่งคมทวนฉกผิวเนื้อท่านจนเกิดรอยแผลให้อาดูร ชะรอยรูปตัวคงอัปลักษณ์น่าชังเกินท่านฝืนทนแลมองได้จึ่งหันแต่เบื้องทิศอื่น กฤษณะผู้ได้ชื่อว่าเป็นชายชาติชาตรีอาจหาญชาญณรงค์ คงได้มาเพราะคำคนประมาณราคาเป็นแน่ เนื้อแท้แล้วเพียงเห็นรอยน้ำตาภัทรพจน์ท่านเพียงหนึ่งน้อย ก็ขลาดเขลายิ่งกว่ายักษ์มารผุดผาดอยู่เบื้องหน้าอีก อย่าร่ำไห้เลยเถิดหนาเจ้า กฤษณะจักขอนำตัวน่ารังเกียจนี้หลบลี้หนีจากครองจักษุท่านในบัดดล”

กล่าวพลางก็แกล้งผุดลุกขึ้น พจน์เห็นอีกฝ่ายดำริผิดต่างจากเจตนาตน ทั้งที่เป็นฝ่ายเอนเอียงมาปรับความเข้าใจต่อกันก่อน แต่เขากลับสร้างเป็นรอยเข้าใจผิดซ้ำอีกก็ร้องเรียกไว้
 
“เดี๋ยว กฤษณะ นายอย่าเพิ่งไป นั่งลงก่อน เราเสียใจไม่ใช่เพราะยังโกรธนาย แต่เป็นคนอื่นต่างหาก”

กฤษณะได้ยินเจ้าหนุ่มมากโฉมกล่าวคำเชื้อเชิญดึงรั้ง ซ้ำสำแดงว่าให้อภัยอยู่ในทีก็ผุดปลื้มดีใจทรุดนั่งชันเข่าพึงพิศดังเดิม

“วิสัยข้าเป็นคนเถรตรงพูดตามแต่ใจตัว คิดสิ่งใดจึ่งกล่าวสิ่งนั้นเสมอ ความสุจริตเป็นหลักธรรมประจำคติตัวเช่นนี้ หากคำหนึ่งในครานั้นจริงจนเสียดแทงระคายหูท่านจงถือเสียว่า บัดนี้กฤษณะนำตัวมาให้ท่านชำระล้างถ้อยคำนั้นเสีย แลท่านประสงค์ให้เชลยผู้นี้ทำสิ่งใดเป็นสิ่งทดแทนรอยแผลเข้าใจผิดจงแจ้งมาเถิด กฤษณะผู้รับใช้จักเร่งหามาให้มิช้าที” เจ้าหนุ่มกฤษณะเปรยประสาซื่อ ดูเชิงภัทรพจน์โอนเอียงยินดีในคำตนก็ลำพองใจเป็นที่สุด ออกปากฝากตัวเป็นอันคุ้นเคยกันแล้ว พิเคราะห์เห็นอยู่ตามลำพังก็คึกคะนองถือวิสาสะฉวยมืออีกฝ่ายมากอบกุมไว้
 
ครั้นพจน์ถูกกฤษณะกระทำกล้ำกรายรุ่มร่ามมิทันระวัง แต่ใจแรกหมายคิดสะบัด ต่อเมื่อฉุกคิดเห็นเป็นกิริยามิสมควร ก็ปล่อยปละชั่วครู่พอมิให้เป็นที่ผิดสังเกต แล้วจึ่งขืนถอย พลางว่า

“เราไม่โกรธนายแล้วล่ะ เรื่องที่ผ่านมาก็ถือให้แล้วกัน แต่มีความสงสัยอย่างหนึ่ง ไม่ทราบว่านายจะช่วยได้หรือเปล่า”

“วานภัทรพจน์ท่านสั่งความเถิด สิ่งใดกฤษณะสรรหามาแทนคุณความอารีของท่านได้ก็จักกระทำให้บัดเดี๋ยวนี้” ยิ้มแย้มผิดต่างจากสีหน้าขรึมเพลาปกติ

“ไม่ถึงกับต้องเสียเวลาหาหรอก เราอยากสอบถามความรู้นายก็เท่านั้น นายรู้จักตำนาน ไพลินนิลสี มาบ้างหรือเปล่า” พจน์ซักยังสิ่งซึ่งค้างคาใจอยู่ กฤษณะตีหน้าขรึมดังเดิม หน้าระรื่นขยิ่มก็พลันลดทอนลงดั่งขัดใจ

“ท่านถามถูกคนแล้ว กฤษณะนับเป็นขุนทหารชาญณรงค์ผู้รับใช้เบื้องบรมโพธิสมภาร นอกจากจะเจนจัดศิลปศาสตร์ด้านอาวุธเป็นเลิศแล้ว สรรพวิชาตำราหลวงก็มิเคยลืมหลง เรื่องราวอันภัทรพจน์ถามจึ่งเหมือนเป็นสิ่งง่ายดายมิยากจะนำมาให้” นายกองหนุ่มปั้นคำทะนงตัวจนพจน์เผลอยกคิ้ว “ก็แหละตำนานมณีนพรัตน์ล้วนถูกจดจารไว้เล่าสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเป็นตำราศึกษาพร่ำเรียน นอกกว่าผู้ไม่รู้ภาษาเท่านั้นจึ่งจักไม่ทราบ กฤษณะเป็นผู้ใฝ่ในการศึกษาเป็นเอก แขนงวิชาใดเหมาะควรประกอบเป็นทักษะแลเสริมส่งฐานะตนได้แล้วจะเพิกเฉยนั้นมิควรก่อน ตำนานบรรพกาลเกริ่นกล่าวว่า

เบื้องทิศามหาบูรพา
มีบรรพตมหิมาสูงใหญ่
บังเกิดผุดชะง่อนซ่อนซุกไพร
เป็นเนินไกลเสียดฟ้านภาลัย

ล้อมรอบด้วยพฤกษาพนาวรรณ
นคราเรืองสุวรรณอันสดใส
แห่งเผ่าพันธุ์กินนรอันเกรียงไกร
ก่อปราสาทเพริศในตระการตา

มหากษัตริย์กินรามหาราช
ท้าวสุธนภูวนาถชาติปักษา
ครองพิภพเฉิดฉันพันธุ์เทวา
ทศทิศราชธรรมาจรดหิมพานต์

สุธนมหาราชปราชญ์กินนร
ทรงฤทธิรอนวิสุทธิสืบสาน
กำเนิดราชบุตรสุดสะคราญ
ด้วยรูปลักษณ์นฤบาลสูงใหญ่

พระพัชรพรรดิกุมารราชบุตร
เลิศวิชากลยุทธ์ดุจจอมผไท
โฉมรูปงามลุ่มหลงเหล่านางใน
กินรินวงศ์จอมใจพร่ำเล่าลือ

ลุทิวาวันหนึ่ง พระพัชรพรรดิจึ่งประสงค์ออกล่าสัตว์ ปฏิบัติวิถีคลายพระอารมณ์ เนื่องตรอมตรมเบื่อหน่าย ออกปากชวนสหายเพื่อนสนิท นามสัปะวามิตเกลอเก่า ดำรงเผ่าราชองครักษ์พิทักษ์กินนร เที่ยวเร่รอนออกป่าพนาสัณฑ์อรัญญิก สรรพสัตว์น้อยใหญ่ดารดาษ แลเห็นปีกผงาดประจำองค์แผ่ขยาย ขยับขึ้นขยับลงร่อนกาย สูดกลิ่นดินทรายพลันชื่นใจ ครั้นโผองค์ลงเทียบเหยียบพื้น ปฐพีผืนเขตเมืองนิลสวรรค์ เสด็จย่างเยื้องยกธนูหมายเล็งพลัน กวางสมันตื่นกันเตลิดไป สัปะวามิตร่ายเวทย์ระงับจิต เพ่งพินิจญาณชาญสมร เหตุชักพาให้เหล่าสัตว์วิ่งตื่นจร เพราะเสียงวอนแว่วมาจากชลาธาร กินนรราชบุตรสุดประหลาด ทะลุปราดลอบตามน้ำเสียงใส ขยับองค์ซุกซ่อนตามหมู่ไพร เห็นชลาศัยมีกินนรลงเล่นอยู่ เขม้นดูเห็นหมู่เหล่าบุรุษนั้น มีด้วยกันห้าตนวนเวียนว่าย ตนหนึ่งพุ่งผุดขึ้นกลางตระพังอย่างว่องไว โผปีกขยับไหวกายเปล่าเปลือย ทั้งดวงหน้าแฉล้มงามพิสุทธิ์ ประดุจจันทร์ผุดผงาดกลางเวหน ดวงตาเล่าดั่งเหมือนดวงสุริยน คิ้วโก่งบนพระพักตร์ปักอุรา ปากนั่นหนาเป็นกระจับซับฉวี ผิวพรรณขาวดุจรพีเริ่มฉายแสง วาจาเสนาะโสตพุ่งทิ่มแทง เสียดศรรักปักตะแคงหว่างกลางใจ
 
พระพัชรพรรดิมิอาจซ่อนองค์ดำรงได้ จึ่งย่างเยื้องเสด็จไปปรากฏเห็น เหล่ากินนรแวดล้อมก็ร้องเป็น สัญญาณให้พระองค์นายสดับรู้ ครั้นรพีกานต์เป็นเจ้าเหลือบแลดู ก็อดสูดิ่งลงซ่อนสรงน้ำ ตวาดซ้ำวาจาน่าพิสมัย ด้วยพระหทัยตื่นตระหนก เจ้าผู้นั้นคือใคร แอบอยู่หลังไพรดูเราอยู่ น่าอับอายอัปยศอดสู ดูหรือมาแอบมองเรา พระพัชรพรรดิต้องเสน่ห์ ดุจเสียงใสลมเพพัดผ่าน ดำรัสตรัสตอบด้วยใจทรมาน วานน้องท่านโปรดแจ้งสกุลนาม รพีกานต์ตรึกตรองนิ่งข่ม พระอารมณ์สงบลงวาบหวาม เพียงพินิจดวงหน้าโจรรูปงาม พระหทัยตะลึงตามระทึกไหว ข้ารับใช้แวดล้อมเห็นพระโฉม พัชรพรรดิเหมาะสมมิกีดกั้น พยักหน้าเป็นสัญญาณหลบเลี่ยงพลัน วูบกระสันหลบออกจากที่นั้น

ครั้นรพีกานต์เห็นบ่าวมาจากหนี ความอายมากมีก่อเกิดเป็นล้นพ้น สัปะวามิตเล็งเห็นพิเคราะห์ตน ทอดตามองเวียนวนดั่งรู้การ ไยฝ่าพระบาทยังครององค์ประสงค์นิ่ง ยังมิดิ่งโผโผนกระโจนหา กินนรน้อยรูปงามยอดดวงตา คอยอยู่ท่ากลางน้ำรับพระองค์ สดับเห็นเป็นจริงดังคำว่า ก็ปลดเปลื้องชุดศาสตราลงริมฝั่ง ย่างเยื้องกายเปล่าเล่าเปลือยอุดมกำยำ ทั้งล่ำสันสะโอดสะองเจริญตา รพีกานต์สบหาก็หลบหลีก หมายเนรมิตปีกจะตีห่าง พัชรพรรดิจึ่งเอื้อมคว้ากระชับวาง สอดแนบชิดเนื้อบางเข้าหากัน เมื่อถูกกอดเช่นนั้นพลันขึ้นสี โฉมรพีพลันขวยเขินสะเทิ้นหา ซ้ำร้องเรียกหมู่พวกเหล่าเพื่อนยา ดิ้นรนสะบัดขาด้วยกำลัง แต่องค์พัชระเรี่ยวแรงกำลังแกร่ง โอบกระชับขับแรงให้เสียดสี แลตรัสว่านามน้องท่านชื่นฤดี จงแจ้งแก่พัชรพรรดิคนดีอย่าพะวง ครั้นถูกองค์กอดรัดเฟ้นเน้นเนิ่นนาน สุดอิดออดเอื้อนเอ่ยเป็นคำหวาน รพีกานต์ นามเราชื่อ ท่านแลหรือคือ พัชรพรรดิ วงศ์เทวา แล้วตอบว่ายอดดวงตาดวงใจอย่าลืมหลง จรดโอษฐ์แนบชิดสนิทองค์ สอดรัดร่วมสรงร่วมรักสมัครใจ
 
ครั้นมณีสีนิลหว่างหน้าผาก รับรู้จากกิริยาร่วมไสว ก็บังเกิดแสงสีฉับพลันทันใด ปลุกพลังก่อดวงใจผนึกงาม เพรียกขานนาม ‘พัชรพีนิลกาฬ’ มาแต่นั้น


ตำนานจรจารไว้ครบถ้วนเช่นนี้มิทราบว่าจักแจงไขข้อข้องใจแก่ภัทรพจน์ท่านมากน้อยเพียงไร  วอนเอ่ยสักคำหนึ่งเถิด” กฤษณะเล่าจบพร้อมซักต่อ

พจน์ลำดับเรื่องราวเป็นภาพในใจก่อเกิดตื้นตันแน่นในอก ไม่อาจกล่าวคำตอบถ้อยความคำถามนั้นได้ เพราะที่มาของ พัชรพีนิลกาฬ กำเนิดขึ้นมิต่างจาก อนันตวัชรมรกต เริ่มจากรักพลัดพรากด้วยความตาย

“เพลาอันควรพักเอาเรี่ยวแรงเสริมกำลังตัว มาหลงเมามัวในน้ำคำตำนานบุราณกาลโพ้น ทั้งทอดกายสนทนากันมิต่างคู่รักซักพลอดฉะนี้ จักให้ข้าข่มตาหลับพักสงบนั้นคงทำมิได้ ตัวมีอาการประหลาดก่อเป็นเหตุสร้างภาระแล้วแทนที่จักรักษาตนคืนกำลังให้ได้โดยเร็ว กลับประพฤติมิต่างกับคนไร้สติปัญญา สมควรเราจักทิ้งไว้ที่นี้มิให้เป็นภาระถ่วงการเดินทางต่อไปเบื้องหน้า” คำปรามาสปราศหัวใจตวาดหลุดจากพระโอษฐ์ของสุริยะมหาอุปราช พร้อมสีพระพักตร์เหยียดหยาม

พจน์หยัดกายยืนท้าทายพร้อมคำโต้กลับ

“นายเป็นคนแบบไหนกันแน่ คนสองบุคลิก หรือคนปากอย่างใจอย่าง ลับหลังทำอย่างหนึ่ง ต่อหน้าใครอื่นทำอีกอย่างหนึ่ง คนแบบนี้เราก็ไม่อยากจะเห็นหน้าต่อไปอีกเหมือนกัน”

เจ้าหนุ่มมากโฉมถูกคำพูดผูกพยาบาทหมิ่นเฉือนจิตใจมิอาจทนอยู่ได้ ตัดพ้อเสร็จก็หุนหันเดินหนี แม้นคำเรียกหาของกฤษณะก็มิอาจดึงรั้งไว้ จ้ำพรวดขึ้นฝั่งเห็นม้าผูกอยู่ใกล้ต้นไทร ความอัดอั้นตันใจนับแต่ได้ยินตำนาน พัชรพีนิลกาฬ ก็ทะลักล้นท่วมอก

“น้องท่าน... มาตะ ขอโท...”

เงาคนผู้เฝ้าเหล่าอาชาขยับเข้าหาพจน์ เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลจับจ้องใบหน้าอย่างเดียวกับพระเจ้าอนันตราชและพระเจ้าพัชรพรรดิ ส่ายศีรษะแล้วทรุดกายลงกอดขาแน่น ซุกใบหน้างามซบลงกับเข่า พยายามเค้นปลดปล่อยความเสียใจทั้งมวล แต่น้ำตาดุจมิหลงเหลืออยู่ในกายพจน์อีกแล้ว แห้งเหือด ว่างเปล่า

เช่นเดียวกับชะตาชีวิตของตนกับมาตะในภายภาคหน้า จุดจบคงไม่พ้นความโศกเศร้าพลัดพราก มาตะทำได้แต่ยืนมองยอดรักตัว มิกล้าแม้แต่จักทอดกายลูบโลมปลอบสัมผัส หัวใจเบื้องอกซ้ายบีบรัดเจ็บปวดรวดร้าวมิต่างกัน


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3418165#msg3418165)
เพจนิยายข้ามพิภพ (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)

______________________________

ตระพัง : แอ่ง, บ่อ
รพี : ดวงอาทิตย์

______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

สงสารพจน์ ภพเริ่มยอมโดนพิษลีลาวดี เพียงเพราะพ่อคนซื่อตัดพ้อ ภพถัดมา เสียน้ำตา(สายโลหิต)เพราะ พ่อคนซื่อ จะไปรบ ได้ยินเสียงร้อง ตายไหมไม่ทราบได้ พจน์สิ้นใจก่อน  :katai1:
เซ็งสุดตอนโดนจูบ แต่ดันยื้อคนจูบ  :angry2:
เป็นชีวิตที่น่าสงสารจริงๆ คิดดูถ้าเป็นเราแล้วเกิดระลึกชาติขึ้นมาได้ว่าเหตุการ์ที่ล่วงผ่านไปเกิดอะไรขึ้นบ้าง จะเป็นยังไง บางทีเหตุผลที่ชีวิตเราเกิดมาทุกวันนี้ไม่สามารถจดจำเรื่องราวชาติที่แล้วได้ ผมว่าดีแล้วล่ะครับ ไม่งั้นคงปวดใจแบบพจน์แน่ ครับ ถ้าหายเซ็งแล้วก็มาติดตามเรื่องราวต่อกันต่อเลย

ผมลืม  ภพนั้นพจน์ตายเพราะมาตะ  จากเมียหลวง  รอต่อไปคราบ  ว่าปมนี้จะคล้ายแบบไหน  ลุ้นละทึก  คึคึ
ครับ บางทีก็เป็นความผิดของผู้เขียนเองที่เลือกจะแต่งนิยายด้วยถ้อยคำภาษาที่ยากลำบากแก่การอ่านและการตีความ และยังเป็นนิยายที่มีเนื้อหาขนาดยาวอีก จึงเป็นเหตุให้ผู้อ่านหลงลืมเรื่องราวเมื่อล่วงผ่านมาแล้วได้ง่ายๆ ไม่ผิดที่คุณลืม แต่อย่าลืมติดตามอ่านจนจบละกันครับ ไม่งั้นมีความผิดแน่ อิอิ


หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๘ ไพลินนิลสี พัชรพีนิลกาฬ ๑๐๐% (๐๔/๐๗/๕๙) หน้า ๑๐ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: pnn ที่ 04-07-2016 23:23:47
กว่าจะรักกันได้ สู้ๆนะ มาตะ-พจน์  :mew4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๘ ไพลินนิลสี พัชรพีนิลกาฬ ๑๐๐% (๐๔/๐๗/๕๙) หน้า ๑๐ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 05-07-2016 05:53:30
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๘ ไพลินนิลสี พัชรพีนิลกาฬ ๑๐๐% (๐๔/๐๗/๕๙) หน้า ๑๐ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 05-07-2016 07:51:03
กว่าจะจบแต่ละเรื่องช่างปวดใจนัก :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๘ ไพลินนิลสี พัชรพีนิลกาฬ ๑๐๐% (๐๔/๐๗/๕๙) หน้า ๑๐ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 05-07-2016 10:25:32
ตามอ่านอยู่แล้วคราบ  นิยายในดวงใจขนาดนี้  หานิยายดีๆแบบนี้ยากแล้วทุกวันนี้  ดูสิพจน์จะทำยังไงต่อไป  จะห้ามหัวใจตัวเองให้มาแข็งแกร่งได้รึเปล่า  ยิ่งอ่านมันยิ่งลุ้นระทึกอ่ะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๘ ไพลินนิลสี พัชรพีนิลกาฬ ๑๐๐% (๐๔/๐๗/๕๙) หน้า ๑๐ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: pui_noizๆ ที่ 05-07-2016 11:49:54
ขอบน้ำใจพี่ท่านเหลือประมาณ น้องมิได้เข้าพบพานเพจนี้เสียหลายเพลา บทประพันธ์ของพี่ท่านยังทรงคุณค่าดุจเดิมมิเปลี่ยนแปลงตามเวลากาลแลยิ่งทวีคูณด้วยถ้อยคำอักขราประเสริฐล้ำ อันมธุรสวาจาโต้ตอบกับมวลมิตรของพี่นั้น ช่างโสตเสนาะเพราะหูเสียนี่กระไร น้องพึงได้เห็นน้ำใสใจจริงของพี่ท่านแล้วในครานี้...

..น้องมีการอันขุ่นข้องหมองใจใคร่แถลง ด้วยภัทรพจน์ร้องไห้ฟูมฟายจนเกินการจวบจนน้ำตาธารเป็นโลหิตนั้น น้องมิเห็นสม ด้วยตนมิใช่อิตถีเพศนั่นก็หนึ่ง ไฉนฤาจึ่งทำตนอ่อนแอได้เพียงนี้ ย่อมประจักษ์แจ้งแก่ใจดีว่าสวามีนั้นมิใช่ผู้ที่ไปเกี้ยวพาราสีผู้นั้นก่อนแลการจุมพิตที่บังเกิดก็หาได้เริ่มด้วยคู่ครองของตนไม่ เหตุเป็นดังไม่คาดฝันพัลวันเยี่ยงนี้มิควรมีซึ่งผลดั่งน้องนี้ได้แจ้งไป อีกทั้งตนยังเป็นคนในเบื้องปัจจุบันที่ข้ามภพย้อนกาลกัลป์กลับไปได้ ใยมิมีความแข็งแกร่งทานทนต่อเล่ห์กลอันเกิดขึ้นแลพบเห็นได้ทั่วไปในปัจจุสมัย เป็นดั่งนี้แล้วไซร้ น้องจึ่งใคร่สงสัยในตัวพจน์...

 แต่น้องก็ประจักษ์แจ้งแก่ใจว่าพี่ท่านนั้นไซร้ จักน้อมนำพาทุกคนไปสู่อดีตสมัยอันพระเจ้าระพีกานต์...

หากน้องนี้ได้ล่วงเกินสิ่งใดไป ขอพี่ท่านให้อภัยน้องด้วยเทอญ..

 

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๙ พิรุณวิปโยค ๕๐% (๐๗/๐๗/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 07-07-2016 10:34:02
บทที่ ๒๙


พิรุณวิปโยค


   
รอยแผลบาดลึกฝังคมกรีดลงหัวใจพจน์มากขึ้นทุกขณะ ดุจความเจ็บปวดนั้นทวีริ้วรอยมิรู้จบสิ้น หลังปลดปล่อยความอัดอั้นจนสิ้นค้างคา หักใจนำความกล้าขึ้นลบล้าง ทุกข์ทรมานใดรอคอยอยู่เบื้องหน้าไม่อาจรู้ แต่ตอนนี้ตนเจ็บสมใจผู้กำหนดโชคชะตาเป็นที่ปรากฏแล้ว

“พจน์...ไข้ลดลงแล้ว ดื่มน้ำอีกหน่อยนะ” ภพดนัยจรดแก้วน้ำลงริมฝีปาก แล้วโผกอดบุตรชายแน่น บัดนี้เด็กหนุ่มกลับสู่โลกปัจจุบันอีกหน พยักหน้าอือออตอบรับ

“ผมสบายดีแล้วครับ คุณพ่อ” ภพดนัยใช้หลังมือวัดอุณหภูมิหน้าผากด้วยพะวง เสียงสายฝนยังคงกระหน่ำมิหยุดหย่อน ใบหน้าสวยหล่ออย่างเดียวกับพจน์ ขยับระโหยอ่อนแรงพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“พ่อนึกว่าเราจะเป็นไข้หนักจนเกือบต้องเรียกรถพยาบาลมารับตัวอยู่แล้ว” วางผ้าเช็ดตัวลงข้างอ่างน้ำพร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอก “อยู่ๆก็มีอาการแบบนี้ พ่อใจคอไม่ดีเลย”

“ผมโอเคแล้วครับ แล้วคุณพ่อไปไหนมาหรือครับ” ปลายขากางเกงทั้งสองเปรอะเปื้อนโคลนจนผิดสังเกต
 
“เปล่าน่ะ นอนลงก่อนเถอะพจน์”

ภพดนัยเหม่อมองแม่น้ำเจ้าพระยานอกหน้าต่าง ตอนนี้เลยเวลาเที่ยงคืนมาหลายนาทีแล้ว
 
“ฝนตกหนักติดต่อกันแบบนี้ มีหวังน้ำคงท่วมตามมาแน่” ภพดนัยเปลี่ยนเรื่องตั้งข้อสังเกต ยิ้มอ่อนแรงให้บุตรชายพร้อมเกลี่ยผมปรกหน้าออก “มาเที่ยวต่างจังหวัดทั้งทีกลับเจอสภาพอากาศแบบนี้ แย่จังเลยนะ”

พจน์เผยอเปลือกตาพินิจมองหยาดฝนกระหน่ำพรมสู่ผืนดินพร้อมเสียงร้องคำรนและแสงแปลบปลาบแล้วพยักหน้าเห็นด้วย ราวกับสายฝนเป็นตัวแทนโศกาลัยในโชคชะตาอันเลวร้ายของชาติภพล่วงผ่าน ด้วยเงาอดีตชาติทั้งสองต่างพบจุดจบรันทดใจ เกินกว่าจะกล่าวปรับทุกข์ให้ใครช่วยแบ่งเบา ก่อนความหนักอึ้งในหัวจะกดทับให้สติหลับใหลสู่นิทราอีกครั้ง

ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยาเตือนพายุมรสุมบริเวณทุกภูมิภาคของประเทศไทย ฉบับที่ ๓ พายุลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ปกคลุมประเทศไทยมีแนวโน้มตกหนักขึ้น โดยมีลักษณะของฝนฟ้าคะนองและลมกรรโชกแรง อาจมีลูกเห็บตกในบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนทุกภูมิภาคระวังอันตรายจากลมพายุที่จะเกิดขึ้น รวมถึงอยู่ห่างจากต้นไม้ใหญ่ ป้ายโฆษณา และสิ่งที่ก่อสร้างที่ไม่แข็งแรง และคอยเฝ้าระวังเหตุอุทกภัยซึ่งตอนนี้เกิดขึ้นบริเวณจังหวัดภาคใต้ และภาคกลางตอนล่างแล้ว”

เสียงประกาศดังมาจากหน้าจอโทรทัศน์ภายในห้องไม้เรือนทรงไทย ภพดนัยยืนกอดอกพิจารณารายงานข่าวด้วยสีหน้าเครียด และทันทีเมื่อเห็นดวงตาน้ำตาลเข้มปรากฏขึ้น เขาก็ขยับเข้าหาบุตรชายโดยเร็ว

“กี่โมงแล้วครับ”

“เจ็ดโมง พจน์ตอนต่อเถอะ เดี๋ยวพ่อยกอาหารเช้ามาให้”

เด็กหนุ่มส่ายศีรษะ รู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างกับไม่เคยนอนเต็มอิ่มเท่านี้มาก่อน อาการปวดหัวและปวดใจหายขาดราวกับปลิดทิ้ง ยังคงเหลืออยู่เพียงภาพอดีตชาติแจ่มชัดและไม่มีวันลบเลือน

“พายุเข้าน่ะ ได้ข่าวว่าทุกประเทศในแถบเอเชียตะวันออกและอาเซียนโดนพายุถล่มกันหมด ตัวหายร้อนแล้ว อาบน้ำอุ่นนะพจน์ เสร็จแล้วตามไปที่ห้องอาหาร พ่อคงต้องปรับเปลี่ยนโปรแกรมเที่ยวสำหรับวันนี้สักหน่อย” ภพดนัยกำชับแล้วผละจาก

“ไอ้พจน์ มึงมันนิสัยไม่ดีทิ้งกูให้นอนกับไอ้ยักษ์พวกนั้นได้ยังไง” น้องน้ำโวยวายผลักประตูเข้ามาคล้อยหลังภพดนัย ทำหน้านิ่วโกรธผสมงอนจนน่าหมั่นไส้
 
“ไอ้ภามกับไอ้พีทมันทำ...อะไรมึงงั้นเหรอ” พจน์แกล้งทำหน้าตกใจ

“เฮ้ย เปล่า มึงห้ามคิดลามกนะ ก็แค่พวกมัน...” น้องน้ำหน้าขึ้นสีทันที พจน์เห็นอาการขวยเขินแบบนั้นก็นึกสนุกรีบเกาะไหล่เซ้าซี้เอาความให้ได้

“มันทำอะไรวะ” ทำตาโตเท่าอีกฝ่ายแล้วแหย่อย่างสนอกสนใจ

“ก็พวกมัน...ถอดเสื้อ อวดหุ่น ไหนจะนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเดินร่อนไปทั่วห้องเลย” น้องน้ำหลับตาตัวสั่นลูบแขนขนหัวลุก “ไม่พอยังนอนแบบไม่ใส่บ็อกเซอร์ด้วย แล้วมึงคิดดูว่ากูจะนอนหลับไหม มึงมันขี้โกง นอนหลับเต็มอิ่มเลยสิท่า”

ไอ้น้ำชี้หน้า ดวงตาสะลึมสะลือหาวแล้วหาวอีก สงสัยจะไม่ได้นอนอย่างที่มันว่าจริงๆ พจน์จึงโอบตัวลูบหลังกล่อมปลอบปลุกด้วยวาจา

“เอาน่า มึงจะกลัวอะไรพวกมันวะ ลูกผู้ชายเหมือนกัน คราวหน้าก็ถอดเสื้อโชว์กล้ามซิกแพคใส่พวกมันเลย มีหวังไอ้สองคนนั่นไม่กล้าถอดเทียบกับมึงอีกแน่ๆ” กอดหน้ากอดหลังเจ้าตัวเล็กกว่า

น้องน้ำนิ่งฟังพยักหน้างึกๆเหมือนโอนอ่อนเห็นด้วยกับคำยุ พจน์กลั้นขำแทบแย่แต่ต้องทำหน้าตึงให้น่าเชื่อถือไว้

“เอาแบบนั้นหรือวะ แต่คงไม่ต้องละมั้ง เย็นนี้เราก็กลับแล้วนี่ ไม่ได้ค้างต่ออีกคืนนี่หว่า” น้องน้ำหลวมตัวหลงกลเข้าตามแผนแกล้งของพจน์โดยไม่ระแวงแคลงใจ

“มึงไม่เห็นข่าวอ๋อ น้ำท่วมกรุงเทพฯแล้ว โรงเรียนทุกโรงฯประกาศหยุดโดยไม่มีกำหนด กูว่าเราคงต้องอยู่ที่นี่อีกสักคืนสองคืนว่ะ”

“เฮ้ยจริงดิ กูไม่รู้ว่าฝนจะตกหนักขนาดนี้ งั้นขอโทรหาแม่แปบ เออ...” น้องน้ำรีบหันมาเหมือนมีเรื่องค้างคาในใจ “มึงกับไอ้กันยกเลิกคำท้าถอดความโคลงฯกันแล้วเหรอวะ นี่ก็เลย ๗ วันมาแล้วด้วย กูเป็นห่วง เอ่อ ไอ้พวกนั้นมันฝากถามมาว่ะ” น้ำรีบเสริมเมื่อเห็นพจน์เงียบผิดปกติ

“อืม...ยกเลิกละ” พจน์ตอบเพียงแค่นั้นไม่ได้ขยายความใดๆ ชลนธีก็วิ่งดุกดิกจากไปทันที
 
‘เจ้าหมอนั่นได้กลับมานอนพักที่รีสอร์ทตามคำขอร้องของพจน์หรือเปล่า’

รายงานข่าวเพิ่งสรุปสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครผ่านพ้นเมื่อสักครู่ พร้อมประกาศปิดสถานศึกษาทุกแห่งอย่างไม่มีกำหนด ภาพท้องถนนมีแต่น้ำท่วมเจิ่งนองราวกับทะเลสาบปรากฏให้เห็นทุกพื้นที่ โดยเฉพาะเมื่อถ่ายจากเฮลิคอปเตอร์ รถราติดขัดเต็มท้องถนนซ้ำซ้อนอีก นอกจากฝนตกหนักแล้วนักข่าวยังบอกอีกว่าน้ำทะเลหนุนสูงผิดปกติในรอบหลายสิบปี จึงทำให้การระบายไม่ทันท่วงทีและท้องที่กรุงเทพมหานครจึงพบจุดจบเช่นนี้ ข้อความกลุ่มสนทนาชมรมฟุตบอลในโทรศัพท์มือถือแจ้งเตือนจากโค้ชว่า ยกเลิกกำหนดการแข่งขันในวันจันทร์หน้าออกไปอย่างไม่มีกำหนด

พจน์เฝ้าติดตามข่าวสารเมื่อพบแต่เรื่องเดิมก็ตัดสินใจกลับไปยังห้องตัวเองเพื่อชำระล้างร่างกายและแต่งตัวเพื่อหาอะไรรองท้อง เพราะเสียงร้องครวญแสบทรวงจนต้องหาของอร่อยมาระงับ ระหว่างเดินผ่านระเบียงลัดเลาะสู่ห้องตัว พจน์ได้ยินคำสนทนาแว่วจากห้องพักด้านขวา สังเกตสุ้มเสียงทุ้มกว้างไม่ผิดแน่เป็นศาสตราจารย์วิชัย กำลังเจรจาความกับชาญณรงค์อยู่ แม้เสียงฝนตกกระทบหลังคาและพื้นกระดานดังเปาะแปะ แต่ถ้อยสนทนาจะไม่น่าสนใจเลยหากไม่มีคำหนึ่งผุดขึ้นออกชื่อตัวจนหูผึ่ง

“ผมคิดว่า พจน์ เป็นกุญแจสำคัญ สำหรับไขปัญหานี้ให้กระจ่าง โดยเฉพาะหลักฐานสำคัญซึ่งอาจารย์ตามหาอยู่” จำได้ว่าเป็นคำพูดของชาญณรงค์

“ตาพจน์ เกี่ยวอะไรด้วย” คุณปู่ตั้งข้อสังเกต

“พจน์เป็นเด็กน่าสนใจ ทั้งฉลาดมีไหวพริบกว่าเด็กปกติ รวมทั้งมีรูปลักษณ์น่าเอ็นดู ใครเห็นก็มักชอบพอเป็นที่รักใคร่ ผมว่าถึงเวลาแล้วที่อาจารย์จะต้องพาพจน์ไปหาคนคนนั้น

คุณปู่ไม่ได้โต้ตอบ ความเงียบอ้อยอิ่งอยู่ชั่วขณะ

“ผมคิดว่าหลักฐานนี้จะต้องเป็นเอกสารหนังสือตำราอย่างหนึ่งอย่างใด ทั้งปรากฏการณ์ชั้นหินตะกอน หรือแม้แต่เรื่อง...ขอโทษนะครับ เรื่องราวหลังจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก ล้วนไม่อาจชักนำให้ผู้คนเชื่อถือได้ ผมมั่นใจว่าหลักฐานชิ้นสำคัญจะต้องมี และเราต้องให้บรรณารักษ์คนนั้นช่วยครับ”

“ทิ้งเรื่องนี้ไว้ก่อนเถิด ปริศนาสถานที่นัดพบยังอับจนอยู่ พ่อณรงค์มีความเห็นอย่างไร”

“ตามที่อาจารย์กล่าว ว่าหนแรกเผอิญเจอ ณ วัดศรีสวาย อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ประมวลจากข้อมูลสอดคล้องและเชื่อมโยงกันแล้ว ตามข้อพิจารณาของผม สถานที่นัดพบในวันแรมหกค่ำคงไม่ใช่ที่ใดอื่นนอกจากวัดไชยวัฒนารามเท่านั้น”

“ทำไมพ่อถึงมั่นใจขนาดนั้น ศาสนสถานหลายแห่งในอยุธยาและมีความสำคัญกว่าวัดไชยวัฒนารามมีมากมายไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน”

“วัดศรีสวายแต่เดิมเป็นเทวสถานในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีลักษณะเป็นปรางค์สามยอดแบบขอม ปรากฏพบเทวรูปและศิวลึงค์ทำด้วยสำริด จึงสันนิษฐานว่า วัดศรีสวายนี้คงเป็นสถานที่พวกพราหมณ์ใช้ทำพิธีโล้ชิงช้าหรือตรียัมปวาย เช่นนั้นสถานนัดพบแห่งที่สองบนพื้นพิภพคงไม่พ้นราชธานีลำดับสองต่อจากอาณาจักรสุโขทัย และมีลักษณะคล้ายคลึงกับวัดศรีสวายคือประกอบด้วยสถาปัตยกรรมแบบอย่างขอม และมีกลิ่นอายของศาสนาพราหมณ์ปะปนอยู่”

“วัดไชยวัฒนารามถูกสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะเหนือนครละแวกโดยจำลองแบบมาจากนครวัด โดยปรางค์ประธานนั้นสื่อถึงคติความเชื่อว่าเป็นดั่งยอดเขาพระสุเมรุ ไม่ผิดแน่พ่อณรงค์” คุณปู่ร้องอย่างลืมตัว

“วันแรมหกค่ำเดือนสิบสองคงไม่พ้นสถานที่นี้แน่ครับ อาจารย์” ชาญณรงค์ยืนยัน

“มายืนลับๆล่อๆอะไรตรงนี้วะ ไอ้พจน์” นิธิกอดอกพิงเสามองภัทรพจน์ด้วยหางตา เด็กหนุ่มหน้าสวยบุ้ยใบ้ให้ปิดปากแล้วลากจูงคนตัวสูงบางให้ห่างจากหน้าห้องพักของศาสตราจารย์วิชัย

พจน์ผลักประตูเข้าสู่ห้อง ไม่มีใครอยู่ในนั้น ปล่อยมือจากกันแล้วหายใจหอบ ล้มตัวนอนบนเตียงอ่อนนุ่ม นิธิยังคงแต่งชุดเสื้อยืดสีดำกางเกงยีนส์รัดรูปขาดเข่าตัวเดิม มันส่งสายตาเยือกเย็นเป็นเชิงคำถามมาให้

“มึงกลับมาตอนไหนวะ” เลียบเคียงถาม

“เมื่อเช้า” ตอบห้วนๆ

“อ้าว แล้วเมื่อคืนไปอยู่ไหน ไม่เห็นโทรศัพท์หรือส่งข้อความมาหากูสักนิด” พจน์เอนลุกคว้าโทรศัพท์มือถือเช็ครายละเอียด นึกเป็นห่วงเจ้านี่อย่างประหลาด มันจับจองมองพจน์ไม่วางตา ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงราวกับชั่งใจ
 
“กู...”

“มึงทำธุระเสร็จแล้วงั้นสิ” จ้องกลับหน้านิ่ง อยากรู้เหตุผลที่มันหายตัวทั้งคืนแต่ไม่อยากรบเร้าคาดคั้น

“มึงไม่โกรธกูแล้วใช่ไหม” คิ้วขมวดแน่น ดวงตาเหยี่ยวสาละวนรอคำตอบ

พจน์หลบตาร้อนแรงนั้นเสมองสายฝนพรำด้านนอก ท้องฟ้ามืดครึ้มประดุจยามวิกาล

“กูตั้งใจไว้ว่าจะไม่พูดกับมึงอีก จะไม่ยอมมองหน้า หรือทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้มึงคิดว่ากูยังหวังในตัวมึง แต่เพียงแค่เห็นแววตา...” เลี่ยงดูมือตัวเอง แล้วเสริมว่า “ไม่รู้ว่ะ มันเหมือนมึงโดดเดี่ยว ไร้เพื่อน ไร้ญาติขาดมิตร หรือกระทั่งไร้พ่อแม่ กูเห็นภาพนั้นชัดเจนจนทนไม่ได้ที่จะเห็นแววตานั้นซ้ำสอง ครอบครัวมึงอยู่ที่ไหนวะ ต้องมีใครสักคนดิที่คอยอยู่เคียงข้าง คอยเป็นที่ปรึกษา คอยดูแลเวลาที่มึงไม่โอเค ถึงมึงจะไม่ใช่คนปกติธรรมดาก็ตาม”

นิธิจดจ่อแต่ภัทรพจน์พร้อมความอาทร

“วินาทีที่มึงผลักไส ไม่อยากเห็นหน้ากูอีก มึงรู้ไหม กูรู้สึกยังไง”

พจน์ผินหน้ามองท่วงทีโศกซึ่งเคยทำลายกำแพงความตั้งใจพังพินาศราบคาบ

“กูแทบตายทั้งเป็นเลยเว้ย กู...กูเหมือนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง มันรู้สึกราวกับหัวใจแตกหักหยุดเต้น” พจน์ฮึดถอนสายตาออก ด้วยไม่อาจทนฝืนได้นาน “ชีวิตกูมันสารเลวเหลวแหลก สมควรแล้วที่จะได้ลิ้มรสสำนึกผิดระคนตรอมตรมให้สาสม แต่ไม่เคยคิดว่าจะเร็วขนาดนี้ ไม่ ไม่เคยคิดจนกระทั่งได้มาพบมึง”

“เราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหม” พจน์ถามคำถามเดิมอีกครั้ง

ไอ้กันส่ายหน้าเช่นเดียวกับวันแรกที่พบเจอ
 
“ทำไมวะ ทำไมรู้สึกว่ามึงกับกูเคยเจอกัน ในเมื่อมึงแต่งโคลงพยากรณ์ถึงตัวกูแบบนั้น  จะไม่ให้คิดได้ยังไงว่า เมื่ออดีตชาติทหารราชองครักษ์ของพระเจ้าอนันตราช ชื่อ กาวี จะไม่เคยพูดคุยกับพระเจ้าวัชรโกมลแม้สักคำหนึ่ง”

“ไม่ ไม่เคยคุย ไม่เคยเจอ ไม่เคยอยู่ในสายตามึง แต่ความรักอันบริสุทธิ์ของกูที่มีต่อมึงคือความจริงแน่แท้” กันปฏิเสธยืดยาว หางเสียงมีแววหน่วงโศกาดูรมากขึ้นทวีคูณ

“แล้วทำไมตอนนี้ถึงมาคุย มาเจอ มาอยู่ในสายตา ยอมมาปกป้องกูแบบนี้ ในเมื่อมึงเองก็ไม่ได้เต็มใจอยากจะทำตั้งแต่แรกแล้ว หรือคำว่า รัก ของมึงก็ไม่ต่างจากคนอื่น ปากบอกว่ารัก แต่การกระทำกลับตรงกันข้าม ไปเถอะ ไม่ต้องลงมือลงแรงปกป้อง หากกูจะต้องตายด้วยน้ำมือของจอมปีศาจในชาติภพนี้ซ้ำอีกหน ก็ปล่อยให้มันเป็นไป”

“ไอ้พจน์ มึงฟังนะ กูรักมึงยิ่งกว่าชีวิตตัวเอง ยอมสละได้ทั้งเกียรติยศและศักดิ์ศรี ในชาติภพนี้กูคงไม่มีวันพลาดท่าให้เหตุการณ์เดิมเกิดขึ้นซ้ำอีก”

“มึงห้ามไม่ได้หรอก ทั้งภพชาติคนธรรพ์ หรือกินนร กูล้วนเคยตายมาแล้ว” กันบดกรามเป็นสันนูน  “ตอนนี้จอมปีศาจกำลังวางแผนเล่ห์กระเท่อย่างไร หรือคิดปองล้างรอโอกาสอยู่ที่ไหน อาจภายในวันนี้หรือวันพรุ่งวันรืน มันคงสังหารกูได้ง่ายดายเหมือนเช่นทุกชาติภพที่ผ่านมา”

“อย่า...ได้พูดคำนั้น” กันขบฟันแน่น ดวงตาแข็งกร้าวมุมานะ พจน์ขยับลุกยืนเมื่อได้ระบายความในใจกับใครสักคนก็พลันอกโล่งผ่องแผ้วจนปรากฏรอยยิ้มพราว ก้าวเท้าประชิดตัวนิธิ เอื้อมมือแตะบนอกหนากระเพื่อมถี่กระชั้น
 
“ขอบใจสำหรับทุกสิ่งซึ่งกล่าวไว้เป็นสัจจะคำมั่น หากต้องมาฝืนทนเจ็บปวดเพราะกูไม่อาจรักมึงตอบได้ ก็จงไปเสียเถอะ กูไม่มีหัวใจไว้รักใครอีกแล้ว”

เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลวิงวอนใบหน้าเรียวแหลม พลันเห็นหยดน้ำหนึ่งหลั่งจากดวงตาคมดุไม่สมควร มันเป็นทั้งผู้มีคุณเคยช่วยชีวิตอาพล ทั้งคอยปกป้องครอบครัวพจน์ และพจน์ไม่อยากทำให้กันต้องเสียใจอีก ไม่อยากเห็นน้ำตาลูกผู้ชายต้องรินไหลเพราะตนเป็นต้นเหตุซ้ำแล้วซ้ำเล่าอุปมาสายฝนร่ำไห้ ก็เขย่งปลายเท้าจูบซับหยดน้ำใสเหนือแก้มตอบให้แห้งเหือด


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3421356#msg3421356)
เพจนิยายข้ามพิภพ (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)
______________________________

พิรุณ : ฝน

______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

กว่าจะรักกันได้ สู้ๆนะ มาตะ-พจน์  :mew4:
รักแท้ย่อมมีอุปสรรคขวากหนามเป็นธรรมดาครับ คอยเป็นกำลังใจให้พจน์กับมาตะด้วยนะครับ รวมถึงคนแต่งด้วย อิอิ

:เฮ้อ:
ถึงกับถอนใจเฮือกเลยหรอครับ เอาน่า เดี๋ยวทุกอย่างก็คลี่คลายครับ

กว่าจะจบแต่ละเรื่องช่างปวดใจนัก :katai1: :katai1:
ครับ ถ้าหายปวดใจแล้วก็มาต่อเรื่องปวดใจอันใหม่กันต่อเลย อิอิ

ตามอ่านอยู่แล้วคราบ  นิยายในดวงใจขนาดนี้  หานิยายดีๆแบบนี้ยากแล้วทุกวันนี้  ดูสิพจน์จะทำยังไงต่อไป  จะห้ามหัวใจตัวเองให้มาแข็งแกร่งได้รึเปล่า  ยิ่งอ่านมันยิ่งลุ้นระทึกอ่ะ
ดีมากครับ อิอิ ดีใจที่นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายในดวงใจของคุณครับ พจน์จะกลับมาเข้มแข็งได้ไหมหลังจากเจอเหตุการณ์มากมายผ่านเข้ามาในชีวิตทั้งเรื่องความรัก ทั้งเรื่องอดีตชาติ ภาวนาให้เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีคนนี้กล้าหาญ สู้ๆ นะพจน์

ขอบน้ำใจพี่ท่านเหลือประมาณ น้องมิได้เข้าพบพานเพจนี้เสียหลายเพลา บทประพันธ์ของพี่ท่านยังทรงคุณค่าดุจเดิมมิเปลี่ยนแปลงตามเวลากาลแลยิ่งทวีคูณด้วยถ้อยคำอักขราประเสริฐล้ำ อันมธุรสวาจาโต้ตอบกับมวลมิตรของพี่นั้น ช่างโสตเสนาะเพราะหูเสียนี่กระไร น้องพึงได้เห็นน้ำใสใจจริงของพี่ท่านแล้วในครานี้...

..น้องมีการอันขุ่นข้องหมองใจใคร่แถลง ด้วยภัทรพจน์ร้องไห้ฟูมฟายจนเกินการจวบจนน้ำตาธารเป็นโลหิตนั้น น้องมิเห็นสม ด้วยตนมิใช่อิตถีเพศนั่นก็หนึ่ง ไฉนฤาจึ่งทำตนอ่อนแอได้เพียงนี้ ย่อมประจักษ์แจ้งแก่ใจดีว่าสวามีนั้นมิใช่ผู้ที่ไปเกี้ยวพาราสีผู้นั้นก่อนแลการจุมพิตที่บังเกิดก็หาได้เริ่มด้วยคู่ครองของตนไม่ เหตุเป็นดังไม่คาดฝันพัลวันเยี่ยงนี้มิควรมีซึ่งผลดั่งน้องนี้ได้แจ้งไป อีกทั้งตนยังเป็นคนในเบื้องปัจจุบันที่ข้ามภพย้อนกาลกัลป์กลับไปได้ ใยมิมีความแข็งแกร่งทานทนต่อเล่ห์กลอันเกิดขึ้นแลพบเห็นได้ทั่วไปในปัจจุสมัย เป็นดั่งนี้แล้วไซร้ น้องจึ่งใคร่สงสัยในตัวพจน์...

 แต่น้องก็ประจักษ์แจ้งแก่ใจว่าพี่ท่านนั้นไซร้ จักน้อมนำพาทุกคนไปสู่อดีตสมัยอันพระเจ้าระพีกานต์...

หากน้องนี้ได้ล่วงเกินสิ่งใดไป ขอพี่ท่านให้อภัยน้องด้วยเทอญ..
เป็นคอมเม้นต์ที่ยาวถูกใจผู้เขียนจริงๆครับ ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า ความเห็นของผู้อ่านไม่ได้เป็นสิ่งล่วงเกินต่อผู้เขียนแต่อย่างใดเลย หนำซ้ำยังจะเป็นเหมือนกระจกหลายๆบานคอยสะท้อนข้อคิดเห็น ข้อผิดพลาดต่างๆกลับมาเป็นกำลังใจ หรือการปรับปรุงให้งานเขียนพัฒนายิ่งๆขึ้นอีกต่างหาก ผมเสียอีกต้องขอบคุณ /\ คุณด้วยซ้ำ เอาล่ะ เรามาเริ่มประเด็นเรื่องน้ำตาสายโลหิตที่คุณได้ท้วงติงมาดีกว่า โดยผมจะขอแจกแจงเป็นสามประการด้วยกัน
๑. ทำไมพจน์ถึงฟูมฟายร้องไห้ ดูอ่อนแอราวกับสตรีเพศก็ไม่ปาน
ในประเด็นนี้ผมอาจจะคิดพิเคราะห์ลงลึกไม่มากพอ จนกลายเป็นข้อขัดใจสำหรับคนอ่านหลายๆท่าน คือต้องอย่าลืมว่า พจน์เป็นผู้ชาย คุณสมบัติของเพศชายควรจะเข็มแข็งอดทนมากกว่าสตรีเพศเป็นสิ่งถูกต้อง การร้องไห้ฟูมฟายดูอ่อนแอแบบนี้จึ่งสมควรจำกัดไว้ในเพศหญิงจะเหมาะสมกว่า ในข้อนี้ผมก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง และน้อมรับไว้เป็นข้อปฏิบัติสืบไป อย่างที่เกริ่นมาแต่ต้นว่า ผมอาจจะคิดตื้นลึกไม่มากพอ คือ พิจารณาแต่เฉพาะหัวอกตัวละครในขณะนั้นเข้าเทียบกับความรู้สึกตนเป็นพื้นฐาน หากคนที่เรารักและผูกพันกันมาแต่ชาติภพก่อน ทั้งอัศจรรย์ถึงขั้นเชื่อมนำพามาพบกันแม้จะอยู่ต่างภพกันนี้ จะรู้สึกประการใดหากถูกใครก็ไม่รู้ประทับรอยจูบซ้ำรอยของตน และมาตะยังเป็นคนรักคนแรกที่พจน์ฝากกายฝากใจไว้ด้วย ถ้าไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงแปลกมิใช่น้อย แต่จะถึงขั้นต้องร้องไห้ฟูมฟายหรือเปล่านั้น ก็คงกลับไปแก้ไขไม่ได้ ผมจึงขออภัยมา ณ ที่นี้
๒. ทำไมแค่การเห็นมาตะถูกจูบโดยบุหลันถึงขั้นต้องร้องไห้กลั่นเป็นสายโลหิต ด้วยฝ่ายมาตะมิได้เป็นผู้ริเริ่มซ้ำถูกล่วงเกินเสียอีกไม่ยินยอมเต็มใจ
การจะเกิดเหตุอันก่อเป็นน้ำตาสายโลหิตได้นั้น คือต้องขื่นขมทนทรมานเหลือล้ำกล้ำกลืน ดังเช่นอดีตชาติกินนร เป็นต้น และเป็นลักษณะอาการเฉพาะหนึ่งเดียวสำหรับพจน์คนเดียวเท่านั้น เนื่องด้วยไม่เคยปรากฏอาการนี้ในใครอื่นอีก เช่นนั้น การเห็นมาตะถูกจุมพิต โดยเต็มใจหรือไม่จนต้องร้องไห้ออกมาก็คือกับเหตุผลเดียวกับข้อแรก และถามว่าสาหัสสากรรจ์จนจำต้องเกิดเป็นน้ำตาสายโลหิตหรือไม่นี้ ผู้เขียนไม่อาจจะชี้นำได้ แต่ด้วยขณะนั้นทุกอย่างปูทางมาว่า พจน์รักมาตะ ทั้งฝากรักฝากตัวกัน แม้จะอยู่คนละภพความรักก็ชักนำมาหากันจนเจอ ความผูกพันล้ำลึกนี้ผู้เขียนคิดว่ามีเหตุผลพอที่จะทำให้พจน์หลังน้ำตาเป็นสายโลหิตได้ โดยตอนนั้นพจน์อาจจะหลงลืมว่ามาตะมิได้ยินยอม แต่ภาพรอยจูบอันควรเป็นตนกลับแทนที่ด้วยคนอื่นฝังแน่นเสียแล้ว ก็ยากจะคำนึงสิ่งอันประกอบขึ้นเป็นเหตุการณ์ไม่คาดคิดนั้นได้
๓. ทำไมพจน์ซึ่งเติบโตในยุคปัจจุบันที่น่าจะเคยคุ้นกับพฤติกรรมแสดงความรักแบบนี้สมควรจะชินชาแล้ว ไยถึงไม่มีความเข้มแข็งพอจะอดทนในสิ่งที่มาตะถูกโขมยจูบได้
จริงครับ ที่สังคมในปัจจุบันเปิดกว้างเปิดเผยในเรื่องการแสดงความรัก พจน์เองก็คงเคยมีประสบการณ์อย่างการโดนจูบหรือการจูบคนอื่นมาบ้าง น่าจะไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่โตใดๆ จนก่อให้เกิดปรากฏการณ์น้ำตาสายโลหิตได้ ผมก็จำเป็นต้องยกข้ออธิบายในสองข้อข้างต้นมาเป็นข้ออ้างอิงซ้ำอีกหน และสรุปสั้นๆด้วยคำถามที่ว่า หากคนที่เรารักถูกคนอื่นแสดงความรักไม่ต่างจากตนเคยกระทำมาก่อนแบบนี้ ถึงตัวเองจะเคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่ในเมื่อคนคนนี้คือคนที่ผูกพันมาตั้งแต่อดีตชาติและชาตินี้ก็หวนมาพบกันอีกครั้งจะรู้สึกอย่างไร ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสิ่งที่เขียนไปแล้ว ทั้งที่มีอีกทางเลือกหนึ่งให้เขียนคือ พจน์อาจจะแค่โกรธหรืองอนมาตะก็ย่อมได้เช่นเดียวกัน น้ำตาสายโลหิตนี้จึ่งเป็นแค่สัญญลักณ์อย่างหนึ่งที่แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์นี้เท่านั้นครับ หวังว่าคุณจะพอใจกับคำอธิบายของผม หรือถ้าไม่เหมาะใจก็ขออภัยด้วยครับ และผู้เขียนขอน้อมรับความผิดนั้นมาสู่ตัวเองแต่ผู้เดียว
 
สำหรับเหตุการณ์อดีตชาติพระเจ้ารพีกานต์นั้นที่ยังคลุมเคลือไม่ชัดเจนก็อาจจะมีโอกาสได้เห็นรายละเอียดเพิ่มเติมแน่ครับ ขอบคุณสำหรับคำทักท้วงดีๆนี้ครับ หวังว่าจะมาชี้แนะผมอีกนะๆๆ


หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๙ พิรุณวิปโยค ๕๐% (๐๗/๐๗/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 07-07-2016 12:57:41
 o13
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๙ พิรุณวิปโยค ๕๐% (๐๗/๐๗/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: pnn ที่ 08-07-2016 05:42:36
อ้าว พจน์ ยังไงๆ 555 แก้แค้นมาตะเหรอ อืม แต่ก็รู้สึกสงสารกันอยู่นะ โถ พ่อ เป็นความรักข้ามภพชาติที่มั่นคงจริงๆ มาต่อเร็วๆนะ. คอยอยู่
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๙ พิรุณวิปโยค ๕๐% (๐๗/๐๗/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 09-07-2016 13:55:53
รักหลายเศี้าเนาะ  แบบนี้กันมันจะไม่เข้าข้างตัวเองรึรึ  คนยิ่งรักปังจิตอยู่แล้ว  ทำแบบไหน  ถ้าตัวกันเองคอดไม่ได้  มันก็มีผลต่อจิตใจกันอยู่ดี  คนแต่งก็สู้ๆ  ส่วนเรื่องน้ำตาสายโลหิตนั้น  คนอ่านคงอยากให้มันตอมโตมใจขื่นข่มเหมือนจะเสียสิ่งสำคัญไปล่ะมั่ง  เหมือนครั้งการก่อนละมั้ง  สู้ๆคราบ  รอต่อไป
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๙ พิรุณวิปโยค ๑๐๐% (๑๑/๐๗/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 11-07-2016 14:24:33
[ต่อ]



“ในเมื่อมันเป็นความต้องการของมึง กูจะเดินออกไปจากชีวิตมึงเอง แต่อย่าได้หวังว่ากูจะล้มเลิกความตั้งใจในการปกป้องคุ้มภัยมึงและครอบครัว จำไว้อย่างหนึ่ง ไอ้พจน์ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นจงใช้ความกล้าหาญเข้มแข็ง สติปัญญา และสิ่งที่มันเต้นระรัวอยู่ภายในนี้” นิธิทาบมือลงบนอกด้านซ้ายของพจน์ “เมื่อนั้นพลังซึ่งมึงครอบครอบจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ที่แม้แต่จอมปีศาจก็มิอาจต้านทานได้”

“กู...จะได้เห็นหน้ามึงอีกหรือเปล่า” ไม่อาจหยุดคำถามนี้ไว้ในใจได้

นิธิปรับหน้าแข็งกร้าวเป็นอาลัยอาวรณ์ มันส่ายไหวปฏิเสธ

“ทั้งมึงและกูต่างเลือกหนทางนี้แล้ว เราคงไม่มีเหตุต้องมาเจอะเจอกันอีก”

“มึงคือเพื่อนรักของกูนะ”

แสงฟ้าแลบสว่างวาบพร้อมเสียงคำรน สิ้นสุดประกายขาวสว่าง ร่างผอมสูงของเด็กหนุ่มตาคมดุในวันแรกที่พบเจอ โดยสร้างความทรงจำไม่ลืมเลือนด้วยการท้าทายพจน์ให้ถอดความโคลงสี่สุภาพ ไอ้กันคนที่ช่วยชีวิตอาพลจากมนตราลีลาทมิฬ ไอ้คนลึกลับที่ปรากฏตัวทุกครั้งเมื่อพจน์เผชิญภัยอันตรายบัดนี้เลือนหายพร้อมกับสายฟ้าฟาด พจน์ทำได้แค่กราดมองผนังห้องว่างเปล่า

“ขอบใจนะ ขอบใจสำหรับทุกอย่าง”


“ทำไมมึงตาแดงๆวะ น้องพจน์”

พจน์ได้สติเหลียวดูผู้ถามคำถามกะพริบเปลือกตาถี่ๆ ก่อนจะจ้องเศียรพระพุทธรูปสำริดขนาดใหญ่เบื้องหน้าอีกครั้ง ตอนนี้ทุกคนมาเยี่ยมชมศิลปะวัตถุ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา โดยภพดนัยปรับเปลี่ยนโปรแกรมท่องเที่ยวที่ควรแวะชมวัดวาอารามต่างๆเป็นสถานที่อาคารภายในร่ม เนื่องเพราะพายุฝนยังคงโหมกระหน่ำยากแก่การเดินชมกลางแจ้ง

“เปล่า ฝุ่นเข้าตาว่ะ”

“เล่นมุกนี้อีกละ มึงมันโกหกไม่เก่งเลยนะ รู้ตัวเปล่า” ภามภพยิ้มพิจารณาพจน์ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “เป็นคนดูออกง่ายชะมัด”

“มึงรู้จักกูมาตั้งหลายปี ก็ต้องดูกูออกอยู่แล้วดิ แล้วว่าไง นี่ต้องรีบกลับบ้านหรือว่าจะนอนค้างที่อยุธยาต่อ”

“นอนดิ กูโทรถามที่บ้านเห็นว่าขนของขึ้นชั้นบนกันหมดละ นอกจากกลับไปแล้วไม่ช่วยให้น้ำลดได้ง่ายๆ กูก็ไม่มีเหตุผลต้องรีบกลับ” พจน์ได้ยินภพดนัยโทรถามป้าแจ่มเช่นกัน พบว่าแม่น้ำเจ้าพระยาติดกับด้านหลังเรือนเอ่อท้นกระสอบทรายเพียงเล็กน้อย ระหว่างนี้ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ส่วนกลุ่มเทวดาเดินดินก็ไม่มีใครประสงค์รีบกลับ เช่นเดียวกับพีธนะและน้องแพรว

“แล้วสรุปว่าเป็นอะไร หรือเพราะไอ้ผอมแห้งนั่นมันกลับไปก่อนมึงถึงเสียใจแบบนี้” ไอ้ผอมแห้ง ของภามภพคงหมายถึงกันอย่างไม่ต้องสงสัย พจน์เหล่ทางหางตาแล้วยักคิ้ว “หรือว่ามึงเห็นเลขาฯสภากูเดินควงกะหนุงกะหนิงกับน้องแพรวกันแน่ตาเลยแดงช้ำ”

“ไม่ใช่ทั้งสองอย่างนั่นแหละ ไอ้ขี้เสือก” พจน์คว่ำปากใส่พร้อมจิ้มหน้าผากให้ถอยห่าง กำลังผละเดินดูโบราณวัตถุชิ้นอื่นต่อก็ถูกมือหนาคว้าไว้ “หรือว่ามึงสงสัยพฤติกรรมของกูที่อยู่ๆก็ตามมึงมาแบบนี้”

พจน์เห็นสบโอกาสเช่นนั้นก็รีบพยักหน้า อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะแก้ต่างยังไง บัดนี้ไม่มีเพื่อนของพจน์อยู่บริเวณโดยรอบด้วย น้องน้ำได้รับภารกิจประกบพีธนะจากพจน์ มันจึงชวนไอ้นักบาสตัวโรงเรียนสำรวจชั้นสองเช่นเดียวกับคนอื่นๆ

“ไม่รู้จริงอ่ะ” ภามเอียงคอยิ้มยียวนกวนอวัยวะเบื้องล่างมาก “โห ทุ่มสุดตัวขนาดนี้ ยังมาทำแกล้งอ่อยอีก”

“อ่อยอะไรวะ กูไม่ได้ทำสักนิด” ส่ายหน้าทันควัน

“กูล้อเล่น เอาจริงๆนะ มึงกับกูเคยอยู่ห้องเดียวกันตอน ม.ต้น จำได้ไหม” พจน์พยักหน้ารับ “และมึงนั่งคู่กับใครจำได้หรือเปล่า”

“มึงไง”

“ใช่ แล้วมึงเคยพูดว่ายังไงจำได้หรือเปล่า” พจน์รีบส่ายหน้าซ้ำ ใครจะไปจำคำพูดตัวเองเมื่อสองปีที่แล้วได้วะ กูไม่ใช่หุนยนต์นะ
 
“มึงต้องสมัครเป็นประธานนักเรียนให้ได้ แล้วหลังลอยกระทงค่อยมาจีบกู แต่ตอนนี้กูขอเรียนเลขก่อนได้เปล่า ไม่เข้าหัวเลยเนี่ย” ภามภพพูดประโยคเดียวกับความทรงจำอันลี้ลับของพจน์สามารถขุดคุ้ยออกมาได้

“เฮ้ย กูแค่...”

“ลูกผู้ชาย คำไหนคำนั้นเว้ย”

“มึงจะจีบกูงั้นสิ”

“เออสิวะ ถึงคู่แข่งจะเยอะไปไม่หน่อย แค่นี้ก็ต้องให้พูดย้ำ คนอะไรทำเป็นมึนได้ตลอด โอเคแล้วนะ เลิกเศร้าได้ละ” ภามภพยัดลูกอมรสเปรี้ยวใส่ปากพจน์ทันที มึนและงงจนพูดอะไรไม่ออก ทั้งคิดไว้แล้วว่ารูปการณ์ต้องเป็นแบบนี้ แต่เมื่อเจอกับตัวเข้าจังๆก็อดตะลึงตะลานไม่ได้

ระหว่างนั้นพจน์บังเกิดเจ็บอกด้านซ้ายขึ้นมาฉับพลันจนต้องทรุดตัวลงพื้น

“เฮ้ย น้องพจน์ เป็นอะไรวะ”

******************************


สายฝนกระหน่ำลงอย่างมิปราณีต่อเหล่าสรรพชีวิตแม้แต่น้อย บัดนี้มวลน้ำเหนือไหลหลากผ่านหน้าศาสนสถานนามวัดไชยวัฒนารามปริ่มจะทะลักล้นกำแพงกั้นในอีกมิช้า มันเห็นกลุ่มมนุษย์หลายสิบคนกำลังเพิ่มแนวปราการอีกชั้นหวังจะสกัดกั้นอำนาจของธรรมชาติ แต่ไม่มีวัน ท้องฟ้ามืดครึ้มดุจราตรีปกคลุม เงามนุษย์ใต้ชุดกำบังหยาดฝนพร้อมไฟฉายห้ากระบอกบุ่มบ่ามก้าวย่างผ่านบันไดก่ออิฐเข้าภายในเขตแนวระเบียงคด
 
“ตรวจดูให้ทั่ว หากมีน้ำขัง หรือก้อนอิฐพังบริเวณไหนให้รีบแจ้งโดยด่วน” มนุษย์ผู้มีลักษณะคล้ายผู้นำสั่งความ ระหว่างสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอที่สุดกำลังแยกย้ายปฏิบัติตามภาระมอบหมาย บังเกิดกลุ่มควันดำระเบิดขึ้นกลางผืนหญ้าสีเขียวเบื้องหน้าองค์ปรางค์ประธานพร้อมเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ฉุดให้กำลังแรงขาของชนทั้งห้าต่างหยุดการเคลื่อนไหวในทันใด

กลุ่มควันดำค่อยๆจางหาย หยาดฝนชำระล้างหมอกทมิฬได้รวดเร็ว และ ณ จุดนั้นผุดเป็นร่างสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งรูปลักษณะคล้ายมนุษย์แต่สูงใหญ่กว่า ผิวกายอันควรเป็นขาวหรือเข้ม กลับเป็นสีเขียวดุจใบไม้ อุดมมัดกล้ามบึกบึนสูงราวเกือบสามเมตร มันเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากเคลือบดำขยับเหยียดเปล่งเสียงหัวเราะน่าขนลุกขนผองสยองเกล้า เขี้ยวสีขาวผุดโง้ง ณ มุมปาก ดวงตาดำเป็นจุดเล็กล้อมรอบด้วยสีเหลืองดุจแสงเดือนสว่างจ้า แต่งกายด้วยผ้าผืนดำพร้อมเครื่องประดับสีนิล เมื่อมันหยัดกายเต็มความสูง อาการตะลึงของมนุษย์ทั้งห้าก็หายเป็นปลิดทิ้ง ลมหายใจถูกหยุดไว้ชั่วขณะก็พรั่งพรูประหนึ่งหัวใจทำงานหนัก เจ้าคนหนึ่งอาจหาญร้องถามด้วยเสียงสั่นเทาว่า

“เอ็งเป็นใครวะ อย่าแต่งตัวประหลาดมาเที่ยวเดินเล่นในที่แบบนี้สิ คนอื่นเค้าตกอกตกใจกันหมด” ฉายแสงไฟสาดกระทบผิวกายเขียวขึ้นลงโดยพร้อมเพรียง

อัครมหาเสนาบดีปีศาจฝ่ายซ้ายยืนจ้องมนุษย์ผู้บริสุทธิ์นิ่งเฉย สายฝนมิได้ทำอันตรายแก่มันแม้แต่น้อย กลับล่วงหล่นกระทบพื้นหญ้าห่างกระเด็น

“มึงไม่ได้ตาฝาดเหมือนกูใช่ไหม” อีกคนตะโกนถามเพื่อน “ไอ้เจ้านั่นมันยืนอยู่ตรงหน้าจริงๆใช่ไหม”

“กูว่ามันแปลกๆแล้วว่ะ”

“เลิกเล่นได้แล้ว ตอนนี้ห้ามไม่ให้คนนอกเข้ามาที่นี่เด็ดขาด ออกไป” หัวหน้ากลุ่มสั่งการมั่นคงผิดลักษณะวิสัย เจ้าคนผู้ขลาดเขลาอย่างสูงสุดในบรรดาทั้งห้าบังเกิดพรั่นพรึงเกินทานทนด้วยเอะใจลักษณะสิ่งมีชีวิตตัวเขียว มองปราดเดียวก็รับรู้ถึงแววตาอำมหิตแฝงอาฆาตเมื่อสบแล ไม่เห็นหนทางอื่นก็สาวเท้าหมายวิ่งออกจากลานแห่งนั้น บ่ายหน้าสู่ช่องทางบันไดขนาบเมรุทิศ

เสนาบดีปีศาจท่องมนตราสาดลูกไฟเนรมิตประตูล่องหนสกัดการเข้าออกในทันที
 
เจ้ามนุษย์นั่นผลักความว่างเปล่าเท่าไรก็ไม่อาจแทรกผ่าน ครั่นคร้ามลนลานแล่นทั่วสรรพางค์กาย เหลียวแลผู้มาเยือนตัวเขียว หลุดคำหนึ่งด้วยหัวใจตระหนก

“มัน...มัน ไม่ใช่คน มันเป็นปีศาจแน่แล้ว หนีเร็วพวกเรา”

สิ้นคำความกลัวจับขั้วหัวใจก็แล่นข่มจิตสำนึกในทันที ต่างออกวิ่งหนีด้วยฝีเท้าที่คิดว่าเร็วที่สุดกระจายออกสู่ตามแนวช่องปรักหักพัก แต่มีหรือเสนาบดีปีศาจจักยินยอมปล่อยเหยื่อให้เล็ดลอด มันบริกรรมคาถาสร้างเกราะกำแพงมนตราสะกัดกั้นทางออกไว้ทุกด้าน

เหล่ามนุษย์ใช้แรงดันช่องทางอันควรหลบผ่านโดยง่ายด้วยกำลังแรง แต่มิอาจข้ามผ่าน ประจักษ์เห็นความตายมาเยือนในทันที เสนาบดีปีศาจกางนิ้วมือขวาเหยียดยื่นสู่เบื้องหน้า งึมเงามนตราทมิฬด้วยสรรพเสียงสะท้อนก้อง กระทืบเท้าแล้วขยุ้มกำกลับคืน ร่างกายเล็กกว่าถูกดึงเข้าหาเสนาบดีปีศาจราวกับมีเชือกล่องหนฉุดกระชากมารวมอยู่แทบเท้าไว้เล็บยาวสีดำโดยพร้อมเพรียง

“อย่าทำอะไรพวกเราเลย ปล่อยพวกเราไปเถอะ แกอยากได้อะไรบอกมา เดี๋ยวเราจะไปหามาให้” เจ้าคนหนึ่งหางเสียงสั่น พนมมือปลกๆประวิงเวลาอย่างอับจน

“ข้าประสงค์เพียงเลือด....” เสนาบดีปีศาจฝ่ายซ้ายปล่อยถ้อยคำทุ้มใส่มนุษย์ ณ ปลายเท้า “แลวิญญาณของพวกเจ้าแต่เท่านั้น”

“ไม่ๆ เดี๋ยวกูจะไปหาคนอื่นมาให้ ปล่อยพวกกูไปเถอะ” วิงวอนตัวสั่นเทิ้ม

ท้องฟ้าสว่างวาบต้องใบหน้าเหี้ยมโหดแลนัยนาน่าสยดสยองของเสนาบดีปีศาจเป็นภาพติดตายากลบเลือน
 
“มิจำเป็นต้องดิ้นรนทนทรมาน ฝืนสังขารหาตัวตายตัวแทน ก็แหละพวกเจ้าเหล่านี้ล้วนเหมาะแสนสมยิ่งกว่าใครอื่น ฉะนั้นจงยอมตายเพื่อฝังกายเป็นหลักอาถรรพณ์ เสริมส่งอำนาจมนตราพลัน ให้ทรงพลังยิ่งทบทวี”

“ไม่ ไม่ พวกเรามีลูกมีเมียต้องเลี้ยงดู ปล่อยเราไปเถอะท่าน” ทุกคนก่นแต่ร้องไห้ในโชคชะตาสุดท้ายของชีวิต

เสนาบดีปีศาจหลับตาแน่นิ่งอยู่ชั่วขณะ กลุ่มมนุษย์พยายามขยับฝืนกายออกจากอำนาจกุมตัวก็มิอาจทำได้ มันผนึกแน่นพวกเขาไว้กับที่จนอยากจะดิ้นรน ฉับพลันจึ่งลืมตาแล้วยกมือสีเขียวขึ้น กายมนุษย์ทั้งห้าค่อยๆล่องลอยเหนือพื้นดิน แล้วสะบัดเหวี่ยงกระจายกระแทกตัวแนบใส่ปรางค์ขนาดเล็กรอบมุมจตุรทิศของปรางค์ประธาน ประดุจถูกปักด้วยหมุดล่องหน ขยับอย่างไรก็ไม่อาจหลุดพ้น ส่วนเจ้าหัวหน้าถูกเสนาบดีปีศาจใช้อำนาจขยับซัดเหวี่ยงตรึง ณ ฐานขั้นบันไดของพระปรางค์องค์ใหญ่

ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนขอความช่วยเหลือดังระงม ปรากฏเงาผ้าคลุมสีดำก้าวเยื้องย่างผ่านทางเดินก่ออิฐด้วยเท้าเปล่าเปลือย แอ่งน้ำถูกผลักออกนอกเส้นทางจนแห้งสนิท ดวงตาสีแดงวาวโรจน์จ้องเหยื่อทั้งห้าด้วยความปรีดา

เสนาบดีปีศาจป่าวร้องคำโองการเป็นภาษาที่มนุษย์คนใดก็ไม่อาจเข้าใจ อ้าแขนกำยำทั้งสองกว้าง ดวงตาสีเหลืองแวววาวทรงพลัง

จอมมารเสด็จดำเนินหยุดอยู่เบื้องหน้าผู้นำกลุ่มมนุษย์ ความกลัวฉายฉานชัดแจ้ง ทั้งตื่นตระหนกและตื่นตะลึงผสานฮึดสู้กล้าหาญ เป็นเครื่องหน้าสุดขบขันจนจอมปีศาจจำต้องส่งเสียงหัวเราะอย่างมีชัย

“เจ้ากลัวตายเช่นนั้น ฤา มนุษย์”

บัดนี้แม้แต่ภาษาพูดก็ไม่อาจกลั่นกรองออกมาด้วยลิ้น บ่งชัดว่าความกลัวสะกดทุกอย่างในร่างกายให้หยุดเคลื่อนไหวเสียสิ้น

“พวกเจ้าเบญจนราจำต้องสละเลือดแลวิญญาณเป็นเครื่องบูชามหามณี สนองคุณเสริมส่งเล่ห์กลนี้ให้ทรงพลังยิ่งกว่าเดิมร้อยเท่าพันทวี

ห้าวิญญาณเผ่าพื้น      พสุธา นี้แฮ
ปลุกร่ายเวทย์ชีวา        ดั่งสิ้น
เลือดโลมไหลนองมา      เชือดฆ่า แดฤา
สร้างก่อกลกลืนกิน       หลั่งฟ้า ศัตรู”


สิ้นโคลงกลอนปีศาจ มนุษย์ทั้งห้าต่างดิ้นทุรนทุรายสาหัสประดุจถูกเพลิงเผาร่าง เลือดสาดกระเซ็นจากปากอเนจอนาถราวกับมีมือล่องหนคอยบีบรัดคอ คำประกาศโองการของเสนาบดีปีศาจยังคงดังต่อเนื่องและทรงพลังยิ่งขึ้นทุกขณะจิต

“มันจะไม่เจ็บปวดแม้แต่น้อย จงผินหน้ามองข้า! สบดวงตาสีชาดนี้ แหละฟังให้จงดี”
 
บุรุษเบื้องหน้าจอมมารรุ่มร้อนภายในกายดั่งจะแตกดับในมิช้า เลือดไหลหลั่งออกจากทวารทั้งเก้าไม่หยดหย่อน ฝืนจ้องนัยน์ตาสีแดงใต้ผ้าคลุมด้วยความกล้าที่เหลืออยู่ เสียงกรีดร้องทุกขเวทนาดังสะท้อนมาจากเบื้ององค์ปรางค์จตุรทิศ จอมปีศาจเอื้อมหัตถ์ซีดขาวสู่เบื้องทิศเหยื่อมนุษย์ แล้วร่ายมนตราสังหารว่า

“วิญญาณะ จิตตะ สุริยะมรณา”

ฉับพลันแสงสว่างสะท้อนนัยน์ตาของเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอที่สุดในพิภพก็พลันดับลง เช่นเดียวกับคำกรีดร้องทั้งห้าได้สิ้นหายไปจากพิภพโลกาชั่วนิรันดร์

   
อาการหน่วงเจ็บอกเบื้องซ้ายทุเลาหาย แต่วัตถุประดับหน้าผากพระเจ้าวัชรโกมลซึ่งคล้องคอตนกลับแผดเผาราวไฟสุมขอน เจ็บร้าวรอนพิลาปสลด ก่อกำสรดท่วมท้น เหตุไรจึงผุดแจ้งจนพจน์ไม่อาจต้านทาน เปรียบปานเสียสูญวิญญาณ์
 
หรือว่า...มาตะ
 
สายพระพิรุณพร่างพรมหนักขึ้นทันใด ดุจวิปโยคโศกไห้ต่อชะตากรรมของมนุษยชาติ


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3423640#msg3423640)
เพจนิยายข้ามพิภพ (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)
_______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

o13
ขอบคุณครับ ตอนใหม่มาแล้วน้า เป็นไงบ้างติชมได้เลย

อ้าว พจน์ ยังไงๆ 555 แก้แค้นมาตะเหรอ อืม แต่ก็รู้สึกสงสารกันอยู่นะ โถ พ่อ เป็นความรักข้ามภพชาติที่มั่นคงจริงๆ มาต่อเร็วๆนะ. คอยอยู่
ครับ กันเป็นตัวละครที่น่าสงสารอีกคนหนึ่ง ความรักของกันจะถูกเปิดเผยอีกในไม่ช้าว่า เขาเป็นใคร และทำไมถึงรักฝังใจพจน์มาตั้งแต่ชาติที่แล้ว หวังว่าจะคลี่คลายออกมาเร็วๆนี้แน่ แต่พจน์จะแก้แค้นมาตะโดยการจูบแก้มกันนี่จริงหรือเปล่า ต้องไปถามพจน์เองล่ะครับ อิอิ

รักหลายเศี้าเนาะ  แบบนี้กันมันจะไม่เข้าข้างตัวเองรึรึ  คนยิ่งรักปังจิตอยู่แล้ว  ทำแบบไหน  ถ้าตัวกันเองคอดไม่ได้  มันก็มีผลต่อจิตใจกันอยู่ดี  คนแต่งก็สู้ๆ  ส่วนเรื่องน้ำตาสายโลหิตนั้น  คนอ่านคงอยากให้มันตอมโตมใจขื่นข่มเหมือนจะเสียสิ่งสำคัญไปล่ะมั่ง  เหมือนครั้งการก่อนละมั้ง  สู้ๆคราบ  รอต่อไป
ครับ หลายเส้าแน่ๆ ลองนับดูตอนนี้มีกี่เศร้าแล้วล่ะครับ อิอิ ตอนล่าสุดนี้คุณคงรู้แล้วว่ากันจะเข้าข้างตัวเองรึเปล่า หรือเขาเลือกหนทางไหนสำหรับสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองและคนที่เขารัก ส่วนเรื่องน้ำตาสายโลหิต ก็ตามที่ผมอธิบายไปครับ ถ้าตะขิดตะขวงใจอย่างหนึ่งอย่างใดก็ล้วนเป็นความผิดพลาดของผู้เขียนเอง และสิ่งที่ผมเขียนไปก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าจะเหมาะสมที่สุดเพื่อให้ตัวละครพจน์สัมผัสทุกข์แสนสาหัสจากการเห็นภาพจุมพิตนั้น ถึงจะไม่ทุกข์สาหัสเท่ากับความรู้สึกของผู้อ่านหลายๆคน แต่ประสบการณ์ชีวิตผมเคยเจอแบบนี้มาก่อน ทำเอาเก็บไปร้องไห้ตั้งหลายชั่วโมงเลยนะ เสียอย่างเดียวไม่กลายเป็นสายเลือดเท่านั้น อิอิ  ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๒๙ พิรุณวิปโยค ๑๐๐% (๑๑/๐๗/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 11-07-2016 16:34:49
แผนการของจอมปีศาจก็ดำเนินไปในทางที่ว่างไว้  เหลือแต่ทางพจน์ที่ยังไม่รู้อะไรสักอย่าง  แบบนี้คงจบแบบเศร้าๆอีกแน่ๆ  เมื่อรู้ก็เกือบสายแล้ว ส่วนเรื่องความรัก  ผมไม่เคยน้ำตาไหลเพราะมันนะ  เพราะผมไม่เคยรักใคร  จึงไม่รู้ว่าความรักมันเป็นแบบไหน ก็แค่อ่านนิยายรักๆ  เวลาที่เขาต้องเสียใจ ตัวผมกับคิดว่าจะร้องไห้ไปทำไหมกับคนที่ไม่รักเรา  ถ้าจะร้องจริงๆผมว่าน่าจะร้องตรงที่มีอุปสรรค ทำให้คนรักกันต้องห่างต้องจากกัน  อันนี้ผมพอเข้าใจนะ  แต่ไปร้องให้คนที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเรานี้  ผมว่าไม่น่าร้องเลย  ออกนอกโลกล่ะ  ยิ่งแก้ปัญหาก็เหมือนมันยิ่งเพิ่มขึ้นนะ  ไม่รู้ว่ามันจะเฉลยออกมาแบบไหน  ตอนนี้ตามความคิดคนแต่งไม่ทันแล้ว  รอแต่ว่ามันจะมีอะไรทำให้เรื่องนี้จบลง  ขอแค่อย่าให้มันจบแบบละครหลังข่าวพอ  พอคนไม่ดีจะตาย  กลับตายง่ายๆไม่สมกับสิ่งที่มันทำเลย  อ่านแล้วคัดใจมาก(อินขั้นรุนแรง)  ถึงศาสนาจะบอกว่าอย่าจองเวร  ให้อภัย  แต่คนชั่วกับไม่ได้รับความเจ็บปวดจากสิ่งที่ทำเลย  มันอดน้อยใจ  และทำให้ไม่มีแรงให้ทำความดีอ่ะ  ผมว่าคนชัวหลายคนคงคิดแบบผม  จึงยอมจะทำสิ่งไม่ดีเพื่อให้ได้มา  มันง่ายกว่าถึงจะรู้ว่ามันมีจุดจบไม่ดีก็ตาม  แถมปัจจุบันนี้คงไม่มีใครจะดีขนาดนั้นหรอก  เพราะทุกวันนี้มีแต่ตาต่อตาฟันต่อฟันกันทั้งนั้น  ออกนอกโลก  ส่วนเรื่องน้ำตาผมไม่ได้แคลงใจอะไร  เพราะคนเขียนจะเขียนแบบไหนก็แล้วแต่คนแต่งเลย  ยังไงก็ชอบเรื่องนี้มากอยู่แล้ว  ตอนนี้ก็ลุ้นแต่ว่าเมื่อไหร่  พจน์จะเก่งสักที  รอการเฉลยของปัญหาต่างๆจะแย่อยู่แล้ว  ลุ้นมาก  ยิ่งมาฉากส่งท้าย  เล่นเอางงตาแตกกันเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๐ อุบายพิศวาส ๕๐% (๑๔/๐๗/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 14-07-2016 14:33:16
บทที่ ๓๐


อุบายพิศวาส



เมื่อครั้งมหาพิภพถูกแบ่งเป็นไตรโลก คือ บาดาล มนุษย์ สวรรค์ มีศูนย์กลางของจักรวาลอยู่ ณ มหาบรรพตสูงตระหง่านค้ำฟ้า เหนือลำดับชั้นยอดเขาแห่งนั้นเป็นที่สถิตของเหล่าเทพเทวา ตั้งมหาพลับพลา เหลื่อมล้ำสุดสง่าตระการเสียดยอด ทั้งทองคำลงยาระริกร้อนงดงามทั้งองค์ แต่งทรงเทวาด้วยรัตนาวิจิตร เหล่าเทพทั้งนี้ล้วนบำเพ็ญกุศลคุณความดีมาแต่เบื้องอดีตชาติ จึ่งงดงามผุดผงาดทั้งมากอิทธิฤทธิ์ เหาะเหินเดินอากาศเป็นคุณวิเศษประจำตัว สถิตรอบรั้วต่างระดับชั้น เมฆาล่องลอยคลอเคล้าทุกคืนวัน มิผันเปลี่ยนสุขสงบนับเรื่อยมา

ณ ห้วงเพลาอสงไขย เบื้องพลับพลาชัยมหาปราสาทสูงสุด คือแดนสรวงพิสุทธิ์แห่งองค์ มหาเทพ ล้วนแวดล้อมด้วยเหล่าเทวดา แหละเหนือเกล้าแห่งเผ่าพันธุ์ทั่วทั้งมหาพิภพ ต่างร่วมชุมนุมเป็นสักขีพยาน ในการประทานมหานพมณี ลำดับการเข้ารับของสิ่งล้ำค่าดำเนินจวบกระทั่งเผ่าพงศ์สุดท้าย

ปรากฏกายเป็นยักษ์ผู้หนึ่งรูปงามอรชรสูงใหญ่ ทั้งองอาจ ล่ำสันสมวัย ทั้งใบหน้าเพริศพิไลต่างเผ่าพงศ์ ด้วยดวงตากลมใสสีน้ำตาล คิ้วโค้งวาดหวานมิหยักกนก ทั้งปากปกแดงชาดสวยสม อภิรมณ์ผิวพรรณนวลขาวทั้งอินทรีย์ มีแต่เพียงเขี้ยวขาวผุดชี้ บ่งยศถาพงศ์เผ่าอสุรีเป็นที่สะดุดตา

ครั้นมหาเทพทอดพระเนตรเห็น จึ่งบังเกิดก่อเป็นความโสมนัส พระหทัยเต้นตรัสร้องเอ่ยคำท่ามกลางมหาสมาคม
 
“บุรุษยักษาผู้นั้นคือใครเล่า จึ่งพริ้งเพรางามโฉมบรรโลมสมัย ทั้งผุดผาดโดดเด่นเช่นดวงไฟ เกิดทุกขเวทนาในกายเรา”
เสียงถ้อยคำเงียบงำในทันที ด้วยวจีมหาเทพเป็นดั่งเสียงกึกกัมปนาท สะท้อนทั่วโถงท้องพระโรง
   
ฝ่ายยักษาหนุ่มรูปงามพลันสดับยิน ก็รวยรินใจเต้นเหลือล้ำ ด้วยมิเคยถูกองค์มหาธรรมตรัสกับตัวมาก่อนหน้า จึ่งตื่นตาตื่นใจสิ้นถ้อยคำ แหละพวกพ้องต่างปล้ำสะกิดกระซิบบอกเป็นหลายหน
 
“ไยเราตรัสด้วย ตัวจึ่งขวยเขิน พักตร์แดงกดโอษฐ์สะเทิ้น หากล่วงเกินจงอภัย” องค์มหาเทพเสด็จดำเนินลงจากพระแท่นบัลลังก์ เชยคางเจ้ายักษ์หน้ามนขึ้นทอดพระเนตร “สิริโฉมนี้เลิศล้ำ ยิ่งกว่าคำกล่าวขาน ด้วยเราสดับยินมาเนิ่นนาน ว่าวงศ์วานยักษาบังเกิดมี โอรสอสุรกายาผิดประหลาด ทั้งมากโฉมผิวผาดผุดผ่อง เหล่าอสุราหนุ่มหมายจ้อง ประสงค์ครองรักสมัครเป็นเคียงคู่ ดูหรือท่านทั้งหลาย ความงามนี้ผุดกระจายโดดเด่น เห็นประจักษ์เช่นเราเป็น นามสถิตดั่งวันเพ็ญนั้นชื่อไร”

“ก้มกราบถวายบังคมบรมราช ตัวข้านาม อสุรมาศ อุปราชยักษา น้อมรับพระราชบัญชา จากพ่ออยู่หัวอสุรากุเรปัน” เจ้ายักษ์หนุ่มก็ทรุดตัวก้มกราบ แนบพระบาทบรมเทพ
 
“แหละตัวเจ้าเป็นชาย ไฉนเลยเฉิดฉายพรรณรายเลิศล้ำ อัปสรเทพล้อมเรากลับหมองคล้ำ สุดวาบหวำเบื้องอกตระหนกตรม” ดำรัสตรัสแย้มพระสรวล เอื้อมพระหัตถ์เกี่ยวไหล่อสุรมาศขึ้นเทียบเคียง

“ข้าพเจ้าเป็นบุรุษ ฤทธิรุทรอาจหาญชาญสมร สู้ศึกปราบอริมิท้อวอน เก่งกล้าสี่กรเป็นพรชัย” อสุรมาศตรัสเท้าความ แย้มสรวลตามสดับโฉมบรมนาถ ทั้งรูปพรรณแววตาอุกอาจ มหาเทพก็ปราดเข้าลูบโลม
 
“เรานี้ขอมอบนพมณีอย่างท้ายสุด เช่นประดุจฝากใจให้ถนอม อสุรมาศจงรับไว้แลยินยอม ยื่นหัตถ์พร้อมน้อมองค์ประชิดมา”

“หากมณีนี้ดุจใจมหาราช ก็มิอาจรับไว้ด้วยขื่นขม ตัวเป็นยักษ์ชาตรีมีทุกตรม หัวใจว่างร้าวระบมปวดอุรา”

“ไยอสุรมาศจึ่งกล่าวคำตัดพ้อ ดั่งเราเป็นข้อก่อเหตุให้โศกศัลย์ หมายฝากใจฝากรักปักชีวัน แนบลงพลันมณีนพลบโลกไตร”

“ด้วยคำตรัสท่ามกลางพิธีการ ชนทั้งนั้นล้วนเป็นสักขีพยานให้สุขี แต่กระหม่อมเป็นชายกายชีวี มิควรที่บรมนาถจักฝากตัว”

“ก็แหละเราเป็นใหญ่ในสามภพ แลทั้งรบทั้งรักสมัครสมาน ชายหรือหญิงเป็นเพียงนอกกมลกานต์ หทัยเราโปรดปรานเจ้าดวงตา”

ครั้นคำดำรัสตรัสหว่างสองบุรุษ เป็นสัญญาณบริสุทธิ์แห่งความรัก ประจักษ์สู่สายตาเหล่าชนแห่งมหาพิภพในที่นั้น พลันก็บังเกิดเสียงสรรเสริญยินดีกึกก้อง หมายใจให้อสุรมาศยินพ้องด้วยคำมหาเทพ ด้วยเสน่ห์หารัดรึงใจไว้ดุจมีสายเชือกล่องหนมิอาจเห็น ต่างแซ่ซ้องชื่นชมพระบารมีมหาเทพและอสุรมาศยักษาให้ยินยอมพร้อมใจในคำเชิญนั้น

“หากลิขิตชะตาฟ้ากำหนด ให้ประณตแนบหัตถ์น้อมถวาย เป็นเบื้องบาทบริจาจนวางวาย ขอฝากกายฝากใจใต้ชีวิน”

พระมหาเทพสดับยินพลันปีติ ก็โผกอดอสุรมาศแนบชิดสนิทสนม ประกาศแก่ทั่วทั้งมหาสมาคม ได้ยินยลทั่วทิศในจักรวาล

“รักเอยรักใดเกิดหว่างกลางใจสุดประหลาด เพียงสบมองอสุรมาศพลันวาบหวาน ประหนึ่งศรรักปักองค์ทะลุดวงมาลย์ ขอรับตัวอสุมารเป็นเบื้องบาทบริจาริกา”

เผ่ายักษาก็ปลื้มปริ่มในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น แซ่ซ้องสดุดีเสียงปนสะท้านก้อง ทั้งบาดาล ทั้งมนุษย์สะเทือนร้อง ดั่งปฐพีต้องแรงไหว
 
เพลาวันหนึ่งอสุรมาศยักษา ประทับนั่งกายา เหนือพลับพลามหาชัยปราสาท สวยงามเด่นผงาดเหนือฟากฟ้านภาลัย เหล่าเทพต่างวนเวียนไปชื่นชมพระบารมีเป็นศรีสง่า เช่นทุกวันทิวาพ้นผ่าน พระมหาเทพเทวีเป็นเจ้าก็เสด็จราชยานคานหามถึง ทอดพระเนตรเห็นก็ตะลึงในรูปโฉม แล้วตรึกตรองพินิจกายด้วยอารมณ์ ก็เห็นสมว่าด้อยกว่าไม่น่ามอง จึ่งเป็นเหตุให้บรมเทพเสพสังวาส กับอสุรมาสชาติเดรัจฉาน เพียงพิศหน้าก็เกิดเจ็บห้วงหทัยกานต์ ฤาเป็นเพราะตนมิรูปหวานสำราญใจ จึ่งจำแลงแปลงองค์เป็นบรมนาถ นางสนองโอวาทเป็นคนใช้ ติดตามขบวนพยุหยาตรเยื้องไป หยุดอยู่ใกล้พลับพลาอสุรา แล้วร้องว่า

“อสุรมาศน้องเราอยู่ที่ไหน โปรดเยี่ยมหน้ายื่นตามาโปรดใจ มหาราชเทพหทัยประสงค์มอง”

“เกล้ากระหม่อมอยู่นี่อย่างไรเล่า โปรดอย่าเศร้าอาดูรตะโกนร้อง”

“พี่มิเห็นหน้าเจ้าก็เฝ้ามอง พอเห็นน้องพี่ยาก็ดีใจ”

“มีประสงค์สิ่งใดจงได้โปรด แม้นพันโยชน์จักนำมาทูลสนอง”

“หามีสิ่งใดให้พระน้อง นอกจากครองเคลียเคล้าแนบชิดองค์”

“พระประสงค์เพียงเท่านี้มิควรก่อน ด้วยราตรีนี้วอนเสด็จสู่ มหาพลับพลาพระแม่เจ้าเกล้าวิญญู พระเคียงคู่เทวีมเหสีองค์”

“พี่ประสงค์แนบเนื้อประชิดเจ้า ไยหน้าเศร้ายื้อยักแลผลักไส”

“เกล้ากระหม่อมนี้อับจนใจ ด้วยหทัยนับถือขนบเกณฑ์ แหละวิมานฉิมพลีมีทุกข์สุข ทั้งประมุขฝ่ายในงามสุดแสน จงรักษาราชธรรมนำดวงแดน โอบรัดแขนพระแม่เจ้าเกล้าชีวี”

ครั้นมหาเทวีเป็นเจ้าร่างจำแลงเห็นกิริยายักษาซื่อตรงภักดีเช่นนั้นบังเกิดซาบซึ้ง ข้ออาฆาตฝังใจพลันลดทอนลง หากทว่าเมื่อได้แตะเนื้อต้องตัว พลันไตรนัยนาประจำองค์เล็งเห็นกาลภายหน้าว่า อสุรมาศ ผู้นี้มีจักเป็นภัยใหญ่หลวงต่อไตรภพ จึ่งใช้ดำริตริตรองด้วยพระหทัยกล้าแข็ง คิดอุบายใช้เล่ห์กลพิศวาส แล้วว่า

“ก่อนพี่นี้จะหวนจาก ประสงค์ฝากรอยจูบเป็นเครื่องหมาย เป็นรอยรักรอยร่วมผสมกาย ให้เราสองเวียนว่ายในธารา”

“เฉกนั้นมหาเทพโปรดลงสรง เบื้องสระตรงข้างพลับพลาสรงสนาน เช่นวันก่อนผ่อนกายลงว่ายวาน เสร็จแล้วจึ่งเสด็จผ่านพิภพดังคำน้อง”

มหาเทพจำแลงจึ่งปลดเครื่องทรงแล้วแหวกว่ายในสระสรงร่วมกับอสุรมาศเป็นห้วงเพลาหนึ่ง เหล่ายักษาข้ารับใช้คอยถวายงานอยู่เคียงใกล้ เช่นเดียวกับเหล่าเทพจำแลงองค์ของนางอัปสร ครั้นเห็นเป็นเพลาเหมาะควรแก่การกำราบมารร้ายภายภาคหน้า มหาเทวีจำแลงองค์ก็ส่งสัญญาณให้นางอัปสรร่างแปลงเงื้อพระขรรค์ตัดศีรษะยักษาทั้งห้าตนในทันที ภาพเพื่อนกายสหายรักมามีอันถูกฆาตกรรมต่อหน้าต่อตาเช่นนั้นมินึกฝัน ก็ร่ำร้องครวญคร่ำรำพันจนกระทั่งพระมหาเทวีในร่างแปลงใช้มหาจักรสุรกาฬบั่นพระเศียรอสุรมาศขาดสะบั้นในทันใด

พจน์ลืมตาพรวดตะลึงพรึงเพริดในภาพสยดสยองนองเลือด เช่นเดียวกับหัวใจระทึกหนักอก ทุกสิ่งอย่างเสมือนเกิดขึ้นตรงหน้า หรือว่าตนจะข้ามพิภพไปอีกที่หนึ่ง หรือเป็นอีกอดีตชาติก็ไม่อาจพูดได้เต็มปาก ด้วยเหตุการณ์ทั้งสิ้นไม่มีคนหน้าคล้ายพจน์ เหมือนมาตะ หรือใครที่รู้จักแม้สักคนเดียว แต่โศกนาฏกรรมแห่งอุบายพิศวาสช่างเหี้ยมโหดติดตา จนแม้แต่การพยายามลบให้หายจากความคิดก็ไม่อาจทำได้โดยง่าย
 
คำพูดคุยดังอยู่รอบทิศ ฝูงชนผิวดำแดงเดินคราคร่ำเบียดเสียดสัญจรบนพื้นถนนศิลาขาวแห่งหนึ่ง ท้องฟ้าแจ่มใสมีเมฆคลี่บังให้ร่มเงา ด้านขวาเป็นมหากำแพงสูงใหญ่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เป็นกำแพงเมืองก่ออิฐถือปูน ฉาบสีขาวสะอาดสะอ้าน ใบเสมาเรียงสับหว่างด้วยเหล่าทหารเวรยามเกราะทองจับจ้องมายังเบื้องล่าง

“น้องท่าน”

จำได้ว่าเป็นสำเนียงของมาตะ พอเหลียวดูจึ่งเห็นว่าเจ้านั่นเกร็งหน้ากลุ้มกลัด นั่งซ้อนเคียงคู่แนบกระหนาบอยู่ชิดหลังเป็นปรกติดีจึ่งคลายใจ มาตะดึงบังเหียนบังคับอาชาสีดำให้ขยับเดินแหวกผ่านฝูงชนเชื่องช้า
 
“ปล่อยเราลง”

พอเข้าใจสภาพแวดล้อมและสถานการณ์หลังข้ามพิภพก็รีบร้องขอ มาตะทำหูทวนลม ขยับท่อนบนเปลือยเปล่าเข้าหาเหมือนยิ่งห้ามยิ่งยุ พจน์ผละหนีจนเกือบสุดพ้นอานม้าก็ติดกับ ตวัดสายตาข่มให้อีกฝ่ายหยุด เจ้ามาตะเกิดหูหนวกตาบอดชั่วคราว ทำประหนึ่งท่วงทีคนคู่พิศวาสยินดีกับกิริยาแนบชิดดั่งนั้น ขยับขากระตุ้นม้าให้ดำเนินต่อ พจน์ส่งสายตาดุคาดโทษไว้แล้วเหลียวแลบรรยากาศแวดล้อม ซุ้มขายของหลังคามุงจากเรียงรายอยู่ทั้งสองฟากฝั่งถนนศิลา ผู้คนล้วนแต่งกายอย่างเดียวกับพจน์ สีผ้ามอซอมิได้มีสีสันฉูดฉาดบาดตาอย่างเจ้ามาตะเคยแต่ง จึ่งกลมกลืนกับหมู่คนเหล่านี้ นานครั้งจึงจะเห็นผู้แต่งตัวโอ่อ่าภูษาไหมเหลือบทองให้เห็นผ่านคานหามหรือบนหลังม้ามาสักครั้งหนึ่ง
 
ข้าวของวางขายบ้างเป็นผักสด บ้างเป็นเนื้อสัตว์จำพวกปลา ไก่ แลสัตว์ป่านานาชนิด บางร้านเป็นถ้วยโถโอชามทั้งประเภทดินเผา หรือชามสังคโลก ถัดมาเป็นแหล่งเพิงขายผ้าแพรชั้นดีจนถึงชั้นสามัญ ผลหมากรากไม้ก็มีขายอยู่มาก สรรพเสียงเจรจาต่อรองราคาค้าขายตะโกนเรียกลูกค้าดังโหวกเหวกไม่ได้ศัพท์
 
“เพลานี้เราล่วงถึงเขตเมืองทวาระบุรีแล้ว ห่างไปอีกราว ๕ โยชน์เบื้องทิศตะวันออกนั้น จักแลเห็นภูมิประเทศสูงใหญ่ทอดขวางเป็นแนวปราการธรรมชาติเงื้อมง้ำอยู่รำไร แหละประตูช่องเขาด่านสุวรรณคีรีคือจุดหมายก่อนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า” กระซิบว่าโดยซื่อ

พจน์เผลอมองตามนิ้วของมาตะ เห็นแนวเทือกเขาขนาดมหึมาทอดตัวอยู่ชัดเจน ครั้นมาสำนึกได้ว่าตนเคืองโกรธมาตะในฐานะกระทำยินยอมให้บุหลันฝากตัวเป็นแผลฉกรรจ์ ก็รีบหันกลับมาสังเกตผู้คนตามเดิม

“ขอโท...”

“ภัทรพจน์!” กฤษณะร้องทักควบม้าสีน้ำตาลขยับเคียง โครงหน้าคลับคล้ายนิธิทำเอาพจน์บังเกิดยินดีชั่วขณะ แต่พอมาฉุกคิดได้ว่า มิใช่คนคนเดียวกันก็สลดนิ่ง ฝืนยิ้มให้ “เจ้านี้เป็นเช่นไรบ้าง อาการแลอารมณ์เป็นปรกติดี ฤา”

สายตาดุปรับเป็นอ่อนโยนทันควันมิได้สนมาตะแม้แต่น้อย ดูเหมือนนายกองเกราะทองไม่ได้ติดใจสงสัยในการปรากฏตัวอย่างฉุกละหุกของพจน์แต่อย่างใด

“สบายดีแล้ว”
 
“เช่นนั้นโปรดลงจากหลังอาชา แลเชิญเดินทอดทัศนาเบื้องชุมชนร้านค้าตลาดให้เพลินตาเพลินอารมณ์สักประเดี๋ยวเถิด หว่างนี้เป็นช่วงผ่อนฝีเท้าแลแรงม้าให้ได้พักกำลัง ข้าจักเป็นผู้ชี้แนะข้อสงสัยแลบอกใบ้สิ่งอันมิเคยผ่านตาท่าน ก็แหละของเหล่านี้ล้วนเป็นของพื้นถิ่นขึ้นชื่อลือชาหาดูยาก หากมิลองพินิจชมแล้ว มีหรือที่จักกล่าวได้ว่าเคยผ่านมาสู่ทวาระบุรีมหานคร”

กฤษณะกล่าวคำเชื้อเชิญพร้อมเหตุผลเกลี้ยกล่อม ก้าวลงพื้นจูงม้าเดินตาม พจน์ไม่อาจทนนั่งเคียงมาตะได้ก็พยักรับคำเตรียมขยับ เจ้ามาตะโหนกระโจนลงก่อนเพื่อจะช่วยพยุงคู่รัก แล้วโดยมิได้นัดหมายทั้งอุปราชหนุ่ม โกสินทร์ แลเหล่านายทหารองครักษ์ทั้งสี่ต่างถลันลงจากหลังม้า เข้ากลุ้มรุมพจน์ดั่งผึ้งรุมตอมเกสรบุปผา สุริยะอุปราชาเห็นกิริยาคนในคณะเผลอปฏิบัติตนโดยสามัคคีก็บังเกิดคืนสติยั้งพระบาทไว้ได้ทัน แต่เหล่าองครักษ์ปลอมตัวมัวเคลิ้มโฉมภัทรพจน์ สบเห็นช่องใกล้ชิดก็หลงลืมประพฤติข้าทหาร ขมีขมันพะเน้าพะนอแนะนำตัวพัลวัน

“ข้านี้ชื่อ ปัญจะ” เจ้าคนสูงโย่งกว่าเพื่อนขัดดาบไขว้ไว้ด้านหลัง หน้าตาดูมีอัธยาศัยดีกล่าว

“ข้านามว่า จาโค” อีกคนลักษณะกำยำบึกบึนสักยันต์ตัวลายพร้อยตั้งแต่ลำแขนจนเต็มแผ่นหลัง แต่สูงไม่เท่าเจ้าปัญจะรีบแนะชื่อตัว
 
“ข้า คาวิน เป็นน้องร่วมอุทรของปัญจะพี่ท่าน” คาวินมีลักษณะสะโอดสะองเพรียวบาง แต่ดูแคล่วคล่องว่องไว ในมือถือทวนกระชับแน่น

“ข้าชื่อ วรุณ เป็นพี่น้องร่วมน้ำสาบานของเจ้าสามคน” วรุณกระแอมขัดคอ ตีขรึมนิ่งผิดต่างจากเหล่าเพื่อนเกลอ รูปร่างค่อนข้างใหญ่สมชาย อาวุธคู่กายเป็นธนู แต่รอยแดงลุกลามขึ้นหน้านั้นทำเอาพจน์ขมวดคิ้วสงสัย “หากท่านยังมิสันทัดการขึ้นลงอาชาแล้วไซร้ ให้ข้าช่วยสอนจักเป็นคุณอย่างสูง”

“วรุณพี่ท่าน ไฉนเลยมาหยิบชิ้นปลามันเอาซึ่งหน้าก็แหละข้าเข้าถึงตัวภัทรพจน์ผู้นี้ก่อน ควรหรือจะอาศัยวัยวุฒิมาลัดเลาะแซงหน้าผู้น้อยเยี่ยงนี้” จาโคบ่นกระฟัดกระเฟียดเป็นเด็กๆ เจ้าองครักษ์ทั้งสามต่างกีดกันขวางผลักมือไขว่คว้าหมายจะช่วยพยุงพจน์ลงจริงตามคำ ครั้นได้ยินเสียงคำตวาดของกฤษณะก็ล่าถอยห่างคล้ายได้สติ

“จงระวังรักษากิริยา” นายกองเกราะทองส่งเจตนาคาดโทษบรรดาก้างขวางคอ “ด้วยเห็นมิจำเป็นต้องอาศัยน้ำมือหมู่เจ้าเป็นเครื่องกวนใจ ก็แหละข้ายืนอยู่ใกล้ฉะนี้ ควรหรือจักล่วงล้ำสิทธิ์ผู้มาก่อน วอนภัทรพจน์ท่าน กรุณาจับแขนกฤษณะตวัดขามาทางด้านนี้ พร้อมทิ้งตัวลงเถิด ข้าจักระมัดระวังมิให้ได้รับอันตราย”
 
ฝ่ายโกสินทร์นั้นขยับถอนห่างนับแต่เห็นเหล่าทหารองครักษ์จู่เข้าไปแล้ว ได้แต่ยืนอมยิ้มมองดูการตัดสินใจของภัทรพจน์แน่วแน่อยู่ ส่วนมาตะถูกเจ้าสี่สหายเบียดกีดจนตัวต้องถอยกระเถิบ คอยคุมเชิงอยู่เคียงพระอุปราชผู้เชษฐา ใบหน้าตึงราวกับกินรังแตนมาทั้งรวง

“ขอบใจพวกนายนะ แต่ไม่ต้องหรอก” ว่าพลางก็ตวัดขา เหยียบโกลนมั่นคงดีแล้วก็ก้าวลงอย่างชำนิชำนาญทั้งมิเคยกระทำอาการดั่งว่ามาก่อนจนเจ้าตัวรู้สึกประหลาดใจ กฤษณะหมายตาเข้าพยุงช่วยก็เก้อเขินชั่วขณะ เช่นเดียวกับ ปัญจะ จาโค คาวิน แลวรุณ เมื่อสัมผัสผืนดินได้ก็เหลียวแลผู้คนโดยรอบอย่างสนอกสนใจ ผู้มีใจช่วยทุกคนต่างคืนกลับ ทยอยจูงอาชาเช่นตามเดิม เจ้าสี่เกลอบ่นพึมพำจับความได้ว่า หากกลมเกลียวไม่ขัดแข้งขัดขากันเองแล้วไซร้ ก็คงมีคนหนึ่งคนใดได้ช่วยพจน์ลงจากหลังม้า จนกระทั่งคาวินเหลือบเห็นสายตามาตะก็พลันรีบสงบปาก เจรจาฝากชวนพระราชบุตรบุญธรรมชี้ชมสาวงามเมืองกลบเกลื่อนเป็นทีลุกะโทษ

ชาวเมืองบ้างเหลียวแลคณะเดินทางต่างถิ่น บ้างมิได้สนใจนำพา ต่างปฏิบัติกิจอันตนหมายมุ่งให้สำเร็จโดยเร็ว
 
“ภัทรพจน์เจ้า ไยจึ่งมาเดินทอดน่องอยู่กับพื้นเฉกนี้ เบื้องหลังนั้นยังมีอาชาตัวเปล่าเล่าเปลือยอยู่อีกหนึ่ง หากเจ้ามีทักษะฝีมือควบบังคับได้แล้วจงใช้เป็นพาหนะเถิด” เวฬุมัวแต่เลือกซื้อสรรหาพืชสมุนไพรไม่ทราบเหตุการณ์ชุลมุนเมื่อครู่ ก็ชักม้าไล่ตามหลังมาร้องแจ้ง

“เห็นจะมิต้องให้เจ้าชี้แนะดอก เวฬุ ก็แหละการขี่ม้าท่ามกลางชุมชนร้านตลาดอันเป็นย่านค้าขายคึกคักประจำเมืองหน้าด่านทวาระบุรีเฉกนี้ หากใช้อาชาเคลื่อนผ่านก็เหมือนประหนึ่งเดินเท้ามิต่างกัน หนำซ้ำพินิจดูแล้วเห็นว่าการก้าวย่างยังอาจสามารถรวดเร็วกว่าพาหนะอันเจ้ากล่าวถึงอีกเป็นไฉน แหละทั้งนี้หัวหน้าวาณิชก็กล่าวเป็นคำสั่งหนักแน่นแล้วว่า ให้จัดหาเสบียงแลผ่อนฝีเท้าม้าให้พักผ่อน ควรหรือจักมานั่งเป็นภาระให้อาชาอันควรพักต้องมาแบกรับน้ำหนักเกินทนไหวเช่นนั้น” กฤษณะกล่าวคำโต้เจ็บแสบแล้วยกยิ้มตวัดสายตาดุ

โกสินทร์ได้ยินก็ฮึดฮัดขัดใจกำดาบประจำกายแน่นข่มอารมณ์ไว้

“ไอ้คนชาติชั่วต่ำช้า ฝีปากมึงทรามแหละกล้าดีเฉกนี้ แลฝีมือประจำตัวเลวยังจักคมเช่นปาก ฤา ไม่ ใคร่อยากเห็น”

คำตวาดดังลั่นท่ามกลางฝูงชน สร้างความแตกตื่นฉุดนำความสงสัยให้บังเกิด พจน์เหลียวตามศัพท์สำเนียงเห็นคนทั้งปวงมุงดูอยู่ตรงทางแพร่งก็แหวกหาช่องมอง ครั้นสบเห็นเจ้าหนุ่มผู้หนึ่งพินิจถนัดถนี่จากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายดูโอ่อ่ามีฐานะ ซ้ำใบหน้าเกลี้ยงเกลา ดวงตาคมแข็งกร้าว กลางหน้าผากเขียนสีขาวเป็นทรงหยดน้ำ เด็กสาววัยกำดัดต่างเหลียวมองบุรุษผู้นั้นด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้มฝัน
 
“ฤา มิใช่ความจริงดั่งคนเล่าขาน ว่าขุนทหารชาญณรงค์ แม่ทัพนายกองกรมคชบาลเบื้องหน้านี้ มีลักษณะประหลาด ชอบเสพสังวาสในเพศเดียวกัน” เด็กหนุ่มอีกคนแต่งกายด้วยผ้าเยียรบับอย่างดี หน้าตาท้าทายมีรอยแดงมุมปาก พูดเป็นทีเยาะเย้ยสบถน้ำลายถุยลงพื้นพร้อมกิริยาชังอีกฝ่ายมากประมาณ
 
“เจ้ากินตำแหน่งนายกองกรมม้า หนำซ้ำเที่ยวเตร่เฮฮามิสนใจในกิจธุระแก่นสาร เสพแต่ของมึนเมาหมางเมินหน้าที่ กิริยากระนี้ควร ฤา จักกล่าวคำลบหลู่เกียรติแห่งกู ปากมึงยังกลบตลบด้วยกลิ่นสุรา แล้วไยถึงกล่าวหาข้าเป็นข้อฉกรรจ์มิรู้จบ แหละวันนี้สุดอดกลั้น ด้วยท่ามกลางธารกำนัลเป็นที่อับอายเหลือแสน หากมิพักเพิกเฉยต่อไปเบื้องหน้า มึงคงกล่าวซ้ำจนคนครหามิรู้จบสิ้น วันนี้ขอเอาเลือดชั่วออกจากกายมึงส่วนหนึ่งเป็นเครื่องเซ่นคำปด หากมิได้รอยแผลสักหยดก็จักมิหยุดประลองชัย”

เจ้าหนุ่มหน้ามนก็ชักดาบพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย ส่วนนายกองทหารม้าสังเกตเห็นคู่แค้นตัวถลันมาสมคิด ก็ชักดาบปัดป้องโดยทักษะฝีมือเช่นกัน โรมรันเปรี้ยงปร้างเป็นที่หวาดเสียว เสียงฮือฮาผสานเสียงร้องหวีดหวาดดังระงม ต่างฝ่ายต่างซัดดาบกระหน่ำ ขับเคี่ยวตะลุมบอนผลัดกันรุกรับและร่นถอยฝีมือจัดอยู่ ไม่มีทีท่าว่าฝ่ายใดจักเพลี่ยงพล้ำ จนกระทั่งเจ้านายกองกรมม้าเล่นมิซื่ออาศัยจังหวะล้มลงพื้นคว้าฝุ่นดินได้กำหนึ่งแล้วตวัดใส่หน้านายกองคชบาลเป็นที่แสบตาบดบังการมองเห็น ก่อจังหวะให้อีกฝ่ายเร่งถลันเข้าหมายแผลเบื้องไหล่ซ้ายเป็นรางวัล

พจน์คว้าทวนประจำตัวกฤษณะโผเข้าป้องกันอาวุธได้รวดเร็ว แล้วออกแรงใช้คันทวนผลักดาบออกจากท่าอันตรายซ้ำถีบเท้าใส่กล้ามท้องให้ล้มลง เจ้านายกองม้าตะลึงพรั่นพรึงชั่วขณะ ด้วยมึนงงสับสน ครั้นบังเกิดเห็นว่าเป็นไพร่ราษฎรหนึ่งคนมิคุ้นตา เห็นกระดูกยังอ่อนคงร้อนวิชาจึ่งรนหาที่ตายก็ผุดลุกจังก้าด้วยโทสะ ออกแรงตวัดดาบหมายสั่งสอนให้หลาบจำ

ปลายทวนเล่มหนึ่งพร้อมปลายดาบทองต่างพุ่งเข้าหาลำคอของนายกองม้ารวดเร็วหยุดห่างเพียงเสี้ยวเศษผม

“หากเจ้าประสงค์นำชีวิตมาทิ้งหว่างกลางปฐพีในเพลานี้แล้ว ก็จงขยับเข้ามาอย่าช้าที แหละปลายคมทวนชั้นดีจักส่งเจ้าไปสู่ภพภูมิอื่นในทันใด”

พจน์เหลียวมองก็เห็นเป็นพระพักตร์ของพระมหาอุปราชสุริยะยื่นปลายทวนหมายลำคอสั่นวะวาบ แล้วแลมองพจน์อย่างเย็นชา มาตะกำดาบทองประชิดท้ายทอย ภัทรพจน์หลบเลี่ยงความอึดอัดตรวจดูอาการนายกองคชบาลผู้ล้มลงแสบนัยนาเพราะเล่ห์กลของคนขลาดเขลา พร้อมกับรู้สึกเสียดเจ็บอกด้านซ้ายซ้ำอีกอย่างหาสาเหตุไม่ได้


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3426226#msg3426226)
เพจนิยายข้ามพิภพ (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)
______________________________

อสงไขย : มากจนนับไม่ถ้วน หรือ โกฏิ (๑๐ล้าน) ยกกำลัง ๒๐

______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

แผนการของจอมปีศาจก็ดำเนินไปในทางที่ว่างไว้  เหลือแต่ทางพจน์ที่ยังไม่รู้อะไรสักอย่าง  แบบนี้คงจบแบบเศร้าๆอีกแน่ๆ  เมื่อรู้ก็เกือบสายแล้ว ส่วนเรื่องความรัก  ผมไม่เคยน้ำตาไหลเพราะมันนะ  เพราะผมไม่เคยรักใคร  จึงไม่รู้ว่าความรักมันเป็นแบบไหน ก็แค่อ่านนิยายรักๆ  เวลาที่เขาต้องเสียใจ ตัวผมกับคิดว่าจะร้องไห้ไปทำไหมกับคนที่ไม่รักเรา  ถ้าจะร้องจริงๆผมว่าน่าจะร้องตรงที่มีอุปสรรค ทำให้คนรักกันต้องห่างต้องจากกัน  อันนี้ผมพอเข้าใจนะ  แต่ไปร้องให้คนที่ไม่เห็นคุณค่าในตัวเรานี้  ผมว่าไม่น่าร้องเลย  ออกนอกโลกล่ะ  ยิ่งแก้ปัญหาก็เหมือนมันยิ่งเพิ่มขึ้นนะ  ไม่รู้ว่ามันจะเฉลยออกมาแบบไหน  ตอนนี้ตามความคิดคนแต่งไม่ทันแล้ว  รอแต่ว่ามันจะมีอะไรทำให้เรื่องนี้จบลง  ขอแค่อย่าให้มันจบแบบละครหลังข่าวพอ  พอคนไม่ดีจะตาย  กลับตายง่ายๆไม่สมกับสิ่งที่มันทำเลย  อ่านแล้วคัดใจมาก(อินขั้นรุนแรง)  ถึงศาสนาจะบอกว่าอย่าจองเวร  ให้อภัย  แต่คนชั่วกับไม่ได้รับความเจ็บปวดจากสิ่งที่ทำเลย  มันอดน้อยใจ  และทำให้ไม่มีแรงให้ทำความดีอ่ะ  ผมว่าคนชัวหลายคนคงคิดแบบผม  จึงยอมจะทำสิ่งไม่ดีเพื่อให้ได้มา  มันง่ายกว่าถึงจะรู้ว่ามันมีจุดจบไม่ดีก็ตาม  แถมปัจจุบันนี้คงไม่มีใครจะดีขนาดนั้นหรอก  เพราะทุกวันนี้มีแต่ตาต่อตาฟันต่อฟันกันทั้งนั้น  ออกนอกโลก  ส่วนเรื่องน้ำตาผมไม่ได้แคลงใจอะไร  เพราะคนเขียนจะเขียนแบบไหนก็แล้วแต่คนแต่งเลย  ยังไงก็ชอบเรื่องนี้มากอยู่แล้ว  ตอนนี้ก็ลุ้นแต่ว่าเมื่อไหร่  พจน์จะเก่งสักที  รอการเฉลยของปัญหาต่างๆจะแย่อยู่แล้ว  ลุ้นมาก  ยิ่งมาฉากส่งท้าย  เล่นเอางงตาแตกกันเลยทีเดียว
แผนการของปีศาจในครานี้จะสำเร็จหรือไม่ และพจน์จะตระเตรียมรับมือได้ทันการณ์หรือเปล่า ในอีกไม่กี่ตอนข้างหน้าคุณคงได้รู้คำตอบของคำถามนี้ กรุณาเตรียมใจเผื่อไว้บ้างก็ดีนะครับ อิอิ ถ้าพูดถึงประสบการณ์ชีวิตด้านความรักนี่ผมผ่านมาทุกรูปแบบครับ ตัวอย่างก็เช่นฉากขโมยจูบในเรื่อง แต่เท่าที่เคยอ่านนิยายจนถึงขั้นรู้สึกอินมากๆก็อย่างที่คุณว่า โดยเฉพาะฉากพลัดพราก ยิ่งรักกันมากก็เศร้าแทน สำหรับการคาดเดาเนื้อเรื่องที่คุณว่าตามความคิดผมไม่ทันนี้ ถือว่าเป็นคำชมละกันครับ อิอิ จะหักมุม หรือจบแบบไหน จะจบแบบละครหลังข่าวหรือเปล่า รอถึงบทสรุปแล้วช่วยกรุณาวิจารณ์อีกรอบนะครับว่า ถูกใจ หรือ ผิดหวัง ยินดีรับฟังความคิดเห็นเสมอครับ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๐ อุบายพิศวาส ๕๐% (๑๔/๐๗/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: pnn ที่ 15-07-2016 05:07:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๐ อุบายพิศวาส ๕๐% (๑๔/๐๗/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 17-07-2016 22:33:46
มีอีกเรื่องราวแล้วสิ  จะทำยังไงล่ะทีนี้  เฮ้อ  พจน์ละก็นะ  แต่ก็นะคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นมันก็ได้ทั้งดี  และมีเรื่องตามมาอีกแน่ๆเลย  คราบจะรอนะ 
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๐ อุบายพิศวาส ๕๐% (๑๔/๐๗/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: zeroj ที่ 18-07-2016 08:04:05
เราเพิ่งเข้ามาเจอเรื่องนี้   และเรากำลังสงสัยอยู่ว่า  เราข้ามผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างไรตั้งนานนนนนน

เราอ่านจนถึงตอนล่าสุดตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว    :laugh: :laugh: :laugh:  คอมเม้นเอาตอนเช้านี้แหละ

ภาษาในการเขียนสวยงามมากกกกกกกกกกก

การใช้โครงกลอนในการแต่งประโยคหรือในคำพูด  แบบนี้หายากมากในนิยายในปัจจุบัน

เพราะถึงแม้มีการเขียนโครงกลอนแทรกเข้าไปในบางเรื่อง  แต่มันไม่เยอะเท่าเรื่องนี้เลย

ทำให้เนื้อเรื่องและภาษาของเรื่องนี้มีความแตกต่างอย่างมาก

สงสารมาตะกับพจน์ที่สุดเลย  เมื่อไหร่จะสมหวังในรักซะทีนะ

ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติก็พรากจากกันตลอดเลย   (คนเขียนใจร้ายยยยยยยย   :o12: :o12: :o12:  )

สิ่งที่รู้ได้จากในเรื่องนี้  ว่า  คนที่คู่กันแล้ว ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติ  ก็ย่อมคู่กัน   

เอาใจช่วยมาตะ  และ  พจน์   ขอให้ผ่านอุปสรรคทั้งหลายไปได้โดยพลัน
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๐ อุบายพิศวาส ๑๐๐% (๑๘/๐๗/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 18-07-2016 10:43:26
[ต่อ]



กลิ่นสุราข้าวหมักดองอบอวล ผสานล้วนถ้อยสนทนาวาทีเป็นฉากหลังแวดล้อม พจน์ยื่นจมูกสูดเครื่องหอมละมุนจากผิวกายแล้วพินิจเค้าหน้าเจ้ากรมคชบาลตกต้องแสงไต้ไฟเป็นเงาคุ้นเคย ทั้งนัยน์ตาเข้ม และมุมปากดื้อรั้นบ่งนิสัยเฉพาะตัว มิน่าเล่าเด็กสาวชาวบ้านชุมนุมรอบลานวิวาทจึงแอบส่งเสียงเอาใจช่วยดังขรม ก็ด้วยรูปลักษณ์หน้าตาจัดว่ารูปงามอย่างหนึ่ง ทั้งกิริยาหยิ่งในศักดิ์ศรีอีกหนึ่ง ประกอบเป็นท่าทางองอาจสมขุนศึกชาติชายใจทหาร แต่บัดนี้ดวงตาเข้มมามีอันต้องรอยแดงเพราะเศษดิน ซึ่งถูกชำระล้างสิ้นลดระคายเคืองลงมากแล้ว

“ข้าขอขอบคุณเหล่าท่านเป็นอันมาก ที่มีน้ำใจเข้าช่วยในยามคับขัน” นายกองคชบาลยกจอกเหล้าขึ้นแล้วยกดื่มพร้อมด้วยพระมหาอุปราชสุริยะ กฤษณะ เวฬุ และโกสินทร์ซึ่งนั่งล้อมวงอยู่ พจน์รีบยกดื่มตามเพราะมัวเหม่อคิด ส่วนปัญจะ จาโคได้รับหน้าที่ให้เฝ้ายามรักษาการณ์ คาวิน และวรุณเฝ้าสัมภาระพ่วงดูแลจตุบทอาชาให้ดื่มน้ำกินหญ้าเสริมกำลังเรี่ยวแรง

“หาจำเป็นต้องขอบอกขอบใจไม่ นายกองธวัชฉัตร เป็นกิจอันควรสำหรับผู้มีฝีมือเพลงอาวุธประจำตนพึงกระทำ ยามเมื่อเห็นคนได้รับความเดือดร้อนถูกเอารัดเอาเปรียบโดยมิสมควร” เวฬุเจรจายกจอกเหล้าดื่มซ้ำ หน้าขึ้นสีชมพู

ท้องฟ้าขณะนี้กระจ่างใสเห็นดาวเดือนลอยเกลื่อน โรงสุราเป็นร้านค้าขนาดใหญ่ตั้งติดริมคูน้ำกำแพงเมืองเบื้องทิศตะวันออก ทุกแคร่ไม้ต่างเติมเต็มด้วยนักเลงสุราหลากวัยหลากประเภท ทั้งขาประจำแลขาจร อยู่ท่ามกลางแหล่งชุมชนบ้านเรือนหลังคามุงจากแน่นขนัด
 
“ในเพลาบ้านเมืองกำลังเผชิญศึกสงครามไกลโพ้นกระนี้ หามีคนประเภทอย่างท่านว่า ตรองดูแล้วนับได้เพียงหยิบมือ ด้วยวิสัยเอาตัวรอดเมามัวสนแต่ความสุขส่วนตนเป็นที่ตั้ง มิได้พึงระลึกถึงกิจการบ้านเมืองอันหน้าสิ่วหน้าขวาน ตริแต่เพียงว่าผืนปฐพีอาณาจักรสงบสุขร่มเย็นจึ่งใช้เพลาราชการสำมะเลเทเมาไร้แก่นสาร แต่หารู้ไม่ว่า มหาศึกกลางพิภพกำเนิดเกิดขึ้นแล้ว แหละในไม่ช้าหากเราต่างเพิกเฉยมิฝึกปรือ ฤา เตรียมพร้อมให้จงหนัก คราวมหาภัยเหยียบย่ำถึงขอบขัณฑสีมาก็สายเกินแก้เสียแล้วดั่งนี้ ท่านถึงได้เห็นกับตาตนเองว่า บุคคลผู้รั้งตำแหน่งถึงนายทหารกองอาชาจึ่งมีประพฤติหยาบช้า ซ้ำยังครองตนดุจจระเข้ขวางคลอง กล่าวคำว่าร้ายใส่ไคล้ข้าเป็นข้อฉกรรจ์ มิใช่หนสองหน แต่ทุกครั้งเมื่อฤทธิ์สุรากำเริบหนักก็มักกล่าวเป็นคำแสลงหูเช่นทุกครา ครั้นนิ่งเฉยกลับขี้แพ้ชวนตีท้าต่อยจึ่งอดระงับอาการไว้มิได้” มิตรหน้าใหม่ลำดับที่มาเรื่องราวแลความปริวิตกในใจ ส่วนนายกองม้าคู่แค้นนั้นลนลานกระเสือกกระสนหนีหายแหวกกลางชุมนุมชนช่วงชุลมุน

“ข้อวิวาทอันส่งให้ท่านมิอาจระงับข่มใจได้เห็นจะเป็นด้วยข้อเสพสังวาสในเพศเดียวกันกระมัง” พระมหาอุปราชสุริยะเท้าความข้อมิควรขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเสียงหัวเราะ พลันสีหน้าธวัชฉัตรก็ปรับเป็นไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
 
“แม้นท่านมิได้ดำรงอยู่ในฐานะผู้มีคุณต่อข้าแล้ว ฝีปากกล้าแลโฉมหน้ารูปงามนั้นเห็นจักต้องได้ลิ้มรสศอกหมัดเป็นรางวัลเซ่นคำแน่ ก็แหละข้ากล่าวเป็นข้อต้นแล้วด้วยมิได้ปลื้มแลระคายในสิ่งซึ่งอันเป็นชนวนทะเลาะดั่งนั้น ไฉนเลยท่านพ่อค้าจึ่งยกขึ้นมากล่าวซ้ำเสมือนตบหัวลูบหลัง มิเห็นข้าสนทนาอยู่เบื้องหน้าท่านกระนั้น” ความไม่พึงใจผุดกลายเป็นดวงตาดุ ซ้ำฤทธิ์สุราหลายไหก่อสติให้ฮึกเหิมยิ่งกว่ายามปรกติ
 
“ไยนายกองคชท่านจึ่งขัดเคืองคำซึ่งมิเป็นความจริง หนำซ้ำเก็บมาคิดให้ระคายหู หากมิเป็นจริงดังคำให้ร้ายก็ใช้สุราลบเสียเสมือนหนึ่งล้างหูด้วยเมรัย คำคนหรือจะสู้ความสัตย์จริงประจำตัวได้ โปรดจงอย่าโกรธคำสุริยะวาณิชเลย จงยกดื่มลบล้างเสียเถิด” โกสินทร์เห็นการณ์เอนเอียงมาทางวิวาทซ้ำก็แก้กลตวงสุรานำยื่นให้

ธวัชฉัตรนายกองเมื่อแรกเห็นสายตาแลเครื่องหน้ารูปงามของสุริยะอุปราช ก็สะดุ้งเป็นที่ติดตา ทั้งผิวพรรณละเอียดขาว ราวกับมิเคยต้องลมฝน ฤา ตรากตรำแสงแดด ประกอบเป็นลักษณะเปล่งปลั่งจับตาผิดคนธรรมดาหนึ่ง ทั้งท่าทีขยับเดิน หรือการวางตัวนั่ง ทั้งวาจาสนทนาก็มีจังหวะโอ่อ่าผ่าเผยผิดสามัญอีกหนึ่ง ทั้งสองประการก่อเป็นคำถามค้างคาใจ ครั้นถูกคำลบหลู่ของบุคคลซึ่งตัวสู้พิจารณามาแต่ต้นว่ากล่าวให้ร้ายมิต่างจากนายกองม้าคู่ปรับเช่นนั้นก็พลันเกิดโทสะขึ้นในใจ แต่ถูกเหล่าเกลอทั้งนั้นเกลี้ยกล่อมให้คลายลงก็นิ่งอยู่ เขม้นจับสายตาของสุริยะคู่หมายไว้แน่วแน่เนืองนิตย์ ระหว่างยกจอกเหล้าตามคำเชื้อเชิญของกัลยาณมิตรใหม่ก็บังเกิดจับพิรุธได้ซ้ำว่า ยามใดเจ้าภัทรพจน์หน้างาม ถูกเจ้าหนุ่มนามมาตะหรืออีกคนชื่อกฤษณะสัพยอกไต่ถาม แววตาของสุริยะวาณิชก็มักจะตวัดมองพร้อมใส่หน้ายักษ์ไม่รื่นรมย์ทุกครั้งไป กะเกณฑ์เกิดข้อสงสัยจนฤทธิ์สุราส่งเสริมให้กำเริบถามไถ่ในทันที

“กระไรหัวหน้าพ่อค้าผู้นี้ทำกิริยาดุจมิพึงใจในการร่ำสุราสนทนาวาที ทั้งตัวเป็นบุรุษรูปงามแม้แต่สตรีทั้งหลายในลานเหล้าต่างเหลียวแลเป็นที่สะดุดตาจึ่งสำแดงสีหน้ามิเป็นสุข ใครผู้ใดทำท่านผู้มีคุณต่อธวัชฉัตรให้ก่นทุกข์แค้นเล่า วอนแจ้งเราผู้เป็นสหายใหม่นี้เถิด ข้าจักอาสาดับโทสะนั้นให้คลายลง”
 
พระมหาอุปราชยินคำกล่าวถึงตัวฉะนั้นมัวแต่พะวงข้อในใจก็ตวัดสายพระเนตรมองเจ้าหนุ่มรุ่นกระทงวัยเดียวกันด้วยความไม่พอใจซ้ำไปอีกแลตรัสว่า

“ความใดเป็นข้อสำคัญในใจเรา จงปล่อยไว้เป็นธุระเราจัดการ คนนอกมิรู้สนิทโปรดอย่าได้วุ่นวายลำบาก หากประสงค์ให้เราเพลิดเพลินแล้วกรุณาสงบปากเสียบ้างก็จักเป็นคุณอย่างสูง”

ภัทรพจน์มิได้สนข้อคำชวนคุยของกฤษณะเท่าใดนัก ตอบ อือออ เป็นครั้งคราว เพราะมัวแต่ลอบสังเกตกิริยาท่าทางของนายกองคชอยู่ แม้นมาตะจะนั่งเคียงคู่อีกด้านทั้งมีอาการนิ่งหงอย อุตส่าห์ฉีกเนื้อปลาเผาแยกก้างออกให้พจน์กิน ตนก็ทำเมินเฉยเป็นการลงโทษ เจ้านั่นก็นิ่งเงียบทอดตาตกลงไม่ทำการอื่นใด แม้เหล้าสักจอกหนึ่งก็มิได้แตะ ครั้นเห็นถ้อยคำสุริยะอุปราชโต้ตอบไม่ถนอมน้ำใจมิตรใหม่ก็เอ่ยแทรกโดยเร็ว

“เอ่อ ท่านนายกอง ไม่ต้องสนใจคำพูดของคนคนนี้ พูดจามะนาวไม่มีน้ำแบบนี้ อย่าไปสนทนาด้วยเลย โปรดยกเหล้าดื่มล้างหูคำแสลงสักจอกหนึ่งเถอะ”

ฝ่ายธวัชฉัตรชะงักงันประหนึ่งหมูเขาจะหามเอาคานเข้าไปสอด ก็บังเกิดความรู้สึกน้อยใจผิดวิสัย ทั้งที่ตัวมิเคยรู้จักมักคุ้นคนเหล่านี้โดยเฉพาะเจ้าคนชื่อสุริยะ เพียงแต่สดับคำปฏิเสธดั่งคนโง่เสนอยุ่งเรื่องไม่สมควรก็ก่อความอัดอั้นตันใจ

สติสัมปชัญญะอันควรมีประจำยศศักดิ์มามีอันละทอนลง ทั้งด้วยฤทธิ์สุราแลอารมณ์ส่วนตน แต่ความรู้ถูกผิดยังคงหลงเหลือก็หักใจ แลคิดอุบายได้อย่างหนึ่งก็พลันวาดรอยยิ้มกว้าง พลางว่า

“สุริยะผู้นี้เห็นจะมิใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือย คงมีนางเมียคอยรับใช้มากน้อย แลนับด้วยมือทั้งสองข้างมิได้หมด ด้วยรูปกายาเป็นสิ่งโหยหาแลเชื้อเชิญเหล่าสตรีให้ยอมถวายมอบพรหมจรรย์โดยถ้วนหน้า ซ้ำคราวเดินทางค้าขายพลัดถิ่น หญิงงามประจำเมืองแหล่งที่ค้าผ่าน มีหรือท่านจักมิได้เชยชม ก็บุรุษใดเพียบพร้อมทั้งรูปทรัพย์ แลฐานานุรูปครบครันเช่นสุริยะท่านนี้ มิควรที่จะวาดหน้าไม่พึงใจให้ได้เห็น มีแต่จะยิ้มแย้มเย้าเคล้าชื่นบานเป็นหลักชัยเสมอกัน ฤา ว่าท่ามกลางลานสุรา มีหญิงใดในสายตาท่านมิสำแดงปรารถนาในกายให้เห็นจึ่งปั้นหน้าเป็นยักษ์มารเฉกนั้น จงแจ้งกล่าว ธวัชฉัตรผู้กล้าจะขออาสาใช้คารมเชิงชายตอบแทนคุณ เกี้ยวนางผู้ท่านหมายตามามอบให้เป็นของกำนัล”

สุริยะอุปราชสดับคำเจ้าหนุ่มหน้ามนดวงตาเยิ้มแล้วก็พลันพระพักตร์บึ้งตึงยิ่งกว่าเดิม ทรงดำริในพระหทัยว่า หากลองพิจารณาด้วยสายพระเนตรแล้วก็เป็นขุนทหารฝีมือเยี่ยมผู้หนึ่ง ฝีปากฉะฉานเก่งมิแพ้แกมกัน ทั้งท่าทีอาจหาญเสมือนหนึ่งอาสาจะเกี้ยวพาราสีนำสตรีมาฝากตนเป็นข้อตะขิดตะขวงใจ เห็นแววตาสบมองเขม็งก็ละจากดวงหน้าภัทรพจน์มาจับจ้องชั่วขณะ คนผู้นี้ดูภายนอกก็มิได้รูปชั่ว ซ้ำพิศมองแต่โดยพิจารณาละเอียดถี่ถ้วนก็รูปงามสมชายชาตรี เห็นประกาศวาทีจักสำแดงทักษะตัวขันอาสา ก็แย้มพระโอษฐ์แล้วตรัสว่า

“เมียเรานั้นมีนางเดียวแลหามีมากตามเจ้าคะเนไม่” ตรัสค้านพลางลอบมองภัทรพจน์ “ใจเรารักใครก็ภักดีต่อคนผู้นั้นเพียงหนึ่งตามทำนองคลองธรรม จะสามารถแบ่งใจไปรักใครนอกกว่านี้ทำมิได้ ก็แหละธวัชฉัตรนายกองพิเคราะห์เห็นจะมากเมียเสียยิ่งกว่าข้า จึ่งเอ่ยอ้างสรรพคุณว่านอกกว่าฝีมือดาบแล้วยังมีฝีปากเป็นเอก ขันอาสาประสงค์นำตัวสตรีมาฝาก ขอขอบน้ำใจ เห็นจะมิต้องตกระกำลำบากถึงเพียงนั้น ใจเรารักใครแล้วก็มิอาจปันหรือไปปฏิบัติต่อผู้อื่นเฉกคนรักตัวได้ อภัยเสียเถิด”

ธวัชฉัตรได้ยินกับหูรู้กับตาแน่ชัด ทั้งรับว่าจริงว่า คนผู้นี้หมายใจเจ้าหนุ่มหน้าสวยหล่อก็เกิดก่อทิฐิมานะอยากเอาชนะให้สุริยะผู้คิดไม่ซื่อรู้ว่า กิริยาท่าทางของคนผู้ครองนัยน์ตาสีน้ำตาลนอกจากมีเจ้าคนชื่อมาตะเต็มอยู่ในห้วงใจแล้วมิเห็นเป็นใครอื่นอีก ก็ผุดลุกขึ้นยืนตบมือพร้อมหัวเราะดังลั่น

“ข้าธวัชฉัตรนับแต่เจริญวัยเข้ารุ่นหนุ่มจนกระทั่งบัดนี้ยังครองตัวโสด ไร้นางเมียตกแต่งเข้าเรือนเป็นกิจจะลักษณะ ด้วยมุ่งมั่นฝึกหัดศิลปศาสตร์วิชาอาวุธ ตั้งต้นแต่ตะพุ่นหญ้าช้างจนเทียบยศชั้นนายกองได้ในวัยอายุน้อยจนพลอยไร้คู่หมาย แต่ข้างกายจักไร้สตรีมาบำเรอนั้นมิได้ขาด เพราะคารมปากบาดคมเสนาะหู จึ่งเป็นที่เอ็นดูของอิสตรี ด้วยสำนึกดีจักตอบแทนคุณเลยอาสา ครั้นสุริยะท่านมินำพาปฏิเสธน้ำใจก็อดสงสัยไม่ได้ พอลองสืบเสาะหาเหตุก็พบว่า มิเคยเห็นเรื่องราวใดตลกขบขันเท่าสิ่งที่เกิดอยู่ตรงเบื้องหน้านี้มาก่อน” ว่าพลางก็ขบขันพลาง
 
“ไยท่านมามีอาการเหมือนหมู่ข้าสำแดงท่าทีหรือเล่าเรื่องขำขันจนก่อให้ท่านร้องขึ้นเจียวหรือ เมตตาแถลงแจงด้วยเถิด” เวฬุเงยหน้ามองเห็นกิริยาแปรผันก็พลันสงสัย
 
“ฮ่าๆ จักว่าเราเห็นแต่เพียงผู้เดียวก็อาจถูก ด้วยวิสัยเดิมเป็นคนมีทักษะสังเกตกิริยาคนและน้ำใสใจจริงประจำตัวแต่ละผู้จนช่ำชอง ท่วงทีหรือสายตาใดสำแดงบ่งความภายในล้วนเห็นแจ้งประดุจเอ่ยเป็นถ้อยคำ ก็แหละหว่างกลางการร่ำสุราเราบังเกิดเห็นสิ่งเหล่านั้น จนมิอาจกลั้นขำไว้ได้จึ่งสำแดงท่าทีอย่างที่ท่านเห็นอยู่”
 
“เจ้าเห็นข้อความใดจงแจ้งพลัน อย่าได้ทำอมพะนำลีลายื้อยักอยู่” กฤษณะตวาดเสียงดังตามวิสัยเดิม

“หากจักว่าเป็นเรื่องตลกก็คงตลกเฉพาะข้า เกลือกท่านรู้คงไม่ตลกขันเช่นด้วยกระมัง ทว่าจะเอ่ยความจริงก็เกรงการนองเลือดในลานโล่งนี้ ฤา ไม่ใครผู้ใดผู้หนึ่งก็คงได้แผลฝากไว้ประจำตัวเป็นแน่” ธวัชฉัตรพูดขบขันแต่นัยน์ตาผิดต่างจากท่าที

“เอ่อ ท่านคงเมามากแล้วล่ะ นายกอง เราเลิกดื่มกันเถอะ” พจน์สังเกตเห็นสถานการณ์วงเหล้าเปลี่ยนเป็นตึงเครียดหวั่นจะเกิดเรื่อง

“สิ่งใดอันเจ้าแจ้งแก่ใจไยจึงซ่อนงำไว้ จงรีบแจ้งเราอย่าช้าที กิริยาลับลมคมในนี้มิต้องใจเรา” สุริยะอุปราชซักไซ้สีพระพักตร์เฉยชา ธวัชฉัตรหัวเราะซ้ำแลโต้เถียงว่า

“หากเป็นประสงค์จากหัวหน้าวาณิช ข้าก็ยินดีจักเฉลย ก็เพราะเรื่องอันข้าประจักษ์เกี่ยวกับตัวสุริยะท่านโดยเฉพาะ ความรักอันท่านมอบให้นางเมียผู้เฝ้าเหย้าเรือน แลพรรณนาว่ารักเดียวใจเดียวมิอาจผันแปรปันให้ใครได้อีกนั้น เห็นจะไม่เป็นจริงดั่งว่า เชิงชั้นลมปากคนเราจักโป้ปดเยี่ยงไรก็หามีใครขัดขวางได้นอกจากตัวเอง ทั้งความซื่อสัตย์ภักดีจักมีอยู่ในใจจริง ฤา ไม่ คนผู้นั้นต่างรู้เองมิใช่ใครอื่น แต่บัดนี้ข้า ธวัชฉัตร นายกองคชบาลแห่งเมืองทวาระบุรี ขอให้สัตย์สาบานว่า คำพูดนับจากนี้มิได้ปั้นแต่งหรือพูดปดมดเท็จแต่อย่างใด หากผิดจากคำเรากล่าวขอให้ตายอย่างน่าอนาถในสามวันเจ็ดวัน”

“มิเห็นท่านต้องนำความเป็นตายมายืนยันท่ามกลางสมาคมเช่นนี้เลย อารมณ์สนทนาร่ำสุราเป็นแต่เพียงการผูกมิตร หาควรจริงจังถึงเพียงนั้นไม่” โกสินทร์ไกล่เกลี่ยโดยซื่อ

“มิได้ จำเราต้องกล่าวเป็นคำมั่นฝากไว้ มาตรแม้นถ้อยความจุกใจใครผู้ใด จักถือโทษโกรธแค้นเคืองก็พึงระลึกได้ว่า ธวัชฉัตรผู้นี้เจตนาลั่นวาจาโดยสัตย์จริง”

“แหละสิ่งอันท่านลอบเห็นเป็นความตื้นลึกใดจงแจ้ง แล้วเสร็จก็จงนั่งลงสนทนาต่อกันสืบไป” กฤษณะย้ำเตือน
 
สีหน้าของธวัชฉัตรแดงแต่ดวงตากลับคืนปกติ สติสัมปชัญญะสำนึกรู้ถูกผิดกลับคืนดั่งฤทธิ์สุรามิได้ทำอันตรายต่อร่างกายและจิตใจตน เหลือบมองสบสายพระเนตรของพระมหาอุปราชแน่วแน่พร้อมกล่าวว่า

“คำมั่นอันท่านกล่าวว่า รักเดียวใจเดียว เกรงจะมิเป็นจริง สุริยะ ก็แหละท่ามกลางวงสุรานี้ท่านเผลอสำแดงแววตาอย่างหนึ่งซึ่งผิดไปจากคำพูดเสียสิ้น ใจซึ่งมั่นคงนั้นถูกปันให้แก่...”

ยังมิทันที่นายกองคชหน้าซื่อจะอรรถาธิบายจบ พระมหาอุปราชสุริยะก็ฉวยมือธวัชฉัตรโน้มเข้าหาพระองค์แล้วใช้หัตถ์อีกข้างเหนี่ยวลำคอ ขยับยื่นพระโอษฐ์จุมพิตปิดปากนายกองคชบาลแห่งเมืองทวาระบุรี เป็นที่ไม่คาดฝันแก่ผู้ร่วมวงสุราทั้งนั้น แม้แต่นายกองคชามีชื่อก็มิอาจรู้การณ์ล่วงมาก่อน


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3428997#msg3428997)
เพจนิยายข้ามพิภพ (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)
______________________________

หมูเขาจะหาม เอาคานเข้าไปสอด : เข้าไปขัดขวางขณะที่ผู้อื่นทำการกำลังจะสำเร็จ (มักใช้แก่การเกี้ยวพาราสี)

______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

:pig4:
ขอบคุณที่ติดตามอ่านเช่นเดียวกันครับ บทที่ ๓๐ ครึ่งหลังมาแล้วนะครับ เป็นยังไงบ้างติชมได้เลยครับ

มีอีกเรื่องราวแล้วสิ  จะทำยังไงล่ะทีนี้  เฮ้อ  พจน์ละก็นะ  แต่ก็นะคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นมันก็ได้ทั้งดี  และมีเรื่องตามมาอีกแน่ๆเลย  คราบจะรอนะ
ครับ เหตุการณ์หลายอย่างที่พจน์ต้องเผชิญยังคงดาหน้าเข้ามาเรื่อยๆ หวังว่าคุณจะพร้อมติดตามชีวิตของพจน์ต่อไป ขออย่างเดียวอย่าได้หน้าแล้วลืมหลังนะครับ (หมายถึงเนื้อเรื่องครับ อย่าคิดลึกนะ) เพราะบางทีเรื่องราวที่ผ่านไปแล้วก็เกี่ยวพันกับเรื่องที่จะดำเนินมาถึงในอนาคต นั่นก็คือ ปมทั้งหลายที่ยังค้างคาอยู่และพร้อมจะเฉลยนั่นเอง

เราเพิ่งเข้ามาเจอเรื่องนี้   และเรากำลังสงสัยอยู่ว่า  เราข้ามผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างไรตั้งนานนนนนน

เราอ่านจนถึงตอนล่าสุดตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว    :laugh: :laugh: :laugh:  คอมเม้นเอาตอนเช้านี้แหละ

ภาษาในการเขียนสวยงามมากกกกกกกกกกก

การใช้โครงกลอนในการแต่งประโยคหรือในคำพูด  แบบนี้หายากมากในนิยายในปัจจุบัน

เพราะถึงแม้มีการเขียนโครงกลอนแทรกเข้าไปในบางเรื่อง  แต่มันไม่เยอะเท่าเรื่องนี้เลย

ทำให้เนื้อเรื่องและภาษาของเรื่องนี้มีความแตกต่างอย่างมาก

สงสารมาตะกับพจน์ที่สุดเลย  เมื่อไหร่จะสมหวังในรักซะทีนะ

ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติก็พรากจากกันตลอดเลย   (คนเขียนใจร้ายยยยยยยย   :o12: :o12: :o12:  )

สิ่งที่รู้ได้จากในเรื่องนี้  ว่า  คนที่คู่กันแล้ว ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติ  ก็ย่อมคู่กัน   

เอาใจช่วยมาตะ  และ  พจน์   ขอให้ผ่านอุปสรรคทั้งหลายไปได้โดยพลัน
ขอบคุณที่คุณชอบเรื่องนี้นะครับ เยี่ยมมากครับที่อ่านรวดเดียวจนถึงตอนล่าสุด (แถมคงใช้เวลาทั้งคืนด้วย แล้วนี่ได้นอนพักบ้างหรือยังครับเนี่ย แอบเป็นห่วงคนอ่าน อิอิ) ซึ่งเนื้อหาก็ไม่ใช่น้อยๆเหมือนกัน สุดยอดครับ

ตอนแรกที่ผมตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ โดยพื้นฐานแล้วเป็นคนชอบแต่งกลอนมาแต่เดิม ประจวบกับชอบอ่านนิยายเก่าๆ ที่ภาษาสวยๆ จึงซึบซับบรรยากาศนั้นมา บวกกับเป็นคนชอบอ่านนิยายแนวแฟนตาซีด้วย แล้วช่วงหลายปีหลังมานี้ก็สิงอยู่ในเล้าเป็ดเป็นสาวกนิยายวายเข้าไปอีก จึงผนวกกลายเป็นนิยาย ข้ามพิภพ เรื่องนี้ เจตนาแรกไม่ใช่เลือกเขียนแนวนี้เพราะอยากให้แตกต่าง แต่เป็นเพราะความชอบมาแต่เดิมตามที่กล่าวข้างต้น แต่ก็อดกลัวไม่ได้ว่า การเขียนด้วยลักษณะภาษาแบบนี้จะมีคนสนใจหรือ ตอนแรกก็เกือบถอดใจ แต่พอมีผู้อ่านติดตาม ทั้งติ ทั้งชม ถึงจะไม่มากก็สร้างกำลังใจได้เยอะขึ้น เพราะในความคิดผม นอกจากจะนำเสนอเรื่องราวความรักซึ่งเป็นหัวใจหลักของนิยายแล้ว ก็อยากจะนำเสนอความสวยงามของภาษาไทยของเราด้วย ตอนผมอ่านนิยายแล้วเจอคำศัพท์เก่าๆที่ปัจจุบันแทบไม่มีให้เห็นแล้วก็เหมือนเจอขุมทองขุมทรัพย์อย่างไรอย่างนั้น จึงอยากจะเอามาแบ่งปันผู้รักการอ่านท่านอื่นๆได้เห็นได้รู้ได้รู้สึกอย่างเดียวกับผม

เรื่องโคลงฯกลอนก็เป็นแกนหลักที่ผนึกรวมเข้ามาในนิยาย คือผมชอบแต่งอยู่แล้ว แต่จะแต่งยังไงให้เข้ากับนิยายวายเรื่องแรกก็ลองพิจารณาว่า โครงเรื่องเป็นเรื่องราวระหว่างสองภพ ก็เลยสร้างตัวละครเอกให้เชี่ยวชาญการแต่งกลอนไปเลย ฮ่าๆ ทั้งภพหนึ่งจำลองมาจากยุคอดีตเมื่อหลายร้อยปีก็เหมาะกันดีจะนำมาใช้ แล้วก็เป็นกุญแจสำคัญในการเดินเรื่องกล่าวคือ ทั้งเป็นบทร่ายคาถา บทอัศจรรย์ บทปริศนาต่างๆ บทพยากรณ์ เป็นต้น หากคุณชอบก็คงจะได้เห็นกันอีกเรื่อยๆ รอติดตามนะครับ

ที่คุณว่า คนที่คู่กันแล้ว ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติ ก็ย่อมคู่กัน ถือว่าคิดเหมือนผู้แต่งเลยครับ แกนหลักของเรื่อง ข้ามพิภพ ก็คือสิ่งที่คุณได้ค้นพบนี่แหละครับ

 
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๐ อุบายพิศวาส ๑๐๐% (๑๘/๐๗/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 18-07-2016 22:27:30
ผมก็เป็นพวกได้หลังแล้วลืมหน้าจริงๆนั้นแหละครับ  แต่เหตุการณ์สำคัญก็ไม่ลืมนะ  เพราะมัรจะฝั่งใจอยู่  และรอดูว่ามันจะออกมาเป็นแบบไหน  อืมตอนล่าสุด  ทิ้งท้ายได้เจ็บปวดอีกแล้วครับ  เหมือนยามศักดิ์ศรีกันเลยระเนี้ย  คงไม่มีเลือดตกกันหรอกนะ  รอต่อไปครับ  กับการเฉลยปมต่างๆ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๐ อุบายพิศวาส ๑๐๐% (๑๘/๐๗/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 21-07-2016 09:42:15
รักเขาข้างเดี่ยวมันทรมานจริงๆนะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๑ บาทบริจาริกา ๕๐% (๒๑/๐๗/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 21-07-2016 10:41:53
บทที่ ๓๑


บาทบริจาริกา


   
ตลับงาช้างสีขาวสลักลวยลายกนกสอดรัดพัวพันเป็นที่น่าสะกดมอง บรรจุผงแป้งดินสอพองสีขาวมิต่างจากภาชนะ ข้างเคียงเป็นแท่งดินสอดำทำจากผงถ่านมีขนาดเท่าปากกาหนึ่งด้ามวางไว้ ใกล้กันคือขวดแก้วบรรจุน้ำอบและแป้งร่ำส่งกลิ่นหอมฟุ้งแม้ยังมิได้เปิดออก ชวนให้บรรยากาศแวดล้อมน่าใหลหลงเคลิบเคลิ้ม พจน์จับจ้องสิ่งของสามอย่างอยู่ชั่วครู่จนกระทั่งเวฬุเอ่ยเตือนจึงได้สติ

“ภัทรพจน์เจ้า ไฉนจึงมิจัดแจงตระเตรียมแต่งโฉมให้เพียบพร้อม ศุภฤกษ์งวดใกล้เข้ามาแล้วจักเสียการ” เด็กหนุ่มร่างอวบสะกิดไหล่กระซิบ แล้วฉับพลันเหมือนสำนึกรู้อย่างหนึ่งผุดขึ้นในใจก็รีบเสริมว่า “เอ่อ เช่นนั้นเห็นควรข้าคงจักต้องเป็นพนักงานช่วยอีกแรง เคยลอบเห็นนางข้างในลองแต่งบ้างเป็นครั้งคราว”

“ต้องทำอะไรบ้าง เราไม่รู้วิธี” พจน์เปรย เหลือบมองชายหนุ่มอีกคนผู้นั่งบนเตียงนอนปูฟูกขาว ฉงนสนเท่ห์มิต่างจากพจน์ นายกองคชบาลสบสดับสนทนาอยู่ก็ซักด้วยอารมณ์เย็น

“พวกเจ้าทั้งสองจักทำการใด ฤา จึ่งพึมพำงึมงำมิรู้ความ” บัดนี้ธวัชฉัตรได้ถูกนำตัวไปชำระล้างอาบน้ำเนื้อตัวหอมฟุ้งนุ่งแต่เพียงผ้าหยักรั้งสีขาวเท่านั้น อาการมึนเมาจากฤทธิ์สุราจางหายโดยสายน้ำชโลมกายเสียสิ้น สติประกอบตัวจึงคืนเต็มกำลัง
 
“เหตุไรนายสุริยะผู้หยาบหยามจึ่งออกคำสั่งประหลาด แนะให้เจ้าทั้งสองพาดแขนกุมตัวข้ามายังห้องหับแห่งนี้ หากมิเกินกำลังจะแจ้งแล้วจงวานบอกเถิด ด้วยบัดนี้สับสนมึนงง มิอาจครองสติเหมือนเดิมได้”

ภัทรพจน์รู้ตื้นลึกหนาบางไม่ผิดต่างนายกองธวัชฉัตรเช่นกัน จึงผินหน้าขอความกรุณาจากเวฬุซ้ำอีกคน

“เอ่อ...” ท่าทีกระอักกระอ่วนของเวฬุสำแดงโจ่งแจ้ง ทั้งหลุกหลิกเหมือนสำลักคำพูดเป็นที่ขบขันหนึ่ง และผิวหน้าขึ้นสีแดงไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์สุราหรือความอายอีกหนึ่ง ทำให้พจน์อดลักลอบยิ้มมิได้ “ก็แหละนายกองธวัชฉัตรท่านมิได้ขัดขืนในการ...ล่วงล้ำก้ำเกินของสุริยะวาณิช อีกทั้งยินยอมในอ้อมกอดหลังจากถูกนายข้าเวียนจูบหนักมืออยู่หลายหน ล้วนไม่พ้นเป็นสัญญาณว่าสุริยะนายข้าประสงค์รักจากตัวท่าน แลท่านมิได้ผลักไสแต่อย่างใด จึ่งเป็นเหตุให้เราสองจำต้องพานายกองมายังห้องแห่งนี้”

เวฬุเล่าเท้าความได้อ้อมค้อมมาก ทั้งจะพูดโดยซื่อตรงว่า เหตุอันนายกองคชต้องถูกนำมาก็เพราะพระมหาอุปราชสุริยะประสงค์ในตัวก็มิอาจพูดได้เต็มปากเต็มคำ ในชั้นแรกพจน์คาดเดาไม่ถูกครั้นลำดับเหตุการณ์หน้าหลังแล้วเห็นมิพ้นว่า ค่ำคืนนี้ธวัชฉัตรคงต้องตกเป็นของพระอุปราชาแน่แท้ก็เข้าใจรูปการณ์ แม้ตนผิดใจไม่ลงรอยกับอุปราชหนุ่มมาโดยตลอด แต่ลึกซึ้งแล้วพจน์สัมผัสความอ่อนโยนภายใต้อาการไบโพลาร์แข็งกระด้าง ความห่วงหาเป็นภาพตรึงตราคราวระลึกชาติกินนร คือ สายตาอาทรของทหารราชองครักษ์ในพระเจ้าพัชรพรรดิ อดีตชาตินาม สัปะวามิต จึงสำทับว่า

“หรือนายกองท่าน ไม่ประสงค์ยินดีด้วยนายเรา ก็แจ้งมาแต่เนิ่นๆเถิด”
 
ดวงหน้าวางเฉยของธวัชฉัตรชั่วครู่เห่อร้อนแดง แต่ก็ระงับอาการให้สงบคืนดังเดิม พลางว่า

“กิริยาข้าแต่เท่านั้น ก็มีอันทำให้ตีเป็นเอนเอียงโน้มลงว่า หมายยอมทอดกายสู่นายของเจ้าแล้วกระนั้น ฤา ทั้งข้ามิได้ออกปากยินยอมสมรู้ร่วมคิดแม้สักถ้อยหนึ่งเป็นหลักฐาน หมู่ท่านจึ่งริอ่านตีขลุมว่ายินดีร่วมการด้วย ยังจักถูกอยู่หรือ”
 
“หามิได้ก่อน ด้วยมีสักขีพยานทั้งกลางลานสุรานั้นเป็นข้อหนึ่ง อันพึงยกมาสำแดงให้นายกองท่านใคร่ครวญซ้ำ ว่ากิริยาอาการจุมพิตของนายข้า แลท่าทางทอดกายในอ้อมแขนเป็นไปโดยยินยอมหามีการผลักไสหรือขัดขืนแต่อย่างใดไม่ ซ้ำท่านยังโต้ตอบจุมพิตนายเรามิพักออมแรงเสมอกัน หากมันผู้ใดแลเห็นก็มิอาจสันนิษฐานตีความเป็นอื่นได้นอกกว่าท่านทั้งสองประสงค์ร่วมสมัครใจผูกรักกันแน่แท้ ถึงแม้มิเอ่ยคำยอมปลงไว้เป็นหลักฐาน กิริยาทั้งนั้นนั่นแลคือข้อสำคัญ” เวฬุหว่านล้อมยกเหตุผลโต้แย้งละล่ำละลัก พจน์ไม่เห็นหนทางอื่นก็รีบพยักหน้าเห็นด้วย นายกองธวัชฉัตรตวัดมองพจน์แล้วทอดถอนใจใหญ่

“เอ่อ นายกองท่าน แท้จริงแล้วคิดสิ่งใดอยู่ ได้โปรดแจ้ง หากพวกเราคิดผิดตีความไม่ตรงกับใจท่านก็ให้บอกเถอะ” พจน์รุกถาม ด้วยความไม่สมยอมประจักษ์ชัด

“อนึ่งความจริงในใจ บัดนี้มาตรว่าตัวข้าก็มิอาจอรรถาธิบายร้อยเป็นถ้อยความให้พวกท่านล่วงรู้ หะแรกต้นบังเกิดความปลื้มปีติยินดีที่ยังหลงเหลือคนดีมีฝีมือแลน้ำใจ อาสาเข้าช่วยคนสิ้นไร้ถูกลอบแกล้งหนึ่ง จึ่งชักชวนมาร่ำสุราเป็นสิ่งตอบแทนน้ำใจเสมือนได้เกลอผู้มีจิตใจกล้าหาญแลภักดีต่อผืนแผ่นดินอีกหนึ่ง ครั้นระหว่างสนทนาประจักษ์เห็นว่าในหมู่คณะ ปรากฏมีคนสำแดงอิริยาบถ ทั้งวาจา แลรูปลักษณะเป็นที่ดึงดูดสะกิดให้พินิจมอง แลเมื่อลองใคร่ครวญจึงยกเหตุมาล้างว่า คนผู้นั้นเห็นจะเป็นเพราะมีคุณอย่างสูงช่วยชีวิตตัวจึ่งน่าพิศ ซ้ำไม่ค่อยพูดจานั่งนิ่งเสมอรูปปั้นเทวาฉะนั้น ใคร่ต่อคำสนทนาด้วย แต่บังเกิดเห็นว่า แท้จริงแล้วคนผู้นั้นไม่เพียงครองตัวสมฐานะ ทั้งองอาจสมชาติชาตรีแล้ว แววตานิ่งเฉยกลับแฝงเร้นความนัยมากมายไว้” ธวัชฉัตรส่งยิ้มอ่อนให้พจน์
 
“ข้าเคยบอกว่ามีทักษะในการอ่านสายตาคนออก ก็แหละท่าทีเข้มแข็งแต่นัยน์ตาอ่อนโยนขัดกันจนดึงดูดให้ข้าสงสัยใคร่รู้ ครั้นหยั่งสอบถามแลลอบสังเกตก็ค้นพบเหตุของกิริยาประหลาด ก็พลันเจ็บปวดใจแทน อีกทั้งรู้สึกตลก ทั้งหงุดหงิด ทั้งเศร้า ทั้งอยากปลอบโยน ผสานกันให้วุ่นวาย บัดนี้ผลของการพิเคราะห์กลับกลายทำให้ข้าต้องถูกพวกท่านพามาสู่ห้องนี้ แลท่านถามความในใจว่าข้ารู้สึกเช่นไร คือสับสนวุ่นใจเหลือประมาณ”

“แหละเช่นนั้น ท่านยอมปลงใจด้วยนายข้าหรือหาไม่ นายกองคชสาร” เวฬุรีบซักต้อน

“เราเป็นชายและนายเจ้าก็เป็นชายครองเพศเสมอกันเช่นนี้ ถึงวิถีประเพณีแห่งชาวเราแต่โบราณมิเห็นผิดประหลาด แต่ข้าเป็นถึงนักรบสนองคุณแผ่นดิน มีผู้ใต้บังคับบัญชาหลายพันกรมกองรองรับอยู่ เพียงข่าวลือปรักปรำว่าข้ามีวิสัยร่วมเสพสังวาสในเพศเดียวกันถ่ายทอดจากปากสู่ปาก จากหูสู่หูไปก่อนล่วงแล้ว ยังถูกเดียดฉันท์หมิ่นแคลนแลได้รับผลหย่อนความเกรงไม่เคารพเชื่อฟังของไพร่พลนับแต่ชั้นทหารเลวจวบแม่ทัพนายกองเซ่นคำทั้งนั้น หะนี้ตัวกำลังโผเข้าปฏิบัติสมดังคำลือให้เป็นหลักฐานหนักแน่นซ้ำอีก ชาตินี้ธวัชฉัตรจักหลงเหลือเหล่าโยธาใดพร้อมรับสั่งความอีก กิจมุ่งมั่นอาสาจู่โจมต่อสู้อริราชศัตรูภัยพาลในเบื้องหน้าจักระดมพลต้านทานได้เยี่ยงไร หากไม่มีผู้ใดเชื่อฟังนับถือ ทั้งสิ้นความสมานสามัคดีพังพินาศโดยดีเพราะประพฤติของขุนพลเป็นเหตุ”

เจ้าหนุ่มภัทรพจน์ยินถ้อยเจรจาขึ้นหน้าทุกข์ตรมแล้วสุดอัดอั้นตันอกแทน ความสวามิภักดิ์ต่อผืนแผ่นดินหนึ่ง แลความซื่อตรงในใจอีกหนึ่งขัดแย้งจนสร้างแววตาเจ็บปวด

“แลอีกประการหนึ่ง นายของเจ้าแท้จริงประสงค์รักในตัวข้าก็หาไม่ เป็นแต่เพียงปฏิบัติไปโดยมุทะลุคึกคะนองเท่านั้น หากผ่านพ้นราตรีแล้วคงเสียใจที่ออกคำสั่งใดไป มิผิดจากนี้ ผู้ใดเลยจักยอมมอบใจให้กับคนผู้ซึ่งพบเจอกันได้ยังไม่ถึงหนึ่งวันมิเคยพบ”

“ผมเคย” พจน์เผลอพูด

“เจ้า...กระนั้นหรือ”

“แปลกใจเหมือนกันที่อยู่ๆ ก็รู้สึกหัวใจเต้นผิดจังหวะทั้งที่ไม่เคยพบกันมาก่อน เพียงเจอะครั้งแรกครั้งเดียวก็ทำให้รู้สึกเหมือนเคยเจอกันมานานมากแล้ว ผมเคยเป็นแบบนั้น” พร้อมยิ้มกว้าง

“เจ้ารู้ ฤา ไม่ สิริโฉมเยี่ยงนี้ หามีใครในพิภพจักครอบครองไว้ประดับตัว เพียงข้าสบมองก็พลันกระตุกวูบในอกมิต่างจากใครอื่น คือทั้งมีคุณแลทุกข์ในคราวเดียว เจ้าจะรู้หรือหาไม่ ว่ารูปสมบัตินี้ผูกพันใครไว้บ้าง”

พจน์สั่นศีรษะไม่อยากรู้

“คนเราจะรักกันคงไม่ใช่เพราะตัวเองเป็นเพศไหน หัวใจต่างหากที่บอกว่า คนทั้งคู่คิดตรงกันหรือเปล่า ไม่ทราบหัวใจท่านนายกองตอนนี้รู้สึกอย่างไรกับนายของเรา หากมองข้ามปัญหานอกกาย เหลือเพียงใจสองดวงแล้ว ท่านพิจารณาเถอะว่า ความรัก แท้จริงก็มีเพียงเท่านี้” เด็กหนุ่มโฉมสะคราญพูดจากใจจริง นายกองคชจ้องตอบเจ้าของคำราวกับกำลังค้นหาบางอย่างในดวงตาสีน้ำตาล แล้วว่า

“อุปกรณ์เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งซึ่งนางในไว้ใช้ตกแต่งกายคราวถึงเพลาต้องสละพรหมจารีต่อผู้สืบเชื้อสายสมมติเทพ” ธวัชฉัตรจ้องเวฬุสลับพจน์ “นายของเจ้าทั้งสองคงมิใช่สามัญชนเช่นสายตาข้าคาดคะเนเป็นแน่ เช่นนั้นจักทำสิ่งใดก็จงปฏิบัติเถิด ข้าพร้อมแล้วทั้งกายแลใจ”

ห้องบรรทมในราตรีนี้เป็นเรือนฝากระดานหนาแน่น หน้าต่างประดับกรงลูกมะหวด ตั้งอยู่ในละแวกริมคูเมืองนั้น ทั้งพระที่บรรทมก็กว้างขวางขาวสะอาด กลิ่นเทียนหอมผสานดอกลีลาวดีลอยในอ่างน้ำซึ่งเวฬุสืบเสาะสรรหามา ธวัชฉัตรนายกองคชบาลชันเข่าอยู่ปลายพระแท่น เบื้องหน้ามีพานธูปเทียนแพพร้อมกรวยใบตอง ใบหน้าทาแป้งสีขาวสว่างต่างจากปกติ เขียนคิ้วและหนวดเป็นลายกนกอย่างภาพวาดเทวดาตามฝาผนังโบสถ์วิหาร เช่นเดียวกับเนื้อตัวนวลกระจ่างกระทบตะเกียงไฟสองดวงข้างพระที่ นุ่งผ้าหยักรั้งสีขาวเพียงชิ้นเดียว กล้ามเนื้อบึกบึนสมชายทแกล้วทหารเผยชัดสมวัย ผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอ จวบกระทั่งบานประตูห้องถูกเปิดออก พจน์ซึ่งนั่งชันเข่าอยู่ก็รีบก้มลงโดยเร็ว พระมหาอุปราชสุริยะทรงฉลองภูษาผืนยาวสีขาว เนื้อตัวท่อนบนเปลือยเปล่า เสด็จพระราชดำเนินผ่านพจน์แล้วหยุดยั้ง
 
“เจ้าจงคอยเฝ้าอยู่ภายในห้องนี้ตามหน้าที่แต่ดั้งเดิม” อุปราชหนุ่มตรัสสั่ง พจน์รีบเงยหน้ามองพระพักตร์ด้วยไม่เข้าใจ “ตามกฎมนเทียรบาลจำต้องมีข้าราชบริพาร ฤา มหาดเล็กคอยรอบสังเกตเพื่อให้กิจกามมีสักขีพยานรู้เห็นประหนึ่งทวยเทพร่วมรับรู้”

เด็กหนุ่มตาสีน้ำตาลรีบส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

“เวฬุๆ” พจน์หันไปขอความช่วยเหลือจากหนุ่มร่างอวบนอกห้อง เจ้านั่นรีบสั่นหน้า “โกสินทร์” เจ้าคนผิวสีเข้มนัยน์ตาเหมือนแขกจามก็ส่ายหน้ายกยิ้มทันควัน  ไม่เห็นวี่แววของมาตะหรือกฤษณะ ทำไงดีล่ะทีนี้

“หามีผู้ใดเหมาะสมยิ่งกว่าเจ้า มหาดเล็กฝ่ายภูษา” ตรัสจบเด็ดขาด เวฬุก็เอื้อมมือมาปิดประตูพร้อมทั้งคล้องโซ่ลั่นกุญแจสำทับ พจน์ไม่อยากเป็นสักขีพยานอะไรนั่นเลย แต่หนทางออกหนึ่งเดียวถูกปิดจากภายนอกแล้ว ลองหาวิธีข้ามพิภพกลับสู่โลกปัจจุบัน อำนาจซึ่งนำพาก็ไม่ปรากฏช่วยเหลือ รีบก้มหน้ามองพื้นหาเศษเสี้ยนไม้ วนนับรอยขีดวงไม้ตามแต่สมองจะทันคิดออก

“ยืนขึ้นเถิด” พระมหาอุปราชตรัสสั่งบาทบริจาริกาหนุ่ม พระพักตร์เรียบเฉย ธวัชฉัตรพนมมือแล้วยืนตามคำสั่งเงยหน้าสบพระเนตร ลำตัวแลส่วนสูงของทั้งคู่ทัดเทียมกัน พจน์อยากตาบอดหูหนวกในบัดเดี๋ยวนี้ พยายามนึกเรื่องตลกขบขันเกี่ยวกับไอ้โบท ไอ้กี ไอ้ต่อ เคยเล่าว่านัดบอดสาวสวยที่พวกมันคุยฟุ้งมาก่อนตั้งหลายเดือนว่าสวยนักหนา จวบกระทั่งนัดแนะพี่เค้าไปยังโรงแรม ปรากฏว่าแทบวิ่งหนีออกมาไม่ทัน เพราะพี่สาวเหล่านั้นเป็นสาวประเภทสองแต่สวยยิ่งกว่าผู้หญิง พวกมันงดเรื่องควงสาวอยู่หลายเดือนด้วยกลัวเข็ดขยาดอีกนาน

“ข้าต้องเรียกท่าน...เอ่อ...พระองค์”

“เรียกเราว่า สุริยะ แต่เท่านี้ แลหาจำเป็นต้องใช้คำราชาศัพท์”

เสียงสนทนาในห้องขัดแทรกเรื่องตลกของพจน์จนความนึกคิดกลับคืนสู่เหตุการณ์ปัจจุบันในห้องบรรทม พยายามนึกถึงเรื่องอื่นซ้ำก็ไม่พบว่ามีสิ่งใดน่าสนใจเท่าคำสนทนาระหว่างอุปราชและธวัชฉัตรอีกแล้ว

“จงรับธำมรงค์วงนี้ไว้แลสวมใส่ในนิ้วนางข้างซ้าย” พจน์ลอบมองทางหางตาเห็นสุริยะอุปราชปลดแหวนทองคำบนพระดัชนีสวมให้นายกองคช “รักษาไว้ให้จงดี นับแต่นี้เจ้าถือว่าเป็นคนของข้าแลห้ามอย่างเด็ดขาดที่จะไปทอดกาย ฤา มีลูกเมียได้อีกชั่วชีวิต”

“สุริยะเอย จงรู้ไว้ ข้ายอมถวายตัวต่อท่านมิใช่สนิทเสน่หา เพียงเพราะรสจูบสัมผัสแต่เป็นเพราะนัยเนตรแฝงเร้นนั้นต่างหากที่ข้าสวามิภักดิ์วางศักดิ์ศรีให้ท่านเหยียบย่ำเสี่ยงเสื่อมเกียรติสมน้ำหน้าสืบไป อีกทั้งถ้อยคำของคนผู้หนึ่งได้แจกแจงว่า ความรักนอกกว่าหทัยสองดวงแล้ว มิจำเป็นต้องหาเหตุอื่นมาคัดค้านอีก และหัวใจข้าพบว่า ยินยอมมอบให้สุริยะท่านดูแล แม้นหทัยท่านจะมิหลงเหลือไว้ให้ข้าเข้าสถิต...” ยังไม่ทันนายกองธวัชฉัตรจักกล่าวความในใจจบ พระมหาอุปราชสุริยะก็ประกบโอษฐ์กล้ำกลืนถ้อยคำที่เหลือสู่พระวรกายพระองค์เอง พร้อมทั้งผลักอกให้นายกองล้มลงบนพระแท่นบรรทม มือหนาก็ลูบโลมคนใต้ร่างขึ้นลงปลุกอารมณ์ให้ลุกโชนดุจแสงไฟในตะเกียง
 
สำเนียงคร่ำครวญกระหายในรสกามาดังสนองตอบถี่กระชั้นแผ่วเบา สักพักก็เริ่มรุนแรงแลโหยหาทุกครั้งยามโอษฐ์ของอุปราชหยอกเย้าลำคอ ลุกลามถึงหน้าอกทั้งสอง เสียงดูดสัมผัส เสียงพระแท่นบรรทมขยับไหวสอดประสานเป็นจังหวะที่ทำให้ใจพจน์เต้นครึกโครม รีบเอานิ้วชี้อุดหูโดยเร็ว ภูษาฉลองพระองค์ถูกเหวี่ยงมากองอยู่ตรงพจน์นั่งหมอบคู้อยู่ ฝ่ายนายกองคชมิเคยถูกเล้าโลมลูบสัมผัสด้วยมือชายด้วยกันมาก่อน ครั้นถูกบุรุษผู้สืบเชื้อสายสมมติเทพกระตุ้นแนบสัมผัสหวาบหวามเช่นนั้นบังเกิดสะดุ้งสั่นสะท้านสุดอดกลั้นเสียงครวญไว้ได้ก็ปลดปล่อยแล้วแต่อารมณ์นำพา พระมหาอุปราชมิได้ตรัสสิ่งใด มุ่งกระทำโอ้โลมตามพระหทัยปรารถนา กลกามสูตรใดผุดขึ้นในห้วงพระดำริก็ขุดขึ้นมาใช้บำเรอบาทบริจาริกาหนุ่มให้ถึงรสถึงขนาดอย่างหาที่สุดมิได้ ครั้นปฏิโลมจนถึงขั้นสูงสุดก็เกี่ยวกระหวัดขา อ้าออกเป็นท่วงท่าล่อแหลมเตรียมพร้อม เมื่อสบโอกาสแลจังหวะเหมาะสม ดวงพระเนตรก็เหลือบแลมองเจ้าหนุ่มภัทรพจน์ผู้ซึ่งคุดคู้อยู่หน้าประตู แล้วสอดส่ายประกบแนบแก่นกายผสานกับเจ้าหนุ่มคชบาลสนิทแน่น ความเจ็บปวดแลสุขสำราญประดังพรั่งพร้อมในคราวเดียวกัน ทรงโยกขยับพระโสณี กระแทกใส่ถี่ระรัว ธวัชฉัตรก็หลุดเสียงร้องเป็นที่ต้องพระหทัย เบื้องพระปฤษฎางค์ก็เกร็งเป็นกล้ามเนื้อชัดเจนกระทบแสงตะเกียง พระกรหน่วงเหนี่ยวเกี่ยวลำตัวนายกองคชไว้แนบแน่น
 
เหตุการณ์หลังจากนั้นพจน์ไม่รู้ว่าท่วงท่าแลลีลาของพระมหาอุปราชและนายกองคชบาทบริจาริกาดำเนินต่อไปอีกยาวนานแค่ไหน ด้วยหัวใจเต้นระส่ำและสติกำกับตัวเองไม่อาจทานทนศัพท์เสียงภาพวาบหวามนั้นได้ก็หมดสติสมประดี หน้าที่อันได้รับมอบหมายให้เป็นสักขีพยานแห่งการถวายตัวก็จบสิ้นแต่เพียงเท่านั้น


50%...TBC  โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3432249#msg3432249)
ผมลองวาดภาพตัวละครตามจินตนาการครับ เลยเอามาแบ่งกันชม
(http://i67.tinypic.com/vcrpyu.jpg)


เพจนิยายข้ามพิภพ (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)
______________________________

บาทบริจาริกา : ผู้ที่มีหน้าที่ปฏิบัติรับใช้พระมหากษัตริย์
พระโสณี : สะโพก

______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

ผมก็เป็นพวกได้หลังแล้วลืมหน้าจริงๆนั้นแหละครับ  แต่เหตุการณ์สำคัญก็ไม่ลืมนะ  เพราะมัรจะฝั่งใจอยู่  และรอดูว่ามันจะออกมาเป็นแบบไหน  อืมตอนล่าสุด  ทิ้งท้ายได้เจ็บปวดอีกแล้วครับ  เหมือนยามศักดิ์ศรีกันเลยระเนี้ย  คงไม่มีเลือดตกกันหรอกนะ  รอต่อไปครับ  กับการเฉลยปมต่างๆ
เยี่ยมครับที่คุณยังไม่ลืม จะหยามศักดิ์ศรีกันหรือ เลือดตกยางออกหรือเปล่า คุณคงรู้คำตอบแล้วนะครับ อิอิ รอติดตามนะครับ

รักเขาข้างเดี่ยวมันทรมานจริงๆนะ
อันนี้หมายถึงใครครับ? ถ้าให้เดาน่าจะเป็นทุกคนที่มาหลงรักพจน์หรือเปล่า หรือว่าจะเป็นคุณกันแน่นะ ต้องยอมรับว่าความรู้สึกรักข้างเดียวไม่ใช่แค่ทรมาน แต่มันสาหัสเลยทีเดียวครับ กว่าจะถอนตัวมาได้ชีวิตเราก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว สู้ๆนะ ครับ ทั้งคนอ่าน ตัวละครในเรื่องและก็ผมเองด้วย แฮะๆ รอติดตามต่อนะครับ

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๑ บาทบริจาริกา ๕๐% (๒๑/๐๗/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 24-07-2016 11:41:02
หุ่นเท่ทุกคนนะ  แต่น่าตาคล้ายกันจัง  อต่ก็ชังมันเถอะ  สรุปมาจบบนเตียง  อยากรู้แค่ว่าทำไหมเป็นพจน์ที่ต้องไปเห็นฉากนั้นอ่ะนะ  555  และอุปราชต้องการสิ่งใดถึงต้องทำแบบนั้น มันมีนัยอะไรรึเปล่า  แล้วไอ้ทีสลบไปนี้จะอยู่ปัจจุบันรึอดีต  รอต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๑ บาทบริจาริกา ๑๐๐% (๒๕/๐๗/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 25-07-2016 10:48:51
[ต่อ]



สัมผัสมืออ่อนโยนปลุกเปลือกตาพจน์เผยอเปิด เดือนดาวเต็มท้องฟ้านอกชายคา ลมเย็นพัดโชยผ่านมาเคล้ากลิ่นหญ้าสดผสมสมุนไพรจำพวกข่า ตะไคร้ และเถาย่านาง ปลุกสติเลือนรางให้ตื่นขึ้นเต็มกำลัง หยัดกายนั่งบนตั่งไม้ ใกล้เคียงมีตะเกียงไฟให้แสงสว่างอบอุ่น และหม้อดินเผาต้มยาสมุนไพร
 
บุคคลคุกเข่าบีดนวดมือพจน์ไว้แน่น เป็นเจ้ามาตะคนซื่อหน้าเศร้า ครั้นเห็นคนรักลุกนั่งเป็นปรกติดีก็รีบรินยาหม้อใส่จอกถ้วยลายครามมาให้ดื่ม พจน์ส่ายหน้า บริเวณนี้จำได้ว่าเป็นเพิงโถงยื่นออกไปทางจั่วเรือน หรือที่เรียกว่า พาไล ของเรือนพักแรมซึ่งพระมหาอุปราชาใช้เป็นห้องสำหรับบรรทมเสพสมด้วยบาทบริจาริกาคชบาลหนุ่ม ปลูกเป็นเรือนคล้ายบ้านทรงไทยแปดห้องเสาสูง มีรั้วรอบขอบชิด เจ้าบ้านเป็นนายโรงสุราซึ่งเปิดกิจการหาเลี้ยงชีพอยู่ริมคูน้ำใกล้เคียง สถานที่เดียวกับพวกเขาตั้งวงร่ำสุรากันก่อนหน้า แลแบ่งเรือนพักตัวเป็นห้องพักแรมแก่ผู้เดินทางสัญจรผ่านเป็นรายได้อีกชั้นหนึ่ง

ครั้นสำนึกได้ว่าก่อนตัวจะสิ้นสติได้ร่วมเป็นทิพยพยานในการใด หัวใจก็เต้นครึกโครมซ้ำ พาลให้หน้าแดงร้อน ทั้งเสียงและภาพร่วมรักของพระมหาอุปราชากับธวัชฉัตรนายกองแจ่มกระจ่างในห้วงคำนึง
 
“ท่านหมดสติแลฟุบไปเกือบครึ่งชั่วยามเห็นจะได้ ข้ายินพระราชดำรัสตรัสสั่งให้เข้าห้องบรรทมแลเร่งนำพาเจ้ามายังสถานที่มีลมพัดอากาศถ่ายเท คาดคะเนว่าน้องท่านคงเป็นลมเวียนชั่วขณะ” มาตะลำดับความ พจน์นึกตามก็ให้รู้สึกสมเพชในตัวเอง มิใช่ว่าไม่เคยกระทำการดั่งว่า แต่ครั้นเป็นฝ่ายบุคคลที่สามสังเกตกิริยาร่วมหอลงโรงของผู้อื่นเป็นหนแรกก็ให้รู้สึกขวยอายสั่นสะเทิ้นยิ่งกว่าตัวกระทำเสียซ้ำ สติอันกล้าแข็งมีหรือจะทานทนได้ก็วูบไหวในทันที

“กรุณาเอ่ยสักคำหนึ่งเถิดเจ้า ว่าหะนี้อารมณ์แลกายเป็นปรกติดีแล้ว ฤา”
 
พจน์ไม่อยากหลงกลแววเว้าวอนก็หันเบือนจดจ้องแสงเดือนแสงดาว มาตะเห็นกิริยาคนคู่พิศวาสขึงขังเมินเฉยเกิดวนเป็นหลายหนก็ตันอก แต่ความพยายามมีมากล้นจึงไขว่คว้ากุมมือไว้แน่น

“มาตะชั่วช้าเกินกว่าน้องท่านจะสนทนา ฤา เอื้อนเอ่ยให้เป็นคุณสาสมความผิดตัวแล้ว มิขอเซ้าซี้แลวอนให้ท่านกระทำการฉีกใจตน แต่จักขอพร่ำรำพันความในใจฝากสายลมทับถมไปถึงห้วงจิตน้องท่านสักความหนึ่ง” ว่าพลางก้มหน้าพลาง

“โทษในครานี้มาตะปฏิบัติต่อท่านเป็นข้ออุกอาจฉกรรจ์นัก จักมิให้ท่านอภัยแต่โดยง่าย ความตั้งมั่นเคืองกริ้วโกรธพิโรธมาตะ จงครองไว้แลอย่าใจอ่อนเป็นเด็ดขาด เพราะคราวใดมาตะพินิจนัยน์ตาช้ำของภัทรพจน์ท่าน ก็ประดุจใจถูกคมดาบเฉียดตัดนับเป็นหนหนึ่ง จักทรมานยิ่งกว่าถูกอริราชศัตรูตวัดเอาผิวกายตัวก็มิอาจเปรียบได้ ด้วยเจ็บยิ่งกว่าการนั้นหลายเท่าพันทวี สติปัญญาอันมีประดับตัวทั้งมากด้วยความรู้สรรพวิชาซึ่งคนกล่าวยกย่องว่าหากบรรลุพระเวทครบทั้งสิ้นจากสำนักพราหมณ์โกสินธพพฤฒาจารย์แล้วนับยิ่งว่าเลิศปัญญาหาผู้ใดเปรียบในพิภพ แต่คำคนทั้งนั้นกล่าวด้วยความชื่นชมแลมองเห็นแต่ในทางราชการดอก หากพิจารณาแล้วภูมิวิชาศิลปอาวุธนอกจากนำไปใช้ป้องกันบ้านเมือง ก็มิอาจนำมาสู้ศึกปราบทุกข์เข็ญในห้วงใจที่มีแต่รักแลภักดีได้”

เมื่อได้ฟังเหมือนตนเป็นตัวการสร้างทุกข์แก่มาตะกระนั้น ก็ขืนดึงมือจากการกอบกุม ไม่อาจฝืนทนฟังความรันทดใจกลัดกลุ้มก็ผุดลุกหนี แต่ถูกมาตะคว้าข้อเท้าดึงรั้งไว้

“น้องท่านจงประทับนั่งเป็นเช่นมหาเทวรูปอันผู้คนเซ่นกราบไหว้ด้วยเถิด คราวผู้ใดทุกข์ถึงขนาดมิอาจหาหนทางดับลง ก็อาศัยสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้คลายทุกข์ฉันใด น้องท่านจงครองตัวเป็นหลักชัยให้มาตะได้ปลดภาระสักกึ่งหนึ่งเป็นคุณเช่นว่าฉันนั้น”
 
กระทำยื้อยุดพัลวัน ปรารมภ์แน่วแน่ไม่หลงคารมแววอ้อนอีกเป็นหลักประจำใจ จึงงัดแงะมือคว้าไขว่ออกจากตัว

“อันน้ำใจมหาเทวรูปนั้นจักเคยปฏิเสธผู้มาฝากทุกข์ก็หาไม่ มีแต่จะนั่งนิ่งฟังความระบายไปไม่ผลักไส หากท่านมิเมตตาสัตว์โลกผู้นี้ มาตะเห็นควรตรอมใจตายต่อหน้าต่อตาเป็นแน่” เมื่อเห็นพจน์นั่งคืนดังเดิมก็ได้กำลังใจขึ้น แล้วเสริมว่า

“ครั้งหนึ่งมาตะบังเอิญตัดสินใจเดินเข้าในห้องเก็บพระตำราหลวง ร่วมบวงสรวงอัปสรเทพ ประสงค์เสพหาความรู้แลข้อกังขาให้พ้นหนทางออก แต่มิเคยคาดคิดว่าวันนั้นจักเป็นวันที่มาตะจะจดจำไปชั่วชีวิตตัว ด้วยเงาสลัวบางเบาอันตนพบในห้องพระตำรา ปรากฏเป็นกายาของบุคคลหนึ่ง ซึ่งเพียงพินิจมองหนแรก หัวใจพลันเต้นแปลกผิดวิถี แล้วก็มีอันหยุดระงับราวกับจะวางวายแต่เพียงเท่านั้น ครั้นพิจารณาโฉมเหมาะงามพร้อมตาวามสีสมันซ้ำ ก็เต้นกระหน่ำจนกลบเสียงเบื้องพิภพเงียบสงัด ความทรงจำผุดชัดย้อนกลับเรียง ดั่งภาพจิตรกรรมริมระเบียงมหาวิหารเทวาลัยเป็นฉากฉายชัดต่อเนื่องมิรู้จบ จวบกระทั่งเผลอตัวตบตวาดคำหนึ่งจึ่งได้สติ ถ้อยศัพท์สำเนียงตอบสนองคืนมิเพียงกระทำให้ใจมาตะเต้นระส่ำหวั่นไหวใกล้แตกดับ วาจาไพเราะหวานสดับหาใดเปรียบ ประดุจมีสายน้ำเย็นเฉียบหลั่งลงรดตัว เช่นคำขรัวพระอาจารย์เคยกล่าว มิเคยประจักษ์รู้ก็ได้สัมผัสคราวห้วงเพลานั้นทันท่วงที จักว่ามีภาพเหตุการณ์นี้ซ้อนทับ อุปมาเคยเกิดขึ้นเวียนกลับอยู่หลายหน นั่นคือความรู้สึกต้นเมื่อแรกพบ”

สั่นหน้าปิดกลั้นความคิด ไม่อยากได้ยินถ้อยวาจาแก้ต่างของมาตะอีก แต่พอประสบเล่าความย้อนหลังคราวคนทั้งสองเจอกันก็เผลอตัวหวนคิดตาม แล้วให้รู้สึกปวดใจซ้ำกว่าเดิม

“ต่อมาจึ่งสำนึกได้ว่าบุคคลที่ตัวเจอนั้นมีลักษณะบางอย่างผิดต่างจากชนบนพิภพ ทั้งกิริยาวาจาท่าทาง แลการหายไป ฤา มาถึง เป็นข้อสงสัย คราวปรากฏตัวครั้งใด ใจมาตะก็พลันเต้นระทึกยิ่งกว่าหนแรก แต่คราใดลาจากก็ให้รู้สึกปริ่มจะขาดใจเช่นนั้นมิเคยเกิดกับอกตัว กลายเป็นความทรมานใคร่คะนึงหา อยากพบปะหน้าจนมิอาจครองสติให้อยู่นิ่งเฉยเป็นปรกติ ต่อเมื่อครั้งหนึ่งน้องท่านเจ็บปวดทรมานด้วยอิทธิฤทธิ์เวทวิทยาจึ่งพบว่า ใจตัวมิได้อยู่กับตัวแล้ว บัดนั้นถูกท่านครอบครองเสียสิ้นก็เจ็บประหนึ่งท่านดุจเดียวกัน โชคช่วยพระอาจารย์พราหมณ์ใช้เวทย์แลสมุนไพรเยียวยากลับคืนได้ จนผุดคำถามขึ้นในใจเป็นข้อทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส หากวันหนึ่งท่านจากไปมิหวนคืนกลับ มาตะจักเป็นเช่นไร เพียงนึกถึงก็ครุ่นคลั่งมิอาจคิดให้จบได้แล้วคือคำตอบของคำถาม จึ่งส่งให้มาตะผลีผลามตัดสินใจกระทำการยั้งคิด ด้วยพะวงห่วงจะผูกพันท่านไว้ชิดตัวให้จงได้ คือ ทั้งฝากใจฝากตัวไว้แก่กันแลกัน จากนั้นจะหามีอำนาจใดพรากเราไกลห่าง ตริเช่นนั้นจึ่งข่มเหงท่านมาเป็นของตัว ครั้นน้องท่านยินยอมร่วมผัวเมียผูกสมัครสมานเป็นหนึ่งเดียว มาตะเคี่ยวเข็ญคำหนึ่งว่า กายท่านเป็นของมาตะ แต่หทัยท่านยังจักยินยอม ฤา หาไม่ เพลานั้นมาตะกลัวเหลือล้ำเกรงตนคงข่มเขาโคขืนให้กินหญ้าได้ครอบครองเพียงนอกแต่หาได้ในไม่ ก็เพราะท่านปฏิเสธการไปสู่ขอมาร่วมเรียงเคียงหมอน

แต่หักใจว่าการทั้งนี้มาตะบ้าบิ่นกระทำผิดขนบประเพณีหนึ่ง แลรวบรัดตัดตอนหมายจักได้ยินคำมั่นให้แน่แก่ใจอีกหนึ่ง จึ่งปฏิบัติข้ามขั้นกฎมนเทียรบาลบัญญัติตามฐานะพระราชบุตรบุญธรรม ความด่วนได้เผลอเอาแต่ใจตัวเป็นที่ตั้ง คิดอ่านฝืนขนบมิสนว่าจะล่วงละเมิดธรรมเนียม ส่งให้ผลกรรมทั้งนั้นผิดพลาดไม่ราบรื่นนับแต่ต้นจวบ ณ บัดนี้ เพราะมิอาจกล่าวได้เต็มปากว่า น้องท่านเป็นของมาตะโดยชอบด้วยจารีต ยามใดใครถามว่า น้องท่านมีความเกี่ยวข้องกับมาตะเช่นไร อาการอ้ำอึ้งก่อเกิดท่วมท้นมิอาจกล่าวได้เต็มปาก ด้วยเกรงจักเป็นข้อครหาตกฝากแก่ตัวน้องท่านเป็นคำนินทา หากย้อนเวลาได้แล้วไซร้ มาตะคงประพฤติตามข้อบาทบริจาริกาให้ทวยเทพได้ร่วมสำราญยินดีเช่นพระมหาอุปราชาทรงประพฤติเป็นแบบอย่าง แต่เหตุการณ์นั้นล่วงผ่านพ้นแล้ว คำว่าน้องท่านเป็นของมาตะ จักประกาศทั่วหน้าสาธารณะชนก็มิอาจทำได้ด้วยตัวประพฤติผิดอารยะ ประหนึ่งมิให้เกียรติหยามหมิ่นท่านไม่สมฐานะ ครั้นมาประสบเห็นข้อปฏิบัติของพระมหาอุปราชาผู้เชษฐา จักทำสิ่งใดก็ยึดหลักถูกต้อง คือจักรับคนรักเข้ามาสู่ตัวได้ ก็ให้เกียรติคนผู้นั้น แลสืบพิธีเข้าหอสมยศถา ต่อไปภายหน้าผู้คนจึงกล่าวได้ว่า นายกองธวัชฉัตร เป็นคนรักแลบาทบริจาริกาใต้เบื้องพระบรมโพธิสมภารองค์สุริยะอุปราช โดยมิมีใครคัดค้านหรือแย้งได้ แต่มาตะปฏิบัติต่อท่านประดุจคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่เพียงย่ำยีท่าน ยังฉุดท่านลงให้ด้อยค่า แม้นจะนำเชิดหน้าชูตา ว่าตัวท่านเป็นของมาตะก็มิอาจทำได้ ด้วยละแบบแผนแต่ดั้งเดิมเป็นที่น่าละอาย จึ่งขอมอบธำมรงค์วงนี้ เป็นประเพณีสืบต่อหมั้นหมาย แสดงสมฐานะผูกพันกาย จวบเราสองล้มตายพรากจากกัน วานน้องท่านโปรดยื่นยกมือซ้าย ให้มาตะสวมถวายเจ้าเฉิดฉัน เป็นสัญญาผูกเสกเมฆคู่จันทร์ มาตะวันใต้ภัทระทุกชาติไป

วาจาผสมบทกลอนนับแต่ตอนร่วมพิศวาสกระทั่งเป็นเหตุให้มาตะเก็บมาคิดเป็นข้ออัดอั้นกลั่นพรั่งพรู จนพจน์คลายกิริยาเบือนหน้าหนี เพ่งเล็งเรือนแหวนทองคำสลักลายเป็นพญานาคหางยาว ปากนาคอันควรมีบางอย่างประดับยอดแหวนวางเปล่า แต่มิได้ลดความสวยสง่าให้ทอนลง พจน์ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะรับดีหรือไม่ จนมาตะจำต้องประคองมือซ้ายของพจน์ แล้วสวมสุวรรณธำมรงค์เข้าสู่นิ้วนางพอเหมาะพอเจาะ เวียนจูบซับหลังมือเนิ่นนานจนข่มใจถอน แลว่า
 
“นอกจากแหวนประจำตัวมาตะ ไม่เห็นมีสิ่งใดมีค่าพอจักแทนใจได้ โปรดรักษาประหนึ่งมาตะติดตามท่านไม่ห่างกาย แม้นเราสองมิได้ผูกพิธีสมฐานะ ก็แหละมาตะแก้ชดเชยความไม่ควรนั้นเพียงเศษเสี้ยวแล้ว หวังน้องท่านจะเอ็นดูถนอมไว้ต่างหน้าเถิดหนา”

พจน์พยักหน้ารับคำ หากจะว่ามาตะผิด เพราะไม่ได้ปฏิบัติตามวิถีขนบแต่ดั้งเดิม จนพาลให้ไม่อาจบอกใครต่อใครได้ว่า พจน์เป็นอะไรกับมาตะ ตนก็เป็นฝ่ายผิดเช่นกัน หากมีสักเสี้ยวเวลาหนึ่งห้ามปราม มีหรือเรื่องราวจะกลายเป็นแบบนี้ ทั้งตัวพจน์เองเป็นคนสั่งห้ามไม่ให้มาตะแพร่งพรายความสัมพันธ์ซ้ำอีก พิธีถวายตัวเป็นบาทบริจาริกาของนายกองธวัชฉัตรคงเหมือนหนามแหลมทิ่มแทงความรู้สึกกลัดหนองในใจมาตะให้แตกออก ด้วยลึกๆแล้วมาตะคงประสงค์ให้ทุกอย่างดำเนินตามขนบประเพณีเช่นกัน

“มิหนำแม้อกตัวมีท่านครองอยู่เต็มทรวง แต่จักประกาศตัวเป็นคู่ควงก็หละหลวมไร้ความเฉียบขาด ก่อเป็นเหตุให้บุหลันคิดข้างว่า ไร้พันธะตัวผู้เดียวจึ่งจู่มาฝากตัวฝากใจเป็นข้อบาดตาน้องท่าน ก่อให้ทุกขเวทนาจนเกิดเป็นน้ำตาสายโลหิต ควรอยู่หรือที่มาตะจักครองชีวิตเป็นคนอยู่ได้ เพียงแค่เห็นน้ำตาท่านเป็นแดงฉาน ก็ทรมานราวตกขุมนรกหมกไหม้ มาตะมิปรารถนาให้น้องท่านอภัยแต่โดยง่าย แต่ประสงค์ให้ล่วงรู้ความนัยทั้งนี้ไว้เป็นข้อหลักชัยอย่างหนึ่ง มาตรว่าเกิดเหตุเภทภัยไม่คาดคิดแล้วไซร้ โปรดจงจำคำไว้ให้แน่นเถิดหนาเจ้า ว่ามาตะนี้มิได้ประสงค์ให้ภัทรพจน์ต้องเจ็บเศร้าด้วยความรักแม้แต่เพียงนิด”

สิ้นกระแสความแล้วพจน์ก็นิ่งอึ้งไม่อาจเจรจาโต้กลับด้วยตื้นตันในอก ทุกถ้อยคำสำแดงความบริสุทธิ์ของมาตะโดยไม่จำเป็นต้องให้ตนซักไซ้สิ่งใดอื่น พยักหน้ารับแต่เพียงเล็กน้อย อยากจะพูดคุยกลับแต่ทิฐิในใจมีสูงกว่าก็ได้แต่ทอดสายตามองต่ำ

“ชาตินี้มาตะทำท่านชอกช้ำน้ำใจล้ำประมาณยากจะรักษาเยียวยาได้แล้ว ไม่ขอคำอภัยอีก แต่จักขอทนสู้ชูหน้าระคายตาสืบไปตราบชีวิตจะหาไม่ ด้วยไม่อาจละทิ้ง ฤา จากไปให้ไกลห่าง คือพะวงห่วงหาเจ้าสุดดวงใจ ครั้นหรือหลบหลีกก็ขัดกับหัวอกตัวกล้ำกลืน เชิญน้องท่านจงทำดั่งมาตะคนซื่อสุจริตเป็นธาตุลมอากาศ อย่ากล่าวคำผลักไสให้ซูบหมองเลยเจ้า นับแต่นี้จงยิ้มหน้าชื่นตาบานตามวิสัยปรกติเถิด ความใดอยู่ในใจมาตะถูกถ่ายทอดเป็นเครื่องรบกวนหูท่านผ่านพ้นสิ้นแล้ว”

มาตะเงยหน้าพยายามสะกดพจน์ แต่เด็กหนุ่มนัยน์ตาสวยกลับก้มมองมือของตัวแล้วทอดถอนใจ มาตะเห็นกิริยาพจน์เช่นนั้น น้ำใจกล้าเมื่อครู่ก็มีอันท้อถอยลง แล้วว่า

 “บัดนี้ลองหวนตรึกตรองหากจะดำรงตัวให้นาน กริ่งเกรงจะยิ่งสร้างรอยชังน้ำหน้า แม้นความเจ็บในใจตัวมีมากเท่าไรย่อมฝืนทนได้ ทว่าก่อให้น้องท่านเจ็บช้ำซ้ำอีกมีหรือมาตะจะทนฝืนนั่งอยู่ จักขอลาไปแต่บัดเดี๋ยวนี้”

ว่ากล่าวเออเองสรุปตามความคิดตัวเสร็จก็ละมือจากข้อเท้า ก้มหน้าชันเข่าถอยห่างจากพาไลนั้น ส่วนปากพจน์ก็หนักดั่งมีหินถ่วง ไม่สามารถกล่าวคำหน่วงรั้งไว้ได้ ทำเพียงแต่จ้องมองร่างกายล่ำสันขยับถอยผละหนีด้วยสีหน้าเจ็บช้ำเสมอใจตน

“เจ้ารู้ ฤา ไม่ ยาสมุนไพรหม้อนี้” โกสินทร์เดินออกมาจากเงาหลังเสาเรือนสู่แสงไฟ ทรุดตัวลงตักน้ำยาสีเข้มใส่จอกถ้วยกระเบื้องแล้วยกมาให้พจน์ “มาตะตระเวนหาส่วนประกอบด้วยตัวคนเดียว ทั้งเพลานี้จักมีผู้ใดค้าขายอยู่ก็หาไม่ จำต้องเที่ยวท่องตามบ้านเรือนชาวเมือง ใช้วาจานอบน้อมขอพืชสมุนไพรมาต้มเป็นยาให้เจ้า ครั้นจะจ่ายเป็นเงินทองราษฎรครัวเรือนนั้นก็ยิ้มแย้มยินดีด้วยอัธยาศัยไมตรีของผู้มาขอสำแดงแจ้ง ทั้งท่าทีวาจาเคารพไปมาลาไหว้น่าเอ็นดู คนคนนี้ประกอบขึ้นด้วยลักษณะที่แม้แต่เด็กเล็กๆจวบวัยเฒ่าชราภาพต่างพากันเอ็นดูนิยมชมชอบ เพลาเสาะหาสมุนไพรตำรับยาอันควรนานจึ่งร่นระยะได้เร็วปานชั่วเคี้ยวหมากแหลก เจ้าจงตรองเถิดว่า มาตะ สหายเราแท้จริงแล้วมีความผิดติดตัว จนแม้แต่ท่านจักมิยินยอมให้อภัยสักคราหนึ่งเลยกระนั้นหรือ”

พจน์รับถ้วยยามาถือ ไอร้อนลอยจากผิวน้ำดำเข้มเป็นละอองไอ ทั้งที่ตั้งมั่นในใจจะทำโทษมาตะให้ยาวนานกว่านี้ พอสบยินคำพูดของโกสินทร์แต่เพียงเท่านั้น หัวใจที่ตนบังคับให้เข้มแข็งมาได้นับตั้งแต่มาตะเจรจาความก็ประหนึ่งร่ำไห้เต้นกระพือรุนแรง พจน์ยกถ้วยยาแก้ลมเวียนขึ้นจิบด้วยหน้าเฉย แต่ภายในไหนเลยจักสงบ

“ขอบใจนะ โกสินทร์” ส่งคืนถ้วยกลับ เจ้าโกสินทร์ขยับกายสีเข้มขึ้นนั่งเคียง

“แลข้ามีความอย่างหนึ่งมาเตือนท่าน” โกสินทร์ยกยิ้มไม่อยากเห็นภัทรพจน์มีทุกข์โศกก็ยกความอื่นมากล่าว “พระราชพิธีถวายตัวบาทบริจาริกา จักหาสิ้นสุดโดยครบถ้วนไม่ จวบกระทั่งพนักงานผู้ได้รับมอบหมายต้องเข้าสำรวจตรวจดูพระยี่ภู่ลาดพระแท่นบรรทม”

“ทะ ทำไมล่ะ” พจน์รีบตวัดหน้าถามกลับรู้สึกไม่สู้ดี

โกสินทร์หัวเราะเสียงห้าว พลางว่า

“เจ้าต้องหาร่องรอยว่า พิธีถวายตัวนี้มีหลักฐานยืนยัน”

 “ร่องรอยอะไรเหรอ”

“เลือด...อย่างไรเล่าเจ้า” โกสินทร์ยังคงวาดรอยยิ้มกลั้วหัวเราะ

ฉับพลันพจน์ก็ก้มหน้างุด นึกออกแล้วว่าโกสินทร์กำลังบอกใบ้ถึงเรื่องอะไร เมื่อใคร่ครวญลำดับขั้นตอนก็ล่วงรู้เจตนาของอีกฝ่ายชัดเจน
 
“ไม่ ไม่เข้าไปไม่ได้เหรอ”

พจน์อยากจะชกแขนล่ำเจ้าโกสินทร์ให้ระงับเสียงหัวเราะ เพราะกิริยาขบขันยิ่งทำให้ความกล้าในการกลับไปเก็บ หลักฐาน ต้องมีอันย่ำแย่ลง ไอ้เจ้าบ้าเอ้ย


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3434785#msg3434785)
เพจนิยายข้ามพิภพ (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)
______________________________

ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า : ขืนใจให้ทำตามที่ตนต้องการ

______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

หุ่นเท่ทุกคนนะ  แต่น่าตาคล้ายกันจัง  อต่ก็ชังมันเถอะ  สรุปมาจบบนเตียง  อยากรู้แค่ว่าทำไหมเป็นพจน์ที่ต้องไปเห็นฉากนั้นอ่ะนะ  555  และอุปราชต้องการสิ่งใดถึงต้องทำแบบนั้น มันมีนัยอะไรรึเปล่า  แล้วไอ้ทีสลบไปนี้จะอยู่ปัจจุบันรึอดีต  รอต่อไปครับ
ฝีมือวาดสมัครเล่นครับ คันไม้คันมือเลยลองวาด ดูกันขำๆแล้วกันนะครับ อย่าเก็บไปเป็นอารมณ์เลย 5555 คงไม่มีนัยะอะไรหรอกครับ เราก็รู้ๆกันอยู่ว่าอุปราช 'ชอบ' พจน์ การนำพจน์ไปอยู่ร่วมห้อง ไม่เพราะแกล้งก็คงเพราะรัก 

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๑ บาทบริจาริกา ๑๐๐% (๒๕/๐๗/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 25-07-2016 17:12:58
แกล้งให้คนที่รักไปเห็นตัวเองมีอะไรกันคนอื่นเนี้ยนะ  บ้าไปรึเปล่าครับคนแต่ง แบบนั้นใครจะไปรักไปชอบได้เหล่า จะทำให้ตีตัวออกห่างมากกว่า  แล้วสงสารนายกองคนนั้นด้วย  ที่ต้องมารักอุปราชคนนี้ ก็รู้ว่ายุกต์สมัยนั้นมีเมียหลายคนได้อะนะ  แต่ถ้ามาตะมีแบบนั้นบ้าง  พจน์คงได้อกแตกตายแน่ๆ  ขนาดแค่จูบก็ร้องไห้เป็นสายเลือดล่ะ  รอการเฉลยปมกันต่อไปครับ  คนแต่งก็สู้ๆ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๑ บาทบริจาริกา ๑๐๐% (๒๕/๐๗/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 25-07-2016 18:15:00
 :z6:ทำพจน์เสียใจ สมควรถูกลงโทษ o13
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๑ บาทบริจาริกา ๑๐๐% (๒๕/๐๗/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 26-07-2016 20:03:29
พจน์เจอฉากรักไปถึงขั้นเป็นลมกันเลยทีเดียวพจน์ช่างใจแข็งนักพ่อมาตะคนซื่อคงทุกข์ใจน่าดู รอการแก้ปมทุกปมจากคนเขียน ไม่เดาแล้วเดาไม่ถูกชักที5555 ชูป้ายไฟคนเขียนสู้ๆๆๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๒ อาถรรพณ์พระเวท ๕๐% (๒๘/๐๗/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 28-07-2016 09:29:45
บทที่ ๓๒



อาถรรพณ์พระเวท

   

ล่วงเข้าปัจฉิมยามพระมหาอุปราชาจึงเสด็จจากห้องพระบรรทม ฉลององค์ด้วยภูษาสีน้ำเงินเก่าพันพระวรกายเป็นที่เรียบร้อย พระพักตร์เย่อหยิ่งตามวิสัยมาแต่กำเนิด แลตรัสสั่งให้มาตะผู้อนุชา กฤษณะนายกองทหารเกราะทอง ตระเตรียมบ่ายหน้าสู่ประตูด่านช่องเขาสุวรรณคีรีแต่เช้ามืด ฉากร่ำลาระหว่างสุริยะอุปราชแลธวัชฉัตรนายคชบาลมิได้เต็มตื้นรื่นด้วยน้ำตาหรือพร่ำคำรำพันอาลัยแต่ประการใด หลังเสร็จสิ้นสั่งเสียสนทนาต่อกันพอเป็นพิธี บาทบริจาริกาหนุ่มก็ทรุดตัวแนบพื้นเรือน กระทำก้มกราบเป็นหนท้าย ด้วยไม่อาจติดตามถวายงานได้หนึ่ง แลพระราชกรณียกิจครานี้เป็นข้อลับห้ามแพร่งพรายอีกหนึ่ง กอปรกับธวัชฉัตรมีตำแหน่งต้องรับใช้แผ่นดินเป็นผลจำต้องทูลลาแต่เพียงเท่านั้น

นายกองคชมิได้สอบเหตุอันก่อให้ทรงปลอมแปลงองค์เสด็จถึงเขตชายแดน หรือซักความตื้นลึกหนาบางจากผู้ใด บ่งชัดว่ารู้กาลเทศะแลหน้าที่อยู่ในที พจน์ลอบเข้าตรวจดูภูษาลาดพระแท่นบรรทมก็พบรอยเลือดจริงดังว่า ก่อนจะเก็บผ้าผืนนั้นนำมาให้โกสินทร์แลเวฬุพิจารณา เจ้าคนร่างอวบขวยอายอ้ำอึ้งอยู่นานไม่อาจเจรจาสิ่งใดได้ ซ้ำโกสินทร์ยังหัวเราะเป็นเชิงขบขันในการปฏิบัติหน้าที่โดยซื่อของพจน์อีก เขาเห็นว่าพ้นภาระแล้วก็โยนผ้าขาวเปื้อนรอยใส่สีข้างเจ้าโกสินทร์ด้วยแสนเคืองแสนอายก็ผละแหวกหนี

เงากายของนายกองธวัชฉัตรยืนลำพังอยู่ใต้ร่มไม้ชายคาซุ้มประตูเรือนพัก ต้องแสงไต้ไฟเงาทอดไสวเต้นระริกตามแรงลมพัดผ้าคล้องไหล่ ใบหน้าตกอยู่ในแสงมืดจึงไม่เห็นความเป็นไป เขม้นดูขบวนอาชาย่างควบลาไกล แต่พจน์เล็งการคะเนไว้ แม้นเป็นถึงบุรุษผู้เข้มแข็งอาจหาญถึงเพียงนั้น เมื่อได้ทอดตัวถวายใจให้ใครแล้ว ซ้ำคนรักมามีอันต้องจากลาเพียงชั่วข้ามคืนฉะนี้ ลองยกใจเข้าเทียบก็อดหน่วงอกไม่ได้
 
คำเจรจา ฤา คำมั่นสัญญาใดผูกฝากไว้ระหว่างคนทั้งสอง คงทุเลาอารมณ์อาวรณ์อันเหิมขึ้นในเพลาอำลาไม่มากก็น้อย ด้วยไม่มีผู้ใดรู้นอกจากคนทั้งคู่ พจน์คิดว่าขากลับจากสืบราชการ พระมหาอุปราชคงสาบานเสด็จกลับมารับนายกองคชบาลเข้าเลี้ยงบำรุงเคียงพระองค์เป็นแน่
 
พจน์เรียนรู้วิธีบังคับม้าจากโกสินทร์ แลปัญจะ จาโค ในชั่วอึดใจก่อนออกเดินทาง พยายามจดจำรายละเอียดทั้งการดึงบังเหียน การขยับเท้าขนาบลำตัว การผ่อนสาย หรือวิธีให้ม้าหันซ้ายขวา ขยับเดินหน้าออกควบหรือถอยหลังด้วยความรวดเร็ว เจ้าจาโคทำหน้ากรุ้มกริ่มดีใจเมื่อได้สำแดงทักษะกลเม็ดฝึกสอนพจน์ โดยมีปัญจะผู้พี่วางภูมิขัดคอเป็นระยะ

นายกองกฤษณะขันอาสาสละอานม้าเชิญร่วมนั่งเคียง ด้วยเห็นว่าพจน์ไม่เคยคุ้น แต่ถูกบอกปัด พอลูบหลังลูบคอฝากตัวแล้วก็เหยียบโกลนเหวี่ยงตัวหย่อนนั่งตามหลัก เจ้าม้าเพศผู้ขนสีน้ำตาลดุจเดียวกับสีตาของพจน์ก็ยืนสงบนิ่ง มิได้สนใจแต่อย่างใด ครั้นลองบังคับขยับตามคำสอนของจาโคก็ว่านอนสอนง่าย ประหนึ่งพจน์เคยควบขี่สัตว์ชนิดนี้มาจนเชี่ยวชาญก็ให้หลากใจ มาตะยืนหน้าสลดอยู่ใกล้เคียงมิได้เอ่ยท้วงชี้แนะหรือชวนให้มานั่งคู่ เจ้านั่นหลังจากกล่าวความในใจฝากไว้ยืดยาวแล้วเหมือนหนึ่งคนบ้าใบ้ไม่พูดจากับใครอื่น นอกจากพระมหาอุปราชาผู้เชษฐาตรัสรับสั่งเป็นครั้งคราวเท่านั้น

สายลมพัดเย็นสบายกระทบขุมขน เสียงเหล่านกกาบินวนกู่ร้องต้อนรับอรุณรุ่งวันใหม่ดังแว่วชวนให้เคลิบเคลิ้ม แต่ความรู้สึกกระตือรือร้นจากการขี่ม้าช่วยระงับอาการง่วงงุนได้ปลิดทิ้ง พระมหาอุปราชทรงอาชาสีขาวนำขบวนวิ่งทวนลม ขนาบด้วยปัญจะและคาวินคู่พี่น้อง ติดหน้าตามหลังด้วยโกสินทร์ เวฬุ เป็นลำดับ ส่วนกฤษณะนายกองเห็นได้ชัดว่าพยายามดึงรั้งม้าเข้าเลียบเคียงพจน์ ลอบส่งสายตาแลมองเป็นระยะ มาตะ จาโค และวรุณปิดรั้งท้ายขบวน บรรดาบ้านเรือนละแวกริมทางเริ่มจุดไต้ไฟ ต่างหุงหาอาหารข้าวปลาแต่เช้ามืดเช่นเดียวกัน
 
ระหว่างตั้งใจบังคับม้าให้วิ่งตามขบวนด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น บังเกิดกลุ่มหมอกสีขาวพัดโหมเข้าปกคลุมบริเวณโดยรอบทันที ทำให้พจน์จำต้องดึงสายบังเหียนให้ม้าหยุด เสียงร้องของสัตว์สี่เท้าตะกายขาหน้าขึ้นสู่อากาศลับตา ก่อนเตียงผู้ป่วยและสภาพแวดล้อมของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งสวมรอยเข้าทดแทน

“พจน์ เป็นยังไงบ้างลูก” ภพดนัยซักถามโดยเร็ว

เด็กหนุ่มสังเกตใบหน้าบิดา มีรอยแผลบริเวณหัวคิ้วและผ้าพันตรงข้อศอก

“เกิดอะไรขึ้นครับ” ระหว่างตนข้ามพิภพเกิดเหตุการณ์ใด จำได้ว่ากำลังเดินทางออกจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยาเพื่อแวะหาก๋วยเตี๋ยวเรือรับประทานเป็นอาหารกลางวัน พลันรู้สึกเอะใจ หันเหลียวแลหากลุ่มเพื่อน

“แล้วทุกคนล่ะครับ คุณพ่อ”

“ใจเย็นๆก่อนพจน์” บิดาเม้มปากกลั้นน้ำตา ดาวขยับเกาะไหล่ภพดนัย เอื้อมมือรัดแขนพี่ชาย ดวงตาแดงเหมือนผ่านการร้องไห้มามากประมาณ

“ระหว่างทางมีโขลงช้างจากเพนียดคล้องช้างหลายสิบเชือกเกิดตกมันค่ะ” เด็กสาวอธิบายเสียงสั่น “เพราะทั้งฝนตกหนัก ฟ้าร้องสนั่นติดต่อกันมาหลายวันทำให้พวกมันตื่นตกใจ ระหว่างเคลื่อนย้ายออกจากเพนียดจัดแสดงเพื่อกลับสู่โรงพักอาศัย รถยนต์และรถตู้ของเราเกิดวิ่งผ่านมาในจังหวะนั้นพอดี อยู่ๆพวกช้างพลายก็หลุดจากการควบคุมของควาญวิ่งเตลิดพุ่งเข้าใส่รถโดยไม่คาดคิด”

หยดน้ำรอบดวงตาดาวหลั่งลงอาบแก้มใส ยื้อแล้วแต่ไม่อาจยั้งไว้ได้ “ละ...แล้วแรงชนก็ทำให้รถยนต์เสียหลักพุ่งลงข้างทาง แต่ดูราวกับมีบางอย่างหยุดให้รถชะลอตัวไม่พลิกคว่ำ ส่วนช้างพวกนั้นสังเกตจากลักษณะคงติดตามมาเหยียบย่ำซ้ำ จู่ๆก็เกิดเปลี่ยนใจเดินวนเวียนอยู่รอบๆ แต่...”

พจน์ส่ายหน้า เรื่องราวที่ดาวเล่าคงเป็นคำโกหกหรือเรื่องล้อเล่นอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่รอยแผลบนหน้าลุกลามตามลำตัวน้องสาวพร้อมบิดา คือหลักฐานไม่อาจโต้แย้ง

“ทำไม...”

ดาวปล่อยโฮอย่างสุดกลั้นไว้ได้ ภพดนัยเร่งปลอบบุตรสาวละล่ำละลัก พจน์ก้มสำรวจตัวเอง นอกจากรอยแผลไม่กี่แห่งซึ่งได้รับการปฐมพยาบาลเรียบร้อย ไม่ปรากฏอาการบาดเจ็บอื่นใดอีก ตั้งสติให้มั่นคงแล้วกลั้นใจถามว่า

“เจ้าพวกนั้นล่ะครับ เพื่อนของผม...”

“ใจเย็นๆพจน์ ฟังพ่อให้ดี” ภพดนัยวางตัวให้เข็มแข็ง “ทุกคนปลอดภัย รวมถึงคุณปู่กับคุณชาญณรงค์ด้วย ตอนนี้พักรักษาตัวอยู่อีกฟากหนึ่งของโรงพยาบาล”

พอสิ้นคำของบิดา ประหนึ่งมือซึ่งบีบรัดหัวใจพจน์ถูกปลดคลายอย่างปัจจุบันทันด่วน

“แต่...”

“อะไรครับ”

“แต่...ช้างสีดอ ๕ เชือกจากทั้งหมด หลังอาละวาดจนสมใจตัวแล้ว ต่างพากันล้มตายในทันที”

ฝ่ามือซ้ายสั่นเทาจนเกล็ดเลือดส่วนหนึ่งไหลย้อนเข้าสายน้ำเกลือ ข่าวดีที่ว่าทุกคนปลอดภัยและข่าวร้ายที่สัตว์ใหญ่ทั้ง ๕ จบชีวิตเป็นปริศนา อย่างไหนกระตุ้นความเจ็บได้มากกว่ากัน

“ควาญช้างผู้เชี่ยวชาญตำราคชศาสตร์เก่าแก่คนหนึ่งบอกว่า เหตุทำให้ช้างทั้งโขลงมีอาการประหลาด ไม่ใช่เพราะตกมัน แต่เป็นคัมภีร์พระเวทลำดับ ๔  อถรรพเวท ถูกปลุกขึ้นบนพิภพ จนก่อให้สัตว์ใหญ่เช่น ช้าง เป็นต้น ต้องทุรนทุรายต่อเสียงสวดสาปแช่ง เล่ากันว่าพระเวทมนตราดำบทนี้ไม่ได้ถูกจดจารไว้ในตำราเล่มใด แม้นฤาษีชีพราหมณ์ผู้มีชีวิตอยู่ก็หามีใครเคยรู้จัก ด้วยสิ่งอกุศลกรรมประกอบพิธีบูชายัญผิดวิถีมนุษย์ อาศัยเลือดและวิญญาณประกอบเป็นหลักชัยเพื่อเซ่นสรวงสิ่งที่ตนนับถือ พิธีกรรมไสยเวทชั่วร้ายไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์จวบกระทั่งวันนี้ หมอควาญผู้มีอาคมกล่าวซ้ำว่า สมัยเมื่อเนิ่นนานมีแต่เพียงพิธีไล่ช้าง โดยใช้สัตว์เล็กสังเวย แต่พิธีกรรมอำมหิตได้แปรเจตนาจากบูชา เปลี่ยนเป็นเล่ห์กลคร่าชีวิตโดยใช้เลือดมนุษย์เป็นเครื่องเซ่น”
 
ศาสตราจารย์วิชัยวางมือประชิดเตียงหลานชาย ท่านมิได้บาดเจ็บเท่าใดหากพิจารณาจากภายนอก ชาญณรงค์และนักข่าวธนชัยก็เช่นกัน
 
“พวกมันรับรู้ด้วยสัญชาตญาณว่า พิธีกรรมอำมหิตถูกปลุกฟื้นด้วยเลือดมนุษย์ชุบเล่ห์กลทมิฬปรากฏเป็นอาเพศเหนือพิภพนี้แล้ว” ไม่คาดคิดว่าจะเป็นคำพูดจากปากคุณปู่ “เป็นความเชื่อสืบต่อกันมาของหมอควาญช้าง แต่ปู่ไม่คิดเช่นนั้น โลกใบนี้ล้วนมีที่มาที่ไปและทุกสิ่งล้วนต้องพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ นอกจากอาการตื่นตกใจตามประสาสัตว์ในคราวฝนตกฟ้าร้องแล้ว ก็ไม่เห็นมีสิ่งใดสามารถอธิบายเป็นอื่นได้ยกเว้นหลักการระวังภัย”

“แต่...” พจน์พยายามแย้ง คำคำหนึ่งผุดวาบ จอมมาร

เด็กหนุ่มกำมือแน่นสู้ระงับความโกรธ เหตุการณ์เหนือคาดผิดธรรมชาติไม่มีหลักการวิทยาศาสตร์ใดพิสูจน์ นอกจากอำนาจลึกลับของจอมปีศาจตนนั้น  มันประสงค์ชีวิตและสุดยอดอัญมณีในกายพจน์ ความกล้าหาญมากประมาณพุ่งพรวดขึ้นหน้าจนไม่อาจอยู่นิ่งเฉย ขยับมือหมายดึงเข็มน้ำเกลือออกก็ถูกพยาบาลสาวกรีดร้องตกอกตกใจจ้าละหวั่น

“ไม่ได้นะคะ คนไข้หมดสติไปนานต้องได้รับสารอาหารทางสายน้ำเกลือค่ะ แล้วญาติกรุณาให้เวลาคนไข้ได้พักผ่อนด้วยค่ะ” พยาบาลสาวขัดขวางหน้าเครียด จ้องหน้าคุณปู่และคุณพ่ออย่างเอาเรื่อง ถ้าหากใครไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งเธอ

“ผมขอไปดูเพื่อนของผม” วิงวอนหน้าซีดเซียว

“ไม่ได้ค่ะ ต้องพักผ่อนให้มากกว่านี้ก่อน คนอื่นๆปลอดภัยแล้วค่ะ อย่าได้เป็นกังวล” พยาบาลสาวสวยสู้ใจเย็นอธิบาย กดพจน์ให้ล้มตัวนอน

จอมปีศาจคงกำลังจับจ้องอยู่ที่ไหนสักแห่งพร้อมหัวเราะขบขัน เป็นความผิดของพจน์ที่ละหนีข้ามพิภพไปโดยทิ้งทุกคนให้ตกอยู่ในอันตราย อยู่ๆเด็กหนุ่มก็ฉุกคิดถึงนิธิ หากตนไม่แนะให้เจ้านั่นเดินออกจากชีวิต  มันอาจปกป้องทุกคนให้พ้นจากอันตรายได้ เป็นความผิดของเขา เป็นความผิดของพจน์ทั้งหมด มหาภัยจากมารร้ายบัดนี้คุกคามชีวิตพจน์และทุกคนไม่เลือกหน้า เขาจะทำอย่างไรดี พลังที่ตนมีก็ไม่เห็นปรากฏให้นำมาใช้คุ้มครองได้

ไอ้กัน กูขอโทษ ทั้งที่พยายามรับปากมึงว่าจะดูแลตัวเองให้ได้ แต่เพียงแค่มึงจากไปไม่ถึงวัน กูก็ผิดคำสัญญานั่นแล้ว
 
“นอนก่อนนะพจน์ ไม่ต้องคิดมาก พ่อจะดูแลทุกคนเอง” ภพดนัยปลอบ ปั้นหน้าเข้มแข็ง

พจน์สั่นศีรษะ เขาจะสบายใจได้ยังไง ในเมื่อตอนนี้เหมือนตนชักนำทุกคนมาสู่อันตรายโดยแท้

“แกไม่ต้องกังวล ตาพจน์ พักผ่อนเถอะ เย็นนี้เราจะเดินทางกลับบ้าน” คุณปู่พูดทักท้วงราวกับเหตุการณ์อุบัติเหตุโขลงช้างบุกเข้าทำร้ายเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไปที่ทุกคนสามารถพบเจอได้ แต่มันไม่ใช่ พจน์รู้แน่แก่ใจ สาเหตุทั้งหมดเกิดขึ้นจากการมีตัวตนของเขาเอง
 
“อย่าได้โทษตัวเองเด็ดขาด” ศาสตราจารย์วิชัยพูดย้ำเสมือนล่วงรู้ความคิดหลานชาย “หากจะผิด ก็ผิดเพราะโลกเรามันโหดร้ายสำหรับทุกชีวิต ทุกสิ่งล้วนเกิดมาต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทุกรูปแบบ เหตุการณ์ที่เราเจอก็ไม่ต่างกับความเจ็บปวดรูปแบบหนึ่ง หากความเจ็บนั้นทรมานแกมากเท่าใด ก็เหมือนเป็นครูสอนให้เรียนรู้เข้าใจและเราจะไม่มีวันหวนกลับไปพบความเจ็บเช่นนั้นอีก แต่ชีวิตจะพ้นความทุกข์โดยตลอดไปหรือไม่นั้น คำตอบคือ ไม่ ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่เจ็บยิ่งกว่าครั้งนี้รอแกอยู่ ลูกผู้ชายเกิดมาต้องเข้มแข็งอย่างที่สุด ไม่ว่าเราจะประสบทุกขเวทนาใดอีก จงกล้าหาญ และแม้แต่น้ำตาก็ไม่อาจลบล้างให้มันเลือนหายไปจากใจหรือความทรงจำของเราได้”

ภพดนัยพยักหน้าเห็นชอบเช่นเดียวกับนักข่าวธนชัยซึ่งพยายามเดินเก้กังเข้าหาบิดาของพจน์ หมายใจเอื้อมมือแตะไหล่ก็ยื้อรั้งฝืนทนไว้ ดาราไม่อาจฟังต่อได้ก็เดินละออกจากห้อง

“เหตุผลที่ผมเกิดมา หรือทุกคนเกิดมา เพื่อต้องเผชิญความเจ็บปวดหรือครับ คุณปู่”

“เปล่า” รอยยิ้มไม่คาดคิดผุดพรายเหนือใบหน้าของท่าน “ปู่ยังพูดไม่จบ ความทุกข์น่ะส่วนหนึ่ง แต่เป็นความรัก ต่างหากที่เราถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้”


50%...TBC โปรดติตตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3437959#msg3437959)
เพจนิยายข้ามพิภพ (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)
_______________________________

พระเวท : คัมภีร์หลัก แบ่งออกเป็น ๔ คัมภีร์ ได้แก่ ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท และ อถรรพเวท
อถรรพเวท : เป็นเวทมนตร์คาถาเพื่อให้เกิดผลดีแก่ฝ่ายตน หรือผลร้ายแก่ฝ่ายศัตรู ตลอดจนการบันดาลสิ่งที่เป็นมงคล หรืออัปมงคล การทำเสน่ห์ การรักษาโรค และอื่นๆ

_______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

แกล้งให้คนที่รักไปเห็นตัวเองมีอะไรกันคนอื่นเนี้ยนะ  บ้าไปรึเปล่าครับคนแต่ง แบบนั้นใครจะไปรักไปชอบได้เหล่า จะทำให้ตีตัวออกห่างมากกว่า  แล้วสงสารนายกองคนนั้นด้วย  ที่ต้องมารักอุปราชคนนี้ ก็รู้ว่ายุกต์สมัยนั้นมีเมียหลายคนได้อะนะ  แต่ถ้ามาตะมีแบบนั้นบ้าง  พจน์คงได้อกแตกตายแน่ๆ  ขนาดแค่จูบก็ร้องไห้เป็นสายเลือดล่ะ  รอการเฉลยปมกันต่อไปครับ  คนแต่งก็สู้ๆ
พระมหาอุปราชสุริยะ เป็นตัวละครที่ผู้เขียนตั้งใจสร้างให้มีลักษณะซับซ้อนทางอารมณ์แตกต่างจากมาตะหรือคนอื่นๆในพิภพนั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะพูดปากตรงกับใจเสมอ แต่อุปราชพระองค์นี้ ไม่เพียงปากไม่ตรงกับใจ ด้วยมีเลือดขัตติยะหนึ่ง ถูกอบรมเลี้ยงดูในชั้นวรรณสูงส่งจะทำสิ่งใดตามใจตัวเองมิได้ หน้าที่แลบ้านเมืองต้องมาก่อนสอง ครั้นประสบเจอพจน์ ในชั้นแรกก่อเกิดข้อตะขิดตะขวงใจในคำถามอันเกี่ยวโยงกับเหตุการณ์ประสูติกาลของพระองค์ ต่อมาก็รู้สึกสนิทเสน่หาพจน์อย่างประหลาด (อย่างที่เรารู้ว่าอดีตชาติของสุริยะอุปราชาเป็นทหารองครักษ์กินนร นาม สัปะวามิต ย่อมมีความผูกพันกับพจน์มาแต่หนหลัง) ภายหลังจากการลอบสังเกตก็รู้ว่าพจน์รักมาตะผู้อนุชา และมาตะก็รักพจน์เช่นกัน หากพระองค์จะออกปากบอกมาตะว่าประสงค์ในตัวพจน์ก็ย่อมได้ในฐานะที่อยู่สูงกว่า แต่ก็ไม่ทำ ครั้นประสบเจอนายกองธวัชฉัตรจี้ใจดำจะเผยความลับก็ปฏิบัติห้ามปรามไม่ทันคิด เกรงมาตะจะล่วงรู้เช่นเดียวกับคนทั้งปวงด้วยเป็นความรู้สึกที่ไม่สมควรที่พี่จะแย่งของรักของน้อง แล้วการที่พจน์ต้องไปอยู่ในห้องบรรทม ผู้เขียนนึกคิดขนบธรรมเนียมนี้ขึ้นมาเองว่า กฏมนเทียรบาล บัญญัติให้มีมหาดเล็กร่วมเป็นสักขีพยาน พจน์จึงเป็นตัวเลือกที่ง่ายดายที่สุดหนึ่ง และคนประเภทนี้ปากว่าอย่างหนึ่งแต่ในใจจะประสงค์ให้เป็นตามนั้นก็หาไม่ ทั้งรักทั้งชังผสานกันไป พระองค์อาจดำริในหทัยแล้วว่าไม่อาจครอบครองพจน์ได้ก็ประพฤติทั้งดีทั้งร้ายใส่คนที่ตัวรักตัวชอบจนกลายเป็นเหตุการณ์ดั่งว่าสอง ไม่รู้จะช่วยปลดคลายข้อในใจคุณมากน้อยเพียงไหน หวังว่าจะคลี่คลายลงแล้วในส่วนนี้ สำหรับนายกองธวัชฉัตรนั้นจึ่งกลายเป็นตัวละครที่น่าสงสารอีกคนหนึ่ง ต้องติดตามต่อไปว่าจะมีชะตากรรมอย่างไร ส่วนมาตะจะมีมากเมียหรือไม่ อันนี้ถ้าพจน์นึกคิดได้แวบนึงเหมือนแบบคุณล่ะก็ สงสัยมาตะเราคงถูกจับตอนแน่ๆเลย อิอิ

:z6:ทำพจน์เสียใจ สมควรถูกลงโทษ o13
โถๆ มีแต่คนทีมพจน์ คราวนี้มาตะคงสิ้นชื่อเป็นแน่ ไม่มีใครอยู่ฝ่ายตนเลย แล้วจะง้อพจน์สำเร็จไหมล่ะเนี่ย รอติดตามต่อไปนะครับ

พจน์เจอฉากรักไปถึงขั้นเป็นลมกันเลยทีเดียวพจน์ช่างใจแข็งนักพ่อมาตะคนซื่อคงทุกข์ใจน่าดู รอการแก้ปมทุกปมจากคนเขียน ไม่เดาแล้วเดาไม่ถูกชักที5555 ชูป้ายไฟคนเขียนสู้ๆๆๆ :mew1:
ถ้าเป็นผม หรือผู้อ่านหลายๆคนอ่านไม่มีอาการแบบพจน์ก็ได้นะครับ 5555 แต่อยู่ๆก็ถูกจับให้ไปอยู่ในห้องนั้นไม่ทันตั้งตัว สติมั่นคงมีหรือจะทานทนได้พจน์ก็เลยกลายเป็นสภาพแบบนั้น พจน์จะใจแข็งได้อีกนานไหม ลองถามใจเธอดู 555 เป็นผมนี่คงยอมให้อภัยตั้งแต่ไปหาสมุนไพรมาต้มยาให้ละ คนอะไรดีต่อใจเหลือเกิน ก็คาดเดาเผื่อไว้เล่นๆก็ได้ครับ ถ้าเกิดตรงกับใจคุณก็ดีไป แต่ถ้าไม่ตรงก็ถือว่าเป็นเซอร์ไพรส์ดีนะผมว่า รอติดตามต่อไปจนจบนะครับ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๒ อาถรรพณ์พระเวท ๕๐% (๒๘/๐๗/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 29-07-2016 19:14:41

“เหตุผลที่ผมเกิดมา หรือทุกคนเกิดมา เพื่อต้องเผชิญความเจ็บปวดหรือครับ คุณปู่”

“เปล่า” รอยยิ้มไม่คาดคิดผุดพรายเหนือใบหน้าของท่าน “ปู่ยังพูดไม่จบ ความทุกข์น่ะส่วนหนึ่ง แต่เป็นความรัก ต่างหากที่เราถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้”

888888888   ผมชอบตอนนี้มากๆเลยฮะ   แต่มีช่วงหนึ่งที่บอกว่า  เหตุผลที่เกิดมา  มีความทุกข์ส่วนหนึ่ง  แต่มีความรักต่างหากที่เราถือเกิดขึ้นบนโลกใบนี้  *** เพื่อเป็นการช่วยสดับสติปัญญาผู้มีความรู้น้ออย่างกระผม   พี่ช่วยอธิบาย ให้ผมฟังหน่อยสิฮะว่า  ทำไมถึงว่า  *ความรักถึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราเกิดขึ้นมาและต้องเผชิญความเจ็บปวดละคับ* ผมไม่รู้จริงๆ   888888888
(คำพูดที่คุณปู่พูดกับพจน์  ผมยังตีความหมายไม่ได้เลยฮะ)
........ ขอปัญญาจงอยู่กับท่าน
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๒ อาถรรพณ์พระเวท ๑๐๐% (๐๑/๐๘/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 01-08-2016 10:04:48
[ต่อ]



เจ้าม้าขนสีน้ำตาลรับรู้น้ำหนักมนุษย์เหนืออาน เรือนกายลึกลับผุดวาบกระชับดึงสายบังเหียนได้ทันท่วงที บัดนี้พจน์ข้ามพิภพกลับมารวดเร็วเมื่อสติหลับใหล ท้องฟ้ายังคงมืดมัว ต้นใหม้ใบหญ้าผุดขึ้นริมทางนานาพันธุ์ เทือกเขาสูงใหญ่มหึมาทอดขวางบดบังเป็นเงาทะมึนราวกับงูยักษ์ถูกสาปนอนทอดกายอยู่ ความเป็นห่วงโลกปัจจุบันที่จากมามีมากเท่าใด แต่ไม่อาจฝืนห้ามอำนาจเร้นลับพาข้ามพิภพสู่ที่แห่งนี้ได้ ภาวนาให้ระหว่างตนละจากอย่าได้เกิดมีอันตรายใดๆมาแผ้วพานครอบครัวและกลุ่มเพื่อนอีก ได้แต่ภาวนาเท่านั้น... นี่หรือคือผู้ที่พราหมณ์โกสินธพกล่าวยกว่าเป็น มหาบุรุษ ผู้ครอบครอง เพชร มหามณีล้ำค่าสูงสุด ทำได้แค่ภาวนา น่าอดสู

“เกิดเหตุอันใด ฤา เจ้า” มาตะผ่อนฝีเท้าม้าเมื่อแลเห็นว่าอาชาอันตนจูงลากปรากฏมีผู้ควบขี่กลับคืนดังเดิมก็ปลดสายจูงออก พระมหาอุปราชเหลียวทอดพระเนตรชั่วขณะก่อนจะกระตุ้นเตือนให้ม้าเร่งฝีเท้าต่อ จาโคยักคิ้วหลิ่วตาต้อนรับพจน์ ฝ่ายเจ้าคาวินก็ผิวปากจนถูกมาตะส่งสายตาเยือกเย็นกำหราบ รีบแก้ต่างยกมือขอขมาแต่นัยน์ตาขยิบยิ้มแฝงความขี้เล่น พจน์ยกมุมปากส่ายหน้า “เหตุการณ์ข้างน้องท่านหาปรกติ ฤา จึ่งก่อรอยปริวิตก”

เมื่อคนคู่พิศวาสไม่ตอบคำ มาตะก็ไม่ดันทุรังเซ้าซี้แต่อาศัยลอบสังเกตเป็นระยะ ในหัวเจ้าหนุ่มมากโฉมมีแต่ภาพอันตรายต่างๆนานา แต่อธิษฐานด้วยใจตั้งมั่นว่า หากเกิดการมิควรขึ้นคำรบสอง ขออำนาจศักดิ์สิทธิ์ซึ่งชักพาตนข้ามพิภพโปรดจงนำกลับอย่างปัจจุบันทันด่วนด้วยเถิด จึ่งค่อยคลายใจ

หนทางสัญจรเริ่มมีผู้คนเดินสวนผ่าน บ้างขับม้า บ้างขับเกวียนเทียมโค มุ่งหน้าสู่กำแพงเมืองทวาระบุรีที่เพิ่งละจาก ลำธารสายหนึ่งผุดไหลแว่วจากด้านซ้ายของเส้นทางดิน เบื้องหน้าถนนเปลี่ยนเป็นศิลาปูลาดเช่นเดียวกับหนทางในเมืองทวาระบุรี ชุมชนตั้งบ้านเรือนอยู่หนาแน่นภายในเขตกำแพงค่ายคูประตูหอรบทำจากไม้สัก แสงไต้ไฟวับแวมพร้อมคำสนทนาเจรจา  ป้อมปืนขนาดใหญ่ก่ออิฐฉาบปูนทาสีขาวผุดสูงเด่นเป็นสง่า สร้างเป็นป้อมสองชั้นแปดเหลี่ยมดูแข็งแรงทนทาน กระบอกปืนใหญ่สีดำมะเมี่ยมวางสับหว่างระหว่างใบเสมา แลเห็นทหารลาดตระเวนเกราะเงิน และเกราะทองสวนกันขวักไขว่ กลางถนนมีขวากไม้แหลมตั้งสกัดเป็นด่านตรวจ โกสินทร์ส่งสัญญาณให้ผ่อนฝีเท้าม้าลง เรียงลำดับย่างผ่านนายทหารหน้าขึงขังผู้หนึ่งไปด้วยสายตาไม่ชอบมาพากล ครั้นได้สอบถามว่าเป็นพ่อค้าประสงค์ผ่านชุมชนสู่ประตูด่านก็ปล่อยตัวไม่ติดใจเอาความ
 
เงามหาบรรพตทอดทับแหล่งอาศัยหน้าด่านดุจเมฆดำ ราษฎรผู้ประสงค์จะออกช่องเขาด่านสุวรรณคีรีต่างจับกลุ่มสรวลเสเฮฮารออยู่เบื้องหน้าประตูไม้ขนาดมหึมาผูกต่อผนึกแน่นโดยใช้ไม้หลายพันต้นสร้างขึ้น ทาทับด้วยชาดเขียนลายขาวเป็นรูปสิงห์ก้าวย่างเยื้องเสมือนมีชีวิต ขนาบเคียงด้วยเงาแกะสลักหินผาเป็นรูปสิงห์สูงใหญ่เทียมเท่าภูเขาลูกนี้ สลักลายอย่างเดียวกับที่พจน์เคยเห็นประจำอยู่หน้าประตูเมืองแต่ขยายขนาดใหญ่โตกว่า หันหน้าสู่เบื้องทิศตะวันออกของประตู ทาสีขาวปลอดทั้งตัวสว่างจ้า คะเนว่าช่างแกะสลักนับพันนับหมื่นคงช่วยกันลงมือลงแรงทิ่มแทงออกจากหินภูเขาที่ทอดตัวยาวเป็นช่วงชั้นต่อเนื่องในแนวเหนือใต้สุดลูกหูลูกตา

มหาสิงหราช เป็นประติมากรรมหินทรายใหญ่โตที่สุดนับแต่มนุษย์ก่อเกิดขึ้นบนมหาพิภพ แกะสลักจากหินภูเขา ขนาบข้างไว้ดุจทวารบาลปกปักรักษาคุ้มครองมหาอาณาจักรของชาวเรา” โกสินทร์ขยับม้าถอยมายืนเคียงอธิบายในสิ่งที่ตาพจน์พิจารณา

“มันสร้างด้วยน้ำมือมนุษย์จริงหรือ ใช้เวลานานเท่าไหร่จึงแล้วเสร็จ” พจน์ถามกลับ

“สิบศตวรรษ”

“หนึ่งพันปี! บ้าไปแล้ว” พจน์ร้องอย่างไม่อยากจะเชื่อ ขนลุกซู่

บรรยากาศเย็นยะเยือกถูกพัดพาจากยอดเขาผ่านต้นไม้ใบหญ้านานาชนิดที่ขึ้นปกคลุมเทือกเขานั้นไว้ตั้งแต่ลาดเชิงจรดปลายโค้งเว้าซึ่งลับหายกลืนลับกลุ่มเมฆสีดำ พจน์กระชับกายแน่นกว่าเดิม ด้วยผ้าคล้องใหล่ผืนเดียวมิอาจช่วยระงับอาการสั่นได้ มาตะลอบสังเกตเห็นกิริยาหนาวสะท้านของพจน์อยู่ในทีก็รีบปลดผ้าคล้องไหล่ตนออก ควบม้าขึ้นเคียงแล้วยื่นให้ เมื่อเห็นว่าพจน์เอาแต่มองก็จับใส่มือไม่เจรจาความใดต่อกัน เด็กหนุ่มหน้าสะคราญไม่อาจทนหนาวได้ แต่เจ้านั่นมีหรือจะไม่หนาวเช่นตน คิดได้ดังนั้นก็มิอาจนำมาพันกายเหมือนคนเห็นแก่ตัวจึงกำผ้าไว้แน่น
 
ระหว่างยืนคอยให้ประตูด่านเปิดเมื่อแสงแรกอรุณฉายฉาน พยายามเหลียวมองมาตะพะวงห่วงจะหนาวกาย ครั้นเห็นลำตัวอุดมมัดกล้ามมิได้สะทกสะท้านปรากฏอาการดั่งว่าก็คลายใจ ผู้คนแต่งตัวมิดชิดหอบหิ้วตระกร้าสานไม้ไผ่ บ้างขับเกวียนบรรทุกพืชพรรณธัญญาหาร จำพวกข้าว ข้าวโพด เผือก มัน หรือเครื่องเทศ พริกไทย จันทน์เทศ กานพลู ส่งกลิ่นตลบอบอวลเต็มลำเกวียนอยู่รายล้อม
 
“ด่านช่องเขาสุวรรณคีรีนี้มิรู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่นี่เป็นช่องทางเดียวที่จะข้ามพ้นมหาบรรพตนพรัตนคีรี โดยมิต้องปีนป่ายให้ยากกาย จึ่งเสมือนประตูสู่อาณาจักรแห่งเรา แลเป็นประตูสู่อาณาจักรอันลึกลับที่มิใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์” เวฬุอธิบายระหว่างรอ กฤษณะถูกพระมหาอุปราชาชวนให้สนทนาความอย่างหนึ่งอยู่ แม้นใจตัวหมายประสงค์ร่วมพูดจาด้วยภัทรพจน์ก็มิอาจทูลลาได้

“เผ่าพันธุ์อะไรงั้นเหรอ” พจน์ถามกลับ เวฬุปั้นหน้าขรึม พลางว่า

“เทพ คนธรรพ์ พญานาค กินนร ครุฑ นรสิงห์  คชสีห์” เจ้าหนุ่มตัวอวบหยุดกลืนน้ำลาย แล้วว่า “แล ยักษ์”

“มีแค่นี้น่ะหรือ” พจน์นึกภาพตาม ราวกับดินแดนนี้เป็นแหล่งรวมสิ่งมีชีวิตในวรรณคดีอย่างไรอย่างนั้น

“หาไม่ แลยังมีอมนุษย์อื่นอีกมากมาย เป็นต้น ภูติผีอสุรกายที่ไร้อาณาจักรเป็นหลักแหล่งปกครอง” โกสินทร์อธิบายเพิ่มเติม “แผนที่ของชาวเราสิ้นสุดลงตรงประตูช่องเขาด่านสุวรรณคีรีนี้ และหามีผู้ใดจักอาจกล้าสำรวจดินแดนเบื้องหลังประตูด่าน มีอยู่คราวหนึ่ง พระมหากษัตริย์มนุษย์ทรงพระนามว่า นันทราชา ผู้ปกครองชาวเรามาเมื่อหลายพันปีล่วง ทรงดำริจักขยายแผนที่บนมหาอาณาจักรให้กว้างขวางออกไปจึ่งส่งนายช่างชำนาญชัยภูมิวิเศษคัดสรรแต่อย่างดีให้ผ่านเบื้องประตูด่าน แลคัดลอกเส้นทาง พืชพรรณ ห้วยหนองคลองบึง ฤา แม่น้ำสายสำคัญมาทูลถวายแด่พระองค์ หลังผ่านพ้นเป็นเวลาหนึ่งปี ก็ไม่ปรากฏว่ามีชาวคณะสำรวจผู้ใดกลับมาถวายความเป็นไป แลสาบสูญไม่มีใครพบเห็นอีกนับแต่นั้น แผ่นที่ของชาวเราจึ่งสิ้นสุดลงตรงนี้มายาวนานดั่งว่า แลอาณาประชาราษฎร์จะผ่านไปได้ก็อาศัยแต่ความชำนาญด้านค้าขาย แลความจำเป็นลำดับต้นในการเอาตัวรอดกลับมาเป็นที่ตั้ง”

“แปลว่ามหาเทวาลัยร้างที่เราจะต้องไปตรวจตราอยู่ตรงไหน ก็ไม่อาจรู้แน่ชัดน่ะสิ เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรเลย” พจน์ตั้งข้อสังเกต

“มหาเทวาลัยแห่งนั้นมีผู้พบเห็นมานักต่อนัก ดังคำเฒ่าวลาหกกล่าวฝากไว้ คือตั้งอยู่ห่างประตูด่านไปทางทิศตะวันออกเพียงระยะ ๑ โยชน์ แต่สภาพแวดล้อมนั้นจะมีอันแปรเปลี่ยน ฤา ไม่ ยากจะรู้ ด้วยมีคนเล่าลือว่าก่อนถึงมหาเทวาลัยร้างปรากฏเป็นดงป่าอาถรรพณ์ขวางกั้นอยู่ หากแม้นมิทำตำหนิไว้ให้ดี ขากลับอาจหลงทางวนเวียนหาทางออกไม่ได้ ประหนึ่งต้นไม้เหล่านั้นมีชีวิตและเคลื่อนไหวสลับโยกย้าย จึ่งเป็นที่มาของชื่อนครไพรพนาวรรณ”

พจน์คิดตามก็ให้สะดุ้ง
 
เสียงตะโกนของเหล่าทหารเกราะทองสลักลายนูนสิงหนาทป่าวประกาศถึงเพลาเปิดแลปิดประตู คือนับแต่แสงอรุณรุ่งจวบกระทั่งดวงพระอาทิตย์ตกลงจากขอบฟ้า บานประตูจะเปิดอยู่เพียงแค่นั้น เมื่อราตรีเคลื่อนผ่านจึ่งปิดแน่นหนามั่นคง เมื่อคำทั้งนี้ดังชัดในหมู่ชนผู้รอแออัดอยู่บริเวณหน้าประตูด่านโดยถ้วนทั่วแล้ว เสียงลั่นของประตูไม้ยามเสียดสีกันก็แว่วมาให้ได้ยิน พร้อมกับทหารหลายร้อยคนใช้เชือกขนาดหลายขดผูกซ้อนกันชักลากบานประตูให้เปิดออกทีละน้อย โดยมีเสียงกลองตีกำกับจังหวะ หมู่อาคารก่ออิฐถือปูนแบบตึกทหารตั้งขนาบอยู่พร้อมลานฝึก แลโรงศาสตราวุธ กรมกองทหารจัดกระบวนเดินผ่านตรวจตราตั้งด่านสำรวจหาสิ่งไม่ชอบมาพากล ก่อนจะปล่อยให้ผู้คนผ่าน  แสงทองสาดกระทบใบหน้าแลผืนดินทันทีเมื่อบานประตูสีชาดเปิดออก ราษฎรถูกตรวจตราโดยถ้วนถี่แล้วหลั่งไหลเดินผ่านช่องเขาโดยเร็ว หวังให้ทำธุระเสร็จก่อนตะวันตกดิน

พระมหาอุปราชาสุริยะเสด็จลากจูงอาชาผ่านด่านตรวจนำหน้าทุกคน พจน์เห็นควรปฏิบัติตามก็เหวี่ยงตัวลงจากหลังอานเดินลากจูงเช่นกัน ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี รูปปั้นมหาสิงหราชใช้เท้าหลังเป็นฐาน ขาหน้าเหยียดตรง หัวเชิดสูงดูน่าเกรงขามแลองอาจอยู่ในที ต้องแหงนคอมองตั้งฉากจึงจะเห็นปลายยอดสูงสุด เมื่อเดินถึงกึ่งกลางช่องเขาทุกคนก็โหนนั่งหลังม้าแล้วควบผ่านฝูงชนสู่ทิศทางแสงอรุณเผยแตะขอบฟ้า พื้นที่ราบระยะหนึ่งปรากฏให้เห็นเป็นท้องทุ่งโล่ง มีเพียงหญ้าแห้งพริ้วไหวตามสายลม ถนนแยกเป็นทางสามแพร่ง เส้นทางหนึ่งทอดพุ่งข้ามทุ่งหญ้าหายลับเข้าแนวป่ารกทึบร้างไร้ผู้คนสัญจร มาตะเร่งขับอาชาเข้าเทียบเคียงพระมหาอุปราชสนทนาต่อกันชั่วครู่ก็ควบสู่เส้นทางวิเวกนี้ ชาวเมืองเห็นกลุ่มคนทั้งนั้นควบม้าสู่หนทางอันไม่มีใครกล้ารุกล้ำก็ต่างจับกลุ่มซุบซิบ ชี้มือชี้ไม้ด้วยหน้าขยาดกลัวแลพิศวง

พจน์กระตุ้นลำตัวเจ้าสีน้ำตาลเหยาะย่างควบตามติด แนวไม้ขนาดใหญ่ขึ้นเป็นดงแออัดใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งลองเหลียวหลังมองกลับ รูปปั้นมหาสิงหราชต้องกระทบแสงอรุณย่อส่วนอยู่ไกลลิบลับ

“ป่าอาถรรพณ์ใช่ ฤา ไม่” อุปราชสุริยะร้องถามมาตะ เจ้าหนุ่มก็รีบรับคำว่าจริง เมื่อบัดนี้ต่างขับอาชามาถึงแนวชายป่านามนั้น เพียงพินิจภายนอกก็หาได้มีสิ่งใดต่างจากดงป่าที่พจน์เคยเห็นผ่านตามาก่อน มีเสียงนกร้องแว่วสะท้อนยามออกหากิน ผสานลมพัดผ่านยอดไม้มาเนืองๆ

“จัดกระบวนเดินทางให้รัดกุมตามตำราพิชัยยุทธ์ว่าด้วยการลาดตระเวน” สุริยะอุปราชาสั่งพระพักตร์นิ่ง ตวัดพระเนตรสบตาพจน์แฝงความหมิ่นแคลน ทุกคนขยับม้าปฏิบัติตามคำคล้ายลักษณะปลายทวน คือทหารองครักษ์ปัญจะจาโคอยู่แนวหน้า ตามติดด้วยเวฬุและโกสินทร์ ถัดมาเป็นพระมหาอุปราชาแล้วพจน์ ขนาบข้างด้วยวรุณ คาวิน รั้งท้ายคือ มาตะ กฤษณะ

“หากเห็นสิ่งไม่ชอบมาพากลใดจงอย่าได้เอ่ยทักท้วง แลปล่อยให้ผ่านพ้นโดยดี ด้วยกิตติศัพท์เล่าลือว่าภายในป่าอาถรรพณ์ถูกร่ายพระเวทไว้ คือมนตราดำจึ่งทำให้สรรพสิ่งประหนึ่งมีชีวิตเคลื่อนย้ายที่ทางของตนได้ เวฬุ โกสินทร์จงใช้ศาสตราวุธทำเครื่องหมายสลักไว้บนลำต้นหนึ่ง แลโยนหินนิลกาฬไปตลอดทางอีกหนึ่ง มาตะเจ้าจงสังเกตลักษณะชัยภูมิเนินดิน แลลำธารอันประกอบอยู่ข้างเคียงเส้นทางเป็นที่หมายอีกหนึ่ง สามประการนี้จักช่วยเราให้หวนกลับคืนอย่างถูกต้อง”

“พระเจ้าค่ะ” ทุกคนน้อมรับพระราชบัญชาโดยพร้อมเพรียง หากพบอันตรายสิ่งใดปรากฏคงได้รู้ดีรู้ชั่วกันแน่ หอกซัดของพระมหาอุปราชเหน็บไว้ที่เอวพจน์แน่นหนาอยู่ อีกทั้งโกสินทร์ยังมอบดาบยาวเกือบเมตรให้สะพายหลังไว้ อย่างน้อยตนคงไม่เป็นภาระให้ใครต้องมาพะวงดังคำปรามาสของนายสุริยะเป็นแน่

องครักษ์จาโคปัญจะชักบังเหียนม้าย่างเท้าเข้าแนวไม้ แสงอรุณเริ่มฉายชัด เส้นทางดินเลี้ยวลดผ่านไพรพนาสูงใหญ่ อันน่าจะเป็นต้นไม้ป่าดิบชื้น จำพวกต้นตะเคียนทอง กระบาก จำปาป่า ยมหอม เป็นต้น ต่างขึ้นเบียดเสียดหนาแน่น จนแม้แต่แสงรุ่งอรุณทอลอดผ่านกลุ่มก้านใบได้เพียงบางเบา แต่ก็ยังสามารถเห็นเส้นทางเดินผ่านได้ ไม่มีใครพูดคุยสนทนาแม้แต่คำเดียวจึงควบผ่านโดยไม่เร่งรีบ เสียงสายน้ำลำธารดังแว่วผ่านเบื้องหลังเนินดินด้านซ้าย มีนกแลกระรอกป่าเกาะโหนตัวตามกิ่งก้านสาขา บ้างโต้ร้องตอบกันดังกังวาน เส้นทางลัดเลาะคดเคี้ยวยังไม่เห็นปลายทาง
 
ระหว่างจาโคแลปัญจะผู้นำขบวนกำลังข้ามผ่านลำห้วยโดยมีน้ำไหลเพียงน้อยนิดนั้น บังเกิดเสียงอย่างหนึ่งคล้ายกับว่าเป็นเสียงน้ำไหลเชี่ยวกรากซัดกระทบมาแต่เบื้องซ้ายมือ พร้อมสำเนียงคำสวดบริกรรมคาถาอย่างใดอย่างหนึ่ง แรกเริ่มเหมือนอยู่ไกลแสนไกลแต่บัดนี้ดังสะท้านทั่วพงไพรจนน่าขนลุก

“พระเวทมนตร์ดำ” พระมหาอุปราชตรัสเตือน “เร่งฝีเท้าม้าวิ่งขับโดยพลัน”

เพียงสิ้นกระแสรับสั่ง ทหารราชองครักษ์ เวฬุ โกสินทร์ต่างเร่งควบตามโดยทันที พจน์เห็นเหตุกาณ์ผิดประหลาดเช่นนั้นก็ครองสติให้มั่น ปฏิบัติตามคำ ควบม้าติดตามพระมหาอุปราชสุริยะไม่ลดละ ประหนึ่งเหมือนสายน้ำล้นหลากทะลักแว่วมาทุกทิศจนต้นไม้ลู่เอนโงนเงน บ้างก็เหมือนขยับเขยื้อนเคลื่อนที่ได้ อำนาจลึกลับแห่งป่ามนตร์ดำโหมซัดโอบล้อมพวกเขาไว้ใกล้เข้ามาทุกขณะ

“เร่งควบไป อย่าได้พะวักพะวงตื่นกลัวในสรรพเสียงแลภาพลวงตาเป็นเด็ดขาด” อุปราชหนุ่มตรัสสั่งดังก้อง
 
“มีผู้ใช้พระเวทเล่นงานคณะเรา ด้วยเสียงสวดโองการนี้คงมิพ้นคัมภีร์อถรรพเวท” กฤษณะโต้ตอบ

“อำนาจลึกลับใดจักทำร้ายเราเห็นจะทำไม่ได้นอกจากความขลาดกลัวในใจตน จงกล้าหาญอดทนอย่างที่สุด แลข้าสัญญาว่าจะนำพาพวกเจ้าทั้งหมดรอดพ้นจากหายนะนี้” สุริยะอุปราชประกาศเจตนามั่นคงเด็ดขาด

ผืนแผ่นดินอันเคยนิ่งสงบกลับสั่นไหวดั่งจะปริแตก ทำให้เจ้าม้ามีอาการว่อกแว่กตื่นกลัวจนเหงื่อตกกีบเท้าควบคุมได้ยากกว่าเดิม ซ้ำเสียงสวดแลสายน้ำพัดกระหน่ำเหยียบย่ำอีก ก็ทำให้เจ้าสัตว์พาหนะตระหนกยิ่งกว่าเก่าละล้าละลังไม่อาจขยับฝีเท้าได้ตามใจผู้ควบขี่

“เห็นจะมีรอดพ้นเป็นแน่แล้ว” กฤษณะพยายามบังคับม้าด้วยความอับจน
 
“พี่ท่านอย่าด่วนปลงใจยอมแพ้ ความดีอันเราประกอบขึ้นมาทั้งชีวิตคงสนองตอบคืนในคราวยากนี้ อีกทั้งสติปัญญาฝีมือพอมีอยู่ แม้นอำนาจลึกลับแข็งแกร่งปานใด ก็หาได้ชนะใจอันกล้าหาญของเราไม่ เป็นตายคงเห็นดีกัน” มาตะตะโกนปลุกใจโผเข้าช่วยภัทรพจน์บังคับม้าให้คืนสงบ หะนี้ต้นไม้รายรอบขยับหายกลับกลายเป็นลานโล่งเห็นท้องฟ้ามืดครึ้มก่อเป็นเมฆดำอยู่เบื้องบน พฤกษาลำต้นสูงใหญ่โอบกระชับพวกเขาไว้ในวงล้อมดุจเชลย

สักพักหนึ่งทำนองสวดโองการก็แผ่วเบาลง เช่นเดียวกับแรงสั่นสะเทือนของผืนดิน แต่ยังคงได้ยินศัพท์สายน้ำไหลเชี่ยวอยู่เบื้องหลังต้นไม้ใหญ่ ชั่วครู่ก็บังเกิดเหมือนแสงฟ้าผ่าลงที่ใดที่หนึ่ง ท้องฟ้ามืดมัวก็พลันสลาย ดวงพระอาทิตย์ค่อยๆทะลุผ่านก้อนเมฆ เส้นทางดินผุดขึ้นเป็นแนวให้เห็นชัดอีกครั้งด้านซ้ายมือของขบวนอาชา และบุคคลซึ่งกำลังเดินย่างเท้ามาตามเส้นทางนั้น แต่งกายนุ่งห่มด้วยผ้าขาวคล้ายฤาษีชีพราหมณ์อย่างเดียวกับพระอาจารย์โกสินธพ แต่อ่อนวัยกว่ามาก ผมดำขลับมุ่นมวยคะเนอยู่ในวัยกำดัด ขีดสีแดงเข้มจัดเป็นทรงหยดน้ำกลางหน้าผาก หลับตางึมงำพึมพำถ้อยความที่ไม่มีใครได้ยิน เหล่าต้นไม้เริ่มทยอยเปิดให้เห็นเส้นทางอีกครั้ง พร้อมกับนำถ้อยคำอาถรรพณ์จากไปทั้งหมด พราหมณ์หนุ่มผู้นั้นก้าวออกมาสู่กลางลานโล่ง ลูกประคำสีดำคล้องคอแลข้อมือทั้งสอง
 
เพียงพจน์สบเห็นร่างของเจ้าพราหมณ์ก็พลันหัวใจเต้นระทึก ถลันลงจากหลังอาชาจนเกือบสะดุด มาตะผวาคว้าก็ไม่ทันการณ์ พราหมณ์หนุ่มน้อยท่องบทสวดคาถาจบ แล้วลืมตากลมสวยขึ้นมองพจน์ ก่อนจะยกคิ้วเข้มขึ้นเหมือนหนึ่งสงสัยในท่าทีสีหน้าของคนแปลกถิ่นที่เอื้อมคว้ามาจับมือตน

“วายุ...ใช่นายหรือเปล่า”



100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3440379#msg3440379)
เพจนิยาย (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)
_______________________________

ครุฑ : พญานก มีลำตัวและแขนเป็นคน หัวและหน้าเป็นนก
นรสิงห์ : สัตว์ครึ่งคนครึ่งราชสีห์ มีหางยาวปลายเป็นพู่
คชสีห์ : สัตว์ที่มีรูปเหมือนราชสีห์ แต่มีงวงเหมือนช้าง
_______________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม


“เหตุผลที่ผมเกิดมา หรือทุกคนเกิดมา เพื่อต้องเผชิญความเจ็บปวดหรือครับ คุณปู่”

“เปล่า” รอยยิ้มไม่คาดคิดผุดพรายเหนือใบหน้าของท่าน “ปู่ยังพูดไม่จบ ความทุกข์น่ะส่วนหนึ่ง แต่เป็นความรัก ต่างหากที่เราถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้”

888888888   ผมชอบตอนนี้มากๆเลยฮะ   แต่มีช่วงหนึ่งที่บอกว่า  เหตุผลที่เกิดมา  มีความทุกข์ส่วนหนึ่ง  แต่มีความรักต่างหากที่เราถือเกิดขึ้นบนโลกใบนี้  *** เพื่อเป็นการช่วยสดับสติปัญญาผู้มีความรู้น้ออย่างกระผม   พี่ช่วยอธิบาย ให้ผมฟังหน่อยสิฮะว่า  ทำไมถึงว่า  *ความรักถึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราเกิดขึ้นมาและต้องเผชิญความเจ็บปวดละคับ* ผมไม่รู้จริงๆ   888888888
(คำพูดที่คุณปู่พูดกับพจน์  ผมยังตีความหมายไม่ได้เลยฮะ)
........ ขอปัญญาจงอยู่กับท่าน
ขอบคุณที่คุณชอบตอนนี้ครับ และมีข้อสงสัยในประโยคคำพูดคุณปู่ของพจน์ 555 ขนาดต้องแปลไทยเป็นไทยกันเลยทีเดียว เอาง่ายๆก็คือ เหตุผลหลักของการเกิดคือ การมาพบเจอ ความรัก ครับ ทุกคนต้องเจอความรักไม่ว่าจะในรูปแบบใด ตั้งแต่ความรักของพ่อแม่ เพื่อนสนิทมิตรสหาย หรือ แฟน เป็นต้น ส่วนความเจ็บปวดนั้นไม่ใช่ไม่เจอ แต่มันน้อยนิดเทียบไม่ได้เลยกับความรู้สึกที่เรียกว่า รัก หวังว่าจะช่วยตอบข้อสงสัยในใจของคุณได้นะครับ

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๒ อาถรรพณ์พระเวท ๑๐๐% (๐๑/๐๘/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 01-08-2016 23:03:17
เข้าใจความหมายแล้วครับ  แต่จากที่ไม่ชอบอยู่แล้วยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่เลยอุปราชเนี้ย  ยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกนะครับเนื้อหา ทิ้งท้ายได้เจ็บปวดอีกแล้วนะครับคนแต่ง  จะใช่คนที่พจน์คิดรึเปล่านี้สิ  อยากรู้ๆจริงๆ  ลุ้นละทึกกันเลยที่เดียวครับ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๒ อาถรรพณ์พระเวท ๑๐๐% (๐๑/๐๘/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: pui_noizๆ ที่ 02-08-2016 21:49:18
ขอบคุณฮะ ยังคงมีมาตรฐานในการประพันธ์ที่สูงเหมือนเดิมนะฮะ

มีคำผิดเล็กน้อย น้อยจริงๆ ลองพิจารณาดูอีกทีนะฮะ ว่าอย่างไร มี และ แล,   แผ่นที่ และ มี กับ มิ

... “แผนที่ของชาวเราสิ้นสุดลงตรงประตูช่องเขาด่านสุวรรณคีรีนี้ และหามีผู้ใดจักอาจกล้าสำรวจ...


...แลสาปสูญไม่มีใครพบเห็นอีกนับแต่นั้น แผ่นที่ของชาวเราจึ่งสิ้นสุดลงตรงนี้มายาวนานดั่งว่า...

...ขากลับอาจหลงทางวนเวียนหาทางออกไม่ได้ ประหนึ่งต้นไม้เหล่านั้นมีชีวิตและเคลื่อนไหวสลับ...

...“เห็นจะมีรอดพ้นเป็นแน่แล้ว” กฤษณะพยายามบังคับม้าด้วยความอับจน...

นอกจากนี้ยังมีข้อสงสัยคือ

...บานพระทวารจะเปิดอยู่เพียงแค่นั้น... เข้าใจว่าเป็นประตูเมือง หรือในกรณีนี้ก็ใช้คำนี้ได้

...พร้อมกับทหารหลายร้อยคนใช้เชือกประกำขนาดหลายขดผูกซ้อนกัน... เนื่องจากอยากเห็นหน้าตาของเชือกเลยไปถามอากู๋ แต่พบเป็น เชือกปะกำ เชือกปะกำช้าง แทน หรือ คำปะกำเขียนได้ทั้ง 2 แบบ แต่ก็หาคำประกำไม่เจอ จะพบเป็นประคำ แทน หรือเป็นเชือกต่างชนิดกัน?

ท้ายสุด...เรื่องเนื้อหาก็ไม่มีอะไรนะฮะ ดีงามตามท้องเรื่อง แต่เห็นควรว่าพจน์ควรลดทิฐิลงได้แล้ว และกลับมาเป็นปกติเยี่ยงที่ควรจะเป็นโดยพลัน อะไรมากไปก็ดูไม่งามนัก มันจะเป็นเงาสะท้อนของความคิดและจิตใจของตัวเองได้น่ะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๓ ดวงเนตรสีชาด ๑๐๐% (๐๔/๐๘/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 04-08-2016 12:55:36
บทที่ ๓๓


ดวงเนตรสีชาด


   
“หมู่ท่านทั้งหลายมีกิจสำคัญอันใด ฤา จึ่งเสี่ยงภัยเอาชีวิตเดินผ่านไพรพนาวรรณป่าอาถรรพณ์”

พราหมณ์ผู้เฒ่าหนึ่งในเก้าซักความ คลุมผ้าขาวนวลเฉกเช่นหนวดเคราเส้นผม คล้องลูกประคำรอบลำคอและข้อมือ คิ้วขาวยกฉงนจนหยดน้ำเขียนสีแดงบนหน้าผากลีบเล็ก ส่วนพราหมณ์ชราทั้งแปด บ้างอ้วนท้วมเจ้าเนื้อ บ้างผ่ายผอมหนังหุ้มกระดูก ต่างนั่งขัดสมาธิเรียงลำดับบนแท่นหินศิลาหน้าประตูระเบียงคดชั้นใน ลักษณะคล้ายปราสาทหินแถบจังหวัดในภาคอีสาน ฝ่ายพราหมณ์น้อยผู้แก้ไขช่วยพวกพจน์ในป่าอาถรรพณ์พนมมือชันเข่าตรงขั้นบันไดศิลาลดหลั่น

“เราทั้งนี้ล้วนเป็นพ่อค้าวาณิชประสงค์ไม้จันทน์หอมเบื้องหลังเทวาลัยเป็นจุดหมาย ต้องการนำค้าขายเพิ่มทรัพย์ศฤงคารแลฐานะตนจึ่งดั้นด้นเสี่ยงภัย” อุปราชาหนุ่มทรุดเข่าลงพนมมือแสดงคารวะ

“หามีมนุษย์ผู้ใดจักอาจหาญชาญชัยก้าวล่วงผ่านไพรไสยศาสตร์มา ด้วยเกรงฤทธาคำสาปร้ายอันซ่อนเร้นอยู่ แม้นคำเหล่าเจ้าจักอ้างจู่เข้าตัดไม้จันทน์หอมเพื่อผดุงชีพ แต่จะหามีคุณค่าถึงขั้นต้องสละชีวีมิเห็นสม”
 
พราหมณ์ผู้หนึ่งตวาดกลับ แม้กำลังวังชาล้าโรยแต่พลังเสียงกึกก้องดุจวัยหนุ่ม สภาพแวดล้อมของมหาเทวาลัย มีลักษณะเก่าโทรมปรักหักพัง ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นแทรกรกชัฏ หินศิลาก้อนมหึมาถูกจัดวางเป็นรูปทรงยอดมณฑปปราสาทดูใหญ่โตกว้างขวางอยู่เบื้องหลังระเบียงคดชั้นใน ต้นไทรมากมายหยั่งรากรัดหินทรายแน่น บารายสระน้ำขนาบลานศิลาชั้นนอกทั้งซ้ายขวา ท้องฟ้าเบื้องบนสุกสว่างสดใสไร้เมฆหมอกดำปกคลุม ผิดต่างจากคำพราหมณ์โกสินธพว่าไว้ประหนึ่งคำลวง สถานที่สงบเงียบเช่นนี้น่ะหรือจะมีภัยอันตรายซ่อนเร้นอยู่

“ด้วยคำสัตย์จริงเป็นพยาน หมู่ข้ารอนรานฝ่าภัยด้วยต้องการไม้จันทน์เป็นแน่แท้หามีสิ่งใดแอบแฝง” มาตะกระพุ่มมือวอน “การค้าขายแม้จักตั้งตัวติดมีเงินตราไหลเวียนเข้าหีบสมบัติสักมากน้อยเพียงใด แต่หากมิอาจนำสินค้าอันมีราคาสูงในท้องตลาดมาวางขายแล้วไซร้ ทรัพย์อันควรมีประจำตัวก็จักพร่องลงแลลดหายไปในที่สุด ครั้นบัดนี้ราคาไม้จันทน์หอมเหยียบหลายร้อยชั่งมีหรือที่หมู่ข้าจักห่วงชีวิตตัว หวาดกลัวแต่สิ่งเดียวคือบิดามารดร ภรรยาแลบุตรจักได้ยากอดมื้อกินมื้อดอก จึ่งฝืนนำชีวิตมาเสี่ยง”

ผู้ทรงศีลได้ฟังคำทั้งนั้นก็หันเหกระซิบกระซาบต่อกันแลกันชั่วแล่น แล้วพราหมณ์ผู้ประทับนั่งอยู่กึ่งกลาง ลักษณะหัวหน้าเหล่าคณะก็กล่าวคำหนึ่ง

“อาตมันปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่าหมู่ท่านกล่าวคำโดยซื่อ ทั้งมีจิตใจมั่นคงในการหาเลี้ยงชีพพร้อมความซื่อสัตย์สุจริตมิได้ละทิ้งครอบครัวให้ได้ยากลำบากเป็นคุณประเสริฐประจำกายมนุษย์ เห็นจะมิขัดขวางในความประสงค์แลจักให้ที่พักอาศัยในเทวาลัยแห่งนี้เป็นแหล่งหลบฝนแดดหนึ่ง แลจักให้พราหมณ์น้อยผู้ศิษย์อาตมันนาม มารุต คอยรับใช้ปรนนิบัติท่านอีกหนึ่ง ระหว่างจัดหาไม้จันทน์จนครบตามจำนวน”

“ขอบพระคุณท่านพราหมณ์ทั้งหลายยิ่ง” มาตะว่าแล้วก็ก้มกราบหน้าผากชิดพื้น คนอื่นเห็นกิริยานอบน้อมของมาตะเป็นหลักนำก็รับคำทำตามโดยพลัน

“แต่มีข้อห้ามหนึ่งอันเหล่าท่านพึงระลึกแลระมัดระวังให้จงหนัก คืออย่าได้ข้ามเขตระเบียงคดเหยียบย่างสู่ชั้นปรางค์ประธานมหาเทวาลัยเป็นเด็ดขาด ด้วยเหล่าอาตมันบัดนี้กระทำพิธีเพ่งบำเพ็ญญาณสมาธิอยู่ มิอยากให้ผู้ใดรบกวนจึ่งเตือนไว้ นอกจากเขตนี้แล้วเหล่าท่านสามารถเดินท่องได้มิหวงห้าม แต่อย่าหลงเดินจนออกข้ามแนวกำแพงมหาเทวาลัยเป็นเด็ดขาด เนื่องจากภูมิประเทศโดยรอบเป็นหนองน้ำบึงขนาดใหญ่ปิดล้อมเป็นปราการสำคัญประดุจดั่งนพนทีมหาสมุทร มองผิวเผินอาจมิลึกดังตาเห็นแต่ใครเลยจักล่วงรู้ได้ว่า เหล่ากอวัชพืชน้ำแลดงธูปฤาษีอันขึ้นอยู่หนาแน่นนั้นหยั่งรากไปยาวไกลเช่นไร” พราหมณ์ข้างเคียงกล่าวเตือน

“อีกทั้งแนวไพรพนาวรรณป่าอาคมดำเป็นเขตหวงห้ามอย่างที่สุด เช่นท่านประสบด้วยตนเองแล้ว พระเวทมนตราถูกสาปแช่งฝังไว้กับป่านี้นับอสงไขยมิอาจมีผู้ใดไขถอนได้ จงอย่าริอ่านย่างกรายไปแต่ผู้เดียว หากเหล่าอาตมันมิได้เพ่งจิตระลึกเห็นหมู่ท่านตกอยู่ในอันตราย จนส่งศิษย์ผู้น้อยไปนำออกมา มีหรือพวกท่านจักเอาชีวิตรอดได้” พราหมณ์อีกคนแจ้งซ้ำ

“แต่การทั้งนี้อย่าได้ปริวิตกเกินควรนัก หากท่านทำการตัดไม้ขนฟืนจนพอใจแล้วแลประสงค์กลับ อาตมันจะเบิกทางให้ปลอดภัยอย่าได้กลัว”

“ขอบพระคุณความอารีแห่งผู้ทรงศีลยิ่งนัก หากมิได้เหล่าอาจารย์พราหมณ์ยื่นมือเข้าพิทักษ์แล้วไซร้ ไหนเลยพวกข้าจักมีชีวิตมาเจรจาความสืบไปได้ บุญคุณครั้งนี้มิอาจแทนทดได้หมดก็จักขอช่วยปรนนิบัติดูแลตอบแทนท่านคืนดุจกัน” สุริยะอุปราชตรัสสำนึกบุญคุณ

“ข้ามีคำถามข้องใจหลายประการ เหตุใดเหล่าพราหมณ์วรรณะสูงเช่นท่านจึงบำเพ็ญเพียรปลีกวิเวกไกลถึงเพียงนี้ ซ้ำเป็นเทวาลัยร้างตั้งห่างผู้คนหนึ่ง แลมีป่าอาถรรพณ์เป็นปราการอันตรายอีกหนึ่ง มาตรแม้นไร้กิจจำเป็นแล้วก็มิเห็นเหตุชักนำเข้ามา” เวฬุดักถามแสร้งทำสงสัย

ไม่นึกว่าเวฬุจะกล้าหาญถึงขนาดถามต่อกันซึ่งหน้าเช่นนั้น เพราะคำอาจารย์โกสินธพกล่าวว่า ไม่เคยพบพราหมณ์บำเพ็ญพรตใดจะอยู่อาศัยเทวาลัยร้างแห่งนี้เกินกว่าเจ็ดราตรีเป็นที่สงสัย อีกทั้งมีอำนาจมืดแฝงเร้นอยู่สะกิดใจ มาตะส่งตาปรามว่องไวแต่ไม่ทันการณ์
 
ผู้ครองศีลทั้งเก้าก่อนหน้ามีความผ่อนคลายยิ้มแย้มเอ็นดู แต่ชั่วครู่หนึ่งก็ปรับเป็นเงียบขรึม พราหมณ์เฒ่าหัวหน้าคณะอรรถาธิบายว่า

“หมู่คณะอาตมันเป็นพราหมณ์ลัทธิป่า ต้องการสถานพนาสงบแลห่างไกลผู้คนเป็นแหล่งบำเพ็ญเพียร ด้วยหากมีสิ่งใดก่อเกิดขัดขวางหว่างพิธีกรรม สิ่งบำเพ็ญมานับแต่แรกก็มีอันสูญเปล่าดั่งนี้ แหละเทวาลัยร้างกลางหนองบึงจึงเหมาะสมทั้งชัยภูมิวิเศษ กีดขวางด้วยปราการธรรมชาติล้อมรอบเป็นคุณประโยชน์ดังท่านได้เผชิญแล้ว อาตมันจึ่งมิเห็นแหล่งใดจักเหมาะสมยิ่งไปกว่านี้อีก” กล่าวเสร็จก็ผุดลุกยืนเป็นสัญญาณให้เหล่าพราหมณ์ทั้งแปดทำตาม “อาตมันช่วยชีวิตท่านเป็นคุณดังท่านระลึกได้แล้ว แลหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะทำการตอบแทนดุจกัน คืออย่าได้เข้ามายังเขตหวงห้าม ฤา ก่อกวนพิธีกรรมบำเพ็ญเพียรเป็นเด็ดขาด ทั้งนี้หากมีสิ่งใดประสงค์จักสนทนาด้วยอาตมันจงสั่งความฝากมารุตผู้ศิษย์ ขัดสนประการใดจงแจ้งแก่พราหมณ์ผู้นี้อย่างได้เกรงใจ บัดนี้เหล่าอาตมันเห็นทีจำต้องละท่านไว้ขอเข้าสู่ลานพิธีบริกรรมคาถาต่อ อย่าหาได้ละทิ้งโดยมิพึงใจในคำหมู่ท่านเลย ด้วยมีกิจจำเป็นหาควรละไว้นานจักขอลา”

หลังต้อนรับเป็นอันดีแล้วก็ลุกเดินเชื่องช้า บางคนอาศัยไม้ค้ำยันช่วยพยุงผ่านซุ้มประตูหินของระเบียงคด ลัดเลาะเข้าสู่ภายในเทวาลัยปราสาท ท่าทีสำรวมน่าเคารพจนลับจากดวงตา พจน์รีบโจนเข้าหาพราหมณ์หนุ่มน้อยนามว่า มารุต โดยเร็ว แล้วจ้องพิจารณาโครงหน้า คิ้วหนา ตาโต ปากบาง อย่างเดียวกันกับวายุข้าคนสนิทของพระเจ้าวัชรโกมลอดีตชาติของพจน์ ต้องเป็นวายุกลับชาติมาเกิดเป็นแน่ แต่พอพจน์ถามว่าเจ้าตัวใช่คนผู้นั้นหรือเปล่า มารุตก็ส่ายหน้าซ้อนความฉงนฉงาย
 
“อาตมันหาครองตนในนามอันท่านกล่าวไม่ ขอรับ”

ภัทรพจน์ยิ้มไม่อาจยอมรับคำปฏิเสธนั้นได้ ความยินดีผุดขึ้นเสมอเจอมิตรสหายคราวพลัดพราก จึงเอาแต่จดจ่อมองเนืองๆ

“ท่านประสงค์สิ่งใดไหว้วานอาตมัน ฤา ขอรับ” มารุตเม้มปากเขินขวย เหยียดยืนเต็มความสูงระดับเดียวกับพจน์  ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นวายุแน่นอน ในฝันวาระสุดท้ายของพระเจ้าวัชรโกมลนับแต่ตนจำความได้ ใบหน้าของคนผู้โอบกอดพยายามปลุกร่างร่ำร้องคือคนตรงหน้านี้ไม่ใช่หรอกหรือ

“นายจำไม่ได้เหรอ จำไม่จริงๆสินะ วายุ”

“อาตมันนามว่า มารุต ขอรับ” พราหมณ์หนุ่มแย้งท่าทีมั่นใจ ใบหน้านิ่งงันเริ่มแดงเก้อเขินเมื่อถูกภัทรพจน์เอาแต่จ้องไม่วางตา

“กระไรเจ้ามาคาดคั้นในสิ่งซึ่งผู้ทรงศีลยึดมั่นในเจตนาดั่งนี้มิเห็นสม กิริยาดื้อรั้นประจำตนจักมิลดทอนได้เลยกระนั้น ฤา ทั้งคนผู้อยู่ตรงหน้าเจ้ายังครองวรรณะพราหมณ์สูงกว่าในหมู่เรา มิควรกระทำกิริยาวาจาหามีมรรยาทกระนั้น” อุปราชสุริยะตำหนิขัดคอ พจน์ทำเป็นไม่สนใจคำยั่วโกรธ นึกอยากอยู่ตามลำพังสองต่อสองกับพราหมณ์น้อยเพื่อซักเตือนความจำก็ผุดคิดอุบายได้อย่างหนึ่งจึงร้องว่า

“กระหายน้ำ นายพาเราไปหาน้ำกินหน่อยสิ วา.. เอ่อ มารุต”

“ท่านประสงค์น้ำ ฤา ขอรับ ประเดี๋ยวอาตมันจักเร่งหามาให้ไม่นานนัก” กล่าวเสร็จก็จ้ำพรวดผ่านพจน์ ลอดซุ้มประตูมหาเทวาลัยชั้นนอกโดยเร็ว พจน์แทบไขว่คว้าแขนเจ้าพราหมณ์สหายเก่าไว้ไม่ทัน

“เดี๋ยวสิ เราขอไปด้วย นายจะได้ไม่ต้องลำบากตักมา ไหนละบ่อน้ำหรือลำธาร ไปกันเถอะ”
 
เวฬุ โกสินทร์มองการกระทำดั่งก้อร่อก้อติกของพจน์แล้วสังเกตอารมณ์เจ้ามาตะบูดบึ้งสมคะเนก็นึกขันหลุดหัวเราะ ครั้นมาตะเห็นกิริยาเพื่อนตัวกุมท้องขำชี้หน้าตนก็วางท่าผึ่งผายดังเดิม ด้วยตัวไม่อาจเข้าขัดขวางหน้า เพราะมีโทษผิดหนักหนาอยู่จึ่งได้แต่ข่มมาดนิ่งมองแต่เท่านั้น ฝ่ายกฤษณะออกปากอาสาติดตาม แต่ถูกอุปราชสุริยะบัญชาให้เป็นผู้นำทางสำรวจแนวไม้จันทน์เบื้องหลังมหาเทวาลัยสมคำอ้างเพื่อไม่ให้เป็นพิรุธผิดสังเกต แต่พระหทัยหนึ่งนั้นมุ่งลอบดูการกระทำของเหล่าพราหมณ์ทั้งเก้าเป็นข้อใหญ่

เจ้าพราหมณ์มารุตไม่เห็นหนทางบอกปัดก็พยักหน้ายินยอมให้พจน์ประชิดตัวแจ โดยมีมาตะกับราชองครักษ์คาวินคอยติดตามมาห่างๆ
 
“นายเกิดที่ไหน เป็นลูกเต้าเหล่าใครหรือ มารุต บอกเราหน่อยสิ เราถูกชะตากับนายเหมือนเคยพบเจอกันมาก่อน” พจน์กระซิบถาม พราหมณ์หนุ่มมารุตสบตาสีน้ำตาลแล้วก้มหน้ามองพื้น เร่งเดินคล่องแคล่ว

“อาตมันเป็นบุตรของพราหมณ์สิปาฐะ แลนางพราหมณีวิโลบล เกิดในชนบทแขวงตำบลพุชคาม นอกชานเมืองสหัสะเมธา เป็นบุตรคนที่สามจากพี่น้องทั้งสี่ ด้วยครอบครัวมีฐานะยากจน บิดาจึงออกอุบายพาอาตมันในวัยเพียงเจ็บขวบท่องเดินป่า ต่อมาหลังจากนอนพักเพราะเหน็ดเหนื่อย อาตมันตื่นขึ้นไม่พบบิดา เที่ยวร่อนเร่หาหนทางออกจากไพรพนาจนสำเร็จ อาศัยทักษะทางดนตรีคือขลุ่ยอันมารดาให้ไว้ประจำตัวแลกเศษเงินประทังชีพ ครั้นใคร่ครวญจึ่งรู้ว่าถูกบิดาตั้งใจมาทิ้งไว้เหมือนตัวเป็นกาฝากก็นึกโศก หักใจไม่กลับสู่เหย้าเรือน เดินแสวงบุญอยู่หลายปีจนออกนอกเขตชายแดน ประสงค์เที่ยวท่องหาสัจธรรมชีวิตแลฝึกปรือสมาธิให้เข้าถึงญาณสมาบัติ หมายใจเสาะหาแหล่งพำนักเงียบสงบ ครั้นได้ยินว่ามหาเทวาลัยร้างตั้งอยู่นอกประตูด่านทำเลห่างไกลผู้คนสมคิด จึงลัดเลาะเดินผ่านนครไพรพนาวรรณจวบกระทั่งถูกอำนาจพระเวทอถรรพเข้าจู่โจมเช่นท่านประสบ แต่เพราะเคราะห์กรรมยังมิสิ้นสุดเหล่าพราหมณ์ทั้งเก้าเข้าช่วยชีวิตได้ทันท่วงที อาตมันจึงฝากตัวขอเป็นศิษย์มานับแต่นั้น แลได้เล่าเรียนสรรพวิชา ทั้งพระเวทคาถาจากพระอาจารย์ทั้งเก้าเป็นคุณประดับตัว”

แสงแดดอ่อนทอประกายเจิดจ้าลอดผ่านเงาต้นไทรรกครึ้มใกล้กับซุ้มประตูปรักหักพังรูปสิงห์สองตัว ตกกระทบหยดน้ำตาแววใสจนหัวใจพจน์กระตุกวูบโหวง

“มารุต...”

“อาตมันจากครอบครัวมาเกือบครบสิบปี มิได้พบหน้าบิดามารดรจนแทบลืมใบหน้าท่านเสียแล้ว หากจะคิดหวนกลับก็เจ็บปวดหัวใจ เพราะตัวเปล่าเล่าเปลือยหามีทรัพย์สินใดจักไปช่วยพยุงฐานะวงศ์ตระกูลจนเป็นเหตุให้บิดาต้องนำอาตมันมาทิ้งเพื่อลดภาระ” มารุตพราหมณ์เงยมองพจน์ “หากนายท่านรู้พื้นเพต่ำต้อยของอาตมันแล้ว จักละถอยห่างโดยเร็วก็รีบกระทำเถิดขอรับ บ่อน้ำดื่มอยู่เบื้องหลังแนวรูปปั้นทวารบาลห่างออกไปเพียงมินานนัก อาตมันสามารถตักนำมาให้นายท่านได้ มิพักต้องติดตามให้เปลืองแรง กรุณาอย่าลดตัวท่านมาคลุกคลีชนชั้นข้าฐานะต่ำเช่นอาตมันเลย ขอรับ”

คำพูดมารุตตรึงเท้าพจน์ไว้แน่นกับพื้น ดวงตากลมใสแดงก่ำเป็นภาพน่าสะเทือนอารมณ์ไม่คาดคิด เหตุใดบุคคลร่วมชีวิตในอดีตชาติกลับมาเกิดใหม่ในเส้นทางยากลำบากเช่นนี้ ทำไมถึงไม่เกิดเคียงใกล้พจน์ ทำไม
 
“ขอโทษนะวายุ” ขอโทษที่ทิ้งนายไป ขอโทษ...


มีต่อด้านล่าง
_______________________________

ชาด : วัตถุสีแดงสด เป็นผงหรือเป็นก้อนใช้ประสมกับน้ำมันสำหรับประทับตราหรือทาสิ่งของ

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๓ ดวงเนตรสีชาด ๑๐๐% (๐๔/๐๘/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 04-08-2016 13:02:10
[ต่อ]


มารุตกะพริบไล่น้ำตาผละหลบหน้าพจน์สู่บ่อน้ำดื่มทันที ปากบ่อก่อด้วยหินทรายขาวอยู่ข้างเคียงกับรูปปั้นพญาสิงห์ทวารบาลประจำข้างซุ้มประตูทางเข้าของมหาเทวาลัยร้าง โดยรอบมีพงหญ้าผุดขึ้นรกเรื้อหากไม่สังเกตให้ดี ขอบบ่อน้ำระดับความสูงไม่มากนักกลมกลืนกับธรรมชาติยากจะรับรู้ว่ามีอยู่ เส้นทางหินถูกแรงงานเมื่อเนิ่นนานขนเทถมทับเป็นเส้นทางจากนครไพรพนาวรรรณป่าอาถรรพณ์สู่มหาเทวาลัย  ขนาบด้วยหนองบึงขนาดใหญ่ มีพืชน้ำจำพวกธูปฤาษี จอกแหน แลผักตบชวาขึ้นหนาแน่นเต็มพื้นที่
 
ลมพัดโชยโบกพัดพาอากาศเย็นเหนือผิววารีตกกระทบใบหน้าพจน์ จนเจ้าตัวสะดุ้งจากห้วงความคิด ท้องฟ้าใสกระจ่างผิดต่างจากก่อนหน้าที่หลงเล่ห์อยู่ในป่าอาคม เฝ้าพะวงคิดสภาพชีวิตของมารุตนับตั้งแต่เกิดในครอบครัวพราหมณ์ฐานะยากจน ซ้ำต้องถูกบิดาพามาทอดทิ้งในป่าเพื่อลดภาระการเลี้ยงดู กัดกินใจจนรู้สึกเสียดอก ตลอดเวลาเขาห่วงแต่เพียงว่าจะช่วยให้ทั้งสองพิภพรอดพ้นจากเงื้อมมือของจอมมารได้อย่างไร แต่ไม่เคยหวนคิดว่า บุคคลซึ่งเคยใกล้ชิดกับตนเมื่ออดีตชาติบัดนี้มีชีวิตขัดสนลำบากแค่ไหน เหตุผลที่เขาสามารถระลึกเห็นอดีตชาติทั้งสองครั้งคงไม่ใช่เพียงแค่รับรู้ถึงหายนะในบั้นปลายชีวิต แต่เป็นบุคคลตรงหน้านี้ต่างหาก เพื่อนผู้คอยดูแลรับใช้ จะทำอย่างไรดีหากพจน์อยากจะช่วยเหลือคนคนนี้  ใจหนึ่งนึกอยากชวนให้มาร่วมคณะ แต่อีกฝ่ายไม่เพียงจำพจน์ไม่ได้ มิหนำยังลืมเรื่องราวเมื่ออดีตชาติเสียอีก

“น้องท่านคิดการใดอยู่ ฤา” มาตะเอ่ยถามเสียงเบา

พจน์เหล่ตามองเจ้าคนล่ำสัน ตัดสินใจช่วยมารุตตักน้ำเป็นการหลบเลี่ยง ระหว่างกำลังเดินเข้าหาเกิดไม่ระวังก้อนศิลาทรายแฝงอยู่ในพงหญ้าจึงสะดุดล้ม เซถลาพุ่งหาฐานรูปปั้นสิงห์ทวารบาล ประจวบกับมาตะลอบสังเกตคุ้มกันคนรักอยู่แล้วก็รีบโผเข้าคว้าไว้ด้วยลำแขน พจน์ผวาสะดุ้งนึกว่าหัวจะโขกกับก้อนหินเสียอีก ครั้นถูกลำแขนแกร่งช่วยไว้ก็สะดุ้งตัวยิ่งกว่าโดนไฟลวก รีบผลักอกหนาออกห่าง แสร้งตีหน้าโกรธไม่สบอารมณ์ มาตะเลื่อนหน้าเศร้าเคล้านัยน์ตาวอนเข้าชิดใกล้ เกรงจะใจอ่อนก็สะบัดหนี ส่วนคาวินเห็นกิริยาพระราชบุตรบุญธรรมพ่วงยศหัวหน้าองครักษ์รีบถลันเข้าช่วยว่องไวเช่นนั้นก็ลอบยิ้มอยู่ในที
 
พจน์ผินหน้าหลบมาเจอกับฐานศิลาของทวารบาลรูปปั้นสิงห์ขนาดใหญ่สูงเกือบห้าเมตร ฐานรองรับจึงกว้างหนาสมกับรูปปั้น แต่ผิวศิลาอันควรราบเรียบตามแบบฝีมือช่างผู้ก่อสร้างเกิดร่องรอยสลักเป็นตัวอักษรจารึกลงบนแผ่นหิน ฝุ่นดินพัดโบกบังหนาแน่นอยู่ พจน์ลองเอามือลูบออก พลันก็นึกถึงถ้อยคำของเฒ่าวลาหกตาบอดผู้ช่วยเยียวยารักษาพจน์ดังขึ้นในใจ

 ‘จงสังเกตรูปปั้นสิงหราชหน้าประตูมหาเทวาลัยเป็นหลักสำคัญ มีเป็นคู่เสมือนทวารบาลก่อนเข้าเขต ตรงฐานก่อศิลาจารึกเป็นโคลงสองบท แลบทท้ายมีข้อความหายไปหนึ่งคำของแต่ละบาท’

ไม่ผิดแน่ โคลงสี่สุภาพสองบทนี้อ่านได้ความว่า
   
           ไพรพนาก่อล้อม      เราอยู่ ใต้เอย
         รินกิ่งดาวปกคู่             แผ่นพื้น
         นิลดุจดั่งฤดู                ครองห่ม ข้าแฮ
         สีรุ่งฉายปลุกฟื้น         ฉ่ำน้ำ ตานอง
            __ครองคู่เจ้า            ชีวิต อนันต์
         __แสงสองจิต               คู่สร้าง
         __แก้วแวมวามพิศ      คงอยู่ โกมล
         __เลื่อนลับเปิดข้าง      สู่เข้า ประตู


‘ท่านจงตรองด้วยสติปัญญาเถิดว่า คำเหล่านั้นคือสิ่งใด แลสิ่งนั้นจะเป็นกลไกเปิดเป็นช่องทางลับให้ท่านลอดผ่านใต้มหาเทวาลัยแห่งนั้นไปผุด ณ ใจกลางดงไม้จันทน์หอมเป็นแน่แท้’


ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เส้นทางลับดังคำชี้แนะของผู้เฒ่าแล้ว แต่บังเกิดฉุกใจว่าเทวาลัยขนาดใหญ่เหตุใดถึงก่อเส้นทางลับไว้ใต้พื้นเป็นกลไกประหลาดก็ฉุกใจคิดอยู่
 
“โคลงสี่สุภาพมีจริงดังคำเฒ่าวลาหก” มาตะชะเง้อชะแง้ผวาชิด ภัทรพจน์บิดหน้าตาม ริมฝีปากงามก็เฉียดเข้ากระพุ้งแก้มมาตะไม่ทันระวัง ลมหายใจร้อนแรงผ่อนกระแทกใส่ผิวเนื้อมาตะเป็นห้วงถี่กระชั้น เจ้าราชบุตรบุญธรรมระงับความรู้สึกล้ำลึกภายในกายหลับตาปิดแน่น พจน์ยกมือเอื้อมผลักอกแกร่ง สั่นไหวเพราะเสี้ยวสัมผัสพาลให้เรี่ยวแรงมีอันลดทอน

“นายถอย...”

“น้องท่านยอมเจรจาด้วยมาตะแล้ว ฤา” เจ้าหนุ่มร่างหนากว่าผุดรอยยิ้มแทนรอยโศก “รู้ ฤา ไม่ ข้าวอนเทพเทวาให้ได้ยินเสียงหวานหนึ่งนี้อีกสักครามานับครั้งไม่ถ้วน โปรดตวาด ฤา ตัดพ้อถ้อยความอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นคุณต่อหูมาตะด้วยเถิด บัดนี้หัวใจร่ำร้องอยากได้ยินซ้ำล้ำล้นอก”

พจน์เผลอหลุดปากทักท้วงอีกฝ่ายทั้งที่อุตส่าห์ใจแข็งปั้นกิริยาเมินเฉย พยายามกลบเกลื่อนการทั้งนั้นก็แสร้งส่งสายตาดุ มาตะเห็นฝ่ายเป็นต่อก็โอบรัดแขนแนบลำตัวคลอเคลียยิ่งกว่าเก่า พ่วงแววเว้าวอนเฉพาะตัวสำทับเข้าอีก ภัทรพจน์ก็หยุดจ้องหายใจระทวย

“น้ำอันท่านปรารถนากระหาย ขอรับ” มารุตเดินดุ่มๆถือคนโทดินเผาพร้อมยื่นจอกหินมาให้พจน์ พอเงยหน้าเห็นท่วงท่ามาตะทับตะครุบอยู่เหนือกายพจน์เป็นภาพล่อแหลมก็หน้าร้อนฉับพลัน “เอ่อ...”

พจน์ผลักไสอกมาตะออกห่างสุดตัว รับจอกน้ำขึ้นดื่มดับความวุ่นวายในใจ

“ขอบใจนะ วายุ เอ้ย มารุต”

“หามิได้ ขอรับ เป็นหน้าที่อาตมันอยู่แล้ว” มารุตเผลอฉีกยิ้มกว้างดีใจคราวได้รับคำขอบคุณ ครั้นรู้สึกตัวก็ระงับรอยแย้ม เว้นระยะถอยห่างสองสามก้าว พจน์เอื้อมคว้าไหล่เจ้าพราหมณ์กอดโอบเช่นเพื่อนเกลอ อย่างไอ้ต่อ ไอ้กี ไอ้โบท ชอบทำเวลาพวกมันอยากปลอบหรืออยากอ้อนเอาอะไรสักอย่าง

“นายเคยเห็นมาก่อนหรือเปล่า ว่าตรงฐานรูปปั้นมีโคลงสี่สุภาพจารึกอยู่” ชี้ชวนพราหมณ์หนุ่มน้อยหน้าซื่อให้เห็นข้อความจารึก มาตะแทบจะก้าวหลบไม่ทันด้วยท่าทีคนทั้งสองทำประหนึ่งตนกับองครักษ์คาวินมิได้ยืนอยู่ในที่แห่งนั้นด้วยแม้แต่นิด

“คะ เคย ขอรับ นายท่าน อาตมันเคยเห็น แต่ด้วยสติปัญญาอันต่ำต้อยจึ่งมิอาจหาความหมายอันโคลงนี้กล่าวถึงได้” มารุตขัดขืนตัวจากวงแขน แก้มทั้งสองข้างขึ้นสีชมพูเป็นที่น่าเอ็นดู จนพจน์นึกอมยิ้มดีใจที่แกล้งสำเร็จ

“เรามาช่วยกันคิดดีไหม ว่าคำที่หายไปจากส่วนหน้าของแต่ละบาทของบทที่สองเป็นคำอะไร มีคนบอกว่า หากไขปริศนานี้ได้จะพบช่องทางลับไปสู่เส้นทางใต้พื้นดินด้วยล่ะ” พจน์กระซิบใส่หูมารุต เจ้าคนโดนกระซิบก็สะดุ้งใช้แขนดันพจน์ให้ออกห่าง แล้วว่า

“อาตมันไร้ทักษะโคลงกลอน คงช่วยท่านแถลงไขมิได้”

“ข้าเชี่ยวชาญด้านภาษา หากน้องท่านประสงค์ให้ช่วยแก้ มาตะยินดี...” ตวัดตาสีน้ำตาลขึงจ้อง เจ้าคนตัวใหญ่กว่าหุบปากหน้าเจื่อนจนพจน์จำต้องกลั้นขำ
 
“งั้นนายลองมาเดากับเราดีกว่าว่าจะเป็นอะไร เผื่อเปิดกลไกได้ อาจมีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่ภายใน ทีนี้นายก็สามารถมีเงินทองเอาไปให้พ่อแม่ได้แล้ว ว่าไง” ความดีใจผุดวาบในกายมารุตชั่วแล่น รีบพยักพเยิดเห็นด้วย เผลอตัวเกาะแขนคนแปลกหน้า ลืมหลงระวังกิริยาเว้นระยะอันเจ้าตัวตั้งมั่นไว้ ดูเหมือนพจน์จะทำให้พราหมณ์น้อยไว้ใจได้แล้ว ไม่อยากให้กระต่ายตื่นตูมก็วิเคราะห์หาคำที่เหมาะสม

“คำแรกแต่ละบาทในบทแรกมีลักษณะคล้ายโคลงกระทู้ แต่เหมือนสะกดผิดบางคำ อาจเป็นคำลวง” มหาเทวาลัยแห่งนี้ลือกันว่าเป็นสถานที่ฝังพระศพของพระเจ้าอนันตราช ผู้ครอบครองอัญมณีหนึ่งในเก้า หรือว่าจะเป็น...

“ไพ-ลิน-นิล-สี พัช-รพี-นิล-กาฬ

เสียงมาตะดังมาจากเบื้องหลังพจน์ และทันทีเมื่อสิ้นสุดคำว่า กาฬ ฐานทวารบาลก็ขยับเขยื้อนด้วยกลไกบางอย่าง พจน์ขยับถอยตามแรงดึงของพราหมณ์มารุตหน้าตาตื่น ก้อนศิลาไถลแยกออกด้านข้างจนปรากฏช่องทางดำมืดขนาดพอดีตัวคน เห็นเป็นขั้นบันไดทอดสู่ห้องลับเป็นที่อัศจรรย์ใจ

“คาวิน ส่งไต้ไฟมาให้ข้า” มาตะสั่งความทหารองครักษ์ “แลจงเร่งกราบทูลพระอุปราช ว่าข้าพบเส้นทางลับบัดเดี๋ยวนี้”

ขอรับ นายกอง” เจ้าคาวินหนุ่มหน้าทะเล้น เล่นคำล้อของพราหมณ์มารุต เจ้าพราหมณ์มองทางหางตาอย่างรู้ทันแต่ไม่ได้กล่าวความใด

“ลงไปกันเถอะ” มาตะเดินนำ

“เดี๋ยว นายไม่คิดว่ามันจะมีอันตรายแฝงอยู่งั้นเหรอ” เผลอตัวร้องท้วงห้าม มาตะลอบยิ้มยินดีแล้วว่า “หากน้องท่านจะใจจืดใจดำปล่อยให้มาตะเดินเหินแต่ผู้เดียวก็จงรออยู่ตรงนี้เถิด”

กล่าวท้าเสร็จก็ย่ำเท้าลงตามขั้นบันไดค่อยๆหายลับลงในชั้นหินเบื้องล่าง พจน์กระวนกระวายเกรงจะมีภัยแฝงอยู่ไม่อาจปล่อยเจ้าคนดื้อรั้นให้ไปคนเดียวได้ก็รีบก้าวตาม มารุตไม่นึกว่าจะมีช่องทางลับซ่อนอยู่จริงก็ติดตามพจน์ไม่ห่างตัว
 
ความหนาวเย็นยะเยือกแผ่กระจายโถงถ้ำขนาดใหญ่ทันทีเมื่อพ้นบันไดหิน แทรกซ้อนกลิ่นชื้นตะไคร่น้ำหรือหญ้ามอส อากาศแม้นอับทึบแต่ก็พอหายใจสะดวก ถัดจากบันไดศิลาเป็นลักษณะห้องโถงสี่เหลี่ยมผืนผ้าทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา แสงไต้ไฟเพียงหนึ่งเดียวมิอาจต้านทานเงามืด เสาหินทรายแกะสลักรูปหมู่มวลเทวดาทรงดนตรี บ้างเป็นพิณสาย บ้างเป็นซอ บ้างเป็นระนาดประดับเป็นลายนูนต่ำล้อมรอบแนวเสาที่บัดนี้พจน์นับในใจได้สิบคู่แล้ว ส่วนผนังถัดหลังเสาทั้งสองด้านจำหลักลายนูนต่ำ ลักษณะเล่าเรื่องราวบุคคลผู้หนึ่งผ่านช่วงชีวิตต่อเนื่องคล้ายภาพจิตรกรรมรามเกียรติ์ ณ ระเบียงรอบพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม บางครั้งเป็นรูปรบทัพจับศึก บ้างเป็นรูปประทับในปราสาทราชวัง แม้ไม่มีสีสันแต่งแต้มสวยงาม แต่ลวดลายสลักบนหินล้วนอ่อนช้อยราวกับมีชีวิตจริง ภูเขา ลำห้วย ต้นไม้ บ้านเมือง ผู้คน เผยทันทีเมื่อแสงไต้ไฟส่องกระทบ มาตะเหลียวมองประติมากรรมชั้นครูขณะเดินผ่าน มีบ้างที่เหลียวระแวดระวังพจน์กับมารุต เจ้าพราหมณ์หนุ่มมิเคยเห็นสิ่งตื่นตาเฉกนี้มาก่อนก็เบิกตาโพลงรำพันถึงบุญอันตัวเคยก่อให้ชักนำมาสู่สถานที่ลึกลับนี้
 
“นายคิดว่ามันจะมีทรัพย์สมบัติซ่อนอยู่หรือเปล่า มารุต” พจน์กระเซ้าเย้าแหย่ เจ้ามารุตส่ายหน้าขวยอาย เมื่อเดินผ่านอากาศเย็นมาได้สักพัก มาตะหยุดยืนนิ่งจ้องบางสิ่งเบื้องหน้า คือลักษณะแท่นหินสามชั้นซ้อนกันแกะสลักสวยงาม กลางแท่นเป็นศิลารูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางอยู่บนแท่นยกสูงอีกชั้นหนึ่ง รอบกล่องศิลาสลักลายเทพพนมวิจิตรบรรจง ไม่ปรากฏว่ามีทรัพย์สมบัติเงินทองให้เห็นแม้แต่ซอกมุมอันลี้ลับ

“มันเหมือนกับ...”

“โลงศพ” มาตะต่อคำพูดในใจพจน์ให้จบความสงสัย
 
“หรือว่าจะเป็นความจริงตามคำลือที่ว่า มหาเทวาลัยแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ฝังพระศพของพระเจ้าอนันตราช พระมหากษัตริย์แห่งเผ่าพันธุ์คนธรรพ์”

“ไม่มีสิ่งใดจะพิสูจน์คำน้องท่านได้ นอกจากต้องเปิดศิลาฝาโลงนี้ออก” มาตะกล่าวเสร็จก็ก้าวขึ้นสู่แทนนั้น ออกแรงผลักจนกล้ามเนื้อขึ้นมัดชัดเจน พจน์เห็นการถือไต้ไฟเป็นอุปสรรคลดทอนจึงคว้ามาฝากให้มารุต แล้วช่วยส่งแรงผลักอีกคนหนึ่ง เมื่อพละกำลังบุรุษสองคนร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวแผ่นหินปิดฝาก็เลื่อนออกโดยพลัน

พจน์หอบเล็กน้อยเช่นเดียวกับเจ้ามาตะ กลิ่นหอมคล้ายดอกลีลาวดีแผ่ขยายปกคลุมทั่วบริเวณ มาตะรับไต้ไฟแล้วส่องลงในโลงศิลาแกะสลัก ว่างเปล่า ดุจไม่เคยมีร่างกายหรือพระศพของพระมหากษัตริย์พระองค์นั้นแม้แต่น้อย คำเล่าลือดูเหมือนจะผิดพลาดอย่างมหันต์

มาตะขมวดคิ้วแน่น พิจารณาโลงว่างเปล่านิ่ง แล้วบังเกิดเห็นแสงสีทองสะท้อนจากมุมหนึ่งก็ชี้ให้พจน์ที่อยู่ใกล้กว่าดู เด็กหนุ่มหน้าสะคราญเอื้อมลงหยิบเครื่องประดับสีทองทรงหยดน้ำอย่างเดียวกับที่เคยได้จากพระเจ้าวัชรโกมลอดีตชาติ ตรงกลางเครื่องประดับไร้อัญมณี

“คำลือเป็นจริง” มาตะจับสัมผัสเครื่องประดับหน้าผากจากมือคนรัก “โลงพระศพนี้เป็นของพระเจ้าอนันตราช มหากษัตริย์คนธรรพ์ไม่ผิดแน่ แลคำอันผู้คนกล่าวขานว่าพระองค์เป็นผู้สุดท้ายที่ได้ครอบครองไพลินนิลสีก็มีหลักฐานปรากฏอยู่ในมือข้านี้ แต่ดูเหมือนมีผู้ฉกชิงมหามณีสีดำไว้ครอบครองเสียแล้ว”

“นายจะบอกว่า พัชรพีนิลกาฬ ตกไปอยู่ในมือคนอื่นแล้วอย่างนั้นหรือ” ถามกลับโดยเร็ว หลงลืมว่ากำลังโกรธมาตะอยู่ เจ้ามาตะยกยิ้มอีกครั้งแล้วว่า
 
“ไม่มีหลักฐานเป็นอื่นอีก น้องท่าน โคลงกลอนกระทู้บ่งสำแดงชัดแจ้ง แต่มีของสิ่งหนึ่งสำคัญมากค่าในสุสานหลวง จนมาตะปลื้มใจยินดียิ่งกว่าค้นพบมหามณี”

“อะไรล่ะ ไหนมีอะไรซ่อนอยู่อีก” ก้มสำรวจในโลงว่างเปล่ากวาดหาของมีค่าโดยเร็ว หวังจะได้นำไปให้มารุตเป็นสินทรัพย์นำกลับคืนยกฐานะครอบครัว

“รอยยิ้มแลถ้อยคำสนทนาจากภัทรพจน์น้องท่าน ยามแย้มเอ่ยแก่มาตะอย่างไรเล่า”

พอเจ้ามาตะเฉลยคำ พจน์ก็นึกได้ว่าเผลอหลุดเจรจา อุปมาทลายข้อขัดข้องหมองใจลงสมยอมก็พลันสิ้นหนทางแก้ต่าง มาตะโผประชิดเข้าหายอดดวงใจ
 
อภัยให้ข้าเถิด น้องท่าน” มาตะกระซิบวอน “โปรดเมตตาใจอันทุกข์ระทมให้คลายหม่นหมองเถิดหนา โทษทัณฑ์มาตะบัดนี้ลดทอนมากเท่าใดแล้ว โปรดจงแจ้งให้ยินสักคำหนึ่งเถิดเจ้า”

ระหว่างเจ้าสองหนุ่มคลอเคล้าคลอเคลียโอ้โลมขอคำอภัยอยู่นั้น ปรากฏดวงตาสีชาดผุดขึ้นในเงามืดครอบงำนัยนาของบุคคลที่สามในห้องนั้นสว่างวาบน่าสะพรึง มันรำพึงรำพันกับตนเองว่า

“ข้าพบแล้ว... ผู้ครอบครองอัญมณีสูงสุดในตำนาน ปรากฏตัวเบื้องพิภพนี้จริงดังคำของพระองค์ มันทั้งคู่เท่านั้นที่ไขปริศนาแลผลักฝาโลงบรรจุพระบรมศพได้ มัน...อยู่ที่นี้แล้ว ศิษย์ข้า”



100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3444793#msg3444793)
เพจนิยาย (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)
_________________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

เข้าใจความหมายแล้วครับ  แต่จากที่ไม่ชอบอยู่แล้วยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่เลยอุปราชเนี้ย  ยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกนะครับเนื้อหา ทิ้งท้ายได้เจ็บปวดอีกแล้วนะครับคนแต่ง  จะใช่คนที่พจน์คิดรึเปล่านี้สิ  อยากรู้ๆจริงๆ  ลุ้นละทึกกันเลยที่เดียวครับ
ยินดีครับที่คุณเข้าใจ เอาเป็นว่ารอติดตามต่อไปว่าอุปราชคนนี้จะจัดการกับปัญหาหัวใจตัวเองยังไง จะขอพจน์มาจากมาตะ หรือปล่อยปละถอนตัว หรือไม่ทำอะไรเลย ลองเดากันดูเล่นๆนะครับ จะใช่คนที่พจน์คิดหรือเปล่า ตอนล่าสุดคงตอบคำถามนี้แล้วนะครับ คอยติดตามต่อไปนะครับ

ขอบคุณฮะ ยังคงมีมาตรฐานในการประพันธ์ที่สูงเหมือนเดิมนะฮะ

มีคำผิดเล็กน้อย น้อยจริงๆ ลองพิจารณาดูอีกทีนะฮะ ว่าอย่างไร มี และ แล,   แผ่นที่ และ มี กับ มิ

... “แผนที่ของชาวเราสิ้นสุดลงตรงประตูช่องเขาด่านสุวรรณคีรีนี้ และหามีผู้ใดจักอาจกล้าสำรวจ...


...แลสาปสูญไม่มีใครพบเห็นอีกนับแต่นั้น แผ่นที่ของชาวเราจึ่งสิ้นสุดลงตรงนี้มายาวนานดั่งว่า...

...ขากลับอาจหลงทางวนเวียนหาทางออกไม่ได้ ประหนึ่งต้นไม้เหล่านั้นมีชีวิตและเคลื่อนไหวสลับ...

...“เห็นจะมีรอดพ้นเป็นแน่แล้ว” กฤษณะพยายามบังคับม้าด้วยความอับจน...

นอกจากนี้ยังมีข้อสงสัยคือ

...บานพระทวารจะเปิดอยู่เพียงแค่นั้น... เข้าใจว่าเป็นประตูเมือง หรือในกรณีนี้ก็ใช้คำนี้ได้

...พร้อมกับทหารหลายร้อยคนใช้เชือกประกำขนาดหลายขดผูกซ้อนกัน... เนื่องจากอยากเห็นหน้าตาของเชือกเลยไปถามอากู๋ แต่พบเป็น เชือกปะกำ เชือกปะกำช้าง แทน หรือ คำปะกำเขียนได้ทั้ง 2 แบบ แต่ก็หาคำประกำไม่เจอ จะพบเป็นประคำ แทน หรือเป็นเชือกต่างชนิดกัน?

ท้ายสุด...เรื่องเนื้อหาก็ไม่มีอะไรนะฮะ ดีงามตามท้องเรื่อง แต่เห็นควรว่าพจน์ควรลดทิฐิลงได้แล้ว และกลับมาเป็นปกติเยี่ยงที่ควรจะเป็นโดยพลัน อะไรมากไปก็ดูไม่งามนัก มันจะเป็นเงาสะท้อนของความคิดและจิตใจของตัวเองได้น่ะ
ขอบคุณครับที่คุณชอบ ผมเขินมากเลยกับประโยคที่ว่า มาตรฐานในการประพันธ์ รู้สึกขนลุก ฮ่าๆ ส่วนคำผิดนี่ต้องขอน้อมรับไว้เป็นความผิดพลาดเผอเรอของผู้เขียนเอง จะพยายามย้อนไปแก้ตามที่คุณว่ามานะครับ ส่วนบานพระทวาร หรือ ประตูเมือง เมื่อลองพิจารณาด้านความหมายแล้ว ทวาร; ประตู แปลเหมือนกันว่า ช่องทางเข้าออก จุดมุ่งหมายแรกที่เลือกใช้ พระทวาร เพราะอยากจะยกฐานะให้ประตูหน้าด่านนี้ ยิ่งใหญ่สมเกียรติยศ คือเป็นช่องทางเชื่อมต่ออาณาจักรเคียงด้วยสิงหราชรูปแกะสลัก อีกทั้งยังตรงกับชื่อเมืองหน้าด่านคือ ทวาระบุรี อีก แต่หากจะลดทอนความเข้าใจของผู้อ่านหลายๆคน ผู้เขียนเห็นควรว่าจะแก้เป็น ประตู น่าจะเหมาะกับบริบทและสภาพแวดล้อมโดยรวมมากกว่าครับ ส่วนเชือกประกำ เป็นความผิดพลาดของผู้เขียนอีกเช่นกัน เจตนาแรกต้อง เขียนว่า เชือกปะกำ ไม่มี ร เรือ ถึงจะถูกต้อง แปลว่า เชือกคล้องช้าง ที่ผ่านการทำพิธีศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว ใช้หนังควายทำจึงมีความเหนียว ความทนทาน มีคุณวิเศษป้องกันอาถรรพณ์ต่างๆ ความตั้งใจแรกของผู้เขียนคืออยากจะได้เชือกที่มันเหนียวแข็งแรงทนทาน จึงคิดเอาเองว่า เชือกปะกำ นอกจากใช้คล้องช้างแล้ว น่าจะนำมาใช้ชักลากบานประตูหน้าด่านที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารได้หรือไม่ ทั้งมีความศักดิ์สิทธิ์พ่วงคุณวิเศษ จึงตัดสินใจใช้คำนี้ แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่สับสนกับความหมายและหน้าที่การใช้งานดังเดิม จึงเป็นความผิดของผู้เขียนอย่างมหันต์ที่ตัดสินใจผิดพลาดเอง ขอใช้เป็น เชือก เฉยๆไม่มีคำต่อท้ายนะครับ ขอบคุณมากๆสำหรับคำทักท้วงดีๆแบบนี้ ช่วยเป็นกระจกส่องสิ่งที่ผู้เขียนคิดพลาดพลั้งไป
 
ส่วนใจจริงพจน์จะมีทิฐิสูงอย่างคุณว่าหรือเปล่านั้น คงได้คำตอบในตอนล่าสุดนี้แล้วนะครับ  เขาคุยกันแล้ว ฮ่าๆ ใครรอให้พจน์หายโกรธคงสมใจ แต่สำหรับคนที่อยากให้พจน์โกรธมาตะนานกว่านี้ก็ต้องขอโทษด้วยครับ ใจอ่อนกับแววออดอ้อนของมาตะจนไม่อาจเขียนให้พจน์ใจแข็งต่อไปได้ ขอบคุณครับที่ติชมสิ่งดีๆกับงานเขียนชิ้นนี้
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๓ ดวงเนตรสีชาด ๑๐๐% (๐๔/๐๘/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 04-08-2016 16:19:23
 :ling3: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๓ ดวงเนตรสีชาด ๑๐๐% (๐๔/๐๘/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 04-08-2016 19:07:30
เขาคุยกันแล้วว ฮิ้ว  :hao7:
แววตาตอนจบนี่ของใคร ซักน่ากลัว แต่ก็อย่างว่านะ เจ้าตัวเขามาเปิดฝาโลง(ชาติที่แล้ว)ของตัวเอง จะเปิดไม่ได้ก็กระไรอยู่

ขอบคุณคนเขียนมาก(กอไก่ล้านตัว) ขอสารภาพว่าต้องอ่านสอวรอบแหนะว่าจะตีความโคลงที่เปิเช่องลับได้  :z2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๓ ดวงเนตรสีชาด ๑๐๐% (๐๔/๐๘/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 05-08-2016 08:21:13
โอ้ย  ใครกันนะ  ยิ่งอ่านยิ่งงง  ไม่กล้าคาดเดาเลยอ่ะ  ที่คิดไว้คือมีอยู่สองคน  แต่ถ้าเป็นพจน์ในชาติที่แล้วคงไม่ใช่มั่ง  ถ้าเป็นตัวมเหสี  รึเปล่า  รึมีใครอีก คนที่โกรธเคืองสองคนนี้ก็มีแต่พระมเหสีเท่านั้นนี้  ส่วนมณี คนถือคลองคือพจน์ไม่ใช่หรอ  หรือเราจำผิดอีก  แต่พจน์รักมาตะ  จึงมาอยู่ด้วย  เออมันก็เท่าเป็นของมาตะอะนะ  รอต่อไปแล้วกันครับคนแต่ง
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๓ ดวงเนตรสีชาด ๑๐๐% (๐๔/๐๘/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 05-08-2016 10:34:32
ไม่คิดไรมากและฮ่าๆๆ ในที่สุดเขาก็คุยกันแล้วววส่วนเรื่องว่าใครพูดนั้นรอลุ้นตอนหน้าละกัน^_^ :katai1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๓ ดวงเนตรสีชาด ๑๐๐% (๐๔/๐๘/๕๙) หน้า ๑๑ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: pui_noizๆ ที่ 07-08-2016 01:50:25
ขอบคุณฮะ...วันนี้ขอมาเบาๆ อย่างไรลองพิจารณาอีกทีนะฮะ

...แม้นคำเหล่าเจ้าจักอ้างจู่เข้าตัดไม้จันทร์**หอมเพื่อผดุงชีพ...

...เทวาลัย มีลักษณะเก่าโทรมปรักหักพัก** ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นแทรกรกชัฏ... 

...และ**จักให้พราหมณ์น้อยผู้ศิษย์อาตมันนาม มารุต คอยรับใช้ปรนนิบัติท่านอีกหนึ่ง...


...ดัง**ท่านประสบด้วยตนเองแล้ว พระเวทมนตราถูกสาปแช่งฝังไว้กับป่านี้นับอสงไขย

...จนส่งศิษย์ผู้น้อยไปนำออกมา มีหรือ**พวกท่านจักเอาชีวิตรอดได้”... - หรือกรณีนี้จะใช้ "หรือ" แต่ปกติเห็นใช้ ฤา ใช่มั้ยฮะถ้าป็นคนสมัยโน้น?

...บุญคุณครั้งนี้ไม่**อาจมีวันทดแทนได้หมดก็จักขอช่วยปรนนิบัติดูแลตอบแทนท่านคืนดุจกัน”...

...บิดาจึง**ออกอุบายพาอาตมันในวัยเพียงเจ็บขวบท่องเดินป่า...



...สิบปี มิได้พบหน้าบิดามารดรจนแทบลืบ**ใบหน้าท่านเสียแล้ว...

...พจน์ผวาสะดุ้งนึกว่าหัวจะเขก**กับก้อนหินเสียอีก... - เขก หรือ โขก ? จะเหมาะสมกว่ากัน 

...ฝุ่นดินพัดโบกบังหนาแน่นอยู่ พจน์ลองเอามือรูป**ออก พลันก็นึกถึงถ้อยคำของเฒ่าวลาหกตาบอด...


...ถัดจากบัด**ไดศิลาเป็นลักษณะห้องโถงสี่เหลี่ยมผืนผ้าทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา...

...ลำห้วย ต้นไม้ บ้านเมือง ผู้คน เผยให้ (เห็น?)**ทันทีเมื่อแสงไต้ไฟส่องกระทบ... - มันจำเป็นต้องมี "เห็น" ด้วยมั้ยอะฮะ?

...“โลงพระศพนี้เป็นของพระเจ้าอนันตราช มหากษัตรย์**คนธรรพ์... 

...ปรากฏตัวเบื้องพิภพนี้จริงดัง**คำของพระองค์...

ส่วนช่วงตรงนี้จะงงๆ
..."เคราะห์กรรมยังมิสิ้นสุดเหล่าพราหมณ์ทั้งเก้าเข้าช่วยชีวิตได้ทันท่วงที..."???
หมายถึงว่า เป็นเพราะเคราะห์กรรมของมารุตยังคงมีอยู่ พราหมณ์ทั้ง 9 เลยมาช่วยชีวิตได้ทัน ให้มีชีวิตอยู่เพื่อใช้กรรมต่อไป...ประมาณนี้มั้ยฮะ?

ปล. ต้องบอกเลยนะฮะว่าไม่ใช่ผู้รู้หรือชำนาญทางด้านภาษาเลย ใช้สัญชาตญาณล้วนๆ และไม่มีหลัการใดๆ ทั้งสิ้นนะฮะ 555+
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๔ มัจจุราชยาตรา ๑๐๐% (๑๐/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 10-08-2016 13:37:25
บทที่ ๓๔


มัจจุราชยาตรา


   
อานุภาพมหาศาลกระชากพจน์ถอยห่างมาตะไม่ทันตั้งตัว เมฆหมอกเย็นยะเยือกลบเลือนสุสานฝังพระศพพระเจ้าอนันตราชเป็นห้องโรงพยาบาลเกลื่อนกลาดด้วยเตียงคนไข้ ภพดนัยกับดาวกำลังปรึกษาหารืออยู่ปลายเตียง เด็กหนุ่มไม่เคยเดินทางข้ามพิภพด้วยพลังรุนแรงเหมือนทั้งถูกผลักทั้งดึงรั้งกลับพรวดเดียวปานนั้น ราวกับอำนาจเพชรมณีฉุดคร่าตนให้หนีบางสิ่งบางอย่างมา

“ไอ้พจน์ มึงฟื้นแล้ว” ชลนธีวิ่งโผเกาะเตียง หน้าผากมีผ้าปิดแผลแปะอยู่ มันตื่นเต้นยิ่งกว่าเหตุการณ์ตอนได้แฟนคนแรกเสียอีก หลังจากนั้นอีกสองวันสาวเจ้าก็รีบมาบอกเลิกด้วยสาเหตุที่ไม่มีใครรู้แม้แต่ไอ้น้ำเอง
 
ภัทรพจน์ยิ้มให้เจ้าเกลอตัวเล็กและผองเพื่อนทั้งแปด สภาพแต่ละคนมีผ้าพันแผลรอบศีรษะ บ้างแขน บ้างหัวเข่า เข็มน้ำเกลือถูกปลดแล้วแต่ความรวดร้าวยามเห็นเพื่อนต้องมารับเคราะห์เกาะกินใจแน่น
 
“กูผิดเอง ที่ชวนมา...ไม่งั้นพวกมึงคงไม่ต้องเจ็บแบบนี้”

“อย่าพูดแบบนั้นดิวะ” ไอ้โบทตบไหล่พจน์ มันคิ้วแตกคางเป็นแผลมีรอยเย็บ “พวกกูอยากมากันเอง มึงไม่ได้บังคับสักหน่อย อย่าคิดมากดิ”

กีรติพาดแขนโอบตัวตบหัวลูบไหล่ไม่พูดไม่จา ต่อ เอก เพียวโผล่หน้ามีรอยช้ำพร้อมยิ้มอารมณ์ดี ส่วนไอ้นายกับไอ้รักก็ยิ้มแย้มเป็นปรกติ ปาล์มเบือดแทรกเจ้าพวกนั้นคว้าจับมือพจน์

“มึงโอเคนะ พวกกูไม่เป็นไรหรอก มันเป็นอุบัติเหตุ”

พจน์รู้ว่าไม่ใช่อุบัติเหตุ ผู้บงการและอยู่เบื้องหลังคือใครเขารู้แก่ใจดี

จากนั้นเด็กผู้ชายทั้งเก้าต่างเฮละโลโผเข้ากอดพจน์เป็นวงซ้อนกันหลายชั้น น้ำใจไมตรีและมิตรภาพของเพื่อนถ่ายทอดเป็นการกระทำเหนียวแน่นยิ่งกว่าความผูกพันใดๆ ส่วนไอ้น้ำก็ร้องไห้ขี้มูกโป่งไม่รู้ว่าซึ้งใจในมิตรภาพหรือหายใจไม่ออกกันแน่

ภามภพ พีธนะ และพิมพ์พลอยมองมิตรภาพระหว่างเพื่อนอยู่ห่างๆ ครั้นทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลประจำจังหวัดแล้ว มีกลุ่มนายตำรวจถือกระเช้าผลไม้พร้อมนักข่าวหลายสำนักมาดักรอศาสตราจารย์วิชัยและคณะเดินทาง เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายกล่าวขอโทษคุณปู่เรื่องอุบัติเหตุโขลงช้างเข้ารุมทำร้าย ท่านไม่ติดใจเอาความกับผู้ดูแล ทั้งความเสียหายของรถยนต์พาหนะก็เทียบไม่ได้เลยกับจำนวนช้างซึ่งล้มตายลงทั้ง ๕ เชือก หลังปฏิเสธไม่รับกระเช้าเยี่ยมไข้และความช่วยเหลือดำเนินคดีใดๆ ก็ผละหลบนักข่าวออกจากส่วนหน้าโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ศูนย์ฝึกช้างของเพนียดพร้อมข้าราชการท้องถิ่นยืนส่งอำลาอยู่ห่างๆ

สภาพรถยนต์และรถตู้ไม่ได้เสียหายมากนัก มีเพียงสีถลอกรอยบุบยุบลงประปราย แต่โดยสภาพรวมถือว่าปกติ สามารถขับขี่กลับกรุงเทพได้อย่างสบาย สภาพอากาศฝนตกหนักเหลือเพียงท้องฟ้ามืดครึ้มเท่านั้น
 
“พ่อจะแวะวัดไชยวัฒนารามก่อนกลับ”

ศาสตราจารย์วิชัยแจ้งเจตจำนง ธนพลส่ายศีรษะทันควัน สุนิสาเกาะแขนแฟนหนุ่มไว้แน่น

“ผมว่าเราควรกลับกรุงเทพฯกันเลยดีกว่าไหมครับ ทั้งสภาพกายใจคงไม่มีใครอยากเที่ยวต่อ แล้วอีกอย่าง...” ภพดนัยคัดค้านผู้เป็นบิดา

“ไม่เสียเวลามากหรอก แค่แวะไปไม่ถึงชั่วโมง” ศาสตราจารย์วิชัยยังคงยึดมั่นในความคิด

วัดไชยวัฒนาราม จำได้ว่าท่านเคยกล่าวถึงเพราะเป็นสถานที่นัดหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เขารีบขยับเข้าหาดาวแล้วกระซิบสั่งน้องสาวให้คอยจับตาสังเกตคุณปู่และคุณชาญณรงค์ เมื่อไม่มีใครปฏิเสธนอกจากบุตรชายทั้งสอง ศาสตราจารย์วิชัยจึงพยักหน้าเป็นสัญญาณขึ้นรถแกมบังคับ จุดมุ่งหมายสุดท้ายของการมาเที่ยวอยุธยาคือ วัดไชยวัฒนาราม โบราณสถานนอกเกาะเมืองอยุธยา ความตั้งใจของท่านที่ต้องการมาอยุธยาคือนัดหมายพบใครบางคนไม่ผิดแน่
 
“ผมขอแยกตรงนี้นะครับ” นักข่าวธนชัยมองภพดนัยแน่วแน่

“อืม โชคดีนะ พ่อชัย” ศาสตราจารย์วิชัยตบบ่าชายหนุ่มปุๆ ไม่ดึงรั้งไว้เช่นเมื่อเจอกันวันก่อน “ลุงขอโทษด้วย”

“อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ ผมดีใจเสียอีกที่คุณลุงยังยินดีต้อนรับผม... อุบัติเหตุนี้ทำให้ผมรู้บางสิ่งครับ ว่าชีวิตคนเราไม่มีอะไรแน่นอน หากอยากทำอะไรหรือตัดสินใจทำสิ่งใดก็จงทำมันเสียเดี๋ยวนี้ เพราะในวันพรุ่งนี้หรือเพียงแค่ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเราอาจจะไม่เจอกันอีกชั่วชีวิตก็เป็นได้”

ภพดนัยซึ่งก้มหน้าทอดมองต่ำอยู่ตลอดเวลาเงยสบนัยน์ตาเข้ม เผยอปากจะพูดถ้อยคำบางอย่างแต่มีเพียงลมร้อนผ่อนผ่าน ชาญณรงค์ขบกรามเคร่งเครียดกำหมัด
 
******************************

นักท่องเที่ยวเดินกระจัดกระจายชมสถาปัตยกรรมของช่างศิลป์ในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง ท้องฟ้าช่วงบ่ายห้าโมงเย็นเริ่มเปิด เมฆดำทะมึนลอยสูง ทั้งไม่มีฝนตกบรรยากาศจึงเย็นสบาย ถึงแม้พื้นสนามหญ้าโดยรอบบางจุดจะมีแอ่งน้ำขังอยู่บ้างก็ตาม พี่สุนิสากางร่มเดินตามหลังศาสตราจารย์วิชัยอยู่บนทางเดินอิฐเบื้องหน้า หญิงสาวพะเน้าพะน้อขอร้องให้ธนพลลงจากรถยนต์ส่วนตัวได้อย่างยากลำบากเนื่องจากบุตรชายคนรองของศาสตราจารย์ไม่มีกะจิตกะใจเที่ยวชมสิ่งใดอีกนอกจากประสงค์จะกลับกรุงเทพฯ

แนวระเบียงคดปรักหักพังตั้งตระหง่าน พระเจดีย์ปรางค์ประธานเสียดยอดสูงสง่าอยู่กึ่งกลาง ซากความรุ่งเรืองจากกาลเวลาบ่งบอกความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรอยุธยามหาราชธานี แผนผังโครงสร้างคล้ายคลึงมหาเทวาลัยร้างที่มาตะลอบเข้าสืบราชการลับ แต่เทวาลัยแห่งนั้นสร้างด้วยหินทรายผสมศิลาแลง มีปรางค์ประธานสูงใหญ่แบบนี้เหมือนกัน

“อย่าลืมนะดาว คอยใกล้ชิดกับคุณชาญณรงค์ไว้” เด็กสาวขยิบตาเบียดแทรกเข้าหาผู้ช่วยหนุ่มของคุณปู่ทันที ชวนคุยถึงแนวคิดว่าจะวาดภาพวัดไชยวัฒนาราม จึงขอให้ชาญณรงค์เป็นผู้ช่วยตัดสินใจว่าจะวาดมุมไหนดีเป็นข้ออ้าง พจน์ยกยิ้มให้น้องสาวมากความสามารถ
 
“เดินถ่ายรูปกันตามสบาย เดี๋ยวพ่อจะเข้าไปทางนั้น” ศาสตราจารย์วิชัยสั่งความ ชี้ไปทางบันไดทอดขึ้นสู่ชั้นระเบียงคด ชายหนุ่มผู้ช่วยไม่ได้ติดตาม ดาวรีบปฏิบัติภารกิจสอบถามลักษณะมุมวาดภาพจากชายหนุ่มหน้าตี๋ทันที พจน์อาศัยจังหวะที่เพื่อนๆกำลังเกาะกลุ่มกันถ่ายรูปปลีกตัวตามคุณปู่ไปไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต

ภายในมีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยแหงนหน้ามองปรางค์ประธานด้วยดวงตาหยี่เล็ก บ้างกดชัตเตอร์ถ่ายภาพถี่รัว ชาวต่างชาติชายหญิงอีกกลุ่มกำลังยืนหามุมถ่ายภาพ ไม่มีใครสนใจศาสตราจารย์วิชัยแม้แต่น้อย ท่านเดินผ่านระเบียงคดสู่ทางเดินปูอิฐ แล้วหยุดตรงฐานของปรางค์ประธานด้านทิศติดพระอุโบสถ หันหน้าเข้าหาริมน้ำเจ้าพระยา พจน์ใช้แนวเมรุทิศบังตัวเองไว้ไม่ให้ท่านสังเกตเห็น รอจังหวะบุคคลนัดหมายปรากฏตัว ใครกันที่จะอธิบายเรื่องราวอาธนพลบาดเจ็บด้วยอำนาจมนตราลีลาทมิฬได้ ใครกันที่คุณปู่เคยติดต่อเมื่อนานมาแล้ว ณ วัดศรีสวาย จังหวัดสุโขทัย และนัดพบท่านอีกครั้งที่แห่งนี้ ผู้สามารถอธิบายเหตุการณ์ทุกอย่างอันเชื่อมโยงถึงอันตรายเหนือธรรมชาติและน้ำท่วมโลก

ศาสตราจารย์วิชัยยังคงยืนนิ่งเหม่อมองยอดปรางค์ประธานแน่วแน่ แล้วระหว่างพจน์มัวแต่เหลียวมองเด็กน้อยส่งเสียงร้องไห้หาแม่อยู่นั้น ร่างของคุณปู่ก็หายลับจากจุดที่พจน์เคยเห็นอยู่ก่อนหน้าเสียแล้ว เด็กหนุ่มใจเต้นส่ำหันซ้ายแลขวาเพื่อจะหาเงาของคุณปู่ จู่ๆท่านก็หายลับยากจะเหลือเชื่อ

ไม่จริง ต้องไม่ใช่สิ่งที่ผุดขึ้นในความคิดตอนนี้ หรือว่าจอมมารจะลงมืออีกครั้ง
 
พจน์ออกวิ่งตามหาศาสตราจารย์วิชัยทั่วบริเวณภายในระเบียงคด ไม่เคยกลัวความคิดของตัวเองเท่านี้มาก่อน หากท่านต้องมารับเคราะห์แทนพจน์ด้วยน้ำมือของปีศาจละก็ เขาจะไม่ให้อภัยให้ตัวเองจริงๆ วิ่งวนจนกลับมายังจุดเดิม ยังไม่พบวี่แวว ทำยังไงดี หากจะบอกบิดาว่าคุณปู่หายตัวไป ทุกคนต้องตื่นตระหนกแน่ ระหว่างอับจนหนทางอยู่นั้น เปรมณัฐก็เดินขึ้นมาทางช่องบันไดตัวคนเดียว เจ้านั่นขมวดคิ้วเหมือนกำลังตามหาใครสักคน ไร้เงาน้องแพรวคนสวย เมื่อไอ้ตี๋หล่อเห็นพจน์ยืนหอบอยู่ตรงเมรุทิศหน้าปรางค์ประธานก็เร่งฝีเท้ามาหา

“กูมาตาม ไอ้พวกนั้นมันจะถ่ายรูปหมู่...” ครั้นเปรมณัฐเห็นความวิตกก็หยุดความตั้งใจเดิมทันที “เกิดอะไรขึ้นวะ”

 “เปล่าว่ะ กูแค่ขึ้นมาดูด้านใน ก็สวยดีนะ”

 “ปู่มึงล่ะ กูนึกว่ามึงแอบตามท่านมาเสียอีก มีอะไรก็อย่าปิดบังกูสิวะ เราสัญญากันแล้วว่ามึงกับกูยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม กูยังเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของมึงเหมือนเดิมนะเว้ย ได้โปรดยกสิ่งที่มึงแบกไว้แบ่งให้คนอื่นช่วยบ้าง และกูก็เป็นคนคนนั้นที่มึงสามารถทำได้” ปาล์มฉวยมือพจน์แล้วบีบย้ำ พจน์ไม่สามารถทำตามที่มันขอได้จริงๆ จะให้มาเสี่ยงชีวิตกับการล่วงรู้ความลับอันตรายซึ่งกำลังคุกคามโลกนี้และโลกของมาตะไม่ได้ เสี่ยงเกินไป ระหว่างสอดส่ายสายตามองหาศาสตราจารย์วิชัยอยู่นั้น ท้องฟ้าเริ่มแปรปรวน เมฆครึ้มเคลื่อนเข้าบดบังบรรยากาศ เหล่านกกาโผปีกบินหนี แล้วโดยไม่คาดคิดก็บังเกิดเสียงคำรนของฟ้าดังสะท้านก้องสร้างความตื่นตกใจแก่นักท่องเที่ยวโดยรอบทันที ต่างเก็บข้าวของเพื่อเดินกลับสู่รถยนต์ส่วนตัว ลมลึกลับพัดอากาศเย็นสาดซัดใส่วัดไชยวัฒนารามโดยไม่ทันตั้งตัว

“มาเถอะ ไอ้พจน์ กลับไปรวมกลุ่มกันก่อน” ปาล์มฉุดแขนพจน์ให้เดินตาม แล้วระหว่างนั้นพจน์จึงเห็นเงาร่างของคุณปู่ผุดขึ้นตรงฐานองค์ปรางค์ประธานอีกครั้ง สะบัดมือออกจากการกอบกุมของไอ้ปาล์มแล้วออกวิ่งไปหาท่าน คุณปู่กำลังยืนคุยอยู่กับบุคคลที่มีผ้าคลุมสีขาวกระจ่างปิดบังศีรษะและใบหน้ารวมถึงร่างกายทั้งหมด เมื่อใกล้ถึงตัว ระยะการได้ยินจึงชัดเจนขึ้น
 
“หนทางช่วยทุกสรรพชีวิตบนพิภพนี้ คือ ศรัทธาความเชื่อจากมวลมนุษย์ทุกผู้ หากมนุษย์ทุกคนเชื่อว่าน้ำกำลังจะท่วมโลก พิภพนี้ก็จะปลอดภัย แต่...มีอีกหนทางหนึ่งซึ่งยากลำบากยิ่งกว่า คือ รวบรวมมหามณีล้ำค่าสามสิ่งให้ครบถ้วนก่อนวันโลกาวินาศมาถึง แลพิภพนี้จะยังคงอยู่ ทว่า...มหาพิภพจักย่อยยับพินาศล่มสลายทันที เพลาใกล้สิ้นสุดแล้ว มนุษย์ จงปฏิบัติตามหน้าที่อันวงศ์ตระกูลนี้ได้รับมอบหมายมาแต่ดั้งเดิม จงเลือกหนทางที่ถูกควร และ...เด็กนั่นช่วยเจ้าได้”

ดวงตาสีขาวภายใต้เงาของผ้าคลุมสว่างจ้าพุ่งหาพจน์ กลุ่มควันพัดเลี้ยวลดพาชายใต้ผ้าคลุมหายลับกับสายลม ศาสตราจารย์วิชัยขยับตัวพินิจหลานชายคนเดียว

“ตาพจน์...” เสียงแหบแห้งของคุณปู่ปลิวลอยละล่องสู่กลุ่มเมฆทมิฬ “แกได้ยินทุกอย่างแล้วสินะ”

“มันหมายความว่ายังไงครับ ที่ว่าพิภพนี้จะยังคงอยู่หากทุกคนเชื่อว่าน้ำจะท่วมโลก พิภพนี้จะยังคงอยู่หากรวบรวมมหามณีสามสิ่งได้ และพิภพนี้จะยังคงอยู่ ...ส่วนมหาพิภพจะย่อยยับพินาศล่มสลาย หมายความว่ายังไงครับ คุณปู่”



มีต่อด้านล่างครับ

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๔ มัจจุราชยาตรา ๑๐๐% (๑๐/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 10-08-2016 13:53:35
[ต่อ]



“มหาพิภพ คือ ดินแดนที่แกเดินทางข้าม...พิภพไปเยือน นั่นล่ะ” เสียงฟ้าร้องผ่าลงกลางใจพจน์ ถ้อยคำแถลงการณ์ที่คุณปู่ประกาศต่อสาธารณะชนทั่วโลกดังวนเวียนอีกครั้ง

‘ยังคงมีดินแดนอันกว้างใหญ่จมอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิก มหาเทพผู้ยิ่งยงเหนือพิภพนั้นได้บอกกับผมว่า ดินแดนทั้งหมดที่มีขนาดเทียบเท่ากับอาณาเขตของมหาสมุทรในปัจจุบันจะโผล่พื้นน้ำขึ้นมา...ดินแดนซึ่งไม่มีหลักฐานหรือสิ่งจารึกใดๆ ผมขอเรียกดินแดนนั้นว่า มหาพิภพ มหาทวีปที่จะทำลายล้างโลกของเรา’

ศาสตราจารย์วิชัยเอื้อมมือแตะไหล่หลานชาย พจน์สั่นหน้าปฏิเสธความจริงโหดร้าย

“โกหก ใช่ไหมครับ เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ มา...ตะ มาตะ” พยายามเอ่ยขานนามคนที่ตนฝากตัวฝากรักไว้ พลันหัวใจแทบแหลกสลาย ปาล์มคว้าแขนหมายเค้นข้อกังขา “ใคร ไอ้พจน์ มัน...เป็นใคร”

“คุณพ่อกลับขึ้นรถเถอะครับ” ภพดนัยพาทุกคนมายังลานกว้าง “ฝนน่าจะตกมาอีก ผม...”

“คุณพ่อได้คำตอบหรือยังครับ กับคำถามที่ต้องการคำตอบจนต้องเสี่ยงชีวิตไม่คาดคิดเป็นของแถม พอใจหรือยังครับกับความมั่นใจ ทั้งที่เคยมุ่งจะพูดในสิ่งที่คนทั้งโลกต่างหันหลังให้ ทั้งที่ทำมาตลอดสิบปี ทั้งที่บอกว่าคุณแม่ยอมเสียสละตัวเองให้จมอยู่ใต้มหาสมุทร เพื่อให้คุณพ่อได้มายืนอยู่ตรงนี้ กับคำตอบที่ต้องการหา คุ้มค่าหรือยังกับการท้อถอย ชีวิตครอบครัวของเราพังลงก็เพราะคุณพ่อทั้งหมด”

“หยุดเดี๋ยวนี้ ตาพล” ภพดนัยร้องห้าม “แกอย่าได้พูดจาหยาบคายกับคุณพ่อเด็ดขาด ต้องเข้มแข็งมากกว่านี้ พี่ไม่ได้สอนหรือไงว่า...”

“พี่จะเอาเวลาที่ไหนมาสอนผมล่ะครับ อาชีพแบบพี่แม้กระทั่งลูกตัวเองยังไม่สามารถดูแลได้เลย” ภพดนัยไม่คิดว่าหมัดขวาของตนจะพุ่งเข้าหาใบหน้าน้องชายรวดเร็วปานนั้น พอเห็นดวงตาเกรี้ยวกราดของธนพลก็พลันรู้สึกเสียใจท่วมท้น ธนพลยิ้มเยาะแล้วหัวเราะ

“ตั้งแต่เกิดมาพี่เคยทำร้ายผมหรือเปล่า ไม่ ตั้งแต่อายุสิบห้าผมได้รับความรักจากคุณแม่หรือเปล่า ไม่ ตั้งแต่คุณแม่เสียผมเคยได้รับอ้อมกอดจากคุณพ่ออีกหรือเปล่า ไม่ ผมมีสิทธิ์ที่จะพูดความในใจตัวเองหรือเปล่า พี่ดนัย ก็ในเมื่อตลอดสิบปีที่ผ่านมา ชีวิตครอบครัวของเราพังทลายไม่มีชิ้นดี แม้กระทั่งญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูงก็ละทิ้งตีจาก ไม่ใช่เพราะสิ่งที่คุณพ่อพูดแล้วมันเพราะอะไร แล้วเมื่อไม่กี่วันมานี้ท่านก็หยุดทำสิ่งนั้นทั้งที่ตัวท่านยึดมั่นมาตลอด ราวกับท่านพยายามลบลืมคำพูดตลอดสิบปีที่ผ่านมา แต่รู้หรือเปล่าว่ารอยแผลเมื่อมันถูกกรีดลงแล้วจะเป็นแผลเป็นตลอดไปไม่มีวันลบออก ผมมีสิทธิ์จะพูดความจริง ไม่ว่าพี่จะชกผมซักกี่หมัด ผมก็จะพูด”

“เงียบเดี๋ยวนี้” ภพดนัยตวาดน้องชายซ้ำน้ำตาคลอ

“ปล่อยให้น้องพูด พ่อดนัย”

ศาสตราจารย์เอ่ยปราม ดวงตาหลังแว่นเขม้นบุตรชายคนเล็กอย่างที่ไม่เคยมองชัดเท่านี้มาก่อน ท้องฟ้ามืดครึ้มมากขึ้นทุกขณะ และลมก็โหมกรรโชกแรงเป็นทวีคูณ

“ไม่ใช่ตรงนี้ครับ คุณพ่อ กลับไปที่รถกันเถอะ” ภพดนัยยืนกรานหนักแน่น พี่สุนิสาพยายามกระซิบหูแฟนหนุ่มให้สงบอารมณ์ เพื่อนของพจน์ต่างยืนหน้าเจื่อนไม่มีใครกล้าพูด

เสียงปรบมือไม่จริงใจดังมาทางทิศองค์ปรางค์ประธาน

“ข้ามิเคยเห็นมหรสพใดขบขันปานนี้” ร่างสูงของบุรุษผู้หนึ่งปกปิดกายด้วยผ้าดำผืนใหญ่คลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าคะเนจากสายตาแล้วคงสูงไม่ต่ำกว่าสองเมตรเป็นอย่างน้อย จี้หยดน้ำสีทองห้อยคอพจน์ร้อนราวกับถูกเผา ฉุดสติของเด็กหนุ่มจากห้วงความคิดมืดมนให้หันมองสิ่งมีชีวิตใต้ผ้าคลุมนั้นทันที
 
“เหตุใดจึ่งมิแสดงโต้ตอบกันต่อเล่า ข้านี้ปรารถนาชิดชมเหลือประมาณ” น้ำเสียงอำมหิตตะคอกใส่ สายลมโบกผ้าคลุมพลิ้วไหวต้องพยับฝน

“กูว่าเรากลับกันเถอะ” ภามภพดึงแขนพจน์ถอยหลังเมื่อเห็นผู้มาเยือนมีลักษณะไม่ชอบมาพากล ไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่ตรงนี้ ไม่ใช่ต่อหน้าเพื่อนและญาติพี่น้องของเขา

“พวกเจ้าทั้งหมดจะไปไหนมิได้ทั้งนั้น!” เจ้าของเสียงน่าขนลุกตะคอกระงับ บัดนี้บริเวณโดยรอบของระเบียงคดซึ่งล้อมปรางค์ประธานไว้ร้างไร้ผู้คนนอกจากพวกเขาเท่านั้น พจน์รู้ว่าอันตรายที่ตนภาวนาไม่ให้เกิดยืนดำรงตนวางโตอยู่เบื้องหน้าแล้ว เขาจะต้องถ่วงเวลาพูดคุยกับมันให้นานที่สุด เพื่อส่งทุกคนออกไปจากวงล้อมอันตราย

“แกเป็นใคร ต้องการอะไร”

“กล้าหาญนัก เด็กน้อยเอ๋ย ช่างมีความกล้าเจรจากับสิ่งมีชีวิตเยี่ยงข้า”

แรงลมมืดมัวซัดผ้าคลุมสีดำให้เลื่อนหลุด ปรากฏเป็นร่างประกอบล้วนเหมือนมนุษย์ ยกเว้นผิวกายเขียวเข้ม ใบหน้าเหี้ยมเกรียม คิ้วหยักกนกเป็นคลื่น ดวงตาสีเหลืองขีดขอบดำ ริมฝีปากเข้มมีเขี้ยวโค้งงอ ตกแต่งร่างกายด้วยภูษาทมิฬแลเครื่องประดับดำ มุ่นผมรัดเป็นมวย กล้ามเนื้อนูนชัดสูงใหญ่ผิดมนุษย์ธรรมดา อุปมาดั่งมัจจุราชแห่งความตาย ไม่มีใครส่งเสียงร้องหรือพูดคุยแม้แต่น้อย ราวกับสิ่งมีชีวิตตรงหน้าขโมยสรรพเสียงจากลำคอของมนุษย์ในที่นั้นเสียสิ้น

“ข้าคืออัครมหาเสนาบดีปีศาจฝ่ายซ้าย นาม สหภูบาล” มันคำรามผสานเสียงฟ้าร้อง

“อะ ไอ้พจน์” ไอ้น้ำกระซิบเรียก

“อย่าขยับ” พจน์ส่งสายตาเตือน เพราะเกรงว่าหากมีคนหนึ่งคนใดหลบหนี เจ้าปีศาจตรงหน้าจะแสดงอำนาจเหนือธรรมชาติไม่คาดคิด ศาสตราจารย์วิชัยมิได้แสดงความกลัวแต่อย่างใด ท่านขมวดคิ้วราวกับประหลาดใจในสิ่งที่เห็นผิดต่างจากคนอื่นๆ สุนิสากรีดร้องพรั่นพรึงท่ามกลางความเงียบของสายลม เจ้าปีศาจร่างเขียวตวัดตาโปนสีเหลืองถลึงจ้องหญิงสาวจนสิ้นสติล้มลง โชคดีอาธนพลยังครองสติคอยระวังไว้อยู่แล้ว จึงทรุดตัวชันเข่ารับสุนิสาไว้ในอ้อมแขน พร่ำเรียกชื่อแฟนอยู่หลายหน
 
“ท่านรับใช้ใคร” ศาสตราจารย์ถามไร้ความเกรงกลัว ภพดนัยโอบกระชับบุตรชายและบุตรสาวไว้ใกล้ตัว น้องแพรวเป็นลมพับไปอีกคน ไอ้ปาล์มรีบปฐมพยาบาลชุลมุน

ดวงตาเหลืองกวาดมองมนุษย์ทั้งสิบเก้า มันแสยะยิ้มราวกับคำถามของท่านเป็นเรื่องขบขันอย่างหนึ่ง

“ข้ารับใช้ใครกระนั้น ฤา” สหภูบาลปีศาจหัวเราะดังลั่น แล้วว่า “ข้ารับใช้ผู้ที่จักได้ครอบครองมหาพิภพแลทรงอำนาจสูงสุดอย่างหาใครเปรียบมิได้ เพียงแค่ข้าเอ่ยพระนาม พวกเจ้าก็จักพรั่นพรึงศิโรราบ จงอย่าได้ริอ่านมาถามว่าข้ารับใช้ใครอีก”

“ถ้าอย่างนั้นเราคงเป็นศัตรูของท่าน” คุณปู่ตอบกลับ

“ไม่ จนกว่าเจ้าจักมาขัดขวางแผนการของข้า” เสนาบดีสหภูบาลเงยหน้าสูง พจน์ไม่อาจทนให้ทุกคนต้องอยู่สถานการณ์เป็นตายเท่ากันนี้ได้ ตัดสินใจขยับสู่แนวหน้าแต่ถูกศาสตราจารย์วิชัยผลักอกให้ถอยกลับ ดวงตาสีเหลืองแลดูกิริยาพจน์ มันเอียงคอกลับกลอกไปมา

“แล้วแผนการของท่านบนพิภพนี้คืออะไร” ศาสตราจารย์วิชัยยังคงพูดใจเย็น ปีศาจร่างเขียวยกยิ้มประดุจคำถามของคุณปู่เป็นที่ต้องตาต้องอารมณ์ของมันยิ่งนัก

“ความตายแลวิญญาณของมนุษย์หนึ่งคน แลกกับมนุษย์เป็นพันล้าน” มันคำรามดุดัน

“ท่านประสงค์ผู้ใด” คุณปู่ย้อนถามแต่พจน์ไม่อาจทนได้ ภพดนัยเห็นบุตรชายลุกลี้ลุกลนก็โอบรัดตรึงไว้

ปลายเล็บสีดำไว้ยาวกว่าปกติชี้มายัง ภพดนัย ใช่ มันชี้มายังบิดาของพจน์ไม่ใช่ตัวพจน์ ดวงตาสีดำเบื้องหลังแว่นของคุณปู่ส่งสัญญาณบางอย่างให้หลานชายสงบนิ่ง ไม่ใช่ บุคคลที่มันต้องการคือพจน์ คือเขาต่างหาก ภพดนัยจ้องปลายเล็บนั้นราวกับต้องมนตร์ดำ ชาญณรงค์ในชั้นแรกยืนสงบไม่แสดงอาการตื่นกลัวใดๆมาตลอด หะนี้ไม่อาจครองสติไว้ ภพดนัยสูดลมหายใจลึกเสมือนยอมรับในโชคชะตาที่ผิดพลาดพลางดึงพจน์กับดาวเข้าสวมกอด

“พ่อขอโทษนะ มันถึงเวลาแล้วจริงๆ”

“อะไรคะ ไม่ใช่ค่ะ ต้องไม่ใช่คุณพ่อ มันเรื่องอะไร เรื่องล้อเล่นอะไรกันคะ” ดาวหวีดร้องอุปมาโลกกำลังล่มสลายอยู่ตรงหน้า ภพดนัยปลุกปลอบบุตรสาวแล้วเช็ดน้ำตาให้  “ทำไมคะ ดาวไม่ยอมให้คุณพ่อไป ไม่ยอมค่ะ ไม่ยอม”

ดวงหน้าภพดนัยมีแต่ความว่างเปล่าเช่นเดียวกับคุณปู่ ต้องมีบางอย่างผิดพลาด ในเมื่อไอ้กันบอกว่า พจน์คือผู้ครอบครองเพชรอัญมณีสูงสุดที่จอมปีศาจต้องการ และพราหมณ์โกสินธพยังยืนยันหนักแน่นว่าพจน์คือมหาบุรุษในตำนานตามโคลงพยากรณ์ เช่นนั้นบุคคลที่ปีศาจต้องการตัวคือ พจน์ ไม่ใช่บิดาของตน

“นี่ต้องไม่ใช่ความจริง” แสงฟ้าแลบแปลบปลาบสะท้อนคำพูดของดาว แน่ชัดว่ามันคือความจริง

“จงมอบมันให้ข้า แลพวกเจ้าจักรอดพ้นจากหายนะในครานี้” เสนาบดีปีศาจแจ้งสำทับย้ำความเหี้ยมโหด

สิ้นคำสหภูบาลปีศาจ ไอ้ต่อ ไอ้โบท ไอ้กี ไอ้รัก ไอ้นาย ไอ้เพรียว ไอ้เอกต่างเดินแทรกผ่านชาญณรงค์ ภพดนัย และคุณปู่ไปอยู่แถวหน้า พจน์ถลาจะไปดึงพวกมันกลับมาก็ถูกไอ้น้ำ ไอ้พีท ไอ้ภามฉุดไว้

“ปล่อยดิวะ ปล่อยกู”

“ถ้าหากมึงต้องการชีวิตใครคนใดคนหนึ่งตรงนี้ ก็ผ่านศพพวกกูไปก่อนแล้วกัน” ไอ้ต่อประกาศกร้าว มันตั้งท่ากำหมัดแน่นเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ความประหลาดใจผุดขึ้นบนใบหน้าสีเขียวอำมหิตเพียงชั่วแล่นก่อนมันจะยิ้มเหยียดดุจการกระทำของเพื่อนพจน์เป็นการละเล่นอย่างหนึ่ง

“โอ้ มิตรภาพ ความเสียสละ ข้าสัมผัสได้ แต่รู้ ฤา ไม่ สิ่งเหล่านี้หามีปรากฏในเผ่าพันธุ์ใดนอกจากเผ่าพันธุ์ซึ่งอ่อนแอ่ที่สุดในพิภพโลกา มนุษย์ เพียงเท่านั้น” สหภูบาลหลับตาลง งึมงำมนตราคาถา อ้าแขนทั้งสองข้าง ร่างกายระดับสูงสองเมตรก็ขยายใหญ่ขึ้นเป็นสามเมตรในทันที เงาดำผุดพุ่งออกจากปรางค์องค์เล็กทั้งสี่รวมกับองค์ประธานอีกหนึ่ง ประกอบเป็นรูปร่างคล้ายเงามนุษย์กระจายรายล้อมกลุ่มเหยื่อไว้ “หากมนุษย์บนพิภพนี้มิอาจเข้าใจถ้อยความง่ายดายอันข้าร้องขอก็จง...ตาย”

“ดูก่อน สหภูบาลเสนาบดี!”

คำร้องห้ามที่ไม่ได้มาจากกลุ่มของพจน์ส่งมาจากเบื้องหลังของเสนาบดีปีศาจ ร่างกายสูงผอม ไหล่กว้างสมชาย ผิวขาวซีดดุจไม่มีเลือดไหล่เวียน ยาตราผ่านม่านหมอกทมิฬ นุ่งผ้าดำผืนยาว ตกแต่งด้วยเครื่องประดับนิล เกล้ามวยผมดำขลับไว้กลางกระหม่อม อัญมณีสีกาฬประดับกึ่งกลางหน้าผาก ดวงตาดุดุจตาเหยี่ยวขับเน้นโดยขีดขอบเข้ม ใบหน้าแหลมซูบตอบ ริมฝีปากดำเช่นภูษาคล้องกาย

“ไอ้กัน” ถ้อยคำไร้เรี่ยวแรงเผลอหลุดจากปากพจน์ ดวงตาเหลืองวาวโรจน์ของเสนาบดีปีศาจกะพริบมองแล้วก้มหัวสำแดงความเคารพ

“ปราชญ์พยากรณ์...สินะ
 
นัยนาดำเป็นจุดเล็กท่ามกลางวงล้อมสีขาวราวกับไม่เห็นสิ่งใดอยู่ในสายตานอกจากพจน์ ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นไอ้กัน คนที่พจน์ผลักไสมันออกไปจากชีวิต แล้วทำไมตอนนี้ถึงปรากฏตัวในรูปลักษณ์มืดทมิฬประดุจท้องฟ้า ผิวซีดขาวเหมือนหนึ่งถูกสาดด้วยผงแป้ง ดวงตาดุเอาแต่จับจ้องพจน์ ชั่วขณะหนึ่งระริกไหวก่อนจะนิ่งสงบดังเดิม หรือว่ามันจะทำตามที่สัญญาไว้ ถ้าพจน์ตกอยู่ในอันตรายมันจะมาช่วย ใช่แล้ว พจน์ส่งยิ้มให้ไอ้กันอย่างไม่เคยดีใจเท่านี้มาก่อน
 
ปีศาจร่างเขียวถอยหลังประชิดฐานองค์ปรางค์ประธาน กันก้าวเท้ามายืนแทนที่

“จงอย่าได้ขัดขืนให้กาลเพลาล่วงผ่านไปโดยเปล่าดาย ความเสียสละกายนี้จักมิคุ้มค่าแม้เพียงนิด ส่งตัวมันผู้นั้นมา” คำห้าวที่พจน์เคยคุ้นคำรามใส่ ต้องมีบางอย่างผิดพลาด หรือว่าไอ้กันจะจำพจน์ไม่ได้ เขาต้องเบียดแทรกไปให้มันเห็นชัดๆว่าพจน์อยู่ตรงนี้

“เจรจาไปก็ไร้ผล ข้าขอดวงวิญญาณของเจ้าเด็กทั้งเจ็ดคนนี้ไว้ครอบครอง”

“ไม่” กันตวาดใส่เสนาบดีปีศาจ “พวกเจ้าจงล่าถอย แลปฏิบัติตามคำอย่าบิดพริ้ว คือส่งเจ้าผู้ข้าหมายประสงค์มาแต่โดยดี” ชี้ภพดนัยด้วยเล็บยาว

แล้วความจริงอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจพจน์ หรือว่าแท้จริงแล้วไอ้กันคือสมุนของจอมปีศาจ เหตุผลที่มันมาใกล้ชิดพจน์ก็เพราะต้องการสืบความเป็นไป เพียงคิดเท่านี้ก็ยิ่งคับข้องใจ ไม่อาจยืนนิ่งอยู่ได้ก็ตะโกนร้องถามสุดเจ็บร้าว

“ไอ้กัน กูรู้ว่าเป็นมึง นี่ใช่ไหมคือเหตุผลที่มาใกล้ชิดกู” แววตานิ่งสงบคือคำตอบทุกอย่าง ความรู้สึกเหมือนถูกหักหลังเป็นอย่างนี้นี่เอง “มึงเคยบอกกูว่า ถ้าเมื่อไหร่กูตกอยู่ในอันตราย ให้กูหลับตาแล้วนึกถึงมึง มึงจะรีบมาช่วยคุ้มครองกูและครอบครัว นี่เหรอ สิ่งที่มึงกำลังจะปกป้อง”

พจน์ไม่อาจอ่านสายตาเรียบเฉยนั้นได้ ถ้าหากนี่จะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตก็ขอให้เขาได้รู้จากปากมันสักคำหนึ่งว่า ความไว้ใจทั้งหมดเป็นสิ่งลวงตา

“ตอบสิวะ!”

“ข้าหาทนนิ่งฟังเจ้ามนุษย์ครวญคร่ำพร่ำพรรณนาต่อมิได้แล้ว” ปีศาจเขียวร่างโตสุดอดกลั้น ยื่นฝ่ามือสู่เหยื่อมนุษย์ “วิญญาณะ จิตตะ สุริยะ...”

“วิญญาณะ จิตตะ สุริยะมรณา”

ถ้อยคำมนตราทมิฬสองเสียงแผดผสาน ผสมด้วยเสียงนกกรีดร้อง เมฆหมอกสีขาวเข้าปกคลุมรอบกายพจน์รวดเร็วทันควันบัดบังทุกคนที่พจน์รักออกจากข้างกาย ไม่ ไม่ ต้องไม่ใช่ตอนนี้ ได้โปรดอย่าได้พาพจน์ข้ามพิภพไปตอนนี้เด็ดขาด


100%...TBC โปรดติตตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3448146#msg3448146)
เพจนิยาย (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)
_________________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

:ling3: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
:กอด1: :pig4:

เขาคุยกันแล้วว ฮิ้ว  :hao7:
แววตาตอนจบนี่ของใคร ซักน่ากลัว แต่ก็อย่างว่านะ เจ้าตัวเขามาเปิดฝาโลง(ชาติที่แล้ว)ของตัวเอง จะเปิดไม่ได้ก็กระไรอยู่

ขอบคุณคนเขียนมาก(กอไก่ล้านตัว) ขอสารภาพว่าต้องอ่านสอวรอบแหนะว่าจะตีความโคลงที่เปิเช่องลับได้  :z2:
กว่าจะยอมคุยกันได้ทำเอาทั้งคนอ่านและคนเขียนเหนื่อยไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว ฮ่าๆ แววตาสีชาดของตอนที่แล้วจะเป็นของใครคุณคงจะได้คำตอบในเร็วๆนี้ พูดอีกก็ถูกอีกครับ แหม เจ้าตัวมาเปิดฝาโลงในอดีตชาติก็ต้องเปิดได้สิ ฮ่าๆ สำหรับโคลงฯเปิดช่องทางลับนั้นถ้าใครไม่ย้อนกลับไปอ่านสองรอบเป็นอย่างต่ำถือได้ว่าผิดจากการคาดคะเนของผู้เขียนอย่างมาก อิอิ หรือไม่ถ้าอ่านรอบเดียวแล้วจำได้หมดเลยนี่ก็ถือว่าเก่งทีเดียว ยินดีครับที่คุณชอบ

โอ้ย  ใครกันนะ  ยิ่งอ่านยิ่งงง  ไม่กล้าคาดเดาเลยอ่ะ  ที่คิดไว้คือมีอยู่สองคน  แต่ถ้าเป็นพจน์ในชาติที่แล้วคงไม่ใช่มั่ง  ถ้าเป็นตัวมเหสี  รึเปล่า  รึมีใครอีก คนที่โกรธเคืองสองคนนี้ก็มีแต่พระมเหสีเท่านั้นนี้  ส่วนมณี คนถือคลองคือพจน์ไม่ใช่หรอ  หรือเราจำผิดอีก  แต่พจน์รักมาตะ  จึงมาอยู่ด้วย  เออมันก็เท่าเป็นของมาตะอะนะ  รอต่อไปแล้วกันครับคนแต่ง
อย่าเพิ่งงงครับ ใจเย็นๆก่อน ลองลำดับเรื่องราวที่ผ่านมาดีๆนะครับ สิ่งที่คุณเดามาว่า ดวงตาสีชาดเป็นของพจน์เมื่อชาติที่แล้วหรือเปล่านั้น ต้องขอโทษด้วยนะครับ ไม่ใช่ครับ แล้วก็ไม่ใช่พระมเหสีของพระเจ้าอนันตราชอีกเช่นกัน แล้วจะเป็นใคร รอเฉลยในบทหน้าครับ ส่วน พัชรพีนิลกาฬ ที่คุณยังจำได้ว่าเคยเป็นของพจน์ในอดีตชาติกินนรนั้น ถูกต้องครับ และคงเป็นความผิดของผู้เขียนอีกเช่นกันที่ทำให้ผู้อ่านสับสนของการเรียงลำดับเวลาและเหตุการณ์ก่อนหลัง ผมจะขอลำดับเรียงจากเหตุการณ์ที่เรื่องราวนี้ดำเนินอยู่ย้อนกลับไปนะครับ คือ ชาติภพที่เรื่องราวนี้ดำเนินอยู่ (มาตะ-พจน์) > ชาติภพคนธรรพ์ (พระเจ้าอนันตราช-พระเจ้าวัชรโกมล[ได้ครอบครองอนันตวัชรมรกต]) > ชาติภพกินนร (พระเจ้าพัชรพรรดิ-พระเจ้ารพีกานต์ [ได้ครอบครองพัชรพีนิลกาฬ]) ดังนั้นหากคุณยังจำได้ ในชาติภพกินนร ในบั้นปลายชีวิตของพระเจ้ารพีกานต์ถูกเผ่าพันธุ์คนธรรพ์ยกทัพรุกราน จนก่อให้เกิดสงครามแย่งชิงไพลินนิลสี พระเจ้าพัชรพรรดิออกสู้ศึกจนสิ้นพระชนม์ เช่นเดียวกับพระเจ้ารพีกานต์โศกศัลย์จนหลั่งน้ำตาสายโลหิตสิ้นพระชนม์เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงอาจคะเนได้ว่า มหาศึกครานั้นเผ่าพันธุ์คนธรรพ์ชนะสงคราม พัชรพีนิลกาฬคงตกไปอยู่ในการครอบครองของเผ่าพันธุ์นี้ไม่ผิดแน่ หลังจากนั้นลำดับการครอบครองผลัดเปลี่ยนมือจากมหากษัตริย์คนธรรพ์ส่งต่อกันจนมาถึงรัชสมัยพระเจ้าอนันตราชซึ่งเป็นการกลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้งพระเจ้าพัชรพรรดิ ดั่งนั้นพระเจ้าอนันตราชจึ่งได้ครอบครองพัชรพีนิลกาฬมาแต่นั้น ส่วนพระเจ้ารพีกานต์กลับชาติมาเกิดเป็นพระเจ้าวัชรโกมลซึ่งในชาตินี้ได้ครอบครองอนันตวัชรมรกต ดังที่เรื่องราวได้เปิดเผยมาก่อนล่วงแล้วตามลำดับ ต่อมาพระเจ้าอนันตราชสิ้นพระชนม์พร้อมการสาปสูญของพัชรพีนิลกาฬ กลับมาเกิดใหม่ในชาติภพปัจจุบัน คือ มาตะ ส่วนพระเจ้าวัชรโกมลตามคำอธิษฐาน จึงมาเกิดเป็นพจน์ ซึ่งในชาตินี้ได้ครอบครองมหาเพชรมณี ครับ หวังว่าจะช่วยให้คุณและผู้อ่านหลายๆคนที่ยังสับสนในเรื่องนี้กระจ่างใจมากขึ้น

ไม่คิดไรมากและฮ่าๆๆ ในที่สุดเขาก็คุยกันแล้วววส่วนเรื่องว่าใครพูดนั้นรอลุ้นตอนหน้าละกัน^_^ :katai1:
หวังว่าคุณจะต้องอดใจไปอีกตอนนะครับว่าคำพูดสุดท้ายของดวงเนตรสีชาดนั้นเป็นของใคร รอติดตามนะครับ

ขอบคุณฮะ...วันนี้ขอมาเบาๆ อย่างไรลองพิจารณาอีกทีนะฮะ

...แม้นคำเหล่าเจ้าจักอ้างจู่เข้าตัดไม้จันทร์**หอมเพื่อผดุงชีพ...

...เทวาลัย มีลักษณะเก่าโทรมปรักหักพัก** ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นแทรกรกชัฏ...

...และ**จักให้พราหมณ์น้อยผู้ศิษย์อาตมันนาม มารุต คอยรับใช้ปรนนิบัติท่านอีกหนึ่ง...


...ดัง**ท่านประสบด้วยตนเองแล้ว พระเวทมนตราถูกสาปแช่งฝังไว้กับป่านี้นับอสงไขย

...จนส่งศิษย์ผู้น้อยไปนำออกมา มีหรือ**พวกท่านจักเอาชีวิตรอดได้”... - หรือกรณีนี้จะใช้ "หรือ" แต่ปกติเห็นใช้ ฤา ใช่มั้ยฮะถ้าป็นคนสมัยโน้น?

...บุญคุณครั้งนี้ไม่**อาจมีวันทดแทนได้หมดก็จักขอช่วยปรนนิบัติดูแลตอบแทนท่านคืนดุจกัน”...

...บิดาจึง**ออกอุบายพาอาตมันในวัยเพียงเจ็บขวบท่องเดินป่า...



...สิบปี มิได้พบหน้าบิดามารดรจนแทบลืบ**ใบหน้าท่านเสียแล้ว...

...พจน์ผวาสะดุ้งนึกว่าหัวจะเขก**กับก้อนหินเสียอีก... - เขก หรือ โขก ? จะเหมาะสมกว่ากัน

...ฝุ่นดินพัดโบกบังหนาแน่นอยู่ พจน์ลองเอามือรูป**ออก พลันก็นึกถึงถ้อยคำของเฒ่าวลาหกตาบอด...


...ถัดจากบัด**ไดศิลาเป็นลักษณะห้องโถงสี่เหลี่ยมผืนผ้าทอดยาวไกลสุดลูกหูลูกตา...

...ลำห้วย ต้นไม้ บ้านเมือง ผู้คน เผยให้ (เห็น?)**ทันทีเมื่อแสงไต้ไฟส่องกระทบ... - มันจำเป็นต้องมี "เห็น" ด้วยมั้ยอะฮะ?

...“โลงพระศพนี้เป็นของพระเจ้าอนันตราช มหากษัตรย์**คนธรรพ์...

...ปรากฏตัวเบื้องพิภพนี้จริงดัง**คำของพระองค์...

ส่วนช่วงตรงนี้จะงงๆ
..."เคราะห์กรรมยังมิสิ้นสุดเหล่าพราหมณ์ทั้งเก้าเข้าช่วยชีวิตได้ทันท่วงที..."???
หมายถึงว่า เป็นเพราะเคราะห์กรรมของมารุตยังคงมีอยู่ พราหมณ์ทั้ง 9 เลยมาช่วยชีวิตได้ทัน ให้มีชีวิตอยู่เพื่อใช้กรรมต่อไป...ประมาณนี้มั้ยฮะ?

ปล. ต้องบอกเลยนะฮะว่าไม่ใช่ผู้รู้หรือชำนาญทางด้านภาษาเลย ใช้สัญชาตญาณล้วนๆ และไม่มีหลัการใดๆ ทั้งสิ้นนะฮะ 555+
โอ้โห ถ้าจะผิดเยอะขนาดนี้ ต้องขอน้อมรับไว้แต่โดยดีไม่มีข้อโต้แย้งใดๆครับ ซึ่งคงหลงหูหลงตาไปไม่น้อย ก็คือมากนั่นเอง  ฮ่าๆ ขอบคุณผู้อ่านเป็นอย่างยิ่งที่ช่วยกันเป็นหูเป็นตาตรวจทานให้อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งนิยายวายเรื่องนี้จะไม่สมบูรณ์ได้เลยหากไร้การอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ของผู้อ่านทั้งหลาย จนสะท้อนกลับมาสู่ผู้เขียนอย่างที่คุณได้ชี้แนะข้างต้น ขอบคุณอีกครั้งครับ จะกลับไปตามแก้อย่างที่คุณว่าโดยเร็ว ส่วนช่วงที่คุณงงๆนั้นถือว่าเข้าใจถูกต้องแล้วครับ คือเป็นความตั้งใจของผู้เขียนมิได้แกล้งให้ผู้อ่านปวดหัวแต่อย่างใด ต้องยอมรับว่าถ้าอ่านผ่านเลยก็ผ่านได้ แต่ถ้าอ่านเอาความเข้าใจจริงๆ คือ พออ่านแล้วรู้สึกตรงนี้มันแปลกๆก็ต้องพิจารณาตีความกันอย่างที่คุณว่านั่นแหละ ถามมาได้ครับถ้าสับสนช่วงไหน สำหรับคนที่อ่านหนังสือมาเยอะ หรือผ่านตาภาษามามากพอสมควรแล้วความรู้สึกจะบอกทันทีว่า คำไหนผิด คำไหนถูก หรือคำนี้ไม่น่าจะใช่นะ คือมันจะผุดขึ้นมาขวางหูขวางตาในทันที ซึ่งเป็นธรรมดาที่จะไม่อยากให้ปล่อยผ่านตาไปโดยง่าย ถือว่าคุณเป็นผู้อ่านที่ทรงคุณค่าคนหนึ่งสำหรับนักเขียนหลายๆคนเลยครับ ไม่ใช่เฉพาะผม ที่อยากให้ติเพื่อก่อ แนะเพื่อสร้างสรรค์ คนเรามีสองมือสองตาหนึ่งสมอง หากได้หูตาสมองเพิ่มขึ้นย่อมเป็นความยินดียิ่งของผู้เขียนทุกคน ขอบคุณมากๆครับ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๔ มัจจุราชยาตรา ๑๐๐% (๑๐/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: pnn ที่ 11-08-2016 20:58:28
 :katai1: :katai1: โอ๊ย ทำไม กัน เป็นแบบนี้ แล้วมาตะล่ะ  โอ๊ยยยย ครอบครัวพจน์จะเป็นอะไรหรือเปล่า มาต่อเร็วๆนะๆ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๔ มัจจุราชยาตรา ๑๐๐% (๑๐/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 14-08-2016 13:30:35
บางทีมันก็ซับซ้อนเกินไปนะบางครั้ง รอต่อไปละกันครับ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๕ อุปราชาต้องคมทวน ๕๐% (๑๕/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 15-08-2016 09:23:31
บทที่ ๓๕


อุปราชาต้องคมทวน



เด็กหนุ่มหอบหายใจถี่ระรัว สภาพอากาศครึ้มมัวดุจถูกย้อมด้วยหมึกเขียนกระดาษ โบราณสถานหินทรายขนาดใหญ่ก่อเป็นเงาปิดล้อม ลมเย็นบางเบาพัดเอื่อยๆนิ่งสงบ ในห้วงหัวใจเจ้าหนุ่มมีแต่ภาพครอบครัวกำลังถูกเสนาบดีปีศาจและไอ้คนที่สาบานว่าจะปกป้องพจน์พ้นอันตรายคุกคามฝังแน่น
 
‘ได้โปรดนำพาข้ามพิภพกลับคืนเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด’

ลองหลับตาเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล พอลืมตาอีกครั้งก็พบแต่ความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาจะต้องกลับไปช่วยครอบครัวและเพื่อนๆ กรุณาเถอะ

“ดูก่อน พ่อหนุ่ม”

เสียงเฒ่าชราย่างเยื้องจากเบื้องหลังเงามืดของแถวระเบียงคดชั้นนอก

“พราหมณ์!” นักบวชหัวหน้าคณะผู้บำเพ็ญญาณเดินเอามือไพล่หลัง “ช่วยผมด้วย ท่านมีอำนาจหรือพลังอะไรหรือเปล่า ช่วยส่งผมกลับคืนไปยังโลกที่จากมาด้วย”

หัวหน้าผู้ครองศีลลูบเคราสีเงินละอกขึ้นลง ตรึกตรองสิ่งที่พจน์ร้องขอด้วยคิ้วฉงน

“ไยท่านกล่าวประหนึ่งมิได้ดำรงตนอยู่บน มหาพิภพ นี้ ก็แหละก้อนศิลาอันท่านเหยียบอยู่นั้นถูกปูเรียงอยู่เหนือผืนปฐพีหล่อหลอมรวมเรียกว่า อนุทวีปตะวันตกแห่ง มหาพิภพ ติดชายขอบขัณฑสีมา อาณาจักรสุวรรณนครา มหานครแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์”

“อะ...อะไรนะครับ” พจน์กะพริบตาแล้วเบิกค้าง จดจำข้อความสนทนาของคุณปู่กับบุคคลลึกลับที่ว่า หากทุกคนเชื่อว่าน้ำจะท่วมโลกหรือรวบรวมอัญมณีล้ำค่าสามประการได้ แผ่นดินมหาพิภพจะล่มสลาย “พราหมณ์ ที่นี่คือที่ไหน”

“ดินแดนแห่งนี้ขนานนามมามากกว่าแสนสหัสวรรษจวบกระทั่งอาตมันแลท่านยืนหายใจอยู่ คือ มหาพิภพ”

มือทั้งสองสั่นจนยากจะควบคุม ความจริงนี้แปลความได้อย่างเดียวว่า ไม่โลกที่พจน์จากมาหรือมหาพิภพแห่งนี้ต้องมีแหล่งหนึ่งแหล่งใดพบจุดจบ แล้วสิ่งที่คุณปู่พยายามมาตลอด พยายามให้ทุกคนเชื่อก็เพื่อให้สรรพชีวิตบนมหาพิภพนี้ล่มสลายอย่างนั้นหรือ ช่างเลือดเย็นนักกับอำนาจซึ่งชักนำให้พจน์ข้ามพิภพมาเจอกับมาตะ หากต้องล่วงรู้ว่ามีผู้คนมากมายอาศัยอยู่และกำลังรอเวลาให้สูญสลายสิ้นก็ขอให้อำนาจนั้นปลิดชีพตนเสียเถิด เพราะความจริงเจ็บทรมานกำลังเผาผลาญภายในกายพจน์จนแทบจะแตกดับอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว

“ท่านมีความไม่สบาย ฤา จึ่งปรากฏสีหน้าทุกข์ตรมเช่นนั้น” หัวหน้าพราหมณ์ทักท้วง

“ผมเจ็บมากครับ เจ็บ เจ็บจนไม่รู้จะกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้ยังไง เพราะทั้งโลกของผม และที่แห่งนี้กำลังจะ...” ไม่อาจหลุดปากพูดความจริงให้พราหมณ์ผู้ทรงศีลทราบเรื่องราวได้

“หนทางแห่งทุกข์ล้วนมีเกิดย่อมมีดับ หากใจท่านร้อนรนด้วยความทุกข์จงอาศัยสติเป็นเครื่องระงับเถิด จงพิจารณาลู่ทางอันสงบที่จักนำใจท่านพบแสงสว่าง อนึ่งอาตมันมีเรื่องราวสอนใจอันอาจช่วยระงับทุกข์ได้ ด้วยเป็นนิทานมุขปาฐะเล่าสืบต่อกันมาจากปากสู่ปากเพื่อเป็นคติสอนใจในยามทุกข์ร้อนจงตรองดูเถิด”

พจน์ยกมือปฏิเสธเพราะบัดนี้ความคิดสับสนเหลือจะกล่าว ห่วงแสนห่วงครอบครัวที่ถูกละทิ้งไว้ในเงื้อมมือของปีศาจ อีกทั้งพะวงมหาภัยที่กำลังจะเกิดเหนือมหาพิภพหากคุณปู่ประกาศเตือนภัยสำเร็จ เขาต้องรีบบอกมาตะ พยายามเหลียวหาคนที่ตนผูกรักไว้ ณ ลานระเบียงคดชั้นนอกปราศจากสิ่งมีชีวิตอื่นใด

“ท่านเห็นกลุ่มคนที่ผมมาด้วยหรือเปล่า ตอนนี้อยู่ที่ไหน”

ดูเหมือนนักบวชพราหมณ์จะไม่ได้ยินคำถาม เพราะคำตอบกลับเป็นบทกลอนนิทานโบราณ เพียงขึ้นต้นก็ให้รู้สึกขนลุกกราว

“มาจะกล่าวบทไป
ถึงยักษ์สหัสพักตร์โฉมศรี
เรืองฤทธิ์เลิศล้ำกว่าอสุรี
ทั้งธาตรียอพักตร์งามวิไล
ทั้งองอาจสมชาติรัตน์บุรุษ
ยักษีนุชนารถพร้อมล้อมไสว
สมัครรักทั้งยักษาทั้งขุนไกร
ติดตรึงในดวงตาพาเฝ้ามอง
ครั้นสดับยินข่าวคราวมนุษย์
บริสุทธิ์งามพรรณวรรณะสอง
บวชเป็นพราหมณ์ถือศีลตามครรลอง
ประพฤติครองชายป่าพนาวรรณ
นามจันทีสิบเจ็ดปีวัยกำดัด
เก่งกล้าสารพัดพระเวทฉันท์
บำเพ็ญญาณสะคราญโฉมรุกโรมรัน
มีน้ำใจผูกพันเอื้ออารี
จึ่งเป็นที่หมายปองของบุรุษ
ประสงค์ฉุดครองใจพ่อโฉมศรี
ทั้งพ่อค้ากษัตราวาสุกรี
ต่างหยิบยื่นไมตรีทุกวี่วัน
หากหทัยจันทีมีมอบให้
พราหมณ์หนุ่มใหญ่ชื่อกบิลขรรค์
คู่ฝึกซ้อมคู่ร่ำเรียนเขียนอ่านวรรณ
ก่อสัมพันธ์คล้องใจเป็นหนึ่งเดียว
สรรพสำเนียงเลื่องลือสื่อถึงยักษ์
สหัสพักตร์คู่แข่งลักลอบเหลียว
เฝ้าติดตามโฉมพราหมณ์จันทีเพรียว
เพ่งพินิจขบเขี้ยวอิจฉาวง
พักตร์เจ้าพราหมณ์งามเลิศเพริศยิ่งกว่า
มิอาจทนใครมาเทียบผุยผง
ระคายตาขัดข้องต้องล้างลง
ตนดำรงเป็นเอกในโลกา
คิดอุบายหมายช่องให้พราหมณ์เฒ่า
ผู้เป็นเจ้าอาจารย์มนุษา
ขจรข่าวพบศรฝังมุกดา
พร้อมฤทธาเกริกไกรทั้งไตรภพ
เจ้าครูพราหมณ์หมายใจให้ศิษย์รัก
คือกบิลพรหมฟูมฟักได้ครองสบ
โอกาสมีคีรีเขาจักรนพ
จงท่องไปบรรจบนำกลับมา
กบิลพราหมณ์น้อมรับคำเจ้าครู
ก็ชวนชู้ยอดรักจันทีสง่า
ออกเดินป่าเที่ยวท่องไพรพนา
จวบถึงเขาจักรานพคีรี
สหัสพักตร์กระหยิ่มยิ้มประดุจ
มฤคีเดินรุดเฝ้ายักษี
เผ่นผาดโผนโจนขวางด้วยฤทธี
เงื้อง่ากระบองตีดินสะเทือน
มึงนี้หลงเล่ห์กลผลอุบาย
จะวอดวายแดดิ้นสิ้นชาติเหมือน
สมันโง่เลาะลัดมิแชเชือน
กูจะเฉือนเจ้างามพักตร์ดับดิ้นลง
เพียงกูล่อว่ามีเลิศอาวุธ
มึงก็เร่งเดินผุดด้วยล่มหลง
มากกิเลสตัณหามิหยุดปลง
วันนี้คงเป็นวันตายของพวกมึง
กบิลพราหมณ์จันทีมีกล้าหาญ
ก็ต่อสู้รุกราญผลาญยักษ์ถึง
สามทิวาราตรีมิอาจดึง
ให้ยักษาม้วยซึ่งถึงความตาย
ต่างกอดพร่ำรำพันอาลัยรัก
ฝากสมัครเรานี้เสียรู้หาย
นะแห่งนี้คือที่เราวอดวาย   
สหัสพักตร์ฟาดหมายทลายลง”

ราวกับบทกลอนนิทานถ่ายทอดเป็นเรื่องราวผ่านผนังระเบียงคดสลักเป็นจิตรกรรมเคลื่อนไหวพาดผ่านเป็นแนวไล่เลียงจากต้นจนจบ พจน์แทบรู้สึกถึงยักษ์สหัสพักตร์ยืนเยื้องอยู่เบื้องหน้า แต่ก็กลับกลายเป็นหมอกควันพร่าเลือนลบ นิทานบทนี้ช่วยระงับสติร้อนรนให้หยุดลงทันที

“ทำไมท่านถึงเล่านิทานเรื่องนี้ให้ผมฟัง” นิ่งรอคำตอบจากพราหมณ์เฒ่า “พวกพ่อค้าที่ผมมาด้วยอยู่ที่ไหน”

“อย่าได้ร้อนรน จงอดทนฟังอาตมันสักชั่วครู่ ก็บัดนี้นิทานโบราณอันอาตมันเล่าถึงเป็นหัวข้อสนทนาระหว่างเรา จักชักเอาสิ่งก่อกวนให้ใจท่านเป็นทุกข์เพิ่มนั้นมิควรก่อน หะนี้จงตรองแลวานตอบมาสักคำหนึ่งเถิดว่ากลอนนิทานบุราณสอนสั่งด้วยแง่คิดใด”

ความเงียบเชียบอย่างเป็นไปไม่ได้ปกคลุมทั่วเทวาลัยร้าง ในเมื่อที่แห่งนี้มีพราหมณ์ถึงเก้าคนบำเพ็ญเพียรอยู่ อย่างน้อยต้องได้ยินสรรพเสียงสวดบริกรรมคาถาอย่างหนึ่งอย่างใด หรืออย่างน้อยก็น่าจะได้ยินคำสนทนาเจรจาของมาตะ กฤษณะ แลพระมหาอุปราช แต่ไม่มีเสียงดั่งว่า เป็นความเงียบผิดปกติอย่างที่สุด พลันความรู้สึกเป็นห่วงมาตะก็ผุดขึ้นรุนแรงมากกว่าหนแรก กำลังผละหนีเข้าเขตเทวาลัยชั้นกลางก็ถูกเสียงร้องของพราหมณ์เฒ่าฉุดรั้งไว้

“นิทานเรื่องนี้สอนสืบทอดต่อกันมาว่า จงอย่าหลงเชื่อในคำเล่าลือ แลจงอย่าไว้ใจคนผู้ส่งพวกเจ้ามาที่แห่งนี้เด็ดขาด”
 
ชะงักหยุดคิด หรือว่าคำลือที่แพร่งพรายไปทั่วว่า เทวาลัยร้างเป็นสถานฝังพระศพของพระเจ้าอนันตราช กษัตริย์คนธรรพ์ผู้ครอบครองพัชรพีนิลกาฬจะเป็นความเท็จ แล้วนักบวชโกสินธพส่งพวกมาตะมาสืบข่าวโดยอ้างว่า พบเห็นภัยมืดก่อตัวเหนือเทวาลัยร้างให้ลักลอบสืบดูความเป็นไปของพราหมณ์ทั้งเก้าว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับอำนาจมืดหรือเปล่านั้น เป็นคำล่อหลอกอย่างนั้นหรือ ไม่ ต้องไม่ใช่

“ท่านโกหก” พจน์หันกลับตะโกนใส่หน้าพราหมณ์ชรา ไม่สนใจแสดงความเคารพบูชาผู้มากวัยแลคุณวุฒิกว่า ในเมื่ออีกฝ่ายสำแดงท่าทีเป็นคำลวง

“ตั้งแต่ถือกำเนิดเกิดมาสักคำโกหกหนึ่ง อาตมันมิเคยกล่าวหลุดออกจากปากเป็นราคีอัปมงคล ความจริงใดเกิดจากอาตมันแล้วคือสิ่งยุติสิ้นสุดแลจริงแท้ยิ่งกว่าน้ำใจมนุษย์ พวกท่านเดินมาสู่ที่แห่งนี้โดยแผนการของคนผู้หนึ่งประสงค์ให้สืบค้นหามหามณีพัชรพีนิลกาฬมิผิดจากคะเน” ท่วงท่าน่าเคารพของโกสินธพมหาราชครูจะหลอกใช้พวกตนมาลอบกระทำสิ่งอันพราหมณ์ผู้นี้กล่าวไม่เห็นเป็นความจริงไปได้

“แลจักมีคนหนึ่งคนใดในหมู่ท่านเป็นพ่อค้าวาณิชสุจริตก็หาไม่ ข้ออ้างประสงค์ไม้จันทน์หอมรึก็เป็นคำมุสาช่างเกริ่นกล่าวไม่ละอายปาก เจตนาแท้จริงนอกจากถูกหลอกให้มาสืบค้นหาไพลินนิลสีแล้วยังเสี้ยมสอนให้กระทำการลักลอบดูกิริยาของเหล่าอาตมันทั้งเก้า ฤา มิใช่”

“ไม่ใช่” พจน์โต้กลับทันที ข้อแรกนั้นตนปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ประการหลังจำต้องยอมโกหกเพื่อไม่ให้งานสืบราชการลับถูกจับได้

“เอาเถิด นิทานเรื่องนี้อย่างน้อยก็มีคุณทำให้ท่านตระหนักซึ่งความจริงที่ว่า ไม่มีใครที่เราจะไว้ใจได้แม้แต่คนผู้ที่เรานับถือเชื่อใจอย่างที่สุดก็ตาม นั่นย่อมหมายถึงบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าท่านนี้ด้วยผู้หนึ่ง” ในชั้นแรกดูเหมือนคำพูดนั้นกำกวมไม่ชัดแจ้ง ครั้นทบทวนรูปความซ้ำก็พลันระแวงเอะใจ ก้าวถอยห่างจากหัวหน้านักบวช

“ท่านเป็นใคร”

พราหมณ์เฒ่าชราผู้เคยก้าวเดินหลังค่อม จู่ๆก็ยืดตัวตรงสูง คิ้วขาวยกฉงนสนเท่ห์ในถ้อยคำถามเหลือประมาณ ก่อนจะหัวเราะดังลั่นประหนึ่งมีความสุขสุดจะกล่าว

“อาตมันหรือคือใคร มานพน้อยเอย ปุจฉานี้สมควรเป็นคำแรกสุดที่จักถามตัวท่านเอง แต่ครั้นโยนมาถามอาตมันเฉกนี้ก็จักขอวิสัชนาสำแดงร่างแท้จริงให้ปรากฏแทนคำพูด” พอกล่าวสิ้น ควันดำมากประมาณก็พัดล้อมพราหมณ์ชุดขาวรวดเร็ว และเมื่อควันนั้นสลายสิ้นก็ทิ้งพราหมณ์แก่คนเดิมไว้แต่นุ่งห่มชุดดำ ใบหน้าใจดีกลับซีดเผือดดูดุร้าย  ม่านตาขาวเต็มเบ้าลึก ประพิมพ์ประพายคล้ายกับ...

“ผู้เฒ่าวลาหก!”

“ชายผู้นั้นพ้นวิบากกรรมล่วงแล้ว คราวปะทะพระเวทมนตราพ่ายอาตมันเมื่อเนิ่นนาน” เพียงกะพริบดวงตาขาวก็ถูกแทนด้วยสีชาดดุจเพลิงกาฬ “อาตมันจำแลงเป็นเฒ่าตาบอดสืบต่อมา อาศัยสรรพวิชาแสร้งรักษาเยียวยาคนมานับแต่นั้นหนึ่ง แลลอบสังเกตความเป็นไปของบ้านเมืองเผ่ามนุษย์อีกหนึ่ง แต่มิคิดว่าสิ่งปลุกเสกสร้างเสริมชื่อเสียงตน คือ เหรียญเภตราวลาหกจักฉกนำมหาบุรุษมาสู่โดยง่ายดายเยี่ยงนี้ จากนั้นเจ้าคงตรองด้วยสติปัญญาตนเองได้ว่า คำเฒ่าวลาหกกล่าวล้วนเป็นสิ่งลวงซ่อนความจริงพ่วงแผนการร้ายโดยสิ้น คือ กลอุบายแยบยลจนทำให้เจ้าตกมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ นามอันผู้คนเรียกขานอาตมัน คือ ทศมาร

หลุมพราง เสียแรงที่ไว้ใจ เสียรู้โดยไม่ทันตะขิดตะขวงแม้แต่น้อย ในชั่วเสี้ยววินาทีอันตรายรุกล้ำพจน์นึกถึงคนเพียงคนเดียว

“มาตะ” ร้องเรียกสุดเสียงอันดัง ทศมารพราหมณ์ก็ร้องคำสวดเป็นผลให้เถาวัลย์ไม้ผุดจากรอยแยกของศิลาเลื้อยเกี่ยวรัดข้อเท้าพจน์ตรึงแน่น

“อย่าอึ้งไปให้เสียแรง หามีผู้ใดจักยินศัพท์แสง ด้วยฤทธิ์ตำรับยาพลิกแพลงถูกโรยไว้ในภาชนะบรรจุน้ำแลส้มสูกลูกไม้สะกดสติให้ดื่มด่ำในห้วงนิมิตยากจักฟื้นตื่นโดยง่าย แลบัดนี้จงคลายความโดยพลัน เจ้าได้พัชรพีนิลกาฬมาครอบครองแล้วใช่ ฤา ไม่”

ฮึดฮัดสะบัดขา คลำหาหอกซัดเหน็บชายพกเป็นเดือดเป็นแค้น “แกวางแผนอะไรกันแน่ ถ้าต้องการแค่ฆ่า ทำไมถึงหลอกล่อมาไกลขนาดนี้”

พราหมณ์ปีศาจหวัวขำขันย่างเยื้องเข้าหา กระแทกปลายไม้เท้าใส่อาวุธพระราชทานล่วงหล่นจากขอบเอวของผู้ถูกพันธนาการ “อวดดีนัก ชะตาถึงฆาตแล้วยังมิสำนึก เด็กเอ๋ยเด็กน้อย ต้องมาพลอยอายุสั้นเพราะโง่เขลาเบาปัญญา ไยคำลือแลตำนานโคลงพยากรณ์แต่บุราณจึ่งสรรเสริญว่า มหาบุรุษผู้ครอบครองสิ่งล้ำค่าสูงสุดจักทรงพละกำลังที่หามีผู้ใดในพิภพเปรียบได้ไม่ ทั้งเชี่ยวชาญสรรพกำลังอาวุธ ทั้งเลิศล้ำปัญญาหลักแหลมฉลาดฮึกหาญจนเป็นที่ครั่นคร้ามเกรงกลัว แต่เจ้าหามีสิ่งเหล่านั้นอยู่ในตัวแม้แต่น้อย เป็นเพียงมนุษย์ต่ำต้อยด้อยค่าไม่ประสีประสาเสียราคา ถูกตรึงตราดุจนกน้อยพึ่งหย่านมแม่เริ่มฝึกหัดบินผลัดติดกับดักนายพรานกระนั้น ก่อนจักบดขยี้เจ้าปักษาให้แหลกลาญคามือ ขอสนองคุณตอบแทนในความกล้าแลไหวพริบหาใช่ชั่วซึ่งผุดขึ้นมาจนกลั่นเป็นคำถามอันเจ้าซักว่า เหตุใดหมู่อาตมันจึ่งร่วมชุมนุมไกล ณ ที่แห่งนี้ นอกจากวางกลสังหารมหาบุรุษในตำนานโดยสะดวกแล้วหนึ่ง แผนเดิมคือพัดกระจายข่าวว่า เทวาลัยร้างเป็นสุสานฝังพระศพของพระเจ้าอนันตราช หวังให้ไอ้โกสินธพพราหมณ์ละโมบติดบ่วงกับดักส่งมือผู้ที่จักชักนำพัชรพีนิลกาฬออกมาให้พวกข้า คือชายคนรักของเจ้า โดยมิพักต้องเปลืองแรงสอง หมู่คณะข้ายังร่ายพระเวทมนตร์ดำอยู่นาน  ๓๐ ทิวาราตรี เพื่อปลุกเสกให้อารามปราสาทนี้เชื่อมต่อเทวาลัยหลวงกึ่งกลางมหานครปีศาจสาม แลจากนั้น...”

“แกกำลังเปิดประตูมิติเพื่อเคลื่อนพลกองทัพ”

“ถูกต้องทุกประการ แลบัดนี้ประตูกาลเวลาจักพร้อมสรรพในอีกชั่วเคี้ยวหมากแหลกนี้แล ฮ่าๆ” ทศมารปีศาจกรีดร้องเปรมปรีดา “ดั่งนั้นมหาอาณาจักรมนุษย์จักมิล่วงรู้แลเตรียมการได้ทัน กว่าพวกมันจักมองเห็นภัย มัจจุราชความตายก็ผุดขึ้นหว่างหน้าพวกมันแล้ว ประตูด่านสุวรรณคีรีมีทหารเพียงหยิบมือไหนเลยจักต้านทานกองกำลังปีศาจที่พร้อมเคลื่อนรี้พลยาตราทัพเรือนหมื่นแสนได้”

หลุมพรางเล่ห์กลแยบคายลึกลับซับซ้อนถูกเปิดเผยโดยหัวหน้าพราหมณ์ปีศาจเสียสิ้น มันยิ้มอย่างมีชัย ทั้งหลวมตัว ทั้งพลาดพลั้ง มหาราชภัยครั้งใหญ่หลวงกำลังจะถล่มบ้านเมืองของมาตะป่นปี้โดยแค่พจน์ทำได้แต่ยืนฟังแน่นิ่งเท่านั้น

ฉับพลันเสียงหัวเราะแหลมต่ำก็ร้องขึ้นถัดมาจากเบื้องหลังทศมารพราหมณ์ ปรากฏเป็นเงาหนึ่ง ผิวเนื้ออันควรขาวหรือน้ำตาลกลับดำมะเมี่ยม นุ่งผ้าสีดำ คาดทรวงอกด้วยผ้าสีเดียวกับผิว ดวงตาขาวมีจุดดำตรงกลาง มวยผมทรงสูงครอบรัดเกล้าสีนิล มันโยกคอไปมาเพื่อมองพจน์ให้ถนัด ทั้งท่าทีก้าวย่างซ้ายขวาดูผิดธรรมดาคนปกติ ทันทีเมื่อเสียงคำพูดดังกระทบโสตประสาทพจน์ เด็กหนุ่มก็พลันนึกออก

แกทำให้พระแม่จ้าวววววว จำต้องหลั่งพระอัสสุชล

“นารีพิฆาต” หลุดคำหนึ่งจากห้วงความจำ

ใช่ เป็นข้า ผู้ที่เจ้าทำร้ายจนเกือบสิ้นวิญญาณ์ อำนาจอันเจ้าครอบครองทำหัวใจและดวงวิญญาณข้าแทบแหลกสลาย

มันแสร้งสะอึกสะอื้นก้าวตรงมาหาพจน์ด้วยกิริยาหุ่นกระบอกถูกเชิด ดุจมีเชือกล่องหนชักโยงให้มันเคลื่อนไหวได้ผิดต่างคนธรรมดาเยื้องย่าง

เด็กหนุ่มพยายามสลัดข้อเท้าจากการถูกเถาวัลย์รัดแน่น เงาร่างดำเกือบจะถึงจุดที่พจน์ถูกพันธนาการไว้ในอีกไม่ช้า จนในที่สุดใบหน้ามืดทมิฬพร้อมดวงตาอาฆาตจึงเงยสบจากเบื้องล่าง มันเอียงคอกลับกลอกยิ้มพึงใจสุดหฤหรรษ์

สมน้ำหน้า วันนี้จักเป็นวันตายของเจ้า มหาบุรุษ ชายเอยชายหยั่งรู้  แก้วนพ เจ้าเอย ชายหนึ่งในพิภพดั่งข้าม ฮ่าๆ

ความน่าสะพรึงประกอบเป็นภูติผีสตรีนารีพิฆาตตนนี้ ซึ่งสำแดงความอำมหิตผ่านถ้อยคำและแววตาอย่างได้ผล
 
“มหาบุรุษเป็นสมบัติของศิษย์ข้า องค์จอมมาร เจ้าอย่าได้ริอ่านแตะต้องเป็นเด็ดขาด” พราหมณ์ชุดดำประกาศกร้าว นารีพิฆาตแลบลิ้นดำยาวจนถึงปลายคาง ประหนึ่งกระหายบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในตัวพจน์ มันตวัดหน้าเหลียวมองทศมารพราหมณ์

ข้าต้องเอาคืนในสิ่งที่มันทำกับข้า ข้าทรมานนัก รวดร้าวราวกับจะแตกดับ

“ไม่ จนกว่าจอมมารจักสังหารมันผู้นี้ แหละหลังจากนั้นร่างของมันเจ้าจักนำไปทำอย่างใดก็แล้วแต่จะพึงใจ”

เช่นนั้นโปรดกราบทูลพระองค์เสด็จมาที่นี่ บัดเดี๋ยวนี้ ทูลว่า มหาบุรุษ ยืนรอพระองค์ราวกับลูกนกในกรงทองรอพญาอินทรีย์มาฉกสังหาร

มันกรีดร้องเสียงสะท้อนไปทั่ว

         “เสียงกรีดเสียงร่ำร้อง   ห้วงใจ เจ้าเอย
      เสียงคร่ำครวญบาดใน      ดั่งสิ้น
      เสียงความตายนำภัย      มาที่ ทมิฬ
      เสียงใคร่อยากดับดิ้น      สู่ข้า _ _”   


ระหว่างพราหมณ์ทมิฬบริกรรมอันเชิญจอมปีศาจ เสียงหวดคล้ายแส้ฟาดผ่านอากาศ ผุดผาดเป็นอาวุธทวนปลายแหลมเงิน พุ่งเหินตรงดิ่งเข้าหาพราหมณ์ปีศาจ ทศมารระงับโคลงสองคำท้าย วาดมือร่ายพลังมนตรา ผลักศาสตราสะท้อนหวน ทแยงทิศทางทวนหมายทำลายมาตะ
 
“หลบไปมาตะ”

ปลายทวนพุ่งแล่นปักลงเหนือช่วงพระนาภีของพระมหาอุปราชาสุริยะราวกับจับวาง สีพระพักตร์เจ็บสาหัสไม่คาดคิดผุดชั่วแล่น มาตะถูกผลักเซล้มอยู่ ครั้นอุปราชหนุ่มทรงก้มลงทอดพระเนตรเห็นพระแสงทวนประจำพระองค์ปักแน่น พระโลหิตทะลักเปรอะเปื้อนพระหัตถ์แดงฉานจนทรุดพระชานุลง ดวงพระเนตรดำขลับขยับมองภัทรพจน์ พระโอษฐ์ชโลมด้วยพระโลหิตตรัสกระซิบเป็นถ้อยความว่า

สุริยะพจน์...ข้า...เสียใจ...ขอโทษ”

ก่อนจะทรงล้มพระวรกายลงแนบพื้นศิลาในทันที


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3451973#msg3451973)
เพจนิยาย (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)
________________________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

 :mew4: เป็นตอนที่เขียนยากที่สุดอีกตอนหนึ่ง กว่าจะทำใจลงมือเขียนได้ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าต้องเกิดอะไรขึ้น แต่พอต้องเขียนจริงๆก็อดจะน้ำตาซึมไม่ได้ ส่วนอีกครึ่งนั้นกำลังปั่นอยู่ ไม่อยากเขียนเลยจริงๆ ทำใจไม่ได้ เม้นให้กำลังใจผู้แต่งด้วยนะครับ  :mew6:

:katai1: :katai1: โอ๊ย ทำไม กัน เป็นแบบนี้ แล้วมาตะล่ะ  โอ๊ยยยย ครอบครัวพจน์จะเป็นอะไรหรือเปล่า มาต่อเร็วๆนะๆ
กัน เป็นตัวละครที่ลึกลับซับซ้อนอีกคนหนึ่ง ตอนนี้เรารู้แล้วว่า เขามีอีกชื่อว่า สินะ ปราชญ์พยากรณ์ผู้รับใช้ปีศาจ  แต่ทำไมถึงมาช่วยพจน์ในหลายๆครั้ง แผนการ? หรือสิ่งใด และฉากสุดท้ายของบทที่แล้วคือ การทรยศความเชื่อใจของพจน์หรือไม่ รอพบกับฉากเฉลยความในใจของคนๆนี้ได้อีกในไม่ช้า รอติดตามนะครับ

บางทีมันก็ซับซ้อนเกินไปนะบางครั้ง รอต่อไปละกันครับ
ก่อนอื่นต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณ หรืออาจะมีอีกหลายๆคนรู้สึกแบบนั้น หากจะมองว่าความซับซ้อนของเรื่องราวนิยายใดในเรื่องหนึ่งเป็นดาบสองคมก็คงไม่ผิด คือ ด้านหนึ่งเป็นการชวนให้ติดตาม คาดคะเน คาดเดา จับผิด ตั้งความหวังไว้ แต่อีกด้านก็อาจส่งผลอย่างที่คุณรู้สึกคือ ซับซ้อนจนเกินไปจนอาจลดทอนความสนุกและเรื่องราวหลัก ทำให้การอ่านไม่สามารถโฟกัสไปที่จุดใดจุดหนึ่งได้เต็มที่ คือ จากกำลังจะเฉลยตอนนี้ ก็ผุดปริศนาใหม่ขึ้นมาอีก ฮ่าๆ ซึ่งนิยายเรื่องนี้ก็มีปมไม่ใช่น้อยๆ จนทำให้เป็นที่ขัดใจของผู้อ่านหลายๆท่าน กำลังฟินๆก็ต้องมาถูกตัดอารมณ์ทันควัน เอาเป็นว่า ต้องยอมรับในความคิดเห็นนี้ไว้เป็นข้อมูล ปรับปรุงในโอกาสต่อไป ปัญหาค้างคาใจใดๆกำลังทยอยเฉลยแล้วในช่วงครึ่งหลังนี้ สัญญาว่าจะตามเก็บให้หมดนะครับ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๕ อุปราชาต้องคมทวน ๕๐% (๑๕/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 15-08-2016 15:49:57
เข้มข้นๆๆ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๕ อุปราชาต้องคมทวน ๕๐% (๑๕/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: pui_noizๆ ที่ 15-08-2016 20:44:36
ขอบคุณฮะ  มีที่สงสัยและอื่นๆ ตามที่บอกไว้ด้านล่างนะฮะ ของบทใหม่ยังไม่ได้อ่าน อย่างไรอาจมีคำถามตามมาอีกนะฮะ หวังว่าจะไม่เบื่อหรือเกลียดกันซะก่อน  :hao4:

บทที่ ๓๔  มัจจุราชยาตรา

...สภาพแต่ละคนมีผ้าพันแผลรอบศีรษะ บ้างแขน บ้างหัวเข่า ... จะเข้าใจว่าทุกคนล้วนมีผ้าพันแผลรอบศรีษะ-- แต่ถ้าเป็น ..สภาพแต่ละคนมีผ้าพันแผล บ้างรอบศรีษะ บ้างแขน บ้าง... -ก็จะข้าใจว่า มีผ้าพันแผลกันทุกคนแต่เป็นที่หัวบ้าง แขนบ้าง หัวเข่าบ้าง...

...ปาล์มเบือด**แทรกเจ้าพวกนั้นคว้าจับมือพจน์...

...ส่วนไอ้น้ำก็ร้องไห้ขี้มูกโป่งไม่รู้ว่าซึ้งใจในมิตรภาพหรือหายใจไม่ออกกันแน่... - ไม่แน่ใจนะฮะว่า ถ้าหายใจไม่ออกแล้วจะร้องไห้ไปด้วย ดูเป็นคู่ที่ไม่ค่อยคุ้นชิน แต่ก็จะพยายามเข้าใจนะฮะ


...วัดไชยวัฒนาราม จำได้ว่าท่านเคยกล่าวถึงเพราะเป็นสถานที่นัดหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เขา??รีบขยับเข้าหาดาว... - เขา = ใคร?

...นักท่องเที่ยวเดินชมสถาปัตยกรรมของช่างศิลป์ในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททองกระจัดกระจาย...- กระจัดกระจาย นี่ใช้ขยายส่วนไหนน่ะฮะ? มันมาอย่างงงๆ 

...ท้องฟ้าช่วงบ่ายคล้อย??ห้าโมงเย็นเริ่มเปิด... - ไม่แน่ใจว่า ห้าโมงเย็นนี่ยังจะนิยมเรียกกันว่าเป็นบ่ายคล้อยหรือเปล่านะฮะ?

...“อย่าลืมนะดาว คอยใกล้ชิดกับคุณชาญณรงค์ไว้” เด็กสาวขยิบตาเบียดแทรกเข้าหาผู้ช่วยหนุ่มของคุณปู่ทันที...- ใครเป็นคนพูดบอกดาวน่ะฮะ?

...ภายในมีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยแหงนหน้ามองปรางค์ประธานด้วยดวงตาหยี่**เล็ก... 


...จงปฏิบัติตามหน้าที่อันวงศ์ตระกูลนี้ได้รับมอบหมายมาแต่ดั้งเดิม จงเลือกหนทางที่ถูกควร และ**...เด็กนั่นช่วยเจ้าได้”...



...เพื่อให้คุณพ่อได้มายืนอยู่ตรงนี้ กับคำตอบที่ต้องการหา คุ้มค่าหรือยังกับการท้อถอย??
.. - ยังงงๆ ว่า ท้อถอยกับอะไร?

...“ตั้งแต่เกิดมาพี่เคยทำร้ายผมหรือเปล่า ไม่?? ตั้งแต่อายุสิบห้าผมได้รับความรักจากคุณแม่หรือเปล่า ไม่... - ยังงงว่า เค้าจะยกเรื่องการทำร้ายร่างกายมาพูดเพื่ออะไร? เพราะดูไม่ค่อยเข้ากับเนื้อความทั้งหมดที่เหลือ ที่เค้าบอกว่าไม่ได้อะไรต่างๆ โน่น นี่ นั่น

...สหภูบาลหลับ (ตา)??ลงชั่วขณะ งึมงำมนตราคาถาพร้อมกับกางแขนทั้งสองข้าง ร่างกายระดับสูงสองเมตร... - ควรมี ตา มั้ยฮะ ไม่งั้นคือนางงีบหลับเลย หรือจะเป็นอย่างนั้น 555+

...ไหล่กว้างสมชาย ผิวขาวซีดดุจไม่มีเลือดไหล่**เวียน...

...ใบหน้าเหลียว???แหลมซูบตอบ ริมฝีปากดำเช่นภูษาคล้องกาย... - น่าจะเป็น เรียว มั้ยฮะ หรือยังไง?

“ไอ้กัน” ถ้อยคำไร้เรี่ยวแรงเผลอหลุดจากปากพจน์แฝงสัญชาตญาณแห่งความผิดหวัง!!!...
...ใช่แล้ว พจน์ส่งยิ้ม!!!ให้ไอ้กันอย่างไม่เคยดีใจ!!!เท่านี้มาก่อน... -  แรกเห็นรู้สึกผิดหวัง -> ผิดหวังเพราะอะไร?  ไม่ควรเป็นกัน แล้วอยากให้เป็นใคร? หรือ ไม่ควรจะมีใครมาเพิ่มในตอนนี้ หรือ คิดว่ากันไม่ควรจะโผล่มาให้พจน์เห็นหน้าอีก >> แล้วในชั่วระยะยังมิทันเคี้ยวหมากแหลกก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทำให้รู้สึกดีฉับพลันและยิ้มร่าให้เค้า -> ลักษณาการคล้ายไบโพลาร์ นะฮะ 555+ ..ล้อเล่นนะฮะ แต่ก็พยายามจะเข้าใจแล้วกัน

...เมฆหมอกสีขาวเข้าปกคลุมรอบกายพจน์รวดเร็วทันควันบัด**บังทุกคนที่พจน์รักออกจากข้างกาย...

...“จงอย่าได้ขัดขืนให้กาลเพลาล่วงผ่านไปโดยเปล่าดาย ความเสียสละกายนี้จักมิคุ้มค่าแม้เพียงนิด ส่งตัวมันผู้นั้นมา”... - อย่าได้ขัดขืนไปเลยเพราะจะทำให้เสียเวลาแล้วเดี๋ยวความเสียสละในครั้งนี้จะไม่เป็นผล คือยิ่งช้าจะยิ่งไม่คุ้ม -> ประมาณนี้มั้ยฮะ? พอมันไม่มีคำเชื่อมของทั้ง 2 ประโยคเลยงงๆ ไม่แน่ใจในความหมาย

...หรือว่าไอ้กันจะจำพจน์^^ไม่ได้ เขา^^ต้องเบียดแทรกไปให้มันเห็นชัดๆว่าพจน์^^อยู่ตรงนี้... - คหสต นะฮะ ... หรือว่าไอ้กันจะจำเขาไม่ได้ พจน์ต้องเบียดแทรกไปให้มันเห็นชัดๆว่าเขาอยู่ตรงนี้...
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๕ อุปราชาต้องคมทวน ๑๐๐% (๒๐/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 20-08-2016 13:56:21
[ต่อ]



ดวงตากร้าวของมาตะในห้วงเพลานั้นเต็มเปี่ยมด้วยโทสะ กล้าหาญ แลโศกเศร้าอยู่ในที หลังยอบตัวเรียกพระสติของอุปราชผู้เชษฐาด้วยน้ำเสียงห้าว แต่พระอุปราชาไม่มีคำตอบกลับ ดวงตาเข้มก็เกร็งขมึง ตวัดเกรี้ยวกราดหมายพราหมณ์ปีศาจด้วยเพลิงแค้น
 
“มาตะ” พจน์ร้องเรียก เจ้าหนุ่มหันตามคำคนรักตัว
 
“น้องท่าน”อ่อนโยนลงทันควัน กำดาบทองประจำกายแน่น ผุดยืนท่าทีองอาจสมฐานะพระราชบุตรบุญธรรม ปัญจะกับจาโคถลันออกหน้าคอยคุมเชิงระวังภัย ส่วนคาวิน วรุณหยุดห้ามพระโลหิตแลยื้อพระชนม์ชีพของพระมหาอุปราชอยู่โดยมีเวฬุคอยกำกับด้วยสีหน้าซีดเซียว ปากสั่น มือไม้สั่น นำสมุนไพรที่พกอยู่ในย่ามสะพายเข้าห้ามเลือดพัลวัน
 
เหตุการณ์พระอุปราชาต้องคมทวนเหนือคาดคิด ไม่นึกว่าจะทรงนำอาวุธเข้าระงับยับยั้งคำร่ายโคลง ก่อนทศมารจักชักนำจอมปีศาจมาถึง ความขัดข้องหมองใจต่อกันมลายหายสิ้น บัดนี้เหลือแต่ความผิดกัดกินใจตน พจน์คือต้นเหตุที่ทำให้พระองค์ต้องคมทวน ซ้ำยังไม่อาจช่วยเหลือใครได้แม้แต่น้อย กลายเป็นภาระสำหรับคณะเดินทางสมคำปรามาสของพระมหาอุปราชโดยแท้

ฝ่ามือดำของนารีพิฆาตตวัดรอบคอพจน์ รัดแน่นด้วยนิ้วทั้งห้า อีกมือหนึ่งก็รวบแขนทั้งสองไว้ด้วยอำนาจประจำกาย ฉับพลันมันก็รีบปล่อย กรีดร้องโหยหวนเจ็บปวดเหลือคณา ปีศาจทศมารเหาะเหินเดินอากาศประชิดตัวพจน์ ผลักผีร้ายล้มลงดิ้นรนทรมาน เจ้าพราหมณ์ร่ายอาคมซ้ำอีก เถาวัลย์ลึกลับเลื้อยพันจากข้อเท้าสู่มือทั้งสองตรึงแน่น
 
“เจ้าพวกปีศาจชั่วช้า วันนี้ข้าขอใช้ฝีมืออันฝึกปรือจนเชี่ยวชาญต่อกรกับเจ้าให้รู้ดีรู้ชั่ว” กฤษณะไม่อาจฝืนทนเห็นพจน์ถูกกระทำได้ก็โผนโจนเข้าสกัด ตวัดปลายทวนหมายหัวใจของศัตรู แต่ผู้มีอาคมมืดทรงพลังมิยิ่งหย่อนเสกลูกไฟป้องปัดคมอาวุธ

“มนุษย์ธรรมดาเช่นนี้ ฤา จักมีอำนาจต่อกรกับความมืด” พราหมณ์สีกาฬเยาะเย้ย

ฝ่ายมาตะเห็นกฤษณะเปิดฉากโจมตีไม่ทันคิดหน้าคิดหลังก็ร่วมประจัญบานด้วย พราหมณ์ทศมารเสกลูกไฟมอดไหม้สะกัดต้านทานคมดาบรับมืออาวุธทั้งสองชุลมุน กฤษณะเต้นวนหมายแผลสำคัญให้ศัตรูดับดิ้นตามยุทธวิธี แต่การเคลื่อนไหวของไม้เท้าเสริมพลังมนตรามืดกลับว่องไวแคล่วคล่องต่างจากวัยชรา โกสินทร์เห็นเพื่อนตัวทั้งสองต้านรับไว้ด้านหนึ่งจึ่งรีบพุ่งหมายตัดเถาวัลย์กุมตัวภัทรพจน์ นารีพิฆาตคลายเจ็บจู่กระโจนเข้าใส่ราวกับราชสีห์ กระแทกโกสินทร์ล้มลงแนบพื้นศิลา ทหารองครักษ์เห็นแม่ทัพนายกองเข้าตะลุมบอนเป็นสัญญาณเช่นนั้นก็บุกตะลุยตาม ปัญจะออกรับพราหมณ์ปีศาจ จาโคเข้าช่วยโกสินทร์ นารีพิฆาตจ้องหมายลำคอโกสินทร์เป็นรางวัลในคราวนี้ กลิ่นคาวเลือดและเนื้อมนุษย์ช่างเย้ายวนเกินหักห้ามใจ จาโคยกฝ่าเท้าถีบใส่ลำตัวผีร้ายจนมันล้มลุกคุกคลานก่อนจะตั้งหลักหันมากระโจนใส่ทหารหนุ่มอีกครั้ง

พจน์พยายามช่วยเหลือตัวเองแต่อำนาจมนตราทมิฬแข็งแกร่งเหลือเกิน

‘หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นจงใช้ความกล้าหาญเข้มแข็ง สติปัญญา และสิ่งที่มันเต้นระรัวอยู่ภายในนี้’

คำพูดของคนที่พจน์เคยไว้ใจดังขึ้นในห้วงความเป็นตายเสมอกัน คำพูดนั้นจะเชื่อถือได้สักเท่าไร แต่เขาไม่มีหนทางเลือกแล้ว ต้องลองทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเหลือมาตะและพระมหาอุปราชาจากอำนาจความตายให้จงได้ ลองหลับตา ลบภาพหน้าสิ่วหน้าขวาน และอาการบาดเจ็บต้องคมทวนออกจากใจ แต่เสียงสู้รบยังคงโหมดังอยู่รายล้อม ยากจะทำสมาธิให้สงบนิ่ง
 
เร่งทูลเสด็จองค์จอมมาร มหาพราหมณ์

นารีพิฆาตกรีดเสียงวอน ท้องฟ้าดำมืดเริ่มมีแรงลม ช่วงเพลาหนึ่งดูเหมือนทศมารเฒ่าจะพลาดพลั้งเสียทีด้วยถูกมาตะ กฤษณะ แลปัญจะรุกรบด้วยกำลังกล้าแข็ง เต็มเปี่ยมด้วยพลังวัยหนุ่ม ซ้ำหนุนเนื่องจากไฟแค้น ถูกจุดโดนอุปราชต้องคมอาวุธเป็นเหตุให้ฮึกเหิมผิดวิสัยยามปกติยิ่งขึ้นไปอีก พลังเวทย์ทมิฬอันครอบครองมิอาจต้านทานความแข็งแกร่งที่รุกล้อมเข้ามาในทันทีไหว ก็ส่งสัญญาณให้สหายทั้งแปดรับรู้
 
เงาดำของเสาระเบียงคดผุดเป็นร่างพราหมณ์ทั้งแปดผู้ร่วมคณะในชุดดำทมิฬผิดต่างจากหนแรก เหมือนหนึ่งอำนาจมืดกลืนกินความเป็นผู้ทรงศีลเสียสิ้น บัดนี้เหลือเพียงทาสรับใช้จอมปีศาจ อุดมด้วยปรารถนาแห่งความตายเป็นแรงขับดัน พร้อมพลังเวทย์เหนือพราหมณ์ธรรมดา ประกอบเป็นสิ่งมีชีวิตเฒ่าชราแต่น่ากลัวเหลือประมาณ นัยน์ตาสีดำทั้งดวงกราดพินิจเหยื่อในลานศิลา ก้าวเดินโอบกระชับเข้าหา
 
เวฬุตรวจชีพจรของพระอุปราชทรงอ่อนแรงลงทุกขณะ ภูมิความรู้ด้านการแพทย์ซึ่งได้ศึกษาเล่าเรียน ขุดนำใช้ยื้อพระชนม์ชีพจนเกือบหมดสิ้นกระบวนความ แต่รอยแผลบริเวณคมทวนเป็นแผลฉกรรจ์แลลึกจนทำให้พระโลหิตหลั่งนองไม่หยุดหย่อน ผิวพระวรกายซีดขาวลงทุกขณะ อีกทั้งบัดนี้ศัตรูเพิ่มจำนวนขับมาทุกทิศไม่เห็นหนทางรอด ดุจการเสด็จทำราชการคราวนี้เป็นหายนะภัยยิ่งกว่าที่ควรจะเป็น ฉับพลันก็นึกถึงเหรียญวิเศษเร่งร้องถามมาตะโดยเร็ว

“มาตะ เจ้าจงมอบเหรียญเภตราวลาหกให้ข้าบัดเดี๋ยวนี้”

มาตะอยู่ระหว่างรุกพราหมณ์ปีศาจผู้เป็นหัวหน้า ครั้นลอบมองศัตรูว่ามีเพิ่มจำนวนขึ้นหนทางเอาชนะก็ยากยิ่งกว่าเดิม แลได้ยินคำร้องของเพื่อนเกลอบอกเป็นนัยว่า พระเชษฐาอาการทรุดลงแน่แล้ว จึ่งหยิบเหรียญออกชายพกโยนให้เวฬุ เจ้าเวฬุรับมา แต่มิรู้ทำประการใดนอกจากยินเพียงแค่กิตติศัพท์ด้านเป็นเครื่องรางคุ้มภัย อับจนปัญญาก็นำเหรียญนั้นแตะลงบนรอยแผลทวนที่ถูกดึงออกแล้วนั้น กลุ่มควันสีขาวพวยพุ่งออกจากเหรียญเงินก่อเกิดเป็นรูปอาชาสูงใหญ่ขยับหัวขยับเท้าอยู่ข้างพระองค์ราวกับรอคำสั่ง
 
“ช่วยพวกข้าด้วยเถิด” สิ้นคำเวฬุเจ้าม้าหมอกควันขาวยกกีบเท้าทะยานพุ่งเข้าหาสมุนพราหมณ์ปีศาจทั้งแปดเป็นวงกลม กระแทกใส่จนล้มลุกคุกคลานส่งเสียงเจ็บทรมานดังระงม พร้อมกันนั้นก็ร้อง ฮี้ๆ กึกก้อง ถีบเท้าหลังเหินข้ามแนวระเบียงคดหายลับทันที

ในชั้นแรกเวฬุดีใจประหนึ่งพบหนทางออกในเขาวงกต พออาชาศักดิ์สิทธิ์กระโจนหายลี้ลับอุปมาอับจนหนทางตัน ก้มหยิบเหรียญพบว่าแตกออกเป็นสองเสี่ยงเสียแล้ว ครั้นลองวางลงบนผิวพระวรกายของพระอุปราชดังเดิมก็ไม่ปรากฏพลังอัศจรรย์อันใดอีก ลมหายใจของสุริยะอุปราชรวยรินเช่นเดียวกับสติปัญญาของเวฬุเสมอกัน
 
ฝ่ายโกสินทร์หมายใจจะแก้มัดภัทรพจน์ออกจากเถาวัลย์อาคม แต่นารีพิฆาตไม่ยินยอมให้ประชิดโดยง่าย มันผลุบหายล่อหลอกเหยื่อด้วยเล่ห์กลจนสับสน เจ้าพราหมณ์มารุตหนุ่มนุ่งห่มผ้าขาวเร่งฝีเท้ารีบร้อนลงกลางแปลง สีหน้าพรั่นพรึงมองเหตุการณ์ต่อสู้แล้วตรงดิ่งมาหาพจน์
 
“แก้มัดเราด้วย มารุต ได้โปรด” เจ้ามารุตพยักหน้าพนมมืองึมงำบริกรรมคาถา ฉับพลันเถาวัลย์ลงอาคมก็สิ้นอิทธิฤทธิ์ “ขอบใจนะ มารุต ขอบใจนายมา...”

ยังไม่ทันกล่าวจบเจ้าพราหมณ์หนุ่มน้อยก็ปรากฏดวงตาสีชาดขึ้นแล้วเอื้อมมือบีบกำลำคอพจน์
 
“ข้าครอบงำเจ้าพราหมณ์ผู้นี้ได้” น้ำเสียงของทศมารเปล่งจากปากมารุต

“อึก...” พจน์พยายามแกะมือออก โกสินทร์เหลือบเห็นคนรักสหายเสียทีพยายามเลี่ยงเข้าช่วยแต่นารีพิฆาตก็สกัดกั้นไว้โดยพลัน “อั่ก...มา...รุต นี่เราเอง วายุ”

เพียงได้ยินชื่อเดิมเมื่ออดีตชาติถูกเอ่ยดุจอำนาจครอบงำสิ้นสลาย  แรงบีบของฝ่ามือผ่อนคลายชั่วครู่ก็ออกแรงมากกว่าเดิมซ้ำอีกจนเป็นรอยลึกรอบลำคอขาว อำนาจซึ่งแฝงอยู่ในกายตนเหตุใดถึงไม่บังเกิดเข้าช่วยเหลือในเวลาความเป็นความตายเช่นนี้ ทำไม หรือบุรุษชุดขาวผู้นั้นได้ทอดทิ้งพจน์ไปแล้ว
 
“เสียงกรีดเสียงร่ำร้อง ห้วงใจ เจ้าเอย เสียงคร่ำครวญบาดใน ดั่งสิ้น เสียงความตายนำภัย มาที่ ทมิฬ...”

“อย่ามารุต อะ...อย่าท่องโคลง...อึก...นั่น” ผลักหน้าอกเตือนสติ มนตราทมิฬควบคุมมารุตจนสิ้นจะเรียกกลับ

“วา...ยุ วายุ อั่ก วายุ” พจน์พร่ำเรียกชื่อชาติปางก่อน อำนาจชั่วร้ายถูกถอนออกชั่วคราว เจ้าตัวจ้องมองพจน์อย่างตื่นตะลึง เนื้อตัวสั่น ก้มลงมองมือสั่นเทาของตนเอง

“ทะ ทูลกระหม่อมแก้ว ฝ่าพระบาทวัชรโกมล” มารุตหลุดคำร้องนามอดีตชาติสะอึกสะอื้นไห้ได้เพียงแค่นั้นอำนาจทมิฬก็กลับเข้าสิงซ้ำอีก แต่พจน์หลบมือทั้งสองได้ทันการณ์ ก้มลงหยิบพระแสงทวนของพระมหาอุปราชาขึ้นตั้งท่าระวังภัย
 
“ภัทรพจน์ โปรดยื้อพระชนม์ชีพของพระอุปราชด้วยเถิด อำนาจซึ่งเจ้าครอบครองในฐานะเหนือกว่าคนทั้งแผ่นดิน อำนาจซึ่งชักนำเจ้าข้ามพิภพมายังที่แห่งนี้ จงแบ่งอำนาจนั้นเยียวยาพระองค์ด้วย” เวฬุสิ้นหนทางรักษาก็ร้องขอมหาบุรุษ เจ้าภัทระทรุดตัวลงแตะพระวรกายเย็นชืดแล้วส่ายหน้า มารุตพุ่งเข้าหาพจน์อีก แต่ก็หยุดยื้อไว้ด้วยสติตัวเอง ยกมือจับศีรษะด้วยเจ็บปวดแสนสาหัส น้ำตาไหลหลั่งสลับกับหัวเราะยินดี ต่อมาก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม พร่ำพูดซ้ำว่า “ข้าฝ่าพระบาทจำได้แล้ว” สลับกับ “จงตายซะ” เป็นภาพเวทนาสังเวช

กฤษณะออกอาวุธเต็มกำลังฝีมือไม่ต่างจากมาตะ รุกโหมโรมรันพันตูทศมารอย่างสุดความสามารถ มันพยายามสาดลูกไฟไปเบื้องทิศมหาบุรุษอยู่หลายหน มิอาจสมคะเน มาตะเกรงเจ้าภัทระคู่พิศวาสจักต้องบ่วงนายพรานกระนั้นก็ พยักหน้าเป็นสัญญาณให้กฤษณะนายกองรับมือไว้ก่อน ตนจักละวงต่อสู้เข้าช่วยรับทางด้านนั้น ทศมารปีศาจเห็นสบช่องระหว่างกฤษณะซึ่งปัดป้องมนตราดำมาช้านานผุดความอ่อนล้าชั่วแล่น ก็สาดลูกไฟสังหารลอดคมทวนติดตามมาตะ แผดก้องว่า

“วิญญาณะ จิตตะ สุริยะมรณา”

มาตะเฉลียวใจในถ้อยคำก็หันหลังกลับ ลูกไฟมอดไหม้พุ่งพรวดใส่กล้ามอกมาตะทันที ร่างของเจ้าหนุ่มหงายหลังกระแทกพื้นล้มลง
 
วินาทีมืดมัวหัวใจพจน์ชาวาบ ประดุจพิษร้ายกำหราบหยุดเต้น ถลาหามาตะคว้าร่างกระเด็น  พิจารณาเห็นดวงตาเข้มเบิกมองฟ้า ว่างเปล่าราวกับเวลาหยุดเคลื่อนไหว ห้วงหทัยเคยเต้นเป็นเหมาะสม ฤา รุนแรงคราวชิดชมกลับว่างเปล่า เสียงซอบรรเลงเล่าเพลงคำหวาน ดังสะท้านปลิดดอกลีลาวดีหนึ่ง ร่วงจากฟากฟ้าสู่กึ่งกลางอกมาตะ ลมร้อนควรผ่อนผละจากกาย วอดวายไม่มีหลงเหลือตราบนิรันดร์
 
สิ่งที่กลัวที่สุด...ได้เกิดขึ้นแล้ว

เจ้าภัทระสูดหายใจเข้าออกเป็นจังหวะแน่ชัด รับรู้ความเคลื่อนไหวชุลมุนรอบกาย รับรู้อากาศเย็นสบายสัมผัสผิว รับรู้ว่าร่างใต้อ้อมแขนตนเย็นดุจน้ำแข็ง ไร้ลมหายใจ แล้วจึงมองเห็นความเป็นไปในวิถีโลก รับรู้ถึงการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสังสารวัฏของชีวิตขึ้นในปัญญา ณ วินาทีนั้นเด็กหนุ่มผู้ครอบครองมหาเพชรมณีเพ่งสติตัวเข้าถึงขั้นฌานสมาบัติ แหงนหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบน
 
'เกิดภพหน้าฉันใดใจพิสุทธิ์ เป็นมนุษย์เดินดงคงสืบสาน ไกลสุดหล้า ‘ข้ามพิภพ’ รบรอนราญ ครอง ‘ดวงมาลย์’ นพมณียอดตรีคูณ'

“ผมรู้แล้ว ผมจะขอเวียนว่ายตายเกิดในภพนี้เป็นชาติสุดท้าย ขอจงมอบปัญญาแลอำนาจปราบมารร้ายคืนแก่ผมด้วยเถิด”
กู่ก้องร้องตะโกน

ท่ามกลางความตื่นตะลึงไม่คาดคิด บังเกิดแสงสีขาวสว่างจิต เจิดจ้าผุดพุ่งออกจากกึ่งกลางหน้าผากของภัทรพจน์ ระเบิดแผ่ออกเป็นคลื่นมหาพลังซัดใส่ความความโฉดชั่ว ณ เทวาลัยร้าง ทรงพลานุภาพยิ่งกว่าพลังใดในพิภพจะทำได้ แล้วพุ่งเป็นแนวดิ่งขึ้นสูงของท้องฟ้าดำมืดเป็นลำแสงกระจ่างนภา ประดุจปลายดาบเงินมหึมาเสียดแทงสู่พิภพฟ้า แทรกชั้นมวลมหาท้องสมุทรแปซิฟิกทะลุออกยังจักรวาลอันไกลโพ้น ทุกสรรพชีวิต ณ มหาพิภพและปัจจุบันภพเห็นลำแสงมหัศจรรย์นี้ไกลนับแสนล้านโยชน์โดยพร้อมเพรียงกัน

https://www.youtube.com/v/2Bs-UZP9Kho (เพลงปิดท้าย กรุณาหลับตาแล้วกดฟัง)


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3456418#msg3456418)
เพจนิยาย (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

.......... :o12:

เข้มข้นๆๆ
ขอบคุณครับ  :sad4:

ขอบคุณฮะ  มีที่สงสัยและอื่นๆ ตามที่บอกไว้ด้านล่างนะฮะ ของบทใหม่ยังไม่ได้อ่าน อย่างไรอาจมีคำถามตามมาอีกนะฮะ หวังว่าจะไม่เบื่อหรือเกลียดกันซะก่อน  :hao4:

บทที่ ๓๔  มัจจุราชยาตรา

...สภาพแต่ละคนมีผ้าพันแผลรอบศีรษะ บ้างแขน บ้างหัวเข่า ... จะเข้าใจว่าทุกคนล้วนมีผ้าพันแผลรอบศรีษะ-- แต่ถ้าเป็น ..สภาพแต่ละคนมีผ้าพันแผล บ้างรอบศรีษะ บ้างแขน บ้าง... -ก็จะข้าใจว่า มีผ้าพันแผลกันทุกคนแต่เป็นที่หัวบ้าง แขนบ้าง หัวเข่าบ้าง...

...ปาล์มเบือด**แทรกเจ้าพวกนั้นคว้าจับมือพจน์...

...ส่วนไอ้น้ำก็ร้องไห้ขี้มูกโป่งไม่รู้ว่าซึ้งใจในมิตรภาพหรือหายใจไม่ออกกันแน่... - ไม่แน่ใจนะฮะว่า ถ้าหายใจไม่ออกแล้วจะร้องไห้ไปด้วย ดูเป็นคู่ที่ไม่ค่อยคุ้นชิน แต่ก็จะพยายามเข้าใจนะฮะ


...วัดไชยวัฒนาราม จำได้ว่าท่านเคยกล่าวถึงเพราะเป็นสถานที่นัดหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เขา??รีบขยับเข้าหาดาว... - เขา = ใคร?

...นักท่องเที่ยวเดินชมสถาปัตยกรรมของช่างศิลป์ในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททองกระจัดกระจาย...- กระจัดกระจาย นี่ใช้ขยายส่วนไหนน่ะฮะ? มันมาอย่างงงๆ 

...ท้องฟ้าช่วงบ่ายคล้อย??ห้าโมงเย็นเริ่มเปิด... - ไม่แน่ใจว่า ห้าโมงเย็นนี่ยังจะนิยมเรียกกันว่าเป็นบ่ายคล้อยหรือเปล่านะฮะ?

...“อย่าลืมนะดาว คอยใกล้ชิดกับคุณชาญณรงค์ไว้” เด็กสาวขยิบตาเบียดแทรกเข้าหาผู้ช่วยหนุ่มของคุณปู่ทันที...- ใครเป็นคนพูดบอกดาวน่ะฮะ?

...ภายในมีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยแหงนหน้ามองปรางค์ประธานด้วยดวงตาหยี่**เล็ก...


...จงปฏิบัติตามหน้าที่อันวงศ์ตระกูลนี้ได้รับมอบหมายมาแต่ดั้งเดิม จงเลือกหนทางที่ถูกควร และ**...เด็กนั่นช่วยเจ้าได้”...



...เพื่อให้คุณพ่อได้มายืนอยู่ตรงนี้ กับคำตอบที่ต้องการหา คุ้มค่าหรือยังกับการท้อถอย??
.. - ยังงงๆ ว่า ท้อถอยกับอะไร?

...“ตั้งแต่เกิดมาพี่เคยทำร้ายผมหรือเปล่า ไม่?? ตั้งแต่อายุสิบห้าผมได้รับความรักจากคุณแม่หรือเปล่า ไม่... - ยังงงว่า เค้าจะยกเรื่องการทำร้ายร่างกายมาพูดเพื่ออะไร? เพราะดูไม่ค่อยเข้ากับเนื้อความทั้งหมดที่เหลือ ที่เค้าบอกว่าไม่ได้อะไรต่างๆ โน่น นี่ นั่น

...สหภูบาลหลับ (ตา)??ลงชั่วขณะ งึมงำมนตราคาถาพร้อมกับกางแขนทั้งสองข้าง ร่างกายระดับสูงสองเมตร... - ควรมี ตา มั้ยฮะ ไม่งั้นคือนางงีบหลับเลย หรือจะเป็นอย่างนั้น 555+

...ไหล่กว้างสมชาย ผิวขาวซีดดุจไม่มีเลือดไหล่**เวียน...

...ใบหน้าเหลียว???แหลมซูบตอบ ริมฝีปากดำเช่นภูษาคล้องกาย... - น่าจะเป็น เรียว มั้ยฮะ หรือยังไง?

“ไอ้กัน” ถ้อยคำไร้เรี่ยวแรงเผลอหลุดจากปากพจน์แฝงสัญชาตญาณแห่งความผิดหวัง!!!...
...ใช่แล้ว พจน์ส่งยิ้ม!!!ให้ไอ้กันอย่างไม่เคยดีใจ!!!เท่านี้มาก่อน... -  แรกเห็นรู้สึกผิดหวัง -> ผิดหวังเพราะอะไร?  ไม่ควรเป็นกัน แล้วอยากให้เป็นใคร? หรือ ไม่ควรจะมีใครมาเพิ่มในตอนนี้ หรือ คิดว่ากันไม่ควรจะโผล่มาให้พจน์เห็นหน้าอีก >> แล้วในชั่วระยะยังมิทันเคี้ยวหมากแหลกก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทำให้รู้สึกดีฉับพลันและยิ้มร่าให้เค้า -> ลักษณาการคล้ายไบโพลาร์ นะฮะ 555+ ..ล้อเล่นนะฮะ แต่ก็พยายามจะเข้าใจแล้วกัน

...เมฆหมอกสีขาวเข้าปกคลุมรอบกายพจน์รวดเร็วทันควันบัด**บังทุกคนที่พจน์รักออกจากข้างกาย...

...“จงอย่าได้ขัดขืนให้กาลเพลาล่วงผ่านไปโดยเปล่าดาย ความเสียสละกายนี้จักมิคุ้มค่าแม้เพียงนิด ส่งตัวมันผู้นั้นมา”... - อย่าได้ขัดขืนไปเลยเพราะจะทำให้เสียเวลาแล้วเดี๋ยวความเสียสละในครั้งนี้จะไม่เป็นผล คือยิ่งช้าจะยิ่งไม่คุ้ม -> ประมาณนี้มั้ยฮะ? พอมันไม่มีคำเชื่อมของทั้ง 2 ประโยคเลยงงๆ ไม่แน่ใจในความหมาย

...หรือว่าไอ้กันจะจำพจน์^^ไม่ได้ เขา^^ต้องเบียดแทรกไปให้มันเห็นชัดๆว่าพจน์^^อยู่ตรงนี้... - คหสต นะฮะ ... หรือว่าไอ้กันจะจำเขาไม่ได้ พจน์ต้องเบียดแทรกไปให้มันเห็นชัดๆว่าเขาอยู่ตรงนี้...
ขอน้อมรับไว้สำหรับคำชี้แนะและคำแนะนำต่างๆนะครับ จะพยายามกลับไปแก้ไขตามที่คุณท้วงติงมา

ส่วนที่คุณสงสัยว่าธนพลพูดกับศาสตราจารย์วิชัยผู้บิดาว่า ท้อถอยเพราะอะไรนั้น คงเป็นเรื่องเดียวแหละครับ คือ ท่านยกเลิกการประกาศเตือนน้ำท่วมโลก ทั้งที่พยายามทำมาตลอดจนครอบครัวแตกแยก ญาติมิตรก็เลยตีจากน่ะครับ

ลำดับถัดมาที่ธนพลพร่ำความในใจ ส่วนหนึ่งก็เพราะเก็บไว้มานาน ครั้นถูกภพดนัยผู้พี่ชายชก ทำให้แผลอันเปราะบางถูกฉีกออก จึงกลายเป็นบทพูดอย่างที่คุณสงสัย

ส่วน “ไอ้กัน” ถ้อยคำไร้เรี่ยวแรงเผลอหลุดจากปากพจน์แฝงสัญชาตญาณแห่งความผิดหวัง!!!...  ผมลองไปอ่านทวนแล้วก็เห็นข้อผิดพลาดอย่างคุณว่า ถ้าพจน์ไม่มีอาการไบโพล่าร์ก็ต้องบ้าแน่ๆ เลยขอตัดข้อความสีแดงออกครับ

ส่วน ...“จงอย่าได้ขัดขืนให้กาลเพลาล่วงผ่านไปโดยเปล่าดาย ความเสียสละกายนี้จักมิคุ้มค่าแม้เพียงนิด ส่งตัวมันผู้นั้นมา”... เป็นเจตนาของผู้แต่งที่จะละคำเชื่อมทิ้งไป และต้องการสัมผัส ระหว่าง ดาย กับ กาย แต่ความหมายก็อย่างที่คุณเข้าใจนั่นแหละครับ

และสุดท้ายขอใช้ประโยคของคุณแทนอันเดิมแล้วกันนะครับ ...หรือว่าไอ้กันจะจำเขาไม่ได้ พจน์ต้องเบียดแทรกไปให้มันเห็นชัดๆว่าเขาอยู่ตรงนี้...

ขอบคุณอย่างสูงยิ่งที่ช่วยกันตรวจทานและชี้แนะในหลายส่วนๆนะครับ หวังใจว่าจะได้รับความกรุณาจากคุณอีกในลำดับต่อๆไป
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๕ อุปราชาต้องคมทวน ๑๐๐% (๒๐/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: pnn ที่ 21-08-2016 04:34:18
เฮ้ย มาตะ ไม่จริงใช่ไหมคนเขียน แงๆ อย่าทำแบบนี้ดิ  :ling1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๕ อุปราชาต้องคมทวน ๑๐๐% (๒๐/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 21-08-2016 20:35:34
อึ้งกึมกี่  สรุปใครเป็นใคร  ใครตายกันแน่  อืมนะ  ทิ้งท้ายได้เจ็บปวดอีกล่ะ  ก็อย่างว่านะ  มาตอนช่วงท้ายตลอดเลยนะ  เหมือนแบบไม่ซะใจเอาสะเลย  ก็รู้อยู่ว่ายังไงมันก็ต้องชนะอยู่ชักช่วง  แต่ช่วยเยอะๆ  หน่อย  พอให้คนเขาอยากทำดีบ้าง  ทำไหมคนจะมีความสุขนี้มันต้องปางตายกันก่อนทุกทีเลย  แต่ก็เข้าใจแหละว่า  ถ้าไม่ถึงเวลามันก็ไม่เหตุผลอะไรที่จะต้องเกิดขึ้น การเกิดครั้งสุดท้ายในภพภูมินี้  ทำให้ได้พลังเนี้ยนะพร้อมกับการรู้แจ้ง  อืม  น่าจะเกิดขึ้นตั้งนานล่ะ  ประชดๆ5555 ก็ชอบทำให้ลุ้นอะคนแต่ง ได้แต่รอ รอ รอ รอ รอ  เท่านั้นสินะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๕ อุปราชาต้องคมทวน ๑๐๐% (๒๐/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 21-08-2016 22:38:37
 :o12: :o12: :o12: มาตะะะะะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๖ ภูเตศวรอวตารพชระเทพ ๑๐๐% (๒๖/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 26-08-2016 17:43:45
บทที่ ๓๖



ภูเตศวรอวตารพชระเทพ



ลำแสงเงินเปล่งประกายดุจดวงสุริยะฉายฉาน รังสีสุกสว่างทาบทับผิวพจน์ มัดกล้ามขยายชัดสมบูรณ์แบบ อุ้มช้อนมาตะแนบไว้ด้วยกำลังแขน กึ่งแกนกลางหน้าผาก คือ สุดยอดรัตนชาติ วิเชียรมณี รูปทรงหยดน้ำเจิดจรัสศรี ชันเขาดันยืนฝืนท่วงที ในห้วงคิดมีญาณสัมผัสรู้ สงบ ว่างเปล่า ครั้นลืมตาสีสมันเล่ากลับผุดแสงสว่างมิต่างจากแก้ววชิระ

สายลมเย็นซัดโหมจากเบื้องเท้า พุ่งสูงเข้าผลัดเปลือยปลดภูษา นุ่งห่มผ้าคล้องไหล่สีกรักมา ขาวพิสุทธิ์กายาเช่นจันทรา ปลิวสยายแรงลมขยับไหว พรึ่บไสวลายพริ้วสะบัดขา สังวาลย์ทองพาดสับหว่างอุรา ทับทรวงมณีค่าจำรัสแดง กรอบนลาฏทองคำล้อมรอบเพชร ทรงมงกุฏยอดเจ็ดเจิดใสแสง ด้วยทองกรเข็มขัดรัดเลื่อมแซง ต่างหูระแนงแนบลำคอ ข้อพระบาทล้อมกำไลทั้งสามวง สวมธำมรงค์จินดาเช่นพระศอ พระมัสสุวาดกนกโก่งโค้งงอ  พระขนงพิศพอเจริญตา พระโอษฐ์งดงามดั่งช่างเขียน เกิดสี่เศียรสี่พักตร์ขยับหา ทั้งสองกรโอบอุ้มยอดชีวา อีกสองมือซ้ายขวาถือจักรตรี

“ภูเตศวรอวตารพชระเทพ” เวฬุรำพันคำ

รูปลักษณ์สูงใหญ่ก้าวย่างท่ามกลางสายลมพัดพา ตระกองกอดมาตะไว้ไม่เหลียวแลสิ่งใด ภูเตศวรเทพหันพักตร์หนึ่งในสี่มาที่พระมหาอุปราชานอนแน่นิ่งอยู่ หัตถ์ซ้ายทรงตรีศูลชี้จรดเหนือแผลอุปราชหนุ่ม แล้วบังเกิดแสงสีเงินยวงกระจายครอบคลุม พระโลหิตก็หยุดหลั่งโดยพลัน เวฬุเห็นพละกำลังเหนือธรรมชาติช่วยเยียวยาเป็นคุณประโยชน์ก็รีบก้มกราบ เฉกเดียวกับกฤษณะ โกสินทร์ แลจาตุรงค์องครักษ์ เมื่อเหล่าปีศาจชั่วฟื้นคืนพิศดูมหาอัญมณีล้ำค่า เกิดเกรงกลัวเกาะกินใจ ละล้าละลังไม่อาจเข้าประจัญบานเช่นก่อนหน้า นารีพิฆาตเห็นอิทธิฤทธิ์ภูเตศวรเทพมีพลานุภาพมิอาจเปรียบปานก็ร่ายเวทย์หลบหนี
 
“อย่าได้เกรงกลัวมัน รุกโหมโรมรันเอาวิญญาณบัดเดี๋ยวนี้”

ทศมารประกาศเบ่งอำนาจ ระหว่างนั้นบังเกิดแรงแผ่นปฐพีเลื่อนลั่น เจ้าผู้นำพราหมณ์ป่าวร้องอย่างมีชัย

“หะนี้ประตูมิติเชื่อมผสานสมบูรณ์พร้อม จงยาตรากองทัพแสนยาเข้ามาเถิด”

สิ้นคำ ณ ปรางค์ปราสาทองค์ประธานจึงระเบิดแตกกระจุย เป็นควันสีดำพวยพุ่งปกคลุมถึงลานระเบียงคดชั้นนอก เบื้องทิศทางนั้นสัมผัสยินเสียงโห่ร้องกึกก้อง สั่นสะเทือนหวาดไหว กฤษณะ โกสินทร์ ปัญจะ จาโค คาวิน แลวรุณกระชับศาสตราวุธเตรียมพร้อม  ภูเตศวรผินพักตร์แรกสู่จุดแรงระเบิด หินทรายอันก่อเกิดเป็นระเบียงคดชั้นในถล่มทลายกระเด็นออก แล้วทหารปีศาจประกอบด้วย อสูร รากษส กุมภัณฑ์  ยักษา รูปร่างสูงมหิมากว่าสามเมตร สวมเกราะเหล็กถือกระบองหุ้มหนามตะปุ่มตะปั่มแหลมคม วิ่งดุจลมบุกตะลุยดาหน้าเข้ามา
 
เงาภูติผีปีศาจ ทั้งโหงพราย เวตาล สัมภเวสี ผีโขมด พุ่งโลดทะยานว่อนเต็มฟ้าราวกับนกแตกรัง พชรมณีเปล่งพลังสังหารเป็นจุน เหล่าไพร่พลยักษ์หนุนเนื่องทะลักล้นพ้นประตู คณะโยคีปีศาจอดสูหลบหลีก พลานุภาพฉีกกระชากด้วยฤทธา หมู่มวลนายกองยักษาครั้นบังเกิดเห็นลำแสงพิฆาตอสุรา ก็สั่งความดั่งว่าให้ถอนร่นต่อๆกัน พวกที่ถลันผ่านประตูมิติก็ถูกผลักยันซ้ำทุลักทุเล บ้างล้มลง บ้างคุกคลานรักษาชีวิต

“อย่าได้ถอยกลับ จงฟังคำข้า บุกเข้ามาอย่าขลาดกลัว” ทศมารสั่งคำทั้งที่ตนเกือบเอาชีวิตไม่รอด กฤษณะ โกสินทร์ เวฬุ แลราชองครักษ์ทั้งสี่อยู่ในแนววงล้อมปลอดภัยใกล้กับภูเตศวร จับจ้องอำนาจทรงฤทธิ์ของเทพองค์นี้ด้วยใจตะลึงตะลานทั้งยินดีผสานปีติ ระหว่างนั้นเร่งช่วยเวฬุพยาบาลพันผ้ารอบรอยแผลคมทวนของนายเหนือหัว  โกสินทร์คว้าตัวมารุตเข้าคลุกวงใน ดูเหมือนใจเจ้าพราหมณ์หนุ่มน้อยจะเอาชนะอำนาจมืดที่สิงสู่ได้สำเร็จ คืนสติ คืนความทรงจำโดยครบถ้วนสมบูรณ์

เสียงร้องสูงต่ำของเหล่าช้างแลม้า ผสมแรงฝีเท้าเหยียบย่ำดังชัดมาแต่ร่มไม้ชายป่าเสริมด้วยคำโห่มีชัยแว่วๆ เหล่าปัจจามิตรผู้รอดตายพากันลัดเลาะพังประตูระเบียงคด จัดกรมกองตรวจพล ณ ลานด้านนอกตามบัญชาแม่ทัพขุนศึก พลังลำแสงจากดวงเนตรและอัญมณีบนหน้าผากภูเตศวรทำลายศาสนสถานจนราบเป็นหน้ากลอง จึ่งทำให้เห็นว่าเบื้องทิศประตูทางเข้าเทวาลัยร้างปรากฏเป็นทัพม้า ทัพช้างหลายร้อยเชือกตรูปะทะตามยุทธวิธีรบ อาชาหมอกควันขาวจากเหรียญวลาหกทะยานนำขบวนก่อนจะสลายเป็นอากาศธาตุ
 
เทพภูเตศวรเห็นกองกำลังฝ่ายมนุษย์ยกรับข้าศึกอีกด้านก็สิ้นห่วง ลอยขึ้นกลางอากาศรัดอุ้มมาตะไว้ เหล่านักรบยักษ์อสูรกายประหวั่นครั่นคร้ามถูกผู้มาทีหลังทั้งผลักทั้งดันให้ขยับเข้าหา ดวงตาภูเตศวรมีจุดทวาราหลุมดำเป็นเป้าหมาย ครั้นถึงโอกาสเหมาะควรก็หลอมรวมพลังทั้งสี่พักตร์เป็นหนึ่งเดียวฉายลำแสงฤทธาเข้าทำลายประตูข้ามกาลเวลา เสียงระเบิดตูมดั่งสนั่นทั่วมหาพิภพโลกา พระเวทคาถาซึ่งนักบวชปีศาจทั้งเก้าอุตส่าห์ร่ายบริกรรมไว้ก็สิ้นฤทธิ์ทันควัน ไพร่พลหมู่มารต่างยืนสับสนอลหม่าน เมื่อประตูหนีกลับถูกทำลายเสียสิ้น ขวัญแลกำลังใจพลันสูญหาย คำสั่งแม่ทัพนายกองก็หย่อนความศักดิ์สิทธิ์ ต่างวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิง เหลือภูติผีอสูรกายเงามืดเท่านั้นที่ดาหน้าเข้าหากองทัพมนุษย์
 
บุรุษและสตรีผู้ควบนำเหล่าโยธาม้าเกราะทองนั้นเป็นคู่พี่น้องสิตางศุ์บุหลัน ชักบังเหียนตะบึงใส่ปีศาจดั่งทหารเทพยาดา รำทวน เหนี่ยวคันธนูไม่เคยพลาดจุดสำคัญ ทั้งภูติผีอสูรกายต่างบ่ายหน้าปะทะไม่ประหวั่น เบื้องหลังเป็นกองทัพช้างประกอบเครื่องศาสตราวุธครบครัน แม่ทัพผู้บุกบั่น คือ นายกองธวัชฉัตร ครั้นเห็นทัพม้าลดทอนกำลังข้าศึกได้สมคะเนแล้วก็ให้อาณัติสัญญาณเภรีแก่เหล่าช้างศึก ดาหน้าตีกระหนาบมิให้ศัตรูเล็ดรอดออกจากแนวเขตเทวาลัยร้างไปจนถึงป่าอาถรรพณ์ได้แม้สักตนเดียว เงื้อมง่าคว้าของ้าวฟาดฟันวิญญาณผีร้ายเต็มฝีมือ เหล่าช้างใหญ่ต่างคะนองคึกเพราะถูกมอมสุรามาเต็มขนาดก็โลดแล่นเหยียบย่ำเหล่าขุนยักษ์สิ้นชีพคาบาทา ทัพม้า ทัพช้าง ต่างฮึกหาญปราบมารด้วยกำลังใจแรงกล้า ด้วยลำแสงสีเงินแผดจ้าจากบุรุษชุดขาวเป็นประหนึ่งแรงใจแลหลักชัยให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าปกติ ทั้งไม่อาจยินยอมปล่อยปละให้ปีศาจทั้งสิ้นบุกเข้าสู่อาณาจักรของตนโดยง่ายก็ออกอาวุธฆ่าฟันทำลายล้าง ยอมแลกเลือดถมแผ่นดินไม่อาลัยแก่ชีวิต

ทศมารปีศาจยืนเซ่อพิจารณาความพินาศของรี้พล เป็นความระยำฉิบหายตกแก่ตัวแน่แล้ว อุบายกลหมากถูกอำนาจเพชรมณีรุกฆาตกินเบี้ยน้อยเสียสิ้น ทั้งสหายทวิชงค์ บ้างถูกลำแสงพิฆาตล้างชีวิตลงนักต่อนัก เหลือหลงรอดตายเพียงห้าตน นอกกว่านั้นดับสลายสิ้น หวังผนึกกำลังมวลหมู่คณะก็ส่งสัญญาณสำแดงคาถาใส่ภูเตศวรโดยพรั่งพร้อม

“วิญญาณะ จิตตะ สุริยะมรณา”

ลูกไฟมอดไหม้ทั้งห้าพุ่งเข้าหาภูเตศวรเทพ แต่รัศมีเสพกลืนกินมนตราสังหารสูญสลาย แล้วจึ่งทรงขว้างจักรกรดเข้าสังหารสมุนโยคีทั้งห้าคอขาดกระเด็นล้มตายในชั่วพริบตา จากนั้นโจนพุ่งประชิดทศมารพราหมณ์  ใช้เท้ากระแทกให้ล้มแล้วเหยียบยอดอกทุรนทุราย ดวงตาชาดกลอกปรายจับจ้องจตุรพักตร์ แล้วเยาะเย้ยท้าทายด้วยวาจาโอหัง

“ฮ่าๆ จงสังหารข้า แล้วข้าจักเป็นกองฟอนขอนไม้เสริมส่งเพลิงแค้นในใจองค์จอมมารให้ลุกโชติช่วง ยามศิษย์ข้าล่วงรู้ พระองค์จักพิโรธโกรธา ทั้วพื้นพสุธาจักราพณาสูร”

“สิ่งชั่วช้าอันเจ้ากระทำมาตราบชีวิต ทั้งพรากดวงวิญญาณบริสุทธิ์มานักต่อนัก ด้วยมากใจอำมหิตเห็นความเจ็บความตายเป็นดั่งเครื่องสำราญใจ หลงมัวเมาแต่ในคุณไสยเวทเป็นหลักธรรม น้อมนำแต่สิ่งเลวชั่วมาประดับตน สีเครื่องพันกายอันควรค่าอย่างพราหมณ์ผู้ประเสริฐจึ่งค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นดำทมิฬเฉกเดียวกับจิตสำนึก ทั้งสามิภักดิ์รับใช้ใกล้ชิดนายเหนือหัวผู้โฉดชั่วประสงค์ร้ายต่อสามพิภพโลกาเป็นข้อผิดมหันต์ ผลกรรมครานี้เราขอสนองตอบด้วยความตาย จงจ้องพักตร์เราแลจดจำจงดี เกิดภพหน้าฉันใดจงเป็นแต่เพียงฝุ่นธุลีใต้เกือกรองบาทของสรรพชีวิตเถิด”
 
ตรัสเสร็จก็กดพระบาทเหนือกายทศมารด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล มันดิ้นรนเจ็บปวดเหลือคณา ดวงตาสีชาดว่อกแว่กสั่นไหว ห้ามใจไม่สะทกสะท้าน แล้วกายหยาบจึ่งแตกละเอียดผลาญเป็นผุยผงใต้พระบาทเชิงงอนของภูเตศวรเทพสมวาจาสิทธิ์

เมื่อสิ้นปีศาจผู้นำ ทาสรับใช้เห็นความวิปริตผิดพลาดต่างร่นถอยระส่ำระสาย กองทัพม้าทัพช้างฝ่ายมนุษย์ก็รุกตลบบุกต้อนยักษ์อสุรายอกย้อนเข้ามาลานเทวาลัยชั้นใน บ้างพลาดตกสระใสบารายตายสูญ  บ้างหกคะเมนสิ้นท่า ถอยล่าลงบึงน้ำรายล้อมล่มจมอเนจอนาถใจ ภูเตศวรใช้ดวงพระเนตรทั้งแปดพิเคราะห์เหตุการณ์ทั้งสิ้นเล็งเห็นว่า ผลแห่งการปราบมารร้ายในครานี้สำเร็จเป็นที่ประจักษ์ ทั้งภูติผีวิญญาณต่างลักลอบล่องหนแตกกระเจิง บ้างโดนลูกธนูเพลิง คมทวนคมดาบฟาดยับแดดับเกลื่อนกลาดล้มตายเป็นที่ปลอดภัยแล้ว จึ่งพินิจมองคณะผู้ร่วมเดินทางของมหาบุรุษ แสงสีเงินยังคงเปล่งออกจากดวงตาเจิดจ้า พลางตรัสว่า

“จงนำเหรียญเภตราวลาหกอีกเสี้ยวหนึ่งนั้นอธิษฐานสามจบจรดเหนือเกล้าด้วยดวงใจตั้งมั่นอย่าหวั่นไหวเถิด”

เวฬุหยิบเหรียญในกำมือแล้วเร่งทำตามคำ บังเกิดหมอกเมฆเป็นเรือลำยาว โขนเรือหัวหงส์ปลายหางกนกโง้งงามงอนสวยสง่า ประดับซุ้มหลังคากลางลำ สีขาวบริสุทธิ์เลิศล้ำเหมาะงาม
 
“จงนำพระมหาอุปราชาประทับยังเรือเภตรานี้ พร้อมด้วยพวกเจ้าทั้งหลายผู้ติดตาม แลพาหนะวิเศษจักนำเจ้าคืนสู่กรุงนพรัตนบุรีศรีสุวรรณคราโดยพลัน”

“แต่ว่า...มาตะ” โกสินทร์พนมมือวอน เหลียวมองร่างแน่นิ่งในอ้อมพระกร

“อำนาจประจำกายเรามิอาจชุบชีวิตผู้ใดฟื้นจากความตายได้”

เพียงได้ยินเท่านั้นเวฬุก็กลั่นน้ำตาลดหลั่งอาบแก้ม มือกระพุ่มสั่นยากจักระงับความโศกาดูร
 
“มา...มาตะ”

 “พวกเจ้าทั้งสี่เร่งเคลื่อนย้ายพระมหาอุปราชาขึ้นราชยานโดยเร็ว” กฤษณะหักใจออกคำสั่งเด็ดขาด ปัญจะ จาโค คาวิน วรุณ คืนสติเร่งปฏิบัติตามคำสั่ง เคลื่อนร่างสลบไสลลงบนฟูกกลางลำเรือใต้หลังคาพลับพลา

“สุริยะ” ธวัชฉัตรนายกองหย่อนตัวลงจากคชสารหลังเผด็จศึกปราบยักษ์มารจนสิ้นฤทธิ์กระทั่งตนสุดท้าย เร่งฝีเท้าเข้ามายังลานโล่งถลาเกาะพระบาทราชสวามีกลางเรือเนรมิต ครั้นเห็นรอยแผลผุดเป็นโลหิตแดงก่ำซึมซ้ำจากผ้าพันก็เนื้อตัวสั่นเทิ้ม ขบฟันกลั้นอารมณ์โศก

“ข้าปฏิบัติตามคำสั่งท่านแล้ว ‘จงเร่งรวบรวมกำลังไพร่พลคชสารเมืองหน้าด่านทวาระบุรี ครั้นเห็นแสงสีเพลิงควันอัคคีลอยจากเทวาลัยร้าง จงขับช้างบุกทลายในทันใด’ เหตุไฉนจึ่งมิรอดูชัยชำนะเล่า เจ้าสุริยะ”

“สิ้นพระสติแต่เพียงเท่านั้นเพราะพิษแผลแลสูญพระโลหิต อีกทั้งอำนาจภูเตศวรเทพได้สกัดรักษารอยคมทวนให้ทุเลาลงจงคลายใจเถิด นายกอง” โกสินทร์อรรถาธิบายรวบรัด นายกองธวัชฉัตรพินิจพระพักตร์ดุจดั่งบรรทมก็ได้แต่กุมพระหัตถ์ไว้

ฝ่ายนายกองลาดตระเวนบุหลันสิตางศุ์คู่พี่น้องเร่งตามสมทบ ในชั้นแรกบุหลันเห็นแต่ไกลว่ามีบุรุษผู้หนึ่งเปล่งแสงสว่างอำไพทั้งมากอิทธิฤทธิ์อันประเสริฐเสกมนตราทำลายล้างปีศาจให้ล้มตายได้ก็สร้างแรงฮึดเป็นขวัญกำลังใจ ครั้นขยับเข้าหาหมู่คณะหมายตาจะได้เห็นวงหน้าของคนผู้ตั้งสัตย์วาจาไว้ว่าจะรักษาชีวิตให้รอดพ้นภัยอันตรายทั้งปวงเป็นคำหนักแน่น พอใกล้ระยะหนึ่งจึ่งเห็นเงาร่างเจ้าคนรักเสมอดวงใจอยู่ในอ้อมแขนของบุรุษเทพ แน่นิ่งไร้แววตาดำขลับ ไร้รอยยิ้มพิมพ์ใจ แลสีริมฝีปากซีดนิ่งเฉยแต่เท่านั้น ยืนเก้กังแล้วทรุดเข่าลงประหนึ่งเรี่ยวแรงเหือดแห้ง มือซึ่งกำคันธนูเปื้อนโลหิตทมิฬกระเซ็นถ้วนทั่วก็ผละปล่อยอาวุธวาง
 
“มาตะ”

“บุหลันน้องเรา จงครองสติแลความเข้มแข็งให้มั่นคงก่อน” สิตางศุ์ประจักษ์เห็นความสูญเสียนั้นกับตาตนเองอย่างเดียวกันเร่งรุกปลุกปลอบขวัญน้องร่วมอุทร

“ไยเจ้าให้สัญญาเป็นดั่งคำตายแล้วว่า จักครองชีวิตนำใบหน้ารูปงามนั้นคืนกลับมาให้ข้าเห็น ฤา เพราะข้าฉุกเฉลียวใจช้าเกินไปจึ่งเป็นเหตุให้เภทภัยชั่วร้ายฉุดเจ้าพรากจากข้า มาตะ” น้ำตาลูกผู้ชายหลั่งไหลสุดห้ามปราม ทั้งก่อนหน้าโห่ร้องยินดีในชัยชนะแต่ต้องกลับมาโศกเศร้าเคล้าน้ำตาไม่คาดคิด

“ดูก่อน มนุษย์” ภูเตศวรผู้โอบอุ้มร่างมาตะกล่าวเตือน “วิถีสรรพชีวิตล้วนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งสิ้น จงไตร่ตรองด้วยสติปัญญาแลจักเข้าถึงความเป็นไปนี้ได้โดยตลอด กระทั่งอาจสามารถหยุดน้ำตานั้นได้”

“จงช่วยมาตะด้วยเถิดท่าน” บุหลันวอนร้องขอ
 
ภูเตศวรเทพส่ายจัตวาพักตร์ แลว่า “หากเจ้าประสงค์จักติดตามหมู่ชนเหล่านี้กลับคือนพบุรีรัตนกรุงแล้วไซร้จงนั่งลงในเรือเภตราเถิด บัดนี้ข้ามีหน้าที่รับผิดชอบอย่างสุดท้ายคือนำคนในอ้อมกอดไปสู่ญาติแลมิตรสหาย”

หมอกควันแผ่กระจายออกจากเบื้องปลายเท้าภูเตศวรเทพ ลมพายุมหาศาลสาดพัดมาจากเบื้องทิศตะวันตกชักนำให้ภูมิประเทศเทวาลัยร้างปลิวลับหาย กลับกลายเป็นท้องพระโรงลวดลายวิจิตรติดทองล่องชาดงดงามตระการตาสูงชะลูด เหล่าเสนาบดีแต่งคลุมครุยขาวโปร่ง สวมลอมพอก ก้มหน้ารับสนองพระบัญชาอยู่พากันผวาตื่นตกใจ เมื่อปรากฏว่ามีบุรุษกายขาวสว่างบริสุทธิ์ล่ำสัน ผุดกลางครัน ณ มหาสมาคมแห่งที่นั้น ทั้งมีสี่เศียรสี่พักตร์สี่กร แลในสองกรอุ้มประคองชายผู้หนึ่งไว้แน่นิ่ง เสียงหวีดร้องดังมาจากพระแท่นเคียงสิงหนาทราชบัลลังก์

“มาตะ ฤา แลนั่นคือ...พระราชบุตรบุญธรรมแห่งเราใช่ ฤา หาไม่” เสียงสตรีร้องถาม อำมาตย์ผู้อยู่ใกล้สุดเพ่งพินิจตระหนกแล้วถวายบังคมรับว่าจริงดังคำ “หาใช่ความจริง เจ้าปดข้า”

 ภูเตศวรเทพค่อยๆว่างร่างมาตะแนบพื้นกลางท้องพระโรง ลมลึกลับพัดโหมใส่ ณ บริเวณนั้น หลงเหลือไว้เพียงดวงหน้ามากสิริโฉมและรูปกายเดิมของภัทรพจน์ เสนาบดีแลนางข้าหลวงฝ่ายในต่างผุดลุกยืนหลงลืมขนบโบราณราชประเพณีเสียสิ้น เมื่อประจักษ์ว่ากายไร้ลมหายใจคือพระราชบุตรบุญธรรมผู้ขันอาสาออกไปสืบราชการลับแน่แล้ว ก็บังเกิดความโกลาหลปั่นป่วน บ้างคลานถอน บ้างคลานเข้าหาจับมือมาตะสัมผัสชีพจร
 
“เจ้าปดข้า หาเป็นความจริงไม่” คำหวีดร้องดังผสานเสียงแตกตื่น

“พระราชเทวีเพคะ เร่งตามหมอหลวงมาบัดเดี๋ยวนี้”

ภัทรพจน์คุกเข่าก้มจรดรอยปากเหนือหน้าผากมาตะ หาได้สนใจความกาหลโดยรอบไม่ ใบหน้าไร้วิญญาณนั้นพจน์พยายามจะจดจำให้แม่นยำตราบชั่วชีวิตที่ยังมีลมหายใจเหลืออยู่

พบเพื่อรัก รักเพื่อจาก ลาก่อน...มาตะ


มีต่อด้านล่าง

________________________________

รากษส : ยักษ์พวกหนึ่ง กินศพตามสุสาน
กุมภัณฑ์ : ยักษ์ซึ่งมีท้องและอัณฑะใหญ่เหมือนหม้อ
โหงพราย : ผีที่เขาปลุกเสกไว้ใช้
เวตาล : ผีที่ชอบสิงอยู่ในป่าช้า
ผีโขมด : ผีซึ่งเห็นเป็นดวงไฟแวมๆในเวลากลางคืนในที่มีน้ำแฉะ พอเข้าไปใกล้ก็หาย
ทวิชงค์ : พราหมณ์
ลอมพอก : เครื่องสวมศีรษะรูปสูงเรียวแหลมคล้ายชฎา
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๖ ภูเตศวรอวตารพชระเทพ ๑๐๐% (๒๖/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 26-08-2016 17:53:04
[ต่อ]



เชี่ยนหมากพลูประจำตัวขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยล้มระเนระนาด คณะหมอหลวงแลกลุ่มนักบวชปราดเข้าหามาตะ
 
“เจ้าหนุ่ม เจ้าคือผู้ใด ไยพระราชบุตรบุญธรรมถึงมีพระอาการเยี่ยงนี้” เสนาบดีวัยกลางคนดึงแขนพจน์พร้อมซัก

“สิ้นพระชนม์แล้ว” หมอหลวงผู้อาวุโสเผยคำวินิจฉัยดังทั่วท้องพระโรง เสียงหวีดของอิสตรีดังโหมอีกครั้งหนึ่ง
 
“หุบปาก!” คำตวาดเฒ่าชราระงับเหตุการณ์ชุลมุน “จงเร่งนำศิษย์เราไปยังที่อันควร”

ภัทรพจน์ละจากใบหน้านิ่งสงบของมาตะ จึงเห็นเป็นโกสินธพผู้ทรงศีลส่งสายตาดุออกคำสั่ง ครูพราหมณ์ผลักเหล่าเสนาบดีแล้วดึงข้อมือพจน์ให้ถอยห่างจากราชบุตรบุญธรรม เด็กหนุ่มขืนตัวเล็กน้อยไม่อยากทิ้งมาตะไว้โดยเดียว

“ด้านนอกนั้น หน้าลานพระที่นั่ง องค์พระมหาอุปราชา สุริยะราชบุตร”

ทหารล้อมวังผู้หนึ่งเร่งฝีเท้าเข้ามารายงานละล่ำละลักจับใจความไม่ได้ เหล่าขุนนางบางส่วนกรูไปยังพระบัญชร ปรากฏมีกลุ่มชายผิวกายแปดเปื้อนโลหิตดำ ขมุกขมัวดุจเผชิญศึกสงครามมากระนั้นก็ส่งเสียงฮือฮาส่งต่อกันเป็นทอดๆ เมื่อพิจารณาโดยดีจึงเห็นว่าหว่างกลางลำเรือคือร่างของพระอุปราชแห่งอาณาจักรตนก็ตะลึงพรั่นสะพรึงยิ่งขึ้นไปอีก ร้องหาหมอหลวงให้ติดตามสู่ลานศิลานั้นอลหม่านไร้ขนบกฏเกณฑ์
 
“ตามอาตมันมาเถิด มหาบุรุษ”

พจน์ส่ายหน้า พราหมณ์โกสินธพอาศัยจังหวะผู้คนสนใจแต่กับพระอาการของพระราชบุตรทั้งสองพยายามปกปิดฐานะแลการปรากฏตัวของมหาบุรุษในตำนาน แต่อีกฝ่ายบ่งสำแดงความดื้อรั้นชัดแจ้ง
 
“ผมไปกับท่านไม่ได้ ผมมีธุระต้องจัดการ”

“ท่านจักไปที่ใด ฤา” โกสินธพท้วงถาม “แล้วเหตุไฉนศิษย์เอกอาตมันทั้งสองจึ่งมีอาการดั่งนี้ อาตมันจำต้องล่วงรู้ความเป็นไปทั้งหมดบัดเดี๋ยวนี้ก่อน”

“ผมต้องตามหาจอมปีศาจ” พจน์ทอดสายตาลงมองมาตะ แพทย์หลวงกำลังเยียวยารักษาทั้งที่รู้แน่แก่ใจว่าพระราชบุตรบุญธรรมไร้ลมหายใจ “และจัดการจบเรื่องราวนี้”

พราหมณ์โกสินธพเบิกตาโพลงพร้อมสั่นหน้า

“หาได้ไม่ๆ” ครูเฒ่าไม่เห็นชอบด้วย ข้าราชสำนักต่างวิ่งวุ่นอุตลุด ราชครูใช้เรี่ยวแรงชราภาพดึงรั้งพจน์ให้ติดตามมายังช่องพระทวารขององค์พระที่นั่งด้านปลอดคน พยักหน้าให้ศิษย์พราหมณ์วัยหนุ่มสองสามคนเฝ้ามาตะ อีกส่วนกีดกันผู้คนที่จะติดตามทั้งสอง

“ปล่อยผม ได้โปรด” ขัดขืนจากการดึงรั้ง แต่เรี่ยวแรงผิดวัยสามารถพันธนาการพจน์ให้ถลาไปได้จนกระทั่งก้าวลงจากองค์พระที่นั่งจักรวรรดิรัตนพิมาน ทหารล้อมมหาปราสาทวิ่งไปกระจุกรวมตัวยังลานด้านหน้าจึ่งร้างไร้ผู้รักษาการ แลเห็นอาคารทิมดาบตั้งอยู่นอกกำแพงแก้วรอบองค์พระที่นั่งหลังหนึ่งก็ถลันเปิดประตูเข้าไป สั่งการให้ลูกศิษย์หนุ่มเฝ้าระมัดระวังไม่ให้ใครรบกวน

ภายในอาคารไม้ฝากระดานหลังคาหน้าจั่วมีตะเกียงไฟตั้งอยู่บนโต๊ะกลางห้อง ฝาผนังมีอาวุธดาบขัดเรียงเป็นระเบียบเงาวับจับตา แสงไฟต้องคมอาวุธสะท้อนประกาย พจน์ถูกพราหมณ์โกสินธพปล่อยผละแล้วซักว่า

“ไยศิษย์อาตมันทั้งสองจึ่งมีอาการดั่งนี้ คือมาตะแน่นิ่งประดุจไร้วิญญาณหนึ่ง แลพระมหาอุปราชต้องคมอาวุธอีกหนึ่ง ท่านจงลำดับเรื่องราว ณ เทวาลัยร้างมาอย่าช้าที”

พอพจน์รำลึกถึงเรื่องราวอันเป็นชนวนเหตุให้มาตะต้องมนตราและพระอุปราชาต้องคมทวนก็หวนยกถ้อยความทศมารทบทวนซ้ำ แล้วตั้งคำถามที่แม้แต่ผู้ฟังถึงกับนิ่งงัน

“ท่านรู้อยู่แล้วว่ามีอันตรายใหญ่หลวงรอคอยอยู่ที่แห่งนั้น ทำไมถึงยังส่งมาตะและทุกคนไปเสี่ยงอันตรายด้วย พราหมณ์ หรือจะเป็นเช่นคำของทศมารที่ว่า ท่านประสงค์ให้ผมและมาตะไปสืบหาพัชรพีนิลกาฬ โดยไม่สนว่าจะมีภัยอันตรายแฝงเร้นอยู่ ขอเพียงให้ได้อัญมณีนั้นแม้จะแลกกับชีวิตใครก็ย่อมได้ ใช่หรือเปล่า ท่านคือผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด บอกสิว่ามันไม่ใช่ความจริง บอกสิว่าท่านไม่ได้จงใจส่งมาตะไปเสี่ยงชีวิต ปฏิเสธสิ ปฏิเสธ”

ดวงตาโกสินธพพราหมณ์หลวงเบิกโพลงประดุจไม่คาดคิดในถ้อยความที่ได้ยิน
 
“อาตมันไม่ขอปฏิเสธ เพราะจุดหมายอันแฝงเร้นของการสืบราชการลับครานี้ คือการนำไพลินนิลสีกลับคืนสู่อาณาจักรสุวรรณครามิผิดจากท่านคะเน”

พจน์แทบไม่อยากเชื่อว่านี่จะเป็นความจริง มองหน้าอาจารย์ของมาตะนิ่ง ก้าวถอยห่าง
 
“ท่านรู้หรือเปล่าว่ามันเป็นหลุมพราง พลอยสักเม็ดหนึ่งเราก็ไม่ได้กลับมา ซ้ำยังถูกปีศาจโยคีซ้อนกล พวกมันบริกรรมคาถาเปิดประตูมิติเชื่อมเทวาลัยแห่งนั้นเป็นเส้นทางเดินทัพปีศาจเพื่อหมายถล่มอาณาจักรมนุษย์ และล่อหลอกผมผู้ซึ่งท่านคะเนว่าเป็นมหาบุรุษให้ร่วมเดินทางไปด้วยเพื่อจะสังหาร พวกมันรู้ว่ามีมาตะเป็นหนึ่งในคณะ และผมจะต้องปรากฏตัวไม่ห่างมาตะอีกเช่นกัน บอกสิว่าท่านไม่รู้แผนการนี้ ถ้าล่วงรู้มาก่อนก็เลือดเย็นนัก หรือแท้จริงแล้วท่านเป็นสมุนของจอมปีศาจเช่นกัน”

ถ้อยความของพจน์เมื่อครู่ดูเป็นสิ่งเหนือคาดคิดของพราหมณ์โกสินธพอย่างยิ่ง ด้วยหัวคิ้วขมวดฉวยพรวดคว้าลูกประคำมากำไว้

ประตูมิติ ถล่มราชอาณาจักร” พร่ำคำเพ้อดวงตาเหม่อลอย “แท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้กระนั้น ฤา อาจหาญนักจอมมาร อาจหาญนัก ข้าต้องยอมรับในเชาวน์ปัญญาของเจ้า แหละข้าหลงกลจนมืดบอด มัวพะวงแต่จักได้ไพลินนิลสีมาสู่พระนครจนพลาดพลั้ง”

โกสินธพผู้เฒ่าชราเงยหน้ามองขื่อเพดานประดุจเจรจาอยู่กับใครคนใดคนหนึ่งที่ไม่อยู่ในที่แห่งนั้น “อาตมันสิ้นท่าย่อยยับหาใดเปรียบเพราะความโลภโมโทสันหวังจักได้นพมณีจนหลงลืมว่า สิ่งล้ำค่าที่สุดนั้นหาใช่หนึ่งในเนาวรัตน์ไม่ แต่เป็นหัวใจที่กล้าหาญของคนเรา หัวใจศิษย์ของอาตมัน พ่ายแพ้แล้ว อาตมันแพ้แล้ว”

“ท่านยอมรับแล้วสินะ พราหมณ์ ทำไม บอกมาสิ ทำไมถึงส่งมาตะไปตาย” พจน์ตวาดกลับ

“มหาบุรุษเอย หากท่านยกใจของตัวเทียบอกอาตมันแล้วจักรู้ความทั้งสิ้นเอง” อารมณ์เศร้าสลดหมดอาลัยฝังไว้ในดวงตา “ชั่วชีวิตอาตมันต่อสู้ภัยมืดมาตลอด คำอันท่านกล่าวหาว่าอาตมันรับใช้ความมืดนั้นจงอย่าได้พูดอีก แม้สักเสี้ยวหนึ่งในใจก็มิเคยแตะมนตราทมิฬให้เป็นรอยหมองกับสีผ้า อาตมันร่วมสู้ศึกทมิฬครานี้นับแต่ครอบครัวถูกอำนาจมืดสังหารล้างหมู่บ้าน ไหนเลยจักยอมตกอยู่ในอำนาจเมามัวนั้น สักครั้งหนึ่งก็มิเคย แลท่านกล่าวเป็นโทษหนักแน่นว่า อาตมันเป็นทาสรับใช้จอมปีศาจจึ่งเจ็บปวดสาหัสนัก แต่จักขออธิบายความทั้งปวงให้ท่านสิ้นแคลงใจ” พราหมณ์โกสินธพยืดตัวตรงดังเดิม

“มหาศึกครานี้คืบคลานจากกลางพิภพแลแผ่กระจายทั่วทุกทิศาดุจอัคคี แลวันหนึ่งเพลิงนั้นจักต้องลามมาสู่สุวรรณนคราเป็นแน่แท้ แต่อาณาจักรมนุษย์หามีสิ่งใดไว้ปกป้องคุ้มภัย ด้วยถูกฉกชิงแก่งแย่งโดยเผ่าพันธุ์อื่นมาเมื่อครั้งอดีตกาล มหามณีประจำบ้านเมืองอันควรเป็นฉัตรคุ้มเกล้าประดุจตัวคนเดียวไร้สรรพอาวุธกระนี้ ท่านจงตรองเถิดว่า จักมีสิ่งใดไว้สู้รบพญาราชสีห์ได้นอกจากมือเท้าเปล่า ครั้นสดับยินว่ามีอาวุธสุดล้ำค่ามาวางกองอยู่หน้าประตูเรือน ก็พลันหลงลืมระแวดระวังภัย หมายมั่นตั้งใจจะเปิดประตูออกไปหยิบมาไว้กับตัวให้จงได้ แต่ฉุกใจอย่างหนึ่งจึงสวมเกราะป้องกันไว้เปรียบเช่นมหาบุรุษท่านเกาะติดคณะเดินทาง ก็แหละอำนาจในกายท่านอย่างน้อยก็อาจปกปักมาตะแลพระอุปราชได้ จนไม่คาดคิดว่ากว่าเกราะทองจักสำแดงความแข็งแกร่งก็ถูกกับดักราชสีห์ซุ่มจู่โจมไม่คาดคิด แลอาวุธสิ่งล้ำค่านั้นคือสายลมว่างเปล่า เช่นเดียวกับข่าวคราวของไพลินนิลสีดุจกัน หากจะโทษว่าเป็นความผิดของอาตมันเต็มขั้นก็จงลงเอาที่อาตมันเถิดหาใช่ใครอื่น” น้ำตาหยดหนึ่งลัดเลาะขอบตาไหลลงตามร่องแก้ม “ปัญญาอันคิดว่าชาญฉลาดของอาตมันแท้จริงแล้วโง่เขลายิ่งกว่าทารกอมมือจึ่งวู่วามกระทำไปโดยไม่ยั้งคิด ท่านโปรดลำดับเรื่องราวเหตุการณ์ทั้งหมดให้อาตมันทราบด้วยเถิด หากสบช่องเห็นหนทางแก้ไขแล้วจักได้เร่งดำเนินการ ก็แหละอาตมันตรวจดูอาการมาตะ เห็นว่าประดุจไร้วิญญาณประจำตัว จงเร่งว่ามาเถิด”

พจน์เห็นความสัตย์จริงในดวงตาเฒ่าชรานั้นก็สิ้นระแวงลำดับเรื่องราวตั้งแต่ล่วงเข้าป่าอาถรรพณ์จวบกระทั่งถูกปีศาจซ้อนกลจนตนสามารถผนึกร่างกับภูเตศวรปราบมารทั้งสิ้นได้

“ภูเตศวรอวตารพชระเทพ” โกสินธพมหาพราหมณ์ทวนคำหลังพจน์อธิบายจบ

“ผมรู้วิธีควบคุมพลังนี้แล้ว และจะขอลาท่านเพื่อสะสางเรี่องราวระหว่างผมกับจอมปีศาจให้จบสิ้น”

“ช้าก่อน มหาบุรุษ” พราหมณ์เฒ่ายกมือร้องห้าม “การอันท่านค้นพบวิถีทางผนึกผสานกำลังกับภูเตศวรเทพนั้นเกินกว่าปัญญาอาตมันจักชี้แนะ แลจักเกิดขึ้นง่ายดาย ฤา มีขนบเกณฑ์บัญญัติไว้ก็มิอาจแน่ใจได้ แต่จักขอฝากข้อสำคัญหนึ่ง อำนาจซึ่งท่านผนึกรวมพชระเทพนั้นในห้วงหนึ่งชีวีของผู้ครอบครองกระทำได้เพียงสามหน”

“หมายความว่าอย่างไร”

“แปลความได้อย่างเดียวว่า มหาพลังอันท่านสำแดงทำลายล้างมารร้ายจนสะเทือนไปทั่วทั้งพิภพโลกานี้จักเกิดขึ้นได้อีกเพียงสองคราเท่านั้น” โกสินธพพินิจพจน์มั่นคง “ภูเตศวรเทพคือเทพผู้สถิตอยู่ในมหาเพชรมณีล้ำค่าสูงสุด ทรงพลานุภาพยิ่งกว่าอัญมณีทั้งแปดจึ่งเป็นที่หมายปองของจอมปีศาจ แต่อานุภาพนี้จักสำแดงฤทธาได้ก็ต่อเมื่อผู้ครอบครองได้ผ่านการผนึกรวมกายกับชายคนรักจวบกระทั่งเก้าครั้งแล้วจึ่งทรงฤทธิ์มิอาจมีใครเทียม เช่นนั้นอาตมันขอถามว่า ท่านกับมาตะเคยร่วมสัมพันธ์สวาทกันมากี่ครั้งคราว”

พจน์ไม่คิดว่ามีความจำเป็นต้องตอบคำถามนี้อีก หากเป็นจริงดังคำอาจารย์โกสินธพว่า หนทางเอาชนะจอมปีศาจก็มืดมนอนธการ เพราะบัดนี้มาตะ... ความโศกสลดผุดขึ้นชั่วครู่แต่พจน์รู้ว่าต้องหักใจตัดด้านอ่อนแอออกจากตัว ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่สามารถควบคุมพลังในกายได้ก็เงยหน้าจ้องกลับครูเฒ่า

“อย่างนั้นเราคงแพ้ศึกครั้งนี้สินะครับ แต่ถึงอย่างไรผมก็จะขอสู้จนตัวตาย”

“ดูก่อน มหาบุรุษ” โกสินธพทักท้วงทันที “จงฟังอาตมันให้ถ้วนถี่ มาตรว่าเรื่องราวซึ่งท่านลำดับเล่ามามิผิดคลาดเคลื่อนแล้วไซร้ ความหวังแห่งชาวเราก็ยังไม่มืดบอดเสียทีเดียว ก็แหละท่านเล่าว่าได้ถอดรหัสไขประตูสู่โถงเก็บพระบรมศพของพระเจ้าอนันตราชได้แล้ว แลขยับฝาโลงออกโดยภายในนั้นปรากฏมีเครื่องประดับหน้าผากแต่ไร้อัญมณีประดับอยู่ ท่านหยิบขึ้นพิจารณาก่อนจักส่งให้มาตะเก็บรักษาใช่ ฤา ไม่” พจน์ก็พยักหน้ารับว่าจริง “เช่นนั้นมนตราสังหารแม้นมากอิทธิฤทธิ์จนสามารถฉุดกระชากวิญญาณออกจากร่างเหยื่อได้ แต่กลับมีพลังอีกอย่างหนึ่งคอยคุ้มครองไว้มิให้ปีศาจช่วงชิงครอบครอง ดวงวิญญาณมาตะยังคงปลอดภัยอยู่”

ฉับพลันพจน์รู้สึกเหมือนมีแสงพระอาทิตย์ฉายฉานทะลุทะลวงจากเบื้องหลังกลุ่มเมฆทะมึน ขนลุกทั่วสรรพางค์กาย ทั้งมือสั่นวะวาบเช่นเดียวกับหัวใจที่นิ่งสงบมานาน

“ท่านหมายความว่า...”



“มาตะยังมิสิ้นอายุขัยในชาติภพนี้”


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3460026#msg3460026)
เพจนิยาย (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)

_____________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

เฮ้ย มาตะ ไม่จริงใช่ไหมคนเขียน แงๆ อย่าทำแบบนี้ดิ  :ling1:
เป็นตอนที่เขียนไปร้องไห้ไป สงสารพจน์ สงสารมาตะเหมือนกันครับ ติดตามตอนต่อไปน้า

อึ้งกึมกี่  สรุปใครเป็นใคร  ใครตายกันแน่  อืมนะ  ทิ้งท้ายได้เจ็บปวดอีกล่ะ  ก็อย่างว่านะ  มาตอนช่วงท้ายตลอดเลยนะ  เหมือนแบบไม่ซะใจเอาสะเลย  ก็รู้อยู่ว่ายังไงมันก็ต้องชนะอยู่ชักช่วง  แต่ช่วยเยอะๆ  หน่อย  พอให้คนเขาอยากทำดีบ้าง  ทำไหมคนจะมีความสุขนี้มันต้องปางตายกันก่อนทุกทีเลย  แต่ก็เข้าใจแหละว่า  ถ้าไม่ถึงเวลามันก็ไม่เหตุผลอะไรที่จะต้องเกิดขึ้น การเกิดครั้งสุดท้ายในภพภูมินี้  ทำให้ได้พลังเนี้ยนะพร้อมกับการรู้แจ้ง  อืม  น่าจะเกิดขึ้นตั้งนานล่ะ  ประชดๆ5555 ก็ชอบทำให้ลุ้นอะคนแต่ง ได้แต่รอ รอ รอ รอ รอ  เท่านั้นสินะ
ตอนล่าสุดนี้คุณคงได้คำตอบแล้วนะครับว่าใครตายใครอยู่ ไม่รู้ว่าจะสาแก่ใจคุณหรือเปล่าสำหรับบทสรุปของคนชั่ว รอติดตามตอนต่อไปนะครับ

:o12: :o12: :o12: มาตะะะะะ
มาติดตามเอาช่วยกันเถอะว่า มาตะจะตายจริงหรือเปล่า

เม้นกันเยอะๆน้า ผมรออ่านอยู่





หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๖ ภูเตศวรอวตารพชระเทพ ๑๐๐% (๒๖/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: pnn ที่ 27-08-2016 05:13:43
โอ๊ย ขนลุก ฮือออ พจน์ต้องช่วยมาตะให้ได้นะ เราเชื่อในพลังความรักของพวกนาย  :sad11:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๖ ภูเตศวรอวตารพชระเทพ ๑๐๐% (๒๖/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 27-08-2016 07:42:05
ลึกล้ำ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๖ ภูเตศวรอวตารพชระเทพ ๑๐๐% (๒๖/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: Delta ที่ 28-08-2016 07:40:40
เราถึงขั้นต้องลงทะเบียนสมัครสมาชิดบอร์ดเพื่อมาเม้น ก่อนหน้านี้ก็อาศัยอ่านทั่วไป ต้องบอกว่า ข้ามพิภพ เป็นนิยายวายที่แตกต่างจากประสบการณ์ที่เคยอ่านอย่างมาก คือ แกนหลัก เป็นความรักของ ช-ช แต่ปมและเรื่องราวผสมแนวภัยธรรมชาติ แฟนตาซี พีเรียด ทั้งมีโคลงกลอนแทรกไว้ เราไม่เคยเห็นมาก่อน มันทั้งตื่นเต้น ต้องขบคิด เดาเนื้อเรื่อง ปริศนา ชวนให้น่าติดตาม ส่วนภาคบรรยายที่เหมือนมีคำคล้องจองอย่างกลอนนั้น เราถือว่าเป็นลายเซ็นต์เอกลักษณ์ของนักเขียนได้เลย เยี่ยมมาก บอกตรงๆต้องขอบใจที่กลั่นกรองความสามารถถักทอเป็นเรื่องราวน่าอ่านแบบนี้ ที่ถ้าไม่ตั้งใจดีๆก็จะกลายเป็นอ่านยากทันทีเพราะสำนวนเขียนแบบงานเขียนนิยายเก่าๆ ฉะนั้นเราขอเป็นกำลังใจให้คนแต่งอีกหนึ่งแรงใจนะคะ สู้ๆ รอติดตามอยู่
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๖ ภูเตศวรอวตารพชระเทพ ๑๐๐% (๒๖/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 29-08-2016 09:58:23
อยากอ่านอีกแล้วอ่ะคับ   Cooling
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๗ เสพรักพิษนาคา ๑๐๐% (๓๑/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 31-08-2016 11:42:17
บทที่ ๓๗



เสพรักพิษนาคา



“จริงหรือครับ มาตะยังมีโอกาสรอดใช่ไหม”

มหาราชครูก็รับว่าจริง แล้วว่า

“มาตรว่าการคาดคะเนของอาตมันมิผิดพลาดคลาดเคลื่อน วิญญาณมาตะยังหาได้ถูกปีศาจช่วงชิงครอบครอง”

“ต้องทำยังไง ต้องทำวิธีไหนถึงจะนำวิญญาณมาตะกลับมาได้ โปรดบอกผม กรุณา...” พจน์ถลาคุกเข่าเบื้องหน้าพราหมณ์โกสินธพ รอยยิ้มบางเบาคลี่ใต้กลุ่มหนวดเคราขาว
 
“ลุกยืนให้เป็นปรกติก่อนเถิด อาตมันจำต้องเล่าตำนานเรื่องหนึ่งให้มหาบุรุษท่านฟังเสียก่อน แม้นอาตมันเล่าจบแล้วจงตรึกตรองดูว่า หนทางนั้นคือที่ใด” เจ้าหนุ่มภัทรพจน์ก็พยักหน้ารับผุดยืน ร้อนรนจนไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ โกสินธพมหาพราหมณ์หลับตาลงแล้วเอ่ยเป็นคำกลอนก้องกังวาน

(ถ้าหากเห็นไม่ชัดกรุณากดซ้ำที่รูปภาพอีกครั้งหนึ่งแล้วจะขยายใหญ่ขึ้น)  
      
(http://i63.tinypic.com/2rrw4yg.png)
(http://i65.tinypic.com/rsassg.png)
(http://i68.tinypic.com/mbpb2g.png)
(http://i67.tinypic.com/2rr08ip.png)
(http://i63.tinypic.com/35inlg9.png)

สิ้นคำกลอนมีแต่ความเงียบงันปกคลุม ดุจเหตุการณ์ในตำนานก่อเกิดเป็นลีลาเคลื่อนไหว
 
“ตำนานโกสันต์ปัทมทับทิมนี้เป็น...”

“อดีตชาติ” พจน์ระงับความอ่อนแอ หลุดพูดคำที่ตอนนี้แทบไม่อยากได้ยิน “ของผมกับมาตะ...ใช่หรือเปล่าครับ”

โกสินธพมหาพราหมณ์ล่วงรู้ความทุกขเวทนาผ่านสายตาแข็งกร้าวสีน้ำตาล แต่จำต้องพยักหน้ารับว่าจริง

โกสันต์ปัทมทับทิม พัชรพีนิลกาฬ อนันตวัชรมรกต ล้วนคือสิ่งล้ำค่าซึ่งท่านครอบครองมาแล้วเมื่ออดีตชาติ แต่เหตุอันอาตมันเล่าถวายนี้มิใช่ตอกย้ำให้รู้สึกอ่อนแอในยามวิกฤตการณ์ แต่เป็นหนทางเยียวยารักษามาตะ ท่านฟังสิ้นแล้วยังจักพบหนทางออก ฤา มิใช่”

อนันตวัชรมรกต สินะครับ” พจน์พยายามลบภาพท้าวปัทมราชกับท้าวโกสันต์ออกจากความคิด แต่ช่างยากเย็นเหลือเกิน “ผมต้องนำอนันตวัชรมรกตมาช่วยมาตะ ใช่ไหมครับ”

“ท่านมีเพลาก่อนรุ่งอรุณจักเปล่งเยือนท้องพระโรงจักรวรรรดิรัตนพิมาน หาไม่แล้ววิญญาณมาตะจะมิอาจเรียกกลับมาได้อีกชั่วนิรันดร จงบอกอาตมันว่าท่านรู้แหล่งเก็บซ่อนอนันตวัชรมรกต”

“ครับ”
 
“อาตมันจำต้องตั้งโรงพิธีปกป้องดวงวิญญาณอื่นไม่ให้มาอาศัยร่างมาตะ ท่านจงเร่งไปเถิด ใช้พลังแห่งท่านข้ามพิภพไปนำมา มหาบุรุษ” ราชครูพราหมณ์สั่งความเสร็จก็ยอบกายลงพื้นกระทำคารวการ เจ้าหนุ่มภัทรพจน์หลับตาให้ใจนิ่งสงบนึกถึงแต่เพียงต้นลีลาวดีเพลิงมอดไหม้ ใต้พื้นดินของโคนต้นอดีตอาวุธพิฆาตนาม จุมพิตสีเลือด มีบางสิ่งที่พจน์เห็นมากับตาตนเองว่าถูกฝังไว้ อนันตวัชรมรกต รอก่อน...มาตะ อย่าเพิ่งไปไหน รอเรากลับมาช่วยนาย

“อาตมันขอติดตามด้วย ขอรับ”

มารุตพราหมณ์ผลักประตูเรือนทิมดาบถลันพรวดเข้ามา แม้แต่ศิษย์นักบวชของมหาราชครูก็มิอาจหยุดรั้ง ต่างดึงห้ามปรามพัลวัน มารุตก็สะบัดออกพุ่งเข้าเกาะต้นแขนพจน์แน่น
 
“อาตมันขอติดตามท่านไปด้วย ขอรับ” เจ้าพราหมณ์หนุ่มน้อยวอนขอด้วยแววตากลมใส “ชั่วแวบหนึ่งท่ามกลางจิตใจด้านร้ายเข้าครอบงำ อาตมันผุดความทรงจำได้ว่า เคยรู้จักท่านมาก่อน ขอรับ ไม่เพียงแค่รู้จัก แต่ความผูกพันล้ำลึกเกิดก่อมากมายแทบล้นอกนี้ไม่มีเหตุผลใดนอกจากเราสองเคยร่วมชะตาชีวิต ณ ห้วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ท่านได้ช่วยชีวิตอาตมันจากอำนาจร้ายสิงสู่ในครานี้ ขออาตมันตอบแทนด้วยการอารักขาติดตามเถิดขอรับ ภัทรพจน์”

วายุ” พจน์ซาบซึ้งน้ำใจของเจ้าพราหมณ์หน้าซื่อจนเกือบเผลอให้ด้านอ่อนแอเข้าครอบงำ แต่หักใจได้รวดเร็วแล้วว่า “มารุต เราไม่รู้ว่าการไปนำอนันตวัชรมรกตกลับมาจะง่ายดายหรือว่ามีสิ่งใดรออยู่ปลายทาง เราไม่อาจเสี่ยงนำนายไปเผชิญกับสิ่งใดก็ตามเหนือคาดคิด อยู่ที่นี่ คอยเรากลับมานะ”

มารุตส่ายหน้าทันควัน อาการดื้อรั้นทำให้หวนนึกถึงวายุข้าคนสนิทของพระเจ้าวัชรโกมลไม่ผิดตัว พจน์ส่งสายตาของความช่วยเหลือจากอาจารย์โกสินธพ

“ท่านแลมารุตพราหมณ์มีชะตาผูกพันล้ำลึกมาเมื่อครั้งอดีตชาติ แลภพชาตินี้หวนกลับมาเจอกันได้ก็ด้วยบุญกุศุลซึ่งสร้างสม จักด้วยแรงอธิษฐานใดก็ตาม แต่ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นด้วยเหตุแลผล สิ่งชักนำท่านมาพบกันคงมีจุดมุ่งหมายบางอย่าง ทั้งพราหมณ์น้อยผู้นี้คะเนแล้วคงเรียนรู้พระเวทคาถาเชี่ยวชาญพอตัว เมื่อหลุดพ้นจากอำนาจทมิฬด้วยพลังแห่งมหาบุรุษท่านก็เห็นจะกลายเป็นกำลังแรงกายช่วยสู้ศึกในครานี้ได้อีกผู้หนึ่ง จงพาสหายผู้นี้คอยเคียงท่านด้วยเถิด อย่าชักช้าอยู่เลย เพลาล้วนดำเนินมิหวนคืนกลับ”

ใคร่ครวญคิดสองจิตสองใจ แต่พจน์จะชักช้าอยู่ไม่ได้ก็พยักหน้ารับคำขอมารุต เจ้าพราหมณ์น้อยก็โผเกาะมือภัทรพจน์ แววตากล้าหาญฉายชัด ส่งยิ้มให้แก่กันแลกันแล้วพจน์ก็พนมมือหลับตา หมอกควันเยือกเย็นสีขาวผุดขึ้นนำพาเด็กหนุ่มทั้งสองเดินทางข้ามพิภพกาลเวลามาปรากฏยังดินแดนรกร้างแห่งหนึ่ง ท้องฟ้ามีเมฆดำปกคลุม ต้นไม้แห้งโกร๋นยืนต้นเดียวดาย บางต้นมีใบไม้สีดำติดอยู่ตามกิ่งก้าน พื้นดินปกคลุมด้วยกรวดทรายสีนิล พุ่มไม้ดำกระจายอยู่รายล้อม เทือกเขาสูงใหญ่ภายใต้กลุ่มเมฆทมิฬทอดตัวเป็นมหาปราการ สรรพเสียงคำรนกู่ก้องร้องดังแว่วอยู่ไกลๆ ทั้งเสียงกลองกระหน่ำตีเป็นจังหวะแทรกผ่านดงซากไม้มาจากฟากป่าด้านขวามือ พจน์สังเกตภูมิประเทศสถานที่ตนข้ามพิภพมาโดยละเอียด มารุตพราหมณ์ก็ประพฤติเช่นเดียวกัน

“ที่ใด ฤา ขอรับ”

“ถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรอนันตาทมิฬ อาณาจักรเผ่าพันธุ์คนธรรพ์ แต่ทำไมสภาพแวดล้อมถึงผิดต่างจาก...” พจน์จำความเขียวชะอุ่มของพืชพรรณนานาชนิดเมื่อครั้งระลึกชาติวัชรโกมลได้
 
“ความชั่วร้าย ขอรับ มันเปลี่ยนสรรพชีวิตให้มืดทมิฬไร้วิญญาณเสียสิ้น แลเผ่าพันธุ์คนธรรพ์ผู้ครอบครองมหาอาณาจักรโบราณมิได้ปกครองอนันตาทมิฬแล้วขอรับ” มารุตอธิบายพร้อมหยิบไม้ใบสีดำจากพื้นดิน มันบุบสลายเป็นผุยผงทันที “เผ่าพันธุ์ปีศาจทำสงครามรุกรานแลสถาปนานคราแห่งนี้เป็นศูนย์กลางการปกครองความโฉดชั่วทั้งปวง”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่ มารุต”

“รัชกาล...เอ่อ...พระเจ้าอนันตราช ขอรับ พระองค์พ่ายศึกครานั้น จนต้องระเหเร่ร่อนลี้ภัย” พจน์เข้าใจถึงสาเหตุที่พระบรมศพของพระองค์ตั้งอยู่ชายแดนอาณาจักรสุวรรณครา “พระเจ้าวัชรโกมล...”

มารุตรีบเงยหน้ามองพจน์ ดวงตารื่นด้วยหยดน้ำคลอ

“พระเจ้าวัชรโกมลมีเชื้อสายมนุษย์กับคนธรรพ์อย่างละครึ่งใช่ไหม” พจน์ถามน้ำเสียงนิ่ง “นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าอนันตราชถูกฝังอยู่ ณ เทวาลัยแห่งนั้น การอยู่ใกล้ชิดบ้านเมืองของชายคนรักจนวาระสุดท้ายคือพระประสงค์ของพระองค์ใช่หรือเปล่า”

เจ้าพราหมณ์ก้มหน้าสลด

“ตามพระราชพงศาวดารจดจารไว้เช่นนั้นขอรับ”

“การสละชีวิตคราวนั้นไม่เกิดประโยชน์ใดเลย มารุต ไม่มีประโยชน์เลย” เจ้าภัทระเงยมองความมืดมัวบนท้องฟ้าเพื่อไม่ให้หยดน้ำตาไหลดิ่งลงตามแรงดึงดูด “มันสายเกินไป...”

มารุตกุมมือมหาบุรุษปลอบโยน “ไม่ขอรับ ไม่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว ความทรงจำอดีตชาติซึ่งผุดขึ้นหว่างความชั่วร้ายเข้าเล่นงานอาตมันทำให้อาตมันเห็นว่า พระองค์...เอ่อ ท่านสละชีวิต แต่มิได้สละอำนาจครอบครอง รีบเถอะขอรับ เบื้องหลังหมู่แมกไม้นี้คงเป็นเขตพระราชฐานที่ประทับของพระเจ้าวัชรโกมล”

เด็กหนุ่มทั้งคู่เดินลัดเลาะผ่านแนวพฤกษามอดไหม้จนกระทั่งถึงเขตกำแพงแก้ว มีสภาพพังทลายผุพังตามกาลเวลา สีขาวซึ่งเคยฉาบลงหม่นมัว ซุ้มประตูลวดลายวิจิตรถูกสายลมแสงแดดแผดเผาหลงเหลือเพียงร่องรอยของฝีมือช่างศิลป์เมื่อบรรพกาล

สนามหญ้าสีเขียวสดถูกฉาบไว้ด้วยละอองเถ้าของภูเขาไฟระเบิด ดุจเกล็ดหิมะปกคลุมทั่วบริเวณ กลิ่นกำมะถัน กลิ่นควันไฟไหม้ตลบอบอวล เส้นทางศิลาทอดสู่กลางอุทยานท้ายซากตำหนักที่ประทับ บุปผานานาพรรณเคยงอกงามแห้งเหี่ยวอับเฉาฉับพลันดุจถูกสาป ไร้สีสันอื่นใดนอกจากดำและดำ
 
ท่ามกลางความพังพินาศของทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต แลเห็นต้นไม้หนึ่งแผ่กิ่งก้านเป็นพุ่มสูงตระหง่าน ดอกและใบอันเคยมีประดับหายลับสิ้น รูปทรงเดียวกับเมื่อครั้งพจน์กับไอ้กันได้เคยมาทำการลบล้างคำสาปมนตราลีลาทมิฬ ไม่ผิดต่างไปจากนี้ นี่คือต้นลีลาวดีเพลิง สิ้นฤทธิ์สิ้นพลังยืนเดียวดายเหลือเพียงลำต้นและกิ่งก้านแห้งกรอบไร้พิษสงเท่านั้น

“ที่นี่แหละ มารุต” พจน์กวาดสาดตามองพื้นดินดำไหม้โดยรอบ จดจำได้ทันทีว่าตรงไหนคือบริเวณที่พระเจ้าวัชรโกมลล้มลงและสิ้นพระชนม์
 
“ท่านจงเข้าไปนำมาเถิด อาตมันจักคอยระแวดระวังภัยอยู่ตรงนี้”

มารุตกล่าวหนักแน่น พจน์เร่งฝีเท้ากำลังจะมุ่งสู่โคนต้นก็ปรากฏเงามืดทะมึนผุดพุ่งจากกองเถ้าถ่านใกล้กับซากต้นลีลาวดีเพลิง มันเคลื่อนคล่องสู่ท้องฟ้าแล้วดิ่งกลับคืนพสุธาลับหาย ต่อมาก็โจนกายขึ้นด้านหลังมารุตหลอมรวมจากเศษเถ้าถ่านดำเป็นลำตัวของสิ่งมีชีวิตคลับคล้ายงูแต่ขนาดมหึมากว่ามาก ปลายหางจรดศีรษะยาวเหยียดอย่างเดียวกับรูปปูนปั้นขนาบบันไดโบสถ์เผยดวงตาสีเหลืองอาฆาตมนุษย์ พญานาค

“มารุต!” พจน์พุ่งตัวถลากอดเจ้าพราหมณ์น้อย พญานาคเกล็ดดำกระหน่ำฉกกระแทกลงตรงจุดที่มารุตเคยอยู่ ทั้งคู่ล้มกระเด็นเกลือกกลิ้ง เจ้างูยักษ์ทะยานฉกซ้ายฉกขวา กวาดดวงตาสีอำพันหันหาผู้รุกราน  ปลายหางลายกนกกวาดเถ้าละอองกระจุยกระจาย ขู่คำราม ครั้นเห็นเจ้าหนุ่มทั้งสองถนัดตาก็ม้วนขนดหางโอบสะบัดรัดให้สิ้นใจ

ความเจ็บแล่นพล่านเช่นเดียวกับลมหายใจติดขัด พจน์ไม่อาจเรียกพละกำลังข้ามพิภพหลบหนีได้ เพราะอำนาจสิทธิศักดิ์ในเลือดผู้ปกปักรักษาล้อมกีดกั้น มารุตเห็นการเข้าตาร้ายเช่นนั้นก็บริกรรมคาถาถามภาษาพญานาค

“ท่านทวารบาล ไฉนเลยจึ่งประพฤติผิดต่างจากกฎบัญญัติ อึก” มารุตจ้องเขม็งดวงตาเหลือบเหลือง มันลดหัวลงมายังเหยื่อ ขยับปากขบเขี้ยวแหลมยาว ด้วยครั้งคราวกำเนิดเป็นนาคา ภัทรพจน์จึ่งเข้าใจวาจานาคราชโดยสิ้น

“เจ้าทั้งสองบุกรุกเขตต้องห้าม แลจักมีสิ่งใดสั่งเสียตามจงเร่งว่า ก่อนพิษนาคาจักสังหารเจ้าตามโทษานุโทษ” คำรามกึกก้อง

“ก็แหละท่านถูกสาปไว้ให้เฝ้าแหล่งที่นี้ประดุจนายประตูเฝ้าขุมสมบัติ กฎอย่างหนึ่งอันพึงปฏิบัติคือถามปริศนาผู้ลักลอบ หากมันผู้ใดไขความลับนั้นออก จงปล่อยตัวตามหลักถูกต้อง ก็แหละบัดนี้ท่านละเมิดสิ้น อาตมันท้วงคำข้อประการนี้ท่านจงตรองดูเถิด”

พญานาคกะพริบเปลือกตาเจ้าเล่ห์ หงอนลายกนกเชิดสูงอย่างไม่พึงใจแล้วตวาดกลับว่า

“เช่นนั้นข้าจักขอถามปริศนาดั่งเจ้าวอน แลหากผิดแล้วจงยอมตายเสียโดยพิษเรา” เจ้าพญานาคกายมหึมาคลายขนดลำตัว มารุตกำบังพจน์ไว้เบื้องหลัง คำนับเคารพแล้วจดจ้องดวงตามลังเมลืองไม่ครั่นคร้าม

“จงเร่งว่ามาเถิด แลหากผิดพลาดแล้วไซร้ท่านจงปลดปล่อยคนนอกผู้นี้เสียอย่าได้ขัดขวางทำอันตราย อาตมันจักยอมตายวายชีวาเซ่นคำตอบตนเอง” พญานาคพยักหน้ายอมรับ แล้วมันจึงกล่าวปริศนาคำทาย
 
สิ่งใดใดในโลกกำเนิดจาก  เปลี่ยนสิ่งยากเป็นง่ายกระไรหนอ  ทุกชีวิตไขว่คว้าเฝ้าคอยรอ  แม้นขาดสิ้นดั่งคอขาดกระเด็น

พจน์ทวนเงื่อนงำปริศนาซ้ำ ลูบไล้คลำลำคอขณะใคร่ครวญ แล้วจึ่งสัมผัสสร้อยเส้นหนึ่งคล้องอยู่เมื่อไรไม่อาจทราบ จำได้ว่าเป็นสร้อยทองห้อยเครื่องประดับหน้าผากของพระเจ้าวัชรโกมล แล้วก็ค้นคิดแผนได้อย่างหนึ่ง คือหากถ่วงเวลาให้พญานาคเผลอตัวได้ชั่วขณะ ระยะทางจากตรงนี้จนถึงโคนต้นลีลาวดีเพลิงไม่ใช่ห่างไกลนัก อาจอาศัยห้วงจังหวะนั้นขุดหาอนันตวัชรมรกตได้ก่อนที่มันจะสงสัย ป้องมือกระซิบแผนการให้มารุตทราบ แล้วเจ้าพราหมณ์จึงป่าวร้องว่า

“ท่านผู้มีความยุติธรรม ปริศนาใดๆในโลกย่อมมีคำตอบเฉพาะคน แต่จักต้องใจท่านหรือไม่มิอาจรู้ ก็แหละเชาวน์ปัญญาเลิศประดับในกายสิ่งมีชีวิตหามีเท่าเทียมกันดั่งนี้” มารุตขยับเดินเลี่ยงสู่ด้านหนึ่ง พญานาคยักษ์ก็ขยับจ้องตามค่อยๆหันลำตัวส่วนหลังให้ต้นลีลาวดีเพลิง พจน์อาศัยจังหวะนี้เร้นกายตรงดิ่งไปยังโคนต้นลีลาวดี “ท่านเป็นถึงพญานาคราชช่ำชองปัญญาด้านคิดปริศนามาแต่ถือกำเนิด บิดามารดรต่างฝึกปรือทักษะนี้มาแต่หนต้น แตกต่างจากอาตมันซึ่งถูกฝึกปรือในทางพระเวทคาถา ไหนเลยจักมีสติปัญญาเทียบเทียมท่านได้...” มารุตยังพูดจ้อตามคำแนะของพจน์

โคกดินใต้โคนต้นเป็นสีดำแห้งระแหง พจน์ใช้มือขุดทุลักทุเลอาศัยจดจำทิศทางซึ่งพระเจ้าวัชรโกมลเคยกลบฝังอัญมณีสีเขียวไว้

“จงอย่าได้กล่าวอันใดให้มากความ หากสติปัญญาเจ้าด้อยต่ำกว่าข้าก็ด้วยเพราะเจ้าไร้ค่าโง่เขลาสมควรตาย จงตอบมาอย่าช้าที”

“รัก ความรัก” ขึงตาเหลืองด้วยอารมณ์กริ้วขุ่นมัว ชั่วครู่หนึ่งจึงสังเกตเห็นว่าเหยื่อมนุษย์อีกคนมิได้อยู่เบื้องหลังเจ้าพราหมณ์ก็หันหัวเหลียวหา เห็นภัทรพจน์อยู่บริเวณต้นลีลาวดีเพลิงก็ตวัดหางฟาดโครมใส่ พจน์ถลาถอยหลบทันท่วงที มารุตเห็นความรุนแรงเกิดมีต่อพจน์ก็วิ่งล้อมหน้าล้อมหลังเจ้าพญานาคทวงหาสัจจะวาจา

“คำตอบของอาตมันถูกต้องหามีสิ่งใดคัดค้านได้ หากไขปริศนาสำเร็จครบถ้วนแล้วไยจึ่งคืนคำคิดทำร้ายสหายเราอีก สัจจะแห่งมนตร์คาถาศักดิ์สิทธิ์มิอาจละเมิดได้ด้วยประการทั้งปวงจงยอมถอย มิเช่นนั้นชะรอยอำนาจปริศนาจักพรากวิญญาณเจ้ามิหวนกลับ”

พญานาคสำแดงโทสะเคืองจัดชัดเจน สอดส่ายหัวฉุนเฉียวโยกเอน ดวงตาก็ลุกวามดุร้าย ก่อนจะสงบลงพลางขำขันหัวเราะ พจน์ขยับถอยเคียงคู่มารุต
 
“คำตอบของปริศนาข้อนั้นถูกต้องทุกประการ” มันขดหางซ้อนกันเป็นแท่นสูงชูลำคอค้ำตระหง่านเหนือร่างมนุษย์ “แต่...เจ้ามาด้วยกันถึงสองคน จะรอดพ้นความตายก็เฉพาะเพียงหนึ่งของผู้ที่ตอบคำถามได้ ฉะนั้นจำเราจะต้องถามปริศนาอีกข้อตามกฎศักดิ์สิทธิ์”

“ตระบัดสัตย์ เจ้าให้สัจจะวาจาว่าจะไม่ยุ่งกับสหายเรา”

“ข้อตกลงนั้นหมายเฉพาะหากเจ้าตอบปริศนาผิดพลาด อันตรายใดๆจะเกิดเพียงแต่เจ้าคนเดียวเท่านั้น แต่บัดนี้เจ้าตอบถูกแลพวกเจ้ามีถึงสองคน ข้าจึ่งมีสิทธิ์ถามอีกปริศนาหนึ่ง”

มารุตส่งสัญญาณบางอย่างมาให้พจน์ เขาส่ายหน้าไม่เข้าใจ ขนดหางแผ่โอบล้อมมนุษย์แน่นหนา
 
“จงฟังให้ดี ทั้งมืดมนอนธการนานชั่วกัป ทั้งลี้ลับล่องลอยถวิลหา ไม่ยากได้ก็จักได้ตามชะตา เช่นสนธยาลาลับดับอรุณ จงตอบเพียงครั้งเดียวเท่านั้น” พจน์กับมารุตอยู่ห่างกันพอสมควรโดยมีลำตัวส่วนหางของพญานาคกั้นขวางไว้ มารุตนึกตรึกตรองครุ่นคิด “เจ้ามีเพลามิมากนัก หากแสงจันทร์ทอลอดพ้นเมฆาเมื่อใด มาตรแม้นข้ายังมิได้คำตอบก็จง...ตาย”

“เฮ้ ผมตอบได้” พจน์ตะโกนเรียก เจ้าพญานาคหันส่วนหัวตามเสียง เพื่อปะทะเข้ากับแสงเขียวแผดจ้าจนดวงตาของมันฝ้ามัว มารุตอาศัยจังหวะนั้นกระโดดข้ามลำตัวกีดขวางโจนแตะกายพจน์ พญานาคนายทวารก็อ้าปากพ่นละอองพิษจากลำคอสาดใส่ศัตรู เงาหมอกควันพรั่งพรูโอบล้อมพร้อมพาตัวพจน์และมารุตหลบหลีก ปรากฏยังกลางมณฑลพิธีพรวดเดียว ปะรำพลับพลาชั่วคราวถูกสร้างขึ้นอยู่ตรงหน้าด้วยผ้าสีขาวขึงตึงเป็นหลังคา ตั้งฉัตรห้าชั้นประจำมุมเสา อาณาบริเวณขึงผ้าขาวเป็นแนวกำแพงล้อมรอบอีกชั้น พราหมณ์โกสินธพเร่งฝีเท้าทะยานหาเด็กหนุ่มทั้งสองว่องไว

“มหาบุรุษ ท่านได้มา ฤา ไม่ อนันตวัชรมรกต

ภัทรพจน์หายใจหอบคลายฝ่ามือกำสร้อยคอคล้องเครื่องประดับหน้าผากออก แสงอัญมณีมรกตเจิดกระจ่างส่องเลื่อมระยับสะท้อนสู่ดวงตาพราหมณ์เฒ่า

“มาตะ เจ้าพ้นเคราะห์แล้ว” ราชครูพราหมณ์จ้องมรกตลือนามปลื้มปีติ “ท่านปลอดภัยดี ฤา มหาบุรุษ มารุต”

“ปลอดภัยขอรับ” พจน์อาศัยจังหวะมารุตล่อหลอกพญานาคด้วยคำพูด ค้นหาอนันตวัชรมรกตเพียงไม่นานจี้คล้องคอก็ดึงรั้งแล้วฉุดดึงมณีมีค่าพุ่งพ้นพื้นพสุธาสถิตกลางเครื่องประดับหน้าผาก ก่อนส่วนปลายหางนาคราชจะฟาดลงชั่วเสี้ยววินาที พจน์โผเข้ากอดมารุต หากไม่ได้เจ้าพราหมณ์น้อยถ่วงเวลา ตนคงไม่มีโอกาสทองเช่นนั้น

“ขอบใจนะ มารุต ขอบใจ วายุ”

ภัทรพจน์จ้องมองดวงตากลมโตของอีกฝ่ายที่จดจ้องกลับเสมอกัน ฉับพลันพจน์จึ่งสัมผัสได้ว่านัยนานั้นมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม ลองขยับถอยห่าง แล้วยกมือสั่นเทาโบกผ่านหน้ามารุต พราหมณ์หนุ่มเอาแต่ยิ้มไม่กะพริบไหว

“มะ...มารุต ตาของนาย”

“พิษนาคา ทำลายดวงตาเจ้าพราหมณ์มืดบอดเสียสิ้นแล้ว มหาบุรุษ” โกสินธพมหาพราหมณ์พิจารณาด้วยภูมิปัญญา พร้อมกล่าวคำหนึ่งที่ทำให้พจน์ถึงกับทรุดเข่าลงแทบเท้าสหายรักผู้มีคุณนับแต่อดีตชาติจวบกระทั่งภพปัจจุบัน


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3465023#msg3465023)
หมายเหตุ ช่วงบทกลอนที่ผมลงแนบเป็นไฟล์รูปภาพนั้น เนื่องจากพอลงแบบปกติแล้วปรากฏว่าข้อความกลอนกระจัดกระจายไม่สวยงาม ดังจะเห็นได้จากบทก่อนๆที่เคยลง ถ้าหากเห็นไม่ชัดกรุณากดซ้ำที่รูปภาพอีกครั้งหนึ่งแล้วจะขยายใหญ่ขึ้น ต้องขอภัยมา ณ ที่นี้
________________________________

นาเคศวร, วาสุกรี : นาคผู้เป็นใหญ่
ภุชงค์, นาค : งูใหญ่มีหงอน
               
เพจนิยาย (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๗ เสพรักพิษนาคา ๑๐๐% (๓๑/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 31-08-2016 12:28:19
น่าสงสาร วายุ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๗ เสพรักพิษนาคา ๑๐๐% (๓๑/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 31-08-2016 13:54:29
 :mew4: :mew4: :mew4: :mew4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๗ เสพรักพิษนาคา ๑๐๐% (๓๑/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 01-09-2016 18:32:41
หวังว่าการเสี่ยงครั้งนี้จะมีคุณมากกว่าโทษนะ  แถมตอนที่แล้วใช้พลังไปแล้วหนึ่ง  เหลืออีกสอง  คงไม่มีเหตุให้ต้องใช้เกินจำเป็นนะ  ตามต่อไปครับผม
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๗ เสพรักพิษนาคา ๑๐๐% (๓๑/๐๘/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 03-09-2016 11:50:00
เฮ้อ เหนื่อยมากเลย สงสารพจน์เรื่องราววุ่นวายขึ้นมาก หวังว่าสิ่งต่างๆที่ทำลงไปจะได้รับผลดีๆกลับมานะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๘ กฤษณาทวงรัก ๑๐๐% (๐๗/๐๙/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 07-09-2016 10:22:41
บทที่ ๓๘



กฤษณาทวงรัก



“มารุต นายมองเห็นหน้าเราใช่ไหม ตอบสิว่าเห็น” ภัทรพจน์เขย่าไหล่เค้นสิ่งปลอบใจจากปากเจ้าพราหมณ์หนุ่ม แต่มารุตยังคงยกยิ้มกว้างดุจไม่ได้เกิดอันตรายใดๆแก่ดวงตาตน

เห็นขอรับ อาตมันจดจำใบหน้าท่านได้แม้นล่วงผ่านมากี่ภพกี่ชาติ วงหน้างามจะมิเลือนหายจากความทรงจำของอาตมัน แม้นชาตินี้จักมิได้เห็นรอยยิ้มพิมพ์ใจนั้นอีกแล้วก็ตาม”
 
“พราหมณ์ ช่วยมารุตด้วย ผมต้องทำยังไง” ผวาเกาะชายผ้าคล้องไหล่โกสินธพวอนขอ มือสั่นเทา

“พิษนาคาตนนั้นทรงพลานุภาพด้วยบำเพ็ญเพียรทำหน้าที่ทวารบาลมาเนิ่นนานหามีสิ่งใดไขถอนได้ แม้นอำนาจอันท่านครอบครองก็มิอาจลบล้าง จงคลายความทุกขเวทนาเถิด อาตมันแลท่านมิอาจฝืนชะตาลิขิตได้” ความรู้สึกสงบว่างเปล่าเมื่อครั้งตนเผชิญผ่านเหตุการณ์มาตะต้องมนตราสังหารถูกสั่นคลอนเพราะมารุตต้องพิษร้ายไม่คาดคิด
 
“อย่าร่ำไห้เถิดหนาภัทรพจน์ น้ำตานั้นจักทอนพลังในกายท่าน ไร้ประโยชน์หากต้องแลกสิ่งล้ำค่าเพื่อแสดงความอาลัยไม่คุ้มเสีย ท่านจำได้ ฤา ไม่ อาตมันอาสาร่วมทำการนี้ด้วยตนเอง ฉะนั้นอาตมันเชื่อมั่นว่านี่คือสิ่งซึ่งสมควรได้รับ แลหากแลกด้วยการได้ อนันตวัชรมรกต มาครอบครองแล้วไซร้ ตาเปล่าต่ำต้อยเทียบมิได้เลย จงเร่งนำมณีล้ำค่าเรียกวิญญาณมาตะกลับคืนเถิด”

พราหมณ์โกสินธพก็สะดุ้งด้วยเหตุการณ์รันทดชักนำให้หลงลืมกิจสำคัญก็ระงับความอาดูร แล้วว่า

“อาตมันแลเหล่าพราหมณ์สวดคาถาป้องปัดวิญญาณร้ายให้พ้นสิ้น ครั้นท่านนำอนันตวัชรมรกตกลับมาได้สมคะเนแล้วก็เห็นจำต้องเร่งนำเข้าพีธีเรียกวิญญาณโดยด่วน แต่...” พจน์แทบไม่ได้ฟังโกสินธพราชครูกล่าว เอาแต่จับจ้องดวงตากลมใสของมารุต เขาเป็นคนพามารุตไป เขานี่แหละที่ทำให้มารุตไม่เห็นสิ่งใดใดในโลกนี้อีก โผสวมกอดสหายรักไว้แน่นเป็นภาพสะเทือนใจแก่ผู้ทรงศีลเฒ่าเหลือประมาณ

“ขออภัยเถิด ราชครูพราหมณ์”

น้ำเสียงดรุณีนางหนึ่งทักท้วง

กฤษณาพนมมือเหนือหว่างอก นุ่งผ้ายกดอกด้วยไหมเงิน เช่นเดียวกับสีผ้ารัดทรวง ไร้เครื่องประดับมีค่าประจำกาย ทั้งเครื่องประทินโฉมก็ละทิ้งไร้แต่งเติม เด็กสาวหน้าสวยจึ่งซีดเผือดราวกับขาดเลือด แต่คิ้วขมวดมุ่นขุ่นมัวแกมกันกับดวงตาแดงก่ำ ปากระเรื่อจางขบผนึกสะกดอารมณ์ในตัวไม่ให้สำแดงเกินควร
 
“พ่ออยู่หัวแลพระราชเทวีมีรับสั่งให้พราหมณ์ท่านเร่งประกอบพิธีเถิด ในเมื่อบัดนี้มหามณีมรกตถูกนำมาแล้ว อย่ารั้งรอการใดเลย มาตะนอนแน่นิ่งอยู่กลางปะรำพิธีเป็นเครื่องทรมานสายตาของเหล่าสตรีทุกผู้ มิเว้นมารดาผู้ให้กำเนิด แลพระมารดรผู้ทรงชุบเลี้ยง รวมกระทั่งกฤษณา จนไม่อาจครองสติปัญญาให้เข้มแข็งฝืนทนได้แล้ว วานมหาพราหมณ์ท่านจงเร่งประกอบพิธีเถิด”

โกสินธพก็หักใจ พิจารณาสหายคู่สนิทแต่อดีตชาติแล้วจำต้องออกปากเด็ดขาดว่า

“มหาบุรุษท่าน โปรดจงนำอนันตวัชรมรกตอันมีคุณวิเศษเรียกวิญญาณนั้นมอบให้แก่ชะแม่กฤษณาข้าหลวง”

ภัทรพจน์หนุ่มลูบหน้าลูบตามารุตจนสิ้นความอาลัยแล้วก็กุมมือเจ้าโยคีน้อยไว้ เงยมองกฤษณาสลับอาจารย์พราหมณ์แน่นิ่ง

“ผมจะนำไปเองครับ” ทอดสายตาข้ามไหล่กฤษณาสู่โรงพิธี บนแท่งสูงนั้นคือ มาตะ ผิวกายซีดเซียวนอนหงายหลับตาอยู่ เหล่าพราหมณ์สวดบริกรรมพระเวทอยู่อาณาเขตรอบนอก ถัดจากจุดที่มาตะนอนแน่นิ่งมีพระที่นั่งโถง ทรงจตุรมุข พรั่งพร้อมด้วยเสนาอำมาตย์แลพระญาติพระวงศ์ของมาตะโดยสิ้น ท้องฟ้ามืดมัวไร้ดาวเดือน

“ท่านสิ้นภาระแล้ว มหาบุรุษ จงพักผ่อนก่อนเถิด ราตรีนี้ท่านเผชิญเหตุการณ์ร้ายนานัปการเกินกว่าคนคนหนึ่งจะพึงประสบ จงปฏิบัติตามคำอาตมันแนะ โดยติดตามเหล่าศิษย์สำนักไปพักยังที่อันสมควรก่อน แลละการนี้ไว้เป็นธุระอาตมันจัดการ อย่าพะวง” พราหมณ์โกสินธพลูบโลมปลอบโยน “ทั้งมารุตผู้สหายเพิ่งได้รับพิษนาคาจึ่งอ่อนแรงกว่าปกติ หลับพักสักชั่วยามหนึ่งก็เห็นจะคืนกำลังดังเดิม”

ศิษย์หนุ่มวัยเดียวกับพจน์และมารุตเดินออกจากโรงพิธีเหมือนล่วงรู้คำสั่งของอาจารย์ตัว ยืนคอยท่าอยู่

“มารุต นายไปพักก่อนนะ” พจน์เกาะไหล่เจ้าพราหมณ์น้อย จับจ้องดวงตาว่างเปล่าทั้งที่รู้ว่าไม่มีประโยชน์จะสื่อสารให้อีกฝ่ายเข้าใจตนได้แล้วก็ตาม พลางกระซิบข้างกกหู “เราให้สัญญา นับจากนี้จะไม่มีอีกแล้ว ความทุกข์ ไม่มีอีกแล้ว อดทนนะมารุต เราจะจัดการจบทุกสิ่งให้ได้ในเร็ววัน"

“ท่านพูดประหนึ่งล่วงรู้ว่า...” โกสินธพราชครูเบิกตากว้างจับจ้องสองหนุ่มแล้วจึงผุดยิ้ม “เห็นจะมิจำเป็นต้องให้เจ้าเข้าร่วมพิธีแล้ว ชะแม่”

มารุตพยักหน้าเชื่อฟังพจน์แต่โดยดี น้ำตากลั้นไว้ก็หลั่งไหล ทั้งที่ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความว่างเปล่า แต่ท่ามกลางเงามืดบอดผุดใบหน้าภัทรพจน์นายตัวเมื่ออดีตชาติแจ่มชัดเป็นศุภนิมิตบังเกิดเป็นคุณแก่ตนเพียงเสี้ยววินาทีก็พลันมิอาจหักห้ามน้ำตาไว้ได้ ยอบตัวแนบพื้นหญ้าแล้ววางมือลูบหลังเท้ามหาบุรุษเหมือนล่วงรู้ความนัยซ่อนอยู่ในคำพูดทั้งนั้น
 
“ขอรับ ขอรับ” พร่ำรับคำเสร็จก็ถูกศิษย์พราหมณ์หนุ่มพาไปยังที่อันควร

“กระไรมหาพราหมณ์ท่านจึ่งถอนคำละทิ้งข้อปฏิบัติ ก็แหละผู้นำอนันตวัชรมรกตวางลงยอดอกมาตะเพื่อประกอบพิธีเพรียกวิญญาณนั้น จำต้องเป็นสตรีผู้ครองพรหมจรรย์มิต้องมือชาย แลบัดนี้ท่านปฏิเสธให้กฤษณายกเลิกการนั้นเสีย ไฉนเลยจักอาจสำเร็จได้”

“การครองพรหมจรรย์อันผู้คนต่างดำริเข้าใจนั้นมิใช่เพียงการถือศีลเว้นการเสพเมถุนในเชิงสวาท แต่หมายรวมถึงจิตใจบริสุทธิ์ยิ่งกว่าผู้ประพฤติดั่งพรหม คือ การบรรลุฌานสมาบัติ ชนบนพิภพนี้ไม่มีผู้ใดกระทำได้ แต่มีบุคคลผู้ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าเพียงหนึ่งเดียว แลเหมาะสมยิ่งกว่าใครอื่น ด้วยมาตะแลภัทรพจน์ดวงชาตาผูกพันยิ่งกว่าใครในพิภพ เช่นนั้นขออภัย จงละหน้าที่ไว้แก่คนผู้นี้เถิด เจ้าจงเร่งเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวแลพระราชเทวีตามคำอาตมันว่าดั่งนี้”

กฤษณาขึงตาแดงช้ำกล้ำกรายพจน์ขณะหนึ่ง แล้วพูดเหน็บว่า

“นับแต่กฤษณารู้จักมักคุ้นมาตะ ไม่เคยเห็นสิ่งใดทำอันตรายคนผู้นั้นได้ ด้วยเก่งกล้าสามารถยิ่งกว่าชายในอาณาจักร ทั้งห้าวหาญเชี่ยวชาญศิลปศาสตร์เพลงอาวุธนานาประเภทยากจะหาคู่ปะทะเปรียบฝีมือ ทั้งอุปนิสัยอ่อนโยนยามไร้อาวุธเป็นที่ชื่นชมแก่คนทุกชนชั้น ลักษณะอันประเสริฐประกอบขึ้นเป็นชายชาติชาตรีไม่เคยมีใครเสมอเท่า” ดวงตาสื่อสารต่อครูมาตะ แต่ถ้อยความซัดทอดพจน์โดยตรง “ก็แหละฝีมือประจำกายนี้มิใช่ ฤา ตอบสนองคุณแผ่นดินช่วยพระเจ้าอยู่หัวในคราวพิบัติเป็นที่ปรากฏ จนทรงพระกรุณายกตัวชุบเข้าร่วมพระราชวงศ์ตอบแทนคุณงามความดีนั้น จะมีผู้ใดคัดค้านก็หาไม่ เพราะทุกคนประจักษ์ว่ามาตะกอปรด้วยรูปสมบัติแลฝีมือสันทัดเหมาะควรเป็นที่สรรเสริญเทียบชั้นพระราชบุตรบุญธรรม ฐานะนี้มิใช่ใครก็อาจเอื้อมแตะถึง แต่ต้องพรั่งพร้อมสมแก่คนยกย่อง เมื่อมาตะถูกยกขึ้นสูงกว่าแรกต้นเฉกนี้แล้ว ไฉนเลยนับแต่ภัทรพจน์ปรากฏเคียง ดังครูท่านเรียงเป็นคำหนักแน่นว่า บรรลุฌานสมาบัติหาผู้ใดทำสำเร็จ จึ่งฉุดคร่ามาตะตกต่ำถดถอยจนพลอยเพลี่ยงพล้ำต้องมนตราปีศาจแทบสิ้นวิญญาณ์ ทั้งย้ำซ้ำว่ามาตะผูกพันภัทรพจน์ยิ่งกว่าใครอื่น ก็คำยืนยันขัดแย้งสุดยั้งปาก ในเมื่อใครตกฟากผูกชะตา เห็นจะเสริมพาบำรุงกันในทางที่ดีเป็นลำดับต้น คำท่านว่า ผูกพัน กฤษณาจึ่งมิเห็นสม คนรักย่อมไม่โน้มนำพาอีกฝ่ายไปสู่หายนะกระนี้ ตราบแต่กฤษณารู้สึกรักมาตะ ความหมองสักเสี้ยวหนึ่งมิเคยกระทำต่ออีกฝ่ายเป็นความพินาศถึงฆาตตาย ความรักมิใช่นำพาให้คนทั้งคู่รุ่งเรืองดอกหรือราชครูพราหมณ์  กฤษณาเคยเห็นแต่รักนำด้านดีเข้าหาคนทั้งสองอยู่หลายคู่ ดู๋ดูมาตะจำต้องย่อยยับนับแต่ภัทรพจน์เคียงสู่ ตรองดูแล้วหน้าที่สำคัญอันนำอนันตวัชรมรกตเรียกวิญญาณมาตะกลับ มิสมควรจับตัวการร่วมพิธี”

โทสะในใจกฤษณาพรั่งพรูดุจสายธาราทะลักฝายน้ำล้น ในชั้นแรกพจน์แทบไม่ได้ฟังคำต่อว่าของสตรีชุดขาว แต่เมื่อตรึกตรองว่าต้นเหตุมาตะต้องมานอนแน่นิ่งไร้วิญญาณก็ด้วยตนเป็นสาเหตุทั้งสิ้น หลับตาพยายามไม่เก็บมาคิด

“พิธีเรียกวิญญาณสามารถทำได้เพียงครั้งเดียว จะเรียกซ้ำก็ทำมิได้ฉะนี้ ครูท่านวางใจให้ภัทรพจน์มือเปื้อนเลือด เต็มด้วยราคีหรือเป็นผู้กระทำ หากไม่สำเร็จแล้วจะมีผู้ใดรับผิดชอบ”

“กฤษณาเอย คำอันเจ้ากล่าวนั้นอาตมันจักอรรถาธิบายให้คลายลงเอง ทั้งต่อหน้าพระพักตร์แลคนทั้งปวง เพราะไม่มีผู้ใดจะเหมาะยิ่งกว่าภัทรพจน์อีกแล้ว จงคืนพลับพลาแลปฏิบัติตามคำอาตมันเถิด เพลากระชั้นชิดงวดใกล้เข้ามาเหลือประมาณ”

กฤษณาฝากรอยบาดหมางจนพอใจแล้วก็กระพุ่มมือคืนยังพระที่นั่งโถง โกสินธพครูพราหมณ์ก็เร่งฝีเท้าไปยังโรงพิธี มีพจน์ติดตามว่องไว

แสงกองเพลิงหน้าโรงพิธีสาดกระทบเรือนร่างของมาตะเป็นเงาระริก คณะพราหมณ์ผู้ทำพิธีหยุดสวดคาถา ครูพราหมณ์ก็พยักหน้าให้มหาบุรุษเดินเข้าไปแต่ผู้เดียว ทั้งที่ไม่มีใครบอกว่าควรทำอย่างไร พจน์ก็ปลดสร้อยทองคล้องเครื่องประดับหน้าผากอนันตวัชรมรกตขึ้นจุมพิต สีเขียวสว่างวาบกระทบผืนผ้าปะรำขาว จากนั้นจึงวางมณีมรกต ณ อกเบื้องซ้ายมาตะ ประทับริมฝีปากตนเหนือปากซีดครั้งหนึ่ง แล้วดวงตาเข้มแฝงแววเว้าวอนยามพจน์เคืองโกรธก็ขยับเผยให้เห็นจนเด็กหนุ่มแทบไม่ได้ยินเสียงฮือฮาดีอกดีใจ พลันความหนักอกทั้งมวลถูกปลดจากห้วงใจในทันที

“มาตะ”

“ภัทระ...พจน์”

น้ำเสียงทุ้มแหบพร่าดังผ่านโสตกระทบหัวใจจนสั่นระรัว
 
“นายขี้เซาจริงๆเลยนะ นอนหลับไปตั้งนาน”

เจ้ามาตะผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอ ยกยิ้มที่พจน์ปรารถนามาตลอดเผยให้เห็น

“ให้อภัยแล้ว เรายกโทษให้นาย”

“มาตะวันพันชะตา...วาจางาม” พระราชบุตรบุญธรรมทวนกลอนคราวตัวกำเนิดอีกครา ก่อนจะหลับตาสู่นิทราด้วยอ่อนเพลีย ภัทรพจน์จุมพิตบนริมฝีปากอุ่นซ้ำ แล้วกล่าวเสียงสั่นเครือว่า

“ภัทระใต้มาตะวันทุกชาติไป” ครั้งสุดท้ายแล้วมาตะ ชาตินี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกัน

เสียงฝีเท้าพระประยูรญาติจากมหาพลับพลาชัยตรงมายังปะรำพิธี คณะแพทย์หลวงจู่เข้าตรวจสัญญาณชีพสุดอัศจรรย์ใจ พจน์ไม่มีสายตาไว้มองใครอีก เอาแต่จับจ้องร่างกายที่ค่อยๆอุ่นขึ้นของมาตะ

“ภัทรพจน์ น้องท่าน”

มาลี พี่สาวของมาตะแต่งชุดขาวทั้งตัว หน้าซีดแซมรอยยิ้มกว้างอยู่เบื้องหลังพจน์

“ตามข้ามาเถิดหนา ท่านจำต้องพักผ่อน ปล่อยมาตะไว้ในความดูแลพนักงานหมอหลวงสักประเดี๋ยวเถิด”
 
ข้าราชสำนักฝ่ายในต่างกลุ้มรุมรอบแท่นที่มาตะนอนอยู่ บ้างฟูมฟาย บ้างร้องคำปีติ พจน์มองคนแปลกหน้าทั้งนั้นไม่รู้จักใครสักคนนอกจากมาลี เมื่อเห็นมาตะฟื้นคืนสมคะเนก็พลันร่างกายอ่อนระโหยปลดเปลื้องความเหน็ดเหนื่อย พราหมณ์โกสินธพก็พยักหน้าเห็นด้วย พจน์บีบมือมาตะสื่อสารถ้อยความทั้งหลายผ่านรสสัมผัส แล้วละถอยออกจากที่นั้นตามแรงดึงของนางข้าหลวงมาลี


มีต่อด้านล่าง

_______________________________

พระที่นั่งโถง : พระที่นั่งโล่งไม่มีฝา
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๘ กฤษณาทวงรัก ๑๐๐% (๐๗/๐๙/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 07-09-2016 10:40:55
[ต่อ]



มาลีนำพจน์เดินลัดเลาะผ่านกำแพงแก้วเข้าสู่ตำหนักฝากระดานไม้ หลังคามุงกระเบื้องดีบุก ลงรักปิดทองนับแต่เครื่องลำยอง  หน้าบัน บราลี แวดล้อมด้วยสีสันพรรณไม้มวลบุปผา แสงอรุณเริ่มสาดแสงขับไล่ความมืด เมื่อผลักบานประตู ปรากฏเป็นโถงห้องพร้อมตั่งสำหรับนั่งอยู่สามตัว มีฝาประจันห้องอยู่ด้านซ้ายมือ มาลีขับนางกำนัลผู้ติดตามให้เร่งตระเตรียมภูษาแลเทียบสำรับอย่างดีมาให้พจน์ เมื่อสิ้นคนแวดล้อมก็โผเข้ากอดลูบหน้าลูบหลังเจ้าหนุ่ม หยดน้ำตากลั้นไว้นับแต่เห็นเรือนกายน้องร่วมอุทรกลางท้องพระโรงท่วมลงอาบสองแก้ม ใจเข้มแข็งผิดวิสัยสตรีต้องมามีอันทลายสิ้นต่อหน้าต่อตาผู้ช่วยชีวิตมาตะกลับคืน

“ขอบน้ำใจเจ้ามาก ภัทรพจน์ หากมิได้น้องท่านไหนเลยมาตะจะฟื้นกลับมาอีกครั้ง”
 
พจน์ลูบหลังสตรีผู้นั้นปลอบโยนแล้วชวนกันนั่งลงบนตั่ง

“อย่าร้องเลยครับ พี่มาลี”

มาลียอบกายแนบพื้นกระดานกระทำก้มกราบฝ่าเท้าพจน์ทันที เด็กหนุ่มมากโฉมก็รีบฉุดให้นั่งลงเป็นปรกติ
 
“เจ้าคือผู้ที่ชาวเรารอคอยมานานแสนนานเหลือเกิน ตำนานโคลงพยากรณ์ที่เคยปลุกให้ชาวเรามีความหวังบัดนี้เป็นจริงแล้ว บุรุษผู้มีสี่พักตร์สี่เศียรสี่กรปรากฏให้คนทุกผู้ในท้องพระโรงเห็นเป็นอย่างเดียวกัน มหาบุรุษ

“ผม...” อยากจะปฏิเสธแต่ดูไร้ประโยชน์ ได้แต่ส่งยิ้มเหนื่อยอ่อนให้หญิงสาว “มารุตล่ะครับ เวฬุ โกสินทร์ กฤษณะ ปัญจะ จาโค...”

“ได้รับการพยาบาลรักษาโดยดีแล้ว อย่าพะวง แม้นบาดแผลของพระมหาอุปราชจะฉกรรจ์นักแต่มิได้สูญพระโลหิตจนถึงขั้นอันตราย จงวางใจเถิดเจ้า” มาลียกใจเข้มแข็งกลับมาครองไว้โดยดี ละวิสัยด้านอ่อนของสตรีแล้วเช็ดน้ำตาออกโดยเร็ว “ท่านต่างหากที่ควรพักผ่อนเสียก่อน”

หญิงนางกำนัลยกพานทองใส่ผ้าขาวสะอาดมาให้ ติดตามด้วยขบวนอาหารชาววังในตะลุ่มทองคำ

“ผลัดเปลื้องภูษาคล้ององค์เสียก่อนเถิดเจ้า แม้นไม่หิวก็จำต้องกินข้าวปลาเพื่อเพิ่มกำลังแรงกายสักน้อยหนึ่ง หาไม่แล้วเจ้าทรุดลงมีอันเป็นอีกคนหนึ่ง มาตรว่ามาตะฟื้นขึ้นมาเห็นคงระทมไม่ต่างกัน เหตุการณ์เสี่ยงเป็นตายนี้ล่วงผ่านโดยเจ้าเข้าแก้ไขเต็มความสามารถส่วนหนึ่งแล้ว จงคลายวิตกลงเถิด”
 
พจน์พะวงจริงดังคำพี่มาลีว่า ถึงตนจะแก้ไขมาตะจนฟื้นคืนได้ แต่ลึกๆแล้วพจน์รู้ว่า บุคคลอันตรายใหญ่หลวงยังคงลอยนวลอยู่ จอมมาร แต่หากจะฝืนดันทุรังเผชิญหน้าตอนนี้ พจน์ก็ไม่แน่ใจในพละกำลังที่ตนมี ดั่งคำห้ามของพราหมณ์โกสินธพ เช่นเดียวกับความรู้สึกภายในกายบ่งชี้ว่าตัวเขายังไม่พร้อมจริงดังว่า หักใจปล่อยกิจธุระนี้วางไว้ก่อน

“หลีกไป”

กฤษณาถลันตึงตังเข้ามาในเรือนตำหนักไม้ นางโขลนประจำประตูถูกผลักไสออก นารีสาวส่งตาดุแล้วลบกิริยาโครมคราม พนมนอบน้อมไหว้มาลีหน้าผากจรดปลายนิ้วกลาง มาลียังกระพุ่มไม่ทันรับดีกฤษณาก็ละมือลงรวดเร็ว ปั้นรอยยิ้มเสแสร้งส่งให้พจน์

“กระไรมาลีพี่ท่านจึ่งจู่ลักพาตัวภัทรพจน์มหาบุรุษมายังที่นี้มิบอกกล่าวผู้ใด” กฤษณาไต่ถาม หย่อนกายบนตั่งตรงข้ามพจน์ “ในบรรดาคนทั้งหมดผู้สมควรเพ็ดทูลถวายงานเคียงใกล้พระน้องนางเธอฯเพลานี้ เห็นควรเป็นมาลีพี่ท่านมากกว่าใครอื่น”

มาลีตวัดสายตาตำหนิเด็กสาวอ่อนวัยกว่า

“ก็แหละพระเสาวนีย์ของพระนางเธอฯอย่างไรเล่า เราจึ่งจำต้องพาภัทรพจน์มาพักยังที่อันสมควร ด้วยท้าวนางฯเธอเป็นผู้สั่งความเรามาอีกชั้น ให้นำตัวภัทระน้องเราออกห่างจากความวุ่นวายที่พุ่งเข้าหาในช่วงเวลาชุลมุนหว่างมาตะฟื้นคืนเป็นข้อหนึ่ง ส่วนข้อสองประสงค์ให้ภัทรพจน์ผ่อนกายอันเหน็ดเหนื่อยทั้งกายแลใจ ข้าจึ่งจำต้อง ลักพาตัว มาดั่งคำน้องเรากล่าวหา”

กฤษณายกมือเสมออกจรดหน้าผากค้อมคำนับยิ้มใจเย็น ตอบว่า “หากเป็นพระเสาวนีย์ข้านี้มีหรือจะกล้าขัด เหมาะควรแล้วพี่นาง แต่น้องรับพระราชกระแสเบื้องยุคลบาทจากพระราชเทวีผู้ปกครองฝ่ายในทั้งผองอีกต่อหนึ่ง ให้มาสั่งความแก่คนผู้พาภัทรพจน์มาว่า เมื่อลุกนั่งเป็นอันดีแล้วจงเร่งเข้าเฝ้าตามพระนางเจ้าฯรับสั่ง เหตุด้วยมีข้อซักถามเป็นการเฉพาะตัว”

“เจ้าว่ากระไรนะ กฤษณา” มาลีปั้นหน้าขึงไม่พึงใจ

“ในฐานะพระมารดาของผู้สืบราชสันตติวงศ์ พระนางย่อมมีสิทธิ์ล่วงรู้การณ์อาเพศ ต้นเหตุชักนำพระมหาอุปราชแลพระราชบุตรบุญธรรมมามีอันเป็นเยี่ยงนี้” หญิงสาวย้ายแววตาดูเชิงพจน์

นางข้าหลวงมาลีระงับอารมณ์โกรธให้ดับลง ข่มด้วยกิริยาเยือกเย็นแล้วว่า

“สักชั่วยามเถิดข้าจักพาเข้าเฝ้า เพลานี้จงปล่อยไว้เป็นความดูแลของเรา”

“มาลีพี่ท่านวานละทิ้งน้องแลภัทรพจน์ไว้ตามลำพังสักชั่วครู่ชั่วยามเถิด ด้วยมีกิจสำคัญหมายเจรจามิช้านาน”
 
หญิงสาวผู้ครองฐานะพี่สาวมาตะยืดตัวตรง สังเกตจากอารมณ์ผ่านสีหน้าเห็นว่าขุ่นเคืองอย่างที่สุด

“มาตะเคยกล่าวกับเราเป็นข้อความฝังใจอย่างหนึ่งจึ่งอยากให้กฤษณาน้องเราร่วมรับรู้” มาลีวาดรอยยิ้มหลังข่มอารมณ์ร้อนลง “เพลาวันหนึ่งเมื่อพี่สาวแลน้องชายร่วมอุทรมิได้พบหน้าค่าตากันนานครั้ง จวบกระทั่งมาตะผู้ครองฐานะพระราชบุตรบุญธรรมแต่กระทำใฝ่รู้มุ่งอาสาสู่การศึกษาตำแหน่งนายกององครักษ์ตามความตั้งใจเกิดปะเข้ากับเราระหว่างทางฉนวนรอยต่อพระราชฐานชั้นนอกแลชั้นใน มาตะน้องเราเห็นเรานำขบวนเชิญพานเทียบกรวยดอกไม้ก็เข้ามาคำนับมิได้คำนึงถึงยศศักดิ์แท้จริงประจำตัว แต่สำนึกในฐานะพี่แลน้องปฏิบัติต่อกัน เราจึ่งถามว่ามีธุระใด ฤา จึ่งหน้าชื่นตาบานฉะนี้มิเคยพบ มาตะก็จูงมือเราออกห่างจากคนทั้งปวงแล้วสนทนาต่อกันตามลำพังว่า มาลีพี่ท่าน คำทักว่ามาตะหน้าชื่นตาบานผิดวิสัยนั้นจริงแล้ว เพราะหัวอกบัดนี้เต้นระทึกมิอาจระงับให้ผุดขึ้นหน้าได้ยากนักจักขอเผื่อแผ่ความชื่นบานนั้นสู่พี่ท่านเพื่อแบ่งเบามิให้อกตัวต้องดิ้นดับไปเสียก่อน เราฉงนนักจึ่งซักไซ้ไล่เลียงเอาความ มาตะก็เผยความจริงทั้งนั้นโดยตลอดนับแต่การตามเสด็จมหาอุปราชาพระเชษฐาธิราชเข้าสักการบูชาอัปสรเทพ ณ เทวาลัยหลวงตลอดจนรู้สึกไม่เป็นสุขประหนึ่งมีบางอย่างคับข้องในใจก็หวนนึกถึงหอเก็บตำราหลวงแล้วทะลวงเข้าดับระงับร้อนในกาย”

มาลีทอดสายตาอ่อนโยนมองมหาบุรุษ พลางกล่าวสืบไปว่า

“ภัทรพจน์น้องท่านคงล่วงรู้ว่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นเป็นประการใด แต่เราจักขอพรรณนาถึงความสุขแลยินดีที่ผุดขึ้นบนวงหน้ามาตะให้ท่านนึกตามได้ ก็ระหว่างเล่าการณ์ทั้งนั้น น้องเราผู้ได้ชื่อว่าเป็นชายพูดน้อย ยิ้มยาก ฝีมือหนักคือดาบแลทวน จักหามีครั้งใดมามีอาการหลุดกิริยาลอบยิ้มพลาง ตาแวววามพลาง ประหนึ่งพบเจออัญมณีมีค่านั้นไม่เคยพบ คราวใดบรรยายโฉมภัทรพจน์น้องท่านก็ยิ้มกว้างอย่างที่สุด หรือคราวพร่ำก่อเกิดกองอัคคีลุกไหม้โต๊ะจนถูกวารีกำหราบโดยฝีมือภัทรพจน์ท่านก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พอออกปากขอผ้าคล้องไหล่ประจำกาย เจ้าก็มอบให้ไม่อิดเอื้อนฉะนี้ มาตะมีหรือจะหุบยิ้มทั้งหน้าแลใจได้ เรามิเคยเห็นกิริยาทั้งนั้นก็ให้ประหลาด ใคร่คำนึงแล้วหรือจักเป็นเพราะบุพเพสันนิวาสจึ่งชักนำให้ท่านแลน้องเรามาพบกัน จนมาตะเอาแต่ชื่นชมสมประสงค์กระนี้ เมื่อพี่มาแลเห็นน้องปริ่มสุขไม่เคยปรากฏก็ยินดียิ่งกว่าตัวสุขเสียอีก กฤษณาเอย การอันเราเล่าให้ฟังทั้งนี้มิใช่เป็นการจี้ให้ชอกช้ำระกำซ้ำเติม แต่หมายจักแจ้งความนัยอันมาตะน้องเราสำแดงต่อการพบภัทรพจน์แต่เพียงครั้งแรกเท่านั้นดอก ผิว์กฤษณาน้องเราพึงสังวรได้ว่า คนเรามิอาจเลือกในสิ่งสมปองได้เสมอแล้วจักเป็นคุณต่อมาตะสูงยิ่ง คนผู้คู่กันแล้วแม้นห่างไกลกันเพียงไหน ความรักก็จักชักนำเพื่อพานพบในที่สุด ความตั้งมั่นในใจกฤษณานั้นเรามิอาจล่วงรู้ แต่ภัทรพจน์คือผู้ที่มาตะห่วงแสนห่วงฉะนี้ จักคิดทำการใด ควรตรองให้จงหนัก การเห็นคนที่เรารักรักใครก็สมควรยิ่งที่จะรักคนผู้นั้นเสมอด้วยมิใช่หรือ เมื่อชาติภพนี้มิอาจครองคู่กันแล้วจะฝืนไปไย ปลดใจผูกเวรเคียดแค้นวางลงเสีย แลร่วมยินดีกับรักของคนที่เรารักมิดีกว่าหรือน้องเรา”

ฝ่ายกฤษณาเมื่อแรกยินลำดับเนื้อความบรรยายอาการมาตะคราวเจอพจน์หนแรกก็พลันลุกโพลงด้วยโทสะพยาบาท โผเผเกินจะนั่งทนฟังจนจบได้ ภาพมาตะสนทนาหยอกล้อทอดรอยยิ้มบาดตาเมื่อคราสนธยาคราวนั้นแทรกซึมในห้วงความคิดฝังจิตฝังใจ มาตะคือคนผู้ตนหมายฝากรักฝากตัวมาแต่แรกเห็นมิใช่เพราะหลังได้ยกยศเป็นพระอนุชาแล้วจึ่งนึกชอบ แต่ตนหมายคนผู้นี้มาตั้งแต่ยังวัยรุ่นต่ำฐานะเสียอีก คนทั้งปวงต่างรู้ดีว่าตนเหมาะสมกับมาตะยิ่งกว่าใครอื่น แม้กระทั่งพระราชเทวี พระมารดาบุญธรรมก็ทรงเห็นชอบตาม มิหนำยังเผยกิริยาชี้นำกฤษณาเข้าหมั้นหมายกับมาตะสมฐานะอีก แต่ครั้นภัทรพจน์มหาบุรุษผุดกาย วิมานฝันเรืองรองจึงล่มสลายต่อหน้าต่อตา

“มาลีพี่ท่าน” กฤษณาระงับเสียงเป็นปรกติ แต่ดวงตาแดง ปากสั่น “การทั้งนี้ก่อขึ้นเพราะความผิดกฤษณา ฤา จึ่งเป็นเหตุให้มาลีพี่ท่านกล่าวคำดั่งมีดปักอกน้อง คำร้ายหนึ่งกฤษณามิเคยร้องว่าให้เจ็บทรวง ยามเราสองปะเจอกันครั้งใดก็มีแต่ถ้อยทีมธุรสวาจาสนทนาต่อกันสืบมา กฤษณานับท่านเสมอพี่ในอุทร แลท่านก็นับกฤษณาประหนึ่งน้องร่วมไส้เป็นที่โจษขาน ยามใดทุกข์กฤษณาก็ร่วมทุกข์ด้วย คราวใดสุขกฤษณาก็พลอยยินดี แต่เพียง...” ตวัดมองพจน์ “ทุกสิ่งอย่างกลับกลายจากหน้าเป็นหลังมือเสียสิ้น ถ้ากฤษณามิฟื้นความแล้วไหนเลยจะระลึกได้ว่า ประพฤติมาลีพี่ท่านกาลก่อนกับปัจจุบันต่างกันลิบลับ”

“กฤษณา!” มาลีตวาดเสียงดัง แต่เด็กสาวอ่อนวัยกว่ามิได้เกรงคำอย่างเมื่อก่อนเสียแล้ว กลับลบรอยยิ้มจอมปลอมถลึงตาจ้องกลับ

“ประพฤติเรามิได้เปลี่ยนดั่งเจ้าบริภาษให้อับอายฉะนี้ ทว่ากิริยาเจ้าต่างหากเล่าที่แปรเปลี่ยน ก่อนนี้คำย้อนหนึ่งน้อยจักเคยปรากฏคราวเราแนะสั่งสอนก็หาไม่ นับวันยิ่งโต้กลับฉอดๆข้ามหัวไม่รู้จักวัยวุฒิ ใครหรือที่เปลี่ยนผัน”

“พอเถอะครับ” พจน์ขัดคำ เมื่อฟังสนทนาทุ่มเถียงจนเกินจะนิ่งดูดาย “ผมเองก็มีเรื่องจะคุยกับกฤษณาเหมือนกัน พี่มาลีไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”

ในชั้นแรกมาลีดั่งหนึ่งคนถูกจุดไฟใต้ฝ่าเท้า แผดเผาทั้งอินทรีย์ด้วยคำพูดดูหมิ่น ซ้ำกล่าวให้ร้ายว่าตัวเป็นฝ่ายผิดมาแปรเปลี่ยนกิริยาไม่เหมาะสมก็ฮึดหมายจะสำแดงให้หญิงอ่อนวัยได้เห็นดี ครั้นได้ยินคำพูดน้องสะใภ้กล่าวเป็นวาจาเย็นดุจน้ำราดดับกองฟืนใต้เท้าก็คืนสติ พิจารณาดวงตาสีน้ำตาลแน่วแน่ก็คลายอารมณ์ร้อนแลว่า

“หากภัทระน้องท่านประสงค์จักเจรจาความด้วยดั่งว่า เราก็มิขัด แต่ขอเตือนให้ระมัดระวังอย่าเจรจาให้ยาวนาน ท่านควรพักผ่อนเสริมเรี่ยวแรงจักดีกว่า เราจะออกไปคอยอยู่ด้านนอก แล้วเสร็จจงเรียกเถิดจักเข้ามาทันที”

กล่าวฝากความเสร็จก็หุนหันเยื้องย่างไปเช่นเดียวกับนางกำนัลรับใช้ หลงเหลือไว้ตัวต่อตัวตามลำพัง

“กฤษณา”

“ภัทรพจน์”

หนึ่งหนุ่มหนึ่งสาวผุดคำเรียกโดยพร้อมเพรียง พจน์จึงพยักหน้าให้อีกฝ่ายกล่าวก่อน กฤษณาระงับอารมณ์ภายใน ผ่อนลมหายใจเข้าออกลำดับเป็นคำหนึ่งคำสองจนทุเลาก็เกริ่นว่า

“ภัทรพจน์ท่าน มิใช่สิ มหาบุรุษ ท่านเคยรู้จักความรักมาสักกี่มากน้อย ฤา กรุณาแจ้งลำดับภูมิรู้นั้นแก่กฤษณาเป็นคุณด้วยเถิด” พจน์ขมวดคิ้วไม่นึกว่าเด็กสาวตรงหน้าจะถามคำถามผิดต่างจากตนคะเน

“ผมรู้จักความรักตั้งแต่จำความได้ คือ ความรักจากพ่อ จากแม่ จากปู่ จากอา ต่อมาก็จากน้องสาว รวมถึงเพื่อนๆ” จับจ้องใบหน้าเจิดกระจ่างแต่แฝงแววชอกช้ำระกำทรวงผ่านแววตาใส “แต่หากเป็นรักแท้ที่ก่อให้ใจผมสั่นวะวาบจนวูบไหวในวัยหนุ่มสาวไม่เคยปะ...จนกระทั่งเจอมาตะ”

กฤษณาบีบหลังมือตนเองระงับอาการสั่น ปากสีซีดเผยอขึ้น เช่นเดียวกับดวงตาเอ่อคลอหยดน้ำ

“คืนให้ข้าเถิด ความรักเที่ยงแท้อันท่านประจักษ์นั้น โปรดคืนให้กฤษณา”

ดวงสีน้ำตาลสวยสมทอดมองนัยน์ตาคมของเด็กสาววัยเดียวกัน แล้วว่า

“สิ่งที่เธอพูดว่า เมื่อก่อนนี้มาตะกล้าหาญเข้มแข็งแม้แต่ใครก็ไม่อาจสู้รบเสมอฝีมือได้นั้น จริงหรือเปล่า”

“คนทั้งปวงทั่วแผ่นดินสุวรรณนคราล้วนประจักษ์ด้วยตาเป็นสักขีพยาน ซ้ำกิตติศัพท์ฝีมือรณรงค์เทียบชั้นขุนทหารแม่ทัพนายกองเป็นที่เลื่องลือทั่วสารทิศ ไหนเลยกฤษณาจักกล้านำคำปดมากล่าวอ้างในห้วงเพลาหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่บัดนี้สรรพวิชาอาคมประจำกายมาตะผู้ใดเห็นก็รู้ว่าลดทอนลงมากกว่าแต่ก่อน พระเวทมนตราทมิฬไหนเลยจักทำอันตรายมาตะได้ ก็ในเมื่อคนผู้นั้นฝึกคาถาร่ำเรียนมาแต่สำนักโกสินธพมหาราชครูจนสิ้นภูมิความรู้ คาถาปัดป้องย่อมท่องจนขึ้นใจ แลมีคำหนึ่งซึ่งท่านยังมิทราบ คือคราวพระเจ้าอยู่หัวตรัสถามมหาพราหมณ์ในข้อนี้ ครูท่านกล่าวมิปิดบังว่า มาตะมิได้แข็งแกร่งเช่นเก่าก่อน ก็เพราะ...”

พจน์พยักหน้าให้เด็กสาวพูดต่อ

“มาตะได้เป็นเจ้าของท่านทั้งกายแลใจแล้ว ฤา มิใช่” คำกล่าวกระท่อนกระแท่นผสมหยดน้ำตาฉุดคร่าหัวใจกฤษณาให้แหลกลาญสุดทานทน “พลังความรักส่งให้ท่านเข้มแข็งขึ้น แต่มาตะจักอ่อนแอลงตามลำดับ”

“เธอให้สัญญากับผมคำหนึ่งจะทำได้หรือเปล่า” เจ้าภัทรพจน์พูดตัดความ “ปลดปล่อยความเคียดแค้นชิงชังแต่อดีตกาลเสีย ช่วยปลดปล่อยนารีพิฆาตสู่วัฏสงสารเพื่อชดใช้ผลกรรม จะทำได้หรือเปล่า


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3470608#msg3470608)

เพจนิยาย (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)

__________________________________


เครื่องลำยอง : ตัวไม้เครื่องประดับปั้นลม มีช่อฟ้า หางหงส์ ใบระกา
บราลี : ยอดเล็กๆที่เสียบรายตามหลักอกไก่หลังคา หรือหลังบันแถลงบนหลังคา มีสัณฐานดุจยอดพระทราย
ฝาประจันห้อง : ฝากั้นห้อง

___________________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

โอ๊ย ขนลุก ฮือออ พจน์ต้องช่วยมาตะให้ได้นะ เราเชื่อในพลังความรักของพวกนาย  :sad11:
ตอนล่าสุดนี้คุณคงรู้แล้วนะครับว่า พลังความรักจะช่วยมาตะได้หรือเปล่า รอติดตามตอนต่อไปนะครับ

ลึกล้ำ
ถือว่าเป็นคำชมแล้วกันนะครับ อิอิ

เราถึงขั้นต้องลงทะเบียนสมัครสมาชิดบอร์ดเพื่อมาเม้น ก่อนหน้านี้ก็อาศัยอ่านทั่วไป ต้องบอกว่า ข้ามพิภพ เป็นนิยายวายที่แตกต่างจากประสบการณ์ที่เคยอ่านอย่างมาก คือ แกนหลัก เป็นความรักของ ช-ช แต่ปมและเรื่องราวผสมแนวภัยธรรมชาติ แฟนตาซี พีเรียด ทั้งมีโคลงกลอนแทรกไว้ เราไม่เคยเห็นมาก่อน มันทั้งตื่นเต้น ต้องขบคิด เดาเนื้อเรื่อง ปริศนา ชวนให้น่าติดตาม ส่วนภาคบรรยายที่เหมือนมีคำคล้องจองอย่างกลอนนั้น เราถือว่าเป็นลายเซ็นต์เอกลักษณ์ของนักเขียนได้เลย เยี่ยมมาก บอกตรงๆต้องขอบใจที่กลั่นกรองความสามารถถักทอเป็นเรื่องราวน่าอ่านแบบนี้ ที่ถ้าไม่ตั้งใจดีๆก็จะกลายเป็นอ่านยากทันทีเพราะสำนวนเขียนแบบงานเขียนนิยายเก่าๆ ฉะนั้นเราขอเป็นกำลังใจให้คนแต่งอีกหนึ่งแรงใจนะคะ สู้ๆ รอติดตามอยู่
ดีใจครับที่งานเขียนของผมสามารถดึง นักอ่านเงา อย่างคุณออกมาสู่ด้านสว่างได้ ฮ่าๆ ผมเชื่อว่ายังมีนักอ่านเงาคนอื่นๆที่ซุ่มอ่านอยู่(ผมเห็นนะ ว่าจำนวนผู้อ่านของแต่ละตอนก็มีอยู่จำนวนหนึ่งเลยทีเดียว อิอิ ออกมาเม้นกันเยอะๆเถอะครับ อยากรับรู้ความคิดเห็นของพวกคุณ) คือ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำติชม ถ้านิยายเรื่องนี้ถูกใจคุณก็เป็นกำลังใจอย่างสูงสำหรับผู้เขียน ส่วนการบรรยายที่มักจะแทรกคำคล้องจองในบางช่วงก็อาจจะมีคนถูกใจ และไม่ถูกใจก็เคยมีทักท้วงมาแล้ว แต่ยังไงก็จะไม่ให้มีพร่ำเพรื่อจนเกินพอดี เพราะอย่างไรนี่คือนิยายร้อยแก้วเป็นหลัก ที่แทรกด้วยร้อยกรองเสริมเข้ามาตามเจตนาเดิมของผม ขอบคุณสำหรับกำลังใจดีๆครับ
อยากอ่านอีกแล้วอ่ะคับ   Cooling
แฟนนิยายตัวยงแบบนี้ ผมไม่ให้รอนานหรอกครับ จะลงให้บ่อยเท่าที่เขียนได้จนพอใจแล้ว ซึ่งแต่ละตอนก็ไม่ใช่ง่ายๆกว่าจะเขียนจบ ขอบคุณครับ
น่าสงสาร วายุ
ครับ  ถ้าใครไม่สงสารวายุนี่ ถือว่าเป็นคนใจแข็งอยู่เหมือนกัน ความเสียสละของมารุต/วายุ เป็นการกระทำอย่างหนึ่งที่เพื่อนจะแสดงต่อเพื่อนที่หาได้ยากในชีวิตจริง แม้นเป็นตัวละครที่น่าสงสารและอาจจะมีบทบาทไม่มาก แต่ก็หวังว่าจะทำให้ผู้อ่านรับรู้มิตรภาพระหว่างเพื่อนที่เมื่อถึงคราวลำบากก็ไม่ทิ้งขว้างทอดทิ้ง รอติดตามตอนต่อไปน้า
:mew4: :mew4: :mew4: :mew4:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ขอบคุณครับ ตอนใหม่มาแล้วน้า อ่านต่อกันเลย พวกเรา

หวังว่าการเสี่ยงครั้งนี้จะมีคุณมากกว่าโทษนะ  แถมตอนที่แล้วใช้พลังไปแล้วหนึ่ง  เหลืออีกสอง  คงไม่มีเหตุให้ต้องใช้เกินจำเป็นนะ  ตามต่อไปครับผม
ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆหรอกครับ ยิ่งเป็นสิ่งที่ยากมากเท่าใดก็ต้องแลกด้วยสิ่งที่ยากเสมอกัน เช่นเดียวกับการเสียสละของมารุต/วายุ แลกกับอนันตวัชรมรกต จะคิดว่าเหตุการณ์นี้เป็นคุณหรือโทษ ผมไม่อาจพูดได้เต็มปาก แต่อย่างน้อยความเสี่ยงก็เป็นสิ่งที่น่าลองทำไม่ใช่หรือครับ เช่นเดียวกับทุกอย่าง การเสี่ยง มีค่าอยู่แค่ สำเร็จหรือไม่สำเร็จ แต่การไม่เสี่ยงไม่มีค่าใดๆเลย ฮ่าๆ เอาเป็นว่า พจน์เหลืออีกเพียงสองครั้งเท่านั้นที่จะผนึกกำลังกับภูเตศวรฯ เขาจะใช้มันอีกเมื่อไหร่ รอติดตามนะครับ ใกล้ดำเนินมาถึงช่วงเวลาตอนจบแล้วด้วย (แอบกระซิบๆ)
เฮ้อ เหนื่อยมากเลย สงสารพจน์เรื่องราววุ่นวายขึ้นมาก หวังว่าสิ่งต่างๆที่ทำลงไปจะได้รับผลดีๆกลับมานะ
ลองคิดว่าถ้าเป็นตัวเราต้องเจอทุกอย่างแบบเดียวกับที่พจน์เจอ ผมก็คงรู้สึกเหนื่อยอย่างที่คุณว่าจริงๆนั่นแหละ แต่พจน์ของเราไม่มีทางเลือกมากนัก สิ่งต่างๆที่ตัดสินใจต้องทำในนิยายถ้าล้มเหลวก็ไม่มีทางกลับไปแก้ไขได้ แม้นจะมีอำนาจมากมายแค่ไหนในตัวก็ตาม ดังนั้นการตัดสินใจทำอะไรลงไป คือ ทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว เช่นเดียวกับชีวิตของคนปกติแบบผู้อ่านและผู้แต่งอย่างเดียวกันครับ งงไหม ฮ่าๆ

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๘ กฤษณาทวงรัก ๑๐๐% (๐๗/๐๙/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 07-09-2016 12:17:33
คราบผม  จะทำเป็นหนังสือไหมเอ่ย  ต้องการนะ  อยากเก็บไว้นะ เพราะเป็นแนวที่ชอบและหาอ่านยากแล้วทุกวันนี้  ส่วนเนื้อเรื่อง ตอนนี้ยังไม่กล้าไว้ใจใครเลย มันกลัวไปหมด  กลัวเจอเซอร์ไพส์อะดิ  ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็ยังรักฝังใจมาตะไม่เปลี่ยนจนนารีพิฆาตยังคงตนอยู่  ยิ่งใกล้จะจบยิ่วกลัวอ่ะ  กลัวไม่หวัง  รอต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๘ กฤษณาทวงรัก ๑๐๐% (๐๗/๐๙/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 07-09-2016 23:00:22
สงสารพจน์มาก คืออยากให้สมหวังในความรักมากเลยนะ แต่ดูมีอุปสรรคมาขวางไว้ตลอดเลย พอกำลังจะสุขก็มีเรื่องวุ่นๆเข้ามาตลอด  กฤษณาก็นะ...เข้าใจว่าเพราะรักเลยทำได้ทุกอย่าง หวังว่าในซักวันเธอจะปล่อยวางทุกอย่างได้ซะที
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๘ กฤษณาทวงรัก ๑๐๐% (๐๗/๐๙/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: pnn ที่ 10-09-2016 06:18:40
กฤษณานี่ยังไง มาตีหน้าเศร้าขอความรักจากคนอื่น ไม่ละอายบ้างเหรอ นายอย่าไปยอมนะพจน์ กลัวใจนายจริงๆ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๘ กฤษณาทวงรัก ๑๐๐% (๐๗/๐๙/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: Delta ที่ 12-09-2016 06:32:32
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

รออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๙ พระอัครราชเทวี ๑๐๐% (๑๔/๐๙/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 14-09-2016 09:07:26
บทที่ ๓๙



พระอัครราชเทวี



แสงบูรพาทิศเรืองรองอำไพ ฉายเลื่อมลับสลับไหวผ่านพระบัญชร ยามเจ้าภัทระผ่อนฝีเท้าหยุดยั้งอยู่หน้าพระทวารลงลักปิดสุวรรณลายเทพพนม ข้าหลวงนางกำนัลฝ่ายในสวมอาภรณ์ขาวก้มกราบหน้าผากชิดพื้นกระดานแน่นิ่ง นางโขลนโครงร่างอวบใหญ่สองคนคุกเข่าพนมมือแล้วผลักบานประตูเปิด ภายในเป็นพระตำหนักเรือนไม้ทาทับด้วยสีน้ำตาลแดง ลงรักปิดเปลวลายพุ่มข้าวบิณฑ์รอบโคนเสา แซมเถาบัวคว่ำบัวหงาย ผนังเป็นลายกระจังสอดแทรกประจำยามดูงดงามอ่อนช้อย สีทองมลังเมลืองดูเปล่งปลั่งเฉกเดียวกับพระสุพรรณราช พานพระขันหมาก พัดโบก ตั่งพระที่นั่ง รวมถึงอัจกลับเหนือขื่อเพดาน ล้วนประดับประดาไว้ด้วยทองคำทั้งสิ้นทั้งปวง
 
กฤษณาคลานเข่าติดหน้าตามหลังมาลีสู่ทิศทางตั่งพระที่นั่งทอง พจน์ทำตามด้วยจิตใจว่างเปล่าคิดถึงมาตะอย่างที่สุดแต่จำต้องอดทน บนตั่งทองนั้นมีอิสตรีล่วงมัชฌิมวัยผู้หนึ่งนั่งประทับหน้านิ่งขรึมดูยำเกรง ครั้นมาลี กฤษณาพนมมือก้มกราบเป็นหลักนำ พจน์จึงทำตาม นางรับใช้แวดล้อมกุลสตรีผู้สูงศักดิ์นั้นครองสายตาทอดลงต่ำ พอพจน์เงยหน้าขึ้น พระเนตรแดงช้ำสีเข้มของสตรีผู้นั้นก็จับจ้องไว้อยู่ก่อนล่วงแล้ว พระพักตร์ยังคงงดงามเสมือนกาลเวลาแลพระชนมายุมิได้พรากสิริโฉม พระขนงโค้งวาดด้วยผงถ่าน ประดับอัญมณีสีชาดกรอบทองกลางพระนลาฏ พระพักตร์ซีดเซียวเฉกเดียวริมพระโอษฐ์ มวยผมทรงสูงรัดฉลองเกล้า พรั่งพร้อมด้วยพัตราภรณ์ทองคำอร่าม ทรงภูษาคาดอกขาวทอเป็นลายดอกพุดตานด้ายเงิน ลวดลายเดียวกับผ้านุ่ง สวมกำไลทองสลับมาลัยรอบข้อพระกร
 
“นี่น่ะ ฤา มหาบุรุษในตำนานโคลงพยากรณ์” พระราชเทวีตรัสถามมาลี แต่พระเนตรทัศนาพจน์

“เพคะ” มาลีพนมมือกราบทูล กฤษณาซ้อนมืออยู่ในท่าหมอบก้ม พระราชเทวีขยับพระบาทจากท่าพับเพียบจรดสู่พื้นกระดาน แล้วจึ่งเสด็จพระดำเนินมารั้งตัวพจน์ให้ลุกนั่งเป็นปรกติ พระหัตถ์นั้นเย็นดุจน้ำแข็ง แต่แววโศกแฝงชัดเบื้องพระพักตร์ยามพินิจพิจารณาในระยะใกล้
 
“ลุกนั่งตามแต่ท่านเคยปฏิบัติเถิด” ตรัสพลางก็กระเถิบห่าง “กิริยาธรรมเนียมใดเป็นข้อซึ่งท่านมิได้เคยกระทำในวาระปกติวิถีแล้วไซร้ จงอย่าได้ฝืนปฏิบัติให้ขัดข้องหมองใจเป็นการยาก เรานี้หรือเป็นเพียงสตรีตามเพศกำเนิด มิได้ผุดเกิดจากฟากฟ้าดั่งคนสมมติขึ้น ฐานันดรใดๆล้วนปลุกปั้นเพื่อยกคนให้เหนือคนดอกจึ่งบังเกิดเป็นชนชั้นพระมหากษัตริย์ ยามมนุษย์อยู่รวมกันเป็นจำนวนมากยากแก่การดูแลปกครองจึ่งคิดระบอบวรรณะนำมาใช้ เพื่อควบคุมดูแลทุกข์สุขของเพื่อนพ้องน้องพี่ ก็แหละเรานี้เป็นคน คือ มีหนึ่งเศียร สองมือ แต่หัวอกเดียวเสมอปุถุชนสามัญ หาได้มีมากกว่านั้นไม่ มิควรให้ท่านซึ่งมีกายแท้จริงคือ สี่เศียรสี่พักตร์สี่กร ต้องก้มกราบเป็นอัปมงคลลดอายุตัว จึ่งวอนท่านละกิริยาแลลุกนั่งให้สบายเถิด”

พจน์ไม่ทราบเจตนาแท้จริงของพระราชเทวีก็นิ่งคิดตามอยู่

“ในเมื่อมนุษย์ทุกคนล้วนเหมือนกันโดยสิ้นดั่งนี้แล้ว ตามวิถีปุถุชนผู้ยังมิพ้นกิเลส วนว่ายเวียนเกิดเพื่อชดใช้กรรมซึ่งได้เคยก่อไว้เมื่อชาติที่แล้วด้วยประการดั่งว่า คือ ชาย ฤา หญิง ใดๆในโลกล้วนมีเครือญาติผูกพันกันมา ก็เรานี้เป็นสตรีเหยียบชั้นวัยครึ่งคนดั่งนี้ แม้นกำเนิดในวงศ์ตระกูลสูงยิ่งกว่าผู้ใดจนยกฐานันดรเทียบชั้นแม่เมือง ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นแม่คน มิเฉพาะแต่ในนาม แต่ในทางประพฤติก็ล้วนสำแดงต่อคนทุกผู้ให้เห็นแจ้ง คือให้กำเนิดราชบุตรเป็นบ่วงขึ้นมาตามคำเรียกของลัทธิพราหมณ์ผู้สิ้นกิเลส แต่เรานี้ยังมิอาจเทียบชั้นพรหมผู้ละกิเลสได้ จึ่งเห็นว่าบุตรชายอันตัวอุ้มชูนั้นประหนึ่งแก้ววิเศษล้ำค่ายิ่งกว่าเป็นห่วงดึงรั้ง”

พระราชเทวีเอื้อมพระกรหยิบของสองสิ่ง ประกอบด้วยพู่ห้อยทวนขนจามรีสีขาวเปรอะเปื้อนรอยเลือดหนึ่ง หอกซัดด้ามเล็กที่พระอุปราชสุริยะประทานให้พจน์อีกหนึ่งขึ้นมาถือในอ้อมหัตถ์ แล้วพิจารณาราวกับสิ่งของทั้งนั้นคือราชบุตรแห่งตัว

“พู่ห้อยทวนนี้ ท่านรู้ ฤา ไม่ ว่าเป็นสิ่งของจากผู้ใดกระทำขึ้น”

พจน์ได้แต่ส่ายหน้า ครั้นเห็นสายพระเนตรยังคงรอคำตอบอยู่ก็คาดเดาตามความคิดตน “พระอุปราช”

“หาใช่ไม่” สตรีผู้ครองฐานะแม่เมืองปฏิเสธแผ่วเบา “เป็นเราผู้ได้ชื่อว่ามารดา ถักทอประกอบเป็นอาภรณ์ประดับศาสตราให้งามสง่า วิสัยหัวอกแม่ ยามเห็นบุตรตัวเก่งฉกาจในทางอาวุธใดก็พรั่งพร้อมเสมอใจเชี่ยวชาญด้วยการอาวุธนั้น แลอยากร่วมมีส่วนในความสำเร็จด้วย จึ่งประดิษฐ์พู่ห้อยขนหางจามรีขึ้นประดับไว้ เฉกเดียวกับมารดาคอยเฝ้าระวังภัยบุตรฉันใดก็ฉันนั้น”

พระนางทรงยิ้มแย้มให้กับพู่ห้อยเปื้อนโลหิตแล้วยกหอกซัดขึ้นพินิจซ้ำ

“ยินว่าอาทิตยาธรบุตรเรามอบหอกซัดพระราชทานมาแต่พระเจ้าอยู่หัวให้แก่ท่านยังจักถูกต้องหรือหาไม่”

พจน์ก็รับคำว่าจริง พระราชเทวีพระราชทานหอกซัดซึ่งถูกพลัดหล่นระหว่างการสู้รบคืนกลับมือพจน์

“มินึกว่า พระราชบุตรจักปลดของประจำตัวแต่เล็กแต่น้อยมอบให้แก่ท่านไว้เป็นสิ่งระวังภัย ด้วยลักษณะนิสัยลูกคนนี้เป็นคนหวงของ แลรักของที่ตัวได้รับมาแต่จำความได้ ครั้นยินว่าของรักพระราชทานมามีอันนำมอบให้ท่านก็หลากใจเป็นล้นพ้น จึ่งคะเนตามประสาวิสัยสตรีว่า การอันชายมอบสิ่งที่ตัวแสนรักแสนห่วงเช่นนั้น หากมิพิสมัยฝักใฝ่ในรักต่อคนผู้นั้นแล้วก็มิเห็นเป็นอื่นได้อีก เช่นนั้นวานมหาบุรุษท่านตอบมาสักคำหนึ่งเถิดว่า การอันสุริยะอุปราชบุตรเราปลดหอกซัดประจำตัวมอบให้ท่านนั้นยังจะต้องกับเราคะเน ฤา มิใช่”

ท่ามกลางเหล่าสตรีในห้องนั้น ทั้งนางในผู้คอยรับใช้ แม้กระทั่งมาลี กฤษณา ต่างเงยหน้าขึ้นราวกับคำถามเป็นเสี้ยนไม้เสียดเนื้อตน มาลีสะดุ้งใจสีหน้าเป็นกังวล กระพุ่มมือหมายจักทูลสนองตอบก็ถูกพระราชเทวียกมือให้สงบ

“เราเจรจาด้วยมหาบุรุษ แลประสงค์ให้คนผู้เราสนทนาด้วยไขคำตอบแต่เพียงผู้เดียว มาลีเจ้าอย่าเพ่อร้อนรนไม่สบาย คำเรามิใช่หอกดาบคิดจักเอาเลือดเนื้อคู่เจรจาตัว เพียงแต่อยากได้ยินความจริงของคนผู้บุตรเรามาดหมายมอบอาวุธพระราชทานให้ก็เท่านั้น”

“ผมไม่รู้ว่าอุปราชคิดยังไงถึงมอบอาวุธเล่มนี้ให้ แต่ผมสามารถให้คำตอบท่านได้ว่า อุปราชสุริยะไม่ใช่คนหลงฐานะยึดติดเบ่งอำนาจ แต่ทรงรักของที่ตัวรักเสมอต้นเสมอปลายตามคำที่ท่านกล่าวมาทั้งสิ้น แม้กระทั่งยอมสละอาวุธนี้เพื่อให้คนที่ไม่เคยรู้จักเอาไว้ป้องกันตัว หรือ...ยอมรับคมอาวุธเพื่อไม่ให้น้องชายที่ตนรักต้องมีอันเจ็บอันตราย คือ มาตะให้พ้นภัย ผมรู้แค่ว่าพระอุปราชยังคงอุปนิสัยเดิมไม่แปรเปลี่ยน ไม่ได้มีเจตนาละทิ้งของพระราชทานหรือทำสิ่งซึ่งท่านมอบให้ต้องแปดเปื้อน”

เพียงสิ้นคำประโยคนั้น หยดพระอัสสุชลหนึ่งน้อยไหลลงจากดวงพระเนตรของพระราชเทวีทันที พระนางจับจ้องภัทรพจน์แน่วแน่แล้วจึ่งหันพระพักตร์หลบรอยน้ำตามิให้ผู้ใดเห็น

“กระไรมหาบุรุษท่านจึ่งเฉไฉไถลไม่ตอบในคำถามเรา เพียงคำว่า ใช่ ฤา มิใช่ เราเห็นว่ามิได้ยากเย็นจักเอื้อนเอ่ย กรุณาตอบเถิดว่า อุปราชบุตรเราฝักใฝ่รักในตัวท่านใช่ ฤา หาไม่”

เจ้าภัทระก็นิ่งใจสงบไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ แล้วทรงตรัสดังเกินพอได้ยินว่า

“ฤา ที่ถูกที่ควร จักควรถามว่า ทั้งพระอุปราชสุริยะแลราชบุตรบุญธรรมแห่งเรา คือ มาตะ ต่างฝักใฝ่ราคะผูกสมัครรักใคร่ในตัวเจ้าด้วยทั้งสองคนหรือ จึงจักยอมตอบคำเรา”

นางข้าหลวงผู้คอยถวายงานรับใช้ต่างสะดุ้งในคำไม่คาดคิด ก็ก้มหน้าเนื้อตัวสั่น มาลีพนมมือหมายกราบทูล พระราชเทวีก็ตวาดให้เงียบโดยพลัน

“หม่อมชั้นจำต้องฝืนพระเสาวนีย์ ในเพลาเยี่ยงนี้จักกวดขันคาดคั้นเอาเนื้อความตื้นลึกมิสมควรก่อน ก็บัดนี้ทั้งพระอุปราชแลราชบุตรบุญธรรมล้วนพ้นวิบากกรรมล่วงแล้ว การณ์ใดผิดพลาดล้วนเกิดผ่านโดยสิ้นมิอาจย้อนห้วงกาลกลับแก้ไขได้ ฉะนั้นหม่อมชั้นจึ่งมิเห็นจำต้องรื้อฟื้นข้อก่อให้พระราชหฤทัยเจ็บซ้ำขึ้นมาอีกจึ่งบังอาจขัดคำสนอง มิได้กระทำให้ขัดหมองพระอารมณ์”

กำเริบเสิบสานนัก มาลี เจ้าเป็นถึงผู้พี่ของมาตะ หลงลืมความผูกพันต่อกันฉันน้องพี่แล้วกระนั้น ฤา จึ่งกล่าวคำประหนึ่งหญิงใจทมิฬหินชาติไร้เจ็บรู้สึก ก็บัดนี้คนผู้เป็นตัวการให้น้องเจ้ามีอันตรายจนแทบสิ้นวิญญาณ์ดำรงตนอยู่เบื้องหน้านี้แล้ว เพียงเราเอ่ยด้วยถ้อยวาจาประสงค์ความจริงมาแจ้งกับใจตน ก็ถูกขัดขวางเสียแล้วดั่งนี้ เราต่างเป็นสตรีด้วยกัน เพียงต่างวัยกันมากโข แต่อารมณ์พี่แลแม่ตามวิสัยหญิงมิควรที่จักลบเลือนหายยามล่วงรู้ว่า เหตุอันก่อวิบากกรรมต่อแก้วตาดวงใจเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า เราไม่พุ่งเข้าตบตีให้หายแค้นก็ถือว่าข่มใจไว้มากแล้ว ซ้ำเจ้ามาห้ามปรามดุจคำพูดเรามิสมควรเฉกนั้น มันผู้นี้ดีเลิศประการใด ฤา จึ่งทำให้เราต้องมองข้ามความผิดแลมิซักให้ได้ความจริงจากปากมาระงับอารมณ์ตัว”

มาลีก็ถลันเข้าลูบพระบาทของพระราชเทวีให้คลายพระอารมณ์ แล้วว่า

“พระแม่เจ้าอย่าเพ่อด่วนสรุปการเป็นต้นสายปลายเหตุ ก่อให้เกิดอาเพศต่อพระราชบุตรทั้งสองเลย หม่อมชั้นมิได้ปรามเพราะหลงเมามัวในคนต่างเชื้อ เจ้าต่างนาย แต่เป็นเพราะมาตะผูกพันกายไว้กับภัทรพจน์มาแต่ชาติปางก่อนแลชาตินี้มิผิดตัว หากพระนางฯเจ้ากระทำการหุนหันตบตีทั้งด้วยคำพูด ฤา กิริยาใดต่อมหาบุรุษ มีหรือที่มาตะมาล่วงรู้ในภายหลังจักไม่เจ็บปวดไปด้วย”

ผูกพันกายไว้ เจ้านำคำใดมาเกริ่นกล่าวให้ระคายหูเรา มาลี เรานี้แทบระงับสติอันตัวครองฐานะไว้มิได้แล้วฉะนี้ ไยจึ่งพัดโหมไฟแค้นให้ลุกลามซ้ำยิ่งกว่าเก่าด้วยคำนั้นอีกเล่า เรามิอยากได้ยิน!

พระราชเทวีตรัสดังสะท้อนไปทั่วห้อง พจน์ได้แต่จ้องภาพเบื้องหน้าราวกับไม่เห็นสิ่งใดนอกจากมาตะ

ไปเสียเถิด กลับไปยังที่ซึ่งเจ้าจากมา ไม่ว่ามหาภัยร้ายนี้จักทำลายอาณาจักรสุวรรณนคราพินาศราบคาบเช่นไรก็จงปล่อยให้มันเป็นไปตามวิถีทาง แต่จงอย่าได้สร้างความร้าวฉานแลเป็นชนวนเหตุแก่บุตรทั้งสองของเราอีก เราผู้นี้ไม่ประสงค์อำนาจซึ่งเจ้าครองสักเสี้ยวหนึ่ง หากการดำรงอยู่เป็นดั่งหอกข้างแคร่เฉกนี้ก็จงไปเสีย แลอย่าได้หวนกลับมาอีก”

“พระราชเทวีเพคะ” มาลีผวาร้องเตือน

“ออกไป!” พระอัครราชเทวีเหวี่ยงพู่ห้อยทวนเปื้อนโลหิตกระทบหน้าตักพจน์ “พวกเจ้าทั้งหมดออกไป บัดเดี๋ยวนี้”

นางข้าหลวงผู้ถวายงานแวดล้อมต่างร่นถอยตามพระเสาวนีย์โดยพลัน รั้งรออยู่แค่มาลีแลกฤษณา

“พระนางเจ้าฯโปรดทรงระงับความอาดูรเถิดเพคะ” มาลีก้มกราบวอนขอ ลอบเห็นเจ้าภัทระยอดรักของมาตะนั่งนิ่งขรึมนัยน์ตาว่างเปล่าก็เจ็บในอกตัว เพียงตนดำรงฐานะเป็นพี่ยังเจ็บเฉกนี้แล้ว มาตรแม้นมาตะมาได้ยินกับหูรู้กับตาว่า พระมารดาผู้ทรงชุบเลี้ยงตวาดขับไล่คนรักตนราวกับหมูหมามีหรือจะไม่รันทดช้ำไปอีก ก็โผกราบขอพระกรุณา

“น้ำพระทัยเมตตาการุณย์อันผู้คนกล่าวขาน ว่าฉ่ำเย็นเช่นสายฝนพร่างพรมเหล่าอาณาประชาราษฎร์เป็นที่สรรเสริญมาช้านาน ก็แหละเพลานี้จักยกเว้นมหาบุรุษผู้ฉุดชุบชีพมาตะกลับคืนได้เป็นที่อัศจรรย์นั้นยังจักมองข้ามได้กระนั้นหรือเพคะ หากมิเห็นว่าเป็นคนผู้มาตะรักแล้วก็ทรงเมตตาในฐานะข้าแผ่นดินสักคนหนึ่งจักพึงได้รับน้ำพระทัยนั้นเถิด”

พระราชเทวีได้ฟังคำค้านของนางสนองโอษฐ์ผู้ครองฐานะพี่มาตะแล้วก็พลันพระสรวลขัดกับนัยเนตร สะกดอารมณ์โทสะภายในมิให้สำแดงเกินเหมาะควรได้แล้วก็สูดพระอัสสาสะ ขืนพระวรกายสั่นเทิ้มให้นิ่งสงบ พลางตรัสว่า

“คำคนทั้งนั้นสรรเสริญเรา ก็เพราะเห็นเราในยามปรกติดอก แต่บัดนี้เลือดเนื้อเชื้อไขเราทั้งสองมามีอันต้องภยันตรายเกือบสิ้นชีวาวายกระนี้ เจ้ายังจักให้เราครองเมตตาธรรมดำรงหัวอกให้เย็นเหมือนมิได้ทุกข์ร้อนประการใดนั้นก็นับว่าเป็นมารดาที่ชั่วช้าหาใดเปรียบ จักให้แสร้งปั้นหน้าแลอารมณ์คล้อยตามพลอยเห็นดีเห็นงามอุ้มชู ฤา ต้อนรับขับสู้ มหาบุรุษเหมือนเช่นขุนนางผู้ใหญ่กระทำนั้น เราฝืนใจปฏิบัติตามมิได้แล้ว เพียงแลเห็นหน้าทั้งมือเปื้อนเลือดของบุคคลผู้นี้ก็ดั่งหนึ่งมีหอกซัดทิ่มแทงมิอาจทน ใครผู้ใดจักว่าประการใดก็แล้วแต่เถิด แต่เราเกิดเป็นสตรีแลแม่ หัวอกตัวทนเห็นเสี้ยนหนามกาลกิณีชวนชี้ให้ลูกเราต้องโลหิตผิดใจกันกระนี้ ไม่ขอแผ่เมตตา เมื่อซักความแจ้งแก่ใจแล้ว จงไปเสียก่อนเราเรียกราชมัล มาลงอาญาตามกระบิลเมือง”

มาลีเห็นการลุกลามใหญ่โตเกินกว่าปากตนจักชักนำให้คลายสงบ สิ้นปัญญาแก้ไขก็ขยับถอยเข้าหาน้องสะใภ้ เจ้าภัทรพจน์มิได้โต้คำใดกับพระมารดาบุญธรรมของมาตะ เพราะถ้อยคำทั้งนั้นคือความจริงสุดที่จะปฏิเสธก็ได้แต่ฟังนิ่ง ครั้นเห็นมาลีคว้ามือตนพยักหน้าทำทีเป็นคลานถอยก็ปฏิบัติตาม พระราชเทวีผุดลุกยืนพระพักตร์บึ้งตึง พระหัตถ์ทั้งสองกำพระภูษาฉลององค์จนเกิดรอยยับย่น

“มาตะราชบุตรมีคนผู้เราหมายใจไว้เป็นคู่ครองอยู่ก่อนล่วงแล้ว คือ กฤษณา” พระนางตรัสด้วยสุรเสียงอันดัง “หากเสน่ห์เล่ห์กลมารยาใดบังเกิดให้บุตรเรามีอันหลงเมามัวชั่วครู่ชั่วยามก็เพราะหลงผิด ต่อแต่นี้เราจักดูแลเรื่องคู่ครองให้สมฐานะขัตติยราชประเพณี เหตุการณ์ใดผ่านล่วงแล้วโดยไร้ขนบโบราณเป็นขั้นตอนเรามิยอมรับ จักถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น ฐานะชายาพระราชบุตรบุญธรรมสงวนไว้แก่แก้วกัลยากฤษณาแต่คนเดียว นอกกว่านี้เราไม่เห็นเป็นใครอีก”

กฤษณาลอบยิ้มทั้งที่ก้มหน้าหมอบกราบอยู่


มีต่อด้านล่าง  

________________________________

พระสุพรรณราช : กระโถนใหญ่
พานพระขันหมาก : พานสองชั้นสี่เหลี่ยมย่อมุม มีซองพานและตลับพร้อมสำหรับใส่หมาก
พัดโบก : เครื่องสูงรูปอย่างพัดขนาดใหญ่ ทำด้วยใบลานปิดทอง มีด้ามยาวติดอยู่ด้านข้าง
พระอัสสาสะ : ลมหายใจเข้า
ราชมัล : เจ้าหน้าที่ทำโทษคน

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๙ พระอัครราชเทวี ๑๐๐% (๑๔/๐๙/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 14-09-2016 09:50:50
[ต่อ]


“แต่มาตะ...” มาลีกระพุ่มมือคัดค้าน

“พระมารดา”

ภัทรพจน์จดจำน้ำเสียงนั้นได้ก็รีบหันมอง เจ้ามาตะยืนเกาะขอบพระทวารด้วยสีหน้าตัดพ้อ เจ้าหนุ่มก้าวเข้ามา ลักษณะอาการเป็นปรกติดีทุกประการเช่นนั้นจึงทำให้พจน์คลายใจ ส่งรอยยิ้มให้หมายผุดลุก พระราชเทวีเสด็จพระดำเนินตระกองกอดพระราชบุตรบุญธรรมชิงตัดหน้าเสียก่อน เจ้าภัทระจึงยอบตัวลงดังเดิม

“ไฉนเลยเจ้าจึ่งไม่พักผ่อนกายา เรี่ยวแรงกำลังวังชาฟื้นคืนดังเดิมแล้ว ฤา จึ่งเร่งมาเข้าเฝ้าแม่ฉะนี้ กระไรหมอหลวงจึ่งปล่อยให้บุตรเราลุกเหินดำเนินมิเหมาะ สมควรลงโทษานุโทษอันละกิจพึงกระทำ นางโขลนทวารบาลจงไปกุมตัวแพทย์หลวงผู้นั้นมา เราจักลงอาญาบัดเดี๋ยวนี้”

“มิควรก่อนพระเจ้าค่ะ” มาตะพนมมือกราบทูล เจ้าหนุ่มทอดสายตาอาวรณ์คนรักสุดสวาท อยากโผเข้าประคองกอดให้หายคนึงหา หากอยู่สองต่อสองรโหฐานคงมิพักรอช้า แต่ต่อหน้าธารกำนัลเป็นอุปสรรคขัดใจจึ่งทอดอาลัยผ่านสายตา

กล่าวถึงมาตะครั้นฟื้นคืนสติได้มิเห็นโฉมหน้ายอดดวงใจก็เร่งซักเอาความจากสหายตัว คือ โกสินทร์แลเวฬุ ห่วงแสนห่วงเจ้าภัทระยอดชีวา พอเจ้าสองเกลอเล่าความโดยสิ้นนับแต่ตนต้องมนตราสังหารกระทั่งภัทรพจน์นำอนันตวัชรมรกตมาเรียกวิญญาณกลับคืนได้แล้วก็ถลันสู่พระตำหนักพระอัครราชเทวีบัดเดี๋ยวนั้น แม้นเสียงห้ามปรามใดก็มิอาจรั้งไว้ได้ เกรงคนรักจักไม่สบายกายแลใจด้วยไร้ผู้รู้จักนอกจากตน

“ร่างกายกระหม่อมหายเป็นปรกติดีแล้วพระเจ้าค่ะ” มาตะคุกเข่ากระพุ่มมือกราบทูลสตรีสูงศักดิ์ผู้ทรงชุบเลี้ยงตนดั่งบุตรในอุทร “แต่คราวเมื่อเกล้ากระหม่อมยืนอยู่นอกพระทวารบังเกิดยินคำพระองค์กล่าวผลักไสให้ภัทรพจน์จากไปแลมิต้องหวนกลับมาอีก กายฟื้นคืนเป็นปรกตินั้นถูกซัดป่นปี้ด้วยพระดำรัสยิ่งกว่าต้องมนตราสังหารของปีศาจเป็นไฉน คือ เจ็บทั้งกายทั้งใจสุดจะกล่าว ครั้นคราวข่มเหงเหยียบย่ำหัวใจเจ้าภัทรพจน์ด้วยวาจาว่า ทรงหมายมั่นจักได้น้องนางกฤษณาเป็นคู่ครองมาตะแน่แท้กระนั้น กระหม่อมมิอาจฝืนยืนเป็นคนได้ต่อไปแล้ว จึ่งจำต้องนำตัวเสี่ยงอาชญาเข้าขัดความคำทั้งนั้น เพราะพระประสงค์ทรงให้ผู้ใดเจ็บคงไม่พ้นข้าพระองค์มากกว่าใครอื่น”

พระราชเทวีได้ฟังคำราชบุตรบุญธรรมตัดพ้อท้วงความอันตนกล่าวเป็นข้อฉกรรจ์เช่นนั้น ก็มิอาจกลั้นพระอัสสุชลไว้ได้ ทอดพระเนตรมาตะสลับกับภัทรพจน์มหาบุรุษด้วยพระหทัยทรมาน
 
“เจ้าทั้งสองสมัครสมานต่อกันแน่ล่ะหรือ” พระราชเทวีถอยห่างจากมาตะ

“มาตะเอย ชายจะมีเมีย ตามคัมภีร์ศาสตร์บัญญัติว่า ควรเลือกผู้ซึ่งไม่มีตำหนิ ๑ มีกายอ่อนนุ่ม ๒ มีนามไพเราะ ๓ มีฟันแลผมพอดีทั้งขนาดแลปริมาณ ๔ เดินงามดั่งคชสารวัยหนุ่มสาว ๕ ปัญจะลักษณาการนี้มารดาพิจารณามหาบุรุษแล้วเห็นว่ามิได้ขาดตกข้อใดเป็นทรลักษณ์ แต่เราสดับยินว่า ภัทรพจน์ผู้บรรลุฌานยังเผื่อแผ่ไมตรีผ่านพระอุปราชผู้เชษฐาของเจ้าอีกหนึ่ง ฤา มิใช่ ไยเจ้าจึ่งแน่ใจได้ว่า การลุ่มหลงคือรักแท้ ก็แม่เห็นว่าผิดแผกประพฤติมนุษย์พึงกระทำคือ หญิง ฤา คนรักของบุรุษใด มิควรปันใจให้ชายไหนมากกว่าหนึ่งเฉกนางเวศยา ดั่งนี้”

“พระมารดา!” มาตะได้ยินดำรัสกล่าวหาคนรักว่าแพศยาฉะนั้นก็ร้องครางเจ็บทรวงใน
 
“ก็แหละภัทรพจน์ปฏิบัติมิถูกทำนองคลองธรรม ขาดตกศีล ข้อ ๑ ใน ๔ แห่งความเสมอกันว่าด้วยการเลือกคู่ เป็นรอยหมอง ซ้ำยังครองฐานะชายชาติบุรุษ มิควรเลยที่มาตะราชบุตรจักฝักใฝ่ใคร่รักให้เสียเพลา”

“การครองเพศใดมิอาจหักห้ามใจที่ผูกพันในรักได้ แลข้อกังขาเรื่องความเสมอกันคือ ศีล นั้น แท้จริงเป็นแต่คำกราบทูลใส่ร้าย จิตใจภัทรพจน์ซื่อบริสุทธิ์ตรงต่อมาตะเพียงไหนกระหม่อมย่อมรับรู้แก่ใจทั้งสิ้น พระมารดาทรงทราบดีว่า ขนบโบราณราชประเพณีของชาวเรามิเห็นว่าชายครองชายเป็นเรื่องประหลาดดั่งพระราชพงศาวดารจดจารบรรพกษัตริย์หลายพระองค์ทรงกระทำเป็นแบบอย่าง ฉะนั้นเมื่อมาตะมุ่งหมายในเส้นทางนี้ซึ่งมิได้ผิดประหลาดจนกระทั่งไร้คนเคยปฏิบัติ ไยพระมารดาจึ่งว่ากล่าว ดั่งประพฤติของกระหม่อมเหมือนหนึ่งเรื่องเลวทรามจนจำต้องขับไสคนรักของกระหม่อมให้จากไป เหมือนฉีกใจมาตะให้แยกออกมิอาจครองเป็นคนได้กระนี้เล่าพระเจ้าค่ะ”

พระราชเทวีสดับคำน้อยเนื้อต่ำใจของราชบุตรแล้วก็พลันสะเทือนพระอารมณ์เป็นล้นพ้น ด้วยเหตุแลผลเป็นความซื่อสุจริตแลจริงแท้ยากจักคัดค้านได้ แต่พระหทัยเจ็บร้าวคราวเห็นร่างแน่นิ่งของบุตรทั้งสองต้องมามีอันเป็นไปติดตามิมีวันเลือนหายยากจะโน้มเอียงตามคำได้ คือ หากเห็นชอบก็เหมือนหยิบยื่นปลายดาบแทงโอรส ก็แหละภัทรพจน์ผู้นี้ไม่เพียงนำภัยมาสู่คนใกล้ชิด ซ้ำยังชักนำอำนาจมืดให้เพ่งเล็งมายังมหาอาณาจักร มาตรว่าไม่จัดการให้ต้นเหตุทั้งปวงนี้จบสิ้นในฐานะแม่เมืองแล้ว คราวบรรทมหลับคงหลับมิเต็มตา ดำริดังนั้นก็ขุดโทสะแต่หนแรกขึ้นมากวนอารมณ์ซ้ำอีก พร้อมกรรแสงเป็นภาพเวทนา

“เรานี้คงกระทำกรรมอย่างหนักไว้เมื่ออดีตชาติ ผลกรรมทั้งนั้นจึ่งย้อนกลับมาสนองในคราวอับจน คำเคยสั่งสอนตักเตือนราชบุตรตัวแต่คราวก่อนนั้นศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าวาจาของมหาเทวรูป ว่ากล่าวกระไรแต่ก่อนบุตรก็รับคำให้ชื่นใจเสมอ มาบัดนี้คำเดิมแต่ต่างกรรมต่างวาระมิอาจคงความเชื่อถือได้อีกแล้ว ซ้ำจักตักเตือนมากกว่านี้ก็กริ่งเกรงจักกวนให้บุตรบังเกิดชังตนผู้ถือว่าเป็นแม่มิใช่เมีย ครั้นจักนิ่งเงียบสงบคำเมื่อมองเห็นภัยอันตรายมากล้ำกรายเลือดในอกก็มิอาจอยู่เฉยได้ฉะนี้ มาตะเอย ในฐานะบุตรแห่งเรา เจ้าจงช่วยมารดากลัดหนองความคับข้องใจนี้ออกให้คลายความอัดอั้นสักคำหนึ่งเถิดว่า จักทำประการใด”

มาตะลอบมองภัทรพจน์แน่วแน่อยู่ ตรองดูแล้วก็ยิ้มให้คนรัก พลางว่า

“อภัยเถิดน้องท่าน วานยื่นพู่ห้อยพระแสงทวนนั้นนำมอบแก่มาตะเถิดเจ้า” พจน์ก้มมองพู่หางจามรีเปื้อนโลหิตในมือตนแล้วส่งมอบให้มาตะ ระหว่างนั้นนิ้วมือของเจ้าหนุ่มทั้งคู่เสียดสีสัมผัสกันจนพจน์รับรู้กระแสแห่งรักถ่ายทอดผ่านรวดเร็ว มีคำถามมากมายที่อยากบอกเล่าเจ้ามาตะ ความในใจทั้งสิ้นทั้งปวงอัดอั้นอยู่ภายในแทบทะลักล้น ไม่นึกคิดมาก่อนว่าตนจะโหยหารสสัมผัสจากบุคคลคนนี้มากมายเหลือจะกล่าว สายตาเข้มนั้นสื่อสารสะท้อนวาวกลับมายังนัยนาสีน้ำตาลระริกร้อนเต้นสั่นไหว มาตะข่มใจมิให้กระทำโผจุมพิตริมฝีปากบางยากยิ่งกว่าห้ามกระทำสิ่งอื่นใด

“คราวพระมหาอุปราชยืนกรานหนักแน่นว่าจักอาสาเป็นธุระในการสืบข่าวราชการ ณ เทวาลัยร้าง ทรงตัดสินพระทัยแน่วแน่แม้แต่พระเจ้าอยู่หัวแลเสนาบดี ฤา กระทั่งพระมารดามิอาจคัดค้านเจตจำนงนั้นได้ ด้วยเพราะพระหทัยกล้าประจำองค์เองหนึ่ง แลทุกข์สุขของอาณาประชาราษฎร์มาก่อนความสุขส่วนองค์สอง จึ่งปลอมแปลงดั่งสามัญชนเพื่อธุระการบ้านเมืองมิสนต่อความยากลำบาก ฤา ภยันอันตรายใดมาแผ้วพานแม้แต่น้อย เหล่านี้เป็นสิ่งซึ่งมาตะเห็นแลรับรู้ กระทั่งกฤษณะนายกอง แลหรือสหายกระหม่อม พร้อมทั้งราชองครักษ์ ล้วนประจักษ์แจ้งแก่ใจคนทุกผู้ กระทั่งทรงเผื่อแผ่น้ำพระทัยเมตตาต่อคนแปลกหน้าคือ ภัทรพจน์ ให้ร่วมคณะเดินทางมิได้ขัดขวาง อีกทั้งสละอาวุธเป็นเกราะคุ้มกัน จิตใจเมตตานั้นมิได้อยู่ๆก็บังเกิด แต่เป็นเพราะคำประสิทธิ์ประสาทอบรมของพระมารดาอย่างไรเล่าที่ทรงเฝ้าถ่ายทอดอุปนิสัยทั้งนั้นแก่พระมหาอุปราช ก็แหละในเมื่อคำของพระมารดาศักดิ์สิทธิ์ทรงอานุภาพเฉกนั้น กระไรจึ่งทรงตรัสว่าบัดนี้ไร้ความสำคัญ มาตะเห็นว่ามิใช่ความจริงทั้งสิ้น”

พระราชเทวีได้ฟังลำดับเนื้อความก็พลันสะอื้น โทสะถูกระงับด้วยความจริงแท้มิอาจปฏิเสธนั้น แต่พระหทัยแน่วแน่แต่เดิมยังคงหยั่งรากลึกก็กลั้นพระอัสสุชลไว้

“พู่ห้อยพระแสงทวนจึ่งเปรียบเสมือนคำพร่ำสอนของพระมารดา คราวใดมาตะเห็นขนสีขาวกระจ่างใต้คมทวนขององค์พระเชษฐาก็หวนรำลึกถึงคำสอนแต่ในทางดีงามของพระแม่เจ้าโดยสิ้นทันควัน ก็แหละมาตะนั้นมิใช่บุตรในอุทรเพียงแค่แลเห็นพู่ทวนก็ระลึกถึงคำในบัดดลดั่งนั้นแล้ว พระมหาอุปราชคือพระราชบุตรแท้จริง ไฉนเลยจักมิยกคำพระมารดาทูลเหนือเกล้ายิ่งกว่ากระหม่อมเล่า คำสอนแลหรือจักทอนความศักดิ์สิทธิ์ซ้ำทรงอานุภาพยิ่งขึ้นตามลำดับ หากมิได้อาภรณ์คล้องพระแสงทวนบาดแผลของสุริยะพี่ท่านเห็นควรจักฉกรรจ์ยิ่งกว่า เนื่องด้วยหว่างการสัประยุทธ์นั้นพู่พระราชทานซ้อนรองรับคมทวนไว้จึ่งซับพระโลหิตแดงฉานดั่งนี้ พระคุณพระมารดาแลคำสอนนั่นเองประดุจช่วยพี่ท่านในคราวต้องคมทวน”

ครั้นพระราชเทวีสดับลำดับเหตุการณ์แต่เบื้องเทวาลัยร้างกระจ่างแจ้งดั่งนั้น พระหทัยกล้าแข็งก็มีอันพังทลายลงต่อหน้าต่อตา พระอัสสุชลหลั่งลงอาบพระปรางสีซีดซ้ำอีก
 
“แลคนสืบข่าวผู้ทูลพระมารดาเห็นจักมิได้แจกแจงโดยละเอียด หากมิได้อำนาจเพชรมณีเยียวยาบาดแผลนั้นอีกต่อหนึ่ง พระอุปราชพี่ท่านเห็นจะมิพ้นอันตรายเป็นแน่ ความโดยแท้จริงเป็นมาดั่งนี้ คำผลักไสจากพระมารดาให้ภัทรพจน์ยอดชีวาของกระหม่อมหนีละจากไปจึ่งเป็นเหมือนดาบสองคม คือ หนึ่งทำลายหัวใจมาตะ สองทำลายอาณาจักรของชาวเราโดยสิ้นเป็นแน่แท้”

พระราชเทวีทรุดพระองค์ลงนั่งบนพระยี่ภู่ มาตะคลานเข่ากราบขมากอดพระบาทไว้ให้คลายโศก

“กระหม่อมไม่อาจมีใจไว้รักใครผู้ใดได้อีกพระเจ้าค่ะ”

“ราชกุมาร”

“ภัทรพจน์คือคนที่กระหม่อมรักแลผูกพันล้ำลึกเกินจากพรากห่าง ฤา จักเป็นด้วยเมื่อปางก่อนเราต่างทำกุศลกรรมสาบานร่วมกันไว้ ชาตินี้มาตะจึ่งมิอาจปันใจไปรักใครได้อีกแล้วนอกกว่าคนผู้นี้ หากพระมารดามิเห็นชอบเช่นใจกระหม่อม มาตะก็จักขอยกยศถาบรรดาศักดิ์ที่ได้รับพระราชทานมาคืนแก่ใต้เบื้องพระบาท หาใช่อกตัญญู มิรู้สำนึกบุญบาปแต่ประการใด แต่จักขอแทนคุณแผ่นดินเป็นทหารเลวสู้มหาศึกในคราวนี้ไม่หลบหนี คำสั่งสอนใดๆจะมิเลือนหายจากใจกระหม่อมจวบกระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิต”

วิสัยพระอัครราชเทวีแต่เดิมเปี่ยมด้วยน้ำพระทัยเมตตายุติธรรมเป็นหลักนำปกครองราชสำนักฝ่ายในเป็นที่สรรเสริญ ครั้นประสบเหตุไม่คาดคิดอุปนิสัยอ่อนโยนถูกความกล้าเข้าครอบครองชั่วขณะ จึ่งหลงลืมว่าโดยเนื้อแท้นั้นพระนางหาเคยปฏิเสธราชบุตรทั้งสองได้ ยามทำผิดก็ได้แต่มอบให้นางโขลนเป็นผู้ลงมือแต่เบาๆให้หลาบจำ ฤา คราวลักลอบออกจากวังหลวงในยามวิกาลผิดกฎมนเทียรบาลก็ทรงให้กักตัวไว้ในห้องพระบรรทมเพียงครึ่งวันก็พระทัยอ่อน มิอาจทนเสียงวอนแว่วมาจากราชบุตรทั้งสอง ซ้ำคราวนี้ต้องสายตาแลน้ำคำซื่อสุจริตของมาตะราชกุมารรองทบทวีอีก หทัยกล้าแข็งก็ทลายลง โน้มองค์ผวากอดราชบุตรบุญธรรมลูบผมลูบหลังพัลวัน

“คำว่าจักละทิ้งแม่ไว้เหลือแต่อุปราชพี่เจ้านั้นจงอย่ากล่าวเป็นคำเสียดแทงใจอีก เราจักครองตัวเป็นคนได้เยี่ยงไรหากบุตรที่ตัวรักต้องมีอันผละหนี ถึงแม้มิได้ให้กำเนิดแต่ก็ชุบเลี้ยงจนสนิทเสน่หาผูกพันฉันมารดา คำละยศถาจึ่งทำดวงตาเรามืดบอดอับจน มิอาจดำรงตนทนอยู่ได้เป็นแน่ หากมิอัดอั้นตันอกตายก็คงวอดวายด้วยน้ำตา”

พระราชเทวีก็กรรแสงซ้ำพร่ำตรัสรำพันความอาลัย มาตะราชบุตรบุญธรรมก็ขอพระราชทานอภัยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ภาพสองแม่ลูกปลอบโยนกันแลกันกลั่นให้น้ำตาของมาลีหยดเป็นสาย เจ้าภัทรพจน์ยกยิ้มบางเบา ผิดต่างจากกฤษณา นางขึงตาจ้องพิจารณา มินึกว่าเหตุการณ์กลับกลายเป็นดั่งนี้ ก่อนหน้าเสมือนตัวเป็นต่อมีพระราชเทวีอยู่เคียงข้าง จนอาจยกฐานะเทียบพระราชชายาครองคู่มาตะ ประเดี๋ยวหนึ่งเหมือนถูกผละละทิ้งไว้ในความฝันลมๆแล้งๆ เมื่อความจริงอันพระราชเทวีตรัสกับมาตะแจ้งชัดว่า ทรงเห็นดีเห็นงามยินยอมน้อมรับในตัวเจ้าภัทรพจน์ นางตวัดสายตามองมหาบุรุษ

พจน์เบนสายตาจากภาพความยินดี แล้วจึ่งเห็นดวงตาของกฤษณาแฝงถ้อยคำทวงสัญญา เด็กหนุ่มยกยิ้มให้เด็กสาว พยักหน้ายืนยันความตั้งใจเดิมกลับไปให้ หญิงผู้นั้นจึงทอนเพลิงแค้นร้อนแรง ก้มหน้ามองพื้นสืบต่อไป


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3475910#msg3475910)

เพจนิยาย (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)


_________________________________

ทรลักษณ์ : ลักษณะที่ไม่ดี
เวศยา : หญิงผู้หาเงินในทางร่วมประเวณี, ผู้มักมากในกามคุณ
ความเสมอกัน ๔ ด้านของการเลือกคู่ ได้แก่ ศรัทธา ศีล จาคะ  และปัญญา

_________________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

เนื่องจากแจ้งไว้ในแฟนเพจว่า ผู้เขียนป่วยอาจจะลงนิยายตอนถัดไปล่าช้า แต่ด้วยเพราะกำลังใจจากผู้อ่านรวมถึงยาจากหมอจึงช่วยเยียวยารักษาอาการกลับคืนเกือบเป็นปรกติ อีกทั้งพะวงว่า ผู้อ่านจะรอคอยนิยายตอนถัดไปล่าช้าเกินกว่าสมควรเป็นการสร้างกรรมให้ทุกข์ ฮ่าๆ เช่นนั้น ผู้เขียนจึ่งเร่งตรวจทานในขั้นตอนสุดท้าย จึงแล้วเสร็จรวดเร็วกว่าที่คิดไว้ ดังนั้นถ้าหากมีคำแนะนำติชมใดๆ กรุณาเม้นต์ตอบเป็นกำลังใจด้วยนะครับ

คราบผม  จะทำเป็นหนังสือไหมเอ่ย  ต้องการนะ  อยากเก็บไว้นะ เพราะเป็นแนวที่ชอบและหาอ่านยากแล้วทุกวันนี้  ส่วนเนื้อเรื่อง ตอนนี้ยังไม่กล้าไว้ใจใครเลย มันกลัวไปหมด  กลัวเจอเซอร์ไพส์อะดิ  ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็ยังรักฝังใจมาตะไม่เปลี่ยนจนนารีพิฆาตยังคงตนอยู่  ยิ่งใกล้จะจบยิ่วกลัวอ่ะ  กลัวไม่หวัง  รอต่อไปครับ
สำหรับเรื่องรวมเล่มเป็นหนังสือ คือ ผมเคยแจ้งไว้ว่า เคยมีสำนักพิมพ์หนึ่งติดต่อมาทาบทามจะตีพิมพ์มาหลายเดือนแล้ว น่าจะราวๆ เดือนมิถุนายน ซึ่งตอนนั้นเรื่องราวในนิยายเพิ่งได้ครึ่งทาง จึงรู้สึกยินดีและบอกข้อจำกัด โครงเรื่อง และข้อดีข้อเสียของนิยายเรื่องนี้ไปว่า อาจไม่ได้รับการตอบรับจากนักอ่านที่ชอบแนวใสๆ วัยรุ่นๆ เท่าไหร่ แต่สำนักพิมพ์ก็ยังยืนยันว่า ยินดีจะร่วมงาน แต่ ณ ปัจจุบันนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อใดๆกลับมา ผมจึงคิดเดาว่า ทาง สนพ.อาจไม่สนใจแล้ว หรือ อาจรอให้นิยายจบก่อนจึงติดต่อมาอีกครั้ง ดังนั้น เอาไว้รอผมเขียนจบแล้ว ถ้ามีความคืบหน้าใดๆจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะครับ ส่วนเรื่องราวก็งวดเข้มข้นใกล้จบเข้ามาทุกที ถ้าผมทำให้คุณกลัวจนไม่กล้าคาดเดาเนื้อเรื่องใดๆ ผมก็กลัวยิ่งกว่าคุณอีกว่า อาจจะคลายปมที่สร้างไว้ไม่หมด แต่จะพยายามไม่ให้ตกหล่นเด็ดขาด ฝ่ายกฤษณาเป็นตัวละครที่สามารถเห็นได้ในละครหลังข่าวที่เมื่อรักแล้วก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รักมาครอบครอง แต่ผมสร้างเหตุผลมารองรับให้เด่นชัด เพราะจริงๆแล้ว ไม่มีใครดีหรือเลว ในคนๆเดียว ถึงได้มีฉากวอนขอความรักจากพจน์ สะท้อนเบื้องลึกจิตใจที่อ่อนไหวภายใต้ความชิงชัง เมื่ออับจนปัญญาจะนำรักกลับคืน รอติดตามต่อไปนะครับ ใกล้จะจบแล้ว

สงสารพจน์มาก คืออยากให้สมหวังในความรักมากเลยนะ แต่ดูมีอุปสรรคมาขวางไว้ตลอดเลย พอกำลังจะสุขก็มีเรื่องวุ่นๆเข้ามาตลอด  กฤษณาก็นะ...เข้าใจว่าเพราะรักเลยทำได้ทุกอย่าง หวังว่าในซักวันเธอจะปล่อยวางทุกอย่างได้ซะที
ผมก็คิดเหมือนคุณครับ ว่าสักวัน กฤษณาคงปล่อยวางทุกอย่างได้เสียที เอาใจช่วยนางด้วย รวมถึงพจน์และมาตะ อุปสรรคมักพิสูจน์รักแท้ ครับ

กฤษณานี่ยังไง มาตีหน้าเศร้าขอความรักจากคนอื่น ไม่ละอายบ้างเหรอ นายอย่าไปยอมนะพจน์ กลัวใจนายจริงๆ
ถ้าผมเขียนให้คุณเกลียดกฤษณาได้ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วครับ รอติดตามนะๆ

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

รออยู่นะคะ
ตอนใหม่มาแล้วครับ เม้นเยอะๆ ติเยอะๆ ชมกันเยอะๆนะครับ อิอิ

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๙ พระอัครราชเทวี ๑๐๐% (๑๔/๐๙/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: Minzero ที่ 14-09-2016 19:22:22

อ่านตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบันคืออยากบอกมากว่า เป็นนิยายเรื่องแรกที่เราอ่านแล้วเราชอบนะ คือปกติอ่านจำพวกกลอนบางเรื่องแล้วงง แต่เรื่องนี้เราไม่งง(?)555 ยิ่งอ่านยิ่งติด ยิ่งอ่านยิ่งชอบ อีกทั้งฉากจึกๆ :hao7: ก็ชวนฟินจิกหมอน ยิ่งฉากเขาหยอกกันอิชั้นก็แทบเอาหัวโขกกำแพงห้อง :z3: บอกได้คำเดียว ฟิน!!!!!
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๙ พระอัครราชเทวี ๑๐๐% (๑๔/๐๙/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 15-09-2016 00:17:10
คราบผม  จะรอฟังข่าวนะครับ  ฉากนี้เป็นฉากเสถือนใจที่สุดในเรื่องนะเท่าที่อ่านมา  ถ้าคิดในแง่ลบๆ  ซึ้งผมก็คิดอยู่  ว่าพจน์ยังไงก็เป็นตัวซวย มันก็มีคนมายืนหยันจริงๆซะด้วย แถมดีที่พจน์ไม่คิดกับคำพูดพวกนั้นแล้ว  แล้วอีกอย่างพจน์ไปรับปากอะไรผู้หญิงคนนั้นไว้นะ  มันจะเป็นการสร้างกรรมต่อกันเพิ่มรึเปล่า  แล้วส่วนอุปราชอีกล่ะ  ทำให้พจน์การเป็นคนเวศยาอีก  เอาเข้าไป  ถ้าพจน์ไม่ได้ครอบครองเพชรนั้นนี้คงไม่ดีมีอะ แต่ก็ชั่งมัน ผมก็ตั้งตารอตอนจบอยู่เหมือนกันว่าจะเป็นแบบไหน  เพราะคิดไว้หลายแบบอยู่  ก็ค่อยลุ้นว่าจะเป็นจบแบบไหน  ใครจะเป็นใครจะตาย  ใครจะมีจุดจบ  จะมีความสุข  หรือจะทิ้งความเจ็บปวด  หรือทิ้งความคาใจไว้ให้  สู้ๆคราบ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๙ พระอัครราชเทวี ๑๐๐% (๑๔/๐๙/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 15-09-2016 00:50:39
หายป่วยเร็วๆนะครับผม
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๙ พระอัครราชเทวี ๑๐๐% (๑๔/๐๙/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 16-09-2016 10:11:48
อ่านตั้งแต่ต้นจนถึงตอนปัจจุบัน ยอมรับว่าไม่ค่อยได้อ่านนิยายภาษาแบบนี้ซักเท่าไหร่ แต่สนุกมาก
พจน์ดูเหมือนคนโลเล หลายรักจริงๆ เหมือนแยกไม่ออกระหว่าง ความรักฉันเพื่อน หรือว่า รักแบบคู่รัก เหมือนชะตากรรมจากอดีตผูกพจน์กับมาตะไว้ด้วยกันทั้งๆที่พจน์ก็ไม่รู้ว่า รักหรือไม่รัก..... ไม่รู้ว่าตัวเองมีใจให้ใครกันแน่...
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๓๙ พระอัครราชเทวี ๑๐๐% (๑๔/๐๙/๕๙) หน้า ๑๒ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: Delta ที่ 18-09-2016 07:02:24
สู้ๆนะคะ หายป่วยไวๆ  :pig4: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๐ จากลาลาลิ่วล้ำลอยจาก ๑๐๐% (๒๑/๐๙/๕๙) หน้า ๑๓ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 21-09-2016 12:11:05
บทที่ ๔๐



จากลาลาลิ่วล้ำลอยจาก
   


ตำหนักนิวาสสถานของมาตะในเขตพระราชฐานฝ่ายในแห่งราชสำนักนพรัตนบุรีโอ่โถงปิดทองเรืองรองอร่าม ผิดต่างจากเรือนพักหัวหน้ามหาดเล็กฝ่ายองครักษ์วังหน้า หรือหมู่เรือนบิดามารดรเดิมแต่กำเนิด ทั้งเครื่องใช้พัดโบกล้วนประดิษฐ์จากสุวรรณทองแท้ ยากจะหยุดพิจารณาความมั่งคั่งแห่งราชอาณาจักรสมนามนี้ไม่ได้

“หากน้องท่านประสงค์ชื่นชมให้สมปอง ขอจงออกปากให้แน่ถนัดเถิดหนาว่ายินยอมเสกสมรสกับมาตะ แลสิ่งของเครื่องใช้พรั่งพร้อมด้วยลวดลายวิจิตรปิดทอง จักเป็นสิ่งเชื้อเชิญให้น้องท่านเพลิดเพลินนับแต่ลืมตาตื่นจวบกระทั่งล้มตัวนอน” เจ้ามาตะขับทั้งหมอหลวงนางกำนัลรับใช้ แม้กระทั่งสหายคือ โกสินทร์แลเวฬุให้ออกไปก่อน อ้างว่าปวดเศียรจำต้องพักผ่อน ครั้นอยู่สองต่อสองจริงกลับเจรจาจ้อไม่หยุด ประดุจห้วงเวลาดวงวิญญาณพลัดหลุดจากร่างสะกดปากไว้จนสุดกลั้นดั่งนั้น ภัทรพจน์ก็ยกยิ้มในท่าทีธรรมดา

“กระไรเจ้าจึ่งมีอาการแย้มสรวลขันข้ากระนี้เล่า ยอดรักของมาตะ ฤา เห็นคำข้ามิสมจริงจึ่งหวัวเห็นเป็นเรื่องสนุกพรรณนาแล้วแต่ลมปากจักพาไป ก็น้องท่านแลข้า แม้นกระทั่งมาลีผู้พี่ล้วนสดับยินโดยถ้วนทั่วฝ่ายในว่า พระราชเทวีมารดาผู้ทรงชุบเลี้ยงออกโอษฐ์เป็นสัญญามั่นเหมาะ หากน้องท่านจำเพาะร่วมวงศ์ไพบูลย์แล้วไซร้ก็จักมิขัดขวาง ฉะนี้มาตะกรุยทางด้วยปากฝากตัวสู่พระมารดาโดยชอบแล้ว น้องท่านยังแลเห็นอุปสรรคใดกีดขวางอยู่อีกหรือ คำว่า ยอม อภิเษกด้วยมาตะจึ่งมิเอื้อนเอ่ยให้ชื่นอุราเล่าเจ้า”

“ที่เราขำไม่ใช่ไม่เชื่อคำพูดนาย แต่มานึกได้ว่า ช่วงนายต้องพลังมนตราสังหาร คำหนึ่งก็ไม่ได้กล่าวลาฝากกันไว้ คงสิ้นวาสนาต่อกันแน่แล้วจึงทำใจ แต่พอมาได้ยินเสียงนายอีกครั้งไม่คาดคิดก็อดพิจารณาถี่ถ้วนไม่ได้ จริงๆแล้วนายเป็นคนช่างพูด ช่างเจรจาน้ำไหลไฟดับพอตัวอยู่เหมือนกัน” หลอกด่าเสร็จรีบหัวเราะกลบเกลื่อน  มาตะพิจารณาคำคนรัก หัวคิ้วขมวดชน

“กระไรคือความหมายของน้ำไหลไฟดับ ฤา เจ้า”

“คนพูดมากไงเล่า ไอ้เจ้าบ้าเอ๊ย” เฉลยเสร็จโจนกระเถิบถอยห่างเจ้าคนล่ำสัน มาตะรวบรัดขว้าเอวไว้ได้ทัน แล้วยกยิ้มพึงใจว่า

“ชีวิตข้าเหมือนหนึ่งอยู่ในกำมือท่านแล้ว ภัทรพจน์เอย ทั้งเป็นคนรัก ทั้งเป็นเจ้าชีวิตมาตะหาใดเปรียบ หากมิได้น้องท่านนำอนันตวัชรมรกตมาเพรียกวิญญาณกลับคืน มาตะคงมิได้เห็นสิริโฉมงดงามประจำหน้านี้อีก” ว่าพลางจุมพิตซับหลังมือพลางวนซ้ำจนสิ้นคะนึงหา พิจารณาสร้อยทองคล้องมณีมรกตอยู่รอบคอพจน์ อดใจลวนลามฉกกลิ่นหอมรอบผิวเนื้อมิได้ก็จรดปากร้อนประทับรอยไว้

“นายจะทำอะไร ขยับออกก่อน ฟื้นคืนกำลังกายดีแล้วหรือไง ไอ้คนหื่น” ผลักอกนูนแล้วแสร้งตัดพ้อหน้าขึงขัง

“พละเรี่ยวแรงนั้นนับว่าถดถอยจริงดังคำน้องท่านท้วง แต่อย่าห่วงว่ากำลังอันเกี่ยวกับการชิดชมน้องท่านจักลดทอน มีแต่จะยิ่งพอกพูนทุกขณะจิตยามใกล้ชิดภัทรพจน์ท่าน เพียงสูดกลิ่นหอมประจำกายกระนี้ยังชื่นฤดีถึงขนาด มาตรว่าน้องท่านยอมให้มาตะโอบวาดแขนแนบเนื้อ ไหนเลยจะมิคืนกำลังเสมอปรกติเล่า ก็แหละการฟื้นคืนกำลังมีหนทางลำดับดังข้าว่ามากระนี้ น้องท่านมีน้ำใจอันประเสริฐอยู่กลางใจจะมิยอมให้มาตะได้คืนกำลังดอกหรือ”

เจ้าภัทระก็ยกยิ้มรู้ทันแต่ทำเป็นหูทวนลมเกริ่นกล่าวชักเรื่องอื่นขัดกลางลำว่า

“เมื่อกี้นี้ก่อนมาถึงห้องนาย เราแวะเยือนหามารุต เห็นอาการมิได้ทรุดแต่อ่อนแรงจึงสลบหลับใหล แต่ดวงตาต้องพิษนาคาแม้นหมอหลวงก็ไม่อาจสรรหาวิธีรักษา เป็นเวรกรรมหรืออย่างไร ทำไมถึงต้องเกิดกับเจ้าพราหมณ์ผู้ติดตามนำอนันตวัชรมรกตเพื่อช่วยเรียกวิญญาณนายกลับมา แท้จริงผู้ที่มีคุณต่อนายไม่ใช่เราหรอก แต่เป็นมารุตพราหมณ์ต่างหาก”

มาตะสดับเห็นน้ำคำแลหม่นหมองก็ประชิดตัวปลอบประโลมตามวิสัย พลางว่า

“คุณอันประเสริฐของพราหมณ์น้อยผู้นั้นไหนเลยมาตะจักมิคิดคะนึงถึง ทั้งเสี่ยงภัยเสี่ยงชีวิตอาสาเพื่อคุ้มครองน้องท่านแลร่วมนำอนันตวัชรมรกตชุบชีพมาตะกลับได้ดั่งนี้ ตราบชีวิตข้าจนสิ้นลมหายใจจักไม่มีวันลืม ขอให้สัตย์สาบานด้วยศักดิ์ศรีชาติบุรุษว่า ไอ้มาตะคนซื่อจักขอชุบเลี้ยงดูแลสารทุกข์สุกดิบของมารุตเจ้าพราหมณ์ประหนึ่งบุตรดูแลบิดามารดร มิให้ได้ยากลำบากกายเป็นเด็ดขาด คำสัตย์สาบานนี้ยังจักทอนความทุกข์ในอกน้องท่านลงสักมากน้อยประการใดจงแจ้งเถิด ก็แหละมาตะเป็นคนที่มิเคยลืมคุณคนเฉกนี้แล้ว ความเป็นอยู่ของเจ้าพราหมณ์แม้นดวงตามืดบอดก็จะมิลำบากเสมือนมีดวงตาครบสมบูรณ์แน่แท้ ข้าให้สัจจะวาจา”

พจน์พยักหน้าเห็นชอบ ไม่มีวิธีไหนจะตอบแทนมารุตได้นอกจากคำมั่นของมาตะอีกก็คลายห่วง แต่ยังมีบ่วงพะวงใจอยู่หลายสิ่งจึงเลือกปลดความทั้งนั้นเปลื้องสู่เจ้ามาตะสืบต่อว่า

“แต่อุปราช...”

“อุปราชพระเชษฐาธิราชบัดนี้อาการฟื้นตามลำดับส่วน จงคลายห่วงเถิด ข้าสืบธุระจากคณะหมอหลวงคะเนว่าคงคืนพระสติกำลังในมิช้า ข้อขัดข้องหมองใจระหว่างสุริยะพี่ท่านแลยอดรักของมาตะจงมลายลงเถิดหนา ทั้งพระองค์มีคุณรับคมทวนแทนข้าในครานั้นเป็นสัจธรรมประจำฐานะพี่ น้ำใจอันประเสริฐแฝงอยู่ใต้พระพักตร์บึ้งตึงโกรธา น้องท่านคงเห็นแจ้งแต่โดยดีแล้วว่า องค์ยุพราชทรงครองทศพิธราชธรรมสมฐานะ ควรที่เราสองจักภักดีโดยสิ้นความกินแหนงแคลงใจใดๆ หากน้องท่านตกปากรับคำให้ชื่นใจได้ว่า จักละเพลิงขุ่นหมองในประพฤติวาจาสุริยะพี่ท่าน มาตะคงทุเลาทุกข์พ้นอกได้เสมอกัน”

“อืม เรารู้ว่าพี่นายคิดยังไง และน้ำใสใจจริงโดยเนื้อแท้คือพี่ที่มีความเสียสละแค่ไหน ต่อแต่นี้จะไม่คิดเคืองแค้นใดๆอีก วางใจเถอะ มาตะ” เจ้าหนุ่มพจน์ให้คำสัญญา

“ฉะนั้นเมื่อน้องท่านสิ้นห่วงแล้วจงทอดกายลุกนั่งให้ปรกติสุข นับแต่รูปการณ์ถูกบุหลันนายกองขโมยจุมพิต” พอได้ยินมาตะเท้าความพัวพันถึงคู่แข่ง คือนายกองมีชื่อซ้ำก็เหล่มองคนรูปงาม “กรุณาอย่าพิพากษาลงทัณฑ์ข้าเถิดเจ้า เหตุเพราะจำต้องลำดับความนับแต่เป็นต้นสายปลายมูลจนมาตะมิเคยคุ้นสุขสงบใจอีกขึ้นมาเล่าทวน ก็เพื่อให้น้องท่านนึกหวนได้ว่า ทุกข์จากการเห็นความเมินเฉยถูกปฏิบัติสู่มาตะนับแต่การนั้นเป็นความเจ็บยิ่งกว่าต้องมนตราสังหารเสียซ้ำ คือ ใคร่ใกล้ชิดมิอาจชม ใคร่เสพสมมิอาจสมปอง ใคร่ประคองถูกผลักไส ใคร่ปลอบใจมิอาจไขว่คว้า ใคร่แนบกายาถูกสายตาแค้น ใคร่หวงแหนก็คิดได้ว่าคือความผิดตน จนไม่อาจครองเป็นคนได้ หากมองในมุมแต่ในทางดีแล้วเหตุการณ์ ณ เทวาลัยร้างเสมือนหนึ่งมีคุณต่อมาตะอย่างสูงยิ่ง”

“อยากตายมากสินะ ถึงคิดว่าการต้องมนตราสังหารคือประโยชน์”

“หาได้ไม่ ก็แหละหากข้ามิต้องพลังอิทธิฤทธิ์มนตร์ดำเข้าทำร้าย มีหรือเกราะความโกรธประจำตัวน้องท่านจักทลายลง เหตุมาตะยกบูชาคราวเสี่ยงตายประหนึ่งมีคุณูปการเป็นไปด้วยประการฉะนี้ดอก”

“เราไม่เคยโกรธนายได้สำเร็จเลย มาตะ” เจ้าภัทระพร่ำฟ้องความในใจ “แม้นจะโกรธแสนโกรธที่นายยืนเฉยให้บุหลันจูบ หรือท่าทีดึงรั้งไว้เหมือนเป็นห่วงเป็นใยนั้นโกรธจริงแล้ว ทว่าสร้างโทสะมากขึ้นในตัวเท่าใดแต่ยามเห็นสีหน้าอมทุกข์ของนายเสี้ยวหนึ่ง ความมุมานะก็มีอันพังทลายสิ้น เราไม่เคยโกรธนาย แม้จิตสำนึกจะโกรธเท่าใดก็ตาม เพราะอย่างนั้นตอนที่นายต้องมนตราทศมาร ถึงรู้ว่าสิ่งใดควรตัดสินใจทำก็จงทำก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป คำอภัยที่นายสมควรได้รับมาเนิ่นนานจึงจุกอกแน่นจนเราหายใจไม่ออก เมื่อคิดได้ว่านายจากไปโดยไม่ได้ยินคำนั้น ก็เหมือนตัวตายตามไปด้วย แล้วนายยังมาพูดว่าเหตุการณ์เสี่ยงชีวิตเป็นประโยชน์แก่ตัวอีก เราถึงโกรธแบบนี้ไงเล่า ไอ้คนพูดมาก”

พจน์สะบัดตัวลุกหนีไปยังช่องพระแกล แสงอาทิตย์อาบไล้ปราสาทราชมนเทียรแลสรรพชีวิตเจิดกระจ่าง เขียวขจีดูสงบต้องลมเย็นสบาย กายพจน์ก็ผ่อนคลายจากโทสะ แรงพระพายล้างอารมณ์ร้อนให้แห้งเหือด ไม่น่าเชื่อว่ามหาพิภพนี้จะดำรงอยู่ใต้ท้องมหาสมุทรแปซิฟิก ทุกสิ่งอย่างเสมือนจริงดุจพิภพคู่ขนาน อำนาจที่ยิ่งกว่าคงบันดาลเช่นเดียวกับวันวานก่อนล่มจมสู่พื้นโลก

มาตะหน้าสลดโอบลำแขนคล้องเอวพจน์ไว้พอหลวม เกยคางเหนือบ่าคาดผ้าคล้องไหล่ น้ำเสียงละห้อยหาว่า

“น้องท่านพูดชอบแล้ว มาตะยอมรับผิดทุกข้อกระทง จงอย่าหันเบือนหน้าหนีเถิดหนาเจ้า ความจริงในใจน้องท่านเป็นเช่นไร บัดนี้ไอ้มาตะผู้โง่งมแจ้งโดยสิ้น แลจักมิรื้อค้นความใดมาขัดข้อมุ่งมั่นของน้องท่านอีก จริงแล้วที่ว่า คนผู้รักกันควรไว้เนื้อแลเชื่อใจซึ่งกันแลกันอันคนพร่ำลือคือความเที่ยงแท้โดยสิ้น ไม่เคยประจักษ์ในรักก็ได้รับรู้เห็นในวันนี้สมคำทั้งนั้น คำว่าน้องท่านไม่เคยเคืองโกรธมาตะได้เต็มขนาดจึ่งเป็นหลักฐานยันคำสัตย์จริงยิ่งกว่าสิ่งใด ใจมาตะจึ่งพองโตคับอกเหลือจักกล่าว ขอใช้ภาษากายร้อนผ่าวถ่ายทอดคำอภัยสู่น้องท่านเถิดหนา” ว่าพลางก็แนบตัวชิดพลางดั่งคำ

พจน์เห็นว่าอีกฝ่ายเข้าใจความนัยอกถ่องแท้ก็มิได้ขัดขืน เหตุการณ์ทุกอย่างล้วนพิสูจน์ข้อกังขา คือ เขารักมาตะแน่แท้โดยไม่เกี่ยวข้องกับความผูกพันใดๆในอดีตชาติ นี่สินะ คือความรู้สึกที่ใครหลายคนอยากพบเจอ ผละสายตาพึงพิศมาตะให้ชัดถนัด

ไม่เคยนึกว่าเขาเองจะรักคนคนนี้ได้ ทั้งที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน
 
ไม่เคยนึกว่าอำนาจลึกลับจะเลือกฝังสถิตอยู่ในกายจนนำพาข้ามพิภพ
 
ไม่เคยนึกว่าจะผ่านความทุกข์โศกทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาจวบกระทั่งบัดนี้

ไม่เคยนึกว่าจะเป็นเด็กหนุ่มตรงหน้าผู้อยู่ไกลแสนไกลที่พจน์เคยฝันหา

ทุกสิ่งอย่างกลายเป็นจริงและยากจะปฏิเสธ ทุกสิ่งอย่างเกิดขึ้นนับแต่อดีตชาติทุกภพ คือ รัก ไม่ใช่ใดอื่นที่นำพาพวกเขาทั้งสองมาเจอกัน ขอบคุณนะ ขอบคุณทุกอย่าง อุปสรรคขวากหนามใดๆคือเครื่องพิสูจน์ความเที่ยงแท้ พจน์เข้าใจแล้วว่าทำไมวินาทีที่ตนสงสัยว่า บนโลกนี้จะยังมีคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจกันทั้งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนบ้างหรือเปล่า อำนาจเพชรมณีจึงมาพจน์ข้ามพิภพมาหามาตะ

เจ้าภัทระยอบตัวลงนั่งบนตั่งทองแล้วท่องคำกลอนโต้ตอบกับมาตะว่า


มีต่อด้านล่าง

______________________________

พระแกล : หน้าต่างตำหนัก
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๐ จากลาลาลิ่วล้ำลอยจา ๑๐๐% (๒๑/๐๙/๕๙) หน้า ๑๓ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 21-09-2016 12:56:31
(http://i63.tinypic.com/68d3x2.png)
(http://i68.tinypic.com/16konkj.png)

เมื่อสิ้นคำต่อกลอน เจ้าภัทรพจน์ยินยอมผ่อนกายให้มาตะตักตวงกลิ่นรสสุคนธ์หอมหวนลีลาวดี ลมหายใจร้อนเสียดสีผิวพจน์ครั้งใดก็รุ่มร้อนผิดต่างจากหนแรก ขยับแทรกลำตัวหนาเข้าแยกส่วนขาให้กว้างออก เจ้าตาสีสมันก็สำลักเป็นคำครวญตามจุดรัดเฟ้นปรนเปรอ มาตะเห็นยอดรักมิได้ปิดกลั้นฝืนอารมณ์ก็ชักชมตามราคะไฟ ทั้งยอดอกชมพูหวาน ทั้งกลีบปากเชี่ยวชาญระริกร้อน ทั้งเรียวขาขาวเว้าวอน ทั้งกล้ามท้องสะท้อนทรวง เจ้ามาตะจูบทะลวงไม่พ้นรอยปาก

“ข้าเคยกลัวจะมิได้เชยชมสมรักร่วมน้องท่านอีกแล้ว เพียงคิดก็ทรมานห้วงหทัยเหลือจะกล่าว แต่ครั้นคราวบัดนี้เหมือนหนึ่งต้นกล้าได้หยาดฝนพร่างพรมชุ่มชื่นเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เช่นใจมาตะอย่างเดียวกัน หากมิเกินกำลังแล้วน้องท่านวานเมตตาหลั่งน้ำฝนเป็นคุณต่อชีวิตมาตะด้วยเถิด” กระซิบกระเส่าเว้าวอนหน้าร้อนทรมาน

“เรายอมทอดกายจนนายโถมทับตัวจากเบื้องบนขนาดนี้ยังมีแก่ใจมาขออีกงั้นหรือ ถ้าปฏิเสธห้ามปรามจะหยุดจริงหรือเปล่าล่ะ” พจน์พยายามครองสติโต้คำ เจ้ามาตะก็หัวเราะขันขำคนรักแล้วว่า

“มาตะเป็นคนซื่อคนตรง คราวจักทำล่วงเกินใครทั้งทางโลก ฤา กามารมณ์มีสักครั้งหรือไม่ที่จักไม่ขออนุญาตเจ้าตัวก่อน ก็ตามมรรยาทแล้วควรสมยอมด้วยกันทั้งสองฝ่ายกระนี้ เมื่อน้องท่านซักมาตะจึ่งอดหวัวมิได้”

“เดี๋ยวนะ คราวล่วงเกินใคร แปลว่านายก็คงประพฤติแบบนี้มาก่อนจนชินเป็นนิสัยแล้วล่ะสิ” ตะขิดตะขวงใจในสาระคำเร่งทักท้วง ยื้อยักปัดมือสาละวนปลดผ้าพันกายผืนล่างออก ขึงตาจ้องยับยั้ง

“ฮ่าๆ คำมาตะหมายรวมทั้งวาจาหรือการกระทำต่อเพื่อนตายสหายรักผู้หลักผู้ใหญ่ในทางราชการดอก หาเกี่ยวโยงในทางโลกีย์ไม่ ก็แหละในทางกามานั้นมาตะสงวนไว้ละเมิดแต่น้องท่านเพียงผู้เดียวหาเคยปฏิบัติดังข้อครหา แจ้งแล้วน้องท่านวานตอบเถิดว่าจะอนุญาตเช่นคำวอน ฤา ไม่เล่า”

“ถ้าตอบ ไม่”

“มาตะก็จักขอทอดตัวโน้มทับท่านอยู่อย่างนี้จนกว่าน้องท่านจักยินยอม”

“เห็นไหมล่ะ นายก็ดื้อตื้อเอาจนได้นั่นแหละ แล้วจะขอทำไม” ด่าพลางหันเสหลบสายตาเจ้าชู้ประตูดิน

“ภัทรพจน์เอย ห้วงเพลาเราอยู่สองต่อสองนั้นยากยิ่งกว่ายื้อห้ามราชรถพระอาทิตย์ดั่งนี้แล้ว หากมิเกรงข้าต้องทรมานดับดิ้นแล้วก็จงอายแสงพระอาทิตย์เถิด ประเดี๋ยวชักช้ายื้อยักอยู่กระนี้บังเกิดท่านเฉลียวใจลอบเห็นเราสองมิต้องมีอันเขินขวยกระนั้นหรือ วานมือน้องท่านปลดอาภรณ์มาตะแต่โดยพลันเถิดหนา ท่านสุริยาจักมิได้เฉลียวเห็นการทั้งปวงของสองเรา”

พอเจ้ามาตะท้วงปนเร่งร้อนกระนั้นพจน์ก็อดขวยใจมิได้ ทั้งเป็นกลางวันแสกๆ แต่หนึ่งหนุ่มหนึ่งชายต่างโอ้โลมไม่อายแสงพระอาทิตย์ คิดแล้วจึงออกแรงดันอกแน่นให้คืนถอย แต่ฉุกคิดได้ว่าจักเสียการเป็นพิรุธตามตนตั้งใจวางแผนก็ผ่อนพละลง แล้วว่า

“หากนายพูดขออนุญาตซ้ำอีกหน แม้แต่โคนต้นขาก็จะไม่มีวันได้เห็นอีก” พจน์ยื่นคำขาด เพียงมาตะได้ยินเท่านั้นเหมือนหนึ่งเป็นคำสัญญายินยอม พิถีพิถันจูบทะนุถนอม น้อมยกเจ้าภัทระมาวางบนพระแท่นบรรทม ยามผิวเปลือยสัมผัสพระยี่ภู่ลาดสีขาวอ่อนนุ่ม แต่ถูกกลุ้มรุมด้วยสัมผัสแผดเผา เรือนกายบิดเร่ายกสูงตามปากมาตะ เจ้าภัทระก็ครวญคำมิได้ยั้งเสียง หลงลืมว่าภายนอกห้องนั้นมีข้าทาสบริวารนั่งก้มหน้าแดงชิดพื้นด้วยใจระส่ำมิต่างกัน

(http://i67.tinypic.com/2evpwfq.png)

พระราชบุตรบุญธรรมเอนกายซบแนบอกภัทรพจน์ หอบสะท้านดุจไฟสุม เรี่ยวแรงกำลังเพิ่งฟื้นจากถูกมนตราสังหารกระชากจิตก็มีอันเสื่อมฤทธิ์ลงในยามร่วมสังวาส มิใช่หนสองหนจึงมืดมนสุขสมเสมอเทียบเยียบสวรรค์ชั้นฟ้า ลอบยิ้มปรือตาเหลือบเห็นวงหน้าแดงปนหยาดเหงื่อระเรื่อสวย เสริมด้วยดวงตาสีสมันเย้ายวนชวนมองมิอาจฝืนกลั้นก็บุกบั่นปรนนิบัติตามแต่อารมณ์ตน มิสนว่าพลังหาได้คืนกลับเต็มเสมอปรกติ พลิกตะแคงฟุบแนบลงกับแขนมหาบุรุษ ผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอสู่ห้วงนิทรารมณ์

เจ้าภัทระพินิจมวงหน้าไร้เดียงสา คิ้วหนาเปลือกตาปิดสนิท พรมพร่างหยดน้ำกลั่นจากรูขุมขน ลมหายใจร้อนรนกระทบซอกคอเป็นห้วงผ่อนคลาย ริมฝีปากคลี่คลายประหนึ่งอมยิ้มอยู่ในที เส้นชีพจรลำคอมีเต้นกระชั้น มัดกล้ามแขนเกร็งแน่นสุขสมบูรณ์ เนื้อตัวขาวอกนูนเปลือยจรดปลายเท้า มีเพียงผ้าขาวเลื่อนปิดวับแวม สัดส่วนร่างกายอันชายทุกผู้ต่างปรารถนาเคยเป็น นอนเช่นเด็กน้อยยามเหน็ดเหนื่อยจากการละเล่น พจน์ซับหยดเหงื่อเหนือหน้าผากด้วยกลีบปาก คลี่ภูษาปิดบังส่วนล่างของมาตะมิดชิด มิให้ต้องทนหนาวยามสายลมพัดพาอากาศเย็นพาดผ่าน พยายามจดจำทุกสัดส่วนอันประกอบขึ้นเป็นบุคคลคนนี้ให้ขึ้นใจ นับแต่วันแรกพบจวบกระทั่งวินาทีนี้ ไม่มีสักวันที่พจน์ไม่เคยคิดถึงมาตะ หัวคิ้วขมวดเกร็งเริ่มผ่อนคลายคราวหลับสนิท เจ้ามาตะคงความรูปงาม ทั้งรูปกาย อุปนิสัยใจคอ ปรากฏเป็นที่ต้องตาต้องใจแก่สตรีแลบุรุษทุกผู้ ไม่แปลกทั้งกฤษณาหรือบุหลันจะก่อเกิดความรักขึ้นในใจ แม้กระทั่งพจน์ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับความดีในตัวมาตะเช่นกัน

มาตะเป็นผู้ที่มีแต่คนรักใคร่ฉะนี้ก็คลายกังวลได้ส่วนหนึ่ง มั่นใจว่าทั้งกฤษณาหรือบุหลัน คงดูแลมาตะได้ไม่มากก็น้อยแม้ไม่ได้ออกปากฝากคำไว้ ตรองถึงตรงนี้ก็เสียดแปลบในอกจนต้องรีบยกมือขึ้นกุม ยอดถันแดงระเรื่อเพราะริมฝีปากมาตะฝากไว้ด้วยรอยรักนั้นมิได้เจ็บแม้แต่น้อย แต่เป็นความคิดก่อขึ้นในใจต่างหาก แม้นเขาไม่เร่งอาศัยห้วงจังหวะหลับนอนทำการสมคิด คงไม่อาจดำรงคงแผนเดิม ขยับผ่อนลำแขนเคลื่อนหมอนเข้าแทนให้มาตะหนุนแผ่วเบาอย่างที่สุด
 
นับแต่สัมผัสรู้ความเป็นไปของโลกก่อเกิดในปัญญา ทำให้พจน์ค้นพบสัจธรรมอย่างหนึ่งที่แน่แท้ยิ่งกว่าสิ่งใดๆ คือ มีพบต้องมีจาก ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น หากรีบตัดไฟแต่ต้นลม ไม่สานสัมพันธ์ให้ผูกพันยาวนานเท่าใด ยามลาจาก...คงจะไม่เจ็บมากเท่านั้น

ทุกคนปรารถนาอยากพบเจอเนื้อคู่ของตัว และพจน์พบเจอแล้ว ได้ร่วมรัก ร่วมทุกข์ ร่วมสุข หนทางข้างหน้ามีแต่อันตรายรอคอยอยู่ หากวันนั้นมาถึง วันที่พจน์ต้องต่อกรกับจอมมาร เขาจะได้สิ้นห่วง สิ่งสำคัญมาตะจะปลอดภัยเมื่อไร้พจน์เคียงคู่ จอมมารจะไม่รู้ว่าพจน์ฝากใจไว้กับใคร ถึงมันจะทำลายกายพจน์ได้ แต่ใจพจน์จะคงอยู่กับมาตะชั่วนิรันดร์

เจ้าภัทระลุกยืนพันกายด้วยภูษาผืนเดิมพิจารณามาตะตั้งมั่น สรรพเสียงเงียบงันเคล้ากระดิ่งทองติดชายหลังคาขับกล่อม ไม่นึกว่าต้องลาจากกันอีกครั้งโดยไร้คำฝากลาแบบนี้ เคยคิดว่าการนำอนันตวัชรมรกตมาช่วยมาตะคือการลบล้างคำลาให้สูญสลาย แต่เปล่าเลย ถ้าไม่จากกันวันนี้ก็คงเป็นความตายที่พรากเราจากกันอีก สู้ตัดใจอำลาในยามที่รู้สึกดีๆต่อกันจะไม่ดีกว่าหรือ

‘พลังความรักส่งให้ท่านเข้มแข็งขึ้น แต่มาตะจักอ่อนแอลงตามลำดับ’

‘หากการดำรงอยู่ของเจ้าเป็นดั่งหอกข้างแคร่เฉกนี้ ก็จงไปเสีย แลอย่าได้หวนกลับมาอีก’

‘คืนให้ข้าเถิด ความรักเที่ยงแท้อันท่านประจักษ์นั้น โปรดคืนให้กฤษณา’


เมื่อคำถามถูกกระตุ้นด้วยคำวอนของกฤษณา ซ้ำพระดำรัสของพระราชเทวีหนุนเนื่องเติมรอยเดิม เสริมให้พจน์ตัดสินใจได้ในที่สุด เอื้อมปลดสร้อยทองคล้องอนันตวัชรมรกตและแหวนสุวรรณนาคราชวางคืนในกำมือมาตะ โน้มตัวก้มประทับจุมพิตเหนือหน้าผาก กระซิบฝากสัจจะคำกลอนข้างหูคู่ครองทุกชาติภพว่า

“จำจากลาลาลิ่วล้ำลอยจาก  ทางข้ามภพวิบากจงสลาย  ขอจดจำห้วงรักสมัครกาย”   ด้วยอิทธิฤทธิ์ความผูกพันแห่งรักของทั้งสองบุรุษ ฉุดให้สติมาตะเคลิ้มฝันพลันสะดุ้งลืมตา เพื่อจะได้เห็นยอดชีวาถูกอำนาจฤทธาเพชรมณี พาข้ามพิภพเป็นหนท้าย “ยามตัวตายรักเดียว‘มาตะ’วัน”

เมฆหมอกเย็นยะเยือกปกคลุมรอบตัวพจน์ มาตะตกใจแทบสิ้นสติถลาตัวจะไขว่คว้าเจ้าภัทระไว้

“น้องท่าน”

“ขอโทษ...”
   
แต่เพียงสิ้นบทกลอน มหาบุรุษผู้ครอบครองวิเชียรมณี อีกทั้งครอบครองหัวใจมาตะจึงถูกผลักคืนสู่พิภพเดิม
 
รอบกายคือห้องนอน ณ เรือนไทยเทพวิมานอันเคยคุ้น แสงสีสุริยนฉายลอดบานหน้าต่างบอกเวลาสาย แต่หัวใจพจน์แหลกสลายไม่มีชิ้นดี ข่มฟันทรุดนั่งเหนือเตียงบรรจถรณ์ ศาสตราจารย์วิชัยถอดกลอนประตูพรวดเข้ามาเมื่อรับรู้การเคลื่อนไหวภายใน

“ตาพจน์”

“จะไม่มีอีกแล้วครับ คุณปู่” เด็กหนุ่มเผยความอัดอั้นตันใจ “นับจากนี้จะไม่มีการข้ามพิภพอีก ไม่มีอีกแล้ว”

“แกหมายความว่ายังไง เกิดอะไรขึ้น”

“ผม...สละอำนาจนั้น และจะไม่มีวันหวนกลับไปอีก” ร้าวระทมกล้ำกลืนสุดฝืน

ศาสตราจารย์วิชัยบังเกิดความเวทนาในภาพที่เห็น เจ้าหลานชายกอดเข่าซุกหน้าแนบกับขา ตัวสั่นโยกไร้เสียงสะอื้นไร้หยดน้ำตา จนแม้แต่ชายชราผู้ได้ชื่อว่าเข้มแข็งประดุจหินผามิอาจทนมอง น้ำตาลูกผู้ชายหลั่งนองอาบตามร่องแก้มเซ่นความเจ็บทรมานของหลายชายคนเดียว หลานชายผู้ครอบครองอำนาจ...และใจของเจ้าหนุ่มทั้งสองพิภพ


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3479963#msg3479963)
เพจนิยาย (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)
________________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม


อ่านตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบันคืออยากบอกมากว่า เป็นนิยายเรื่องแรกที่เราอ่านแล้วเราชอบนะ คือปกติอ่านจำพวกกลอนบางเรื่องแล้วงง แต่เรื่องนี้เราไม่งง(?)555 ยิ่งอ่านยิ่งติด ยิ่งอ่านยิ่งชอบ อีกทั้งฉากจึกๆ :hao7: ก็ชวนฟินจิกหมอน ยิ่งฉากเขาหยอกกันอิชั้นก็แทบเอาหัวโขกกำแพงห้อง :z3: บอกได้คำเดียว ฟิน!!!!!
ดีใจที่คุณชอบครับ สมัยเรียนพออ่านกลอนครั้งแรกก็งงเหมือนคุณนี่แหละครับ แต่อ่านไปอ่านมา เปิดพจนานุกรมหาคำศัพท์คำยากๆกลายเป็นเพลิดเพลินสนุกซะงั้น ฮ่าๆ เลยชอบมาแต่นั้น ถ้าคุณชอบฉากจึกๆดังว่า ตอนล่าสุดคงสนองความชอบของคุณได้ไม่มากก็น้อยนะ อิอิ อ่านเสร็จแล้วเป็นยังไงคอมเม้นต์บอกได้นะครับ ว่าจะฟินหรือเปล่า

คราบผม  จะรอฟังข่าวนะครับ  ฉากนี้เป็นฉากเสถือนใจที่สุดในเรื่องนะเท่าที่อ่านมา  ถ้าคิดในแง่ลบๆ  ซึ้งผมก็คิดอยู่  ว่าพจน์ยังไงก็เป็นตัวซวย มันก็มีคนมายืนหยันจริงๆซะด้วย แถมดีที่พจน์ไม่คิดกับคำพูดพวกนั้นแล้ว  แล้วอีกอย่างพจน์ไปรับปากอะไรผู้หญิงคนนั้นไว้นะ  มันจะเป็นการสร้างกรรมต่อกันเพิ่มรึเปล่า  แล้วส่วนอุปราชอีกล่ะ  ทำให้พจน์การเป็นคนเวศยาอีก  เอาเข้าไป  ถ้าพจน์ไม่ได้ครอบครองเพชรนั้นนี้คงไม่ดีมีอะ แต่ก็ชั่งมัน ผมก็ตั้งตารอตอนจบอยู่เหมือนกันว่าจะเป็นแบบไหน  เพราะคิดไว้หลายแบบอยู่  ก็ค่อยลุ้นว่าจะเป็นจบแบบไหน  ใครจะเป็นใครจะตาย  ใครจะมีจุดจบ  จะมีความสุข  หรือจะทิ้งความเจ็บปวด  หรือทิ้งความคาใจไว้ให้  สู้ๆคราบ
ความสัมพันธ์พ่อแม่ลูกเป็นความผูกพันที่เราทุกคนต่างเคยสัมผัสกันมาแทบจะทุกคนก็ว่าได้ ยามท่านดุด่าสั่งสอน หรือเมตตาเอ็นดู เงินทุกบาท ข้าวทุกจาน ล้วนผ่านมือผู้มีคุณหาใดเปรียบคือพ่อแม่มาทั้งสิ้น ไม่แปลกถ้าคุณจะรู้สึกสะเทือนใจสำหรับตอนที่ผ่านมา หัวอกพระราชเทวีคือหัวอกแม่ที่เผื่อแผ่เมตตาลูก เฝ้าถนอมกล่อมเลี้ยงเพื่อหวังให้ลูกได้พบสิ่งดีงาม แต่ครั้นมาเกิดเหตุอันตรายดังนั้นวิสัยแม่จึงบังเกิดเป็นฉากสะเทือนอารมณ์ต่อทุกฝ่าย ไม่สามารถรับปากได้ว่าเมื่อจุดจบมาถึง จะมีใครตายอีกหรือเปล่า หรือว่าจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งไหม รอพบฉากสุดท้ายได้เร็วๆนี้ครับ สำหรับความปรารถนาดีเรื่องอาการป่วยนั้นขอบคุณมากๆครับ

อ่านตั้งแต่ต้นจนถึงตอนปัจจุบัน ยอมรับว่าไม่ค่อยได้อ่านนิยายภาษาแบบนี้ซักเท่าไหร่ แต่สนุกมาก
พจน์ดูเหมือนคนโลเล หลายรักจริงๆ เหมือนแยกไม่ออกระหว่าง ความรักฉันเพื่อน หรือว่า รักแบบคู่รัก เหมือนชะตากรรมจากอดีตผูกพจน์กับมาตะไว้ด้วยกันทั้งๆที่พจน์ก็ไม่รู้ว่า รักหรือไม่รัก..... ไม่รู้ว่าตัวเองมีใจให้ใครกันแน่...
ดีใจที่คุณชอบครับนิยายเรื่องนี้ครับ ที่บอกว่าพจน์เหมือนเป็นคนโลเล แยกไม่ออกระหว่างรักแบบเพื่อน หรือคู่รัก ไม่รู้แม้กระทั่งรักหรือไม่รักนั้น ถือว่าเป็นความคิดเห็นอีกด้านหนึ่งที่สะท้อนมาจากผู้อ่าน ถ้าผมบังเอิญเขียนไปให้คุณรู้สึกว่า พจน์ไม่ได้รักมาตะจริงๆ ก็ด้วยเป็นความผิดของผู้เขียนเอง ขอน้อมรับไว้แต่ผู้เดียว ผมไม่รู้ว่า นิยามความรักของแต่ละคนเป็นอย่างไร แต่ถ้าพจน์ไม่แสดงออกว่ารักมาตะไม่ว่าด้วยคำพูดหรือการกระทำให้ชัดเจนจนคุณอ่านแล้วรู้สึกดังนั้นก็เป็นความผิดของผู้เขียนอีกนั่นแหละ ถ้าจะให้กลับไปแก้ตรงจุดไหนหรือไม่อย่างไร ผมตรวจทานดูแล้ว คงไม่อาจแก้ได้ พจน์จะรักมาตะจริงแท้หรือเปล่า คำตอบอยู่ในใจผู้อ่านอยู่แล้วไม่อยากไปชี้นำ ดังนั้น การที่คุณท้วงมาดังนั้นนับว่าเป็นกระจกสะท้อนงานเขียนอีกแสงหนึ่งขอน้อมรับไว้ ถึงจะรู้ว่าอดีตชาติเคยรัก ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้พจน์รักมาตะ แต่เป็นผลและการกระทำในภพนี้ต่างหากที่ทำให้คนทั้งสองผูกพันกัน ขอบคุณนะครับสำหรับคำติชมดีๆ แล้วมาเม้นต์อีกนะครับ


สู้ๆนะคะ หายป่วยไวๆ  :pig4: :L1: :pig4:
ขอบคุณสำหรับความห่วงใยครับ พอเห็นข้อความนี้ปุ๊บอาการป่วยแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง เป็นกำลังแรงใจได้ดีมากๆครับ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๐ จากลาลาลิ่วล้ำลอยจาก ๑๐๐% (๒๑/๐๙/๕๙) หน้า ๑๓ UP..
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 21-09-2016 20:07:45
อ้าว รู้ตัวว่ารักมากแต่กลับไปหามาตะไม่ได้อีกแล้ว ทีนี้พจน์จะทำยังไง ทั้งเรื่องการปราบจอมมารด้วย ขอบคุณคนเขียนที่เขียนเรื่องแนวนี้ให้อ่าน สนุกมาก มีปริศนาให้คิดต่อเรื่อยๆ เราชอบกลอนที่คุณแต่งนะคะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๐ จากลาลาลิ่วล้ำลอยจาก ๑๐๐% (๒๑/๐๙/๕๙) หน้า ๑๓ <สำรวจโพลล์>
เริ่มหัวข้อโดย: iNcamisang ที่ 21-09-2016 21:10:33
 :o12: :o12: :o12:
ม่ายน้าาาา
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๐ จากลาลาลิ่วล้ำลอยจาก ๑๐๐% (๒๑/๐๙/๕๙) หน้า ๑๓ <สำรวจโพลล์>
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 21-09-2016 21:56:43
บอกตรงๆเห็นชื่อตอนแล้วไม่อยากกดอ่านเลย ทำใจนานมากถึงยอมกด กลัวตอนเศร้าๆ แล้วก็เศร้าจริง  :katai1:ไม่คิดว่าจะลาจากกันขนาดนี้ ถ้าตอนนี้ยาวกว่านี้อีกหน่อยคงมีน้ำตาซึมแค่นี้ก็แย่ละ ไม่อยากให้พจน์ทำแบบนี้เลย บอกตรงๆเริ่มกลัวใจพจน์ละตัดสินใจรวดเร็วมาก :o12: ตอนต่อไปไม่เอาเศร้าแล้วได้ไหมอ่ะ พลีสสส~
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๐ จากลาลาลิ่วล้ำลอยจาก ๑๐๐% (๒๑/๐๙/๕๙) หน้า ๑๓ [แจ้งสำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: pnn ที่ 23-09-2016 06:04:31
 :o12:  :o12: :o12: ม่ายยยยยยยย ใจร้ายอ่ะ พจน์ :sad4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๐ จากลาลาลิ่วล้ำลอยจาก ๑๐๐% (๒๑/๐๙/๕๙) หน้า ๑๓ [แจ้งสำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 23-09-2016 10:43:43
 :o12: :o12: แล้วจะเป็นต่อไปสงสารทั้งคู่เลยย
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๐ จากลาลาลิ่วล้ำลอยจาก ๑๐๐% (๒๑/๐๙/๕๙) หน้า ๑๓ [แจ้งสำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 23-09-2016 11:07:39
ไม่มีใครใจร้าย  ถ้าจะโทษก็คงโทษโชคชะตาที่กำหนดมาแบบนี้   เมื่อตัดสิ้นใจแล้วก็ต้องยอมรับความจริง  ความเจ็บปวดที่เกิด  รอตอนต่อไปครับ ว่าจะจบแบบไหนอะนะ  คึคึ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๐ จากลาลาลิ่วล้ำลอยจาก ๑๐๐% (๒๑/๐๙/๕๙) หน้า ๑๓ [แจ้งสำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 23-09-2016 17:55:52
เพิ่งอ่านได้ 12 บท ขอเข้ามาดันให้ก่อนนะคะ ชอบมากๆ ช่วงแรกอ่านยากซักหน่อย เกือบจะขอผ่านไปละ แต่พอตั้งใจกลับมาอ่านอีกที รู้สึกสนุกดี ชอบภาษา ทั้งกลอนและสำนวนการพูดต่างๆมาก

มีตินิดเดียวคือ บางคำพูดของตัวละคร แม้ว่าจะเป็นภาคปัจจุบัน แต่กลับใช้ภาษาเขียน มันเลยสะดุดอยู่บ้าง และมีเขียนผิดเล็กๆน้อยๆประปรายค่ะ เช่น กระเส่า มักเขียนผิดเป็น กระเซ่า , ขลุก เขียนเป็น คลุก อะไรทำนองนี้ ผู้เขียนอาจจะมึนเบลอเนื่องจากมีศัพท์แสงภาษาไทยมากมายในคลังสมอง เลยรีบเขียนไปหน่อย เป็นกำลังใจให้นะคะ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๑ หนังสือปกแดง ๑๐๐% (๒๗/๐๙/๕๙) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 27-09-2016 09:53:11
บทที่ ๔๑


หนังสือปกแดง
   


๙  วันแล้วนับแต่ปัจฉิมข้ามพิภพ ไม่มีหมอกควันขาวโอบอุ้มพจน์สู่มหาพิภพอีก ยืนยันแน่ชัดถึงอำนาจแห่งการเดินทางมลายสิ้นดั่งสัจจะคำกลอน เขาแอบคะเนว่าทุกสิ่งอย่างคงไม่ได้ทลายลงจริง ทุกครั้งเมื่อหวนคิดถึงมาตะ พจน์ได้แต่เฝ้าวอนให้พลังโชคชะตานำพายังคงอยู่มิได้สูญสลาย แต่เป็นเวลา ๙ วันแล้วที่ไม่เกิดความมหัศจรรย์ใดๆดังเก่า
 
เป็น ๙ วัน....ที่ทรมานที่สุดในชีวิต

สถานการณ์น้ำท่วมกรุงเทพมหานครและปริมณฑลกลับคืนภาวะปกติ ภัทรพจน์ใช้บาดแผลเจ็บเสียดสุมเป็นขุมกำลังในการฝึกซ้อมฟุตบอลนัดชิงชัยในไตรกีฬาสามัคคีที่จะจัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า ทุกเย็นหลังเลิกเรียน ยามว่างหรือจิตใจหวนคำนึงถึงมาตะครั้งใด ก็อาศัยเจ้าลูกกลมๆเป็นเพื่อนคลายเศร้า จนกระทั่งโค้ชทั้งเพื่อนร่วมทีมต่างออกปากทักท้วง บ้างห้ามไม่ให้หักโหม จนอาจเกิดอาการบาดเจ็บก่อนเกมการแข่งขันจะมาถึง พจน์ได้แต่พยักหน้าตามคำแนะ แต่ใจเรียกร้องให้ฝึกหนักขึ้นๆ ความเหน็ดเหนื่อยทำให้พจน์ข่มตานอนหลับในทุกคืนได้โดยที่ไม่ต้องผวาตื่นกลางดึกเพื่อที่จะพบกับราตรีว่างเปล่า ไร้เจ้ามาตะข้างกาย
   
เช่นเดียวกับการประชันกลอนสดที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันนี้ โดยโรงเรียนพจน์เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน เขาพยายามถอนตัวจากทีมประชันและประธานชมรม แต่อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมไม่อนุญาต นอกจากพจน์จะหาเหตุผลเหมาะสมเพียงพอในการลาออก เพราะครั้งใดพจน์นึกถึงโคลงกลอน ในหัวจะมีภาพเจ้ามาตะโผล่เข้ามาเสมอ ทั้งตอนร่วมด้วยช่วยไขปริศนามนตราลีลาทมิฬจนสำเร็จ หรือแม้แต่การโต้ตอบกลอนสดแสดงความห่วงหาอาทรต่อกันและกันเป็นภาพแสลงใจ ดังนั้นการหลบหลีกจากสิ่งกระตุ้นเตือนคือหนทางออกเหมาะควรที่สุด แต่ภาระหน้าที่ต้องมาก่อน พจน์จึงจำยอมร่วมแข่งขันเป็นครั้งสุดท้าย นับจากนี้ตนจะไม่แตะต้องร้อยกรองใดๆตลอดชีวิต
   
หลังจากศาสตราจารย์วิชัยพบพจน์ในห้องนอนวันนั้น จึงรู้ว่าท่านทราบมาตลอด ว่าหลานชายเดินทางข้ามพิภพได้ พจน์ไม่ได้ซักไซ้รายละเอียด แต่ท่านคงอาศัยสังเกตอาการหมดสติในครั้งละยาวนานเป็นข้อสันนิษฐาน ประกอบกับบุคคลชุดขาว ณ วัดไชยวัฒนารามคงแจ้งเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย หลังข่มใจอำลาอาลัยมาตะสำเร็จ จดจำสถานที่ครั้งสุดท้ายก่อนข้ามพิภพได้คือ วัดไชยวัฒนารามไม่ใช่เรือนไทยเทพวิมาน ศาสตราจารย์วิชัยผู้ปู่ลังเลสองจิตสองใจแล้วว่า หลังเผชิญหน้าอัครมหาเสนาบดีปีศาจสหภูบาล ไอ้กันในรูปลักษณ์อย่างเดียวกับปีศาจปรากฏกายตามติด ระหว่างช่วงเป็นตายประชิด พจน์ถูกฤทธิ์อำนาจเพชรมณีดึงหนีให้ละเร้น เหตุการณ์หลังจากนั้นถูกถ่ายทอดด้วยถ้อยคำขมขื่นใจ

“พวกเรารอดตายมาได้ก็เพราะเจ้าหนุ่มนั่น” ดวงตาหลังแว่นทรงกลมสั่นไหว “เพื่อนของแกที่ชื่อ กัน ทรยศจอมปีศาจเป็นหนสองเพื่อปกป้องคุ้มครองพวกเรา เขาร่ายพระเวทสังหารเสนาบดีปีศาจและภูติวิญญาณก่อนที่มันจะทำอันตรายเรา เด็ดเดี่ยวกล้าหาญนัก ปู่ไม่เคยพบใครที่มีหัวใจเข้มแข็งขนาดนั้น กระทั่งตอนแกเดินทางข้ามพิภพไปแล้ว เจ้าหนุ่มกันโจนถลาคว้าตัวกอด พร่ำคำที่ทำให้หัวใจของเพื่อนทุกคนต้องหลั่งน้ำตา
 
‘สัญญาลูกผู้ชาย คือ สัญญาที่ไม่เคยจางหาย กูทำตามคำที่ให้ไว้เป็นสัจจะคำมั่นเสมอ ไอ้พจน์ กูน่ะหรือจะกล้าทรยศมึง ไม่มีวัน หัวใจกูเป็นของมึงนับแต่วันที่กูได้พบมึงแล้ว คำพูดของมึงก่อนนี้จึงเหมือนดาบเฉือนหัวใจกู กูไม่อาจฝืนทำตามแผนการของมหาเทพได้อีก ไม่อาจแสร้งเป็นสมุนจอมปีศาจได้อีกต่อไป เพราะแววตาผิดหวังทลายเกราะหัวใจกูพังพินาศ จอมมารจะไม่เชื่อใจกูอีก กูยอมแล้ว ยอมรับแล้วว่ากูรักมึงอย่างที่สุด ได้โปรดเถิดมหาเทพ จงทำตามสัตย์สัญญา รักษาปกป้องครอบครัวเทพวิมานด้วย เพราะนับจากนี้จอมมารจะไม่มีวันละข้าไว้ให้มีลมหายใจเด็ดขาด’

 
ทุกคน ณ ขณะนั้นทรมานไม่ต่างกับใจเจ้าปีศาจหนุ่ม หลังจุมพิตหน้าผากแล้วจึงหายตัวลับทั้งน้ำตา จากนั้นทุกคนยกเว้นปู่จึงถูกหมอกมนตราลบความทรงจำระหว่างเหตุปะทะ ณ วัดไชยวัฒนารามออกจากใจ ทุกคน...ยกเว้นปู่ จะจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉะนั้นการที่แกบอกว่าจะไม่มีการข้ามพิภพอีกนั้นจึงทำให้ปู่วิตกกังวล หลานสละอำนาจส่วนนั้นแต่อำนาจแห่งเพชรมณียังคงอยู่มิได้ละทิ้ง ปู่ไม่อยากจะพูดคำนี้เลย แต่จำต้องทำ ตาพจน์ แกต้องเลือกว่าจะให้พิภพไหนดำรงอยู่ต่อไป บอกมา แล้วนั่นจะทำให้ปู่ตัดสินใจได้ในที่สุดว่าจะต้องทำยังไง”

“นี่ใช่ไหมครับที่ทำให้คุณปู่ละทิ้งไม่สานต่อคำประกาศเตือนภัยน้ำท่วมโลก ก็เพราะว่าคุณปู่รู้ว่า ไม่ว่าจะพิภพไหนต้องมีแห่งหนึ่งแห่งใดพังพินาศลง”

ศาสตราจารย์วิชัยก็พยักหน้ารับว่าจริง

“ผมเลือกไม่ได้ครับ ผมทำไม่ได้ ถ้าผมโหดร้ายได้สักเสี้ยวหนึ่งของใจจอมปีศาจ ผมคงให้คำตอบคุณปู่ได้ แต่ผมทำไม่ได้จริงๆ”

“แต่แกต้องตัดสินใจ เวลางวดใกล้เข้ามาทุกขณ...” เพียงศาสตราจารย์เห็นอาการสั่นหน้าของหลานชายผู้ครอบครองอำนาจเหนือคนทั้งโลกก็พลันไร้คำพูด


ทำไม่ได้ เลือกไม่ได้ พจน์ไม่มีอำนาจตัดสินใจให้ใครอยู่หรือใครต้องตาย ไม่ แม้แต่อำนาจเพชรมณีก็ไม่สามารถบังคับเขาให้เลือกเส้นทางโหดร้ายทั้งสองได้ สุดท้ายพจน์จึงไม่ทำสิ่งใดเลย ทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นแล้วใช้ชีวิตเหมือนปกติชนดังเดิม ก่อนที่จะข้ามพิภพ ก่อนที่จะเจอมาตะ

แม้นภาพที่คุณปู่เห็นคือหลานชายคนเดิม แต่ลึกๆแล้วท่านรู้ว่า ไม่มีสิ่งใดเหมือนเดิมอีก ท่านไม่เพียงไม่คาดคั้นเอาคำตอบ หรือเซ้าซี้ให้พจน์เลือกวิถีทางช่วยโลกนี้หรือโลกของมาตะ แต่ท่านยังคงยึดมั่นเจตนาเดิมก่อนหน้าคือ เลิกล้มการประกาศเตือน
 
‘ถ้ามนุษย์บนพิภพนี้เชื่อว่าน้ำท่วมโลก มหาพิภพจะล่มสลาย ถ้าสามารถรวบรวมมหามณีสามสิ่งได้ มหาพิภพจะล่มสลาย’

ท่านรู้ว่าสิ่งที่จะล่มสลายไปด้วยคงไม่พ้นหัวใจของหลายชายคนเดียว จึงไม่ได้ทำตามคำมหาเทพแนะ ณ วัดไชยวัฒนาราม ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปแต่บุญกรรม หรือเพียงแค่คำตัดสินใจของภัทรพจน์ ทุกอย่างจะผลิกชะตาของพิภพใดพิภพหนึ่งทันที แต่เวลาไม่เคยรอท่า และชะตาของพิภพโลกาก็ใกล้ถึงจุดผลิกผันในไม่ช้า ท่านรู้ดีแก่ใจ

“มึงโอเคนะ ไอ้พจน์”

ภัทรพจน์เหลียวมองหน้าไอ้น้ำตาลอยก่อนจะยักคิ้วให้เจ้าตัวเล็ก มันลืมเหตุการณ์เผชิญปีศาจ ณ วัดไชยวัฒนารามไม่หลงเหลือเช่นเดียวกับคนอื่นๆ พจน์ภาวนาให้ตนเป็นหนึ่งในนั้น เพราะคนที่จำได้เจ็บยิ่งกว่าคนที่ลืมได้

“อืม”

“มึงเอาความคิดจะลาออกจากชมรมคนเจ้าบทเจ้ากลอนมาจากไหนวะ” ไอ้เตี้ยน้ำโวยวายหน้าสีเครียด “กูโดนอาจารย์ที่ปรึกษาเฉ่งมาเต็มหัวเลย แล้วอีกอย่างถ้ามึงออกกูนี่แหละต้องเป็นคนแทนที่มึง กูไม่เอาด้วยหรอก ขอลาออกตามมึงแน่ๆ”

“กูยังไม่ออกหรอก อาจจะอยู่จนสิ้นเทอม”

แล้วชลนธีก็บ่นน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงต่อไป ไอ้ต่อกระแทกจานข้าวลงตรงหน้าพจน์ พวกมันอาสาซื้อข้าวปลาให้เด็กหนุ่มหน้าสวยแบบจานพิเศษอีกต่างห่าง เนื่องจากว่าพักหลังเห็นพจน์ดูเศร้าหมองตรอมใจ จนร่างกายผ่ายผอมลงผิดหูผิดตา ทั้งกินอาหารเหมือนแมวดมเลยบังคับแกมข่มขู่ให้ทานอาหารเหมือนชาวบ้านคนปกติกิน โดยนั่งกำกับนับจำนวนคำกินข้าว หรือปริมาณกับต้องพอดีไม่ใช่เขี่ยทิ้งเสียดายของ ไอ้ปาล์มใช้ช้อนส้อมแงะก้างปลาตะเพียนทอดน้ำปลาให้พจน์ระหว่างเห็นเด็กหนุ่มตาสีน้ำตาลเอาแต่จดจ้อง

“อะ มึงจะได้กินสะดวกๆ ไม่มีอะไรกระแทกติดคอ ยิ่งช่วงนี้เหม่อๆลอยๆกูกลัวก้างจะเสียบคอตายไปซะก่อน” ไอ้นี่ก็อีกคนที่ลืมทุกอย่าง ณ วัดไชยวัฒนาราม มันน่าจะลืมไปด้วยว่า มันเคยพูดว่า รักพจน์ เพราะทุกอย่างถูกกระทำเหมือนปกติโดยสิ้นเชิง แล้วหลังจากกลับมาจากอยุธยามันก็บอกเลิกน้องแพรวทันที ทำเอาสาวเจ้าตามวอแวไอ้ตี๋หล่ออยู่หลายวันหวังจะง้อคืนดี แต่คุณชายเปรมณัฐใจแข็งหักดิบไม่สนใจหญิงสาว สุดท้ายน้องแพรวฟูมฟายทำเรื่องขอย้ายโรงเรียนออกไปในวันรุ่งขึ้น

“มึงไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ กู...” สีหน้ามุ่งมั่นแงะก้างปลาออกทำให้พจน์หวนนึกถึงใครบางคน

“แดกๆไปเหอะว่ะ มันอาสาทำให้มึงก็อย่าบ่นให้เรื่องมาก ตอนบ่ายมีแข่งประชันกลอนสดไม่ใช่หรือไง หาอะไรบำรุงสมองบ้าง ถึงหน้าตามึงจะดีแต่ถ้าไม่ทานอะไรปัญญาก็ง่อยได้นะครับ” ไอ้กีลูกครึ่งอังกฤษว่าเข้าให้ ยักคิ้วกวนส้นเท้า

“กูๆ แกะให้กูด้วยดิพวกมึง กูก็ลงแข่งเหมือนกันนะ” ไอ้น้ำชูแขนสั้นป้อมโวยหาคนอาสาแกะก้างปลาบ้าง

“ให้มันน้อยๆหน่อย น้องน้ำ ไอ้พจน์เป็นใคร แล้วมึงเป็นใคร มึงต้องบำรุงหัวหน้าทีมโว้ยถึงจะรอด อย่ามาทำปากคว่ำ ช่วยไอ้ปาล์มแกะก้างปลาให้ไอ้พจน์เลย” ไอ้โบทโบกเกรียนน้องน้ำ ไอ้เตี้ยเหมือนสำนึกได้ฉีกยิ้มแย่งปาล์มแงะเนื้อปลาส่งให้พจน์พัลวัน ระหว่างนั้นคุณชายเปรมจึงปล่อยหน้าที่ปรนนิบัติคืนให้เจ้าตัวเล็กชะโงกหน้าจับจ้องมองพจน์

“มึงโอเคนะ ตั้งแต่กลับจากอยุธยาดูเหมือนซึมๆ อีกอย่างกูก็บอกเลิก...”

“กูโอเค ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวมานะ”
 
ภัทรพจน์เบือนหน้าหนีจากแววตาสงสัยของเพื่อนๆ ซอยเท้าเดินพ้นโรงอาหารอย่างไร้จุดมุ่งหมาย ทั้งรุ่นน้องรุ่นพี่ชายหญิงทักทายเก้อ เมื่อเด็กหนุ่มหน้าสวยไม่มีท่าทีตอบรับ จิตใจพจน์ตอนนี้ต้องการสถานที่สงบ เขาต้องการสมาธิ แต่หัวใจว้าวุ่นเหลือเกิน ไม่ว่าจะมองไปทางไหนหรือที่ใด ทุกการกระทำหรือคำพูดคนรอบข้าง ต่างชักนำคนคนหนึ่งที่พจน์ทิ้งไว้ในดินแดนห่างไกลใต้มหาสมุทรแปซิฟิกเข้ามาแทนทดในห้วงความคิดเสมอ ทำยังไงดี เขาต้องอดทน ในเมื่อนี่คือหนทางที่พจน์เลือกว่าดีที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะทรมานแค่ไหนเขาจะต้องอยู่กับสิ่งที่ตนเลือกให้ได้

ผลักประตูห้องสมุดเดินดุ่มๆเข้าด้านในสุดของชั้นหนังสือหมวดวรรณกรรม ระหว่างพักเที่ยงแทบไม่พบนักเรียนชั้นอี่นเอื้ออำนวยต่อการทำสมาธิอย่างยิ่ง ซัดหมัดใส่กำแพงปลดปล่อยความผิดกัดกินใจผ่านความเจ็บลึกแล่นริ้วซึมหลังมือสะท้อนถึงห้วงใจ

‘พวกเรารอดตายมาได้ก็เพราะเจ้าหนุ่มนั่น’

“กูเป็นต้นเหตุให้ทุกคนเจ็บ แม้แต่มึงไอ้กัน ขอโทษสักพันครั้งยังทดแทนบุญคุณของมึงไม่หมดสิ้น อย่างน้อยได้โปรดส่งสัญญาณบางอย่างบอกว่ามึงยังอยู่ใกล้ๆกู แม้ไม่อาจปรากฏตัวให้เห็นได้ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษ”

กระหน่ำชกผนังตามจำนวนครั้งคำขอโทษ จนผิวเนื้อนวลใสแดงก่ำช้ำเลือด พลิกตัวกระแทกแผ่นหลังลงบนผนังตรงข้ามชั้นหนังสือหอบตัวโยน หากในหัวยังคงมีมาตะ กัน วนเวียนอยู่แบบนี้ ช่วงการแข่งขันกลอนสดตอนบ่ายพจน์คงทำล่มไม่เป็นท่าแน่ คว้าสันหนังสือปกแดงเข้าเล่มแบบเย็บกี่ ตรงหน้าพลิกอ่านผ่านๆ เพื่อใช้ดึงสติให้จดจ่อแน่วแน่กับตัวหนังสือในเล่ม

อ้างถึง
หนังสือเล่มนี้เป็นความพยายามอย่างมากของดิฉัน คราวต้องเดินทางนับเป็นเวลานานหลายสิบปีเพื่อศึกษาค้นคว้าเรื่องราวของมหาทวีปลึกลับซึ่งซ่อนอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิก จุดเริ่มแรกที่ทำให้ดิฉันสนใจเรื่องราวเหล่านี้ คือ เมื่อตอนมีโอกาสได้ท่องเที่ยวประเทศแถบชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกทวีปอเมริกาใต้ บังเอิญดิฉันประสงค์สืบหาความรู้ในพิพิธภัณฑ์เก็บสะสมของเก่าที่นั่น และโชคดีได้อ่านคำบันทึกโบราณ ถอดความได้ว่า มีคนในยุคสมัยนั้นพบเห็นแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์อยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิก คนที่นั่นคิดว่าเป็นความเชื่อบางอย่างของชนเผ่าโบราณ แต่ดิฉันไม่คิดเช่นนั้น ดิฉันพยายามสืบเสาะหาข้อมูลของเรื่องราวนี้จึงจำต้องออกเดินทางทั่วโลก บางประเทศพบข้อมูลแต่ถูกปิดเงียบไว้โดยรัฐบาลท้องถิ่น ดิฉันจำต้องสอบถามชาวบ้านผู้มีความเชื่อในเรื่องดินแดนลึกลับ ถึงได้ข้อมูลที่ต้องการ

ตลอดระยะเวลาครึ่งชีวิตของดิฉันได้รวบรวมสิ่งที่ค้นคว้ามากมายหลายอย่าง เช่น หลักฐานภาพถ่าย คำบันทึกเสียงสัมภาษณ์ จารึกโบราณ เป็นต้น จึงทำให้ดิฉันรู้ว่าคำให้การของบุคคลเหล่านั้น มีสิ่งหนึ่งตรงกัน คือมีมหาทวีปลึกลับซ่อนอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิกจริง

เรื่องราวนี้ดูจะมีมากมายจนดิฉันเริ่มสงสัย เหตุใดหรือประเทศทั้งหลายเหล่านั้นถึงปกปิดไว้ไม่ยอมแพร่งพราย  แต่ดิฉันก็ยังมิได้รับคำตอบจวบกระทั่งปัจจุบัน ดิฉันยังสืบค้นข้อมูลย้อนหลังกลับไปเมื่อเกือบร้อยปีที่ผ่านมา จึงได้พบเรื่องราวเพิ่มเติมขึ้นจากคำพูดของนักดำน้ำ และผู้ที่ประสบอุบัติเหตุจมน้ำในอาณาเขตของมหาสมุทรแปซิฟิกแล้วรอดชีวิต ทุกคนให้การเหมือนกันหมดว่า ได้พูดคุยกับเสียงเสียงหนึ่ง เสียงนั้นได้เตือนพวกเขา เรื่องดินแดนใต้มหาสมุทรจะโผล่พ้นน้ำขึ้นมา และหายนะภัยน้ำท่วมโลกจะบังเกิดขึ้น เหตุการณ์มหาภัยพิบัติสอดคล้องตรงกันในวันที่ดาวเคราะห์แห่งระบบสุริยจักรวาลเคลื่อนเรียงเป็นแนวเดียว
 
ดิฉันเชื่อสนิทใจว่าเหตุการณ์นี้จะต้องเกิดขึ้นแต่คงไม่มีวันได้เห็น เพราะดิฉันกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย กว่าจะรู้ว่าตัวเองเป็นโรคร้าย ดิฉันก็สืบเสาะเรื่องราวของมหาทวีปลึกลับไว้มากพอสมควร มากพอที่จะรวบรวมจัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนทุกคนได้รับรู้อันตรายครั้งยิ่งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง โปรดเตรียมตัวให้ดี และเมื่อไม่กี่วันมานี้ได้มีศาสตราจารย์ท่านหนึ่งซึ่งรอดพ้นมาจากความตายในมหาสมุทรแปซิฟิก ออกมาพูดเตือนเรื่องน้ำกำลังจะท่วมโลก ท่านผู้นี้คงจะได้เห็นดินแดนนั้น  และดิฉันเชื่อสนิทใจว่าต้องมีเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับมหาทวีปลึกลับแน่นอน ดิฉันจึงดีใจมากเพราะอย่างน้อยก็ได้มีใครสักคนออกมาส่งสัญญาณ ต้องขอบใจสามีที่คอยให้กำลังใจอยู่เสมอมา ขอขอบคุณทางสำนักพิมพ์ที่ให้โอกาสสำหรับดิฉันหลังจากอ้อนวอนขอร้องอยู่นาน นี่อาจเป็นสิ่งสุดท้ายที่ดิฉันจะกระทำตอบแทนโลกใบนี้

                                                   
ผู้รวบรวม
   

พจน์รีบพลิกอ่านชื่อหนังสือบนหน้าปกอาบสีแดง เหนือแผนที่มหาสมุทรแปซิฟิกมีตัวอักษรพิมพ์นูนว่า มหาทวีปลึกลับ บางอย่างในกายพจน์สั่นไหวกระเทือนถึงมือ คำคำหนึ่งผุดวาบในห้วงคิด หรือว่านี่จะเป็น…


มีต่อด้านล่าง

_______________________________

เข้าเล่มแบบเย็บกี่ : เป็นการเข้าเล่มหนังสือที่มีความแข็งแรง เหมาะสำหรับหนังสือที่มีความหนามากๆ โดยเอากระดาษทั้งเล่มมาแยกออกเป็นส่วนย่อย แล้วเย็บแยกแต่ละส่วนเป็นเล่มเหมือนเย็บมุงหลังคา แต่ใช้ด้ายเย็บ จากนั้นนำเล่มย่อยๆมาร้อยรวมกันเป็นเล่มใหญ่
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๑ หนังสือปกแดง ๑๐๐% (๒๗/๐๙/๕๙) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 27-09-2016 10:41:55
[ต่อ]



หลักฐานเพียงชิ้นเดียวที่จะยืนยันคำประกาศเตือนหายนะภัยน้ำท่วมโลกของศาสตราจารย์วิชัย”

เสียงชายวัยกลางคนอธิบายความคิดพจน์  ใบหน้าวัยห้าสิบกว่าสวมแว่นตา ผิวขาว ริ้วรอยปรากฏตรงร่องแก้มและหางตามิได้ลบเลือนลักษณะใจดีรวมถึงความรูปงามเมื่อสมัยวัยหนุ่ม สวมเสื้อเชิ้ตขาวกางเกงสีเทาสามส่วน ริมฝีปากบางเรียบตึงเผยอรอยยิ้มบางเบา
 
“เอ่อ ที่อาจารย์พูดเมื่อกี้” พจน์ยกมือไหว้ครูบรรณารักษ์ประจำห้องสมุดโรงเรียน ทุกครั้งพจน์จะเห็นท่านทำงานอยู่เบื้องหลังหนังสือกองโตในห้องพักแต่ไม่เคยพูดคุยตัวต่อตัวแบบนี้

“ครูบอกว่า หนังสือในมือที่นักเรียนถืออยู่เป็นหลักฐานเพียงชิ้นเดียวสำหรับยืนยันหายนะภัยน้ำท่วมโลก และช่วยอธิบายลำแสงปริศนาที่พุ่งจากใต้พื้นมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งโด่งดังอยู่ในตอนนี้” ครูบรรณารักษ์เดินเข้ามาตามตรอกซอกชั้นแล้วยกคิ้วเหมือนขออนุญาตพจน์เพื่อจับหนังสือปกแดงหนากว่าพันหน้าเพื่อพิจารณา

“ถ้าเป็นแบบนั้น หลักฐานที่คุณปู่ของผมตามหาอยู่...”

“คือหนังสือเล่มนี้”

“จริงหรือครับ” ความดีใจผุดซ้อนแทรกสอดด้วยความสงสัย เงยหน้าขอคำอธิบายจากครูบรรณารักษ์ชาย “แต่ทำไมถึงมีเพียงเล่มเดียวล่ะครับ”

“เมื่อสิบปีก่อน หนังสือทั้งหมดถูกกวาดล้างกำจัดทิ้งโดยผู้มีอำนาจในบ้านเมือง พวกเขาเล็งเห็นว่ามันจะเป็นภัยต่อสังคม กระตุ้นเตือนให้ประเทศชาติหวาดหวั่นวุ่นวาย แต่เล่มนี้ถูกส่งตรงมาหาครูและเหลือรอดอยู่เพียงหนึ่งเดียว”

ภัทรพจน์ขออนุญาตพลิกดูเนื้อหาภายในด้วยใจระทึก มีจารึกหินทรายในสมัยศตวรรษที่ ๑๗ กล่าวถึงคำบันทึกตัวอักษรเก่าแก่ เมื่อถอดแปลความหมายแล้วพบว่ามีมหาทวีปลึกลับซ่อนอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิกจริง ตามคำจารึกของชนเผ่ามายาที่สืบทอดความเชื่อนี้โดยตลอด แต่ ณ ปัจจุบันแทบไม่มีใครยอมรับ และเห็นว่างมงายไร้สาระ
 
พจน์เปิดอ่านผ่านหน้าแล้วหน้าเล่า มีภาพถ่ายขาวดำคำจารึกบนศิลา และกระดาษเปื่อยยุ่ยจำนวนมากมายหลากหลายประเทศ บทที่สองเป็นเรื่องคำให้การของผู้พบเห็นมหาทวีปลึกลับและเสียงประหลาดนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พวกเขาทุกคนให้การเป็นเสียงเดียวกันว่ามีสถานที่แห่งนั้นอยู่จริง

“อาจารย์รู้จักคุณปู่...หรือครับ” ดวงตาหลังแว่นระริกรื้นชั่วครู่

“ครูรอในสิ่งที่ไม่มีวันเป็นไปได้ วันนี้ครูพบคำตอบนั้นแล้ว”

“ผมต้องนำไปให้ท่าน ผมขอยืมครับ”

“ได้สิ ทำเรื่องยืมคืนตามปกติ และ...ฝากบอกศาสตราจารย์วิชัยด้วยว่า คำสัญญาที่จะช่วยเหลือทุกครั้งในยามอีกฝ่ายได้รับความเดือดร้อนนั้น ครูได้ทำตามแล้ว สัญญาระหว่างพี่น้อง มิตรภาพที่ไม่เคยลบเลือน วิศรุตได้ปฏิบัติแล้ว และไม่ต้องการคำขอบคุณหรือสิ่งตอบแทนใดคืนกลับ”

“ถ้าอาจารย์รู้ว่ามันเป็นหลักฐานแล้วทำไมถึงเก็บไว้ล่ะครับ ผมไม่เคยรู้เลยว่าจะอยู่ใกล้แค่เอื้อมขนาดนี้ หากล่วงรู้เร็วกว่านี้ ก่อนที่” ความเจ็บซึมแทรกกลางคำ ก่อนที่ตนจะข้ามพิภพ นิ้วมือกดสันหนังสือเล่มหนา ครั้นหวนคิดได้ว่าหากเขานำหลักฐานไปให้ท่านก็หมายความว่า พจน์ต้องการให้มหาพิภพล่มสลายสินะ

“เหตุผลเดียวกับที่เธอคิดอยู่ตอนนี้ ภัทรพจน์ บางเรื่องเป็นการยากที่จะเลือกตัดสินใจในทางใด บางทีอาจต้องใช้เวลาเป็นปี สิบปี สามสิบปี หรือตลอดชีวิต แต่อย่าให้การตัดสินใจครั้งนี้ของเธอยาวนานเหมือนครู มนุษย์เกิดมาเพื่อต้องเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หนทางที่เจ็บน้อยที่สุด ได้ประโยชน์มากที่สุด วันนี้ครูตัดสินใจได้แล้ว และอนุญาตให้เธอนำหนังสือเล่มนั้นส่งมอบให้ผู้สมควรได้รับมากที่สุดเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติ แต่อย่านิ่งเฉยไม่ทำสิ่งใด เพราะความสูญเสียแม้ต้องเกิดขึ้นก็ขอให้น้อยที่สุด ครูบอกได้เท่านี้ เอาไปให้ศาสตราจารย์วิชัยเถอะ ชายคนนั้นต้องการมันอย่างที่สุด ครูหมดภาระและได้คำตอบแล้ว”

“คำตอบอะไรหรือครับ”

มิตรภาพยาวนานกว่าความรัก ภัทรพจน์ เธอต้องเลือกระหว่างมิตรภาพและความรัก อย่าเสียเวลาซ้ำรอยเนิ่นนานเกือบสี่สิบปีแบบครู มันไร้ประโยชน์ ทั้งที่ครูรู้ว่าเธอเป็นหลานชายของคนผู้ประกาศเตือนหายนะภัยน้ำท่วมโลก แม้รู้ว่าเกี่ยวข้องกับมหาทวีปลึกลับ มหาพิภพ แต่ครูกลับนิ่งเฉยเพื่อรอความหวังบางอย่างแต่มันไร้ประโยชน์ไม่คุ้มเสีย ชีวิตคนเป็นพันล้านจะพินาศหากครูยังตัดสินใจไม่ได้ เธอเองก็เช่นเดียวกัน คืนหนังสือปกแดงให้ปู่ของเธอ ไม่ใช่เพื่อบรรลุจุดประสงค์ของครู แต่เพื่อทุกชีวิตมีค่าบนโลกได้ดำรงอยู่สืบต่อไป” ครูวิศรุตแตะบ่าพจน์เบามือ “เมื่อเราโตขึ้นสิ่งที่ยากไม่ใช่การลืม แต่เป็นการจำมากกว่า”
 
*******************************

“หัวข้อประชันกลอนสี่สุภาพรอบตัดสินระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้แก่ จากพราก” ภาพภพ ประธานนักเรียนผู้ทำหน้าที่พิธีกรประกาศผ่านไมโครโฟนดังชัดเจนทั่วโถงห้องประชุม มีกลุ่มนักเรียนหญิงชายชั้น ม.ต้น และ ม.ปลาย ยืนส่งเสียงให้กำลังใจรุ่นพี่ที่ตัวเองแอบปลื้มอยู่หนาแน่น ทันทีเมื่อได้ยินหัวข้อสุดท้าย ภัทรพจน์รีบหลับตาสะกดห้วงใจไม่ให้สั่นไหว ไอ้น้ำขะมักเขม้นจับปากกา รีดกระดาษเอสี่เรียบตึง ส่วนรุ่นน้องหญิง ม.๔ สมาชิกคนที่สามในทีมยืนอยู่หน้ากระดานไวท์บอร์ดพร้อมจดเช่นกัน เสียงกระดิ่งบอกจับเวลาเริ่มขึ้น พวกเขามีเวลาแค่สิบนาทีเท่านั้นสำหรับกลอนสี่บท ส่วนทีมผู้ท้าชิงกลุ้มรุมขบคิดทันทีไม่แพ้กัน

“ไอ้พจน์ กูว่าน่าจะเริ่มจาก...” ชลนธีหน้าซีดเหงื่อแตก

“จากพราก ในทางวรรณคดีนิยมเรียกคู่ของนก คือ เป็ดพม่า ยามต้องพรากจากกันจะครวญถึงกันในเวลากลางคืน”

“มึงจะแต่งเกี่ยวกับเป็ดพม่าหรอ”

“หนูว่าพี่พจน์น่าจะหมายถึงคนรัก ไม่ใช่เฉพาะเป็ดนะคะ” รุ่นน้องหญิงชะเง้อชะแง้เสนอร่วมคิด

“ถูกแล้วครับ” อยู่ๆพจน์ก็นึกถึงห้วงเวลาก่อนตัวเองจะพรากจากมาตะ ความรู้สึก ณ ขณะนั้นล้นปรี่จนกระทั่งกลั่นเป็นร้อยกรองในทันใด

“จากเอยจากมิจากจำต้องจาก
จำพลัดพรากจำจากจำพลัดหลง
ใจสองดวงเคยรักแจ้งจำนง
ถึงคราวคงพรากจากจดจำใจ

ก่อนเคยรักสมัครรักพันผูก
ทุกข์สุขถูกผิดพลั้งร่วมแก้ไข
น้ำคำรักหวานซึ้งตรึงตราใน
ผนึกไว้กลางทรวงล่วงผ่านกาล

เมื่อมีพบต้องมีวันพรากจาก
หนึ่งคำฝาก รัก รัก รักผสาน
ครวญใคร่คิดคะนึงถึงซึ่งวันวาน
เราร่วมราญร่วมคู่ร่วมวิญญาณ์

พรากเอยพรากมิพรากจำต้องพราก
จำพลัดจากจำพรากถวิลหา
แววเว้าวอนแววรักแววนัยน์ตา
ชั่วดินฟ้าแม้นพรากจากเพียงกาย”

“หนูขนลุกไปหมดเลยพี่พจน์ ทำไมพี่ถึง...” เพียงเด็กสาวจับจ้องดวงตาสีน้ำตาลก็พลันตื้นตันอก อยู่ๆน้ำตาของเด็กสาวหนึ่งเดียวในทีมก็ไหลเลาะอาบแก้ม
 
“กูว่ามันดีมากไอ้พจน์ มีการเล่นคำ ว่า พราก ว่า จาก ดีเยี่ยม” ชลนธีจดคำกลอนทั้งสิ้นลงบนแผ่นกระดาษมือระวิง แล้วเงยหน้ามองเพื่อนสนิทตาสีน้ำตาล “กูตรวจทานดูแล้ว ไม่น่ามีแก้ไขนะ น้องว่าไง”

เมื่อไอ้น้ำเลื่อนขอความเห็นจากสมาชิกจึงพบความรันทดผ่านน้ำตารุ่นน้องสาว ทั้งที่ใบหน้าเพื่อนพจน์ว่างเปล่าแต่ดูเหมือนความในใจถ่ายทอดอารมณ์ผ่านเด็กสาวทั้งสิ้น ไอ้น้ำหักใจไม่สำแดงด้านอ่อนแอ แสร้งออกปากให้เด็กสาวลอกบทกลอนทั้งนั้นลงกระดานไวท์บอร์ด

“เกิดอะไรขึ้นวะ ไอ้พจน์ ที่อยุธยา มันเกิดอะไรขึ้นสักอย่างแน่ๆ เหมือนกูจะหลงลืมอะไรไป เหมือนมีบางอย่างขาดหาย ใครทำอะไรมึงหรือเปล่า หรือเพราะเรื่องปู่ของมึงกับน้ำท่วมโลก หรือว่าเรื่องไอ้ปาล์ม”

“ไม่ว่ะ ไม่มีอะไร” ปฏิเสธทั้งที่ใจอยากระบายให้ไอ้น้ำได้ล่วงรู้ ไม่ใช่ที่อยุธยา แต่เป็นมหาพิภพแห่งนั้นที่ทำให้พจน์กลั่นความนัยเป็นกลอนสี่สุภาพ ขอปากกาลงชื่อตนถัดจากชลนธี ในช่องนามแฝงจรดหมึกลงว่า พชระตะ

เวลาประชันแข่งขันใกล้หมดลง เช่นเดียวกับเวลาของความเสียใจ หากมาตะประพฤติด้านร้ายๆใส่พจน์ เขาคงจะลืมมาตะได้ แต่เจ้านั่นสักเสี้ยวหนึ่งก็ไม่เคยตั้งใจให้พจน์ต้องระทม หากมาตะชื่นชมยินดียอมให้บุหลันขโมยจูบ หว่านเสน่ห์จนกฤษณาหรือใครต่อใครรักใคร่สมัครรัก มันคงง่ายที่พจน์จะลืมมาตะ แต่เจ้านั่นไม่เพียงซื่อตรงต่อพจน์ แต่ยังเทิดทูนเขาเสมอดวงใจ ก็มันเป็นแบบนี้ แล้วเขาจะลืมได้ยังไง
 
หนังสือปกแดงยังคงหนักอึ้งอยู่ภายในกระเป๋านักเรียน เคียงข้างหนังสือ อัญมณี : ประวัติความเป็นมาและมูลค่าทางเศรษฐกิจ พจน์ตัดสินใจได้แล้วว่าต้องทำอย่างไร หนังสือทั้งสองเล่มจะต้องส่งมอบต่อให้คุณปู่ แม้สถานที่ที่หัวใจพจน์ดำรงอยู่จะพินาศล่มสลายลง เขาเชื่อว่าถ้าหากถามมาตะ เจ้านั่นก็คงทำในสิ่งที่พจน์ตัดสินใจ มันมักเสียสละความสุขส่วนตัวเสมอเพื่อให้คนอื่นสุข นี่คือการตัดสินใจของพจน์ อีกไม่นานเมื่อทุกอย่างจบสิ้นเขาจะตามไปอยู่กับมาตะเป็นครั้งสุดท้าย ชาติภพสุดท้าย

“หมดเวลาครับ” เสียงไอ้ภามบ่งบอกสิ้นสุด มันส่งสายตาเป็นคำถามมาให้พจน์เมื่อเห็นทุกข์ทรมานบนสีหน้า

เสียงกระดิ่งดังบอกสัญญาณ กรรมการทั้งห้าเข้าตรวจบทกลอนคร่ำเคร่งเป็นเวลานานพอดู ก่อนจะประกาศผู้ชนะผ่านไมโครโฟนว่า ทีมโรงเรียนของพจน์เป็นผู้ชนะขาดลอย เสียงโห่ร้องยินดีจากรุ่นน้องผู้มาคอยเชียร์ดังสนั่นลั่นห้อง ไอ้น้ำกระโดดโลดเต้นดั่งว่าถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่หนึ่ง ส่วนรุ่นน้องหญิงทำเพียงอมยิ้มเช็ดน้ำตาป้อยๆเท่านั้น
 
หลังเลิกเรียนพจน์ชวนคุณประธานนักเรียน และทุกคนในกลุ่มเทวดาเดินดินไปที่บ้านเทพวิมาน ไม่ใช่เพื่อฉลองในชัยชนะการประกวดกลอนสด แต่เป็นคำฝากชวนของภพดนัยผู้บิดา เนื่องจากวันนี้เป็นวันครบรอบคล้ายวันเกิดของศาสตราจารย์วิชัยอายุครบหกสิบปี โดยภพดนัยยืนกรานว่าจะต้องจัดเลี้ยงฉลองแม้นคุณปู่จะปฏิเสธไม่ต้องการก็ตาม

ระหว่างเจ้าพวกเพื่อนๆต่างอาสาภพดนัยเป็นธุระตกแต่งสถานที่ประดับประดากระดาษสีแวววาม รวมถึงเครื่องเสียงลำโพงสำหรับร้องเพลงคาราโอเกะ ส่วนหนึ่งลงไปช่วยป้าแจ่ม ลุงชม พี่ส้ม และดาวที่โรงครัว เป็นต้นว่าไอ้น้ำ ไอ้ปาล์ม ไอ้เอก ไอ้รัก พจน์จึงอาศัยจังหวะนั้นกลับคืนห้อง รื้อค้นหลักฐานสำคัญออกจากกระเป๋าอันหนักอึ้ง ประหนึ่งความหวังของมวลมนุษยชาติทับถมลงในหนังสือปกแดง เขาได้ตัดสินใจเลือกแล้วตามคำชี้แนะของอาจารย์วิศรุต บรรณารักษ์ห้องสมุด เพื่อนของคุณปู่

ฉับพลันบานหน้าต่างห้องนอนทรงไทยก็เปิดอ้าออก ลมปริศนาซัดสาดใส่ นกประหลาดตัวหนึ่งซึ่งพจน์เคยลอบสังเกตเห็นหลายครั้งหลายหน ว่ามันมักอาศัยอยู่บนต้นไทรริมน้ำหลังเรือนเทพวิมาน ขนประกายส้มเหลือบเหลืองสลับแดง ดวงตาดำขลับขยับโยกพินิจพจน์เอียงคอไปมา มันไซร้จะงอยปากตามขน แล้วหมอกควันขาวจึงระเบิดปกคลุมนกยักษ์กลับกลายเป็นเงาของบุรุษผู้หนึ่ง สัดส่วนล่ำสันสูงกว่าพจน์พอประมาณ เมื่อเงาหมอกจากหายจึ่งเห็นชัดว่า ชายคนนั้นไม่เพียงแต่งกายลักษณะคล้ายผู้คนบนมหาพิภพ คล้องผ้าขาว พาดไหล่ซ้ายขวาด้วยสุวรรณสังวาล แลเครื่องประดับทองนานาประการ กึ่งกลางหน้าผากคือจินดาหยดน้ำสีใส แววตายิ้มเฉกเดียวกับริมฝีปาก ปลายคิ้วและหนวดวาดโค้งกระหนกอย่างเดียวกับเทวดาในรูปจิตรกรรมฝาผนังโบสถ์

“ภัทรพจน์ มหาบุรุษ โปรดรับการคารวะนอบน้อมด้วยเถิด”

ว่าพลางก็ทรุดกระทำก้มกราบเบญจางคประดิษฐ์แนบพื้นกระดานเรือน

“ท่านเป็นใคร” พิจารณาบุรุษผู้เคยครองร่างนกยักษ์ก็พลันฉงนสุดประมาณ

“ข้าคือ ปักษาวายุภักษ์ พระเจ้าข้า”

*******************************

ขณะภพดนัยกำลังจัดเตรียมย้ายโต๊ะเก้าอี้เสริมรอบหอนั่ง ส้มสาวใช้กระซิบรายงานว่า มีแขกมาขอพบ ชายหนุ่มพยักหน้าซับเหงื่อเหนือขมับ ฝากคุณชาญณรงค์ช่วยกำกับดูแลเพื่อนๆของพจน์เพื่อจัดข้าวของให้เรียบร้อย ผู้ช่วยบิดายกยิ้มรับทราบ แล้วจึงถลาลงจากเรือนใหญ่เพื่อต้อนรับแขกแปลกหน้าผู้ไม่ได้นัดหมาย ณ ศาลาทรงไทย กลางสนามหญ้าหน้าเรือน

“ธนชัย นาย...”

“นี่เป็นของขวัญครบรอบวันเกิดของคุณลุง รับไว้สิ” นักข่าวหนุ่มอดีตเพื่อนรักแจ้งเจตนา ครั้นเห็นอีกฝ่ายอ้ำอึ้งก็จับห่อของขวัญใส่มือเจ้าบ้านเจ้าเรือน “เรารู้สิว่าวันนี้คือวันเกิดท่าน จำได้ไม่เคยลืม”

“เอ่อ งั้น อยู่ปาร์ตี้ด้วยกันก่อน กำลังวุ่นอยู่พอดี”

“ไม่ล่ะ แค่จะแวะมาทักทายเท่านั้น แต่ท่านคงเก็บตัวไม่เห็นชอบกับการจัดงานแน่ๆ ใช่ไหม” กิริยาอาการยกยิ้มของธนชัยเป็นสิ่งที่ภพดนัยแทบจะลืมเลือน บ่งสำแดงว่าเพื่อนสนิทคนนี้ให้อภัยเขาแล้วไม่ผิดแน่

“นายไม่โกรธเราแล้วใช่ไหม เรากลับมาเป็นเพื่อนกันแล้วใช่ไหม” ความดีใจวาบขึ้นไม่คาดคิด

“ขอโทษนะ เหตุการณ์ที่อยุธยาทำให้เราคิดได้ว่า สิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อโกรธนายมันเทียบไม่ได้เลยกับวินาทีเป็นตายตอนอุบัติเหตุโขลงช้างรุมทำร้าย ไม่ว่าภัทรพจน์จะเป็น...”

“พจน์เป็นลูกของเรา ลูกของฉัน ถ้านายยังคิดว่ามันคือคำโกหกอีก เราก็ไม่มีหลักฐานใดๆมายืนยันได้นอกจากความสัตย์จริง”

“เจ้าเด็กนั่นเหมือนนายไม่มีผิด ทั้งท่าทีอวดเก่ง ดื้อดึง สายตารั้นถอดลักษณะนายมาแบบนั้น เราจะคิดเป็นอื่นได้ยังไงว่าเป็นลูกใคร แต่ที่เราโกรธก็เพราะว่านายไม่เคยบอก ไม่เคยพูดเลยว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วจู่ๆก็มาหลบหน้าหนีหายไปเกือบปี ทำใครท้องแล้วแทนที่จะบอกให้เพื่อนอย่างเราช่วย กลับหนีหน้า เป็นใครใครก็โกรธดิ นะ เราคืนดีกันนะ ดนัย”

คำพูดที่ภพดนัยรอคอยมาตลอดเกือบสิบเจ็ดปีเป็นจริงอย่างไม่คาดฝัน ความหนักอกในหลายๆเรื่องผ่อนคลายลงด้วยมิตรภาพระหว่างเพื่อน ธนชัยโผดึงตัวภพดนัยเข้ากกกอดแนบแน่น แต่หัวใจของชายหนุ่มบนเรือนเทพวิมานบีบรัดเสมือนหยุดนิ่ง ชาญณรงค์หลบตาระงับโทสะผละหนีจากภาพบาดใจ


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3485710#msg3485710)

เพจนิยาย (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)

___________________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

ฝากลงคะแนนโหวตโพลล์ด้วยนะครับ ผมต้องการทราบว่าผู้อ่านมีแนวโน้มอยากให้มีการรวมพิมพ์เล่มหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นการเร่งรัดจนเกินไปอาจรอจนนิยายจบก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้ครับ ตอนนี้ก็มีผู้โหวตเข้ามาอยู่ประมาณหนึ่ง (หลักหน่วย) เหอะๆ คิดไปคิดมาบางที นิยายเรื่องนี้อาจจะไม่จำเป็นต้องตีพิมพ์รวมเล่มก็เป็นไปได้ ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง อันดับแรกอาจจะเป็นเนื้อหา ภาษาที่อ่านยาก รวมถึงเรื่องราวมิได้ถูกขนบนิยายวายทั่วไป ไม่เป็นไรครับ ถ้าถึงตอนจบแล้วยังมีผู้โหวตไม่มากเท่าไหร่ก็อาจจะไม่มีการดำเนินการตีพิมพ์ใดๆ แต่รับรองว่าไม่ลบนิยายในเว็บบอร์ดทิ้งแน่นอน


อ้าว รู้ตัวว่ารักมากแต่กลับไปหามาตะไม่ได้อีกแล้ว ทีนี้พจน์จะทำยังไง ทั้งเรื่องการปราบจอมมารด้วย ขอบคุณคนเขียนที่เขียนเรื่องแนวนี้ให้อ่าน สนุกมาก มีปริศนาให้คิดต่อเรื่อยๆ เราชอบกลอนที่คุณแต่งนะคะ
เหลืออีกห้าบทสุดท้ายแล้วครับ มาลุ้นกันว่า พจน์จะกลับไปหามาตะได้อีกหรือเปล่า แล้วจอมมารจะยังลอยนวลอยู่ไม่ รอติดตามบทสรุป ขอบคุณที่คุณชอบกลอนครับ มีกำลังใจในการแต่งเพิ่มขึ้นเยอะเลย


:o12: :o12: :o12:
ม่ายน้าาาา
เป็นอีกตอนหนึ่งที่ตัดสินใจเขียนได้ยากลำบากมาก สงสารทั้งพจน์ทั้งมาตะ ตามคำพูดที่พจน์ว่าไว้ "ถ้าไม่จากกันวันนี้ ความตายก็คงพรากเราจากกัน" รอติดตามบทสรุปในเร็วๆนี้ครับ

บอกตรงๆเห็นชื่อตอนแล้วไม่อยากกดอ่านเลย ทำใจนานมากถึงยอมกด กลัวตอนเศร้าๆ แล้วก็เศร้าจริง  :katai1:ไม่คิดว่าจะลาจากกันขนาดนี้ ถ้าตอนนี้ยาวกว่านี้อีกหน่อยคงมีน้ำตาซึมแค่นี้ก็แย่ละ ไม่อยากให้พจน์ทำแบบนี้เลย บอกตรงๆเริ่มกลัวใจพจน์ละตัดสินใจรวดเร็วมาก :o12: ตอนต่อไปไม่เอาเศร้าแล้วได้ไหมอ่ะ พลีสสส~
คอมเม้นต์คุณทำให้ผมรู้ว่า ชื่อตอนก็มีผลต่อการเข้ามาอ่านเหมือนกันนะ อิอิ เอาล่ะ ถึงจะเศร้า ก็เศร้าให้สุดกันไปเลย แล้วมาดูว่าพจน์จะจบเรื่องราวทั้งหมดยังไง เสียใจอยู่อย่างที่ไม่สามารถเขียนจนเรียกน้ำตาคุณให้ไหลพรากได้ แค่ซึมๆก็โอเคสำหรับผมแล้วล่ะ อิอิ ส่วนตอนล่าสุดนี้จะเศร้าอีกหรือเปล่า ลองเขียนบอกได้ครับ

:o12:  :o12: :o12: ม่ายยยยยยยย ใจร้ายอ่ะ พจน์ :sad4:
ครับ พจน์อาจจะใจร้าย แต่ถ้าให้เลือกระหว่างคนที่เรารักต้องเจ็บ สู้ให้ตัวเราเองเจ็บแทนมิดีกว่าหรือ ทั้งเบื้องหน้าหากต้องเผชิญจอมมารพจน์จะได้ไม่กังวล ตามที่พจน์คิดไว้ "ถึงตัวจะตาย แต่ใจจะยังคงอยู่กับมาตะชั่วนิรันดร์"

ไม่มีใครใจร้าย  ถ้าจะโทษก็คงโทษโชคชะตาที่กำหนดมาแบบนี้   เมื่อตัดสิ้นใจแล้วก็ต้องยอมรับความจริง  ความเจ็บปวดที่เกิด  รอตอนต่อไปครับ ว่าจะจบแบบไหนอะนะ  คึคึ
ขอบคุณที่เห็นใจพจน์กับการตัดสินใจยากลำบากครั้งนี้ เหลือแค่ห้าบทเท่านั้นครับ รอชมบทสรุปได้ไม่นานเกินรอ

เพิ่งอ่านได้ 12 บท ขอเข้ามาดันให้ก่อนนะคะ ชอบมากๆ ช่วงแรกอ่านยากซักหน่อย เกือบจะขอผ่านไปละ แต่พอตั้งใจกลับมาอ่านอีกที รู้สึกสนุกดี ชอบภาษา ทั้งกลอนและสำนวนการพูดต่างๆมาก

มีตินิดเดียวคือ บางคำพูดของตัวละคร แม้ว่าจะเป็นภาคปัจจุบัน แต่กลับใช้ภาษาเขียน มันเลยสะดุดอยู่บ้าง และมีเขียนผิดเล็กๆน้อยๆประปรายค่ะ เช่น กระเส่า มักเขียนผิดเป็น กระเซ่า , ขลุก เขียนเป็น คลุก อะไรทำนองนี้ ผู้เขียนอาจจะมึนเบลอเนื่องจากมีศัพท์แสงภาษาไทยมากมายในคลังสมอง เลยรีบเขียนไปหน่อย เป็นกำลังใจให้นะคะ

 :mew1:
ขอบคุณที่เข้ามาช่วยดันครับ แต่ต้องไม่ดันเปล่า นิยายเรื่องนี้คุณต้องชอบจริงๆถึงคอมเม้นต์ได้ละเอียดถี่ถ้วนดีงามขนาดนี้ ขอบคุณสำหรับคำผิด ถึงผมจะอ่านทวนหลายรอบแค่ไหนในแต่ละบท ก็ยังคงมีหลุดรอดให้เห็นประปรายอย่างคุณได้เห็น ต้องขอน้อมรับไว้เป็นความผิดของผู้เขียนเองทั้งสิ้นทั้งปวง ขอบคุณสำหรับคำแนะนำติชมทั้งหลายจะรีบกลับไปแก้ดังคุณว่ามา ส่วนบางคำพูดปัจจุบัน แต่ใช้ภาษาเขียนไม่ใช่คำพูด คงติดเป็นนิสัยของผู้เขียนเสียแล้ว หากตรงไหนอ่านไม่เข้าปากคุณ หรือคนปัจจุบันเขาพูดกันก็ต้องอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย หากจะกลับไปแก้ก็คงเยอะทีเดียว ขอน้อมรับไว้ละกันครับ

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๑ หนังสือปกแดง ๑๐๐% (๒๗/๐๙/๕๙) หน้า ๑๓ [แจ้งสำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 27-09-2016 12:15:06
อย่าเสียใจนะคะคนเขียนตอนก่อนมันหวานซะเกือบทั้งหมด มาเศร้าเอาตอนท้ายๆ เลยเป็นช่วงบิ้วอารมณ์ตัวเองอยู่น้ำตามันเลยยังไม่ทันไหล
 ส่วนตอนนี้ชอบกลอนจากพรากมาก แต่ก็เกลียดเหมือนกันจะจากจะพรากกันไปไหนต้องได้กลับมาเจอกันดิ คนเขียนแต่งดีนะชอบกลอนมากเลยอ่านแล้วได้อารมณ์ดี ชอบทุกกลอนทุกบทของเรื่องนี้มากเลย หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยพจน์คิดหาคำตอบที่ต้องการได้บ้างก็ยังดี

ปล.อยากได้รวมเล่มนะแต่ตอนนี้ไม่สะดวกซื้ออย่างแรง พอดีว่าไม่ได้อยู่ไทยอ่ะเลยไม่สามารถซื้อได้
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๑ หนังสือปกแดง ๑๐๐% (๒๗/๐๙/๕๙) หน้า ๑๓ [แจ้งสำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 27-09-2016 15:26:58

‘ถ้ามนุษย์บนพิภพนี้เชื่อว่าน้ำท่วมโลก มหาพิภพจะล่มสลาย ถ้าสามารถรวบรวมมหามณีสามสิ่งได้ มหาพิภพจะล่มสลาย’
เหมือนจะ งง ถ้ามนุษย์เชื่อว่า น้ำท่วมโลก มหาพิภพจะล่มสลาย >>>> แล้วทำไมปู่ของพจน์ต้องประกาศเตือน???
ถ้ารวบรวมมหามณีได้ มหาพิภพจะล่มสลาย?? >>> งั้นพจน์ก็ไม่น่าจะต้องทำอะไร มหาพิภพจะได้ไม่ล่มสลาย
ปล. งง จริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๑ หนังสือปกแดง ๑๐๐% (๒๗/๐๙/๕๙) หน้า ๑๓ [แจ้งสำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 27-09-2016 17:58:55
 :hao4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๑ หนังสือปกแดง ๑๐๐% (๒๗/๐๙/๕๙) หน้า ๑๓ [แจ้งสำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: game6969 ที่ 27-09-2016 18:52:12
“จากเอยจากมิจากจำต้องจาก
จำพลัดพรากจำจากจำพลัดหลง
ใจสองดวงเคยรักแจ้งจำนง
ถึงคราวคงพรากจากจดจำใจ

ก่อนเคยรักสมัครรักพันผูก
ทุกข์สุขถูกผิดพลั้งร่วมแก้ไข
น้ำคำรักหวานซึ้งตรึงตราใน
ผนึกไว้กลางทรวงล่วงผ่านกาล

เมื่อมีพบต้องมีวันพรากจาก
หนึ่งคำฝาก รัก รัก รักผสาน
ครวญใคร่คิดคะนึงถึงซึ่งวันวาน
เราร่วมราญร่วมคู่ร่วมวิญญาณ์

พรากเอยพรากมิพรากจำต้องพราก
จำพลัดจากจำพรากถวิลหา
แววเว้าวอนแววรักแววนัยน์ตา
ชั่วดินฟ้าแม้นพรากจากเพียงกาย”

ตรงบทนี้อ่ะน้ำตาพรากเลย
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๑ หนังสือปกแดง ๑๐๐% (๒๗/๐๙/๕๙) หน้า ๑๓ [แจ้งสำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: pnn ที่ 29-09-2016 09:55:28
ก่อนเค้าจะรักกันได้ ต้องเสียน้ำตาอีกเท่าไหร่ ปวดใจอีกแค่ไหนหรือคะ คนเขียน ใจร้ายอ่ะ แล้วกลอนจากพรากก็ทำน้ำตาไหลเลย เพราะมาก ยิ่งใกล้จบก็กลัวไม่สมหวังยังไงไม่รู้ รอตอนต่อไปจ้า
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๑ หนังสือปกแดง ๑๐๐% (๒๗/๐๙/๕๙) หน้า ๑๓ [แจ้งสำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 29-09-2016 14:47:00
 อ่าวมีตัวละครมาเพิ่ม  วายุภัทรมาเพื่ออะไรนะ อยากรู้จัง  รอต่อไปครับผม หนังสือนั้นได้รู้แค่ส่วนเดียวเอง  ยังไม่รู้เลยว่ามันจะมีวิธีอะไร  พอจะช่วยให้รอดพ้นกับวิกฤตนี้รึเปล่า
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๑ หนังสือปกแดง ๑๐๐% (๒๗/๐๙/๕๙) หน้า ๑๓ [แจ้งสำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: Delta ที่ 01-10-2016 08:51:27
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๑ หนังสือปกแดง ๑๐๐% (๒๗/๐๙/๕๙) หน้า ๑๓ [แจ้งสำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 01-10-2016 14:42:48
อ่านทันแล้วค่ะ ขอบคุณผู้เขียนที่ยังคงลงเรื่องให้อ่านไม่ขาดตอนนะคะ เพราะว่าเป็นงานเขียนที่ต้องใช้เวลากลั่นออกมา แต่ก็ยังคงเขียนต่อเนื่อง ไม่ท้อใจไปเสียก่อน  ต้องบอกว่าเรื่องนี้เป็นนิยายวายที่อ่านยากที่สุดตั้งแต่อ่านมา แต่ก็ยังคงอ่านต่อ แม้จะต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกับความหมายของศัพท์ไทยมากกว่านิยายปกติมากซักหน่อย  (ปกติไม่ค่อยอ่านวรรณคดีไทยมากนัก สมัยเรียนก็อ่านเท่าที่มีในบทเรียนและต้องสอบเท่านั้นเอง) แต่ยิ่งอ่านไปก็ยิ่งรู้สึกอยากติดตาม อยากรู้ว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปอย่างไร สำหรับบทร้อยกรองในเรื่องนั้น ชื่นชอบมากค่ะ ชอบอ่านและชื่นชมกับการเลือกใช้คำมาก ตัวเราเองแต่งกลอนไม่เป็นเลย ไม่มีทั้งพรสวรรค์และพรแสวงในเรื่องนี้

สำหรับคอมเม้นท์ของบทท้ายๆ ขอพูดถึงเรื่องของพระราชเทวีซักนิด ตอนแรกพบกับพจน์ ที่บอกว่าพจน์เป็นถึงมหาบุรุษ มิใช่มนุษย์ธรรมดาเหมือนเช่นตน แต่มีสี่เศียร สี่พักตร์ สี่กร...แป๊บเดียวเท่านั้น หม่อมแม่ก็อารมณ์ผันผวน ชี้หน้าด่าทอและขับไล่ไสส่งซะงั้น ปรับอารมณ์ตามแทบมิทัน เข้าใจว่าอยู่ในช่วงฮอร์โมนส์ปรวนแปร หรืออาจห่วงกังวลเกรงว่าพี่ชาย น้องชายจะผิดใจกันเพราะชายคนเดียว จึงจำต้องตัดปัญหานี้ทิ้งไป จนทำให้พจน์ที่รักของดิฉันต้องช้ำใจ จำพรากจากยอดรัก กลับมาสู่ภพปัจจุบัน เศร้าจัง..สงสารมาตะ
.
.
.
อ้อ..มีฉากนึงที่ติดอยู่ยังมิเคลียร์ ใครคือคนที่แอบดูสองหนุ่มเริงรักกันในน้ำเมื่อคราโน้นนน..คะ พระมหาอุปราชาหรือเปล่าเอ่ย มาแต่ดวงตา..ยังไม่เฉลย เลยข้องใจ แหะๆ

จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ผู้แต่งค่ะ หายป่วยไวๆนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๒ ปักษาวายุภักษ์ ๑๐๐% (๐๕/๑๐/๕๙) หน้า ๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 05-10-2016 13:10:19
บทที่ ๔๒



ปักษาวายุภักษ์



วงหน้าปักษาวายุภักษ์แลมองภัทรพจน์จากเบื้องล่างนั้น พอพิจารณาโดยละเอียดถี่ถ้วน จึงเห็นเขี้ยวขาวผุดชี้สองมุมปาก คิ้วเป็นหยักกนกดูน่ายำเกรง แต่มิได้ลดทอนแววตาอ่อนโยนซ่อนเร้น กลับเสริมให้ดูองอาจ ครั้นเจ้าวายุภักษ์ลุกนั่งในท่าชันเข่าจึงเผยรอยแดงคล้ายขนนกอย่างเดียวกับกินนรคราวย้อนอดีตชาติรพีกานต์ สักลามถึงเหนือโคนขา สวมชฎาเกล็ดทองยอดแหลม ยามเห็นมหาบุรุษอ้ำอึ้งพิเคราะห์ตนแน่นิ่งอยู่ก็เป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน

“คำอภัยนั่นแล้วจึ่งเป็นสิ่งสมควรค่ายิ่ง ยามข้าพระองค์เผยตนแก่ท่าน” เจ้าปักษาขยับปากอย่างมนุษย์สนทนา “มหาบุรุษท่านอย่าเพ่อตระหนกในรูปกายยามพินิจ หากเครื่องหน้าข้าคลับคล้ายอย่างอสูรมารยักษาก็ด้วยเพราะเป็นหน่อเนื้อเชื้อแถวสืบต่อแนวมาแต่ครั้งปางบรรพ์ มิอาจปลดจากกายได้ฉันใด ความบริสุทธิ์ซื่อตรงต่อพิภพโลกาคือหลักประจำใจฉันนั้น อย่าพะวงว่าข้าคือสมุนจอมปีศาจ ก็แหละอำนาจชั่วร้ายเป็นอาวุธที่ข้าต่อกรจนจวบสิ้นชีพวายฉะนี้จงคลายใจเถิด ข้าปักษาวายุภักษ์เป็นผู้รับใช้มหาเทพ นามชื่อลือชานั้นหรือ คือ รณพานุรักษ์

“ลุกขึ้นก่อนเถอะ รณพานุรักษ์” พจน์ไม่ได้ตื่นตะลึงเท่าใดนักกับการที่อยู่ๆก็มีชาวมหาพิภพปรากฏ ทุกสิ่งอย่างผ่านเข้ามานับแต่ตนข้ามพิภพได้สั่งสมให้เขาระลึกรู้ถึงความมีตัวตนนอกเหนือมนุษย์ รณพานุรักษ์อิดเอื้อนมิประสงค์ทำตาม พจน์เห็นท่าทีลังเลเป็นกังวลก็โผเข้าดึงไหล่นูนให้ลุกยืน แต่อีกฝ่ายขืนตัวหมายใจชันเข่าท่าเดิม พจน์ก็ละเจตนา เห็นความมุ่งมั่นแล้วลอบถอนหายใจ คำถามมากมายหลั่งไหลจนแทบไม่อาจยั้งปากไว้ได้

“ที่บอกว่า ท่านรับใช้มหาเทพ แปลว่าท่านเองก็เป็นคนดีสินะ”

“คนจะดีหรือเลวเพียงด้านเดียวโดยเนื้อแท้นั้นมีอยู่จริงหรือ มหาบุรุษ” เจ้ารณพานุรักษ์สดับยินแล้วยอกย้อนสะท้อนถาม พลางยิ้มให้ประหนึ่งลุแก่โทษ “อภัยเถิดมิได้เจตนาตำหนิติเตียนท่าน ก็แหละท่านมิใช่หรือคือผู้ที่ชาวมหาพิภพเรารอคอยมาเนิ่นนาน พระเจ้าข้า คำถามอันท่านซักจึ่งก่อเป็นข้อเสียดแทงใจทุกสรรพสิ่ง ทว่าแม้แต่ท่านมิอาจรู้ ไฉนเลยข้าซึ่งเป็นแต่เพียงเดรัจฉานยังมิอาจบรรลุฌานจักอรรถาธิบายได้ ขอขมาเถิดอย่าได้ถือสาหาความ”

“อย่าได้กล่าวคำว่า ผมบรรลุฌานเลยครับ เพราะครั้งไหนมีใครทัก ภาพที่แลกมากับความรู้แจ้ง คือ ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข ทำให้หัวใจผมเจ็บทุกครั้ง”

“นั่นเป็นแต่ปฐมฌานดอก ยังเหลือขั้นทุติยฌาน ตติยฌาน...”

“ผมไม่รู้หรอกครับว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่ผมเรียนรู้ ณ เสี้ยววินาทีนั้นคืออะไร แต่ผมรู้ว่าการจะเอาชนะความชั่วร้ายไม่ใช่มีแค่ความดีเพียงประการเดียว”

 “ท่านอย่าด่วนปลงใจท้อถอย เมื่อครั้นมีปฐมย่อมมีลำดับขั้นถัดไปอย่าเป็นกังวล เหตุเผยกายของข้าพระองค์ครานี้มิได้เพื่อสนทนาธรรม เพราะกิเลสในใจหยาบช้านักยากจักเข้าถึง ความรู้ละกิเลสมีเพียงแค่ห่างอึ่งมิอาจชี้แนะท่านได้ แต่จักขอไขข้อสงสัยแลสอบความจริงในใจท่านให้กระจ่างแจ้งสักเพลาหนึ่งก่อนการตัดสินจักนำตำราสีชาดพลิกชะตาพิภพส่งมอบให้ผู้รับสนองพระบัญชาคือศาสตราจารย์วิชัยผู้ถูกเลือก”

ในกำมือพจน์ยังคงถือหนังสือมหาทวีปลึกลับซ้อนด้วยตำราอัญมณี

“ผมตัดสินใจแล้วครับ เวลากระชั้นชิดเหลือเกิน ก่อนจะถึงวันที่ ๑๕ เมษายน ก่อนดวงดาวในสุริยจักวาลจะเรียงเป็นเส้นตรง เหลือเวลาไม่มากแล้ว”
 
“ในใจท่านสงสัยสิ่งใดเป็นข้อกังวลยังจักมีหลงเหลือบ้าง ฤา ไม่”
 
“ทำไมถึงเป็นผม ทำไมต้องเป็นมาตะ ทำไมมหาพิภพถึงจมอยู่ใต้มหาสมุทร ทำไม...”

“ช้าก่อน มหาบุรุษ คำถามแห่งท่านจักได้รับคำตอบแน่แท้ไม่หลงเหลือความกังขา ด้วยพระบัญชาแห่งองค์พระมหาเทพตรัสแนะข้าให้มาเพื่อการนั้น เพื่อขจัดความไม่รู้แห่งท่านจนสิ้นสงสัย”

“ทำไมก่อนนี้มหาเทพผู้นั้นถึงไม่ดำริคิดให้เร็ว มาอธิบายตอนนี้มันจะเกิดประโยชน์อะไร” พจน์พยายามไม่ให้น้ำเสียงดังเกินกว่าเล็ดลอดออกนอกห้อง แต่ความคับข้องอัดอั้นมาเนิ่นนานก็ระเบิดใส่ข้ารับใช้ของเทพผู้ยิ่งใหญ่

คำถามของมหาบุรุษประดุจก้อนศิลาปิดปากปักษาวายุภักษ์มิอาจเอื้อนขยับ เพราะความจริงลี้ลับถูกปิดบังไว้เนิ่นนานไม่มีสาระประโยชน์ใดจริงดังว่า มีแต่จะกระแทกรอยแผลเพิ่งสมานปิดสนิทให้ปริแยก เจ้ารณพารับรู้ดี จึ่งระงับความทุกข์ในใจให้ทอนลง หลบสีตาเนื้อสมันนั้นแล้วแจกแจงด้วยเสียงว่างเปล่าว่า

“ข้าเป็นเทพารักษ์พิทักษ์ท่าน ภัทรพจน์มหาบุรุษ” ดวงตาล้อมด้วยขนตาหนาพยายามสื่อสารกับพจน์ผ่านถ้อยคำท่วงที “ข้าถูกส่งตัวมานับแต่ท่านถือกำเนิดเพื่อทำการคุ้มครอง ยามพระมหาเทพวอนขอ เหตุอันเป็นข้อให้พระองค์ทรงเลือกสรรข้าเพื่อกระทำกิจธุระสำคัญมิอาจล่วงรู้หยั่งถึง แต่ครั้นมีพระบัญชาต่อทหารในใต้ฝ่าละอองธุลีแห่งองค์มหาธรรมนับว่าเป็นเกียรติยศแก่พงศ์เผ่าวงศ์ตระกูลเป็นล้นพ้นหาที่เปรียบมิได้ พระดำรัสหนึ่งเดียวให้ข้ารักษาสัตย์ยิ่งชีพตน คือ ปกป้องมหาบุรุษแลญาติมิตรจากภัยพาล พระบรมราชโองการเพียงเท่านั้น แต่กิจธุระสำคัญยาวนานแลยากเข็ญสุดพรรณนาเป็นคำเจรจาได้”
 
“บัดนี้ท่านถามว่าทำไมถึงเป็นท่านผู้ทรงเลือกให้ครอบครองวิเชียรมณี” รณพานุรักษ์กำหมัดแน่น แล้วผ่อนคลายด้วยรอยยิ้มบางเบา “วงศ์ตระกูลของท่านสืบเชื้อสายมาแต่ครั้งมหาพิภพล่มลงใต้สมุทร องค์มหาธรรมคัดสรรเผ่าพันธุ์ที่พระองค์เมตตาที่สุดจากมหาพิภพให้ถือกำเนิดขึ้น ณ พิภพใหม่ เหล่ามนุษย์เติบโตตามกาลเวลา เพลาวันหนึ่งรากเหง้าสายโลหิตแห่งท่านในยุคมืดและเก่าแก่กว่านี้ล่วงล้ำเขตแดนศักดิ์สิทธิ์ องค์บรมเทพรับรู้ชะตาลิขิตก่อเกิดขึ้นในหทัยดังคำโคลงพยากรณ์ บัดนี้มาถึงพร้อมแล้ว จึงดำรัสตรัสแก่ต้นตระกูลท่านให้รับสัตย์สาบานว่าจักดำรงเชื้อสายเผ่าพงศ์เพื่อเป็นหน่อเนื้อเลือดกายให้มณีเพชรสุริยฉายประทับสถิตเมื่อถึงคราวเหมาะสม ห้วงวัฏจักรพ้นผ่านจวบกระทั่งถึงกาลสมควร อำนาจอันทรงล่มมหาพิภพใกล้เสื่อมคลาย และวันแห่งการหวนสู่เบื้องบนใกล้เข้ามา พระองค์จึ่งประทานเพชรมณีแก่เลือดเนื้อเชื้อไขบุรุษคนสุดท้ายแห่งวงศ์ตระกูลเทพวิมาน คือ ท่าน”

พจน์พยักหน้ารับไม่มีข้อโต้แย้ง

“ส่วนมหาพิภพเมื่อถูกล่มลงใต้พิภพประดุจฉุดกาลเวลาให้หยุดนิ่งมาแต่นั้น ทุกสิ่งอย่างชะงักงันดั่งรูปปั้น ไร้การเคลื่อนไหว ไร้การกำเนิด ไร้การจำเริญเติบโต แต่ไม่ไร้ลมหายใจ อำนาจแห่งพระมหาเทพบันดาลสะกดทุกสรรพสิ่งให้เป็นดั่งนั้นจวบกระทั่งท่านเดินทางข้ามพิภพ ผลอำนาจเพชรมณีผนวกกับความผูกพันแต่อดีตชาตินำท่านสู่มหาพิภพและคนที่ท่านรักมาทุกภพทุกชาติ จึงคลายมนตราสะกดให้สรรพชีวิตหลุดพ้นจากการหลับใหลอันยาวนาน ท่านถามว่าทำไมถึงเป็นมาตะราชบุตรยามต้องข้ามพิภพ คำตอบอยู่ในใจท่านแล้ว ตลอดเวลานับแต่หนแรกแลท้ายสุด”

หัวใจพจน์บีบรัดสูบฉีด พักความคิดด้านร้ายชั่วแล่นแล้วสะกดอารมณ์ ตัดสินใจถามกลับว่า

“ผมไม่อยากรู้แล้วครับ ขอบคุณน้ำใจ ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนผมคงจะขอบคุณได้เต็มปาก แต่ ณ วินาทีนี้คำของคุณเหมือนทำร้ายผมมากกว่าเป็นผลดี กรุณาหยุดเถอะครับ ไม่ว่าสิ่งใดปกปิดไว้ขอให้คุณอย่าได้แพร่งพรายให้ผมรู้เสียดีกว่า ผมจะก้มหน้ารับหน้าที่ซึ่งนายของคุณ คือ มหาเทพ มอบให้จวบลมหายใจสุดท้าย กลับไปบอกเขาด้วย”

รณพานุรักษ์ลอบสังเกตอารมณ์รู้สึกผ่านเครื่องหน้าเลิศสิริโฉม จึงจำยอมย่นย่อรวบรัดความทั้งสิ้นให้ฟัง

“องค์มหาเทพมิได้เจตนาประสงค์ให้ท่านต้องเจ็บช้ำแม้แต่น้อย พระองค์ตรัส...”

“เขาคือคนที่คุณปู่พบที่วัดไชยวัฒนารามใช่หรือเปล่าครับ”

“พระเจ้าข้า” เจ้าปักษาก็รับว่าจริง แล้วว่า “การสนทนาด้วยศาสตราจารย์วิชัยเพื่อแจ้งบัญชาภารกิจเตือนสรรพชีวิตถึงหายนะภัยคือเจตนาสำคัญมิอาจละทิ้ง ตลอดมาพระองค์ฝากคำเตือนแก่มนุษย์ทุกช่วงเวลา เพื่อให้ได้กลายเป็นหลักฐานสำคัญแก่ศาสตราจารย์วิชัยใช้ในการเตือนครั้งสุดท้าย โปรดเชื่อเถิดว่า ยังมิสายเกินควร ภารกิจนี้จักต้องสำเร็จลุล่วง”
 
“งั้นผมต้องไปหาคุณปู่เดี๋ยวนี้” ภัทรพจน์ผุดลุกยืน หักใจจากเรื่องราวปริศนาที่คลี่คลาย

“ตำราสีชาดเป็นข้าที่ลักพานำลอบให้บรรณารักษ์ผู้นั้นเก็บรักษา” รณพานุรักษ์จดจ้องหลักฐานหนึ่งเดียว “ก่อนการกวาดล้างจะเกิดขึ้น เป็นข้าที่นำโคลงพยากรณ์บทต้นมอบให้ครูท่าน เป็นข้าที่ผลักคัมภีร์วรรคทองวรรณปราชญ์หล่นใส่จนค้นพบบทกลอนไขถอนมนตราลีลาทมิฬ เป็นข้าผู้สกัดพลังจุมพิตสีเลือดมิให้ทำอันตรายสหายของท่านจนเกือบถึงแก่ความตาย”

ไอ้น้ำ

“แต่ข้าก็พลาดท่าเสียทีหลงลืมว่า จอมมารให้ทาสรับใช้กระจายอาวุธชั่วไปยังบุรุษตระกูลเทพวิมานโดยพร้อมกัน ธนพลผู้อาท่านจึ่งต้องมนตรานั้น มหาเทพ พระองค์พิโรธอย่างที่สุด ยามหน้าที่อันข้าได้รับมอบหมายผิดพลาดยากจะให้อภัย โชคดีระหว่างนั้น...ท่าน จะด้วยความตั้งใจ ฤา ไม่ก็ตาม ท่านทำให้สมุนจอมปีศาจตนหนึ่งต้องสั่นคลอนในความภักดี และจดจำความหลังอันยาวนานได้อีกครั้ง เขาทรยศจอมมารเพื่อเตือนภัยร้ายและช่วยเหลือข้า ปกป้องคุ้มครองท่าน

“กัน...” พจน์ครางชื่อคนคนนั้นผ่านริมฝีปากซีด “ทำไมครับ ทำไมไอ้กันถึงยอม...”

“บัดนี้ท่านยังมิล่วงรู้คำตอบอีกกระนั้น ฤา มหาบุรุษ” เจ้าภัทระส่ายหน้าแทบไม่อยากฟังแต่จำต้องรู้ให้ได้

“เอาเถิด ในอีกไม่ช้าท่านจักได้รู้ แต่เป็นเพราะเจ้าหนุ่มปีศาจตนนั้น ข้าจึงรู้แผนการของจอมมารบนพิภพนี้ทั้งหมด ว่ามันต้องการทำสิ่งใด มันรู้หรือไม่ว่าใครคือผู้ครอบครองเพชรมณี ยัง ตอนนั้นจอมมารยังไม่รู้ มันจึงสุ่มฆ่าเพื่อช่วงชิงดวงวิญญาณผู้ครอบครอง เหตุการณ์ต้องมนตราลีลาทมิฬทำให้มันดับสูญ แต่จอมมารเป็นผู้เข้าใกล้วิถีอมตะมากกว่าใครอื่น มันจึงฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้ง ทวนอัศวาราตรีกาลทำลายมันได้ มันจึงระวังตัวยิ่งกว่าเดิม เคียดแค้นผู้ทรยศเหลือคณานับ แต่จะไม่เกิดประโยชน์เลยหากข้าไม่รู้ให้ได้ว่า แผนการสืบต่อไปของจอมมารคือสิ่งใด จึงบังคับขู่เข็ญให้ปีศาจผู้แปรพักตร์หวนกลับสวามิภักดิ์จอมมารอีกครั้ง เจ้าปีศาจหนุ่มมีอำนาจสร้างเกราะกำบังใจตนกล้าแข็งยิ่ง ครั้งแรกจอมมารหมายสังหารผู้ทรยศแต่เมื่อเขายอมเปิดเผยว่า คราวทรยศก็เพื่อเข้าสืบหาตัวผู้ครอบครองสุดยอดอัญมณีตัวจริง จอมมารจึงสิ้นสงสัย ท่านรู้คำตอบอยู่แล้ว นามอันปีศาจหลงกลว่าคือผู้ครอบครองตัวปลอมคือผู้ใด”

“คุณพ่อ”

“ภพดนัยเป็นรายชื่อที่เหมาะควร ในเมื่อเจ้าตัวยินยอมพร้อมใจสละชีพเพื่อรักษาชีวิตบุตรชาย และยืดเวลาเผยความจริงให้ยาวนานออกไป มหาเทพติดต่อกับบิดาท่านโดยตรงและเขายินยอม ดั่งนั้นยามสหภูบาลปีศาจชี้นิ้วกลางหมู่มวลมนุษย์จึงเป็นบิดาของท่านตามกลลวง แต่ดูเหมือนแผนการคงสำเร็จตามองค์มหาเทพเฝ้าวางแผน ถ้าหากไม่...” พจน์สังเกตเห็นปักษาวายุภักษ์มีหยาดน้ำปริ่มเอ่อคลอ

“หากเจ้าปีศาจหนุ่ม นักปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญการพยากรณ์หนึ่งเดียวในพิภพโลกา ผู้ยอมทรยศปีศาจเพื่อคนคนหนึ่ง แสร้งยินยอมปลอมแปลงกลับเข้าฝ่ายจอมมารอีกครั้งเพื่อล่อหลอกให้หลงทาง ต้องมาได้ยินคำตัดพ้อของท่าน สายตาผิดหวังแม้แต่ข้าเองซึ่งลอบระวังภัย ณ บริเวณวัดไชยวัฒนารามนั้นต้องมีอันสั่นสะเทือน มนตราเกราะกำแพงใจเพื่อใช้ปิดบังความจริงซ่อนเร้นปริแตกพังทลายไม่มีชิ้นดี เพียงแค่สายตาและคำพูดท่าน มหาบุรุษ นักปราชญ์ปีศาจ สินะกาวี จำต้องลงมือสังหารเสนาบดีสหภูบาลรวดเร็วก่อนจอมมารจักมองเห็นความจริงในใจ เขาทรยศเพื่อท่าน ทรยศเพื่อรัก รัก...ที่ท่านจักไม่มีวันมอบให้คนผู้นั้นเป็นเด็ดขาดในชาติภพนี้ หรือทุกชาติภพล่วงผ่าน”

คำรณพานุรักษ์ประดุจหมัดซัดเข้าโหนกแก้มพจน์จนรู้สึกชาวาบตั้งแต่สมองจรดห้วงหัวใจ

“คุณ...ทำไม อะ...ไอ้...กัน”

เด็กหนุ่มผ่อนกายทรุดลงกับเตียงอีกครั้ง เสียงเคาะประตูห้องเตือนให้ใจพจน์กระตุกวูบ

“ตาพจน์” ศาสตราจารย์วิชัยเรียกหา
 
“ครับ คุณปู่” โชคดีที่ขัดลั่นดาลประตูไว้ รณพานุรักษ์กลืนหายลับกับหมอกขาวและสายลมทันที ศาสตราจารย์ก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามา เหลือบเห็นพวกไอ้เอก ไอ้ต่อ ไอ้กี ชะเง้อชะแง้มองตามหลังคุณปู่ เมื่อปิดประตูแล้วท่านยืนกวาดตามองรอบห้องนอนพจน์ก่อนจะหยุดยังหลานชาย

“หายนะภัยใกล้เข้ามา และถ้าวันนั้นมาถึงปู่ไม่อยากให้ทุกอย่างจบสิ้นโดยที่แกยังไม่รู้สาเหตุความเป็นไปทั้งหมดของวงศ์ตระกูลเรา หน้าที่สำคัญที่สุด”

“ผมรู้แล้วครับ” พจน์ตอบท่าน ความจริงจากปากปักษาวายุภักษ์อธิบายทุกอย่าง “ผมตัดสินใจได้แล้ว”

ความประหลาดใจปรากฏในแววตาหลังกรอบแว่น เมื่อพิจารณาหนังสือปกแดงในมือของหลานชายยื่นเหยียดมาสู่ท่าน มือสั่นเทากระตุกเตือนก่อนจะเอื้อมจับ มหาทวีปลึกลับ ไว้

“ผมขอโทษที่เจอมันล่าช้า แต่คงมีเวลาพอจะประกาศเตือนให้ทุกคนเชื่อเรื่องน้ำกำลังจะท่วมโลก”

“นี่มัน...” ศาสตราจารย์เฒ่าใช้มือสั่นเทาค่อยๆพลิกอ่านรายละเอียดผ่านแว่นเลนส์กลม

“หลักฐานสำคัญหนึ่งเดียว อาจารย์วิศรุต” ทันทีเมื่อพจน์เอ่ยชื่อผู้เก็บรักษาหนังสือปกแดงไว้ มือของท่านก็หยุดสั่น ความรู้สึกเจ็บแล่นพล่านทั่วกาย ผ่อนคลายความประหลาดใจในทันที เปลี่ยนจากเนื้อหาในหนังสือย้ายจดจ้องหลานชายผู้ครอบครองวิเชียรมณี

“วิศรุต”

“ครับ เพื่อนของคุณปู่ ท่านบอกให้ผมนำมามอบให้คุณปู่ บอกว่า คุณครูทำตามสัญญาที่ให้ไว้แล้วว่าจะยอมช่วยเหลือในยามเดือนร้อน มิตรภาพระหว่างเพื่อนยั่งยืนเสมอ คุณครูได้คำตอบแล้ว และไม่ต้องการสิ่งใดเป็นการตอบแทน” พจน์เห็นความเจ็บปวดพุ่งผ่านสายตาคุณปู่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีนับแต่ท่านต้องสูญเสียคุณย่าไปในอุบัติเหตุเครื่องบินตก แล้วจู่ๆก็คลี่คลายรอยยิ้ม “เขาพูดอะไรกับแกอีกบ้าง”

“ไม่มีแล้วครับ นอกจากแนะนำให้นำหนังสือมอบให้คุณปู่แล้ว อ้อ แล้วยังบอกให้ผมรีบตัดสินใจ และ เอ่อ...” ลังเลชั่วครู่ “คุณครูบอกว่า เมื่อเราโตขึ้นสิ่งที่ยากไม่ใช่การลืม แต่เป็นการจำมากกว่า”

ณ วินาทีนั้นพจน์เห็นเพียงชายชรา ดูอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงยืนอยู่เบื้องหน้า ราวกับพลังกายท่านถดถอยฉับพลันทันด่วน เพียงเสี้ยวหนึ่งวินาทีก่อนจะปรับให้ดูปรกติดังเดิม

“ปู่ต้อง...ใช้เวลาเพื่อศึกษา” ท่านพลิกหนังสือปกแดงอีกครั้งแล้วหุนหันกลับคืนห้องพักของตนรวดเร็ว

“ความลังเลสงสัยเป็นอุปสรรคขัดขวางความสำเร็จ บัดนี้ มหาบุรุษท่าน ผ่านบททดสอบครั้งสำคัญแล้ว พระเจ้าข้า” รณพานุรักษ์หวนกลับมาในห้อง ชันเข่าก้มหน้าอยู่ในท่าเดิม


มีต่อด้านล่าง

______________________________

วายุภักษ์ : ชื่อนกในวรรณคดี รูปร่างเป็นนกอินทรี ตัวและหน้าเป็นยักษ์ มีปีก หาง และตีนเหมือนครุฑ แต่หางมีแววเหมือนนกยูง


หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๒ ปักษาวายุภักษ์ ๑๐๐% (๐๕/๑๐/๕๙) หน้า๑๓
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 05-10-2016 14:02:04
[ต่อ]



“ก่อนที่คุณปู่จะเข้ามา คุณบอกว่ากันทำทุกอย่างเพื่อผม เพื่อรัก...ที่ผมจะไม่มีวันมอบให้มันอย่างนั้นใช่ไหม” หันเหลียวมองสิ่งมีชีวิตจากต่างพิภพประสงค์ปลดเปลื้องข้อสงสัยในใจ

“พระเจ้าข้า”

“ทำไมไอ้เจ้านั่นถึงดื้อดึงแบบนี้ ผมเคยพูดความในใจกับมันแล้ว ผมไม่อาจรักใครได้อีก นอกจาก...”

“ท่านผูกใจภักดิ์รักมาตะราชบุตรจริงล่ะหรือ ก็บุรุษผู้นั้นทำสิ่งใดเสมอสินะกาวีปราชญ์พยากรณ์เล่า ทั้งปกปักระวังภัย มิเคยเรียกร้องให้เหลียวมอง ยอมหักหลังจอมปีศาจเพื่อท่าน แล้วมาตะราชบุตรทำสิ่งใดเป็นข้อคุณูปการบ้าง นอกจากต้องการตัวท่านไว้ข้างกาย ท่านสินะกาวีต่างหากสมควรเป็นชายผู้ท่านมอบดวงใจให้ ยิ่งกว่าใครในพิภพเสียซ้ำ”

“ผมไม่อาจรักใครได้อีก”

“ท่านรักได้ แม้มิเคยร่วมชาติผูกพันมาแต่ปางก่อน เพียงเศษเสี้ยวความรักแบ่งจากมาตะราชบุตรปันให้สินะกาวีท่านน้อยหนึ่งนั้นจะมิได้เจียวหรือ” ไม่น่าเชื่อว่า แม้แต่ปักษาวายุภักษ์ผู้พิทักษ์ปกปักคุ้มครองพจน์ยังออกปากให้ตนเผื่อแผ่ไมตรีจิตแก่นิธิตอบแทนคุณความดีที่มันอุตส่าห์ทำเพื่อเขา หากพจน์มีใจสองดวงก็คงจะทำได้ หากพจน์ไม่รู้สำนึกถูกผิดก็คงจะทำได้ และหากพจน์ไม่ได้รักมาตะไปแล้วก็คงจะทำตามคำแนะนำนั้นได้

“ผมอยากเจอเจ้านั่น”

ดูเหมือนคำร้องขอของพจน์เป็นสิ่งที่ปักษาวายุภักษ์รอสดับยินมาเนิ่น ความเปรมปรีดาผุดวาบทั้งหน้าและนัยน์ตาเด่นชัด
 
“น้ำใจอันประเสริฐประจำกายท่านมินึกว่าจักได้เห็นกับตาสัมผัสกับตัวก็วันนี้ มหาบุรุษเอย ท่านสมแล้วจักเป็นผู้ที่ชาวเรารอคอยมาเนิ่นนานเพื่อขจัดมารร้าย ประสงค์แห่งท่านเพื่อพานพบคนผู้ท่านมิเคยเหลียวแล แต่บัดนี้แจ้งแก่ใจกังขาของข้าจนปรุโปร่ง ข้าคุ้มครองมนุษย์ผู้สมควรได้รับการคุ้มครองจริงดังคำพระมหาเทพ เช่นนั้น ท่านจงให้สัตย์แก่ข้าอย่างหนึ่งเถิด” รณพานุรักษ์โผเอื้อมกุมมือพจน์ประหนึ่งเป็นกิริยาร่วมสาบาน เขาก็รับคำ “จงช่วยท่านสินะกาวีด้วยเถิด บัดนี้จอมมารจับตัวคนผู้นั้นไว้ ณ สถานที่หนึ่ง จำข้าต้องฝืนพระบัญชาแห่งองค์มหาธรรมเพื่อแจ้งท่าน มิอาจปิดบังไว้ จักให้เจ้าปีศาจหนุ่มตายไปโดยที่ไม่ได้รับน้ำใจแห่งท่าน ข้าทนทำมิได้ ข้าจักเป็นผู้นำทางบัดเดี๋ยวนี้”

เพียงได้ยินว่านิธิโดนจับกุมตัวโดยจอมมาร เด็กหนุ่มผู้ครอบครองเพชรมณีก็ไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ กายภายในร้อนรนจนแทบสิ้นสติ แต่สะกดอารมณ์ไว้แน่วแน่ก็ออกปากตกลงตามคำปักษาวายุภักษ์

เจ้าปักษาปริ่มน้ำตาจะไหลก็ผุดลุกยืนทันควัน พนมมือทบทวนพระเวทชักนำตนแลมหาบุรุษรุดเดินทางสู่จุดหมายด้วยอิทธิฤทธิ์มนตรา ฝากระดานห้องนอนพจน์ถูกกระชากเลาะลัด ภูมิทัศน์ถนนศิลาทอดยาว มีเสานางเรียง ขนาบข้างจรดสะพานนาคราช ต่อด้วยบันไดสูงสู่เนินสิงขรไฟของปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เบื้องทิศประจิมแสงสนธยาอาบไล้กิ่งไม้ใบหญ้าเป็นเฉดส้มเดียวกันทั้งหมดทั้งสิ้น สายลมพัดผ่านแผ่วเบา ละแวกอาณาเขตร้างไร้ผู้คนหรือสรรพสิ่งใด ณ ฐานสะพานชั้นแรกมีเงาดำร่างหนึ่งประทับยืนอยู่ แวดล้อมด้วยบริวารห้าตน บ้างหมอบคลาน บ้างนิ่งก้มหน้า ถัดจากร่างเงาผ้าคลุมดำ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งถูกรัดไว้ด้วยเชือกมนตราทมิฬลอยอยู่เหนือลายเส้นรูปดอกบัวบานแปดกลีบกึ่งกลางลานสะพานนาคราช ผิวขาวซีดดุจแป้งขาว แต่งกายด้วยสีสันอาภรณ์เฉกเดียวกับปีศาจ ดวงตาคมดุดุจเหยี่ยวจับจ้องร่างใต้ผ้าคลุม ก่อนจะย้ายมายังจุดที่ภัทรพจน์และปักษาวายุภักษ์ยืนอยู่ห่างประมาณ ๒๐ เมตร

“ไอ้พจน์”

สิ่งมีชีวิตใต้ผ้าคลุมดำหันส่วนเสี้ยวหน้าเหลียวตามทิศทางออกชื่อ นัยน์เนตรสีชาดสว่างวาวโรจน์เปล่งประกาย มันขยับมือซีดขาวไว้เล็บยาวสีดำโบกปัดม่านหมอกกำบังออกจากตัว ยาตราแหวกผ่านทาสรับใช้ผู้มีลักษณะอย่างกินรีแต่สีผิวซีดพัตราภรณ์ดำดุจราตรีสองตน อีกตนเป็นอิสตรีสาวแต่งกายคล้ายหญิงสูงศักดิ์เบื้องมหาพิภพด้วยผ้าดำผิวบริสุทธิ์อย่างเดียวกัน นอกกว่านั้นเป็นยักษากายาดำแลขาวสูงใหญ่กว่าสามเมตรอีกสองตน พวกมันหันดวงตามีจุดดำล้อมสว่างมายังพจน์

“ในที่สุด...” เสียงทุ้มต่ำแผดดังจากร่างใต้ผ้าคลุม ดวงตาสีเพลิงจับจ้องพจน์ แล้วมันก็กรีดเสียงโกญจนาททั่วโบราณสถานอายุพันปี “เราก็ได้พบกันเสียที ชายเอยชายหยั่งรู้ แก้วนพ เจ้าเอย ชายหนึ่งในพิภพ ดั่งข้าม ชายโฉมงามยามสบ ตาตื่น ฤาเจ้า ชายหนึ่งเดียวหยุดห้าม ต่อสู้ ศึกสอง วันนี้เราจักได้รู้ว่าโคลงพยากรณ์หมายถึงผู้ใด”

จอมมารหยุดฝ่าเท้าเปลือยเปล่าสีเผือดลง แม้ไม่ได้อยู่ใกล้ในระยะอันตราย แต่พจน์สัมผัสภัยร้ายแรงกล้าประหนึ่งมีมือล่องหนวนเวียนโอบล้อม ฉับพลันลูกไฟสีแดงเผาไหม้ก็สาดวาบจากหัตถ์จอมปีศาจ รณพานุรักษ์ร่ายเวทคาถาสกัดได้ทันท่วงที ดวงตาสีชาดขยับไหวกลั่นถ้อยหัวเราะต่ำ

“ผู้พิทักษ์”
 
“จอมมาร”

“เพลานี้มิเห็นจำต้องอาศัยผู้พิทักษ์รักษาแล้วกระมัง อำนาจเหนืออำนาจสถิตอยู่ในกายเจ้าหนุ่มมนุษย์ทรงพลังยิ่งกว่ามนตราคาถาอ่อนด้อยของเจ้าเสียซ้ำ จงอย่าริอ่านใช้พระเวทชั้นต่ำต่อกรกับพลังของข้า” ประโยคท้ายแผดตวาดพิโรธโกรธา เมื่อการเผชิญหน้ามาถึงปักษาวายุภักษ์อดประหวั่นมิได้ เพียงลอบสังเกตเห็นจอมปีศาจก็สัมผัสรู้ถึงพลังเวทย์ไหลเวียนอยู่ในเงามืดแน่นขนัด ทรงพลังยิ่งกว่าตน แต่มิได้เผยกิริยาหวั่นเกรงให้ศัตรูล่วงรู้  ท่วงทีองอาจกล้าหาญสะท้อนส่งให้จอมปีศาจเยาะยิ้มตบหัตถ์ชื่นชมยินดี

“ความกล้ามิใช่ใครผู้ใดก็จักมีได้ นอกจากผู้ซึ่งกล้าหาญโดยแท้จริงจากใจ เฉกเจ้าทั้งสองนับว่า ข้ามิได้เห็นกับตาตนเองมาเนิ่นนานครัน”
 
“ปล่อยเพื่อนของผมเดี๋ยวนี้” พจน์ไม่รอช้าปล่อยเวลาให้เนิ่นนานตะโกนแจ้งเจตนา

“กลับไปไอ้พจน์ กลับไปเดี๋ยวนี้ เจ้ารณพาไฉนเลยจึงมิฟังคำมหาเทพ ไม่ควรชักนำมหาบุรุษมาเสี่ยงอันตรายเฉกนี้” ไอ้กันตะโกนขับไล่พจน์ ตัดพ้อข้อความต่อผู้พิทักษ์ปักษา

“กูต้องการมาช่วยมึงเอง ไม่มีใครบังคับ” พจน์สาวเท้าสู่เบื้องหน้าสองสามก้าว มิได้หวั่นลูกไฟมนตราใดๆ “กูมาช่วยมึง เพราะว่ามึงเคยช่วยกู ตลอดเวลาเราได้รู้จักกัน มีสักครั้งไหมที่มึงไม่ห่วงใย ไม่ปกป้อง ไม่รัก...กู”

“มึง...ไม่ต้องทำแบบนี้ กูไม่ต้องการ กลับไป กูบอกให้กลับไปไงเล่า”

“หุบปาก!” จอมมารตวาดขัดด้วยเสียงอันดังสะท้านพงไพร

“สังหารข้าบัดเดี๋ยวนี้ นี่มิใช่วิสัยปรกติของเจ้า จอมปีศาจ เจ้าจะไม่มีวันปล่อยให้เหยื่อพูดพร่ำทำเพลงอยู่ฉะนี้” ฝ่ามือล่องหนฟาดกระทบแก้มซ้ายของไอ้กันจนเลือดหยดซึมมุมปาก

“เจ้าพูดชอบแล้ว ข้าจักไม่มีวันให้ไอ้คนเนรคุณพูดพล่ามอยู่กระนี้ มันสมควรตายนับแต่ข้าแลสมุนจับพันธนาการได้ด้วยซ้ำ แต่...แต่ข้ามีแผนการเดิมพันเหนือชั้นกว่านั้น ยามสุดที่รักของเจ้าล่วงรู้ มันจักทำประการใด ไอ้ปีศาจจอมทรยศผู้คอยช่วยเหลือคุ้มครองมันต้องมามีอันเสี่ยงภัยอันตรายฉะนี้ มีหรือคนดีๆเยี่ยงมันจะรอประวิงนิ่งเฉย ไม่ มันจะกระหืดกระหอบตามหาข้า แหละนี่ผิดจากข้าคะเนกระนั้น ฤา เสียดายนัก เสียดายเชาวน์ปัญญาแลทักษะฝีมือประจำตัวเจ้า ประการเดียวที่ข้ายังเก็บเจ้าไว้ก็เพราะปรารถนาคำพยากรณ์ที่ดีกว่าครานั้น”

“โคลงพยากรณ์มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น จงเลิกฝันลมๆแล้งๆ”

“ถูกต้อง ข้าควรจะระแคะระคายเฉลียวใจ ว่ามันจักไม่มีโคลงพยากรณ์อื่นใดอีกนอกจากสิ่งที่เจ้าได้เปิดเผย ฉะนั้นบุรพกรรมสองเราคงสิ้นสูญ เจ้าไร้ประโยชน์เนรคุณ ทั้งโทษทัณฑ์ข้อขุนไม่ขึ้น มิอาจละไว้ให้มีชีวิตสุขสำราญ ข้าบริบาลชุบเลี้ยงเจ้าประดุจหนึ่งบุตรในสายโลหิตมาเนิ่นนาน นี่ล่ะหรือคือการสนองคุณตอบแทนความกตัญญู”

“คำลวง คำโกหก คือยาพิษที่แกป้อนไส้ไคล้เพื่อให้ข้ามีความหวังเพื่อจะได้พบ... แต่มันเป็นคำอำพราง เจ้านั่นแหละวางกลทรยศข้าก่อน จอมปีศาจ เพราะหลักฐานแจ้งเพทุบายก็คือ ภัทรพจน์มหาบุรุษ เขาครอบครองเพชรมณีโดยชอบธรรม เขามิได้ช่วงชิงแก่งแย่ง จงสำนึกละอายใจเถิด เจ้าสัญญาสาบานกับข้าว่าจะนำพระเจ้าวัชรโกมลกลับฟื้นจากพญามัจจุราช แต่เปล่าเลย เจ้ารู้อยู่แน่แก่ใจข้อไร้อำนาจราชศักดิ์คาถานั้น  ปลิ้นปล้อนหลอกลวงสุดแต่จะปด การทุรยศหนนี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำกับสิ่งที่เจ้าทำกับข้า”

จอมมารพุ่งทะยานบีบรัดมือรอบลำคอของไอ้กันรวดเร็ว เชือกมนตราพันธนาการหลุดรุ่ย เหล่าทาสปีศาจทั้งหมดยังคงยืนนิ่งมิได้เข้าช่วยเหลือนายของตนแต่อย่างใด

“ด้วยโง่เขลาเบาปัญญา หาใช่ความผิดข้า สติเลิศล้ำของผู้พยากรณ์ต้องมีอันวิบัติหม่นมัวก็เพราะพิษรักชั่วมั่วกำหนัดเป็นเหตุ หากเจ้าไม่พลั้งเผลอปล่อยรักครอบงำ มีรึจะไม่หยั่งรู้ ไม่มีใครตายแลฟื้นคืนได้ แต่อีกไม่กี่เพลาเบื้องหน้า ข้าจักกระทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครผู้ใดทำสำเร็จ คือ ชุบชีพจากเศษเสี้ยววิญญาณของสหายแลทาสผู้ภักดี สหภูบาล ฟื้นตื่นจากความตายซึ่งเจ้ามอบให้”

จอมมารเหยียดแขนกระชากปราชญ์พยากรณ์มาอยู่ข้างกาย แล้วจับจ้องภัทรพจน์  เจ้าหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลเห็นเหตุการณ์ลุกลามใกล้อันตรายต่อนิธิกระนั้นก็เร่งระงับสติ สะกดลมหายใจเข้าออกเพื่อเรียกภูเตศวรเทพผนึกกำลังโดนด่วน

“อย่าแม้แต่จะคิด เจ้าเด็กยังมิสิ้นกลิ่นน้ำนม” ดวงตาสีชาดล่วงรู้ท่าทีของพจน์ก็ตวาดเตือน “หาไม่ ข้าจักสังหารไอ้คนทรยศนี่โดยพลัน”

พจน์ลดมือลง ละกิริยากำหนดลมหายใจ ส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากปักษาวายุภักษ์
 
“ท่านต้องผนึกระดมกำลังกับวิเชียรมณี มหาบุรุษ นั่นคือหนทางเดียว จำต้องรวดเร็วฉับพลันก่อนที่จอมมารจักทำการสำเร็จ ระหว่างนั้นข้าจักเข้าสกัดให้มันห่วงพะวง”

“แต่พวกมันมีเยอะเหลือเกิน คุณจะทำได้หรือ อีกอย่างผมไม่แน่ใจว่าจะผนึกกำลังสำเร็จหรือเปล่า”

ฝ่ายจอมปีศาจเห็นภัทรพจน์ผู้ครอบครองสิ่งล้ำค่าสูงสุดหมายใจกำหนดลมหายใจแน่วแน่แล้วก็ผลักปีศาจพยากรณ์ถลันเสียทีสู่เบื้องหน้า เจ้าสินะกาวีปลดผลึกดำกลางหน้าผากขว้างเข้าหาภัทรพจน์ ถ้อยคำมนตราสังหารแผดก้องพร้อมลูกไฟมหึมากระแทกใส่กลางหลังกัน ดวงตาจุดดำขยับไหวไล่หาพจน์ชั่วขณะแล้วนิ่งงันตลอดกาล ก่อเกิดเป็นเงาจางๆดั่งหมอกควันเป็นรูปร่างเจ้าปีศาจหนุ่มยืนนิ่งแทนอยู่ ส่วนกายหยาบขาดแล่งแหลกสิ้น
 
ครั้นภัทรพจน์เห็นการกระทำของมารร้ายจอมเจ้าเล่ห์รวดเร็วปานนั้นสติประจำตัวก็แตกกระเจิง ถลันจะก้าวเข้าช่วยนิธิแต่ถูกปักษาวายุภักษ์ดึงรั้งไว้ จอมมารใช้กรงเล็บกุมศีรษะเงาขาวของสินะกาวี ดวงเนตรสีชาดจับจ้องอาการทุรนทุรายของภัทรพจน์ พลางว่า

“เจ้าจงดีใจเถิดที่ข้าลงมือฆ่ามัน ชายผู้นี้ไม่มีค่าใดๆให้เจ้าต้องสละการผนึกร่างกับพชรเทพไม่คุ้มเสีย อีกสองครั้งเท่านั้นอีกสองครา แหละนี่คือปัจฉิมวาจาสุดท้ายของแก ผู้ทรยศ จงกล่าวออกมา”

“กูรักมึง ไอ้พจน์ ...ตลอดไป”

แรงบีบจากกรงเล็บปีศาจบดเงาร่างละอองขาวแตกละเอียดนับแต่ศีรษะไล่ลามถึงใบหน้า ดวงตา ปาก แขน ลำตัว จรดปลายเท้า สลายเป็นฝุ่นไอเจือใสกับอากาศตราบสิ้นนิรันดร์กาล


100%...TBC

เพจนิยาย (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)
_________________________________

เสานางเรียง : เสามียอดคล้ายดอกบัวตูม

_________________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

อย่าเสียใจนะคะคนเขียนตอนก่อนมันหวานซะเกือบทั้งหมด มาเศร้าเอาตอนท้ายๆ เลยเป็นช่วงบิ้วอารมณ์ตัวเองอยู่น้ำตามันเลยยังไม่ทันไหล
 ส่วนตอนนี้ชอบกลอนจากพรากมาก แต่ก็เกลียดเหมือนกันจะจากจะพรากกันไปไหนต้องได้กลับมาเจอกันดิ คนเขียนแต่งดีนะชอบกลอนมากเลยอ่านแล้วได้อารมณ์ดี ชอบทุกกลอนทุกบทของเรื่องนี้มากเลย หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยพจน์คิดหาคำตอบที่ต้องการได้บ้างก็ยังดี

ปล.อยากได้รวมเล่มนะแต่ตอนนี้ไม่สะดวกซื้ออย่างแรง พอดีว่าไม่ได้อยู่ไทยอ่ะเลยไม่สามารถซื้อได้
ฮ่าๆ จะมีโอกาสทำให้คุณเสียน้ำตาอีกหรือเปล่าเนี่ย ยิ่งใกล้จบแล้วด้วย เหลืออีก ๔ ตอนเอง ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามมาจนขนาดนี้นะครับ ยิ่งคุณชอบกลอน ผมก็แทบจะน้ำตาไหลเพราะความยินดีเสียเอง ขอบคุณครับ เป็นกำลังใจสำหรับนักเขียนมือใหม่ผลงานเรื่องแรกได้อย่างดียิ่ง หากไม่ได้นักอ่านเช่นคุณๆ ผมก็คงไม่อาจเขียนมาจนใกล้จบแบบนี้ได้ การพราก การจาก เป็นวิถีชีวิตของมนุษย์เราครับ แตกต่างตรงที่ว่า ใครจะเจอเร็วหรือช้า เท่านั้น พจน์ จะพรากจากมาตะตลอดกาลหรือไม่ รอติดตามบทสรุปเร็วๆนี้ ส่วนหนังสือปกแดง คงใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้แน่ๆ สุดแท้แต่ว่า พจน์หรือ ศ.วิชัย จะทำสำเร็จทันหรือไม่ ก็ต้องคอยติดตามอีกเช่นกัน


‘ถ้ามนุษย์บนพิภพนี้เชื่อว่าน้ำท่วมโลก มหาพิภพจะล่มสลาย ถ้าสามารถรวบรวมมหามณีสามสิ่งได้ มหาพิภพจะล่มสลาย’
เหมือนจะ งง ถ้ามนุษย์เชื่อว่า น้ำท่วมโลก มหาพิภพจะล่มสลาย >>>> แล้วทำไมปู่ของพจน์ต้องประกาศเตือน???
ถ้ารวบรวมมหามณีได้ มหาพิภพจะล่มสลาย?? >>> งั้นพจน์ก็ไม่น่าจะต้องทำอะไร มหาพิภพจะได้ไม่ล่มสลาย
ปล. งง จริงๆค่ะ
อ๋อ ถ้าคุณจะงงก็คงไม่แปลกหรอกครับ เพราะข้อความที่คุณสงสัย มันตัดตอนมาจากบทที่ ๓๔ มัจจุราชยาตรา เป็นคำพูดของบุคคลชุดขาวที่ศาสตราจารย์วิชัยมาพบ ที่ว่า "หนทางช่วยทุกสรรพชีวิตบนพิภพนี้ คือ ศรัทธาความเชื่อจากมวลมนุษย์ทุกผู้ หากมนุษย์ทุกคนเชื่อว่าน้ำกำลังจะท่วมโลก พิภพนี้ก็จะปลอดภัย แต่...มีอีกหนทางหนึ่งซึ่งยากลำบากยิ่งกว่า คือ รวบรวมมหามณีล้ำค่าสามสิ่งให้ครบถ้วนก่อนวันโลกาวินาศมาถึง แลพิภพนี้จะยังคงอยู่ ทว่า...มหาพิภพจักย่อยยับพินาศล่มสลายทันที เพลาใกล้สิ้นสุดแล้ว มนุษย์ จงปฏิบัติตามหน้าที่อันวงศ์ตระกูลนี้ได้รับมอบหมายมาแต่ดั้งเดิม จงเลือกหนทางที่ถูกควร และ...เด็กนั่นช่วยเจ้าได้"

ถ้ามนุษย์เชื่อว่า น้ำท่วมโลก มหาพิภพจะล่มสลาย >>>> แล้วทำไมปู่ของพจน์ต้องประกาศเตือน??? แต่ถ้าคุณปู่ของพจน์ไม่ประกาศเตือน = พิภพปัจจุบัน คือ โลกของพจน์ จะล่มสลายแทน

ถ้ารวบรวมมหามณีได้ มหาพิภพจะล่มสลาย?? >>> งั้นพจน์ก็ไม่น่าจะต้องทำอะไร มหาพิภพจะได้ไม่ล่มสลาย ถ้าพจน์ไม่ทำอะไร หรือ ไม่รวบรวมมหามณีทั้งสาม = ถูกแล้วครับที่มหาพิภพ(ที่มาตะอยู่)จะไม่ล่มสลาย เช่นเดียวกับข้อสงสัยข้างต้น แต่พิภพปัจจุบัน คือ โลกที่พจน์ถือกำเนิด/โลกปัจจุบันทั้ง 7 ทวีป ที่ผู้เขียนและผู้อ่านอาศัยอยู่นี่ล่ะครับ จะล่มสลาย โดยถูกมหาพิภพดันตัวขึ้น เกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว น้ำท่วมโลกแทน

หวังจะช่วยคลี่คลายความกังขาของคุณได้นะครับ

:hao4:
o18

“จากเอยจากมิจากจำต้องจาก
จำพลัดพรากจำจากจำพลัดหลง
ใจสองดวงเคยรักแจ้งจำนง
ถึงคราวคงพรากจากจดจำใจ

ก่อนเคยรักสมัครรักพันผูก
ทุกข์สุขถูกผิดพลั้งร่วมแก้ไข
น้ำคำรักหวานซึ้งตรึงตราใน
ผนึกไว้กลางทรวงล่วงผ่านกาล

เมื่อมีพบต้องมีวันพรากจาก
หนึ่งคำฝาก รัก รัก รักผสาน
ครวญใคร่คิดคะนึงถึงซึ่งวันวาน
เราร่วมราญร่วมคู่ร่วมวิญญาณ์

พรากเอยพรากมิพรากจำต้องพราก
จำพลัดจากจำพรากถวิลหา
แววเว้าวอนแววรักแววนัยน์ตา
ชั่วดินฟ้าแม้นพรากจากเพียงกาย”

ตรงบทนี้อ่ะน้ำตาพรากเลย
เย้ ดีใจที่ทำคุณน้ำตาพรากได้ ฮ่าๆๆ

ก่อนเค้าจะรักกันได้ ต้องเสียน้ำตาอีกเท่าไหร่ ปวดใจอีกแค่ไหนหรือคะ คนเขียน ใจร้ายอ่ะ แล้วกลอนจากพรากก็ทำน้ำตาไหลเลย เพราะมาก ยิ่งใกล้จบก็กลัวไม่สมหวังยังไงไม่รู้ รอตอนต่อไปจ้า
ขอโทษน้า อย่าว่าผมใจร้ายเลยครับ อิอิ ดีใจที่คุณชอบกลอน จากพราก นะครับ ลองเดาเล่นๆนะครับว่า ตอนจบจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง หรือ แบดเอน

อ่าวมีตัวละครมาเพิ่ม  วายุภัทรมาเพื่ออะไรนะ อยากรู้จัง  รอต่อไปครับผม หนังสือนั้นได้รู้แค่ส่วนเดียวเอง  ยังไม่รู้เลยว่ามันจะมีวิธีอะไร  พอจะช่วยให้รอดพ้นกับวิกฤตนี้รึเปล่า
คุณคงได้คำตอบของการปรากฏตัวของปักษาวายุภักษ์แล้วนะครับ ส่วนหนังสือปกแดง ก็ที่แน่ๆ ใช้เป็นหลักฐานยืนยันหายนะภัยน้ำท่วมโลกได้แน่ชัด อยู่แค่ว่า ศาสตราจารย์วิชัยจะนำไปใช้หรือไม่เท่านั้น ก็ในเมื่อต้องเลือกให้พิภพปัจจุบันหรือ มหาพิภพใต้มหาสมุทรแปซิฟิกอยู่รอด อย่างไหนควรอยู่ อย่างไหนควรรอด ตัดสินใจยากลำบากเหมือนกันนะครับ

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: รอตอนต่อไปค่ะ
มาแล้วครับ เชิญเสพได้ มีข้อสงสัยติชมได้นะครับ

อ่านทันแล้วค่ะ ขอบคุณผู้เขียนที่ยังคงลงเรื่องให้อ่านไม่ขาดตอนนะคะ เพราะว่าเป็นงานเขียนที่ต้องใช้เวลากลั่นออกมา แต่ก็ยังคงเขียนต่อเนื่อง ไม่ท้อใจไปเสียก่อน  ต้องบอกว่าเรื่องนี้เป็นนิยายวายที่อ่านยากที่สุดตั้งแต่อ่านมา แต่ก็ยังคงอ่านต่อ แม้จะต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกับความหมายของศัพท์ไทยมากกว่านิยายปกติมากซักหน่อย  (ปกติไม่ค่อยอ่านวรรณคดีไทยมากนัก สมัยเรียนก็อ่านเท่าที่มีในบทเรียนและต้องสอบเท่านั้นเอง) แต่ยิ่งอ่านไปก็ยิ่งรู้สึกอยากติดตาม อยากรู้ว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปอย่างไร สำหรับบทร้อยกรองในเรื่องนั้น ชื่นชอบมากค่ะ ชอบอ่านและชื่นชมกับการเลือกใช้คำมาก ตัวเราเองแต่งกลอนไม่เป็นเลย ไม่มีทั้งพรสวรรค์และพรแสวงในเรื่องนี้

สำหรับคอมเม้นท์ของบทท้ายๆ ขอพูดถึงเรื่องของพระราชเทวีซักนิด ตอนแรกพบกับพจน์ ที่บอกว่าพจน์เป็นถึงมหาบุรุษ มิใช่มนุษย์ธรรมดาเหมือนเช่นตน แต่มีสี่เศียร สี่พักตร์ สี่กร...แป๊บเดียวเท่านั้น หม่อมแม่ก็อารมณ์ผันผวน ชี้หน้าด่าทอและขับไล่ไสส่งซะงั้น ปรับอารมณ์ตามแทบมิทัน เข้าใจว่าอยู่ในช่วงฮอร์โมนส์ปรวนแปร หรืออาจห่วงกังวลเกรงว่าพี่ชาย น้องชายจะผิดใจกันเพราะชายคนเดียว จึงจำต้องตัดปัญหานี้ทิ้งไป จนทำให้พจน์ที่รักของดิฉันต้องช้ำใจ จำพรากจากยอดรัก กลับมาสู่ภพปัจจุบัน เศร้าจัง..สงสารมาตะ
.
.
.
อ้อ..มีฉากนึงที่ติดอยู่ยังมิเคลียร์ ใครคือคนที่แอบดูสองหนุ่มเริงรักกันในน้ำเมื่อคราโน้นนน..คะ พระมหาอุปราชาหรือเปล่าเอ่ย มาแต่ดวงตา..ยังไม่เฉลย เลยข้องใจ แหะๆ

จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ผู้แต่งค่ะ หายป่วยไวๆนะคะ ^^
เป็นนิยายที่ใช้เวลาแต่งแล้วเสร็จแต่ละตอนยาวนานอย่างคุณว่าจริงๆครับ ทั้งขั้นตอนสืบค้นข้อมูล ทั้งขั้นตอนสำคัญที่สุดคือลงมือเขียน ทั้งขั้นตอนขัดเกลาภาษาหลังเขียนเสร็จ เป็นงานเขียนนิยายที่เหนื่อยพอตัวอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยเหตุว่าเป็นงานเขียนที่รักและชอบ อีกทั้งมีกำลังใจจากผู้อ่านส่วนหนึ่งอย่างคุณ แม้จะไม่มากมาย แต่ก็ช่วยเป็นแรงทั้งผลักทั้งดัน และแรงใจให้งานเขียนนิยายวายเรื่องนี้ดำเนินมาใกล้ถึงบทสรุปจนได้ ความดีความชอบทั้งหลายส่วนสำคัญที่ลืมไม่ได้ก็ต้องยกให้ผู้อ่านทุกท่านนี่แหละครับ

จริงครับที่ในการอ่านนิยานวายเรื่องนี้ต้องพิถีพิถันในการอ่านพอสมควร แนะนำว่าไม่ควรอ่านข้าม ไม่อ่านแบบรีบๆร้อนๆ เพราะอาจบกพร่องทั้งด้านเนื้อเรื่อง แลอรรถรสทางภาษาไปโดยปริยาย ฉะนั้นวิธีการอ่านนิยายเรื่องนี้จึงต่างจากนิยายวายทั่วไปมากพอสมควร นอกจากจะไม่ค่อยมีฉากให้ฟินเท่าไหร่แล้วต้องมาขบคิดปริศนาอันซุกซ่อนไว้มากมายอีก แค่อ่านก็เหนื่อยแล้วนี่ยังทรมานผู้อ่านให้หลงไปทางทิศโน่นนี่ คาดเดาไม่จบไม่สิ้น แต่เมื่อเห็นว่ามีใครเม้นต์ว่า อ่านยาก ทีไร ผมก็อดปลื้มใจยินดีเสียอีก ฮ่าๆ

ผิดต่างจากผมครับ ตอนเรียนมัธยมนี่ชอบมากๆเลย เรื่อง โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน เนี่ย มีประกวดที่ไหน ส่งไปชิงรางวัล กวาดเรียบมาหมด ทั้งเคยประชันกลอนสดก็ผ่านมาแล้ว ถือว่าประสบการณ์โชกโชนเลยก็ว่าได้ ในเมื่อเป็นสิ่งที่ถนัดและชอบก็เลยใช้ความชอบนี้มาผูกเรื่องราวเสริมผสานเข้ากับนิยายดู ก็เห็นว่า มิได้ประดักประเดิดแต่อย่างใด แต่กลับช่วยให้เรื่องราวดูมีความเป็นไทย อ่อนช้อย เหมาะแก่แนวเขียนเสียอีก ก็เลยผนวกเอามาไว้ ดังนั้น ถ้าคุณชอบ ผมก็อดปลื้มใจยินดีเสียอีกนั่นแหละครับ

สำหรับข้อติดใจเรื่องพระราชเทวีนั้น คุณหรือผู้อ่านหลายท่านอาจปรับอารมณ์ตามไม่ทัน ที่ตอนแรกพระนางก็ต้อนรับขับสู้พจน์เป็นอันดี (?) หรือเปล่า แล้วจู่ก็อารมณ์แปรปรวนจนถึงขั้นตวาดขับไสไล่ส่งในตอนท้าย ถ้าหากลองพิจารณาโดยถี่ถ้วนแล้ว ชั้นตั้นพระราชเทวีคงมิได้มีแก่ใจจะต้อนรับพจน์ของเราเท่าไหร่ แต่ขันติความอดทนประจำศักดิ์มีสูงในตอนแรกก็พอสะกดอารมณ์ร้อนในใจไว้ได้ ครั้นถูกจี้ด้วยเรื่องบุตรทั้งสองต้องมีอันขัดใจกัน ด้วยพจน์เป็นเหตุ ทั้งเป็นต้นตอชักนำภัยมาสู่บ้านเมือง กิริยาเย็นแต่แรกก็พังทลายสิ้นดั่งที่เห็น หวังว่าคุณจะคลายข้อสงสัยในฉากนี้นะครับ

สำหรับฉากที่ว่าใครแอบดูสองหนุ่มเริงร่ากันในน้ำนั้น ผมคงไม่เฉลยละกันครับ เอาไว้ให้ผู้อ่านลองเดากันเล่นๆ เพราะไม่ได้มีความสำคัญใดๆต่อเรื่องราวโดยรวมเท่าไหร่ แต่ถ้าลองสังเกตดีๆ บุคคลที่น่าสงสัยที่สุดก็คงเป็น... นั่นแหละครับ อิอิ
สุดท้ายขอบคุณสำหรับความห่วงใยครับ แล้วไว้คุยกันใหม่นะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๒ ปักษาวายุภักษ์ ๑๐๐% (๐๕/๑๐/๕๙) หน้า๑๓ [แจ้งสำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 05-10-2016 16:29:05
ขอบคุณที่เข้ามาแถลงค่ะ ...... น่าติดตามต่อจริงๆว่า พจน์จะทำยังไงต่อไป
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๒ ปักษาวายุภักษ์ ๑๐๐% (๐๕/๑๐/๕๙) หน้า๑๓ [แจ้งสำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 05-10-2016 17:53:53
สงสารกัน  :monkeysad: ได้แต่รักเค้าข้างเดียวข้าวเหนียวนึ่ง แล้วยังต้องสละชีวิตตนเองเพื่อคนที่รักอีก คนแต่งใจร้ายยย    :hao5:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๒ ปักษาวายุภักษ์ ๑๐๐% (๐๕/๑๐/๕๙) หน้า๑๓ [แจ้งสำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: flowerloveyaoi ที่ 05-10-2016 18:07:31
อ่านเรื่องนี้แล้วขอบอกเลยว่าภาษาเก่งมากก ถึงแม้เราจะต้องอ่านไปแปลคำไปด้วยก็ตาม

สารภาพตามตรงว่าอ่านแรกๆแล้วกดปิดเลย เพราะไม่ชอบแนวฮาเร็ม หรือต้องคอยให้ลุ้นว่าใครพระเอก (รสนิยมส่วนตัวล้วนๆ)แต่หลงรักการบรรยายเลยกัดฟันอ่านต่อ

ก่อนอื่นขอติตัวพจน์ สำหรับเราแล้ว ไม่ค่อยเข้าใจในตัวพจน์เท่าไรว่าทำไมถึงรักมาตะ แต่ยังให้ความหวังคนอื่นและตัวเอง และตอนที่มาตะโดนบุหลันจูบทำไมถึงต้องร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด มันไม่ค่อยสมเหตุสมผลสำหรับเราเท่าไร และพจน์ก็ไม่น่าไปโกรธมาตะ เพราะตัวพจน์นี่ทั้งมีปาล์มอยู่ลึกๆในใจ ทั้งให้ความหวังกัน ให้กันและปาล์มทั้งกอดปลอบ ให้จูบ(ไม่แน่ใจ) จับมือถือแขน อะไรอีกก็ไม่รู้ และยังมีตัวละครอื่นๆอีก แต่นั่นแหละเรื่องนี้ออกแนวฮาเร็ม เรื้องมันจะเป็นแบบนี้ก็ปกติ เราแค่ติ่งมาตะเฉยๆเลยไม่ชอบการกระทำของพจน์ แหะๆ

ส่วนตัวมาตะ เราว่าเค้าไม่ค่อยสมกับบทของพระเอกเท่าไร อาจเป็นเพราะเราติดกับบทพระเอกจากนิยายเรื่องอื่นๆ ที่พระเอกจะมีบทบาทสำคัญๆ เป็นช้างเท้าหน้า มีความเก่งกาจที่จะต้องปกป้องคนที่รักอย่างสุดกำลังโดยไม่สนอะไร ซึ่งสำหรับเราตัวมาตะไม่ได้เป็นแบบนี้ บทนี้กันได้รับมากกว่าเลยเหมือนว่ากันเป็นพระเอกไป แต่ไม่นับชาติก่อนๆนะ อันนั้นเราว่าเหมะกับบทพระเอกอยู่แล้ว เราเลยคิดว่าตัวมาตะน่าจะมีบางอย่างที่ไม่ใช่มีแค่xxกับพจน์แล้วทำให้พจน์เพิ่มพลัง มันต้องมีมากกว่านี้สิ :ling1:(คอยบอกตัวเอง) สรุปเราก็ติ่งมาตะอีกตามเคย 5555

ส่วนตัวกัน ไม่มีอะไรมาก สั้นๆเลย เป็นพระเอกเถอะ 5555 (แต่ก็ไม่อยากให้เป็น ยังคงเป็นติ่งมาตะอยู่)

ตัวอื่นๆและเนื้อเรื่องไม่ออกความคิดเห็นแล้วกัน เดี๋ยวจะยาวกว่านี้ 

ทั้งหมดนี้เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของเราเท่านั้น ซึ่งบางครั้งมันก็ออกแนวอคติกับตัวละครมากไป ไรท์อย่าคิดมากนะคะ เพราะเรายังคงอ่านเรื่องนี้จนจบนั่นแหละและถ้ามีรวมเล่มคงจะต้องขอเก็บไว้ซักเล่มสองเล่มเหมือนกัน หลงรักการเขียนด้วยภาษายากๆนี้ไปแล้ว สู้ๆนะคะยังคงรอตอนต่อไปเสมอ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๒ ปักษาวายุภักษ์ ๑๐๐% (๐๕/๑๐/๕๙) หน้า๑๓ [แจ้งสำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 05-10-2016 21:40:23
 o13
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๒ ปักษาวายุภักษ์ ๑๐๐% (๐๕/๑๐/๕๙) หน้า๑๓ [แจ้งสำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 05-10-2016 23:52:43
อย่างน้อยก็มีคนติดตามผลงานเพิ่มขึ้นนะครับ  ส่วนการตัดท้ายบท  เป็นอะไรที่เจ็บปวดอีกแล้ว  เฮ้อ  สรุปมาให้เขารู้ตัวจริงแค่นั้น  มีประโยคเจ็บๆหลายประโยคในตอนนี้นะ  มันลุ้นแบบทรมานใจมาก  ยิ่งใกล้เท่าไหร่มันยิ่งเหมือนมีปมเพิ่มขึ้นอ่ะ  สรุปพจน์จะช่วยใครได้ไหมเนี้ย  รอๆต่อไป
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๒ ปักษาวายุภักษ์ ๑๐๐% (๐๕/๑๐/๕๙) หน้า๑๓ [แจ้งสำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: pnn ที่ 07-10-2016 05:16:58
สงสารกัน เข้าใจว่ารักพจน์ แต่เราชอบมาตะนะ แต่ต้องตายเลยหรอ ในที่สุดพจน์ก็ได้เจอจอมมารเสียที ลุ้นอ่ะ รอติดตามนะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๒ ปักษาวายุภักษ์ ๑๐๐% (๐๕/๑๐/๕๙) หน้า๑๓ [แจ้งสำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: Delta ที่ 09-10-2016 18:42:30
R.I.P. กัน นิธิ สินะกาวี ผู้ที่รักมั่นคงตราบลมหายใจสุดท้าย รู้สึกเหมือนจะร้องไห้แต่น้ำตาไม่ไหลไหมคะ คนเขียนทำให้เรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ. ถึงจะเชียร์มาตะแต่มาเจอฉากนี้เข้าทำเอาอึ้งไปเลย รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๓ ดาบกนกกาญจน์ราญอริราช ๕๐% (๑๐/๑๐/๕๙) หน้า๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 10-10-2016 14:59:47
บทที่ ๔๓



ดาบกนกกาญจน์ราญอริราช



“ไอ้กัน”

ถ้อยเสียงโหยไห้ดังฟ้องเศษเสี้ยวใจว่ามีนิธิสถิตครองอยู่ในฐานะรัก...ระหว่างมิตร รัก...ระหว่างสหาย รัก...ระหว่างเพื่อนต่อเพื่อน  พจน์จึ่งเหมือนเจ็บครวญยิ่งกว่ารักเฉกคนรัก ดวงวิญญาณ กัน นิธิ เด็กใหม่ผู้แปลกประหลาด ท้าทายพจน์ให้ถอดโคลงสี่สุภาพต้องห้าม ณ วินาทีแรกพบเจอ ทั้งช่วยชีวิตอาธนพลพ้นจากอำนาจมนตราลีลาทมิฬ บัดนี้สูญสลาย ไม่มีอีกแล้ว คนที่รักและภักดีต่อพจน์ตราบลมหายใจสุดท้าย สมสัจจะวาจา

“โอ้ ช่างน่าเวทนาเหลือประมาณ รัก ฤา มิตรภาพเล่าจึ่งทำให้เจ้าเจ็บเจียนสิ้นชีวาวายกระนี้” จอมมารกรีดคำขัน คลี่นิ้วปัดฝุ่นผงดวงวิญญาณผสมกายหยาบของผู้ทุรยศ
 
“แก..” ภัทรพจน์บดฟัน เส้นเลือดในกายผุดชัดแทรกผิวเนื้อเฉกเดียวกับมัดกล้าม ดวงตากร้าวผสมความแค้น

“มหาบุรุษ ท่านจงครองสติ กำหนดลมหายใจด้วยหทัยบริสุทธิ์ปราศจากเคียดแค้นเถิด” รณพานุรักษ์ปรามประหวั่น ครั้นเห็นแววตามหาบุรุษลุกโชนด้วยเพลิงไฟ บัดนี้ภัทรพจน์ไม่ได้ยินสิ่งอื่นใดนอกจากคำพูดสุดท้ายของไอ้กัน

‘กูรักมึง...ตลอดไป’

“มึงดีเกินกว่าจะรักคนแบบกู ไอ้กัน กูไม่มีค่าให้มึงต้องทุ่มเทขนาดนั้น กูไม่สมควรได้รับสิ่งที่งดงามและล้ำค่าที่สุดจากมึงแม้แต่น้อย กูไม่สมควรได้รับ ความรัก อย่ามอบให้กู ไม่ตลอดไป ไอ้กัน จะไม่มีตลอดไป เพราะกูจะเกิดในชาตินี้เป็นครั้งสุดท้าย นับจากนี้เราจะไม่ได้เจอกันอีก” น้ำตาสายโลหิตปิดล้อมคลอนัยน์ตา

“จอมมาร...”

กู่ก้องออกนามศัตรูหนักแน่น แล้วพุ่งทะยานวิ่งด้วยอารมณ์แค้น รณพานุรักษ์เนรมิตเป็นนกยักษ์ทันที นอกจากการเข้าถึงญาณสมาบัติแล้วยังมีสิ่งหนึ่ง

รัก

กุญแจสำคัญต่อการผนึกรวมภูเตศวรเทพ มัดกล้ามของพจน์ผุดขยาย ผลัดกายเปลื้องภูษาเป็นขาวสว่าง บังเกิดจัตวาเศียรสี่กรจตุรพักตร์ โจนโหนหาพญามารในทันที พระบาทเชิงงอนกระแทกกลางอุระจอมปีศาจจนมันกระเด็นถอยชนขั้นบันไดศิลาฝุ่นตลบ เหล่าทาสรับใช้ตรูกันเข้าสกัด กินรีปีศาจสองตนโผเข้ารับมือกับรณพานุรักษ์ ส่วนยักษาสองตนฟาดตะบองเข้าใส่ภูเตศวรเทพ หลบหลีกอาวุธขนาดหกเมตรฝังเหล็กแหลมแล้วปราดเข้าใช้จักรสุรกาฬเฉือนอาวุธยักษ์หักครึ่งท่อนในทันที เจ้ายักษ์อสูรมึนงงชั่วขณะ หันเหลียวหาเทพตัวเล็ก ส่วนอีกตนเห็นภูเตศวรเทพประทับลอยอยู่หลังศีรษะก็ฟาดอาวุธใส่เพื่อนตัวจนร่างมหิมาล้มกระแทกพื้นดินสะเทือน

จอมมารถูกอิสตรีแต่งกายอาภรณ์งามนาม นางอัปสรา ถวายการฉุดรั้งให้ลุกขึ้นจากหลุมศิลา

“เตรียมก่อกองมหาอัคคีเพลิง นางอัปสรา”

“เพคะ องค์จอมมาร” น้ำเสียงอ่อนหวานรับพระบัญชา ร่ายนิ้วเสกกองไฟ จอมมารขยับมือเนรมิตอัคนีขาวคลับคล้ายคลับคลาเสนาบดีสหภูบาลผู้วายชนม์สาดใส่กองพระเวทเพลิงนั้น พลางว่า

“เฝ้าระวังอย่าให้มหาเพลิงมอดดับ ข้าจักนำน้ำตาสายโลหิตปลิดจากดวงตามนุษาร่วมประกอบพิธีชุพชีพหัตถ์ขวาของข้าให้จงได้” ตรัสเสร็จก็โผนระเหินประชิดภูเตศวรเทพ เสกพระเวทเป็นม่านดำสาดใส่บดบังการมองเห็น ภูเตศวรขยับกรทั้งสี่ป้องปัดขว้างคฑาฉวัดเฉวียนทำลายม่านมนตราทมิฬกลางอากาศ ระเบิดเป็นคลื่นพลังสาดซัดต้นไม้ไพรพนาล้มราบคาบ

“สิ่งอกุศลกรรมแห่งเจ้าต้องได้รับการชดใช้ จอมปีศาจ” โอษฐ์พักตร์หนึ่งแจ้งเตือน พระเนตรขาวสว่างเจิดจรัสตรัสตวาด ทั่วทั้งกายาร้อนด้วยเพลิงอาฆาตแค้น

“ดี ดียิ่ง ข้าสัมผัสไฟแค้นในกายเจ้า พชระเทพ” จอมปีศาจสาดลูกไฟสีแดงต่อกรพัลวัน ครั้นรับรู้เห็นเพลิงพิโรธอยู่เหนือจิตสงบของผู้ครองเพชรมณีก็กระหยิ่มพึงใจตามสมคิด ลมวูบใหญ่พัดสาดใส่ ณ จุดปะทะกลางอากาศ แสงสีอัสดงฉายต้องอาภรณ์ขาวแลดำเป็นสีส้มเรืองระยับ ขับม่านหมอกราวกับกลุ่มเมฆตกต้องโดยน้ำมือพระอาทิตย์กระนั้นเป็นภาพงามจับตา
 
ฝ่ายรณพานุรักษ์ออกรับพระเวทด้วยกินรีปีศาจขนกายดำ ขยับปีกสาดขนนกดุจหอกซัดเข้าฝ่ายศัตรูมิได้หยุดหย่อน แต่นางกินรีผู้มีจิตใจดำมืดกลับหลบหลีกได้เสมอกัน รูปกายแม้สวยงามหยาดนางฟ้าแต่ดวงตาแฝงความโฉดชั่วมิได้เสริมส่งให้หลงกล ร่ายมนตร์พระเวทต่อกรไม่ลดละเสมอกัน

“ความรักเอ๋ยความรัก เคยสมัครภักดีเป็นเจ้าของ คราวรู้สึกไม่รักน้ำตานอง พอรู้รักคว้าประคองสู้เจียนตาย” จอมมารท่องกลอนตอกย้ำภูเตศวรเทพ ไฟแค้นก็สุมหนุนเนื่องมากขึ้นทุกขณะ ผิดต่างจากมารร้ายกลับนิ่งสงบดุจน้ำเย็นในสระมืด “กว่าจะรู้ว่ารักเป็นไฉน สิ้นดวงใจสิ้นชีพสิ้นความหมาย กว่าจะรู้ว่ารักพังทลาย สิ้นวอดวายสิ้นรักสิ้น ‘กัน’ ที”

“หยุดถ้อยคำเจรจาเถิด ความตายจักบังเกิดยังไม่สำนึก” พชระเทพก็ขว้างอาวุธทั้งสี่ ประกอบด้วย ตรีศูล วิฑูรย์คทา มหาจักรสุรกาฬ สุวาณสังข์ โอบเข้าใส่จอมปีศาจ มันระเบิดผ้าคลุมกายาออกสะกดอาวุธทั้งสี่สะท้อนหวนคืนเจ้าของ ครั้นผ้าดำสลายสิ้น จึ่งเห็นกายภายในของผู้ที่ได้ชื่อว่า จอมมาร

ทรงสี่พักตร์ยักษาน่าเกรงขาม
ยอดโฉมงามผุดผาดดั่งอัปสร
แซมเขี้ยวเกล็ดเพชรพราวมุมปากงอน
คิ้วคันศรสะโอดสะองงามวิไล

เกิดสี่เศียรสี่กรศรทรงฤทธิ์
พร้อมอาวุธวิศิษฏ์ ชาญสมัย
นัยเนตรแดงเติมน้ำตาลไป
ดั่งผิวเนื้อสมันไพรจตุบาท

เหนือนลาฏผุดแก้วปัญจมณี
เรืองฤทธีบุษรา โกเมน ชาด
ทั้งมุกดา เพทาย ไพฑูรย์ ผงาด
อสุรมาศก็โจนย่ำกระแทกลง

“อสุรมาศ”

จิตสำนึกนิมิตคราวมหาเทพยกอสุรมาศชาติยักษาเป็นบาทบริจาริการื้อค้นจากความทรงจำของพจน์สู่ภูเตศวรเทพเสมอกัน ฝ่าเท้าซีดเผือดกดยันอกภูเตศวรให้ดำดิ่งลงกระแทกพื้นมรรคาศิลาแลง กลายเป็นหลุมผาดแผลงระแหงแตกก้นลึก
 
“ใช่ เป็นนามข้าเมื่อเนิ่นนาน แต่จักเป็นคราแรกแลคราเดียวสำหรับคำเจ้าเอ่ย” เสียงแหบต่ำย้อนกลับเป็นถ้อยมธุรสกังวานหวานเฉกหนุ่มรุ่นๆ “ไฟแค้นสุมให้อิทธิฤทธิ์เจ้าด้อยพลังกว่าเก่าเดิม จึ่งพลาดท่าพ่ายให้ข้าเหยียบเนิบย่ำอยู่กระนี้ ดูหรือ ในที่สุด อัญมณีล้ำค่าสูงสุดจักต้องตกเป็นของข้าแต่เท่านั้น”

อำนาจทรงฤทธิ์แห่งวิเชียรมณีเสื่อมสลายเมื่อถูกอำนาจแกร่งกล้ายิ่งกว่าเหยียบย่ำอยู่ ละทิ้งไว้เพียงภัทรพจน์เจ้าหนุ่มผู้ครอบครองเท่านั้น เขาดิ้นรนทุรนทุราย ขืนตัวออกจากแรงกดทับ
 
รณพานุรักษ์แลเห็นอำนาจเพชรมณีเสื่อมฤทธิ์ก็ตระหนกตกใจมิได้ทันระวัง นางกินรีปีศาจสองตนบินร่อนมะรุมมะตุ้มประกบหน้าหลังใช้เชือกมนตราสะกัดจับมัดไว้ แล้วจัดการโยนกระแทกพื้นใกล้ๆกับภัทรพจน์มหาบุรุษ
 
อสุรมาศจอมมารเห็นชัยชำนะลอยอยู่รำไรพึงกระหยิ่มยิ้มปริ่มหทัย ส่งสัญญาณให้ทาสรับใช้นางอัปสราเคลื่อนกองมหาอัคคีเวทย์เลื่อนมาสุ้มใกล้ ณ จุดจบของผู้ครอบครองวิเชียรมณี แล้วตรัสว่า

“ดูก่อน นางอัปสรา กินรีปีศาจ แลทาสยักษาแห่งข้า บัดนี้ถึงเพลาที่ข้าเฝ้ารอคอยนานแสนนาน” ดวงตาสีน้ำตาลอย่างเดียวกับพจน์กวาดจับจ้องมนุษย์ใต้ฝ่าเท้า ทั้งรูปโฉมผิวพรรณขาวซีดดูงดงามกว่านางอัปสรรวมกันทั้งท้องฟ้า งามเสมอพจน์มิต่างกัน
 
“โคลงพยากรณ์บทต้นอันเจ้าสินะกาวีทำนายทายทัก คราแรกข้ามิพักเห็นเป็นอื่นนอกจากตัวข้า” เขี้ยวผุดโง้งจากมุมปากเป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันว่าอสุรมาศมิใช่มนุษย์ แต่รูปร่างทั้งหมดมิได้เชื้อเถาเหล่ากอมาประดับกายแม้แต่น้อย นั่นถึงทำให้มหาเทพมีใจสมัครรักใคร่แต่แรกเห็น แม้แต่พจน์ยังอดชื่นชมความงามนั้นมิได้ เล็บดำยาวกรีดตามผิวแก้มเนียนของพจน์ยามเมื่อจอมมารโน้มองค์ลงมาพินิจเหยื่อใต้ฝ่าเท้า

“มินึกว่าจักยังมีผู้อื่นบังอาจครองรูปโฉมเทียบเทียมข้า เราไม่เคยเจอกันมาก่อนล่วงนับแต่อดีตชาติทุกภพของเจ้า เกือบจักได้เจอ แต่ก็มีเหตุทำให้เจ้าต้องสิ้นชีวาวายเสียก่อน คราวเจ้าครอบครองโกสันต์ปัทมทับทิม เป็นข้าผู้ยุยงให้ท้าวกรรณ์ฑมารยักษาบุกโจมตีพิภพนาคาเพื่อฉกชิงมหาทับทิม มินึกว่าเจ้าจักอาจหาญต่อกรยิ่งชีพตน นั่นทำให้ข้าพลาดได้หนึ่งมณีมีค่าเพราะมันสาบสูญหายนับแต่เจ้าตาย ฤา คราวพัชรพีนิลกาฬ ข้าประสงค์สร้างความพินาศแก่มหาพิภพจึงปลุกปั่นให้ท้าวคนธรรพ์ยกทัพบุกอาณาจักรกินนรมิใช่เพื่อนิลมณี เพราะหะนั้นข้ายังมิได้ยินข่าวคราวใดจึ่งพลาดพลั้ง ปลดปล่อยให้ไพลินนิลสีตกสู่เจ้าเหนือหัวคนธรรพ์จวบกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ข้าจึ่งทราบว่า พัชรพีนิลกาฬหลุดลอยจากเพียงเอื้อมมือถึง เฉกเดียวกับอนันตวัชรมรกต ข้ามิได้เฉลียวใจว่าสิ่งล้ำค่าเรียกวิญญาณนั้นจักอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่เราก็ยังไม่ได้พบกันจวนกระทั่งเจ้าตายด้วยคัมภีร์มนตร์ดำของข้า ด้วยนางอัครมเหสีพระเจ้าอนันตราชวอนขอ แลเราก็ยังมิได้เจอกัน เจ้าเห็น ฤา ไม่ ว่าแผนการของข้ามีจุดอ่อนประการใด”

พจน์สะบัดตัวขัดขืน แต่เรี่ยวแรงมหาศาลของฝ่าเท้าอสุรมาศกดทับดุจหินผา

“ข้อที่เรามิเคยได้สบเห็นกันมาก่อนอย่างไรเล่า หากข้ารู้ว่าเป็นเจ้าผู้ครอบครองเหล่าอัญมณีมีค่ามาทุกชาติภพ ข้าคงบรรลุแผนการต่ำช้าขององค์มหาเทพได้ทันท่วงที แลมิจำต้องเสียเวลาตามหาคนผู้ครอบครองเพชรมณีเนิ่นนานเยี่ยงนี้ หากเราเคยเจอกัน ความตายจักมาถึงเจ้าในชาติภพนี้เร็วกว่าที่เจ้าฉุกสงสัยเสียซ้ำ”

“งั้นก็เอาสิจะรออะไรอยู่ ผมปลดข้อสงสัยทั้งมวลแล้ว ไม่ติดใจกังขาใดๆอีก อ้อ” พจน์ท้าท้ายกล้าหาญมิได้หวั่นเกรงความตายแม้แต่น้อย “ถ้าการกระทำของคุณทั้งหมด ทำไปเพื่อล้างแค้นมหาเทพในครั้งนั้นล่ะก็ คุณคิดผิด”

อสุรมาศจอมปีศาจผงะ ดวงตาสั่นระริกมิอาจปิดบัง

“แกจะรู้อะไร จริงดังว่า ข้ารุกรานมหาพิภพแลพิภพนี้เพื่อล้างแค้นมหาเทพในครานั้น หากพระองค์เด็ดเดี่ยวมากกว่าสมญานามก็ควรจักสับร่างข้าให้แหลกลาญมิใช่เพียงคอ”

ร่องรอยแผลรอบคออสุรมาศปรากฏชัดเมื่อสิ้นมนตร์กำบัง เห็นรอยนูนคล้ายแผลเป็นรอบลำคอขาว
 
“แกเข้าใจผิด” ถ้าสิ่งที่พจน์นิมิตเห็นคือความเที่ยงแท้แล้วละก็ จอมมารกำลังทำทุกสิ่งอย่างผิดพลาดอย่างมหันต์

“หุบปาก ข้ามิได้ทอดระยะชีวิตเจ้าเนิ่นนานเพื่อให้มาเกริ่นกล่าวในสิ่งโป้ปดมดเท็จ” มันจับจ้องน้ำตาสายโลหิตรอบดวงตาพจน์อย่างประสงค์แจ้งชัด

“อ้อ แกต้องการน้ำตานี่ใช่ไหมล่ะ จริงแล้วที่ทำให้ผมต้องหลั่งสายโลหิตอีกครั้ง เพื่อเซ่นมิตรภาพรักระหว่างเพื่อน ไม่เคยคิดจะต้องร้องไห้เป็นเลือดได้อีกทั้งที่ผ่านช่วงเวลาเจ็บระทมมาก่อน แต่ครั้งนี้มันได้ผล แกทำสำเร็จ”

“ตอบแทนสำหรับสิ่งที่เจ้ากระทำเหยียบย่ำสังหารอาจารย์ข้า ทศมาร” จอมปีศาจตวาด “แลกด้วยชีวิตของไอ้คนทรยศสินะกาวีก็เหมาะควรยิ่งแล้ว”

จอมมารใช้ปลายเล็บช้อนตักน้ำตาสายโลหิตจากใต้ตาพจน์แล้วดีดใส่มหาอัคคีเพลิง ฉับพลันบังเกิดเปลวไฟสีดำทมิฬลามเลียพุ่งลุกสูงสุด นางอัปสราพนมมือบริกรรมคาถางึมงำฟังไม่ได้ศัพท์

“แม้นข้ามิอาจชุบชีพทศมาร ครูท่านกลับคืนมาได้ แต่สหภูบาลเสนาบดีจักฟื้นคืนดังข้าปรารถนา น้ำตาสายโลหิตหนึ่งน้อยนิด ปลุกชีวิตวิญญาณฟื้นไฉน คัมภีร์เวทมนตร์ดำอาถรรพณ์ไกล หยาดเพชรศิวิไลซ์เพียงหนึ่งเดียว

เมื่อสิ้นคำกลอนจึงก่อเกิดกายสีเขียวของเสนาบดียักษาสหภูบาลลุกก้าวจากกองเพลิง แววตาเหลืองมลังเมลือง กายเปลือยเปล่า ก้าวออกจากมหาอัคคีมิได้แสบร้อนผิว มันชันเข่าก้มหน้าคำนับจอมปีศาจ

“ขอบพระทัยยิ่ง องค์จอมมาร เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้น พระเจ้าข้า” เจ้ายักษาตนหนึ่งปลดผ้าดำคล้องไหล่มอบให้เสนาบดีผู้เพิ่งฟื้นคืนชีพนุ่งห่ม ความอาฆาตส่งต่อมายังพจน์

“ให้ข้าได้ลงมือทดสอบพลังเวทย์อันฟื้นคืนต่อเจ้ามนุษย์นี่เถิด พระองค์”

“ไม่ เจ้ามนุษย์นี่เป็นของข้า บัดนี้หมดประโยชน์ที่จักใช้จากมันแล้ว จงจ้องพักตร์ข้าให้จงดี ฮ่าๆ มนุษย์เอ๋ย คงรู้แล้วสินะ ว่าใครคือผู้ที่โคลงพยากรณ์หมายถึง คือ ข้าหาใช่เจ้าไม่ วิญญาณะ จิตตะ สุริยะมรณา

ลูกไฟสีแดงไหม้เกรียมพุ่งจากใต้ฝ่ามือซีดแล้วดับสลายลงก่อนจักถึงตัวภัทรพจน์

“สหายไม่มีวันล้างสหายลงฉันใด แก้วมณีก็มิอาจล้างแก้วมณีลงได้ฉันนั้น”

เพียงเห็นเรือนกายผู้เจรจา ประกอบเป็นมนุษย์หุ่นเพรียวสมชายชาติทหาร โดยมีแสงพระอาทิตย์อัสดงทอดกระทบไหล่มัดกล้าม คมดาบด้ามทอง แลใบหน้าแต่เท่านั้นก็ทำให้พจน์สะเทือนห้วงหัวใจสุดจะกล่าว ทั้งประหลาดใจยินดีผสานกันให้วุ่น จนน้ำตาสายโลหิตหนุนหลั่งลงอาบแก้ม


50%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3500031#msg3500031)

_____________________________________

วิศิษฐ์ : เลิศ, ยอดเยี่ยม, ประเสริฐ
บุษราคัม : พลอยสีเหลือง
โกเมน : พลอยสีแดงเข้ม
มุกดา : ไข่มุก, หินมีค่าสีหมอกอ่อน
เพทาย : พลอยสีแดงสลัวๆ
ไพฑูรย์ : พลอยสีเหลืองแกมเขียวหรือน้ำตาลเทา มีน้ำเป็นสายรุ้ง กลอกไปมา

_____________________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

แอบมาลงครึ่งตอนแรกแบบเงียบๆ ส่วนครึ่งหลังกำลังจะตามมาเร็วๆนี้นะครับ  


ขอบคุณที่เข้ามาแถลงค่ะ ...... น่าติดตามต่อจริงๆว่า พจน์จะทำยังไงต่อไป
ถ้าหากมีคำถามข้อสงสัยใดๆติดค้างคาใจ ถามได้เลยครับ อย่าปล่อยให้หนักอกหนักใจไว้ เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะครับ อิอิ ครับ ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนถึงใกล้จบแบบนี้ ขอบคุณครับ

สงสารกัน  :monkeysad: ได้แต่รักเค้าข้างเดียวข้าวเหนียวนึ่ง แล้วยังต้องสละชีวิตตนเองเพื่อคนที่รักอีก คนแต่งใจร้ายยย    :hao5:
ขอโทษคราบบบ ใจร้ายแต่หน้าหล่อนะครับ อิอิ เอาเป็นว่า บทสรุปของกันก็มาถึงในที่สุด กันเป็นตัวแทนของความรักประเภทที่คุณว่า ซื่อสัตย์ภักดี ที่หายากยิ่งในสังคมไทยปัจจุบัน ถึงเขาจะจากไปเพียงกาย แต่รักนั้นจะตราตรึงใจพจน์และคุณผู้อ่านตลอดไปครับ ลาก่อน กัน ตัวละครที่เขียนยากที่สุดอีกตัวหนึ่ง ปลุกปั้นมากลับมือ แต่ก็ต้องทำลายด้วยมือของผมเองอีกเช่นกัน แต่เขาก็ได้แสดงให้เราๆท่านๆเห็นว่า รักมั่นคงยังมีอยู่ แม้ผ่านมาเนิ่นนานเท่าไหร่ก็ตามที  :bye2: โชคดีนะกัน ถ้ามีโอกาสเราคงได้เจอ 'กัน' อีก

อ่านเรื่องนี้แล้วขอบอกเลยว่าภาษาเก่งมากก ถึงแม้เราจะต้องอ่านไปแปลคำไปด้วยก็ตาม

สารภาพตามตรงว่าอ่านแรกๆแล้วกดปิดเลย เพราะไม่ชอบแนวฮาเร็ม หรือต้องคอยให้ลุ้นว่าใครพระเอก (รสนิยมส่วนตัวล้วนๆ)แต่หลงรักการบรรยายเลยกัดฟันอ่านต่อ

ก่อนอื่นขอติตัวพจน์ สำหรับเราแล้ว ไม่ค่อยเข้าใจในตัวพจน์เท่าไรว่าทำไมถึงรักมาตะ แต่ยังให้ความหวังคนอื่นและตัวเอง และตอนที่มาตะโดนบุหลันจูบทำไมถึงต้องร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด มันไม่ค่อยสมเหตุสมผลสำหรับเราเท่าไร และพจน์ก็ไม่น่าไปโกรธมาตะ เพราะตัวพจน์นี่ทั้งมีปาล์มอยู่ลึกๆในใจ ทั้งให้ความหวังกัน ให้กันและปาล์มทั้งกอดปลอบ ให้จูบ(ไม่แน่ใจ) จับมือถือแขน อะไรอีกก็ไม่รู้ และยังมีตัวละครอื่นๆอีก แต่นั่นแหละเรื่องนี้ออกแนวฮาเร็ม เรื้องมันจะเป็นแบบนี้ก็ปกติ เราแค่ติ่งมาตะเฉยๆเลยไม่ชอบการกระทำของพจน์ แหะๆ

ส่วนตัวมาตะ เราว่าเค้าไม่ค่อยสมกับบทของพระเอกเท่าไร อาจเป็นเพราะเราติดกับบทพระเอกจากนิยายเรื่องอื่นๆ ที่พระเอกจะมีบทบาทสำคัญๆ เป็นช้างเท้าหน้า มีความเก่งกาจที่จะต้องปกป้องคนที่รักอย่างสุดกำลังโดยไม่สนอะไร ซึ่งสำหรับเราตัวมาตะไม่ได้เป็นแบบนี้ บทนี้กันได้รับมากกว่าเลยเหมือนว่ากันเป็นพระเอกไป แต่ไม่นับชาติก่อนๆนะ อันนั้นเราว่าเหมะกับบทพระเอกอยู่แล้ว เราเลยคิดว่าตัวมาตะน่าจะมีบางอย่างที่ไม่ใช่มีแค่xxกับพจน์แล้วทำให้พจน์เพิ่มพลัง มันต้องมีมากกว่านี้สิ :ling1:(คอยบอกตัวเอง) สรุปเราก็ติ่งมาตะอีกตามเคย 5555

ส่วนตัวกัน ไม่มีอะไรมาก สั้นๆเลย เป็นพระเอกเถอะ 5555 (แต่ก็ไม่อยากให้เป็น ยังคงเป็นติ่งมาตะอยู่)

ตัวอื่นๆและเนื้อเรื่องไม่ออกความคิดเห็นแล้วกัน เดี๋ยวจะยาวกว่านี้ 

ทั้งหมดนี้เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของเราเท่านั้น ซึ่งบางครั้งมันก็ออกแนวอคติกับตัวละครมากไป ไรท์อย่าคิดมากนะคะ เพราะเรายังคงอ่านเรื่องนี้จนจบนั่นแหละและถ้ามีรวมเล่มคงจะต้องขอเก็บไว้ซักเล่มสองเล่มเหมือนกัน หลงรักการเขียนด้วยภาษายากๆนี้ไปแล้ว สู้ๆนะคะยังคงรอตอนต่อไปเสมอ
ขอบคุณครับ สำหรับคำชม สำหรับเรื่องภาษา และการบรรยาย

ผมเพิ่งรู้ว่านิยายที่ตัวเองเขียนเป็นแนวแบบ ฮาเล็ม คิดไปคิดมาก็ถูกดังคำที่คุณว่า มีหลายตัวละครที่พัวพันในชีวิตของพจน์จริง ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสอง แต่หลายคนเลยทีเดียว ฮ่าๆ ช่วงต้นๆอาจเดาไม่ถูกว่า ใครคือพระเอก แต่กลางๆเรื่องก็น่าจะรู้กันแล้ว แต่ด้วยมีตัวละครฝ่ายชายที่เข้ามาคลุกคลีกับพจน์เยอะจนเข้าขั้น ฮาเล็ม นั้น อาจทำให้ผู้อ่านระแวงสงสัยได้ว่า ใครเป็นพระเอกกันแน่ ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของใครอื่นนอกจากผู้เขียนขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว

สำหรับข้อสงสัยในพฤติกรรมของพจน์ในเรื่องให้ความหวังคนอื่น ทั้งปาล์ม หรือกัน รวมถึงปล่อยให้สองคนนี้จับมือถือแขนหรือถึงขั้นจูบกันเลยนั้น ผมไม่ข้อแก้ตัวแต่อย่างใด ด้วยลึกๆแล้ว พจน์อาจจะอยากให้ความหวัง หรือไม่รู้จะทำยังไงดีกับสองคนนี้ก็เป็นไปได้ หรืออาจจะทั้งสองประการไม่ขอตอบให้แน่ชัดลงไป ปล่อยไว้ให้ผู้อ่านเป็นผู้ตัดสิน แต่ข้อที่ว่าพจน์รักมาตะขนาดถึงกับต้องเกิดน้ำตาสายโลหิตหรือไม่ หากคุณได้อ่านคอมเม้นต์แถวๆตอน น้ำตาสายโลหิต ที่ผมได้อธิบายไว้ยาวพอสมควร หรือไม่ทันได้อ่านแต่จะขอสรุปสั้นๆง่ายๆเลยว่า อาการน้ำตาสายโลหิต เป็นพฤติการณ์บ่งสำแดงว่า เสียใจอย่างที่สุดต่อ ความรัก  มองง่ายๆว่า ก่อนหน้าพจน์หรือคนอ่านยังไม่รู้แน่ชัดว่า พจน์รักมาตะแน่หรือเปล่า สัญลักษณ์อาการนี้จึ่งเป็นคำตอบสำหรับ รัก นั่นเองไม่มีอะไรมากกว่านี้ หากคุณรู้สึกว่า พจน์ยังไม่น่าจะรักมาตะได้ถึงเพียงนั้นก็ขอน้อมรับไว้เป็นความผิดของผู้เขียนเองทั้งสิ้น

ส่วนข้อสงสัยว่ามาตะถือครองบทบาทไม่สมฐานะพระเอกเท่าไหร่เมื่อเทียบกับกันแล้ว ก็อาจจะจริงครับ แต่ต้องอย่าลืมว่า มาตะในชาตินี้เป็นเพียงสามัญชน โชคดีได้ทำคุณได้ยกเป็นพระราชบุตรบุญธรรมแต่ก็ต่ำศักดิ์กว่าชาติภพอื่น ทั้งไร้อำนาจราชศักดิ์ มนตราใดๆหากเทียบกับกันแล้ว ถือว่าเป็นมวยคนสายเลย ทั้งไม่มีอำนาจอิทธิฤทธิ์ทรงพลังอีก ได้แต่รอพจน์อยู่ที่มหาพิภพเท่านั้น ไม่แปลกที่คุณจะรู้สึกว่ากันมีบทบาทสมพระเอกมากกว่า แต่บางทีมาตะอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ยังไม่เปิดเผยก็ได้ คอยดูนะครับ

เชิญติแนะในส่วนตัวละครอื่นๆและเนื้อเรื่องเถอะครับ ถือว่าผมขอร้อง ถึงจะยาวก็ยินดีรับฟังรับอ่าน ยิ่งคุณวิจารณ์ได้ละเอียดเท่าก็เหมือนช่วยผมมากเท่านั้น ถ้าไม่ติดขัดอะไรก็กรุณาแนะนำด้วยนะครับในส่วนนี้

สำหรับการรวมเล่มนั้นคงต้องอาศัยปาฏิหาริย์แล้วล่ะครับ ถ้าได้รวมเล่มก็อย่าลืมอุดหนุนกันด้วยนะครับ

o13
:pig4:

อย่างน้อยก็มีคนติดตามผลงานเพิ่มขึ้นนะครับ  ส่วนการตัดท้ายบท  เป็นอะไรที่เจ็บปวดอีกแล้ว  เฮ้อ  สรุปมาให้เขารู้ตัวจริงแค่นั้น  มีประโยคเจ็บๆหลายประโยคในตอนนี้นะ  มันลุ้นแบบทรมานใจมาก  ยิ่งใกล้เท่าไหร่มันยิ่งเหมือนมีปมเพิ่มขึ้นอ่ะ  สรุปพจน์จะช่วยใครได้ไหมเนี้ย  รอๆต่อไป
ครับ ถึงไม่มากแต่ก็มีคนติดตามอ่านอยู่จำนวนหนึ่งก็ดีใจแล้วครับ ความเจ็บปวดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆครับสำหรับนิยายเรื่องนี้ ถ้าเจ็บแล้วจำ ก็ถือว่าทำให้เกิดประสบการณ์ชีวิตได้อักโขนะครับ คอยติดตามบทสรุปนะครับ

สงสารกัน เข้าใจว่ารักพจน์ แต่เราชอบมาตะนะ แต่ต้องตายเลยหรอ ในที่สุดพจน์ก็ได้เจอจอมมารเสียที ลุ้นอ่ะ รอติดตามนะ
:pig4: :pig4: :pig4: :pig2: :pig2: :pig2:

R.I.P. กัน นิธิ สินะกาวี ผู้ที่รักมั่นคงตราบลมหายใจสุดท้าย รู้สึกเหมือนจะร้องไห้แต่น้ำตาไม่ไหลไหมคะ คนเขียนทำให้เรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ. ถึงจะเชียร์มาตะแต่มาเจอฉากนี้เข้าทำเอาอึ้งไปเลย รอตอนต่อไปค่ะ
ลาก่อนเช่นเดียวกันครับ กัน/นิธิ/สินะกาวี เราคงได้เจอกันอีก
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๓ ดาบกนกกาญจน์ราญอริราช ๕๐% (๑๐/๑๐/๕๙)หน้า๑๓[สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 10-10-2016 16:00:41
รออีก 50%
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๓ ดาบกนกกาญจน์ราญอริราช ๕๐% (๑๐/๑๐/๕๙)หน้า๑๓[สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 10-10-2016 16:07:58
แม้จะน้อยนิด  แต่ท่านก็ทำให้เกล้ากระผมได้ไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ

ขอบคุณมากๆคับ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๓ ดาบกนกกาญจน์ราญอริราช ๕๐% (๑๐/๑๐/๕๙)หน้า๑๓[สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 10-10-2016 21:02:01
 :ruready
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๓ ดาบกนกกาญจน์ราญอริราช ๕๐% (๑๐/๑๐/๕๙)หน้า๑๓[สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 10-10-2016 21:43:09
ภาษาสวยมากกก ทีมมาตะเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๓ ดาบกนกกาญจน์ราญอริราช ๕๐% (๑๐/๑๐/๕๙)หน้า๑๓[สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 11-10-2016 10:08:02
ที่คาดไว้ก็ไม่ผิดนะ  แต่อยากรู้ว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้  เขาแค้นอะไรกันนะ รึเราลืม  5555  รอครึ่งหลัง  แอบผิดหวังนิดๆกะครึ่งแรกนี้  สรุปก็เสียไปฟรีๆสินะครั้งนี้อ่ะ 
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๓ ดาบกนกกาญจน์ราญอริราช ๕๐% (๑๐/๑๐/๕๙)หน้า๑๓[สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 12-10-2016 01:53:41
รวดเดียวจบเป็นอะไรที่ดีงามมาก จะรอบทสรุปว่าจะเปงไง

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๓ ดาบกนกกาญจน์ราญอริราช ๕๐% (๑๐/๑๐/๕๙)หน้า๑๓[สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 12-10-2016 10:01:16
จะครบรอบ1ปีแล้วสินะ 
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๓ ดาบกนกกาญจน์ราญอริราช ๕๐% (๑๐/๑๐/๕๙)หน้า๑๓[สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: pnn ที่ 19-10-2016 06:26:44
รออ่านอยู่นะ คนเขียน :ling1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๓ ดาบกนกกาญจน์ราญอริราช ๑๐๐% (๒๗/๑๐/๕๙) หน้า๑๔
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 27-10-2016 09:49:47
[ต่อ]



ดวงตาเข้มของคนผู้นั้นเป็นนัยน์ตาเดียวกับที่พจน์ทอดทิ้งไว้ ณ มหาพิภพ

“มาตะ”

บุรุษเจ้าของนามกุมด้ามดาบทองอาวุธประจำกายด้วยมือขวา จรดปลายแหลมละลงพื้น ยืนประจันท่วงทีอาจหาญมั่นคง นุ่งห่มภูษาน้ำเงินเข้มดุจผืนฟ้าราตรีไร้ดวงดาว ประดับเครื่องทองแพรวพรรณสมฐานะพระราชบุตรบุญธรรม รอบคอสวมสร้อยทองคล้องอนันตวัชรมรกต นิ้วนางซ้ายสวมสุวรรณธำมรงค์นาคราชคาบพลอยแดงประดับหัวแหวนเปล่งปลั่ง เฉกเดียวกับกึ่งกลางหน้าผากประดับสิ่งล้ำค่าสีดำสมนาม

“น้องท่าน”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่พจน์ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินกับหูอีกในชาติภพนี้ร้องเรียกยอดดวงใจของตนผสมสั่นไหว

“ทำไมนายถึง...”

“อนันตวัชรมรกต” ลูบคลำอัญมณีคล้องคอ “พัชรพีนิลกาฬ” แตะปลายนิ้วกลางหน้าผาก “โกสันต์ปัทมทับทิม” ยกมือซ้ายขึ้นพิจารณาถี่ถ้วน มหาทับทิมในตำนานฝังอยู่กลางโอษฐ์เรือนแหวนพญานาคราชเหมาะเจาะกะทัดรัด “พาข้ามาหาเจ้า”

“ดี ดียิ่ง จากนี้ข้าจักมิต้องพลิกผืนปฐพีเพื่อตามหา ในไม่ช้าข้าจักครอบครองนพมณีครบถ้วนสมบูรณ์” ครั้นจอมมารสิ้นพิศวงก็จับจ้องชายหนุ่มผู้เดินทางข้ามมหาพิภพโดยละเอียด ทั้งฉงนทั้งปลื้มปีติยามได้เห็นสิ่งล้ำค่าที่สาบสูญปรากฏโดยพร้อมเพรียง

“ไม่มีวันที่เจ้าจักริอ่านแตะต้องตรีนพรัตน์ แลยอดชีวิตของข้าได้” มาตะยกดาบในท่าพร้อมรบ สะกดอารมณ์คะนึงหาให้ทอนลงเพื่อพิชิตความโฉดชั่ว อสุรมาศเอียงพระศอพิจารณามาตะดุจชิดชมสิ่งประหลาด มินึกว่าจักได้เห็นจิตกล้าแผ่กระจายออกจากกายคนผู้นี้ยิ่งกว่าเคยสัมผัส แล้วจึงตรัสว่า

“อำนาจแห่งสามมณีคงนำเจ้าข้ามพิภพมายังที่นี้ มิผิดจากคะเน ไฉนเลยเจ้าจึ่งสืบเสาะพบสิ่งล้ำค่าทั้งสาม จงเมตตากล่าวไขข้อข้องใจแก่ข้าสักประเดี๋ยวเถิด” แรงกดทับจากฝ่าเท้ายังคงตรึงยอดอกพจน์ไว้ ความสนใจถูกถ่ายเทสู่มาตะแทบจะทั้งหมด ดวงเนตรวาววามบ่งชี้ความพึงใจแก่มันอย่างสุดหฤหรรษ์

ฝ่ายมาตะเห็นช่องยืดระยะเวลาให้จอมมารหลุดหันเหจากคนรักได้แล้วก็มิพักรอช้า กระชับดาบทองในกำมือ โต้ตอบโดยมิได้เกรงกลัว แม้นคู่เจรจาพินิจดูเพียงครั้งเดียวก็ล่วงรู้ว่าเป็นจอมปีศาจซึ่งชนทั้งมหาพิภพหวาดหวั่น แต่หาเกิดครั่นคร้ามกับใจตนแม้แต่น้อย ห่วงเพียงอย่างเดียวคือภัทรพจน์ ยอดชีวิต ยอดดวงใจต้องมีอันตรายอยู่ใต้ฝ่าเท้าจอมมารเป็นภาพบาดตาเหลือคณานับ หักใจปฏิบัติแก้ลำนำมารร้ายประวิง ชิงเจรจากลับว่า

“อนันตวัชรมรกตเป็นสมบัติของภัทรพจน์มาแต่อดีตชาติ ณ โคนต้นลีลาวดีเพลิงคือแหล่งซุกซ่อน เขาเป็นผู้ครอบครองโดยชอบธรรม จึงได้นำกลับมาช่วยเรียกวิญญาณข้ากลับคืนจนสำเร็จหนึ่ง” จอมมารยกมือปรามทาสยักษาสองตนอยู่ในกิริยาสงบ เฉกเดียวกับนกปักษาวายุภักษ์ที่ดิ้นรนขัดขืนไม่แพ้พจน์ ก็ถูกฟาดด้วยมนตร์อาคมดุจแส้เฆี่ยนส่งเสียงครวญ

“แลพัชรพีนิลกาฬนั้นถูกต้องแล้วด้วยเคยเป็นสมบัติของข้า แต่มีอันต้องพลัดจากกันเมื่อความตายมาเยือนคราวชาติอดีต ครูเจ้า ทศมารพูดชอบแล้วในข้อโลงบรรจุพระบรมศพของพระเจ้าอนันตราช มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นคือ ข้า ที่สามารถไขรหัสโคลงปริศนาด้วยน้ำเสียงเดิมสำเร็จ แลเลื่อนฝาโลงเปิดออกได้  ภายในพบเครื่องประดับหน้าผาก โดยถูกลงอาคมทมิฬไว้แน่นหนาจึ่งมิอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า ครั้นภัทรพจน์...” สบตายอดคู่ครอง “มหาบุรุษผู้ทรงอำนาจสัมผัสจับ อำนาจชั่วร้ายเคยใช้ปกปิดมิให้ดวงตาเจ้ามองเห็นแหล่งเก็บซ่อนพัชรพีนิลกาฬได้สำเร็จก็มีอันเสื่อมสลาย ภัทรพจน์จึ่งเหมือนถอนคลายอำนาจอาคมโดยไม่รู้ตัว แลส่งไพลินนิลสีให้ข้าซึ่งขณะนั้นมิได้สังเกตให้ดีได้เก็บไว้ ครั้นเสียทีถูกมนตราสังหารทศมาร วิญญาณข้าจึงได้อำนาจพัชรพีนิลกาฬรักษาไว้จนสามารถเรียกกลับคืนได้หนึ่ง”

มนตราอาถรรพณ์ ปกปิดซุกซ่อน ดูก่อน กระนั้นอำนาจมนตราลีลาทมิฬ จุมพิตสีเลือด จึ่งเปรียบเป็นเกราะอำพรางอนันตวัชรมรกตอีกชั้นหนึ่งมิผิดคะเน จริงอยู่ว่าดวงตาข้ามืนมน มองข้ามยามมหามณีถูกพระเวทอาถรรพณ์ครอบงำไว้ ฉลาดยิ่งนัก หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง หลักแหลมเหลือเกิน แลโกสันต์ปัทมทับทิมเล่า ถูกมนตร์ดำปกปิดไว้อีกหรือมิใช่”

“โกสินธพครูท่านปลดมหาทับทิมจากยอดเรือนแหวนนาคราชคราวติดตัวข้ามานับแต่กำเนิด” มาตะคุมเชิงระวังภัยไม่คาดคิดขณะพูดเล่าเท้าความมิได้พลั้งเผลอ แต่ดูเหมือนจอมมารปราศรัยสนอกสนใจในเหตุที่มาจนมิได้คิดลอบทำร้าย เมื่อสิ้นระแวงมาตะจึงเล่าสำทับสืบต่อไปว่า

“มหาพราหมณ์ค้นตำราไสยเวทอันพึงรังเกียจเพื่อนำใช้ซุกซ่อนโกสันต์ปัทมทับทิมโดยเฉพาะการ แล้วเก็บมหามณีไว้ใต้พื้นรูปปั้นอัปสรเทพ ณ เทวาลัยหลวงนับแต่นั้น ส่วนเรือนแหวนนาคราชท่านส่งต่อให้บิดามารดรข้า ครั้นข้าเติบใหญ่รู้ความจึ่งมอบตัวเรือนทองคำแต่กำเนิดเป็นสมบัติติดตัวอีกหนึ่ง แก้วสามประการนี้หากรวบรวมได้ครบแล้วเจ้าเองย่อมรู้ว่าอาจสามารถทำสิ่งใดได้”

ข้ามพิภพ” ดวงเนตรจอมมารกลับคืนเป็นสีชาดลุกโชน แย้มสรวลไร้ความจริงใจ “แลเจ้าแลกกับการนั้นด้วยสิ่งใดเล่า มนุษย์”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ข้ามาช่วยคนรักเพื่อสังหารเจ้าให้สิ้นจากพิภพโลกา ความชั่วช้าอันเจ้าก่อกระทำลุเนิ่นนาน ณ วันนี้จะไม่มีอีก สิ่งที่เจ้าครอบครองอยู่ไร้ค่า จอมมาร ด้วยมิอาจนำใช้ต้านทานผู้ครอบครองมณีมีค่าเสมอกันได้”

พูดแล้วเสร็จโดยมิทันตั้งตัว เงาร่างสามเงาพวยพุ่งขึ้นเบื้องหลังมาตะ เป็นกายพระเจ้าอนันตราชทรงพระแสงทวนสีทองเรืองรองหนึ่ง เป็นกายพระเจ้าพัชรพรรดิกษัตริย์กินนรทรงคันศรสอง แลเป็นกายพระเจ้าโกสันต์นาเคศวรทรงพระแสงอาวุธทวนเขียวสาม กายแต่อดีตชาติพรักพร้อมร่วมเป็นขุมกำลังเพื่อปราบมารร้าย จอมมารพิจารณากายละเอียดด้วยโทสะลุกโชน

“ดี ดี อำนาจวิเชียรมณีอันเล่าลือว่าทรงพลานุภาพสูงสุดยังสิ้นฤทธาอยู่ใต้ฝ่าเท้าข้าเฉกนี้ เจ้าคิดกระนั้น ฤา ว่า แก้วสามประการอันเจ้านำติดตัวมาจักต่อกรข้าได้ ไม่มีวัน ทั้งพิภพนี้แลมหาพิภพจักพังพินาศอยู่ใต้ฝ่าเท้าข้าเสมือนเศษฝุ่นผงธุลีดิน”

“แลศาสตราวุธด้ามนี้เจ้ารู้จัก ฤา ไม่เล่า” มาตะมิได้ท้อถอยหลงในกลคำ ชูดาบทองอาวุธขนาด ๑ วา   ๒ ศอก เหนือศีรษะ หวังให้แววตาสีชาดกราดเห็นได้ถนัดถนี่ “ยินว่าทวนอัศวาราตรีกาล หนึ่งในจตุราวุธแห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ บังเอิญสังหารเจ้ามาครั้งหนึ่งแล้ว ฤา มิใช่”

โฉมหน้าซีดขาวก่อนงดงามเลิศดุจอัปสร บัดนี้ซ่อนอำมหิตผุดซ่าน

ดาบกนกกาญจน์ราชอริราช อาวุธพระราชทานมาแต่องค์มหาเทพ มอบแด่บรรพกษัตริย์เผ่าพันธุ์มนุษย์เมื่อเนิ่นนาน มินึกว่าจักได้เห็นกับตาอีกครั้ง ทวนเทวาอาจใช้ปราบข้าได้จริง แต่เจ้าคิดกระนั้น ฤา ว่าข้าจักยอมปล่อยให้ความตายมาเยือนง่ายดายเฉกนั้นอีก ข้าครอบครองปัญจมณี เข้าใกล้วิถีอมตะยิ่งกว่าผู้ใดพึงกระทำสำเร็จ”

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าฟื้นจากความตายได้อย่างไร แต่นั่นพิสูจน์ว่าอาวุธแห่งองค์มหาเทพใช้ปราบเจ้าได้แน่แท้ ก็แหละในเมื่อเจ้า ข้า แลภัทรพจน์ ต่างครอบครองแก้วนวรัตน์เป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่า เราต่างใช้อำนาจแห่งรัตนมณีต่อกรล้างให้อีกฝ่ายลงมิได้กระนี้ งั้นดาบทองกนกกาญจน์เล่าจักอาจสามารถ ฤา ไม่”

สิ้นคำ เงากายพระเจ้าอนันตราชก็โจนเข้ารับมือนางอัปสรา ส่วนสหภูบาลเสนาบดีถูกคมทวนของพระเจ้าโกสันต์ฟาดฟันต่อสู้ เฉกเดียวกับนางกินรีปีศาจถูกพระเจ้าพัชรพรรดิซัดวาดธนูเข้าใส่ จอมมารเห็นปัจจามิตรบุกโจมตีโดยเร็วฉะนั้น ก็หมายปลิดชีวิตภัทรพจน์เพื่อจักได้ครอบครองเพชรมณี แต่มาตะมิได้ละเว้นความคล่องแคล่วก็ใช้อำนาจโกสันต์ปัทมทับทิมเรียกมหาเพลิงแผดใส่อสุมาศในทันใด

ภัทรพจน์ถลาถอยหลบจากพันธนาการโดยมีปักษาวายุภักษ์เข้าช่วยพยุง หลังจากพระเจ้าพัชรพรรดิปลดเชือกมนตราออก มาตะขยับโยกมหาเพลิงโอบล้อมจอมมารไว้ดั่งเกราะทองหินผา เจ้าภัทระก็ร่นถอยมายืนเคียงมาตะ แล้วตั้งสติกำหนดลมหายใจ หมายเรียกภูเตศวรเทพ

“ช้าก่อน น้องท่าน หะนี้เราต่างล่วงรู้แล้วว่า ผู้ครอบครองนพมณีอย่างหนึ่งอย่างใด มิอาจพรากชีวิตของผู้ครอบครองสิ่งล้ำค่าเสมอกันโดยซึ่งหน้าได้ อย่าผนึกรวมให้สิ้นโอกาสเถิดหนาเจ้า จงปล่อยเป็นธุระอาวุธพระราชทานใช้ต่อกรเถิด”

คมดาบล้อแสงสุริยันอัสดงเฉกศาสตราวุธธรรมดา แต่คำมาตะว่าเป็นของพระราชทานมาแต่องค์มหาเทพดุจเดียวกับทวนอัศวาราตรีกาล คราวใช้ถอนพิษมนตราลีลาทมิฬสำเร็จ ทั้งเคยสังหารจอมปีศาจได้ครั้งหนึ่งแล้วกระนั้น พลันความหวังก็จุดติดวูบในเวิ้งถ้ำอันมืดมน

“จริงดั่งนายว่า มาตะ เราผนึกกำลังกับภูเตศวรเทพ ใช้พลังต่อกรมารร้ายแต่ไม่อาจกระทบถึงผิวเนื้ออีกฝ่ายสมคำ ในเมื่อทวนอัศวาราตรีกาลเคยปลิดชีพมันสำเร็จ ดาบกนกกาญจน์อาจให้ผลอย่างเดียวกัน งั้นลองดูเถอะ” พจน์ลำดับการต่อสู้ให้มาตะทบทวนตาม ฝ่ายเจ้าหนุ่มร่างกำยำตริตรองแล้วมองเห็นหนทางหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จักสยบมารร้าย ก็โผกอดภัทรพจน์ไว้แนบทรวง จรดปากร้อนเหนือหน้าผากยอดรัก พลางว่า

“อย่าหนีข้าไปอีก น้องท่าน เมตตาอย่าทำประหนึ่งหัวใจมาตะทำด้วยหินศิลาทราย เพราะเพียงเห็นเงากายน้องท่านลับหายจากเบื้องหน้า ก็เจ็บปวดเหลือจักกล่าว หากวันนี้เป็นครั้งสุดท้าย มาตะก็จักมิเสียดาย เพียงข้ามพิภพลอยมาเคียงท่านได้ก็เพียงพอแล้ว”

“ขอโทษนะ มาตะ ขอโทษในทุกการกระทำ หากดาบกนกกาญจน์ไม่อาจปลิดชีพจอมมารเช่นนายคะเน ก็ขอชดใช้ชีวิตตัวทอนฤทธาของมันให้ลดลงให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถ ไปเถอะ ไปจบเรื่องนี้กัน”

ตั้งสัจจะอธิษฐานแน่วแน่มั่นคงแล้ว เจ้าสองหนุ่มก็พยักหน้าทอดสายตาอาวรณ์เป็นหนท้าย ผินหน้าโจนทะยานหาอสุรมาศจอมปีศาจด้วยใจผ่องแผ่วกล้าหาญล้นปรี่ เจ้าปักษาวายุภักษ์เห็นสองบุรุษตกปากฝากคำไว้แก่กันแน่แท้ประหนึ่งกำลังลาจากเพื่อเผชิญกับความตายก็อดอาดูรมิได้ แต่หักลงด้วยใจแข้มแข็งอย่างเดียวกันแล้วโผติดตามมหาบุรุษเพื่อปราบมาร

เพชรนาที หนึ่งจอมมารตระหนักแน่ว่า อำนาจฤทธาอันตนครอบครองสุดยอดอัญมณีทั้งห้าดูไร้ค่า มนตราหมอกกำบังละทิ้งเป็นลางสังหรณ์ มันฉุกดำริ หากทวนอัศวาราตรีกาลเคยฉุดคร่าร่างตนมาได้หนหนึ่ง เห็นมิพ้นดาบกนกกาญจน์ราญอริราชคงทรงฤทธิ์มิยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ก็เริ่มละล้าละลังถอยห่าง หมายส่งสัญญาณให้ทาสรับใช้ซึ่งออกรับอาวุธต้านศัตรูอยู่ให้ล่าถอย แต่ยังมิทันอสุรมาศจักเนรมิตเร้นพ้น ภัทรพจน์ก็โจนโถมใส่จอมมาร มาตะก้าวประชิด พลางว่า

“เจ้าทรงอำนาจแต่มิได้ดำรงอยู่ในศีลธรรม แหละนี่คือผลกรรมประพฤติชั่ว”

จ้วงดาบทองปลิดทะลวงอกซ้าย เลือดดำทะลักล้นเปรอะเปื้อน ดวงตาชาดมอดทอดดับลง คงไว้เพียงสีน้ำตาลเดิม แรงระเบิดเหิมแห่งปัญจมณีเหนือหน้าผาก ทลายรกรากภูมิประเทศราบเตียน

กล่าวถึงสมุนปีศาจครั้นเห็นนายเหนือหัวมีอันต้องคมดาบทองกระนั้น ทั้งแลเห็นพญามัจจุราชกลุ้มรุมฉุดกระชากจอมปีศาจก็พลันสิ้นสติ ฝ่ายสหภูบาลเสนาบดีเพิ่งฟื้นกำลังจึ่งพลาดพลั้งถูกคมทวนพระเจ้าโกสันต์ตัดเศียรดิ้นดับโดยง่าย นางอัปสราปัดส่ายศัสตราวุธจากเงาพระเจ้าอนันตราชโผเข้าหาอสุรมาศ แต่วาระสุดท้ายของมหามารมาถึงรวดเร็วเกินกว่าผู้ใดจักคาดคิด ครั้นมาตะถอนดาบกนกกาญจน์ออก จอมปีศาจก็ทรุดฮวบเหนือพื้นศิลา เจ้าราชบุตรบุญธรรมก็เรียกมหาเพลิงก่อเป็นวงล้อมมิให้ทาสรับใช้เข้าช่วยแก้ไข ภายในเขตพระเวทจึ่งมีเพียงจอมมาร ภัทรพจน์ แลมาตะ
 
อสุรมาศสัมผัสรู้ความเจ็บปวดแล่นริ้วทั่วกายา มันกระเสือกกระสนสะเปะสะปะจะลุกยืนแต่ทำได้เพียงชันเข่า แหงนพักตร์ผสานตาสีสมัน

“แกคิดผิดมาตลอด อสุรมาศ”

“ข้าไม่เคยดำริสิ่งใดผิดพลาด จงระวังปาก อึก” จอมมารสำลักเลือดข้นแปดเปื้อนเครื่องนุ่งห่มย้อมดำ มาตะยืนนิ่งจ้องพักตร์ทั้งสี่ของจอมปีศาจ บัดนี้ลดรูปกายเหลือเพียงหนึ่งพักตร์สองกรแต่เท่านั้น

“อย่าดูถูกอำนาจซึ่งอ่อนแอกว่า อย่าดูถูกเผ่าพันธุ์ซึ่งแกเห็นว่าไร้ค่าอย่างมนุษย์ และอย่าหลงเชื่อในสิ่งที่เคยเชื่อ” ภัทรพจน์แนะด้วยสติตั้งมั่น แล้ววาดแขนแปรเปลี่ยนสภาพแวดล้อมภายในวงคาถา เป็นสถานมหาพลับพลาเหนือสวรรค์ชั้นฟ้า ปุยเมฆลอยคลอเคล้ายอดมหามณเฑียร ผุดกายพระมหาเทวีเป็นเจ้าอยู่เบื้องหน้ามหาพลับพลา ตรัสสนทนากับนางสนองโอษฐ์ เพียงเพราะแลเห็นเจ้ายักษ์อสุรมาศงดงามยิ่งกว่าพระองค์ มหาเทวีจึงจำแลงเป็นพระมหาเทพล่อหลอกอสุรมาศแลสหายทั้งห้าประทับสรง ครั้นแล้วจึ่งใช้มหาจักรตัดเศียรอสุรมาศแลข้ารับใช้คอขาดกระเด็น เห็นสะท้อนสู่สายตาจอมมารในห้วงวาระสุดท้าย

“ไม่ หาเป็นความจริงไม่ เจ้าโกหก” อสุรมาศผู้ใกล้แตกดับกล่าวหาพจน์ เจ้าภัทระลดตัวลงเอื้อมมือหวังประคับประคอง ทว่าผู้นำปีศาจฝืนใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายปัดป้อง พจน์จึงว่า

“ท่านเข้าใจผิดมาโดยตลอด อสุรมาศ องค์มหาเทพยังคงรักท่าน ไม่เคยคิดล้างท่านดังท่านเคยเชื่อ ผมเป็นทิพยพยานในการนี้ ยืนยันว่าแน่แท้ยิ่งกว่าสิ่งใดๆในโลก ความรักของท่านยังคงอยู่มิได้สูญสลาย”

“เจ้า...”

“เราสองคนเหมือนกันอย่างประหลาด ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและเนื้อแท้ภายใน เราเจอความรักที่แน่แท้เสมอกัน แต่ความเข้าใจผิดบดบังความรักของท่านจนดวงตามืดบอด ใช่ ความรักทำให้ผมผนึกกำลังกับภูเตศวรได้ และความรักทำให้ดวงตาท่านหลุดพ้นจากความทุกข์ จากความไม่รู้ ผมขอโทษที่ต้องทำแบบนี้ แต่เราต้องจบเรื่องนี้ และผมสัญญาว่าอีกไม่นานผมก็ต้องพบจุดจบเช่นเดียวกันกับคุณ ทุกสรรพสิ่งต้องมี เกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้ววันนั้นเราคงได้เจอกันอีก”

อสุรมาศกวาดดวงตาสีน้ำตาลพิจารณาพจน์ในเสี้ยววินาทีสุดท้าย บัดดลแสงสว่างทอประกายก็มอดดับอับหม่น เช่นเดียวกับเหล่าทาสผู้ภักดีต่างล่องหนอันตรธาน เหลือไว้เพียงม่านหมอกควันดำ

ณ จุดวาระสุดท้ายของจอมมารหลงเหลือเพียงเถ้าละอองต้องสายลมเท่านั้น ดวงตะวันโพล้เพล้ลาลับขอบโลก เฉกเดียวกับความโฉดชั่วล่มสลายด้วยอำนาจอาวุธธรรมดา ไร้พลังเหนือพลังอันยิ่งใหญ่ เจ้าหนุ่มสองคนหอบหายใจแล้วโผเข้ากกกอดกันไว้ ราวกับเวลาทั้งจักรวาลหยุดเคลื่อนไหว


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3500680#msg3500680)

เพจนิยาย (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)


________________________________

วา : หน่วยวัดความยาวของไทยแต่โบราณเท่ากับ ๔ ศอก หรือ ๒ เมตร
ศอก : หน่วยวัดความยาวของไทยแต่โบราณเท่ากับ ๒ คืบ โดย ๑ คืบ เท่ากับ ๑๒ นิ้ว
เพชรนาที : ระยะเวลา ๑ ใน ๔ ของนาที

__________________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

เนื่องจากบัดนี้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ คงคลายความโศกเศร้าลงไม่มากก็น้อยแล้ว ผมจึงขออนุญาตลงนิยายครึ่งหลังที่เหลือเพื่อมิให้เกิดความค้างคาในใจนานเกินควร  

รออีก 50%
มาแล้วครับ ขอโทษที่ให้คอยนาน

แม้จะน้อยนิด  แต่ท่านก็ทำให้เกล้ากระผมได้ไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ

ขอบคุณมากๆคับ
ยินดีครับที่ทำให้คุณรู้สึกเสมือนหนึ่งร่วมอยู่ในเหตุการณ์ในเรื่องด้วย

:ruready
:เฮ้อ:

ภาษาสวยมากกก ทีมมาตะเลยอ่ะ
ขอบคุณครับ ดีใจที่คุณชอบมาตะนะครับ

ที่คาดไว้ก็ไม่ผิดนะ  แต่อยากรู้ว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้  เขาแค้นอะไรกันนะ รึเราลืม  5555  รอครึ่งหลัง  แอบผิดหวังนิดๆกะครึ่งแรกนี้  สรุปก็เสียไปฟรีๆสินะครั้งนี้อ่ะ
เค้าแค้นอะไรกันนี่ ถ้าลืมก็ได้ทำการสรุปย่อให้ทราบในตอนล่าสุดแล้ว แต่ถ้าอยากอ่านเนื้อหาเต็มก็ลองย้อนกลับไปยังบทที่ ๓๐ อุบายพิศวาส ก็จะได้รับคำตอบละเอียดขึ้น คนที่มีอำนาจ จริงๆแล้วมีอำนาจแท้จริง ยั่งยืน หรือเปล่า คนมีอำนาจมีความสุขจริงหรือไม่ พลังมากมายเพียงใดหรือจะสู้ใจมั่นคงดวงหนึ่ง ก็คงจะเสียไปฟรีๆอย่างคุณว่านั่นแหละครับ แต่สุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างที่คุณหวังไว้หรือเปล่านี่สิที่ผมอยากรู้

รวดเดียวจบเป็นอะไรที่ดีงามมาก จะรอบทสรุปว่าจะเปงไง
สุดยอดครับ ดีงามมาก หวังว่าจะไม่ได้อ่านข้ามหรอกนะครับ ด้วยมีคนอ่านติงมาว่านิยายเรื่องนี้อ่านยาก ต้องค่อยๆอ่าน กว่าจะจบแต่ละตอนก็ใช้เวลานานพอดู ซึ่งผมก็เคยย้ำข้อแนะนำไปแล้วว่า ห้ามอ่านข้ามเด็ดขาดไม่ว่าช่วงไหน เกิดพลาดเงื่อนงำใดไปเสียดายแย่ ใกล้จบแล้วครับเหลืออีกสามบทเท่านั้น

จะครบรอบ1ปีแล้วสินะ
ครับ เมื่อ ๒๔ ตุลาคมที่ผ่านมาก็ครบ ๑ ปีพอดี เป็นนิยายที่ยาวนานอยู่เหมือนกัน ลองมองย้อนกลับไปก็รู้สึกดีใจที่ได้มอบความสุข อรรถรสให้แก่ผู้อ่านมาได้ยาวนานขนาดนี้ แต่ก็อดใจหายไม่ได้ว่า เหลืออีกเพียงไม่แก่ตอนนิยายเรื่องนี้ก็จะถึงกาลปิดฉากจบ ขอบคุณครับที่ติดตามนิยายเรื่องนี้มาโดยตลอด

รออ่านอยู่นะ คนเขียน :ling1:
มาแล้วครับ ขอโทษที่ให้รอนานไปไม่หน่อย

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<<บทที่ ๔๓ ดาบกนกกาญจน์ราญอริราช ๑๐๐% (๒๗/๑๐/๕๙)หน้า๑๔[สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 27-10-2016 10:58:33
สุดท้ายก็มาต่อ  มันจบลงรึยัง  รึว่ามันยังไม่จบ  สิ่งที่คาดไว้ก็เกินคาดไปมากอยู่  สิ่งที่อยากรู้ก็ได้รู้  แล้วผู้ถือครองมีสะตาเหมือนกันแต่ต่างกันที่คนหนึ่งมีความแค้นในความเข้าใจผิด  กับอีกคนไม่มีความแค้น  ซึ้งมันเป็นเส้นขนาดแล้วสุดท้ายก็มาบรรจบกันในตอนนี้  รออีกสามตอนที่เหลือว่าจะมีอะไรเซอร์ไฟส์รึเปล่า
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<<บทที่ ๔๓ ดาบกนกกาญจน์ราญอริราช ๑๐๐% (๒๗/๑๐/๕๙)หน้า๑๔[สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 27-10-2016 13:44:47
สุดท้ายจอมมารก็ตายไปแล้ว ทีนี้ก็โลกทั้งสองสินะ ที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแน่ๆ เพราะผลกระทบนี้ไม่ว่าจะดี หรือ เลวร้ายลง สนุกมากจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<<บทที่ ๔๓ ดาบกนกกาญจน์ราญอริราช ๑๐๐% (๒๗/๑๐/๕๙)หน้า๑๔[สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: p_phai ที่ 27-10-2016 20:05:38
 o13
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๔ มหาภัยพิบัติ ๑๐๐% (๒๘/๑๐/๕๙) หน้า ๑๔ [สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 28-10-2016 09:43:29
บทที่ ๔๔



มหาภัยพิบัติ


   
“ได้โปรดอย่าละทิ้งข้าซ้ำอีก” มาตะลูบหน้าลูบตาภัทรพจน์ ทั้งเวียนจูบซับกระพุ้งแก้ม หน้าผาก ปากชมพู “เหตุผลทั้งนั้นมาตะไม่พึงระลึกประสงค์รู้ แต่อยากฟังคำหนึ่งเดียว น้องท่านยังรักข้า ไอ้มาตะคนซื่อนี้อยู่ ฤา หาไม่”

เมื่อสิ้นอำนาจมืดดูเหมือนจะปลดความหนักอกทั้งมวลลงกองสิ้นดุจกัน แต่ครั้นได้ยินคำถามจี้ใจฉะนั้น ภัทรพจน์ก็ระลึกรู้ว่าปัญหาคาใจยังคงอยู่ และเป็นตนคิดผูกขึ้นจำต้องเป็นผู้แก้แต่สถานเดียว จึงว่า

“ขอโทษทั้งชีวิตก็ไม่อาจปลิดโทษที่เราทำกับนายได้ มาตะ โกรธเถอะ แค้นให้ถึงที่สุด ต่อว่าด่าทอให้ถึงขนาด แต่อย่าทำเหมือนเราไม่มีความผิด และอย่าถามคำถามที่นายก็รู้คำตอบอยู่แล้ว อย่าถาม เพราะถ้านายถามอีกครั้ง เราคงกลั้นใจตายประเดี๋ยวนี้”

ปักษาวายุภักษ์หันเบือนภาพรันทด  ท้องฟ้าอัสดงคต ขึ้นเงาราตรี ปกปิดความพินาศแห่งขุมพลังไพรีไว้จากสรรพสิ่ง แสงสว่างสาดกระจ่างจากจันทร์ข้างแรมแย้มพราวเคียงดาวประจำเมือง  มาตะเห็นยอดรักทรุดเข่าลงพื้นก้มหน้าโศกสลดเซ่นคำถามตน
 
บัดนี้คนทั้งสองต่างร่วมมือปราบมารจนสำเร็จสมประสงค์ พริบตาเดียวดุจสนธยาเป็นราตรี ง่ายดายดุจสายน้ำไหลลงสู่มหาสมุทรอย่างเดียวกัน เป็นไปตามวิถีทำนองคลองธรรม ความชั่วไม่อาจดำรงอยู่ได้ยืนนานหากยังมีความดีอยู่ จึ่งปรากฏเป็นความดับสิ้นดั่งเหตุการณ์ล่วงผ่าน แม้แต่จอมมารผู้โฉดชั่ว เมื่อล่วงรู้ว่าอำนาจที่ตนครองแม้นทรงพลังเท่าใด สักวันสิ่งเลวทรามต้องย้อนหวนมาทำลายตน มิใช่พลังเหนือพลัง แต่เป็นสิ่งธรรมดาสามัญ คือ ดาบ อาวุธปุถุชนคนเดินดินใช้สองมือสองเท้าเพื่อต่อสู้สิ่งชั่วร้าย กลายเป็นอาวุธทำลายมันได้ง่ายดาย
 
มองข้าม หลงลืม ว่าความด้อยค่าไร้ความหมายมิอาจมีผลต่อตน แต่อาวุธต่ำต้อยนี่แลทรงพลังยิ่งกว่า ยามเมื่ออับจนหนทางออก มหาเทพทรงเล็งเห็นแล้วว่า การณ์ทั้งปวงมิอาจยุติได้ด้วยพลังเหนือพลัง จึ่งพระราชทานศาสตราวุธสามัญไว้ให้มนุษย์ใช้ปราบมารร้าย อสุรมาศมิได้ตระหนักว่า ทวนอัศวาราตรีกาลเคยทำอันตรายตนมาได้ครั้งหนึ่งแล้ว จึ่งเพิกเฉย บัดนี้ความประมาททำให้มันดับสูญชั่วนิรันดร์

“เจ้ารักข้า ฤา ไม่” มาตะเค้นขอคำตอบหน้าเฉย

เจ้าภัทรพจน์เงยดวงตาสีน้ำตาลสั่นคลอมอบให้มาตะแทนคำตอบ

“ดาบกนกกาญจน์ในมือนายสามารถทำลายจอมมารได้สำเร็จฉันใด คำถามว่ารักนายหรือเปล่าก็สามารถทำลายเราได้ฉันนั้น ถามอีกเถิด ถามอีกสิ ถามว่ากูรักมึงหรือเปล่า หัวใจดวงนี้มันเจ็บใกล้สิ้นแล้ว ถามมาอีกดิวะ”
 
สรรพนามเรียกชื่ออีกฝ่ายแปรเปลี่ยนเมื่อหัวใจใกล้พินาศ พจน์ไม่หลงเหลือความยินดีจากการปราบจอมมารสำเร็จ บางทีเขาคงหมดหน้าที่แล้วเช่นกัน สวรรค์จึงบันดาลให้ไอ้มาตะคนซื่อบื้อถามคำถามแทงหัวใจตนแบบนี้

“ข้าข้ามพิภพมาหาท่านได้แล้ว ตอบมาคำหนึ่งเถิดว่า รัก”

“คำว่ารักมันสำคัญมากหรือไงวะ ถึงอยากได้ยิน มันสำคัญกว่าการกระทำงั้นหรือ ได้ ถ้าไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำต่อกันไม่ใช่เพราะรักแล้ว ความรู้สึกของนายก็ลึกนัก ไม่มีใครอยากให้คนที่เรารักเจ็บหรอก มาตะ ไม่ แต่ถ้านายยังไม่รู้ว่าหัวใจของเราอยู่ที่ใคร บางทีดาบในมือนายก็คงช่วยตอบคำถามนี้ได้”

ภัทรพจน์ผวาคว้าปลายดาบหมายมุ่งนำเข้าแทงใจตน แต่มาตะระมัดระวังไว้อยู่แล้วก็ขืนดึงกลับผลักอกยอดรักด้วยกำลังแรงกว่าปกติ เจ้าภัทระก็เซทรุดล้มลง
 
“หากรักมาตะแล้วไซร้ กระไรท่านจึ่งทอดทิ้งมาตะไว้แต่โดยเดียว ฤา เจ้า” ทรุดตัวย่อประคองหน้าสิริโฉมประโลมเล้าใจตนนับแต่หนแรกจวบเพลานี้ ความประสงค์อยากยินคำต้องการปั้นใจแลสีหน้านิ่งดั่งหินผา

“ณ ตำหนักทรงดนตรี น้องท่านเคยกลั่นความรู้สึกออกปากแน่นหนักว่า รักมาตะมาครั้งหนึ่ง แลข้าก็เชื่อโดยสนิทเสน่หาว่ารักนั้นคือสัตย์มั่นคงยิ่งกว่าอื่นใด ยามน้องท่านมีอันผิดใจ ไม่ยอมเจรจาสนทนาต่อกัน มาตะก็อาศัยคำรักปลอบประโลมว่า ค่าน้อยท่านฝากรักกับมาตะแน่แท้ กิจพยายามง้องอนสักวันคงสำเร็จ แลเห็นผลจริงดังว่า ก็ท่านรักข้าแลเรารักกัน คือเหตุผลส่งให้อุปสรรคขวากหนามพังทลายโดยสิ้น ข้าเชื่อใจท่าน ท่านเชื่อใจข้า ภักดีสัตย์ซื่อต่อกันด้วยประการฉะนี้ มีหรือมาตะจะท้อถอย รังแต่จะมุมานะสู้ฟันฝ่าปราการหินผาอันขวางหน้าอยู่ แต่...”

คำมาตะยิ่งทวีให้น้ำตาพจน์หลั่งนองเปรอะเปื้อนผิวเนียน เขาพยายามสะกดใจให้มั่นคง แต่หัวใจบีบรัดกลัดน้ำตาหนุนเนืองๆ
 
“มหาบุรุษท่าน” รณพานุรักษ์มิอาจทนเห็นสืบต่อไปก็หมายจู่เข้าช่วย พจน์ก็ยกมือห้ามไว้

“รอประเดี๋ยวเถอะ รณพานุรักษ์”

“แต่...หนท้าย น้องท่านละจากด้วยใจเหี้ยม ลวงข้าให้หลงในกามวิสัย เพื่อหนีไปไม่หวนกลับ หทัยท่านทำด้วยหินนิลกาฬ ฤา อย่างไรเล่า จงแจ้งกล่าวสักคำเถิด หากมิเกรงว่ามาตะจักสิ้นลมวายชีพ ณ เสี้ยวเพลานั้นแล้ว ใจท่านก็โหดร้ายนัก เราต่างผ่านอุปสรรคร่วมอกมากมาย แต่เจ้าละทิ้งข้าไว้เหมือนสิ่งของไร้ค่า ไม่มีราคา จักหว่านทิ้งเมื่อไรย่อมได้เสมอ ยามเห็นว่าสิ้นประโยชน์ไม่สนองคุณ ก็ปลดโยนหน้าตาเฉยกระนี้ ยังจะจริงดังคำข้าถาม ฤา หาไม่ วานตอบเถิดหนา”

พจน์ไม่ได้สนใจเช็ดหยาดน้ำตาออก สติสนอยู่เพียงคำกล่าวหาเสียดแทงปริ่มจะขาดใจ

“ใช่ เราเป็นคนใจร้ายจริงดังนายว่า แต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว ไม่รู้หรือไง”

“น้องท่านโกหก อย่าปดข้า”

“โปรดกลับไปเถอะ ที่ผ่านมาเราลวงนายเพื่อหวังเล่นสนุก ใช่แล้ว เราปั่นหัวนายกับพี่ชายให้ผิดใจกัน” แสร้งหัวเราะขบขันเป็นการใหญ่ “เหมือนที่พระราชเทวีตรัส เราเป็นตัวกาลกิณี เป็นต้นตอก่อเหตุปัญหาทั้งสิ้น ก็เป็นคนแบบนี้แหละ หลายใจ คำว่า รัก ที่บอกก็โกหกทั้งสิ้น แต่ก็ต้องขอบใจที่อุตส่าห์ตามมาช่วย อย่างน้อยเราก็มีความคิดตรงกันในเรื่องการปราบมารร้ายให้จบสิ้น นอกกว่านั้นไม่จริงแม้แต่น้อย”

ภัทรพจน์กลั้นใจลุกยืนใช้หลังมือเช็ดน้ำตา แข็งใจกล่อมหน้าขรึม

“น้องท่าน” หัวใจมาตะประหนึ่งแหลกลาญเพราะคำพูดคนรัก “อย่าแสร้งประหนึ่งไม่รักข้า อย่าทำ” คว้ามือเรียวมากุมไว้ “ข้าไม่อยากยินคำว่ารักจากท่านแล้ว แต่อย่าโกหกว่าเรื่องที่ผ่านมาเป็นอุบายกลลวง”

“กลับไปเถอะ กลับไป กูไม่ได้รักมึง”

“ท่านรักข้า เรารักกัน แล้วทำไมต้องทำประหนึ่งว่ามิใช่เรื่องจริง เราผูกรักร่วมชะตาทุกชาติภพ”

“แต่ไม่ใช่ชาตินี้ มาตะ ไม่ใช่

“เจ้าข้ามพิภพมาหาข้าได้ ถ้ามิใช่เพราะรักแล้วจักด้วยเหตุใด”

“ก็กูเป็นผู้ครอบครองเพชรมณี อำนาจนั้นนำพาไปที่ไหนก็ได้”

“แต่ทุกครั้งน้องท่านต้องมาปรากฏเคียงมาตะเสมอ อย่าผลักไสไล่ส่งข้าว่าไม่รักเลยเจ้า เมตตาอย่าทำ”

“จบแล้วความชั่วร้าย เช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเราสองคน มึงอยู่อีกภพหนึ่ง กูอยู่อีกที่หนึ่ง ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ อีกไม่นานต้องมีที่หนึ่งที่ใดล่มสลาย จะไม่ทำสิ่งใด จะไม่ทำให้ทุกคนเชื่อว่าน้ำกำลังท่วมโลก จะไม่รวบรวมมหามณีทั้งสาม ชนบนโลกจะล่มสลายเพื่อให้มหาพิภพดำรงอยู่เช่นบรรพกาล ความรักมันจะช่วยอะไรได้มาตะ ถึงเราจะรักกันจริง ใช่ เราโกหกว่าไม่ได้รักนาย โคตรจะรัก เพราะรักถึงต้องทิ้งนายไว้ที่นั่น ถ้าหากการเผชิญหน้ากับจอมมารมาถึง หากพ่ายแพ้ แต่ใจกูจะอยู่ที่มึง ใช่แล้ว กูรักมึง

เพียงมาตะได้ยินถ้อยสารภาพจากคนรักก็โผเข้ากกกอดไว้ เกลี่ยนิ้วเช็ดน้ำตาออกจากคลองจักษุ ตะโบมจูบให้สิ้นคะนึงหาแล้วว่า

“ข้ารู้แน่แล้วว่าท่านรักข้า ภัทรพจน์ ขอบน้ำใจน้องท่านมาก หากชะตาได้ลิขิตไว้แล้ว ข้าย่อมน้อมรับ ถึงเราจะอยู่คนละภพ ทว่ารักก็ชักนำให้เราประสบพบกันได้ เห็น ฤา ไม่เล่า อำนาจใดจักทรงอานุภาพเทียมเท่าสิ่งที่แน่นอยู่ในอกเราสองไม่มีอีก น้องท่านว่าชอบแล้วต้องมีพิภพหนึ่งล่มสลาย แต่มิใช่ดั่งน้องท่านคิดคำนึง ข้านำพระราชดำรัสแห่งพ่ออยู่หัว ราชันย์เผ่าพันธุ์มนุษย์ ตัวแทนสรรพสิ่งทั้งมวล แลผู้ทรงศีลพระอาจารย์โกสินธพมาแจ้งท่าน” มาตะยิ้มแย้มทั้งน้ำตาดุจกัน
 
“จงรับแก้วมณีสามประการนี้ไว้เถิด อนันตวัชรมรกต พัชรพีนิลกาฬ แลโกสันต์ปัทมทับทิม” กล่าวแล้วจึงปลดมหามณีสามสิ่งไว้ในกำมือยื่นให้ภัทรพจน์ “พวกเราชนบนมหาพิภพยินดีล่มสลายชั่วนิรันดร์ เพื่อให้เผ่าพันธุ์น้องท่านบนพิภพนี้คงอยู่ดั่งคำสัจจะวาจาสิทธิ์แห่งองค์มหาธรรม มารร้ายสิ้นฤทธาได้ก็ด้วยอำนาจน้องท่าน โลกของท่านสมควรดำรงอยู่สืบต่อไป”

“แต่...ถ้างั้น หมายความว่านาย” มาตะยิ้มทั้งน้ำตา

“ข้าสิ้นสงสัยในรักแห่งเราแล้ว แลเราสองคงมิได้เจอะเจอกันอีก ใช่ ฤา หาไม่ หนนี้จะเป็นภพสุดท้าย”

“นายรู้หรือ”

“ถูกแล้ว ครูท่านแจกแจงที่มาเรื่องราวนับแต่อดีตชาติระหว่างข้าและน้องท่านโดยสิ้น แลแจ้งว่า ชาตินี้จะเป็นหนท้ายที่เราจักได้พานพบกัน”

“ขอโทษมาตะ แต่อย่าทำแบบนี้ นายเก็บไว้ พวกเราที่นี่ยินยอมล่มสลาย”

“น้องท่านประสงค์จักให้ข้าตายทั้งเป็นกระนั้น ฤา ท่านเคยพรากหัวใจมาตะครั้งหนึ่งแล้ว เจ็บนัก ทรมานสุดแสน อย่าให้มาตะต้องเผชิญเฉกนั้นอีก โปรดจงเก็บรักให้ลุกโชนในกายน้องท่านเถิด หัวใจข้าฝากไว้แก่เจ้าแล้วไม่ขอรับคืน” ตัดสินใจแน่วแน่ก็ยัดเยียดแก้วมณีทั้งสามใส่มือยอดรัก เจ้าภัทระก็บ่ายเบี่ยงด้วยผิดจากเจตนาตน

“กลับไปมาตะ กลับไปเดี๋ยวนี้”

มาตะขืนตัวดันทุรังหมายส่งมอบสิ่งล้ำค่าสามประการให้แก่ยอดรักไว้รักษาให้พิภพโลกดำรงอยู่ ต่างฝ่ายต่างปัดป้องไม่ประสงค์ทำตามคำร้องของอีกคน ระหว่างนั้นบังเกิดแรงสั่นสะเทือนลุกลามแทรกมาตามผืนปฐพี หนแรกมิอาจรู้สึกได้แต่คำรบสองชัดเจนแน่ตระหนักจนเจ้าหนุ่มทั้งสองโงนเงน เฉกเดียวกับต้นไม้แลซากโบราณสถานโดยรอบ

“ทำไมถึงรู้สึกเหมือน...”

“แผ่นดินไหว”

เจ้าปักษาวายุภักษ์รับรู้แรงสะเทือนนั้นดุจเดียวกัน หลับตาเพ่งกระแสจิตหาเหตุแห่งที่มา ชั่วครูหนึ่งจึ่งรีบลืมตาโดยพลัน ถลาเข้าหาภัทรพจน์มหาบุรุษแจ้งว่า

“มหาภัยพิบัติ พระเจ้าข้า บัดนี้ดินแดนมหาพิภพกำลังเคลื่อนตัวเพื่อพ้นสู่พื้นพิภพโลกา”

“แต่มหาเทพบอกว่าจะเป็นวันที่ ๑๕ เมษายน เมื่อดาวเคราะห์เคลื่อนเรียงเป็นแนวเดียว ไม่ใช่วันนี้ รณพานุรักษ์” พจน์ฟื้นความจำเร่งซักกลับ

“มิใช่พระเจ้าข้า เป็นเพลานี้ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือนอ้าย...” อาการกระวนกระวายเล่นงานเจ้าปักษาวายุภักษ์

“น้องท่านโปรดจงรับแก้วสามประการไว้บัดเดี๋ยวนี้เถิด” มาตะเห็นการณ์ผิดพลาดกระนั้นเร่งซุกใส่มือคนรัก

พจน์ผลักสิ่งล้ำค่าออกจากตัว ตรองด้วยสติปัญญามั่นคง โน้มองค์จุมพิตปากมาตะแล้วตั้งจิตแน่วแน่

'ดวงจันทร์จะทรงกรด
สิสะสดระรำไร
นวลแสงระบายไป
ภะพะพื้น ณ แดนดล

ลิ่วลับระยับยอด
จะมิมอดมิหมองมน
หายไป ณ สายชล
ฤา จะพ้นจะกลับมา’

พอสิ้นอินทรวิเชียรฉันท์ อธิษฐาน แรงกระชากวูบใหญ่ฉุดดึงมาตะลับ หมอกควันขาวกลับปกคลุม สุมเลือดเนื้อมนุษย์แลสิ่งล้ำค่าทั้งสามเลือนหาย พรวดพรายจนไม่ทันให้เจ้ามาตะได้กล่าวร่ำลาคำใด จบแล้ว รักในชาติภพนี้
 
พจน์เห็นความว่างเปล่าเบื้องหน้าแน่ถนัด ข่มใจด้วยเลือดกายกล้าหาญตัดความอาดูรดับสิ้น มาตะคงคืนกลับมหาพิภพดั่งจิตตั้งมั่นของตน โปรดเก็บหัวใจกูไว้ด้วย ไอ้คนซื่อ ไม่เสียใจแม้แต่น้อยที่ได้รักมึง...มาตะ

“กลับคืนบ้านเทพวิมานเถอะ รณพานุรักษ์”


มีต่อด้านล่าง

______________________________

อัศดงคต : ทางทิศตะวันตก
ดาวประจำเมือง : ดาวพระศุกร์ที่เห็นในเวลาหัวค่ำ
อินทรวิเชียรฉันท์ : ชื่อฉันท์ ๑๑ แบบหนึ่ง หมายความว่าฉันท์ที่มีลีลาอันรุ่งเรืองงดงามดุจสายฟ้าซึ่งเป็นอาวุธของพระอินทร์ วรรคหน้ามี ๕ คำ วรรคหลังมี ๖ คำ รวม ๒ วรรคเป็น ๑ บาท ๒ บาทเป็น ๑ บท คำที่ ๓ ของวรรคหน้ากับคำที่ ๑,๒,๔ ของวรรคหลังเป็นลหุ (คำประสมสระสั้น) นอกนั้นเป็นครุ (คำประสมสระยาว)

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๔ มหาภัยพิบัติ ๑๐๐% (๒๘/๑๐/๕๙) หน้า ๑๔ [สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 28-10-2016 10:02:02
[ต่อ]



เจ้าปักษาคุมสติพยักหน้ารับ เมฆหมอกควันขาวอ้อมล้อมชักพาภัทรพจน์แลผู้พิทักษ์รักษากลับมายังสนามหญ้าหน้าเรือนไทยเทพวิมานในทันทีทันใด

“เร่งเตือนทุกคนบัดเดี๋ยวนี้ มหาบุรุษ” เจ้าปักษารณพาเจราเสียงดัง ไม่รีรอให้ปักษาวายุภักษ์ต้องกล่าวซ้ำสอง พจน์รีบวิ่งด้วยฝีเท้าที่คิดว่าเร็วที่สุด ก้าวข้ามบันไดทีละสองขั้นจนถึงซุ้มบันได ทุกคนกำลังสนุกสนานงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของคุณปู่ พี่ส้มกำลังเป่าแตรกระดาษที่ซื้อมาเมื่อตอนเย็นเสียงดังสนั่น เศษริบบิ้นและกระดาษเลื่อมหลากสีปลิวละล่องอยู่ในอากาศ เพื่อนของพจน์ต่างมีสีหน้าสุขสำราญมิได้สัมผัสถึงแรงแผ่นดินไหวแม้แต่น้อย

“อ้าว พี่พจน์ พี่ไม่ได้อยู่ในห้องหรือคะ แล้ว...เกิดอะไรขึ้นคะ” พจน์โผเข้ากอดน้องสาวคนเดียว

“พี่ส้มครับ ปิดเพลงก่อน” ปาล์มวางไมโครโฟน สาวใช้ผิวสีแทนปิดเครื่องเล่นเพลง ดวงหน้ามีสีจัดกลับซีดเผือด ชาญณรงค์ถอดหมวกแฟนซีออก คุณปู่มิได้อยู่ในบริเวณนั้น ไอ้ภามกับไอ้ปาล์มต่างเดินมาหาเด็กหนุ่มหน้าสวย

“กู...” แล้วทันทีทันใดโคมไฟที่ให้แสงสว่างกลางหอนั่งเริ่มสั่นทีละนิดทีละน้อย

คนเดียวที่พจน์ต้องรีบบอกคือ คุณปู่ เด็กหนุ่มวิ่งผ่านภพดนัย ธนพลลุกขึ้นยืนด้วยความงุนงง เขารัวเคาะประตูหน้าห้องศาสตราจารย์วิชัย ทุกคนต่างตามประชิดเมื่อเห็นอาการผิดปกติของพจน์

“คุณหนูคะ เกิดอะไรขึ้นคะ ให้พี่โทรหาตำรวจไหม” จิตใจของส้มดูไม่สบายอย่างยิ่ง “คุณหนูพจน์ บอกพี่มาสิคะ”

“เข้ามา”

พจน์กระแทกประตูเข้าไป รู้สึกเจ็บเล็กน้อยแต่ไม่เท่ากับบาดแผลที่อยู่ลึกในใจ ศาสตราจารย์วิชัยกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ หนังสือมหาทวีปลึกลับเล่มสีแดงวางอยู่บนตัก

“ผมมีหลักฐานสำคัญที่จะยืนยันเหตุการณ์น้ำกำลังท่วมโลกได้อย่างแน่นอนแล้ว ฉะนั้นผมต้องการเปิดแถลงข่าว ไม่ทราบว่าสถานีของท่าน... อะไร ตาพจน์”

“คุณปู่ครับ มันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่วันที่ ๑๕ เมษายน แต่เป็นคืนนี้”

ศาสตราจารย์วิชัยขมวดคิ้วดูเหมือนไม่เข้าใจความหมายอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ท่านเลื่อนสายตามองบานกระจกเงา สลับแก้วน้ำ ปรากฏรอยคลื่นเป็นวงกระจายอยู่เหนือผืนน้ำในแก้ว ศาสตราจารย์ลุกขึ้นพลิกปฏิทินข้างฝาผนังห้อง แล้วเบิกตากว้าง ท่านหยิบหนังสือมหาทวีปลึกลับพลิกหาความหมายบางอย่าง

“เป็นไปไม่ได้”

ราวกับคำพูดของพจน์เป็นคำโกหกที่ไม่น่าเชื่อถือมากที่สุดในโลก ดาวสูดลมหายใจเข้าออกพลางพยักหน้าให้พี่ส้ม ชาญณรงค์ก้าวเข้าหาศาสตราจารย์วิชัย

“นี่มัน...”

“เดี๋ยวก่อน โปรดฟังผม รีบประกาศเตือนภัยโดยเร็ว ประกาศเตือนเดี๋ยวนี้” ศาสตราจารย์กรอกใส่หูโทรศัพท์

“ประกาศเตือนอะไรกันครับ คุณพ่อ พจน์ แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน” ธนพลสั่นหน้าสับสน
 
“ประกาศเตือนว่าน้ำกำลังจะท่วมโลก คุณไม่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนหรือ...” ศาสตราจารย์พูดได้แค่นั้นก็ต้องยกหูโทรศัพท์พิจารณา สัญญาณขาดหาย พี่ส้มร้องเสียงสูงอย่างไม่อาจปิดบังความตื่นตระหนกไว้ได้ คำตอบของคำถามทั้งหมดจบลง นำความหวาดกลัวแทรกซึมสู่เบื้องลึกที่สุดของจิตสำนึก ภพดนัยยืนทำอะไรไม่ถูก รูปถ่ายครอบครัวเทพวิมานนับแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดในกรอบกระจกติดฝาผนังสั่นระริก

“พ่อณรงค์ ขอยืมโทรศัพท์มือถือด้วย” ชาญณรงค์หยิบยื่นเครื่องมือสื่อสารไร้สายให้ศาสตราจารย์ คุณปู่ก้าวออกนอกห้อง มองหอนั่งและจ้องท้องฟ้า ท่านใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อใครบางคน

“กระผม ศาสตราจารย์วิชัย เทพวิมาน ผมขอความกรุณาให้สถานีโทรทัศน์ของท่านหยุดออกอากาศรายการปกติ” ทุกคนจดจ้องหน้าจอโทรทัศน์ “กรุณาแจ้งข่าวทุกสถานีให้ประกาศเตือนภัยเดี๋ยวนี้ ประกาศให้ประชาชนทุกคนรู้ เพราะน้ำกำลังจะท่วมโลก”

แก้วน้ำริมขอบโต๊ะร่วงหล่นสู่พื้นแตกกระจาย ส้มและป้าแจ่มวิ่งวุ่นเข้าจัดการเศษแก้วอย่างสิ้นสติ แสงสว่างจากโคมไฟในหอนั่งกะพริบวูบ ความสนใจทั้งหมดถูกถ่ายเทสู่โทรทัศน์ ความหวังซึ่งสื่อเทคโนโลยีอันล้ำสมัยจากฝีมือมนุษย์จะช่วยเหลือมนุษย์กลับคืนได้บ้าง แล้วฉับพลันภาพละครช่วงหัวค่ำก็ปรับเปลี่ยนขาดหาย มีคลื่นรอยเส้นแทรกเข้าบดบัง และไม่อาจราบเรียบเช่นก่อนหน้านี้ รายงานข่าวด่วนผุดแทรกกะทันหัน

“แจ้งรายงานข่าวด่วนค่ะ มีการตรวจพบแรงสั่นสะเทือนอันเนื่องมาจากแผ่นดินไหวที่ก่อให้เกิดความเสียหายในประเทศญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกา จีน และขณะนี้ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้ตรวจพบแรงสั่นสะเทือนที่แผ่ขยายมาถึงกรุงเทพมหานครแล้ว ดิฉันขอแจ้งเตือนให้ประชาชนทุกคนทุกภูมิภาคทราบ โดยขอให้ทุกคนออกมาจากอาคารบ้านเรือนโดยเร็วที่สุด และให้อยู่แต่ในพื้นที่โล่งแจ้ง”

ศาสตราจารย์วิชัยสั่นหน้า ความหวังดูริบหรี่ลงเรื่อยๆ “ได้โปรด ประกาศเตือนว่าน้ำกำลังจะท่วมโลกในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว นี่ไม่ใช่แผ่นดินไหวธรรมดา ได้โปรดเถิด”
 
“โอ้ ไม่นะ” นักข่าวสาวจ้องแผ่นกระดาษของทีมงานที่เพิ่งยื่นเข้ามา ภาพสัญญาณโทรทัศน์ทยอยมีปัญหา
 
“ประกาศสิ ประกาศเดี๋ยวนี้”

“นี่...นี่คุณ หมายถึง...ดิฉันต้องขอประกาศเตือน...”

ภาพบนจอโทรทัศน์ดับวูบ ศาสตราจารย์วิชัยยืดตัวสูดหายใจแรงพลางพยักหน้าให้ผู้ช่วยหนุ่ม

“ถึงเวลาแล้ว พ่อณรงค์ รีบพาทุกคนไปที่เรือดำน้ำ”

“เรือดำน้ำหรือครับ” ภพดนัยแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ชาญณรงค์จับมือดาวและภพดนัย ป้าแจ่มทรุดเข่าลงพื้นเรือนเคียงใกล้กับลุงชม พจน์ขมวดคิ้วให้กลุ่มเพื่อนทั้งหมด ทุกคนไม่มีคำถามหรือข้อสงสัยใด พวกมันพยายามโทรหาครอบครัวจ้าละหวั่น แน่ชัดว่าหายนะภัยครั้งสำคัญคือเรื่องจริง คุณปู่เหมือนรอคอยบางสิ่ง แสงไฟบนเรือนทุกดวงกะพริบวูบ

“บรรณารักษ์ห้องสมุด วิศรุต ตาพจน์”

ถ้าเพียงแต่พจน์จะพยายามชวนคุณครูวิศรุตมาร่วมงานได้ ถ้าเพียงแต่เขาจะทำ ธนพลได้แต่พร่ำพูดว่า

“สา - - สา - -”

“ธนชัย” เป็นรายชื่อหนึ่งเดียวที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากซีดของภพดนัย

“ออกไปนอกเขตบ้านกันเถอะครับ อาจารย์” ชาญณรงค์เร่งเร้าศาสตราจารย์ ธนพลพุ่งลงเรือนไทยเทพวิมานด้วยความเร็ว ทุกคนวิ่งตาม

“ไม่มีเวลาแล้ว ตาพล เราไม่อาจรอหนูสาได้” ศาสตราจารย์พูดไล่หลัง ถนนหน้าซุ้มประตูรั้วเนืองแน่นด้วยผู้คนสับสนวุ่นวาย

“ไม่ครับ ผมจะรอสา ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” ธนพลประกาศกร้าว ทำทีจะวิ่งออกตามหาท่ามกลางฝูงชน ศาสตราจารย์และชาญณรงค์รีบฉุดรั้งตัวไว้

“ปล่อยผมเถอะครับ ถ้าสาเป็นอะไรไป ผมก็ไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไม” เจ้าพวกเพื่อนของพจน์คุมสติได้ดีเยี่ยม ไอ้ปาล์ม ภาพภพประกบใกล้พจน์

“ตาพล แกตั้งสติให้ดี หนูสาคงไม่อยากเห็นแกไร้ความอดทนต่อความเศร้าเสียใจเหล่านี้แน่ พ่อคิดว่า...”

“พล พล...” สุนิสาสภาพเปื้อนฝุ่นตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เนื้อตัวมีรอยบาดแผลบางแห่งแหวกฝูงชนจนสำเร็จ และแทบจะในทันทีธนพลก็พุ่งเข้ากอดหญิงสาวไว้ด้วยความรักสุดหัวใจ สุนิสาน้ำตาไหลด้วยเพราะอาจไม่มีหนทางกลับมาเห็นบุคคลที่เธอรักอีกแล้ว

“สาขับรถมาไม่ได้ พยายามเดินมาแต่ตึกหน้าปากซอยก็ถล่มลง คนตายเยอะมาก สาคิดว่าคงจะไม่ได้...”

“เราจะไม่แยกจากกัน” ธนพลยังกอดสุนิสาแนบอก หญิงสาวร้องไห้จนเนื้อตัวสั่น
 
“คุณพ่อครับ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ คือ...” ภพดนัยคว้าดาวไว้ใกล้ตัว ฝูงชนยังวิ่งวุ่นอลหม่าน

“หายนะภัยที่พ่อพยายามเฝ้าเตือนได้เกิดขึ้นแล้ว น้ำกำลังจะท่วมโลก”

“น้ำท่วมโลก!” หญิงชาวบ้านหวีดเสียงสูง เมื่อเธอบังเอิญยืนอยู่ในระยะการได้ยิน

“ไม่จริงใช่ไหมคะ ท่านศาสตราจารย์ ไม่ใช่แน่ๆ” หญิงคนนั้นสั่นศีรษะยอมรับความจริงไม่ได้ หลายครอบครัวเหลียวหันตามเสียง ศาสตราจารย์วิชัยได้แต่พยักหน้า

“โอ้ ไม่...” ข่าวน้ำท่วมโลกแผ่ขยายทุกทิศ โลกจะถึงคราวอวสานในอีกไม่ช้า

“อาจารย์ครับ ไปกันเถอะครับ เราคงพาพวกเขาทั้งหมดไปไม่ได้ด้วยแน่” ชาญณรงค์เร่งเร้า

“นำทางโดยเร็ว พ่อณรงค์” และบัดนี้ความจริงเรื่องน้ำกำลังจะท่วมโลกถูกส่งจากปากสู่ปาก ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือในจิตใจของผู้คนนอกจากภาพความตายซึ่งกำลังจะมาเยือน

“พลังของแกมิอาจห้ามชะตาลิขิตได้ ตาพจน์” คุณปู่กล่าวขณะวิ่ง
 
“ทำไมครับ ผมยังเหลือการผนึกกำลังกับภูเตศวรเทพอีกหนหนึ่ง”

“ไม่ทันแล้ว ตาพจน์ ไม่สำคัญอีกแล้ว ทั้งหนังสือปกแดงหรืออำนาจของแก จบสิ้นแล้ว แต่หากเรารอดชีวิตหนทางสว่างยังคงมีอยู่”

“แปลว่าอะไรหรือครับ”

แม้พจน์จะไม่เข้าใจคำพูดของท่านมากนัก แต่เขารู้ว่าคุณปู่ไม่ได้มีจิตใจโหดร้าย เพราะความหวังในใจท่านลุกโชนผ่านสายตาจนพจน์จำต้องน้อมรับ หากเป็นในช่วงเหตุการณ์ปกติเร่งเดินไม่กี่นาทีก็คงจะถึงสถานต่อเรือท้ายซอยโดยง่าย แต่เพราะตอนนี้ประชาชนทุกหลังคาเรือนออกมาอยู่บนถนนตามคำเตือนแน่นขนัด
 
“เฮ้ย หลบเร็ว” เสียงผู้คนหวีดระงม

โดยไม่ต้องให้ใครร่ำร้องตะโกนซ้ำ เสาไฟฟ้าล้มระเนระนาด แสงไฟทุกดวงดับพรึ่บ ความมืดย่างกราย เมื่อไร้แสงสว่างอื่นใดยกเว้นแสงเดือนข้างขึ้น ความอบอุ่นเพียงน้อยนิดเหือดหายชั่วพริบตา ผิวโลกจะไม่มีวันสัมผัสแสงสว่างใดๆอีกนับจากนี้ ความมืดโรยตัวปกคลุมพื้นพิภพ แล้วในวินาทีนั้นเองเจ้าภัทรพจน์สังเกตเห็นรอยแยกของพื้นถนนก่อเกิดเป็นร่องลึกแผ่ตรงเข้าสู่กำแพงรั้วบ้านฝั่งตรงข้าม ถัดไปเบื้องหลังเขตปลูกสร้างอาคารพักอาศัย คือตึกสำนักงานสูงเสียดฟ้าจำนวนมาก ตั้งเรียงเป็นแถวแนวยาวตลอดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา

“ก้มหมอบเร็ว” พจน์ตะโกน
 
โครม!!

ภาพก่อนพจน์จะเซล้มลง คือตึกสูงหลายสิบชั้นถล่มพินาศ ดั่งฟ้าผ่าแผ่นดินเลื่อนลั่น เด็กหนุ่มถูกกดเซคลุกฝุ่น ละอองจากซากสิ่งก่อสร้างปรักหักพังปริมาณมหาศาลฟุ้งกระจายปกคลุมผู้คนและพื้นที่โดยรอบนับหลายร้อยกิโลเมตร เสียงไอเพราะสำลักอากาศไม่บริสุทธิ์ร้องทั่วสารทิศ พจน์ใช้ฝ่ามือดันตัวเองลุกขึ้นยืน ช่วยพยุงไอ้น้ำที่ร้องไห้ขี้มูกโป่ง จนไอ้ต่อกับไอ้กีต้องสาละวนปลุกปลอบ

“คุณพ่อเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ภพดนัยถามหาผู้บิดา ฝุ่นละอองจากเศษอิฐดินปูนเกาะเลอะเทอะตามเสื้อผ้าผมเผ้าสกปรกมอมแมม

เปรี้ยง!!

ลูกไฟมหึมาสาดจากฟากฟ้าลงกลางถนน ละอองหมอกพร่ามัวหม่นผสมกรุ่นควัน ครั้นถูกลมพัดปลิวย้อนลอยสู่ชั้นอากาศ ค่อยๆเผยให้เห็นใบหน้าขาวซีดของนางอัปสรา ดูแปลกแยกท่ามกลางหมู่มวลมนุษย์ ดวงตาไม่มีเป้าหมายอื่นใดนอกจากภัทรพจน์มหาบุรุษ
 
“เจ้าสังหารจอมมาร จงตายซะ!” นางอัปสรากรีดเสียงแหลมบาดลึก ลูกไฟดวงใหญ่แผ่รังสีอำมหิตลอยอยู่เหนือฝ่ามือนาง

“ข้าดำริว่าการนั้นคงจักไม่มีวันมาถึง” ปักษาวายุภักษ์ประกบเคียงนางปีศาจแล้วสะบัดแขน ขนนกนับแสนพุ่งตรงดิ่งเข้าสู่ผู้ปองร้าย นางอัปสราอันตรธานทิ้งร่องรอยควันดำไว้

“เร่งพาทุกคนไปโดยเร็วเถิด ข้าจะคุ้มครองป้องกัน มิต้องกังวล” รณพานุรักษ์ยิ้มอย่างที่พจน์คิดว่าในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้นั้นหาได้ยากยิ่ง

“ครับ” พจน์ก็รับคำ

กลุ่มคนเบื้องหน้าถูกเหวี่ยงโยนสู่อากาศเบื้องบนด้วยอาการทุรนทุราย บ้างถูกปัดกระแทกชนซากอาคารบ้านเรือน ฝูงชนวิ่งหนีแตกกระเจิง แต่ก็มิอาจหยุดยั้งบางสิ่งซึ่งกำลังมุ่งตรงมาทางพจน์ได้ คลื่นพลังมนตราเมฆหมอกดำกวาดใส่มนุษย์ผู้ไร้สิ่งต่อสู้ป้องกัน นำสู่การเปิดเส้นทางจนโล่งกว้าง ด้านข้างทั้งสองของนางปีศาจประกบด้วยกินรีปีศาจสองตน นางอัปสราสลัดมนตราใส่เหล่ามนุษย์อย่างไร้ความปราณี มันร่ายพระเวทอีกครั้ง ควันดำมหาศาลหมุนวนราวกับบังเกิดลมวายุ นางสะบัดแขนหมุนเป็นวงในอากาศ แล้วจึงเหวี่ยงพระเวทเพลิงทมิฬมายังพจน์ เปลวเพลิงสีดำแผ่ขยายเป็นดวงไฟขนาดใหญ่พุ่งเข้าฉีกกระชากพรากกายผู้กีดขวาง เป้าหมายสุดท้ายคือมหาบุรุษ
 
แรงระเบิดแผ่นดินสะเทือนพุ่งสกัด แสงกระหวัดแดงชาดสาดกระจายทุกโมเลกุลอากาศ พจน์และทุกคนก้มหลบแทบไม่ทัน ถนนตรงจุด ณ เปลวเพลิงมอดไหม้ถูกปะทะบังเกิดหลุมขนาดใหญ่ ฝุ่นละอองฟุ้งปกคลุม

“นี่เจ้ายังมิยอมแพ้อีกกระนั้น ฤา” ปักษาวายุภักษ์ยืนอยู่เหนือปากหลุม ศพของมนุษย์นอนแผ่หลาเป็นภาพเวทนา นางอัปสรามีสีหน้าโกรธแค้นชิงชังแย้มชัด แผ่นดินเลื่อนผลัดสั่นไหว ราวกับไม่อาจรองรับโทสะของนางปีศาจได้

“ในเมื่อจอมมารดับสิ้น ข้าตรองดูแล้ว เจ้าควรจำต้องหลบหนีโดยพลัน” รณพานุรักษ์ในร่างกึ่งนกกึ่งมนุษย์ลอยอยู่เหนือพื้น

“ข้าจักแก้แค้นแทนพระองค์” นางอัปสราอ้าแขนผินพักตร์ล่องมองท้องฟ้า เปลวมหาเพลิงทมิฬโอบล้อมกายา

“อมระตา กายามะนะ สะยา”
 
สังขารไร้วิญญาณของมนุษย์จำนวนหนึ่งเริ่มเคลื่อนไหวอวัยวะ นำกายหยาบสลัดยืนตามคำสั่ง แล้วกระโดดผ่านอากาศ บุกตรงเข้าหาปักษาวายุภักษ์ เจ้ารณพาป้องปัดร่างสิงสู่มนตร์ปีศาจจนพวกมันกระเด็นถอยห่าง นัยน์ตาของนางอัปสราแดงก่ำราวโลหิต ระเบิดมนตราสาดใส่โล่ป้องกัน แต่ก็มิอาจหักเอาชัยชนะได้ พลังชั่วร้ายสะท้อนกลับ เบี่ยงเบนพุ่งกระแทกศพสังหารแตกระเบิดสิ้น
 
“ตามข้ามาโดยพลัน” พจน์โอบพาไอ้น้ำวิ่งตามคำสั่งผู้พิทักษ์ปักษา ทุกคนงุนงงเกินกว่าจะถามคำถาม เสียงกินรีปีศาจดังสะท้อนก้องบนฟากฟ้าอีกครั้ง

“หลบ...ก้มลง” พจน์สังเกตยินก็ร้องเตือน

ไม่ทันการ ฝูงกินรีปีศาจกอปรด้วยเจ็ดตนกางปีกบินโฉบไล่ลามตามติดหลัง ปักษาวายุภักษ์ตั้งหลักแล้วพลิกหันเผชิญหน้า บริกรรมคาถากลายร่างเป็นนกยักษ์ทันที สยายปีกใหญ่โตโผผินเข้าขันสู้ กินรีปีศาจฉีกเขี้ยวแหลมคม ขยุ้มอุ้งเล็บพุ่งผ่านม่านหมอกขาว เจ้ารณพาน้าวสะบัดปีกใส่ มันเสียหลักเซถลาชนต้นไทรริมถนน นกปักษาส่งเสียงข่มกึกก้อง พ่นไฟจากจะงอยปากเข้าล้างผลาญ พวกหมู่มารร่ายเวทเกราะป้องกัน

“นั่นมันตัวอะไร มันเป็นตัวบ้าอะไร” ชาวบ้านคนหนึ่งร้องเสียขวัญ ทำหน้าสยดสยอง

แล้ววินาทีนั้นกินรีปีศาจทั้งเจ็ดตนจึ่งรวมพลังตั้งหลักร่วมผนึกพุ่งเข้าจัดการนกปักษาจากทุกทิศทาง มันลากลอยเข้าสู่กลุ่มม่านหมอกเหนือท้องนภา เปลวไฟสาดแสงอยู่บนผืนฟ้าราวกับมีการจุดพลุดอกไม้ไฟ ทันใดนั้นกินรีปีศาจร่างหนึ่งก็ล่วงลงกระแทกพื้นดังสนั่น มันแน่นิ่งแล้วสลายเป็นควันดำ

ลูกไฟระเบิดจากปากนกรณพาพุ่งเข้าหากินรีปีศาจผู้ยังคงภักดี แสงสว่างลุกท่วมกายครึ่งนกปีศาจ ลุกโชนแผดไหม้จนสิ้นซาก บางตนกรีดปากท่องมนตร์หลบหลีกหนีทัน

“คุณเจ็บหรือเปล่าครับ”

“แค่นี้เอง ข้าเคยเจอมามากกว่านี้ มหาบุรุษ อย่าได้เป็นกังวล” นกปักษาบอก
 
“ถึงแล้วครับ” ชาญณรงค์ร้องแจ้ง เศษกำแพงรั้วพังล้มเป็นแนวยาว ประตูเหล็กดัดสีฟ้าเก่าขึ้นสนิมตะแคงฟาดอยู่กลางถนน
ความคิดแรกที่พจน์คาดหวังไว้คือ เรือดำน้ำคงได้รับความเสียหายจากการพังทลายของอาคารต่อเรืออย่างแน่นอน และบางทีอาจเสียหายจนยากเกินกว่าจะทำการขับเคลื่อน จนกระทั่งจ้องผ่านฝุ่นละออง จึงเห็นว่าอาคารอู่ต่อเรือยังหยัดยืนมั่นคงเช่นเดิม ชาญณรงค์วิ่งนำทุกคนกระโดดข้ามซากกำแพงอิฐตรงเข้าสู่ตัวอาคารอู่
 
ชาญณรงค์ ภพดนัย ธนพล และเพื่อนๆของพจน์ช่วยกันเปิดประตูโรงต่อเรือจนสำเร็จ แผ่นดินด้านหลังห่างจากพจน์และคุณปู่วิ่งอยู่ไม่กี่เมตรระเบิดตูมสนั่น เศษดิน และซากอะไหล่เหล็กพุ่งกระเด็น แรงระเบิดอัดพจน์ล้มลง คุณปู่นอนกองอยู่ด้านข้าง เสียงหวีดร้องของดาว ป้าแจ่ม และส้มแหวกผ่านอากาศอื้ออึงอยู่ชั่วขณะ พจน์เกือบจะสูญเสียประสาทการได้ยินจนกระทั่งหูทั้งสองเริ่มรับรู้ถึงเสียงวุ่นวาย

“คุณปู่ครับ คุณปู่...”

“ไม่ ไม่เป็นไร ตาพจน์” เด็กหนุ่มเหลียวหลังมองตรงจุดแผ่นดินถูกแรงระเบิด ควันดำเริ่มจืดจาง นางอัปสราเหยียดกายยืนขึ้น ไร้รอยบาดแผลใดๆ นกปักษาเสกลูกไฟบริสุทธิ์ดวงมหึมาจากฟากฟ้าสาดใส่ ณ จุดสำคัญ นางปีศาจเสกเพลิงมนตราเข้าสกัด เจ้ารณพาโหมพระเวทปราการแก้วครอบนางไว้ นางสาดส่งพลังทุกบทต้านอำนาจครอบคลุม

“มหาบุรุษ โปรดฟังข้า ท่านจักต้องเร่งขึ้นเรือดำน้ำหนีรอด ครั้นเหยียบพื้นมหาพิภพแล้วทอดเดินทางสู่อาณาจักรสุวรรณนครา พวกท่านจักปลอดภัย แลจงเริ่มต้นชีวิตใหม่ ณ ที่แห่งนั้น” เจ้าปักษาวายุภักษ์หันซ้ายขวาระวังภัย

“คุณมีอะไรหรือเปล่าครับ รณพา คุณกังวลบางสิ่งใช่ไหมครับ บอกผมมาเถอะ”

“ข้าพระองค์...สิ้นระแวงสงสัยในรักหว่างท่านแลมาตะราชบุตรแล้ว บัดนี้หามีผู้ใดคู่ควรเหมาะสมเสมอเท่าคนผู้นั้นไปได้ อภัยเถิด ไม่มีชัยชนะใดไม่แลกมาด้วยความเสียสละ รักมีทั้งคุณแลโทษ มหาสงครามครานี้ริเริ่มด้วยรักเป็นเหตุ แต่กลับยุติลงเพราะรักดุจเดียวกัน เมตตารับผลึกความทรงจำของสินะกาวีท่าน เก็บรักษาไว้เถิดเจ้า”

นกปักษาวายุภักษ์จับผลึกดำใส่มือพจน์
 
“ข้ามาเพื่อคุ้มครองท่านตราบลมหายใจสุดท้าย บัดนี้ถึงเพลาแล้ว”

แล้ววินาทีนั้นเอง ช่างรวดเร็วเหลือเกิน ปราการครอบคลุมนางอัปสราไว้แตกระเบิด นางปีศาจเหินลอยสู่อากาศ พ่นคำสาปมนตราสังหารดวงใหญ่มหึมา ปกคลุมด้วยเปลวเพลิงมอดไหม้พุ่งตรงมายังพจน์ เจ้าปักษาสัมผัสพลังชั่วร้ายก็เนรมิตกายให้ใหญ่โตเป็นนกยักษ์บินเข้าต่อสู้ แต่พลังมนตราพุ่งแหวกอากาศรวดเร็วเกินกว่านกผู้พิทักษ์จะเสกปราการคุ้มกันได้ทัน มันตรงดิ่งฉีกกระชากนกยักษ์ บังเกิดรัศมีเปล่งแสงรอบร่างแปลงนั้นเพียงเศษเสี้ยว แล้วทลายแตกแยกร่างปักษาวายุภักษ์ รณพานุรักษ์ผู้พิทักษ์มหาบุรุษสูญสิ้นในทันที
 
เจ้าภัทระไม่อยากเชื่อในนัยนาพาเห็น เขาร้องคำว่าไม่อย่างไร้สุ้มเสียง

“เจ็บปวดสินะ” นางอัปสรากรีดเสียงขัน “สหายปักษาผู้อ่อนแอของเจ้าต้องดับสิ้นลง มันไม่คู่ควรจะต่อกรกับข้าผู้เก่งกล้าสามารถยิ่งกว่าสมุนเทพ เจ้านกนั่นไร้ฝีมืออย่างที่สุด มันเป็นเพียงแค่ทหารปลายแถวที่ริอ่านต่อกรกับพลังอำนาจแห่งความมืดที่ทรงพลังที่สุดจากข้าเท่านั้น”

“อย่าได้...ดูถูก เขา เด็ดขาด” พจน์กัดฟัน เจ็บลึก นางอัปสราลอยอยู่เหนือหลุมขนาดใหญ่

“มหาเทพทรงชุบเลี้ยงขุนศึกผู้อ่อนด้อยฝีมือถึงเพียงนี้เจียวหรือ ฮ่าๆ มันขี้ขลาดแลหวาดกลัวข้า สิ่งเดียวที่มันทำได้ดีก็คือ การบินไปบินมารอบๆเจ้าเท่านั้น”

“เขา-ไม่- ได้- ขี้ขลาด” ปักษาวายุภักษ์ไม่ได้เป็นอย่างที่นางอัปสราพูด พวกมันทั้งหมดนั่นแหละที่ขี้ขลาด และพวกมันจะต้องชดใช้ แสงสว่างสีขาวเปล่งประกายจากบริเวณหน้าผากภัทรพจน์

“เขา - ไม่ - ได้ - หวาดกลัว - แก” หมอกควันทั้งหมดพุ่งเข้าหามหาบุรุษประดุจศูนย์กลางแรงพายุ แล้วฉับพลันคลื่นพลังมหาศาลก็แผ่ระเบิด นางอัปสรายังมิทันได้ร่ายมนตราป้องกันก็ถูกแรงปะทะอันมหาศาล กระทบกระแทกปลิวไถลจนลับตา
พจน์ทรุดเข่าแทบหมดเรี่ยวแรง ขณะแสงสว่างดับวูบ ศาสตราจารย์วิชัยกระชับพยุงแขนหลานชาย เห็นบางสิ่งคลับคล้ายเพชรปรากฏเหนือหน้าผากพจน์ก่อนเลือนหาย ปาล์มกับภามภพวิ่งเข้าช่วยเจ้าหนุ่มหน้าสวย อาคารอู่ต่อเรือเริ่มสั่นไหวเกินทานทน เรือดำน้ำลำยาวแต่ก็เล็กกว่าปกติถูกขึงตึงอยู่เหนือแท่นก่อสร้าง

“เดี๋ยวผมจะเป็นคนปลดโซ่ดึงเรือเอง” ลุงชมยืนเคียงกับป้าแจ่ม

“อุปกรณ์เปิดพร้อมแล้วครับ” ชาญณรงค์โผล่หน้าจากประตูทางเข้าตะโกนบอกแทบไม่หายใจ ศาสตราจารย์วิชัยจึงให้ภพดนัยปีนลงทางปล่องประตูด้านบน ตามด้วยดาวกับส้ม ปาล์มพยุงพจน์พร้อมภามภพ เศษกระเบื้องหลังคาเริ่มร่วงหล่นลงมา สุนิสาช่วยไอ้ต่อ ไอ้กี ไอ้โบทดันไอ้น้ำ ติดตามด้วยศาสตราจารย์วิชัย ส่วนพวกไอ้เอก ไอ้เพรียว ไอ้นาย ไอ้รัก ยืนนิ่งอยู่เหนือฐานต่อเรือเหมือนรอคอยบางอย่าง
 
อกแม่พระธรณีดูไม่อาจต้านแรงสั่นสะเทือนเช่นนี้ได้ยืนนาน แผ่นดินทุกผืนแทบจะร้องครวญทรมานเจ็บปวด ความพินาศย่อยยับทั้งหลายคงจะสิ้นสุดอีกในไม่กี่นาที  เมื่อคลื่นยักษ์บุกถล่มเป็นการปิดท้ายมหาภัยพิบัติ เฉกเช่นน้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลรินทั่วทั้งพิภพโลกา

“พลปีนขึ้นไปก่อนค่ะ” สุนิสาเร่งเร้าชายหนุ่ม

“สาก่อนเถอะ” ธนพลเสนอ

“เชื่อสาบ้างสิคะ พล” สุนิสาพูดเสียงดังน้ำตาเริ่มไหลซึม “สาปีนไม่ไหวหรอกค่ะ พลขึ้นก่อนแล้วช่วยดึงสากับพวกเด็กๆอีกที” ธนพลไม่มีทางเลือกเมื่อทุกวินาทีมีค่ายิ่งกว่าทองคำ เขาปีนป่ายยึดจับโครงเหล็กสำหรับเกาะเกี่ยวไว้ แล้วยื่นแขนให้ชาญณรงค์ มืออีกข้างไขว่คว้าแขนสุนิสา เธอถูกดึงตาม ธนพลเลื่อนตนเองลงทางประตูทางเข้าค่อยๆดึงมือสุนิสา กลิ่นน้ำทะเลแทรกอากาศและหมอกสีขาวปลิวลอยปะทะจมูก เสียงหวีดร้องของผู้คนดังระงม ประชาชนจำนวนมากล้มลุกคุกคลานหลีกหนีบางสิ่ง แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นทุกวินาที

“ตอนนี้แหละ” สุนิสาตะโกนบอกลุงชมและป้าแจ่ม เรือดำน้ำถูกปลดจากเครื่องดึงลอยตัว กระแทกลงสู่ท้องน้ำเบื้องล่างทันที หญิงสาวสะบัดนิ้วหลุดเลื่อนออกจากกำมือของธนพล ถอยออกห่างจากช่องทางออกแม่น้ำเจ้าพระยา ไอ้ต่อกดปุ่มสีแดงบนผนังข้างประตูอู่เรือทันที ไอ้กี ไอ้โบท ไอ้เอกกระโจนไปยังจุดซึ่งประตูจะเปิดออก พวกมันดันเปิดให้เร็วขึ้น

“พวกมึงจะทำอะไร ขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ป้าแจ่ม ลุงชม” ภัทรพจน์มองผ่านกระจกด้านข้างเรือดำน้ำเห็นเหตุดั่งนั้นก็พยายามปีนป่ายออกประตูทางเข้า

“สา จะทำอะไรน่ะ” ธนพลตื่นตกใจเช่นกัน

“ปิดประตูซะ พล พจน์” หญิงสาวยืนนิ่ง มีกลุ่มเพื่อนของพจน์อยู่เบื้องหลัง เสียงสายน้ำกระทบสิ่งกีดขวางดังแว่วหวีดร้อง

“ลาก่อน พล” สุนิสาโบกมือพร้อมกับร้องไห้

“ลาก่อน ไอ้พจน์” พวกมันทั้งเจ็ดผสานคำบอกลาสุดท้าย

“ไม่นะ สา”

“ฉันรักคุณค่ะ”

กลิ่นน้ำทะเลพุ่งผ่านอากาศ อกพระแม่ธรณีสุดจะต้านทาน กลุ่มหมอกปลิวผสาน คลื่นยักษ์ไหลกระหน่ำซ่านกระทบทางทิศตะวันออกของผนังอาคารจนเศษกระเบื้องปลิวกระจาย มันโถมซัดใส่ร่างสุนิสา ต่อ โบท เอก กี นาย เพรียว รัก ทุกคนยิ้มเป็นครั้งสุดท้าย และรอยยิ้มนั้นพจน์คงจะไม่มีวันได้เห็นอีกตลอดกาล


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3503124#msg3503124)

เพจนิยาย (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)


________________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

ขออนุญาตลงแบบต่อเนื่องเพื่อมิให้ขาดตอนนะครับ สารภาพเนื่องจากตอนนี้ผมได้เขียนจบแล้ว เหลือขัดเกลาภาษาอีกเล็กน้อย ถ้าอีกสองตอนที่เหลือตรวจทานเป็นที่พอใจแล้วก็คงจะได้อ่านเร็วๆนี้เช่นกันครับ

สุดท้ายก็มาต่อ  มันจบลงรึยัง  รึว่ามันยังไม่จบ  สิ่งที่คาดไว้ก็เกินคาดไปมากอยู่  สิ่งที่อยากรู้ก็ได้รู้  แล้วผู้ถือครองมีสะตาเหมือนกันแต่ต่างกันที่คนหนึ่งมีความแค้นในความเข้าใจผิด  กับอีกคนไม่มีความแค้น  ซึ้งมันเป็นเส้นขนาดแล้วสุดท้ายก็มาบรรจบกันในตอนนี้  รออีกสามตอนที่เหลือว่าจะมีอะไรเซอร์ไฟส์รึเปล่า
ดีใจที่คลายข้อสงสัยในใจคุณหลายๆอย่างได้ในช่วงสุดท้ายนี้ ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเซอร์ไพรส์อีกหรือเปล่า แต่ถ้าไม่...ก็ถือว่าเป็นการขมวดสรุปเรื่องที่ผมจะสามารถทำได้แล้วกันครับ

สุดท้ายจอมมารก็ตายไปแล้ว ทีนี้ก็โลกทั้งสองสินะ ที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแน่ๆ เพราะผลกระทบนี้ไม่ว่าจะดี หรือ เลวร้ายลง สนุกมากจริงๆค่ะ
ความชั่วร้ายสูญสิ้นลงแล้ว มาติดตามว่าบทสรุปเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร เหลืออีกสองบทเท่านั้น เศร้าจังเลย ฮือๆ

o13
:pig4:

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๔ มหาภัยพิบัติ ๑๐๐% (๒๘/๑๐/๕๙) หน้า ๑๔ [สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 28-10-2016 11:35:55
เห..... ทำไมสากับเพื้อนพจน์ถึงไม่รีบปีนขึ้นไปอ่าาา เศร้าาา
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๔ มหาภัยพิบัติ ๑๐๐% (๒๘/๑๐/๕๙) หน้า ๑๔ [สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 28-10-2016 15:30:27
มันคือการเสียสละ เพื่อก่อให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นสินะ รักนี้ทำให้เกิดได้ทุกอย่างจิงๆเนาะ

คำเล็กๆ แต่มีพลังมหาศาล ยากแท้หยั่งถึง เห้อ!!
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๔ มหาภัยพิบัติ ๑๐๐% (๒๘/๑๐/๕๙) หน้า ๑๔ [สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 29-10-2016 07:38:38
อืม การเสียสะละที่ยิ่งใหญ่สินะ  ถึงอย่างไรก็เสียใจด้วยกันทั้งสองฝ่ายอยู่ดี  รออีกสองตอนที่เหลือครับ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๔ มหาภัยพิบัติ ๑๐๐% (๒๘/๑๐/๕๙) หน้า ๑๔ [สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 29-10-2016 18:36:22
 :sad4: :a5: o22
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๔ มหาภัยพิบัติ ๑๐๐% (๒๘/๑๐/๕๙) หน้า ๑๔ [สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 29-10-2016 19:49:57
ทำไมไม่ขึ้นเรือไปด้วยกัน  ทำไมต้องมาเห็นภาพคนที่เรารักจากไปเช่นนี้ และทำไมต้องต้องเหลือคนที่รอดเท่านี้ละคับ
ขอโทษที่ถามนะคับ....แต่มันค้างคาใจผมเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๕ สินะกาวี ๑๐๐% (๓๑/๑๐/๕๙) หน้า ๑๔ [สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 31-10-2016 10:10:12
บทที่ ๔๕



สินะกาวี



ศาสตราจารย์วิชัยรีบคว้าตัวธนพลลงมา ตะโกนบอกให้ชาญณรงค์ใช้ระบบกลไกปิดช่องประตูทางเข้าได้ทันท่วงที

“คุณพ่ออย่าครับ” ธนพลล้มลงกลิ้งชนพื้นเรือ “สา...สายังไม่ได้เข้ามา...”

“เปิดถังบัลลาสต์เดี๋ยวนี้” คุณปู่ตะโกน

“ครับ” ชาญณรงค์ร้องตอบรับ

แรงดันน้ำทะเลปริมาณมหาศาลสาดซัดใส่เรือดำน้ำจนพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด มนตราครอบคลุมอาคารโรงต่อเรือเสื่อมสลายลง ส่งผลให้สิ่งก่อสร้างทั้งหมดพังถล่มทลายเมื่อคลื่นยักษ์ไหลบ่าฉีกทึ้งทำลายล้าง พาหนะสำหรับเคลื่อนที่ใต้ผืนน้ำพุ่งพรวดผ่านประตูที่เปิดค้างเอาไว้ราวกับกระสุนปืน จนชาญณรงค์ไม่สามารถบังคับอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆได้เลย เมื่ออำนาจแห่งคลื่นน้ำทรงพลังยิ่งกว่าแรงขับเคลื่อนของเครื่องจักรยนต์ ทุกคนไม่อาจยืนได้อย่างมั่นคง ถลาชนผนังของเรือดำน้ำอย่างไร้หนทางต้านทาน

“หาที่ยึดจับไว้ครับ” ชาญณรงค์ออกคำสั่ง
 
“ตาพจน์ พ่อดนัย เห็นสายคาดติดผนังเรือไหม” ศาสตราจารย์วิชัยบอก ตามผนังสีดำสนิทของลำเรือมีสายคาด คล้ายเข็มขัดนิรภัยสองเส้นต่อหนึ่งคน ผูกผนึกไว้เหนือเก้าอี้ พจน์บังคับสติให้อยู่กับตัวเอง เร่งปฏิบัติตามคำสั่ง ไฟเหนือเพดานเรือดวงเล็กกะพริบวูบ

“คุณภพดนัยต้องอาศัยช่วงเรือพลิกไปอีกด้านครับ แล้วใช้มือเอื้อมดึงสายรัดตัวทันที ได้ยินนะครับ เดี๋ยวผมจะลองบิดคันบังคับ ผมนับสามนะครับ” ชาญณรงค์อธิบายแผนการรวดเร็ว “หนึ่ง สอง สาม”

เรือดำน้ำหมุนควงดูราวกับเครื่องเล่นสวนสนุก แล้วจึงพลิกคว่ำไปอีกด้านหนึ่ง ทุกคนปล่อยมือจากสิ่งยึดจับพุ่งกระแทกเข้าผนังเรือ ดาวกับส้มหวีดร้องดังสนั่น

“จับไว้ คว้าให้ได้ครับ” ชาญณรงค์ตะโกนมาจากเก้าอี้หน้าเครื่องควบคุม

พจน์ฉวยจับสายคาดไว้ได้ ดาว ส้ม ภพดนัย เปรมณัฐ ภามภพต่างโชคดีที่ยังคว้าสายนิรภัยไว้ได้ทัน คุณปู่หิ้วโหนอยู่อีกสุดปลายด้านหนึ่ง ท่านจัดการดึงสายนั้นรัดตัวเองจนแน่น พจน์อาศัยจังหวะช่วงที่เรือดำน้ำยังคงทรงตัวนิ่งไม่พลิกคว่ำตะแคงแต่แล่นลิ่วดำดิ่งนำสายรัดคาดจากไหล่ด้านหนึ่งสู่เอว เสียบตะขอหัวเหล็กใส่ยังช่องเชื่อมต่อดึงรั้งจนแน่นสนิท ทุกคนเร่งรีบจัดการยึดตัวเองโดยไว

แต่ธนพลกลับปล่อยตนเองให้ถูกแรงกระแทกพาร่างกายชนผนังเรืออย่างไม่สนใจจะรักษาชีวิตตนเองแม้แต่น้อย ถึงสายเส้นนิรภัยจะห้อยแขวนอยู่เบื้องหน้าก็ไม่มีปฏิกิริยาอื่นใดนอกจากพร่ำพูดชื่อสุนิสาสุดแสนเวทนา

“ตาพล แกได้ยินพ่อหรือเปล่า พาตัวไปยังสายคาดนิรภัยเดี๋ยวนี้”

“ผมเองครับ” ไอ้ปาล์มอาสา เด็กหนุ่มอยู่ใกล้สุดเร่งรีบดึงสายรัดเหนือกายอาของพจน์
 
“ตอนนี้ทำได้แค่ปล่อยให้ไหลไปตามกระแสน้ำก่อนครับ” ชาญณรงค์ค่อยสบายใจ จอมอนิเตอร์จำนวนสี่เครื่องเบื้องหน้าฉายภาพได้ไม่ชัดเจนมากเท่าที่ควร ปุ่มบังคับหลากสีจำนวนมากอยู่เยื้องด้านขวามือ ตัวเลขดิจิทัลบนมาตรวัดเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจนไม่อาจรู้ถึงค่าอันแท้จริง เครื่องมือทั้งหมดทั้งสิ้นอยู่นอกเหนือการควบคุมของมนุษย์โดยสิ้นเชิง และไม่อาจประเมินผลได้ว่าสถานการณ์เช่นนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด
 
“ตรวจดูถังบัลลาสต์ พ่อณรงค์”

“ผมระบายอากาศออกแล้วครับ น้ำทะเลไหลเข้าจนเต็ม ผมป้อนคำสั่งปิดถังบัลลาสต์เรียบร้อยดีครับ” ชาญณรงค์มองแผงควบคุมด้านขวา ซึ่งใช้การได้เพียงบางส่วนเท่านั้น

“คุณพ่อคะ ดาวหายใจไม่ค่อยออก” “กูด้วย อะ...ไอ้พจน์” ไอ้น้ำก็มีอาการไม่ต่างกัน

“เครื่องทำก๊าซออกซิเจน” คุณปู่ร้อง

“จำนวนเปอร์เซ็นต์ออกซิเจนในอากาศลดลงจริงๆด้วยครับ ผมสั่งการเครื่องออกซิเจนเจนเนอเรเตอร์ไม่ได้เลย”อาการหายใจเริ่มติดขัด รู้สึกได้ถึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากลมหายใจลอยล่องในบรรยากาศด้วยปริมาณมากกว่าก๊าซอื่นใด
 
“เปิดเครื่องโซดาไลม์ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์” ศาสตราจารย์พบทางสว่าง

“ผมทำอะไรแผงควบคุมด้านซ้ายในตอนนี้ไม่ได้เลยครับ แต่ผมจะลองปล่อยอากาศจากถังบรรจุความดันอากาศสูงออกมาครับ น่าจะช่วยได้”

“ได้ๆ นั่นคงจะช่วยถ่วงเวลาได้จนกว่าจะสั่งการเครื่องทำออกซิเจนสำเร็จ” ศาสตราจารย์เห็นด้วย ชาญณรงค์จัดการปลดปล่อยอากาศที่ใช้สำหรับอัดเข้าไปในบัลลาสต์เพื่อพยุงให้เรือดำน้ำลอยตัวขึ้นออกมาในลำเรือ

“ตาพจน์ แกสบายดีนะ หายใจสะดวกหรือยัง” คุณปู่ตะโกนถาม

พจน์เริ่มรู้สึกหายใจดีขึ้นมากกว่าเดิม เพียงแค่ขาดก๊าซออกซิเจนสำหรับหายใจเพียงไม่กี่วินาทีคงเทียบกันไม่ได้เลยกับทุกสรรพชีวิตบนโลกนี้ที่แม้แต่วินาทีเดียวก็ไม่อาจทนฉุดรั้งลมหายใจสุดท้ายเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ไว้ได้


ครืนครืนครืนถาโถมโครมคลื่นยักษ์
ดุจไม้ปักเลนล่มเอนผวา
ราพณาสูรหักลงในพริบตา
ตึกเรือนพาพินาศกระเด็นไกล

ลอยหนอลอยล่องซบทบกระแทก
น้ำเย็นแทรกคร่าชีวิตทิศทางไหน
เคราะห์กรรมซัดซ้ำซ้อนช้อนกายไป
แผ่นดินไหวหวังเพียงยุติลง

แต่ทุกข์ใหญ่ยิ่งกว่ามหาสมุทร
แสนสาหัสแสนสุดแสนพลัดหลง
กวาดพัดพาบาดาลเช่นเดิมคง
วิปโยคอนาถปลงเจ้าดวงใจ

“ความดันอากาศภายในเรือลดต่ำลงครับ ถังบรรจุความดันลดปริมาณลงมากจนไม่สามารถปล่อยออกมาปรับระดับได้ทัน ผมต้องพยายามบังคับเรือให้ลอยสูงขึ้น” ชาญณรงค์สังเกตแรงสั่นรอบเรือดำน้ำแล้วรีบรายงาน

“พ่อณรงค์เริ่มบังคับเรือได้แล้วใช่ไหม ช่วยรักษาระดับความดันให้คืนสู่ระดับปกติ ไม่เช่นนั้นเรือดำน้ำคงจะระเบิดแตกออกแน่” ศาสตราจารย์วิชัยบอกอย่างเป็นห่วง

“ยากครับ ผมทำอะไรไม่ได้เลย หากควบคุมให้ปีกไฮโดรเพลนปรับระดับให้เรือลอยขึ้น ผมเกรงว่าปีกจะต้านทานแรงดันไม่ไหวครับ กระแสน้ำรุนแรงเกินไป แต่ผมจะลองใช้พลังงานแบตเตอรี่ส่วนสำรองเพิ่มระดับความดันภายในเรือให้สูงขึ้นอีกครับ” ชาญณรงค์ก้มพิมพ์คำสั่งใส่เครื่องคอมพิวเตอร์ตรงหน้า
 
“เราจำเป็นต้องเปิดเครื่องยนต์ใบพัดหมายเลขสามอีกตัวครับ เพื่อให้เกิดแรงขับเคลื่อนที่จะส่งผลไปสู่ระบบปรับแรงดันอีกต่อหนึ่ง” เสียงโกร่งกร่างของเครื่องยนต์กลไกดังตามคำสั่งการของชาญณรงค์ แว่วผ่านผนังเรือมาจากสุดด้านท้ายของพาหนะดำน้ำ ขณะชาญณรงค์บังคับเรือไม่ให้พลิกคว่ำซ้ำสอง เขาก็ร้องบอกทุกคนด้วยความยินดีว่าสามารถปรับระดับความดันภายในเรือได้สำเร็จ

“ผมว่าเราควรเปิดเครื่องยนต์ใบพัดตัวที่สองนะครับ อาจารย์”

“เครื่องยนต์จะรับไหวหรือ พ่อณรงค์”

“ผมจำเป็นต้องใช้พลังขับเคลื่อนที่แรงกว่านี้ครับ เพื่อต้านทานแรงดันน้ำ” ศาสตราจารย์วิชัยใช้สมองวิเคราะห์และเห็นด้วยกับความคิดของผู้ช่วยหนุ่ม

ซากตึกสำนักงานตั้งตระหง่านด้วยรากฐานอันมั่นคง เสาอาคารเพียงครึ่งเดียวยืนต้านทานพลังน้ำปรากฏอยู่เบื้องหน้าเมื่อเศษซากฝุ่นละอองจากอิฐปูนกระจัดกระจายทั่วท้องน้ำนั้นเลือนหาย แสงไฟจากเรือดำน้ำทั้งสามดวงสาดส่องภาพตรงหน้าซึ่งสายน้ำไหลหลากเร็วรี่ตรงสู่ทางช่องซากตึกนั้น สีน้ำเงินเจือจางของน้ำทะเลค่อยๆลดความเข้มลงเผยให้เห็นอันตรายแห่งภัยธรรมชาติฉุดกระชากเรือดำน้ำให้พุ่งเข้าสู่หลุมมัจจุราช

“พ่อณรงค์”

ชาญณรงค์เบิกตากว้างราวกับสิ้นสติ และด้วยความว่องไวเช่นเดียวกัน เขารีบกดปุ่มสั่งการเปิดเครื่องยนต์ใบพัดหมายเลขสาม เหวี่ยงคันบังคับมาทางขวาสุดปลายแขน เรือดำน้ำพลิกตัวสู่ทางด้านขวาทันที ปลาหลายตัวปล่อยให้แรงไหลหลากของน้ำทะเลพาพุ่งเข้าสู่ช่องน้ำนั้น แทรกผ่านสิ่งกีดขวางนานาชนิดด้วยความเร็วและรุนแรงสุดต้านทาน

“คุณชาญณรงค์ ระวังครับ” ภพดนัยเตือน ทางด้านขวาจากภาพบนจอมอนิเตอร์ เผยให้เห็นซากปรักหักพักสูงใหญ่มหึมาค่อยๆปรากฏขึ้น ชาญณรงค์บิดคันบังคับมาอีกสุดปลายด้านหนึ่ง หลบหลีกภยันตรายนั้นได้อย่างหวุดหวิด เศษกรวดหินเหวี่ยงพัดกระจัดกระจายซัดผนังเรือดังโครมคราม ท่อนไม้หักโคนขนาดยักษ์จำนวนมากซัดกระแทกใส่ซากตึกพังทลายไล่ด้านหลังเรือดำน้ำมา อีกท่อนหนึ่งเฉียดผนังเรือดำน้ำด้านกราบขวาพุ่งโหมกระหน่ำเข้าใส่เสาตึกมหึมาแตกหักเป็นสองท่อน
 
“แย่แล้วครับ ซากต้นไม้...”

โครม!!!

เรือดำน้ำสั่นสะท้านเหมือนหนึ่งมีมือยักษ์เขย่าด้วยพละกำลังมหาศาล พจน์ ภามภพ เปรมณัฐกระเด็นออกไปด้านหน้าแต่โชคดีที่สายคาดรัดนิรภัยทำงานได้ดี พาหนะช่วยชีวิตพุ่งเร็วรี่ตามกระแสน้ำมากยิ่งขึ้น
 
“เกิดอะไรขึ้น พ่อณรงค์” ศาสตราจารย์วิชัยชะเง้อคอมองทุกสิ่งรอบตัวเรือจนหยุดอยู่ ณ ด้านหลังเก้าอี้ควบคุมของชาญณรงค์

“เครื่องยนต์ใบพัดตัวที่สามถูกซากต้นไม้กระแทกหลุดออกจากตัวเรือครับ” ชาญณรงค์พูดด้วยสีหน้าเจ็บปวด เรือดำน้ำถูกพัดเอียงไปด้านขวา เหมือนขาดความสมดุลของการทรงตัวเมื่อเครื่องยนต์หนึ่งในสามสูญหายอย่างไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้ไม่ว่าจะพยายามเช่นไรก็ตาม

“เปิดเครื่องยนต์หมายเลขหนึ่ง เพื่อพยุงเรือต่อ” ศาสตราจารย์วิชัยตัดสินใจ ชาญณรงค์พยักหน้ารับ เรือดำน้ำยังคงถูกเศษอิฐหินกระแทกใส่ไม่หยุดหย่อน

“ทุกสิ่งปลิวกระจายเต็มไปหมดเลยครับ ยากจะรู้ว่าเศษซากสิ่งใดจะพุ่งมายังเรือดำน้ำตอนไหน” ชายหนุ่มรายงานสถานการณ์จากภาพหน้าจอให้ทุกคนได้รับรู้ ซากกิ่งไม้ลอยปลิวเพราะแรงเหวี่ยงของพายุหมุนใต้ผืนน้ำ

ทุกสิ่งปลิวกระจาย ดูจะเป็นคำพูดอธิบายสถานการณ์รอบตัวให้เห็นภาพได้น้อยเกินไป แท้จริงแล้ว โลกทั้งพิภพนี้ต่างหากที่กำลังถูกกระแสน้ำมหาสมุทรแปซิฟิกพัดสรรพชีวิตปลิวกระจัดกระจายทั้งหมดอย่างไร้ความปรานี พจน์เพ่งมองหายนะภัยผ่านกระจกกรอบวงกลมเพื่อจะได้เห็นความพินาศที่มนุษย์ทุกชีวิตไม่สมควรได้รับ จากนี้จะไม่มีใครเห็นผืนดินทุกทวีป จากนี้ดาวเคราะห์โลกจะมีเพียงทวีปเดียว
 
“พวกเราต้องรอด” พจน์เหลียวมองเสี้ยวหน้าคุณปู่ ความหนาวเย็นเริ่มแทรกซึมสู่บรรยากาศภายในเรือ

“แกต้องบังคับเรือให้ได้โดยเร็ว พ่อณรงค์ พวกเราทั้งหมดจะต้องมีชีวิตรอด”

“ครับ ผมจะพยายาม ตอนนี้กระแสน้ำไหลด้วยความเร็วลดลงบ้างแล้ว”

ชาญณรงค์กดปุ่มบนแผงอุปกรณ์ควบคุมตรงหน้าให้เปิดระบบปฏิบัติการโดยพร้อมเพรียงกันทันที ไฟสีแดง เขียว เหลือง กะพริบสว่างวาบตามสัญญาณและกลไกทำงาน เครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนสามตัวติดตั้งอยู่กับแผงควบคุมไว้อย่างแน่นหนาพร้อมใช้งานและรอคำสั่ง
 
“แผงควบคุมด้านซ้ายเริ่มใช้การได้แล้วครับ”

แต่เรือดำน้ำยังคงถูกแรงดันพุ่งกระแทกสู่เบื้องหน้าหลบหลีกทุกอย่างได้เฉียดฉิว หวุดหวิดชนซากปรักหักพังกองมหึมามากมายด้วยเพราะฝีมือการบังคับบัญชาเรือดำน้ำของชาญณรงค์ที่ควบคุมกลไกเครื่องยนต์ได้ดียิ่ง ซากตึกส่วนหนึ่งยืนหยัดต้านทานแรงซัดกระแทกของน้ำทะเลได้อย่างน่าทึ่งในฝีมือของวิศวกร บ้างถล่มลงกองเป็นภูเขาเหล่ากากีดขวางสร้างอุปสรรคแก่การเคลื่อนที่ของเรือดำน้ำในบางจุด แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีที่แผงควบคุมเรือกลับมาอยู่ภายใต้การดูแลของมนุษย์ได้ในที่สุด

ชาญณรงค์บังคับเครื่องมือโฮโดรเพลนและคันบังคับเพื่อค่อยๆหมุนลำเรือเข้าต้านทานกระแสน้ำเมื่อรู้สึกได้ว่าลดระดับความรุนแรงลงบ้างแล้ว

“แบบนี้จะทำให้เราเห็นได้ชัดเจนครับว่าจะมีสิ่งใดพุ่งตรงมาหาบ้าง” ชาญณรงค์พูด “ผมจำเป็นต้องเร่งเครื่องยนต์ทั้งสองให้อยู่ในระดับสูงสุดเช่นนี้ไปจนกว่ากระแสน้ำจะลดความแรงลงมากกว่านี้ แต่ผมคิดว่าพลังงานดีเซลและพลังงานแบตเตอรี่สำรองคงจะเพียงพอครับ”

“ตาพจน์ แกไม่บาดเจ็บมากใช่ไหม” คุณปู่ถาม

“ครับ” พจน์ตอบ “ถ้าผมไม่มีตัวตนตั้งแต่แรก ทุกคนก็คงไม่ต้องเจอกับเหตุภัยพิบัติครั้งนี้ เพราะผมคนเดียว ความผิดของผมคนเดียว” เด็กหนุ่มตะโกนเสียงดัง เศษอิฐปูนสีทองพร้อมกระเบื้องหลากสีปรากฏบนจอภาพ วัดวาอารามถล่มทลายลงราบคาบ กรุงเทพมหานครย่อยยับเกินคำบรรยาย

“ความตายเป็นสิ่งธรรมชาติแห่งการมีชีวิต ปลายทางสุดท้ายของทุกชีวิตคือความตาย เราทุกคนดำเนินอยู่เพื่อเดินไปสู่สุดปลายทางนั้น บางคนเดินจากไปอย่างเจ็บปวดสุดแสนทรมาน บ้างดิ้นรนสุดหนทางเพื่อหลีกหนี แต่สุดท้ายก็มิอาจเปลี่ยนไปเดินในช่องทางอื่นได้ ในทางตรงกันข้ามมีบางคนเคลื่อนสู่ปลายทางนั้นด้วยความกล้าหาญยิ่ง เขาจากไปเพียงสังขาร แต่จิตวิญญาณแห่งความดีงามจะยังคงอยู่ตราบนานเท่านาน พวกเขาจะไม่มีวันเลือนหายไปจากใจเรา เมื่อความตายหาใช่ศัตรูคู่อาฆาต แต่เป็นมิตรแท้ของทุกชีวิต เมื่อไรเรากลัวมิตรแท้ เราก็จะไม่สามารถดำรงชีวิตอย่างสงบสุขและกล้าหาญต่อไปได้

“ปู่ไม่รู้ว่าทำไมเพื่อนของแก หนูสา แม่แจ่ม ตาชม ถึงคิดตัดสินใจแบบนั้นทั้งที่มีทางเลือก แต่เสี้ยววินาทีเป็นตาย พวกเขาคิดตรงกันอย่างหนึ่ง...เสียสละ” ธนพลปล่อยเสียงโฮเช่นเดียวกับไอ้น้ำ “เลือกที่จะช่วยปลดโซ่ล่ามเรือดำน้ำ เลือกที่จะคุ้มครองพวกเรา เลือกที่จะตายไปพร้อมทุกสรรพชีวิตและครอบครัว เลือกที่จะรับของขวัญจากมิตรแท้อย่างองอาจ เป็นความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของคนคนหนึ่งจะพึงมีได้”

“สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดสูญเปล่าอย่างนั้นหรือครับ คุณพ่อ” ภพดนัยถามเสียงสั่น

เปล่า ไม่ใช่ หายนะภัยเกิดขึ้นวันนี้ถูกต้องแล้ว พจน์รำพันในใจ ศาสตราจารย์วิชัยทำได้เพียงท่องกลอนทำนายช่วงเวลามหาภัยพิบัติอีกครั้งให้บุตรชายคนโตฟัง

“คราตะวันเลื่อนเคลื่อนผ่าน” มาตะโจนทะยานพร้อมดาบเทวา

“สุริยจักรวาลผันผวน” พจน์ผู้เปรียบดั่งส่วนเสี้ยวสุริยะในใจมาตะถลาโถมเข้าหาจอมปีศาจ

“บังเกิดหมู่ดาวเคราะห์เรียงรวน” วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือนอ้าย ล้วนนับตามจันทรคติเปลี่ยนผ่าน

“เป็นดั่งทวนอัศวาราตรีกาล” คือ ดาบกนกกาญจน์ราญอริราช

วินาทีจอมมารดับสูญ จตุรเหตุเกิดพร้อมสมบูรณ์โดยมิได้นัดหมายสมวาจาสัตย์แห่งพระมหาเทพ

พจน์ไม่อาจเอ่ยคำพูดใดเพื่อปฏิเสธว่าทุกคนยังมีตัวตนอยู่ ก้มพิจารณาผลึกสีนิลของไอ้กัน สินะกาวี หยดน้ำตาไหลกระทบก่อนจะบังเกิดกลุ่มควันดำมหาศาลปกคลุมภายในเรือดำน้ำ ชักนำความทรงจำของเจ้าปีศาจหนุ่มลำดับเรียงฉายชัด


มีต่อด้านล่าง

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๕ สินะกาวี ๑๐๐% (๓๑/๑๐/๕๙) หน้า ๑๔ [สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 31-10-2016 10:33:03
[ต่อ]



เรือนฝากระดานมุงจากหลังหนึ่งไม่ใหญ่หรือเล็กนัก สมฐานะครอบครัวพราหมณ์ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคันธามาส แวดล้อมด้วยไพรพฤกษาสลับแซมบ้านเรือนก่อเป็นแหล่งชุมนุมชนย่านชานกรุงอนันตาทมิฬ ริมแม่คงคานั้นมีกุมารชันษาเจ็ดขวบรวมตัวละเล่นไขปริศนากะประมาณสิบคน หนึ่งในนั้นเป็นบุตรโทนแห่งพราหมณ์ผู้ทรงภูมิเลื่องลือนามว่า สินะ กุมารสินะ มีรูปโฉมน่าเอ็นดูแลสายตาคมดุเป็นที่ยำเกรงแก่หมู่เพื่อนพ้อง เด็กชายทั้งนั้นจึ่งยกเป็นหัวโจก แต่จะมียำเกรงโดยทั้งหมดนั้นยังมิถูก ด้วยมีบุตรเศรษฐีมั่งมีฐานะอีกคน นาม กาวี เป็นคู่อริต่อกันมานานโข เนื่องกุมารสินะเปี่ยมปัญญาหลักแหลมจึ่งเป็นที่อิจฉาริษยาแก่กาวีกุมาร ครั้นวันนี้บังเกิดละเล่นไขปริศนา กาวีกุมารก็พ่ายแพ้อับจนปัญญาทุกทีไป จึ่งยกใจแค้นถามปัญหาแก่สินะคู่อริทิ้งท้ายว่า

“ไอ้สินะเอ๋ย จงฟังปริศนาให้ดีเถิด ใครผู้ครองทรัพย์ ใครผู้รับนารี ใครผู้มีฤทธี ใครผู้อยู่ดีกินดี คือใครเล่า” กาวีกุมารตั้งปัญหาข้อท้าย

สินะกุมาร เป็นผู้สืบเชื้อสายมาแต่บรรพบุรุษแห่งการพยากรณ์ ความสามารถประจำเผ่าพงศ์บรรจบครบกัป หนึ่งถึงจักปรากฏให้เห็น นับครบที่กุมารท่านนี้ จึ่งมีปัญญาแลเห็นเหตุการณ์ภายภาคหน้าประดุจประสบเห็นด้วยตาตนเอง ครั้นแตะตัวคู่อริศัตรูผู้ตั้งปริศนา เชาวน์ปัญญาเฉียบแหลมก็รู้แจ้งเห็นคำตอบชัด ก็เกิดโศกาดูรเศร้าหมอง แลว่า

“คำตอบคือ ไม่มี”

“ไอ้คนโง่ คือกูนั่นแล้ว เป็นวิสัชนาอันถูกต้อง”

“แต่เจ้าจักมิอาจมีชีวิตยืดยาวจำเริญเติบใหญ่ จนได้ครองทรัพย์ รับนารี มีฤทธี แลอยู่ดีกินดี ด้วยเหตุว่าในหนึ่งชั่วยามภายหน้าเจ้าจักถูกพญามัจจุราชพรากชีวิตชดใช้กรรมแต่ปางก่อน คือจมน้ำแม่คงคาสิ้น”

ฝ่ายกาวีกุมารได้ยินคำทำนายมาดร้ายกระนั้นก็เดือดปุ หมายใจใช้กำลังเอาเลือดล้างปากคนมุสา แต่พวกตัวเห็นเหตุบานปลายก็ดึงรั้งไว้ ด้วยผลกรรมแต่อดีตชาติ จึ่งทำให้กาวีกุมารมิได้เชื่อถือในคำพยากรณ์แลจักพิสูจน์ว่าคำสินะเป็นเท็จก็กระโจนลงแม่น้ำคันธามาส สำแดงความโป้ปดให้กระจ่าง ด้วยตัวฝึกเรียนว่ายวารีมาจนเชี่ยว แม้กระแสน้ำหลากเหนี่ยวร่างลงสู่พื้น กาวีกุมารก็มิได้พึงระลึกถึงสิ่งแท้จริงในคำของผู้พยากรณ์แม้แต่น้อย

ครั้นข่าวคราวล่วงรู้ถึงหูคหบดีเศรษฐีประจำหมู่บ้าน ว่าบุตรชายตัวมามีอันละสังขารจมน้ำฉะนั้นก็ร้องห่มร้องไห้เสียใจ พวกเด็กๆที่ได้ยินคำสินะกุมารก็พากันโจษขานคำพยากรณ์ไปทั่ว เป็นเหตุให้เศรษฐีบิดากาวี ตั้งข้อหากาลกิณีต่อครอบครัวพราหมณ์ผู้ให้กำเนิดสินะกุมารว่าเป็นมารร้ายมาเกิด เป็นเหตุให้บุตรตัวต้องตาย สินะกุมาร บิดา แลมารดาจึ่งระเหเร่ร่อนดั่งคนไร้บ้านมาแต่นั้น แลสินะจึ่งตั้งจิตอธิษฐานว่า นับจากนี้จะไม่ทำนายทายทักผู้ใดอีก มารดาเห็นชื่อสินะเป็นอัปมงคลก็เปลี่ยนเป็นกาวี คล้องกับชื่อบุตรเศรษฐีผู้ตายไป เพราะคราวใดเรียกลูกจัญไรนี้หนหนึ่ง จักได้พึงระลึกว่าตนให้กำเนิดตัวเสนียดเบียดกระทำคนตายมาแล้วหนึ่ง มารดาไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวบุตรตนอีกเลย ต่อมาจึ่งเสียชีวิตลงด้วยความคับแค้นใจ เหลือเพียงบิดาคอยอุ้มชูชุบเลี้ยงบุตรตามแต่ยถากรรมเท่านั้น

เมื่อสินะในชื่อใหม่กาวีเติบใหญ่ลุชันษาสิบห้าปี มีโอกาสได้ร่ำเรียนแต่สำนักพราหมณ์หนึ่งในฐานะมิตรสหายของบิดาผู้วายชนม์ ทิ้งกาวีไว้แต่พราหมณ์เฒ่าผู้อาจารย์คอยฝึกปรือศิลปศาสตร์อันควรแก่บุรุษพึงมีจนสิ้นภูมิความรู้ กาวีเติบโตเป็นหนุ่มรูปงาม เป็นที่ต้องตาของหญิงสาวชาวบ้านทุกเหย้าเรือน แต่กาวีมิได้พึงสนใจสตรีใด มุ่งฝักใฝ่ในการฝึกอาวุธให้เชี่ยวชาญประหนึ่งมือแลเท้า ด้วยได้ข่าวแว่วมาแต่กรุงไกรว่า พ่ออยู่หัวคนธรรพ์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม ทรงออกหมายจัดการคัดสรรทหารราชองครักษ์ไว้เป็นเกือกรองบาทราชบุตรอนันตราชมหาอุปราช กาวีมิได้แตะต้องการทำนายติดตัวมาแต่เกิดนับแต่คราวนั้น อาศัยความสามารถอันฝึกฝนหมายใจเข้ารับราชการ

เพลาวันหนึ่งระหว่างเดินทางเข้าพระนครเพื่อประลองฝีมือ เกิดปะเหตุกองโจรบุกปล้นขบวนค้าขาย จึ่งชักปลายดาบรับสู้ขับไล่เหล่าทรราชย์จนสิ้นภัยพาล ในขบวนเดินทางนั้นปะบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง หากมิได้พึงสักเกตเรือนกายล่ำสันของอีกฝ่ายเพียงแต่พินิจวงหน้าก็อาจปลงใจได้ว่าเป็นสตรี ด้วยดวงตาสีสมัน ริมฝีปากหวาน แต่วาจาห้าวหาญสมชาย อดที่กาวีจะหยุดพิจารณาแลลอบยิ้มมิได้ เจ้าหนุ่มเลิศโฉมนั้นแนะชื่อตัวว่า วัชระ เป็นพ่อค้าเดินทางมาค้าขายยังนครหลวงเผ่าพันธุ์คนธรรพ์ ระหว่างกำลังเดินทางกลับยังนคราเมืองมนุษย์ถิ่นกำเนิด โชคร้ายถูกโจรป่าอาสัญดักปล้น
 
ภัทรพจน์ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้า นี่คงเป็นครั้งแรกที่ไอ้กัน สินะกาวีได้พบพจน์หรือพระเจ้าวัชรโกมลเป็นหนแรก เมื่อฟังคำสนทนาต่อกันจึ่งเห็นสายตากาวีมีความพึงพอใจต่อตัววัชระเป็นที่ยิ่ง เหตุอันทรงปลอมองค์เป็นดั่งพ่อค้าคงไม่ผิดไปจากคราวพจน์ มาตะ แลพระมหาอุปราชสุริยะกระทำสืบราชการลับ

เมื่ออำลากันแล้ว หัวอกเจ้ากาวีก็มิอาจสงบนิ่งดังเคย แม้นชัยชนะได้เข้ารับราชการเป็นทหารองครักษ์ยศศักดิ์หัวหน้านายกองก็มิอาจสร้างความรื่นรมย์แก่ใจตัวได้ ในดวงตามีแต่วงหน้าเจ้าวัชระหนุ่มทั้งยามหลับ ฤา ตี่น เมื่อดับร้อนในใจไม่ได้ก็อาศัยดับลงโดยหญิงงามเมืองปลดปล่อยอารมณ์ลุกโชนให้ผ่อนคลาย ทุกคราวยามร่วมรักก็มักจักปลุกปั้นใบหน้าเลิศโฉมดวงตาสีสมันเข้าทดแทนนางเวศยาเหล่านั้น ทั้งกลิ่นตัวดั่งอาบด้วยดอกลีลาวดีติดตรึงจมูกเมื่อแรกปะประทับนาสิกไม่รางเลือน ก็แนะนางรับใช้ให้อาบน้ำผสมดอกลีลาวดีก่อนเข้าปรนนิบัติตนเหมือนเจ้าวัชระทุกครั้งไป เมื่อสตรีทรวดทรงคอดเว้ามิอาจสนองกิเลสในใจกาวีให้ดับลงได้ก็ฉุกคิดอยากริลองกับเพศบุรุษ ด้วยต้องลักษณะอย่างเดียวกับวัชระวาณิช แม้นไม่เหมือนก็ผิดต่างเพียงโฉมหน้าเท่านั้นก็ทุเลาความคะนึงหาลงสิ้น ตั้งมั่นในใจหากว่างเว้นราชกิจจักหาโอกาสท่องไปยังเมืองมนุษย์ตามหาบุรุษผู้นั้นให้จงได้

ต่อมาอนันตราชมหาอุปราชมีดำริจักกรีฑาทัพพยุหแสนโยธาหมายออกกระทำศึก แผ่พระราชอำนาจขยายพระราชอาณาเขตให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้นเพื่อทูลถวายแด่องค์พ่ออยู่หัวเป็นข้อคุณูปการตอบแทนในพระมหากรุณาธิคุณ ศึกแล้วศึกเล่าพ้นผ่าน เลือดโลมหลั่งผืนพสุธา แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือพระเกียรติยศของนายตน คือ อุปราชอนันตราช ทรงพระปรีชาสามารถจริงดังคำสรรเสริญ ทั้งเชี่ยวชาญศิลปศาสตร์เพลงอาวุธนานาประการ ทั้งตำราพิชัยสงครามล้วนแตกฉานจนพระอาจารย์ผู้สั่งสอนล้วนสิ้นภูมิความรู้ ดั่งนั้นจึ่งทรงตีอาณาจักรรายล้อมเป็นกำนัลแด่พ่ออยู่หัวแต่โดยง่าย กระทั่ง...

ภัยร้ายคืบคลานเหยียบย่ำอาณาจักรมนุษย์ กองทัพคนธรรพ์กรีฑาทัพศึกทั้งช้างม้าตีเมืองประเทศราช เมืองพระยามหานคร เมืองลูกหลวง กระทั่งถึงกรุงนพรัตนบุรี ศูนย์กลางการปกครองพระราชอาณาจักร กลศึกถูกนำมาใช้รับมหาศึกครานี้มิได้เพลี่ยงพล้ำเสียทีเป็นที่น่ายกย่อง ระหว่างกองทัพที่เดินทางมาเหน็ดเหนื่อยตั้งค่ายคูประตูหอรบเพื่อตบตีพระนครนพรัตนบุรีให้แตกนั้น เจ้ากาวีมิได้หลงลืมในรักแรกพบ ยามว่างเว้นภาระศึกก็เที่ยวตระเวนตามหาคนผู้ออกนามว่า วัชระ นับแต่ชายแดนเขตขัณฑสีมาจรดกรุงมนุษย์ แต่มิได้ข่าวคราวคืบหน้า หาป่ะคนชื่อเสียงเรียงนามนั้นไม่เป็นที่ชอบกลอยู่ กิเลสไฟราคะมิเคยทอนลงก็ปลดปล่อยกำหนัดสู่หญิงงามเมืองมนุษย์ผ่อนทุเลา

ฝ่ายแม่ทัพนายกองคนธรรพ์คราวเห็นฝ่ายมนุษย์ออกรบต้านทานปืนใหญ่แลกลศึกได้ลุหกทิวากระนั้น ทั้งรี้พลกรำศึกมาเนิ่นนานสูญเสียไพร่เลวมิใช่น้อย หากหักเอาชัยชนะไม่ได้ในเร็ววัน เห็นขวัญแลกำลังใจไพร่ทหารต้องมีอันถดถอยจำทูลยกถ้อยพงศาวดารศึกครั้งพระเจ้าชัยสาร ปฐมบรมกษัตริย์เผ่าคนธรรพ์ใช้ปราบหัวเมืองฝ่ายเหนือหวังผนึกบ้านเมืองเป็นสุวรรณปัถพีเดียวกันนั้น ทรงกระทำอัศวายุทธ์แก่เจ้านายคนธรรพ์ฝ่ายเมืองเหนือ เพื่อมิให้สูญเสียไพร่เลวโดยเปล่าดาย แลได้ชัยชำนะแต่โดยง่าย หัวเมืองฝ่ายเหนือจึ่งตกร่วมวงศ์วานว่านเครืออนันตาทมิฬมาแต่นั้น เห็นควรคราวนี้จำทรงเสด็จดำเนินตามรอยเบื้องยุคลบาทพระมหากษัตริยาธิราชบรรพราชวงศ์ ยามเสนาบดีสดับคำแม่ทัพผู้ชาญศึกจึ่งเห็นพ้องต้องกัน อนันตราชพระมหาอุปราชจึ่งเห็นพ้อง ดำริให้พราหมณ์โหราจารย์คำนวนฤกษ์พานาทีแล้วแต่งสารท้าเชิญไปยังราชสำนักเผ่ามนุษย์

เผ่าพันธุ์มนุษย์มิได้หวั่นเกรงในคำท้า ตอบรับกลับมาในสามราตรี กำหนดการอัศวายุทธ์จึ่งเกิดขึ้นในวันรุ่งทันที กาวีเห็นการศึกไม่ต้องแลกด้วยเลือดแลเนื้อก็คลายใจ แต่อดห่วงนายตัวมิได้ หากพระอุปราชอนันตราชพ่ายท่าเสียที ถึงแม้นไม่ถึงแก่พระชนม์ชีพ เหล่าพยุหแสนยาทัพคนธรรพ์เห็นจำต้องยกคืนพระนครอนันตาทมิฬ ด้วยตัวยังไม่อาจสืบหาคนผู้ชื่อวัชระพบ จึ่งร้อนรนอยู่ในอกเสมอการศึก

อัศวายุทธ์ครานั้นเป็นดั่งพระเกียรติยศระหว่างกษัตริย์ต่อกษัตริย์พึงสำแดงพระปรีชาสามารถมิให้ตกต้องเดือดเนื้อร้อนใจได้ยากถึงไพร่เลว จึ่งส่งเสริมพระบารมีหากฝ่ายใดเป็นผู้ชนะ จักเป็นที่เลื่องลือระบือนามโจษขานทั่วทศทิศ ทั้งดินฟ้าบาดาล ฝ่ายมนุษย์ส่งบุรุษหนุ่มอาภรณ์ขาวปิดบังใบหน้า ตรงกันข้ามกับพระอนันตราชอุปราชทรงอาชาสีกาฬเฉกเดียวกับฉลองพระองค์ ทั้งสองปะทะอาวุธออกรับเป็นท่วงท่าสง่างาม เป็นบุญตาแก่ไพร่ราบเสนาบดีขุนทหารทั้งสองฝ่าย หว่างวงล้อมประลองยุทธ์นั้น กาวีลอบสังเกตอาชาพระที่นั่งบังเกิดเหงื่อหยดลงกีบเท้าสำแดงว่าเหน็ดเหนื่อยกว่าอาชาขาวฝ่ายมนุษย์ ยังไม่ทันกาวีจักคิดแก้ไขออก พระอุปราชอนันตราชก็พลาดท่าถูกทวนฝ่ายแม่ทัพมนุษย์ตวัดเฉียด ฉุดให้พระองค์พลัดล้มตกจากม้า เจ้าอาชาก็เสียสมดุลทั้งเหนื่อยพอตัวก็ทิ้งน้ำหนักทับพระวรกายอุปราชคนธรรพ์ เหล่าแม่ทัพนายกองต่างถลาโจนออกจากพลับพลาศึก หมายเข้าช่วยพระอุปราช แต่คู่ปะทะฝ่ายมนุษย์นั้นรวดเร็วนัก โจนจากหลังม้าขาว ปลดผ้าคลุมหน้าออกเพื่อใช้เยียวยาพระอาการ

พจน์จับความรู้สึกเจ้ากาวีไว้แน่วแน่ เหตุการณ์อัศวายุทธ์ตนเคยรู้มาบ้างแล้ว แต่ปฏิกิริยาของไอ้กันต่างหากที่เขายังไม่เคยเห็น มันผุดลุกยืนปลดดาบคู่กายหล่นลงพื้น มือสั่นยากจะควบคุม เผยอปากหมายใจพูดคำคำหนึ่งแต่มีเพียงลมร้อนผ่อนผ่าน ภาพความทรงจำลบหายกลายเป็นท้องพระโรงพระที่นั่งจักรวรรดิรัตนพิมาน เจ้ากาวีนั่งชันเข่าก้มหน้ามองพื้น ข่มฟันข่มอารมณ์

หัวหน้าทหารองครักษ์ประจำองค์อุปราชคนธรรพ์มิได้ปริปากพูดกับผู้ใดนับแต่ได้ยลโฉมคู่สัประยุทธ์ฝ่ายมนุษย์ หะแรกกาวียินดีประหนึ่งพบแก้วมณีในตำนานล้ำค่าผุดอยู่กลางนภา แต่ยามเห็นสายพระเนตรอุปราชาอนันตราชพินิจมองคู่ปะทะอัศวายุทธ์ ก็ดั่งถูกหินศิลาทับดวงใจ มันเป็นดวงตาเดียวกับที่กาวีเคยมองเจ้าวัชระวาณิช บัดนี้คือ พระเจ้าวัชรโกมล อุปราชฝ่ายมนุษย์ คนเดียวกับที่กาวีพบกลางขบวนถูกโจรป่าปล้น แก้วมณีเมื่อแรกเจอบัดนี้เหมือนหนึ่งกำลังถูกฉกชิงไปโดยผู้ทรงบุญหนักศักดิ์ใหญ่กว่า ผู้ทรงพระกรุณาชุบเลี้ยง ผู้มีพระคุณ กาวีได้แต่ข่มอารมณ์ตน ณ เพลาอนันตราชอุปราชทูลขอพระเจ้าวัชรโกมลเป็นบาทบริจาริกา หัวใจกาวีแทบดับดิ้น น้ำตาไหลย้อนกลับกระทบหัวใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ จบแล้วความรักที่เฝ้าตามหา หลุดลอยเฉกเดียวกับบิดาแลมารดร ผู้ละทิ้งตนไว้โดยเดียวไม่ต่างกัน

กาวีดำรงตนดั่งคนไร้หัวใจ ก้มหน้าสบมองเจ้าวัชระยามถูกอนันตราชอุปราชโอ้โลมด้วยนัยน์ตาว่างเปล่า เจ็บยอกแสยงอย่างหาที่สุดมิได้ เจ็บเจียนตายเป็นอย่างไร บัดนี้รับรู้โดยสิ้น เจ้าวัชระจำกาวีมิได้ ความทรงจำหนเดียวครั้งนั้นบัดนี้มอดดับจากกายเจ้าวาณิชปลอมเสียสิ้น แต่มันกลับลุกโชนในกายกาวีตราตรึงดั่งถูกเหล็กร้อนนาบประทับ

เมื่อหัวใจอ่อนแอ่เข้าแทนกล้าแข็ง สติความสามารถประจำตัวแต่เดิมถูกระงับไว้ด้วยความกล้า คือ การพยากรณ์ อันเคยก่อภัย จึ่งย้อนหวนยังสติปัญญาสายเลือดผู้พยากรณ์ซ้ำ กาวีเห็นนิมิตพยากรณ์อีกครั้ง คราวแตะเนื้อต้องตัวผู้ใด ก็จักเห็นการณ์ภายหน้าโดยสิ้น ความสามารถอันหมายละทิ้งกลับคืนพร้อมบริบูรณ์ เว้นแต่หัวใจตัวเองที่หดหายลงแทบไม่รู้สึกสิ่งใด กาวีจึ่งใช้ความสามารถแต่กำเนิดเที่ยวพยากรณ์เป็นโคลงทำนายทายทัก เมื่อมีผู้ประสงค์รู้อนาคต จนเป็นที่โจษขานในชื่อสินะนามเดิม กาวีปิดบังตัวตนแลใบหน้า สิ่งนี้เป็นข้อประการเดียวที่จะไม่ทำให้กาวีหวนนึกถึงความทรงจำระหว่างตนแลพระเจ้าวัชรโกมล การพยากรณ์เป็นทักษะที่กาวีเริ่มรัก มิได้เดียดฉันท์เมื่อมันช่วยปลอบประโลมให้ละจากห้วงเวลาความเป็นจริงที่ว่า เจ้าวัชระตกเป็นของผู้อื่นแล้วตลอดกาล

เพลาวันหนึ่งพระเจ้าอนันตราชในฐานะกษัตริย์คนธรรพ์ขึ้นครองบัลลังก์สืบต่อจากพระราชบิดา พระราชทานต้นกล้าลีลาวดีให้พระเจ้าวัชรโกมลทรงปลูก จึ่งมอบเป็นธุระให้ทหารองครักษ์กาวีใกล้ชิดเบื้องยุคลบาทเป็นผู้สนองรับพระราชโองการ กาวีแทบมิได้ยินคำดำรัสอื่นใดต่อจากนั้น เพราะหัวใจตัวเต้นอื้ออึงกาหล บัดนี้ตนกำลังนำตัวไปอยู่ในสายพระเนตรของคนผู้ที่ตนหลงรักแน่ถนัด ก็อดปลื้มใจแลหวั่นเกรงจักสำแดงอาการเป็นที่ผิดสักเกตมิได้ ครั้นถึงที่ประทับพระเจ้าวัชรโกมล กาวีได้แต่ก้มหน้าทูลถ้อยดำรัสของพ่ออยู่หัวอนันตราชแน่วแน่ มิได้สบสายพระเนตรแต่อย่างใด

“ไยกาวีท่านจึ่งทำเหมือนเราเป็นปีศาจยักษ์มารกระนี้เล่า กล่าวความถวายปนหลุกหลิกสั่นเทิ้มทั้งตัวเป็นภาพบาดตาเราเหลือประมาณ อภัยเถิด เมตตาลุกนั่งดั่งปรกติปฏิบัติ ต่อพ่ออยู่หัวท่าน กาวีมิได้สำแดงอาการดั่งสมันตกบ่วงนายพรานแม้แต่น้อย เหตุใดต่อหน้าเราจึ่งเป็นดั่งนี้ได้”

วัชรโกมลตรัสเสร็จก็เอื้อมหัตถ์แตะไหล่กาวี ฉับพลันกาวีปราชญ์พยากรณ์จึ่งเห็นภาพนิมิตในภายภาคหน้าฉายชัดเจนแล่นริ้วผ่านสายตาตนเอง จนแทบจะปิดกลั้นถ้อยความโคลงทั้งนั้นไว้ไม่ทันก็รีบก้มหน้าผากชิดพื้น

“อภัยเถิด กาวีท่าน” พระเจ้าวัชรโกมลก็ผละหัตถ์ปล่อยจากไหล่ทหารองครักษ์ทันที น้ำเสียงตกพระทัยเหลือประมาณ ละล่ำละลักตรัสสืบต่อว่า “เราทำท่านเจ็บหรือ จึ่งบังเกิดกิริยาดั่งปวดทุรนทุรายกระนั้น”

เจ้ากาวีเห็นความจริงประจำกายพระเจ้าวัชรโกมลแน่ชัดในใจตามความสามารถแต่กำเนิดก็บังเกิดห่วงพะวง ก้มหน้ามิอาจทูลสนอง ได้แต่คำนึงถึงการณ์ภายหน้า

“เราสองเคยเจอกันมาก่อนล่วง ฤา ไม่ ท่านกาวี”

ไฟสุมอกในใจพลันระงับทันทียามได้ยินพระดำรัสซักถาม เจ้ากาวีจึ่งเผลอเงยหน้าจ้องพระพักตร์เลิศสิริโฉม หลงลืมข้อปฏิบัติตั้งมั่นแต่เดิมโดยสิ้น เพียงแลเห็นดั่งหนึ่งหัวใจแห้งแล้งมาได้หยดน้ำชุ่มชื่น

“กระหม่อม”

“เราแลท่านเคยปะกันมาแล้วหรืออย่างไร เป็นข้อสงสัย ด้วยเพียงแลเห็นน้ำเสียงทั้งกิริยาท่าน จึ่งทำให้เราหวนนึกได้ว่า...”

“กระหม่อมขอทูลลา พระเจ้าข้า”

ฉากตำหนักที่ประทับพระเจ้าวัชรโกมลวนสลายเป็นควันดำ แล้วก่อประกอบเป็นเรือนพักของกาวีองครักษ์ เจ้าหนุ่มจดจารสิ่งที่ตนรู้แจ้งยามสัมผัสวรกายพระเจ้าวัชรโกมลเป็นโคลงพยากรณ์โดยสิ้น ครั้นพิเคราะห์บทต้นก็ลบด้วยสันมือ เกรงภัยแก่ผู้ครองหัวใจตนแลผู้จักได้ครองสุดยอดอัญมณีในภายหน้า ใคร่ครวญถี่ถ้วนแล้วจึ่งตัดสินใจคัดลอกลงใบลานจำนวนหลายเล่ม ลงท้ายโคลงว่า สินะ วันรุ่งขึ้นจึ่งใช้บ่าวรับใช้เที่ยวแจกจ่ายแก่บัณฑิต พราหมณ์ แลผู้ทรงภูมิสำนักต่างๆ กาวีรู้ว่าโคลงพยากรณ์ชีวิตของพระเจ้าวัชรโกมลคือเหตุผลที่ตนถือกำเนิดเกิดมาเพื่อกระทำสิ่งนี้ คือ พยากรณ์เหตุการณ์ที่จะพลิกชาตามหาพิภพ ข่าวภัยร้ายแว่วตื่นเป็นมหันตภัยซุกซ่อนริเริ่มชัดเจนตามขุนเขาดำมืดเบื้องทิศอุดรแน่ชัดว่า เขากระทำสิ่งถูกต้อง จำต้องกระจายคำพยากรณ์ให้ชนบนมหาพิภพล่วงรู้แลเตรียมพร้อมให้ทันโดยเร็วที่สุด

ราตรีพิรุณวิปโยคค่ำหนึ่ง ทั้งฟ้าเปรี้ยงพายุโหมกระหน่ำพื้นมหาพิภพ หว่างกาวีทำสมาธิตรึกตรองโคลงพยากรณ์สำคัญ ณ ชานเรือนพัก บังเกิดมีกลุ่มควันดำมืดหล่นจากฟากฟ้าลงกระแทกพื้นเรือนก่อเกิดเป็นเงากายใต้ภูษาคลุมดำ จุดดวงตาสว่างชาดดุจมหาเพลิง เล็บยาวจากฝ่ามือซีดโบกปัดม่านหมอก ขยับฝ่าเท้าขาวยุรยาตรวาดหากาวี เจ้าหนุ่มองครักษ์มิได้ประหวั่นตกใจเท่าใดหนัก ทั้งข้าทาสรับใช้ล้วนหลับนอนสงบอยู่ แต่แสงไต้ไฟกระทบเหลี่ยมมุมเสี้ยวหน้าคราใดก็วูบโหวงในอกทุกครั้งไป

“เจ้า...” ศัพท์เสียงทุ้มต่ำเกริ่นกล่าว “คือผู้สืบสายโลหิตวิทยะพยากรณ์กระนั้น ฤา”

กาวีมิได้ตอบแต่กระชับอาวุธข้างตัวเตรียมรบ จ้องดวงสีชาดแน่วแน่

“ข้า...”

“จอมมาร”
 
“เป็นนามสำหรับผู้ขลาดกลัวใช้ออกชื่อข้า แต่ดวงตาเจ้าบ่งสำแดงว่ามิได้อ่อนแอเฉกนั้น ไยเราสองจึ่งไม่ปฏิบัติต้อนรับประหนึ่งเจ้าเรือนแลแขกผู้มาเยือนฉันมิตรเล่า นามของข้า คือ อสุรมาศ”

กาวีไม่เคยสดับยินนามนั้นมาก่อนล่วงจึ่งมิได้สนใจแต่อยากใด ในใจมีแต่ข้อคับข้องของผู้มาเยือนเป็นปริศนาอยู่

“ข้าอยากได้คำทำนาย ชีวิต...ของข้า” มันแจ้งจุดประสงค์แท้จริง

“ข้าไม่...”

“แลกกับสิ่งใดก็ตามที่เจ้าปรารถนาอย่างที่สุด ข้าจักนำมันมาให้เจ้าดังประสงค์”

เจ้ากาวีนิ่งงันในเงื่อนไข ทบทวนดำริตริตรองแล้วนิ่งอยู่ แสงฟ้าวาบกระทบปลายคางขาวซีดใต้ผ้าคลุม
 
“ข้าสามารถนำรักที่เจ้าปรารถนายิ่งมากองอยู่แทบเท้าได้ สินะกาวีเอ๋ย ยอมรับข้อเสนอเถิด แล้วข้า...จอมมารจักตอบแทนเจ้าคืนดุจกัน”

“กลับไปยังที่ทางของเจ้า” กาวีชักดาบคมลุกยืนตะเพิดไล่ จอมปีศาจหัวเราะขัน มันยื่นปลายเล็บแตะยังคมดาบหมายชีวิตตัว ฉับพลันอาวุธเหล็กกล้าก็มีอันบุบสลายเป็นฝุ่นธุลี เจ้ากาวีได้แต่ตะลึงงันในอำนาจเหนือพลังนั้น

“แลเจ้ายังจักสงสัยในพระเวทแห่งข้าอีกกระนั้น ฤา ข้าบันดาลทุกสิ่งได้ เพียงเจ้าร้องขอ”

กาวีมองเห็นสิ่งเดียวที่ตนปรารถนามาชั่วชีวิตแต่ไม่มีวันสมหวัง พระเจ้าวัชรโกมล

“เจ้าเป็นผู้ที่ข้าอ่านใจได้ยากยิ่ง ความคิดใดเจ้าพึงประสงค์อยู่จงแจ้งเถิด แลกกับคำพยากรณ์อันเป็นนิรันดร์”

“ไม่” เจ้าหนุ่มกาวีสั่นหน้า ปฏิเสธปรารถนาผิดจารีตในห้วงใจ

“ในอีกสิบห้าราตรีนับจากนี้ จักมีสตรีใจทมิฬนางหนึ่งประสงค์ให้วัชรโกมลคู่รองบาทอนันตราชกษัตริย์คนธรรพ์ต้องดับดิ้นสิ้นสังขาร สมุนข้าสืบรู้มาว่านางใจชั่วผู้นั้นหมายวางยาพิษปลิดดวงวิญญาณบาทบริจาริกาหนุ่ม ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการรักจากมนุษย์กึ่งคนธรรพ์ผู้นั้นดั่งข้าคะเน ฉะนั้นข้าเห็นควรมอบตำราพระเวทลีลาทมิฬให้แก่หญิงชั่วได้กระทำการสำเร็จ” ตรัสเสร็จหมายเนรมิตการหายลับ

“ช้าก่อน”

“กระไร ฤา”

“ข้า...ยอมแลก” จอมมารกรีดเสียงหฤหรรษ์พึงใจ

“เช่นนั้นเจ้าจงเป็นผู้นำตำราปลอมแปลง ฝากไปยังท้าวนางเธอฯมเหสีเอก เมื่อถึงราตรีข้างแรม ทูลพระนางว่าจอมปีศาจฝากสิ่งร้องขอมาให้กระทำการดั่งสมประสงค์ แต่ตำราพระเวทจักเป็นมนตราลีลาทมิฬก็หาไม่ แต่เป็นมนตราอาถรรพณ์ผูกใจสนิทเสน่ห์ให้วัชรโกมลหลงรักฝักใฝ่เจ้ากาวีคือเนื้อแท้ ดั่งนั้นจงปฏิบัติตามคำข้าแนะ แหละอย่าลืมหลงเป็นเด็ดขาด เมื่อสำเร็จกิจแล้วข้าจักมาขอฟังคำพยากรณ์”

ควันดำพวยพุ่งปิดล้อมหอนั่งเรือนกาวี กลับกลายเป็นคืนเดือนแรมราตรีหนึ่ง หมอกเมฆบดบังท้องฟ้ามืดมัว เจ้ากาวีเร่งฝีเท้าผ่านเขตพระราชฐานชั้นนอก อำพรางใบหน้าด้วยผ้าคล้องไหล่สีดำ ตรงประตูกำแพงวังพระราชฐานฝ่ายในด้านทิศใต้เป็นจุดนัดพบสำคัญ ทหารล้อมวังขนาบประตูอันตรธานด้วยกลอุบาย มีหญิงชาววังนางหนึ่งคลุมผ้าคล้องไหล่ปกปิดตั้งแต่เกศาครึ่งท่อนองค์ ยืนอยู่เบื้องหลังประตูวังนั้น

“เหตุใดถึงชักช้านัก ท่านโยคี” สตรีใต้อาภรณ์ตำหนิ

กาวีมิได้เจรจาความใดกลับก็หยิบคัมภีร์ใบลานลงรักดำตลอดทั้งเล่มส่งให้นางผู้นั้น นิ้วเรียวสวยประดับธำมรงค์แพรวพราวเอื้อมคว้าแล้วจ้ำพรวดละจาก
 
หมอกดำพัดเพหวนเป็นฉนวนทางเสด็จพระราชดำเนินก่ออิฐแดง ท้องฟ้าทอแสงเพลาอุษาโยค ตำหนักพระเจ้าวัชรโกมลประทับคือจุดหมายปลายทางในองค์พ่ออยู่หัวอนันตราช แต่หทัยเจ้าหัวหน้าองครักษ์รู้สึกแน่นอกร้อนรนแทบทนมิได้ ด้วยเพราะกิจอันตนรับปากจอมมารนำมอบคัมภีร์เล่ห์เสน่ห์รัก บัดนี้ยังหาได้ชักบังเกิดผลเช่นคำจอมปีศาจ องค์วัชรโกมลยามประทับเคียงอนันตราชพ่ออยู่หัวจะมีสักเสี้ยวหนึ่งผินหน้าทอดอาลัยตนดุจสนิทสิเน่หาเพียงน้อยหนึ่งนั้น หาปะไม่ เฝ้าใคร่คิดครวญตรองลุสามทิวาสองราตรียังอบจนหนทางอยู่ ระหว่างพระเจ้าอนันตราชตรัสสนทนาด้วยพระเจ้าวัชรโกมลเป็นภาพบาดตา สีพระพักตร์วัชระยอดดวงใจประหนึ่งพรั่นพรึงการบางอย่าง ทั้งซีดเผือด ดวงเนตรหมอง ฉับพลันก็ก้มกราบแนบพระบาทเชิงงอนอนันตราชพ่ออยู่หัว กาวีจับใจความเนื้อถ้อยสนทนามิได้ก็กังวลอยู่ เห็นเสด็จละจากพระที่ออกสู่ทวารพระตำหนัก ติดสอยห้อยตามด้วยข้าคนสนิทรับใช้นามว่า วายุ แลพ่ออยู่หัวจึ่งตรัสแก่กาวีว่า

“ดูเถิด กาวีเอ๋ย จักมีผู้ใดครอบครองใจเราเท่าวัชรโกมลหาปะอีกไม่ เพียงเราแสร้งประสงค์ดอมดมดอกลีลาวดีหมายจักฉกชิมกลิ่นรสจากปากวัชรโกมลหนึ่งน้อย แต่ความบริสุทธิ์ด้อยเดียงสากล้าแข็งมิได้โอนอ่อนดั่งคำเราตามอำเภอใจฉะนั้น เป็นที่ชื่นใจนักนับได้คู่ครองทั้งเด็ดเดี่ยว ทั้งอ่อนโยนในคนคนเดียว เจ้าจงเป็นธุระทูลเชิญวัชรโกมลเสด็จกลับมานั่งเคียงเราให้เป็นปรกติเถิด กิริยาหยอกล้อหมายดอมดมกลิ่นลีลาวดีนั้นหาเป็นจริงเป็นจังไม่ อย่าได้เดือดเนื้อร้อนใจเลย จงทูลดั่งคำเรา”

กาวีก็ถวายบังคมรับพระราชกระแสรับสั่ง ชั่นเขาถอยหลังแล้วติดตามวัชรโกมลไปยังทิศทางตำหนักท้ายสวน สถานที่ปลูกต้นลีลาวดีพระราชทาน เห็นไกลๆว่า เจ้าวายุข้าสนองโอษฐ์เอาแต่ร่ำไห้พลาง ฉุดรั้งข้อพระบาทให้พระเจ้าวัชรโกมลถอยห่างจากต้นลีลาวีพลางเป็นภาพตะขิดตะขวงใจ จึ่งเร่งฝีเท้าย่ำกระชั้นแต่โดยเร็ว ระหว่างนั้นแลเห็นวัชรโกมลทรุดพระชานุพนมหัตถ์ก้มกราบมายังทิศทางองค์พระที่นั่งทรงประทับของพ่ออยู่หัว แล้วเอื้อมหัตถ์โน้มกิ่งลีลาวดีสูดกลิ่นหนึ่งหน แลประทับจุมพิตเหนือกลีบดอก ฉับพลันพระวรกายก็สั่นสะท้านแล้วล้มลงแนบพื้นหญ้า พระโลหิตหลั่งจากพระเนตรแลพระโอษฐ์ดุจสายธารา เจ้าวายุกรีดร้องดั่งหนึ่งหัวใจสลาย กาวีถลาหมายเข้าสอบพระอาการ เห็นโลหิตหลั่งจากทวารทั้งเก้าเป็นที่พรั่นพรึง พระเนตรน้ำตาลกลึงสั่นคลอยามอยู่ในอ้อมกอดกาวี

“เรานึกออกแล้ว กาวี ณ ขะ...บวน เดินทาง ถูกโจร...ป่าปล้น เป็น...ท่าน เข้าขัดขวาง ฤา มิใช่”

“พระเจ้าข้า เป็นข้าพระองค์เองหาใช่ใครอื่น ไยทูลกระหม่อมถึงต้องโลหิตกระนี้ เจ้าวายุ”

“ลีลาวดีเพลิง...จุมพิตสีเลือด” วายุกรีดถ้อยคำสะอึกสะอื้น

ผู้ใด มันผู้ใดบังอาจนำอาวุธร้ายย่างกรายสถิตยังใจกลางพระนครเฉกนี้ ใคร...” กาวีโหยไห้น้ำตาหลั่ง ครั้นแลเห็นพระเจ้าวัชรโกมลทรงพยายามตรัสปัจฉิมดำรัสก็แทบหัวใจแหลกลั่น “แลเจ้าโจร...ระ เราจำได้แล้ว...”

เจ้าองครักษ์กาวีเขย่าพระวรกายวัชรโกมลเรียกพระสติ กู่ก้องร้องคำเพรียกหาเป็นภาพสุดเวทนา แต่จุมพิตสีเลือดทรงอานุภาพสมนามชื่อ มีหรือผู้พยากรณ์จักฉุดรั้งวิญญาณคนผู้ตนผูกใจรักแต่แรกเห็นจวบวาระสุดท้ายกลับคืนได้

ภัทรพจน์ยืนมองอดีตชาติซ้ำอีกหนแต่ในมุมที่ต่างออกไป ใต้เงาร่มไม้ห่างไกลแต่ทุกอย่างชัดเจนดุจอยู่ชิดใกล้ เสียงฝีเท้าของบุรุษผู้หนึ่งเดินมายังบริเวณที่พจน์เฝ้าดูอยู่ พระเจ้าอนันตราชทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์นั้นโดยสิ้น พักตร์แต่เดิมนิ่งเฉยกลับปริ่มพระอัสสุชลหนึ่งน้อยร้อยไหลจากพระจักษุเบื้องขวาแนบพระปรางจรดปลายพระหนุ

“กาวี...วัชระ” พระขนงยกสูงเลื่อนชน แล้วทรงผ่อนปรนเปลือกพระเนตรปกปิดพิษทรมานปานสิ้นสวรรคต


100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=49562.msg3503820#msg3503820)

เพจนิยาย (https://www.facebook.com/KhamPhiPhob/)


____________________________________

กัป : ระยะเวลายาวนานที่กำหนดว่าโลกประลัยครั้งหนึ่ง
อุษาโยค : เวลาใกล้รุ่ง

____________________________________

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๕ สินะกาวี ๑๐๐% (๓๑/๑๐/๕๙) หน้า ๑๔ [สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 31-10-2016 10:33:30
ช่วงพูดคุยตอบคำถาม  

เหลืออีกหนึ่งตอนเท่านั้นสำหรับนิยายเรื่องนี้ คิดไปคิดมาก็ใจหายอยู่เหมือนกัน เป็นเวลาแรมปีที่ผมทำหน้าที่มอบความสุขให้ผู้อ่าน และผู้อ่านก็เป็นกระจกสะท้อนงานเขียนทั้งติทั้งชมมากมายนัก ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา รอติดตามตอนสุดท้ายได้เร็วๆนี้ครับ  

เห..... ทำไมสากับเพื้อนพจน์ถึงไม่รีบปีนขึ้นไปอ่าาา เศร้าาา
ตัวละครทุกตัวมีทางเลือกของตัวเอง และเหตุผลนั้นว่าทำไมสุนิสาหรือเพื่อนๆของพจน์ถึงไม่รีบขึ้นเรือดำน้ำ คุณอาจจะมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้วเมื่อลองทบทวนดีๆ และในตอนล่าสุดศาสตราจารย์วิชัยก็ยังพูดซ้ำอีกว่า พวกเขาเหล่านั้นล้วนมีทางเลือก และคิดเห็นตรงกันอยู่อย่างหนึ่งคือ เสียสละ เลือกที่จะช่วยปลดโซ่รั้งเรือดำน้ำ เลือกที่จะช่วยเปิดประตู เลือกที่จะตายพร้อมกับครอบครัวญาติพี่น้องของตนเอง การเลือกไม่ใช่สิ่งง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินที่จะตัดสินใจ หวังว่าจะช่วยไขความข้องใจสำหรับข้อกังขาของคุณได้ไม่มากก็น้อยนะครับ


มันคือการเสียสละ เพื่อก่อให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นสินะ รักนี้ทำให้เกิดได้ทุกอย่างจิงๆเนาะ

คำเล็กๆ แต่มีพลังมหาศาล ยากแท้หยั่งถึง เห้อ!!
ใช่ครับ ...คือความเสียสละ และเช่นเดียวกัน รัก คำสั้นๆคำเดียว ถ้าหากคุณเคยผ่านประสบการณ์เกี่ยวข้องกับคำคำนี้มาบ้างจะรู้ว่ามันส่งผลแก่เรามากน้อยแค่ไหน สิ่งสำคัญ คือ รัก แต่ต้องมี สติ ปัญญา ควบคู่กันไปด้วย จริงไหมครับ

อืม การเสียสะละที่ยิ่งใหญ่สินะ  ถึงอย่างไรก็เสียใจด้วยกันทั้งสองฝ่ายอยู่ดี  รออีกสองตอนที่เหลือครับ
ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าจบแบบแฮปปี้ได้หรือเปล่า อาจจะกั๊กๆ ไม่อาจสรุปได้ว่าจบดีหรือไม่ดี ครับ ทุกคนมีทางเลือกของตัวเอง การเสียสละก็คือทางเลือกหนึ่งของตัวละครในเรื่อง และในชีวิตจริง รอติดตามตอนสุดท้ายได้เร็วๆนี้ครับ

:sad4: :a5: o22
:pig4: :pig4: :pig4:

ทำไมไม่ขึ้นเรือไปด้วยกัน  ทำไมต้องมาเห็นภาพคนที่เรารักจากไปเช่นนี้ และทำไมต้องต้องเหลือคนที่รอดเท่านี้ละคับ
ขอโทษที่ถามนะคับ....แต่มันค้างคาใจผมเหลือเกิน
ขอยกประโยคคำพูดปู่ของพจน์มาอธิบายตรงนี้นะครับ “ปู่ไม่รู้ว่าทำไมเพื่อนของแก หนูสา แม่แจ่ม ตาชม ถึงคิดตัดสินใจแบบนั้นทั้งที่มีทางเลือก แต่เสี้ยววินาทีเป็นตาย พวกเขาคิดตรงกันอย่างหนึ่ง...เสียสละ เลือกที่จะช่วยปลดโซ่ล่ามเรือดำน้ำ เลือกที่จะคุ้มครองพวกเรา เลือกที่จะตายไปพร้อมทุกสรรพชีวิตและครอบครัว เลือกที่จะรับของขวัญจากมิตรแท้อย่างองอาจ เป็นความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของคนคนหนึ่งจะพึงมีได้” ตอนนั้นเวลากระชั้นชิดมาก คลื่นยักษ์กำลังจะมาถึง แน่อยู่แล้วว่าหากทุกคนจะขึ้นไปจนครบต้องเสียเวลาอย่างมากและไม่ทันการแน่นอน พวกเขาและเธอเลยตัดสินใจเลือก...เสียสละ หวังว่าจะช่วยไขข้อข้องใจได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๕ สินะกาวี ๑๐๐% (๓๑/๑๐/๕๙) หน้า ๑๔ [สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 31-10-2016 14:14:23
มีปัญญาคาใจอยู่หนึ่งประโยค  โจรคือใครอ่ะ  5555  พระเจ้าอนันตนคราช ก็ตายตามไปติดๆหรือ  ตรงนี้ก็งงๆนะ 
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๕ สินะกาวี ๑๐๐% (๓๑/๑๐/๕๙) หน้า ๑๔ [สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: aiyuki ที่ 31-10-2016 14:25:59
อ่ออิ เข้าใจแล้ว ถึงอดีตชาติของทั้งสองคน เศร้ามากกกก
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทที่ ๔๕ สินะกาวี ๑๐๐% (๓๑/๑๐/๕๙) หน้า ๑๔ [สำรวจโพลล์]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 31-10-2016 15:20:59
เห้อออ!! รักเมื่อมองจากอีกมุมหนึ่ง มันก้อมีเหตุผลของมันอีกเช่นกันอ่าเนาะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 01-11-2016 09:19:38
บทส่งท้าย



ภูมิประเทศรอบตัวพจน์แปรเปลี่ยนเป็นริมฝั่งมหานทีคันธามาส ในราตรีมืดหม่น เจ้ากาวียืนเหนือกรวดทรายด้วยเท้าเปลือยเปล่า รอคอยบางสิ่ง ความหวัง

“ผู้พยากรณ์”

กาวีผินเสี้ยวหน้าประดุจซากศพซีดเผือด ทั้งหัวใจป่นปี้ นัยน์ตาช้ำกราดมองจอมปีศาจใต้ผ้าคลุม

“เจ้าโกหก” จอมปีศาจไร้คำเจรจา มันยาตราด้วยเท้าเปล่าอย่างเดียวกับคู่สนทนา เอื้อมหัตถ์หมายประพฤติกิริยาปลอบประโลม กาวีเซหลบขุ่นแค้น

“สินะกาวีเอ๋ย ข้าจักเฉลยความจริงแท้ให้เจ้าตรึกตรอง นางมเหสีในพระเจ้าอนันตราช ลอบกระทำนำเลือดสัตว์ซึ่งตกต้องตายอย่างทนทรมานราดรดโคนต้นลีลาวดีมาเนิ่นนานสามสิบราตรี แลพระเวทมนตราเสน่หาประจวบมีท่อนหนึ่งคลึงคล้ายลีลาทมิฬอาถรรพณ์ จึ่งส่งพันธุ์ช่อบุปผาถูกปลุกเสกเป็นอาวุธร้าย”

“แกรู้อยู่แล้ว ใช่ ฤา ไม่ ว่าพระอัครมเหสีลอบกระทำต่ำช้ามาก่อนล่วง จึ่งได้ชักลวงข้าให้นำพระเวทบทนั้นมอบทูลถวาย แท้จริงแกหมายให้วัชระต้องแดดาย จึ่งกลายเป็นข้าคือผู้ลงมือสังหาร”

“ด้วยคำสัตย์ หากข้าจอมมารกระทำดั่งเจ้าหมิ่นแคลน ความพินาศนั่นแล้วจักบังเกิดมี ข้ามิได้รู้ สินะกาวี มิได้เฉลียวใจ แต่...” เจ้ากาวีทรุดเข่าแนบพื้นทราย สายน้ำคันธามาสซัดกรวดว่ายขยับกลิ้งเคลื่อน องครักษ์หนุ่มกำหมัดทุบพื้นทรายครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งชกอกตีศีรษะระบายระทมทุกข์ จอมมารเอื้อมหัตถ์ซีดเซียวลูบโลมเกศา แล้วว่า

“แต่...ข้า ผู้เข้าใกล้วิถีอมตะยิ่งกว่าใครอื่น สามารถช่วยเจ้าได้ เพียงเจ้ามอบคำพยากรณ์ชีวิตข้าที่ต่างไปจากหนแรก โคลงพยากรณ์ที่ดีกว่า”

“ท่านชุบชีพเจ้าวัชระได้หรือหาไม่ ปลุกเขาตื่นจากความตาย” ผวาคว้าชายผ้าคลุมดำวอนขอ หน้านองน้ำตา เจ็บช้ำแก่นอุรา หลงลืมโคลงพยากรณ์พลิกชะตาเสียสิ้น

“ข้ามีอำนาจนั้น สินะกาวี” จอมมารแย้มโอษฐ์พึงใจ “เพียงเจ้ารับใช้ข้า เมื่อเพลานั้นมาถึง สิ่งที่เป็นของๆข้ากลับคืนครบถ้วน แม้นเนิ่นนานเท่าใด วัชรโกมลจักฟื้นคืนดังเจ้าประสงค์”

ดำรัสตรัสหนักแน่นเป็นเหมือนแผ่นหินศิลายึดเหนี่ยวความหวัง เจ้ากาวีก็เร่งพยักหน้าน้อมรับคำทั้งสิ้นทั้งปวง หวังเพียงอย่างเดียว คือได้เห็นเจ้าวัชระยอดชีวิต ยอดดวงใจฟื้นตื่น มาตรแม้นนานชั่วกัปกัลป์ก็ยินยอม

หมอกควันความทรงจำสิ้นสุด ฉุดภาพทั้งหลายหายลับ เหลือเพียงบรรยากาศเยือกเย็นในเรือดำน้ำ ทุกคนก้มหน้าจ้องฝ่ามือตัวเอง ไอ้น้ำยังร้องไห้ไม่หยุดโดยมีภามภพเป็นผู้ปลอบ

“ขอบใจนะ ไอ้กัน” นิธิ สินะกาวี

“อะไรนะ ไอ้พจน์” ปาล์มผู้อยู่ข้างเคียงซักถามเป็นห่วง พจน์เลื่อนสายตามองไอ้เพื่อนสนิท เขาเคยหลงรักมันโดยไม่รู้ตัว แต่บัดนี้พจน์รู้แน่แท้แล้วว่าตัวเองรักใคร

“ขอบใจมึงมาก ไอ้ปาล์ม สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง” มันมองตอบพจน์ค้นหาความหมายในคำพูด “มึงด้วยนะ ไอ้ภาม” เจ้าของชื่อทอดสายตาแล้วพยักหน้า ภพดนัยกำมือดาวไว้ ธนพลสะอื้นไห้ ศาสตราจารย์วิชัยสบตาหลานชาย ทุกคนยังคงถูกสายรัดนิรภัยตรึงไว้กับเก้าอี้ มีชาญณรงค์เป็นผู้บังคับเรือ
 
“แกรู้คำตอบแล้วหรือ ตาพจน์” เด็กหนุ่มตอบรับคำคุณปู่ จดจ้องผลึกสีนิลแตกละเอียดในกำมือ

หมอกควันขาวลึกลับผุดเป็นละอองไอเย็นยะเยือก ความรู้สึกสั่นสะเทือนเหมือนตอนพจน์ข้ามพิภพเป็นหนแรกแทรกเข้าปกคลุม บดบังทุกคนที่พจน์รักลับจากสายตา นำพาเขาทะยานผ่านสายน้ำมหาสมุทรเย็นเยียบ กระแสน้ำเค็มเลียบเล็มไล้ผิวกายเจ้าหนุ่มทุกอณูสัมผัส สรรพเสียงดั่งแหวกว่ายผ่านคลื่นน้ำกระทบโสต เย็น สงบ ดุจใจพจน์เสมอกัน ชั่วระยะหนึ่งจึ่งทะลึ่งพรวดพ้นผืนน้ำ เหินลอยล้ำผ่านคลื่นอากาศบริสุทธิ์ ลมเย็นโอบล้อมกายดั่งสหายรัก ปุยเมฆขาวพร่างพราวดาวเดือนเกลื่อนท้องนภา ต้นไม้ใบหญ้าเหนือผืนดินกว้างใหญ่ แผ่นทวีปใหม่วางอยู่ใกล้แลไกลเบื้องล่าง แล้วเจ้าลมจึงพัดวางพจน์ลงกลางลานเทวาลัยแห่งหนึ่ง แวดล้อมด้วยต้นลีลาวดีชูช่อดอกขาวสะพรั่ง กระถางเหล็กบรรจุกองไฟวางเรียงเป็นแนวทางเดินจรดซุ้มประตูทางเข้าลวดลายอ่อนช้อย

บุรุษผู้หนึ่งแต่งภูษาผ้าคล้องไหล่สีขาวบริสุทธิ์หันหลังให้พจน์ เขาเร่งฝีเท้าเข้าหาด้วยใจระทึก คนผู้ยืนคอยอยู่สัมผัสรู้ถึงผู้มาเยือน จึงขยับเขยื้อนผินหน้ามาหา

พจน์จำได้แล้ว เช่นเดียวกับพระเจ้าวัชรโกมลตรัสบอกกาวี จำได้แล้วว่า ก่อนวัชรโกมลจะถูกโจรป่าดักปล้นระหว่างทางนั้นเกิดสิ่งใดขึ้น

วัชรโกมลอุปราชเมืองมนุษย์อาสาพ่ออยู่หัวเข้าลอบสืบราชการลับ ณ อาณาจักรคนธรรพ์ จึ่งปลอมองค์เป็นพ่อค้าแต่งเกวียนแสร้งทำติดต่อค้าขาย แท้จริงหมายประสงค์สืบข่าวคราวภายในกรุงอนันตาทมิฬ ด้วยแว่วยินว่า กษัตริย์คนธรรพ์มีพระประสงค์ก่อสงครามขยายพระราชอาณาเขต ระหว่างตั้งเกวียนค้าอยู่ด้านท้ายตลาด ผู้คนซื้อหาแน่นขนัด แต่หว่างกลางชุมนุมชนบังเกิดมีหนุ่มรุ่นๆผู้หนึ่ง แม้นแต่งกายด้วยอาภรณ์มอซอเก่าคร่ำ แต่ผิวพรรณผุดผ่องกำยำ ดุจมิเคยต้องแสงพระอาทิตย์กรำงานหนัก ทั้งเครื่องหน้าหมดจด เปล่งรัศมีผ่องเหนือกายคนทุกผู้เป็นที่สะดุดตากระนั้น ทำเอาวัชรโกมลเผลอหยุดจ้องอยู่นาน กระทั่งมีนักเลงประจำย่านร้านตลาดเห็นเจ้าคนผุดผ่องเป็นที่ขวางหูขวางตาจึ่งแสร้งขัดขาหมายใจชวนวิวาท เจ้านักเลงเห็นอีกฝ่ายล้มหน้าคว่ำเซกราดสมคะเนก็ชวนพวกตัวเหเข้ากลุ้มรุม แต่พวกที่มาด้วยเจ้าผุดผ่องยกเท้ายันเข้าช่วยได้ทัน ก่อเหตุตะลุมบอนเป็นที่เอ็ดอึง แผงค้าขายพินาศตามทิศวิวาท จวนถึงแผงร้านวัชรโกมล ยังไม่ทันออกปากข้ารับใช้ที่มาด้วยให้ช่วยเก็บของ ประพฤติคะนองก็ลามมาถึงร้านตนทันที เจ้าผุดผ่องยกเท้าถีบ ทั้งบีบง้างหมัดซัดชกคู่แค้นเป็นสามารถ แต่กำลังฝ่ายตัวมีน้อยผิดต่างหมู่นักเลงท้องถิ่น ซ้ำโดนรุมหนึ่งต่อสองกระนั้นเรี่ยวแรงแม้นกำยำกรำอาวุธมาจนเชี่ยวก็ต้องมีอันลดทอนลง วัชรโกมลเห็นผู้มิได้ริเริ่มก่อเหตุต้องพลอยโดนภัยกระนั้นก็ชักดาบโจนเข้ารับไม้พอง พอนักเลงวรรณะต่ำต้องมาสบกับอาวุธดาบคมกริบไม่เคยเห็น ทั้งฝีมือคล่องแคล่วพอตัวก็รับมือได้ไม่เต็มที่ ชวนเพื่อนร่นถอยไม่เป็นกระบวน ข้ารับใช้วัชรโกมลก็ออกรับดุจเดียวนายตัว จนพวกนักเลงทั้งคลานหนีไม่เป็นท่า หันเหลียวมาทางเจ้าผุดผ่อง เหม่อมองเลือดกลบปากอ้าค้าง วัชรโกมลจึ่งสำคัญคิดได้ว่าผ้าโพกศีรษะคลุมหน้าบังเกิดหลุดลอยระหว่างออกอาวุธก็หลบหันมิให้เจ้าคนผุดผ่องเห็น หมายจะเดินหนี พยักหน้าให้พวกตัวเดินปรี่ไปยังเกวียน มิได้สนเก็บของอันเสียหาย

“ดูก่อนเถิด น้องท่าน”

ติดตามคว้าข้อมือผู้มีบุญคุณได้ก็กล่าวคำทัก วัชรโกมลสะดุ้งไม่นึกว่าจะมีผู้ใดอาจหาญแตะเนื้อต้องตัวตนเช่นนั้นก็ยกดาบข่มให้ปล่อย แต่เจ้าหน้าผุดผ่องกลับยิ้มระรื่นแฝงความนัยผ่านสายตา ยั่วโกรธาให้วัชรโกมลสะบัดขืนตัว

“ปล่อยเรา หาไม่มือเจ้าเห็นจักต้องลงไปกองคลุกกับธุลีดิน”

“กระทำเถิด หากใจน้องท่านประสงค์ดั่งว่า พี่นี้จักไม่ร้องให้เป็นที่ติฉินอายชาติบุรุษ” ยกยิ้มพึงใจ คิ้วแตกเป็นแผลยังหัวเราะขันอยู่ได้พิลึกคนนัก วัชรโกมลก็บิดข้อมือซ้ำยกดาบขู่เป็นคำรบสอง ชาวบ้านร้านตลาดเห็นการวิวาทยุติลงโดยเร็วกระนั้นก็มีอันหันหนีทำธุระตนต่อ ส่วนร้านค้าซึ่งพังพินาศก็ได้สินทรัพย์ปิดปากจากพวกที่มาด้วยกับเจ้าผุดผ่อง

“เมตตารับดอกลีลาวดีไว้เป็นของรางวัลแทนคุณด้วยเถิดเจ้า” วัชรโกมลเห็นบุปผากลิ่นละมุนในฝ่ามือหนาก็คลายอารมณ์โกรธ แลว่า

“เราไม่ประสงค์สิ่งทดแทนใด น้ำใจบุรุษชาตินักรบเพียงเห็นคนดีถูกกระทำลอบกัดดั่งนี้มิอาจทนได้ย่อมเป็นกิจของชายทุกผู้”

“ไม่เพียงรูปโฉมน้องท่านจักเลิศงามแล้ว จิตใจยังงามล้ำยิ่งกว่า วานเถิดหนาแจ้งนามแลรับบุปผาด้อยราคาไว้ด้วยจักเป็นคุณอย่างสูง” วัชรโกมลกดปากแน่น พิจารณารูปลักษณ์คนผู้ตนสู้เสี่ยงภัยเข้าช่วยโดยตลอด ก็พลันวูบโหวงในอก อ้ำอึ้งนิ่งคิดอยู่นาน

“ข้า...”

“ข้ายินว่าท้ายตลาดประตูวังทิศทักษิณ มีหนุ่มรูปงามค้าแพรไหมผู้หนึ่งเป็นที่โจษจันทั้งเวียงวัง หามีใครชังน้ำหน้าไม่ ซ้ำขายดีเป็นเทน้ำเทท่าร่ำลือนัก หวังประจักษ์ให้เห็นกับตาตนจึ่งดั้นด้นมาหา ครั้นเห็นวงพักตร์เจ้าวาณิชเพียงแวบหนึ่งจึ่งรู้ว่าคือ คู่ตุนาหงันในฝัน มิผิดตัว”

ครั้นเห็นอีกฝ่ายเกี้ยวพาลชอบกลกระนั้น ก็กระทืบเท้าเหนือเท้าเจ้าหนุ่มกายผ่อง แล้วยันซ้ำกลางแผงท้อง ต้องหลุดจากพันธนาการ วัชรโกมลได้ทีก็โหนอาชาควบม้าพุ่งผ่านหนีไป ติดตามด้วยบริวารรับใช้
 
วัชรโกมลคะนึงในถ้อยคำเจ้าผุดผ่อง นึกตรองแล้วพักตร์ร้อนผะผ่าว แต่เจ้าคนขาวปะครั้งแรกวัชรโกมลก็รู้สึกถูกชะตาอย่างประหลาด โดนพระบาทยันเต็มแรงถึงขนาดคงจุกมิใช่น้อย ตริแล้วก็ผุดรอยแย้มหวานโดยมิรู้องค์ หว่างนำขบวนติดสอยห้อยตามด้วยเกวียนบรรทุกสินค้าดั่งหนึ่งวาณิช ขับผ่านป่าเขารกชิดแม้นเป็นกลางวันบ่ายคล้อยแต่ร้างไร้ผู้คนสัญจรเป็นที่ผิดสังเกต ระแวดระวังมิได้หละหลวมแล้วก็เร่งขับอาชาผ่าน ทันใดกลุ่มคนชุดดำปิดบังอำพรางหน้าก็โจนพรวดเข้าขวางขบวน ขยายล้อมไว้แน่นหนา หัวหน้าโจรลักษณะไหล่กว้างสูงใหญ่ เหน็บทวนแหวกทางตรงเข้าหาวัชรโกมล พลางกล่าวว่า

“เพียงแรกพบสบตาผวาตื่น พระพี่ฝืนข่มใจไม่หันเห สุริยันจันทรามืดมัวเพ ลาเจ้าน้องจ้องเสสมันไพร” เพียงได้ยินกลอนพร่ำพลอดสอดนัยน์ตาก้อร่อก้อติกฉะนั้น วัชรโกมลก็จดจำได้ทันทีว่าเป็นเจ้าผุดผ่องกลางตลาด ใจหนึ่งนึกโกรธ แต่อีกใจกลับเต้นตึกๆพิกลนัก นิ่งฟังอยู่นานไม่ทันเจรจาตอบ เจ้าคนลักษณะอย่างหัวหน้าโจรก็พร่ำคำกลอนต่อ
 
“ดั่งห้วงกาลลาลับดับตะวัน ศัพท์เสียงพลันวูบเงียบกระสันไหว...”

“ไอ้โจรชั่วช้า” เจ้ากาวีหนุ่มชักม้าเข้าขัดขวาง


ภัทรพจน์ยกยิ้มให้แก่บุรุษผู้ยืนอยู่เบื้องหน้าซุ้มทวารา คือใบหน้าอย่างเดียวกับเจ้าผุดผ่อง คือพระพักตร์พระเจ้าอนันตราช พระเจ้าพัชรพรรดิ พระเจ้าโกสันต์ และ... มาตะผินหน้าพินิจพจน์ด้วยพิศวง ชั่วครู่หนึ่งจึ่งเผยผุดพรายรอยยิ้ม พจน์โผกายเข้าอ้อมกอดมาตะ คู่ครองทุกชาติภพ คู่รบคู่รัก คนซื่อผู้ภักดี


- จบ -


เพจนิยาย (https://www.facebook.com/Teansakorn/)


_____________________________________

คู่ตุนาหงัน : คู่หมั้น

_____________________________________

ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

ไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาเกริ่นกล่าว นอกจากคำว่า ขอบคุณ ขอบคุณสำหรับผู้อ่านทุกๆท่าน หากไม่ได้พวกท่านทั้งหลาย นิยายเรื่องนี้คงไม่สามารถดำเนินมาถึงบทสรุปในตอนสุดท้ายได้ ทุกคำติ คำชี้แนะต่างๆผมจะเก็บไว้เป็นข้อมูลในการพัฒนางานเขียนต่อๆไป ไม่อยากเอ่ยคำนี้จริงๆ ลาก่อน ครับ แล้วเราคงจะได้พบกันอีกในผลงานเรื่องถัดไป สวัสดี...

ปล. หากเวลาใดคิดถึงพจน์ มาตะ และตัวละครทุกตัวในเรื่องนี้ก็อย่าลืมแวะมาเยี่ยมเยือนพวกเขาบ้างนะครับ อย่าปล่อยให้พวกเขาอ้างว้างโดดเดี่ยว แม้นนิยาย ข้ามพิภพ จะจบลงแต่หวังว่าจะยังคงโลดแล่นอยู่ในใจของผู้อ่านทุกท่านตลอดไป

มีปัญญาคาใจอยู่หนึ่งประโยค  โจรคือใครอ่ะ  5555  พระเจ้าอนันตนคราช ก็ตายตามไปติดๆหรือ  ตรงนี้ก็งงๆนะ
หวังว่าคุณจะได้คำตอบแล้วนะครับว่า ใครคือเจ้าโจรนั่น ส่วนพระเจ้าอนันตราชทรงสวรรคต ณ วินาทีนั้นหรือเปล่านั้น ยังครับ ทรงมีพระชนม์ชีพต่ออีกหลายปี แต่ไม่มีวันใดจะทรงลืมวัชรโกมลจวบลมหายใจสุดท้าย ขอบคุณจริงๆครับที่ติดตามอ่านมาจนถึงตอนจบนี้ ไม่มีสิ่งใดตอบแทนนอกจากคำคำนี้จริงๆ ขอบคุณ ขอบคุณมากๆครับ แล้วถ้ามีโอกาสคงได้มีผลงานให้ติดตามกันอีก

อ่ออิ เข้าใจแล้ว ถึงอดีตชาติของทั้งสองคน เศร้ามากกกก
ดีใจที่ช่วยคลายความสงสัยในใจคุณได้ สุดท้ายไม่มีคำใดจะเหมาะสมเท่ากับคำขอบคุณที่อุตส่าห์ติดตามนิยายขนาดยาวประมาณนี้จนถึงบทสรุป ไว้มีโอกาสคงได้มีงานเขียนเรื่องอื่นๆให้ติดตามอีกนะครับ

เห้อออ!! รักเมื่อมองจากอีกมุมหนึ่ง มันก้อมีเหตุผลของมันอีกเช่นกันอ่าเนาะ
ครับ จริงๆ ความรักมิได้มีมุมๆเดียว หากมองให้กว้างหลายด้านๆแล้วล่ะก็ เราจะพบคำตอบ พบหนทางดับปัญหาต่างๆได้ เพียงแค่ลองเปิดใจให้กว้างก็เท่านั้น ขอบคุณมากๆครับสำหรับการติดตามจนถึงขนาดนี้ หวังว่าจะได้มีโอกาสเข็นงานเขียนเรื่องอื่นมาสร้างอรรถรสให้คุณได้อีก สวัสดีครับ

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 01-11-2016 10:03:46
จบแล้วงือออ คนเขียน เขียนดีมากอ่ะ เราเป็นคนไม่เก่งภาษาไทยพอมาอ่านเรื่องนี้รู้สึกว่าภาษาเรื่องนี้โดดเด่นกว่าเรื่องอื่นมากเลย

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: kanyakorn24 ที่ 01-11-2016 11:29:55
แล้วพวกคุณปู่รอดมั้ยอะ?? คือพจน์มาตะไม่เกิดใหม่แล้ว?? :katai1: :really2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: flowerloveyaoi ที่ 01-11-2016 11:46:40
ขอบคุณที่เขียนนิยายภาษาดีๆให้อ่านค่ะ :bye2: :hao6:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 01-11-2016 14:54:50
จบแล้วจิงหรา ไม่มีตอนพิเศษเลยหรา ต้องมีเนาะมันยังไม่สุดงะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 01-11-2016 15:39:27
จบแล้วววว ดีงามสุดท้ายก็ได้เจอกัน มาตะคนซื่อ กริ๊ดดด ยังไงก็ยังสงสารกันอยู่ดี คุณปู่นี้ไม่รอดใช่ไหมหรือยังไง คนเขียนจะมีตอนพิเศษให้ไหมค่ะ  :mew2:
ปล. คุณคนเขียนมีโครงการเรื่องใหม่หรือยัง จะรอติดตามจ๊ะ  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: Inwoสูs ที่ 01-11-2016 18:38:49
เดี๋ยวๆๆ จบแล้วหรอ เรายังอ่านค้างอยู่ตอน 20 กว่าเอง ไปอ่านก่อนเดี๋ยวตามไม่ทัน   :katai1:

-----

คู่กันแล้วไม่แคล้วกันหรอก ไม่ว่าจะภพไหนๆ เนอะ

 :L2: ขอบคุณคนเขียนสำหรับเรื่องดีๆ ที่นำมาให้อ่าน ให้ติดตาม ทั้งภาษาและข้อคิดทั้งหลาย

ขอบคุณนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 02-11-2016 18:54:39
ขอบคุณมากๆนะคับ  ชอบสุดๆเลยฮะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: kothan ที่ 03-11-2016 15:43:56
สนุกมากแต่ งงนิดๆ เริ่มต้นด้วยฉากสู้รบของมหาสงครามของมาร เทพและมนุษย์ ทำให้คิดว่านั้นคือฉากสุดท้ายของเริ่อง ก่อนสิ้นสุดมหาสงคราม แล้วย้อนมาที่ปัจุบันก่อนเกิดมหาสงครามก่อนเกิดน้ำท่วมโลก. แต่จอมมารตายแล้วแล้วสงครามที่เปิดเริ่องคืออะไร
หรือคือจุดเริ่มต้นที่มหาพิภพถูกหยุดเวลาเหรอ แต่ตอนที่พจน์ข้ามไปครั้งแรกแล้วทำให้เวลาในมหาพิภพเดินอีกครั้งก็สงบดีนี่แล้วสงครามต้นเรื่องคือช่วงเวลาไหน
มันเหมือนคนละเรื่องเลยอ่ะ. ถ้าเข้าใจผิดยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ
สนุกมากๆ เข้าใจตอนจบแต่ งงนิดหน่อย
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 03-11-2016 22:51:39

จบแล้ว.......

ภาษาสวยมากขอรับ

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: ชัดเจนกาบ ที่ 06-11-2016 12:15:15
เป็นตอนจบที่อ่านแล้วไม่เข้าใจเลย  ขนาดอ่านหลายรอบนะเนี้ย  จบแล้วสินะ  อาจจะผิดหวังสักหน่อย  แต่มันก็จบในแบบของมัน  เพราะทุกสิ่งได้จบลงแล้ว 
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: express_men ที่ 16-11-2016 13:35:34
ขอบคุณสำหรับงานเขียนดีๆครับ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 02-12-2016 13:40:21
ช่วงพูดคุยตอบคำถาม

จบแล้วงือออ คนเขียน เขียนดีมากอ่ะ เราเป็นคนไม่เก่งภาษาไทยพอมาอ่านเรื่องนี้รู้สึกว่าภาษาเรื่องนี้โดดเด่นกว่าเรื่องอื่นมากเลย

 :pig4: :pig4:
ขอบคุณครับ หวังใจเป็นอย่างยิ่งว่านิยายเรื่องนี้จะทำให้คุณรักภาษาไทยมากยิ่งขึ้นนะครับ บรรพบุรุษของเรารังสรรค์สมบัติล้ำค่าขนาดนี้ไว้ เราอนุชนรุ่นหลังอย่าหลงลืมใช้คำให้ถูกต้อง แล้วหวังว่าจะมีโอกาสได้มอบความบันเทิงให้แก่คุณอีกในเรื่องถัดไป

แล้วพวกคุณปู่รอดมั้ยอะ?? คือพจน์มาตะไม่เกิดใหม่แล้ว?? :katai1: :really2:
ฉากตอนจบอาจคลุมเครือ จนก่อให้คุณเกิดคำถามนี้ขึ้นมาว่า คุณปู่ ภพดนัย น้องสาว และเพื่อนๆของพจน์ที่อยู่ในเรือดำน้ำจะรอดชีวิตมั๊ย เท่าที่ลองทวนอ่านก็ไม่ได้บอกว่า ไม่รอดนี่ครับ เพราะเรื่องราวตัดจบที่พจน์กลับไปหามาตะพอดี เอาเป็นว่า น่าจะรอดแล้วกันเนอะ ส่วนคำถามว่า พจน์กับมาตะ ไม่ เกิดใหม่แล้ว ถ้าผมเข้าใจคำถามตามจุดประสงค์ของคุณถูกต้องล่ะก็ขอตอบว่า ชาติภพนี้จะเป็นภพสุดท้ายที่พวกเขาสองคนจะได้เจอกัน และไม่มีการกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ถือว่าเป็นอันสิ้นสุดครับ

ขอบคุณที่เขียนนิยายภาษาดีๆให้อ่านค่ะ :bye2: :hao6:
ดีใจที่ทำให้คุณชอบครับ และยิ่งดีใจขึ้นไปอีกที่คุณชื่นชอบในภาษา ซึ่งผมพยายามเลือกเฟ้น ขัดเกลาอย่างเต็มความสามารถเลยทีเดียว หวังว่าจะสร้างอรรถรสทางเรื่องราวและถ้อยคำไม่มากก็น้อยนะครับ

จบแล้วจิงหรา ไม่มีตอนพิเศษเลยหรา ต้องมีเนาะมันยังไม่สุดงะ
เนื้อหาและเรื่องราวที่วางไว้ก็จบตามที่คิดไว้โดยบริบูรณ์ สมกับที่ตั้งใจ ถ้าหากจะมีตกหล่นปมเล็กๆน้อยๆที่ไม่ค่อยสำคัญกับเนื้อเรื่องโดยรวมผมขอยกไว้ให้ผู้อ่านได้จินตนาการได้เต็มที่เลยครับ ส่วนที่ว่าจะมีตอนพิเศษหรือเปล่านี่ ถ้าเรียกร้องกันมาเยอะๆก็อาจจมีให้ชมให้หายคิดถึงในโอกาสเอื้ออำนวยนะครับ คำว่า สุด ของคุณ ต้องยังครับ แหะๆ เอาเป็นว่า รอติดตามละกันครับ อาจมีเซอร์ไพรส์ อิอิ

จบแล้วววว ดีงามสุดท้ายก็ได้เจอกัน มาตะคนซื่อ กริ๊ดดด ยังไงก็ยังสงสารกันอยู่ดี คุณปู่นี้ไม่รอดใช่ไหมหรือยังไง คนเขียนจะมีตอนพิเศษให้ไหมค่ะ  :mew2:
ปล. คุณคนเขียนมีโครงการเรื่องใหม่หรือยัง จะรอติดตามจ๊ะ  :mew1: :mew1:
กัน เป็นตัวละครที่สามารถเห็นได้ในชีวิตจริง คือ รักคนที่เขาไม่รักเรา ซึ่งส่วนใหญ่ทั้งผู้เขียนหรือผู้อ่านก็ต้องเคยผ่านประสบการณ์ทำนองนี้มาบ้างแล้ว จึงนับว่าสามารถมีอารมณ์ร่วมและเข้าใจความรู้สึกกันได้ดีสมควร ไม่แปลกที่คุณจะสงสารเค้า แต่ไม่มีชัยชนะใดไม่แลกมาด้วยความเสียสละ แต่ความรักจะยังยืนนานตราบนานเท่านาน จริงไหมครับ ส่วนประเด็นคุณปู่และผองเพื่อนในเรือดำน้ำ ถ้าจะให้เดาตอนนี้ก็ไม่อาจสรุปได้ชัด เพราะเรื่องราวตัดจบไปซะก่อน งั้นคงสรุปได้เพียงว่าน่าจะรอดนะครับ เนื่องจากไม่มีหลักฐานใดๆว่าเรือดำน้ำจะเกิดอุบัติเหตุหรือไม่ถึงจุดหมาย ตามนี้ละกันนะครับ สำหรับตอนพิเศษ มีเรียกร้องมาสองท่าน ถ้าได้สักสิบเสียงก็น่าจะมีออกมาให้ชมกันนะ อิอิ
สำหรับเรื่องใหม่ ก็นี่เลยครับ รักเลิฟจุลินทรีย์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54981.0) ยังไม่จบ (วัยรุ่น-ปัจจุบัน) กับ พราหมณ์ขายเมีย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56461.msg3509825#msg3509825) ยังไม่จบ (ย้อนยุค) ฝากติดตามด้วยนะครับ

เดี๋ยวๆๆ จบแล้วหรอ เรายังอ่านค้างอยู่ตอน 20 กว่าเอง ไปอ่านก่อนเดี๋ยวตามไม่ทัน   :katai1:

-----

คู่กันแล้วไม่แคล้วกันหรอก ไม่ว่าจะภพไหนๆ เนอะ

 :L2: ขอบคุณคนเขียนสำหรับเรื่องดีๆ ที่นำมาให้อ่าน ให้ติดตาม ทั้งภาษาและข้อคิดทั้งหลาย

ขอบคุณนะ  :กอด1:
ดีใจที่คุณติดตามอ่านจนจบนะครับ แม้จะทิ้งค้างไว้ตั้งแต่ตอนที่ ๒๐ จริงครับ ที่ว่า คู่กันแล้วยังก็ไม่แคล้วกันไปได้ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคขวากหนามมากมายเท่าใด แต่ลองกลับมาดูในชีวิตจริง ก็หาได้ยากนะครับสำหรับคำว่า คู่แท้ ซ้ำบางทีไม่รู้ว่าชาตินี้จะได้เจอหรือเปล่าก็ไม่รู้ ให้กำลังใจคนที่ยังไม่เจอนะครับ รอกันต่อไป อิอิ

ขอบคุณมากๆนะคับ  ชอบสุดๆเลยฮะ
ดีใจที่คุณชอบครับ ยังไงก็ฝากติดตามผลงานเรื่องอื่นๆของผมด้วยน้า

สนุกมากแต่ งงนิดๆ เริ่มต้นด้วยฉากสู้รบของมหาสงครามของมาร เทพและมนุษย์ ทำให้คิดว่านั้นคือฉากสุดท้ายของเริ่อง ก่อนสิ้นสุดมหาสงคราม แล้วย้อนมาที่ปัจุบันก่อนเกิดมหาสงครามก่อนเกิดน้ำท่วมโลก. แต่จอมมารตายแล้วแล้วสงครามที่เปิดเริ่องคืออะไร
หรือคือจุดเริ่มต้นที่มหาพิภพถูกหยุดเวลาเหรอ แต่ตอนที่พจน์ข้ามไปครั้งแรกแล้วทำให้เวลาในมหาพิภพเดินอีกครั้งก็สงบดีนี่แล้วสงครามต้นเรื่องคือช่วงเวลาไหน
มันเหมือนคนละเรื่องเลยอ่ะ. ถ้าเข้าใจผิดยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ
สนุกมากๆ เข้าใจตอนจบแต่ งงนิดหน่อย
ที่คุณสงสัยว่า สงครามในฉากเปิดเรื่องนั้นเกิดขึ้นตอนไหน คือ เกิดก่อนที่มหาพิภพจะถูกหยุดเวลาและล่มลงสู่ใต้มหาสมุทรนั่นแหละครับ พอพจน์ข้ามพิภพกลับไป ทุกสิ่งอย่างก็เริ่มดำเนินต่อมา แต่สงครามตอนเปิดเรื่องนั้นเกิดขึ้น ณ กลางมหาพิภพ มิได้รบพุ่ง ณ อาณาจักรสุวรรณครา สถานที่ที่พจน์ข้ามพิภพไปเจอมาตะ ซึ่งมหาสงครามนั้นฆ่าฟันห่างไกลอยู่พอสมควร โดยเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ได้ส่งกองทัพไปรบพุ่งด้วย ดังจะได้เห็นว่า มีตัวละครหลายตัว ได้กล่าวถึง สงครามนั้นอยู่บ้าง เช่น

อ้างถึง
“เอาเถิด คำตอบนี้เจ้าสองคงล่วงรู้กันต่อกันโดยดีแล้ว เสียดายก็แต่พี่ชายเจ้าอีกคนที่บัดนี้ยังมิมีบุญจักได้เห็นบุรุษผู้ครองนัยน์ตาสีน้ำตาล คงมีกรรมใดบัดบังอยู่เป็นแน่จึ่งพลาดพลั้งคลาดคราทุกทีไป ยินว่ามีราชการงานด่วนให้ประจำ ณ เมืองท่าชายฝั่ง”
“เป็นเช่นนั้น มาลีพี่ท่าน”
“สงครามครั้งนี้กำลังสร้างความอกสั่นขวัญแขวนสู่ทุกเย้าเรือน” มาลีตีสีหน้าเครียดขรึม ก่อนจักยิ้มกว้างโปรยเสน่ห์อีกครั้ง


อ้างถึง
“ในเพลาบ้านเมืองกำลังเผชิญศึกสงครามไกลโพ้นกระนี้ หามีคนประเภทอย่างท่านว่า ตรองดูแล้วนับได้เพียงหยิบมือ ด้วยวิสัยเอาตัวรอดเมามัวสนแต่ความสุขส่วนตนเป็นที่ตั้ง มิได้พึงระลึกถึงกิจการบ้านเมืองอันหน้าสิ่วหน้าขวาน ตริแต่เพียงว่าผืนปฐพีอาณาจักรสงบสุขร่มเย็นจึ่งใช้เพลาราชการสำมะเลเทเมาไร้แก่นสาร แต่หารู้ไม่ว่า มหาศึกกลางพิภพกำเนิดเกิดขึ้นแล้ว แหละในไม่ช้าหากเราต่างเพิกเฉยมิฝึกปรือ ฤา เตรียมพร้อมให้จงหนัก คราวมหาภัยเหยียบย่ำถึงขอบขัณฑสีมาก็สายเกินแก้เสียแล้วดั่งนี้" เป็นคำพูดของนายกองธวัชฉัตร
เป็นต้น ครับ


จบแล้ว.......

ภาษาสวยมากขอรับ

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ
ขอบคุณครับ แล้วฝากติดตามผลงานเรื่องอื่นๆด้วยนะครับ

เป็นตอนจบที่อ่านแล้วไม่เข้าใจเลย  ขนาดอ่านหลายรอบนะเนี้ย  จบแล้วสินะ  อาจจะผิดหวังสักหน่อย  แต่มันก็จบในแบบของมัน  เพราะทุกสิ่งได้จบลงแล้ว
ต้องขออภัยที่ทำให้คุณอ่านแล้วไม่เข้าใจ ถึงขนาดต้องอ่านหลายรอบก็ยังไม่เข้าใจอีก อย่าเก็บงำข้อสงสัยนั้นไว้ในใจเลยครับ ถามผมมาได้เลย หากตอบได้ก็จะตอบให้แจ้งใจ โอ้ ถึงกับขนาดผิดหวังเลยหรือครับ นับว่า ผมเขียนได้แย่พอสมควรที่ทำให้แฟนนิยายอย่างคุณหลุดคำนี้ออกมาได้ วานช่วยแนะนำติข้ออันก่อให้คุณรู้สึก ผิดหวัง นั้นมาเถิด ครับ ผมจะได้รู้และเอาไปปรับปรุงในนิยายเรื่องถัดไป หากไม่พูดไม่บอกกันแล้ว ทุกอย่างก็จะสับสนกันสืบต่อไปไม่รู้จบ
จะบอกว่าจบในแบบของมัน ตรงนี้ผมก็ขอยอมรับแต่โดยดี เพราะทุกอย่างได้ปูทางมาเช่นนั้น พร้อมเหตุผลรองรับอยู่ แต่จะให้คุณรู้สึกผิดหวังกับตอนจบนั้น ผมรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง ตรงไหนที่ช่วยผ่อนคลายความผิดหวังของคุณได้ กรุณาถามมาเถอะครับ จะเป็นพระคุณอย่างสูงยิ่ง

ขอบคุณสำหรับงานเขียนดีๆครับ
ขอบคุณมากๆครับ ที่ติดตามอ่านมาจนจบ


หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: DESZCZ ที่ 04-12-2016 19:48:21
เข้ามาอ่านอีกทีหลังจากหายไปนานมาก เรื่องนี้ก็จบไปละ เปิดเข้ามาก็ตกใจมาก ไม่คิดว่าจะจบเร็วขนาดนี้ เสียใจที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้มาตามต่อจนจบเพราะเรื่องราวที่เข้ามาไม่หยุดหย่อน

ก่อนอื่นเลยต้อง....ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ สำนวนเพราะๆแบบนี้นะคะ เรื่องแนวแบบนี้หาอ่านยากมากน้อยนะที่จะเห็นคนแต่งด้วยสำนวนไทยๆแบบนี้ และคุณก็ทำมันได้จนจบ อย่างที่เคยบอกมาตั้งแต่ต้นว่าชอบสำนวนของเรื่องนี้มาก มันมีความเป็นเอกลักษณ์และไม่เหมือนใครดี ต้องค่อยๆทำความเข้าใจในตัวอักษรและเนื้อหาที่คุณได้เขียนลงไปจนเกิดเรื่องราว คุณทำได้ดีจริงๆนะ

สำหรับตัวเราคิดว่าจบแบบนี้คงจะดีที่สุดแล้ว อ่านมาตั้งแต่ที่ปราบจอมมารลงได้เพื่อนๆที่เสียสละเพื่อให้คนอื่นๆรอด จนถึงตอนจบมันเหมือนได้ปล่อยวางซะที เป็นความรู้สึกที่โล่งใจและดีแล้วที่เป็นแบบนี้ อาจจะยังค้างคาสำหรับเรื่องที่ว่าชาติสุดท้ายของทั้งคู่ที่จะได้เจอกัน แล้วหลังจากนี้พจน์จะไปไหนต่อ หรือว่าอีกโลกนึงจะเป็นยังไงหลังจากที่พจน์ส่งมาตะกลับไป แต่เราจะไม่คิดอะไรต่อแล้ว ตอนจบมันทำให้ทุกอย่างจบแล้วจริงๆ
 o13 :bye2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 04-12-2016 20:32:56
เรางงตอนจบค่ะ แหะๆ ไม่ใช่คนเขียนเขียนไม่ดีนะคะ เราแค่ไม่ถนัดเนื้อเรื่องแนวนี้ เลยตามไม่ค่อยทัน

ตอนจบพจน์ตัดสินใจย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น ถูกไหมคะ? ถ้าถูกต้อง เราไม่เข้าใจอ่ะค่ะ กลับไปทำไม? เพื่อแก้ไขอดีต??? แล้วทำไมอยู่ๆดีย้อนเวลาได้? (นึกว่าข้ามภพได้อย่างเดียว)

ใครใจดี ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยน้า  :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: Shumi ที่ 05-12-2016 14:36:21
อ้าวววววว จบแล้ว

บางฉาก มีภาษาแปลก ๆ ครับ คล้ายขัดกัน ทำให้การอ่านสะดุดเล็กน้อย บทกลอน ส่วนใหญ่ค่อนข้างสละสลวย งดงาม เห็นภาพชัด แต่มีบางวรรคที่แปลกนิดหน่อย อ่านแล้วสะดุด ๆ ครับ

เนื้อเรื่อง ค่อนข้างตื่นเต้น น่าติดตามครับ แต่ช่วงหลัง ๆ เหมือนเร่งให้จบไปนิดหน่อย

ชอบฉากเรือดำน้ำครับ ตื่นเต้นดี เหมือนอยู่ในห้องโดยสารด้วย อารมณ์ประหนึ่งอยู่ในภาพยนตร์ฮอลลีวู๊ด ฉากวันสิ้นโลก
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 06-12-2016 04:37:32
ขอบคุณเรื่องราวดีๆค่ะ

รัก...มาตะคนซื่อ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 06-12-2016 16:33:17
เค้าอ่านแล้วงงๆ อาจจะไม่เข้าใจภาษากลอน 5555+
แต่โดยรวมสนุกค่ะ  ถึงจะอ่านยากไปนิส
เค้าตกภาษาไทย 5555+
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 14-12-2016 13:57:21
ขอบคุณคนเขียนที่เขียนนิยายดีๆแบบนี้ออกมา ขอบคุณมากค่ะ :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 31-12-2016 12:58:02
อยากอ่านตอนพิเศษแล้วคับ....มาเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-01-2017 14:13:47
 :pig4 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 13-07-2017 18:35:28
อ่านจบแล้ว เล่นเอามึนไปกับภาษาอยู่เหมือนกัน ใช้ภาษาได้ดีนะ แต่คนอ่านเองนี่แหละที่ไม่ค่อยชินกับภาษาแบบนี้เลยงง ๆ

 :hao4: :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: lnwgreankak ที่ 16-07-2017 04:27:53
ถึงกับสมัครสมาชิกเพราะนิยายเรื่องนี้
รัก ภัทรพจน์ รักมาตะ รักกาวิน
รักทุกสิ่ง ที่ประกอบเป็นเรื่องนี้
รักผู้เขียน .. ที่สุด
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: knoxziekanoon ที่ 16-07-2017 18:21:57
เป็นนิยายที่ครบทุกรสคะ อ่านแล้ววางไม่ลง สนุกมากๆคะ ขอบคุณนะค่ะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: Marri ที่ 19-07-2017 17:20:26
จบแล้วหรือออออ ก่อนอื่นต้องบอกคนเขียนก่อนนะคะว่า 'นวนิยาย' (คือแบบต้องใช้คำนี้อ่ะ) เรื่องนี้มันทำให้เราหน่วงในใจแปลกๆ มันดีมากเลยค่ะ ภาษาไทยเก่าแบบนี้เขียนได้ยังไงค่ะ 555 ต้องอยู่กับมันนานแค่ไหนกันถึงจะใช้ภาษา คำพูดที่สำบัดสำนวนเปรียบเปรยได้อย่างนั้น แล้วไหนจะพล็อตเนื้อเรื่องตามเหตุตามผลที่คุณเขียนอีก เราเสียใจมากเลยกับการเสียสละไม่ว่าของใครก็ตาม ร้องไห้ตามเลย ยิ่งมาคิดถ้าเราเป็นพจน์ แล้วเห็นเพื่อนเสียสละแบบนั้นต่อหน้าต่อตา เราจะเป็นยังไง มันคงโคตรแย่มากเลย แต่ยังไงสุดท้ายก็รักกันได้ใช่ไหมค่ะ จบแบบให้คิดต่อ อยากบอกให้คุณรู้ว่าสิ่งที่คุณเพียรเขียนจนจบมันสมบูรณ์แบบจริงๆ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่บรรจงรายละเอียดให้เราอ่าน ยกนิ้วให้เลยค่ะ ถ้ามีนิ้วโป้งสิบนิ้วจะให้ทั้งสิบนิ้ว

ปล.อ่อ ลืมบอกไปเพลงคำหวานตอนนี้กลายเป็นเพลงที่เราชอบมากเลยล่ะคะ จะติดตามผลงานดีๆแบบนี้ต่อไปนะคะ  o13 o13 o13 :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 05-10-2017 09:25:47
ภาษาเรื่องนี้สวยมากค่ะ
หาอ่านแบบนี้ได้ยากมาก
ติดอยู่ที่บางช่วงปมซัอนเยอะจนมึน
และก็ตอนจบแอบงงๆ
แบบย้อนไปช่วงอนันตราช
แล้วกลับมาตอนปัจจุบัน
แล้วคนอื่นๆในเรื่องล่ะ
อย่างฝั่งพจน์และฝั่งมาตะ
ใครเป็นอะไรยังไงต่อ
อยากให้มีตอนพิเศษมาขยายความเพิ่มหน่อยน่ะค่ะ
เพราะมีประเด็นที่ค้างคาแบบนี้
แล้วคำพยากรณ์ที่คุณปู่บอกว่า
คนที่ช่วยพิภพที่อยู่ให้รอดได้
อยู่บนมหาพิภพ ให้ตามหาเค้าจะช่วยเหลือ
อันนี้ยังงงว่าใครอยู่เลยค่ะ
ยังไงก็รออ่านอีก 2 เรื่องที่กำลังแต่งอยู่นะคะ
คาดหวังว่าจะมีตอนพิเศษช่วยไขความกระจ่างนะคะ
หัวข้อ: Re: >>>>ข้ามพิภพ<<<< บทส่งท้าย (๐๑/๑๑/๕๙) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 20-10-2017 15:12:53
ช่วงเก็บตกตอบคำถาม

เข้ามาอ่านอีกทีหลังจากหายไปนานมาก เรื่องนี้ก็จบไปละ เปิดเข้ามาก็ตกใจมาก ไม่คิดว่าจะจบเร็วขนาดนี้ เสียใจที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้มาตามต่อจนจบเพราะเรื่องราวที่เข้ามาไม่หยุดหย่อน

ก่อนอื่นเลยต้อง....ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ สำนวนเพราะๆแบบนี้นะคะ เรื่องแนวแบบนี้หาอ่านยากมากน้อยนะที่จะเห็นคนแต่งด้วยสำนวนไทยๆแบบนี้ และคุณก็ทำมันได้จนจบ อย่างที่เคยบอกมาตั้งแต่ต้นว่าชอบสำนวนของเรื่องนี้มาก มันมีความเป็นเอกลักษณ์และไม่เหมือนใครดี ต้องค่อยๆทำความเข้าใจในตัวอักษรและเนื้อหาที่คุณได้เขียนลงไปจนเกิดเรื่องราว คุณทำได้ดีจริงๆนะ

สำหรับตัวเราคิดว่าจบแบบนี้คงจะดีที่สุดแล้ว อ่านมาตั้งแต่ที่ปราบจอมมารลงได้เพื่อนๆที่เสียสละเพื่อให้คนอื่นๆรอด จนถึงตอนจบมันเหมือนได้ปล่อยวางซะที เป็นความรู้สึกที่โล่งใจและดีแล้วที่เป็นแบบนี้ อาจจะยังค้างคาสำหรับเรื่องที่ว่าชาติสุดท้ายของทั้งคู่ที่จะได้เจอกัน แล้วหลังจากนี้พจน์จะไปไหนต่อ หรือว่าอีกโลกนึงจะเป็นยังไงหลังจากที่พจน์ส่งมาตะกลับไป แต่เราจะไม่คิดอะไรต่อแล้ว ตอนจบมันทำให้ทุกอย่างจบแล้วจริงๆ
 o13 :bye2:
ยินดีที่คุณกลับมาอ่านต่อจนจบนะครับ จะด้วยเหตุใดก็ตามแต่ที่ทำให้คุณหยุดอ่าน หากทว่านิยายข้ามพิภพสามารถสร้างความสุข สนุก แก่คุณได้ในตอนท้าย ผมก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วครับ เป็นอีกหนึ่งเสียงสะท้อนเช่นกัน ที่ว่า นิยายเรื่องนี้อ่านยาก ทั้งด้วยภาษา สำนวน และเรื่องราวซับซ้อน ล้วนเป็นอุปสรรคแก่การอ่านทั้งสิ้น จนอาจทำให้ผู้อ่านคนอื่นๆที่หลงเข้ามาท้อใจและเลิกติดตามไปในที่สุด ซึ่งนั่นนับเป็นจุดอ่อนอย่างสำคัญในนิยายเรื่องนี้ก็ว่าได้ กระนั้นผมก็หวังเพียงว่าความยากจนก่อเป็นอุปสรรคนี้จักเป็นเครื่องผลักดันให้ผู้อ่านอยากเอาชนะและอ่านมาจนถึงบทสุดท้ายจนได้ ส่วนคำถามคาใจที่ว่า หลังจากนี้พจน์จะไปไหนต่อ หรือว่าอีกโลกหนึ่งจะเป็นยังไงนั้น เนื่องจากบทสรุปเรื่อง ข้ามพิภพ นั้นจบลงจริงแล้ว ตามโครงเรื่องที่คิดไว้ แต่เมื่อไม่นานมานี้ผมได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ยังมีแง่มุมและสารสำคัญอีกประการที่สามารถเล่าได้อีก จึ่งเกิดเป็น ภาคต่อ ในชื่อเรื่องว่า มาตะวัน ยังไงฝากติดตามและหาคำตอบที่คุณสงสัยด้วยนะครับ

เรางงตอนจบค่ะ แหะๆ ไม่ใช่คนเขียนเขียนไม่ดีนะคะ เราแค่ไม่ถนัดเนื้อเรื่องแนวนี้ เลยตามไม่ค่อยทัน

ตอนจบพจน์ตัดสินใจย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น ถูกไหมคะ? ถ้าถูกต้อง เราไม่เข้าใจอ่ะค่ะ กลับไปทำไม? เพื่อแก้ไขอดีต??? แล้วทำไมอยู่ๆดีย้อนเวลาได้? (นึกว่าข้ามภพได้อย่างเดียว)

ใครใจดี ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยน้า  :pig4:
ขออภัยที่มาตอบคำถามของคุณช้าไป ไม่รู้ตอนนี้จะหายสงสัยไปหรือยังนะครับ มาเริ่มกันเลย
1. ถาม: ตอนจบพจน์ตัดสินใจย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นถูกไหมคะ?
    ตอบ: ไม่ใช่ครับ พจน์ได้ใช้อำนาจข้ามพิภพหลุดออกจากเรือดำน้ำไปหามาตะ ณ ดินแดนมหาพิภพ มิใช่การย้อนอดีตแต่อย่างใด คือ เหตุการณ์ดำเนินไปสู่เบื้องหน้าตามวิถีครรลอง ดังนั้นคำถามใหม่จึงเกิดขึ้นแทน ก็ในเมื่อพจน์ยอมสละอำนาจข้ามพิภพแล้วในตอน จากลาลาลิ่วล้ำลอยจาก หากแต่อำนาจแห่งความรักนั้นมั่นคงเหลือจะกล่าวเช่นเดียวกับอำนาจข้ามพิภพ คือ ไม่มีวันล่มสลายหรือจางหายตราบคนทั้งสองยังมีลมหายใจอยู่ ^^ ไม่รู้จะช่วยคลายความสงสัยของคุณได้มากน้อยเพียงใดนะครับ

อ้าวววววว จบแล้ว

บางฉาก มีภาษาแปลก ๆ ครับ คล้ายขัดกัน ทำให้การอ่านสะดุดเล็กน้อย บทกลอน ส่วนใหญ่ค่อนข้างสละสลวย งดงาม เห็นภาพชัด แต่มีบางวรรคที่แปลกนิดหน่อย อ่านแล้วสะดุด ๆ ครับ

เนื้อเรื่อง ค่อนข้างตื่นเต้น น่าติดตามครับ แต่ช่วงหลัง ๆ เหมือนเร่งให้จบไปนิดหน่อย

ชอบฉากเรือดำน้ำครับ ตื่นเต้นดี เหมือนอยู่ในห้องโดยสารด้วย อารมณ์ประหนึ่งอยู่ในภาพยนตร์ฮอลลีวู๊ด ฉากวันสิ้นโลก
ภาษาแปลกๆที่ว่านั้น ผมเข้าใจเอาเองว่า ในรูปประโยคนั้นมีคำที่ความหมายขัดกันจนเป็นเหตุให้ไม่เข้าใจข้อความใช่ไหมครับ ก็ถ้าเป็นในกรณีนี้ผมต้องน้อมรับความผิดไว้แต่ผู้เดียว ถ้าคุณสามารถยกภาษาสำนวนในช่วงนั้นมาประกอบได้จะเป็นความเมตตาอย่างมากเลยครับ ทั้งนี้ผมเองอาจจะหลงหูหลงตาไปบ้าง ต้องขอภัยมา ณ ที่นี้ หากแต่เป็นกรณีภาษาแปลกๆที่ว่า คือไม่คุ้นชิน หรือ สมัยนี้ไม่นิยมใช้กันแล้ว หรือเป็นคำโบราณ หรือทั้งที่เป็นเหตุการณ์ปัจจุบันกลับมีคำพูด/คำบรรยายสมัยเก่าสอดแทรกอยู่นั้น ล้วนเป็นความตั้งใจของผู้เขียนทั้งสิ้น เพื่อมิให้บรรยากาศเรื่องราวทั้งสองพิภพแตกต่างจากกันจนเกินไปจึ่งมีคำเล็ดรอดให้เห็นประปราย เหล่านี้คือความจงใจตั้งสิ้น หากจะทำให้คุณสะดุดใจจนรู้สึกแปลก ก็ต้องขออภัยซ้ำอีกหนครับ

ส่วนเรื่องวรรคตอน พอผมได้ลองย้อนไปอ่านก็พบการเว้นวรรคแปลกๆอย่างที่คุณว่า หากมีเวลาจะพยายามตรวจทานและแก้ไขให้นะครับ

ในส่วนตอนท้ายเรื่องคุณอาจรู้สึกว่า ดำเนินเรื่องราวกระชั้นจนเหมือนเร่งให้จบนั้นก็มีหลายคนเคยท้วงติงมาเช่นกัน อันนี้ต้องขอรับไว้พิจารณาเพื่อเป็นแนวทางในการเขียนต่อไป แต่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า เหตุการณ์ในช่วงท้ายนั้นเป็นเรื่องราวในไม่กี่ชั่วโมงก่อนการล่มสลายของโลก ถ้าจะเขียนยืดเรื่องราวออกไป ก็เกรงว่าจะไม่เข้ากับสถานการณ์เป็นจริง ดังนั้นหากคุณรู้สึกว่าเร็วไปจนปรับอารมณ์ไม่ทันก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้อีกหน

ขอบคุณเรื่องราวดีๆค่ะ

รัก...มาตะคนซื่อ
ขอบคุณมากๆเช่นกันครับ

เค้าอ่านแล้วงงๆ อาจจะไม่เข้าใจภาษากลอน 5555+
แต่โดยรวมสนุกค่ะ  ถึงจะอ่านยากไปนิส
เค้าตกภาษาไทย 5555+
แนะนำว่าค่อยๆอ่านครับ อย่าไปเร่งตัวเอง หรือ เร่งอ่านให้จบโดยเร็ว ซึ่งไม่ใช่เจตนาของผู้เขียน ผมอยากให้คุณ หรือทุกท่านละเมียดอ่าน ซึมซับบรรยากาศคำพูดของทุกตัวละครไปแบบทีละนิดๆ แต่หากจะทำให้คุณอ่านช้าลงจนต้องใช้เวลานานกว่าจะจบนั้น ผมไม่มีสิ่งใดทดแทนเวลาอันมีค่าที่คุณเสียไปได้นอกจากคำว่า ขอบคุณที่เสียสละเวลา นั้นมานั่งอ่านนิยายธรรมดาๆของผมนะครับ :call:

ขอบคุณคนเขียนที่เขียนนิยายดีๆแบบนี้ออกมา ขอบคุณมากค่ะ :pig4: :กอด1:
ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนจบเช่นกันครับ

อยากอ่านตอนพิเศษแล้วคับ....มาเร็วๆนะ
สำหรับตอนพิเศษคงไม่มีแล้วครับ แต่ผมชดเชยด้วยนิยายเรื่องใหม่แทน มาตะวัน ฝากติดตามด้วยครับ

:pig4 :pig4: :pig4: :pig4:
:L1:

อ่านจบแล้ว เล่นเอามึนไปกับภาษาอยู่เหมือนกัน ใช้ภาษาได้ดีนะ แต่คนอ่านเองนี่แหละที่ไม่ค่อยชินกับภาษาแบบนี้เลยงง ๆ

 :hao4: :hao4: :hao4:
ดีใจที่ทำเอาคุณมึนไปกับนิยายเรื่องนี้ได้ อิอิ มีคำถามอะไรสงสัยถามได้นะครับ

ถึงกับสมัครสมาชิกเพราะนิยายเรื่องนี้
รัก ภัทรพจน์ รักมาตะ รักกาวิน
รักทุกสิ่ง ที่ประกอบเป็นเรื่องนี้
รักผู้เขียน .. ที่สุด
ยินดีขนาดครับที่คุณถึงกับสมัครสมาชิกเล้าเป็ดเพื่อมาแสดงความขอบคุณ หากภัทรพจน์ มาตะ กาวี มีตัวตนจริงคงดีใจไม่ใช่น้อยที่มีคุณรักพวกเขามากขนาดนี้ นั่นรวมถึงคุณผู้อ่านอยู่หนึ่งในนั้นด้วย ขอบคุณมากๆครับ

เป็นนิยายที่ครบทุกรสคะ อ่านแล้ววางไม่ลง สนุกมากๆคะ ขอบคุณนะค่ะ
ขอบคุณเช่นกันครับ ที่คุณชอบ ในความรู้สึกผมอยากแทรกมุกตลก ผ่อนคลายให้มากกว่านี้ เนื่องจากเรื่องราวหลักนั้นตึงเครียดหนักเอาการอยู่พอสมควร หากมีมุมขำๆ ที่ทำให้อมยิ้มได้ในแต่ละช่วง ผมก็น่าจะพอใจมากกว่านี้ เอาไว้ติดตามในผลงานเรื่องต่อไปนะครับ

จบแล้วหรือออออ ก่อนอื่นต้องบอกคนเขียนก่อนนะคะว่า 'นวนิยาย' (คือแบบต้องใช้คำนี้อ่ะ) เรื่องนี้มันทำให้เราหน่วงในใจแปลกๆ มันดีมากเลยค่ะ ภาษาไทยเก่าแบบนี้เขียนได้ยังไงค่ะ 555 ต้องอยู่กับมันนานแค่ไหนกันถึงจะใช้ภาษา คำพูดที่สำบัดสำนวนเปรียบเปรยได้อย่างนั้น แล้วไหนจะพล็อตเนื้อเรื่องตามเหตุตามผลที่คุณเขียนอีก เราเสียใจมากเลยกับการเสียสละไม่ว่าของใครก็ตาม ร้องไห้ตามเลย ยิ่งมาคิดถ้าเราเป็นพจน์ แล้วเห็นเพื่อนเสียสละแบบนั้นต่อหน้าต่อตา เราจะเป็นยังไง มันคงโคตรแย่มากเลย แต่ยังไงสุดท้ายก็รักกันได้ใช่ไหมค่ะ จบแบบให้คิดต่อ อยากบอกให้คุณรู้ว่าสิ่งที่คุณเพียรเขียนจนจบมันสมบูรณ์แบบจริงๆ ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆที่บรรจงรายละเอียดให้เราอ่าน ยกนิ้วให้เลยค่ะ ถ้ามีนิ้วโป้งสิบนิ้วจะให้ทั้งสิบนิ้ว

ปล.อ่อ ลืมบอกไปเพลงคำหวานตอนนี้กลายเป็นเพลงที่เราชอบมากเลยล่ะคะ จะติดตามผลงานดีๆแบบนี้ต่อไปนะคะ  o13 o13 o13 :bye2: :bye2: :bye2:
ขอบคุณสำหรับการติดตามครับ นวนิยาย เลยหรือครับ ผมมักเรียกเรื่องนี้ว่า ความรัก ซะมากกว่า อิอิ ครับ ก่อนหน้าที่จะลงมือเขียน ข้ามพิภพ ผมได้อ่านทั้งนวนิยายมิใช่หนึ่งหรือสองเล่ม แต่มากจนไม่อาจนับได้ เอาเป็นว่าเยอะพอสมควร รวมถึงหนังสือประวัติศาสตร์ สารคดี วิทยาศาสตร์ ฯลฯ อีกมากมาย เหล่านี้อาจเป็นจุดบ่มเพาะให้ผมอยากขีดเขียนเรื่องราวออกมา แล้วช่วงหลังๆก็ได้ติดตามนิยายY จนเรียกได้ว่า ติดหนึบ เลยทีเดียว ซึ่งใน Y แต่ละเรื่องที่ชอบจะมีฉากหนึ่ง ซึ่งขณะอ่านจะรู้สึกวูบโหวงหน่วงๆในอกแปลกๆ เหมือนมีใครเอาไฟฟ้ามาช็อตที่หัวใจ เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถกลั่นเป็นภาษาหรือคำพูดได้ ต่อมาผมถึงค้นพบว่า อาการเหล่านั้้นไม่ใช่สาเหตุอื่นใด นอกจาก ความรัก รัก ที่ตัวละครแสดงโต้ตอบ ปฏิบัติต่อกัน ล้วนเกิดขึ้นเพราะรักทั้งสิ้น จนทำให้ผมรู้สึกมีอาการเช่นว่า จนไม่อาจต้านทานตัวเองที่จะไม่ขีดเขียนและถ่ายทอดเรื่องราวของความรักออกมาได้ โดยเฉพาะยิ่งเป็นความรักในเพศเดียวกันอีก นั่นคือความท้าทายอย่างสุดจะบรรยาย ส่วนเพลงคำหวานนั้น ไม่ว่าฟังสักกี่ครั้งก็เพราะจับใจ จนต้องขออนุญาตผู้ประพันธ์เพลงมาใช้ประกอบเรื่องราวความรักให้จับใจเหมือนกับบทเพลงนั่นแหละครับ ดีใจที่ทำให้คุณชอบเพลงนี้ไปอีกคน ยินดีรับคำติชมอื่นๆครับ

ภาษาเรื่องนี้สวยมากค่ะ
หาอ่านแบบนี้ได้ยากมาก
ติดอยู่ที่บางช่วงปมซัอนเยอะจนมึน
และก็ตอนจบแอบงงๆ
แบบย้อนไปช่วงอนันตราช
แล้วกลับมาตอนปัจจุบัน
แล้วคนอื่นๆในเรื่องล่ะ
อย่างฝั่งพจน์และฝั่งมาตะ
ใครเป็นอะไรยังไงต่อ
อยากให้มีตอนพิเศษมาขยายความเพิ่มหน่อยน่ะค่ะ
เพราะมีประเด็นที่ค้างคาแบบนี้
แล้วคำพยากรณ์ที่คุณปู่บอกว่า
คนที่ช่วยพิภพที่อยู่ให้รอดได้
อยู่บนมหาพิภพ ให้ตามหาเค้าจะช่วยเหลือ
อันนี้ยังงงว่าใครอยู่เลยค่ะ
ยังไงก็รออ่านอีก 2 เรื่องที่กำลังแต่งอยู่นะคะ
คาดหวังว่าจะมีตอนพิเศษช่วยไขความกระจ่างนะคะ
ดีใจที่นิยายเรื่องนี้มีส่วนที่คุณชอบอยู่บ้างนะครับ ส่วนปมต่างๆนั้นเยอะจริงอย่างที่คุณได้ท้วงติงมา อาจทำให้หลุดๆไปบ้างหรือบางปมหากลดทอนลงได้ก็จะไม่ไปดึงความสนใจจากปมหลักๆ ในกรณีนี้จะได้เก็บไว้เป็นข้อมูลในการเขียนนิยายเรื่องถัดไปครับ สำหรับเหตุการณ์ในช่วงท้ายๆเรื่องนั้นผมจะสรุปคร่าวๆให้ละกันนะครับ หลังจากโลกของพจน์ล่มสลายเกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วมโลก โดยเป็นผลมาจากดินแดนมหาพิภพที่มาตะอาศัยอยู่ได้หลุดพ้นอำนาจคุ้มครองจากใต้มหาสมุทรแปซิฟิกสู่เบื้องบนดังเดิมแล้ว ขณะพจน์ ครอบครัวและเพื่อนสนิทมีชีวิตรอดอยู่ในเรือดำน้ำ ความทรงจำที่เก็บไว้ในผลึกสีนิลประจำกายสินะกาวี หรือ ไอ้กัน ได้ปรากฏขึ้น เป็นเรื่องราวในอดีตชาติของพจน์คือ พระเจ้าวัชรโกมล จนกระทั่งกาวีได้มาเจอวัชรโกมลครั้งแรกก็เกิดความรัก แต่หารู้ไม่ว่า หัวใจวัชรโกมลนั้นถูกขโมยไปโดยไม่รู้องค์ก่อนหน้าเพียงไม่นานนัก คือ เหตุการณ์ในตลาดกลางเมืองอนันตาทมิฬ ที่พระเจ้าอนันตราช หรือมาตะ ในชาติปัจจุบัน เสด็จปลอมองค์เพื่อมาดูตัววัชรโกมลด้วยองค์เอง น่าสงสารกัน หรือ สินะกาวีครับ แต่ความรักไม่มีใครลิขิตได้ จะเกิดหรือดับ ล้วนขึ้นอยู่กับหัวใจ

ส่วนข้อสงสัยที่ว่า แล้วหลังจากฉากจบของบทสุดท้ายแล้ว เรื่องราวของพจน์และมาตะจะเป็นยังไงต่อไป ในชั้นแรกผมอยากให้ผู้อ่านจินตนาการต่อได้ตามสบาย แต่ครั้งลองทบทวนดูแล้ว ผู้เขียนก็อดที่จะมีไฟขีดเขียนต่อมิได้ จนเกิดนิยายเรื่องใหม่ ในชื่อว่า มาตะวัน (https://www.readawrite.com/a/71708681fbf2b8eb8a3fabb510fa1667)  หวังว่าคำตอบของคำถามของคุณจะมีอยู่ในนิยายเรื่องนี้ ฝากด้วยนะครับ


หัวข้อ: [แจ้งข่าว] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒๓/๐๓/๖๒) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 23-03-2019 20:08:22
แจ้งข่าวรวมเล่ม >>>>ข้ามพิภพ<<<<








โดยได้รับการตีพิมพ์ภายใต้ สำนักพิมพ์ลักษณ์อักษร (https://www.facebook.com/luckaksorn)

ประกาศขยายเวลา เปิดจองรูปเล่ม ตั้งแต่วันนี้ - 10 มิถุนายน 2562 จัดส่ง 20 มิถุนายน 2562

จองตั้งแต่วันนี้ - 10 มิถุนายน ราคาจอง 630 บาท

โปรย...

หนึ่งหนุ่มจากโลกปัจจุบัน หนึ่งชายจากพิภพโบราณ
ไกลแค่ไหนจักขอพบพานทุกชาติไป




ถ้อยคำว่ารักรักปักที่ใด ฤา เกิดในดวงจิตพิศวง
แม้นฝังในมนุษย์สุดซื่อตรง
ผ่านกาลวงเวียนว่ายไม่ลบเลือน
หากสวรรค์แบ่งแยกกายเราสอง
สัญญาครองคู่ภักดิ์สลักเฉือน
เกิดเป็นนกคนธรรพ์จันทร์ดาวเดือน
หามีใครสั่นสะเทือนรักตะวัน
มาตรว่าฟ้าล่มดินสิ้นทลาย
รักความหมายมั่นคงสู่สวรรค์
อุปสรรคเจ็บช้ำกล้ำกรายกัน
มิแปรผันย่อท้อต่อชะตา
ณ วันนี้เราเจอะเจอกันแล้ว
แม้คลาดแคล้วพลัดพรากจากครวญหา
แสนพันปีพบครั้งดั่งเทวา เล่นตลกโศกายอมจำนง
ทว่าเจ้ายังจำคำว่ารัก ผูกสมัครแรกเริ่มเดิมประสงค์
นานแค่ไหนครองคู่ทระนง มาตะวันภัทระจงเคียงสมปอง

สั่งจองได้ทาง INBOX FACEBOOK สำนักพิมพ์ลักษณ์อักษร (https://www.facebook.com/luckaksorn) หรือ line : @luckaksorn
หัวข้อ: Re: [แจ้งข่าวหน้า๑๕] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๑๕/๐๕/๖๓) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 15-05-2020 11:14:32
คุณสามารถสนับสนุนนักเขียนได้โดยอ่านแบบ E-BOOK (เสียเงินนะครับ)

(https://sv1.picz.in.th/images/2020/05/15/UF3sRn.png)

Download Now

meb (https://www.mebmarket.com//index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMjQwNjQ4MSI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjEyMTgzMyI7fQ&fbclid=IwAR2ezUfqrkWmMk2ttFTQ6BGAcleuUyZ9noBNMAYXz_4OLtUuxTI0Di98hvQ)

Ookbee (https://www.ookbee.com/shop/book/9141a0f9-f4c3-4871-9443-bcf92e83a7b6)


หัวข้อ: Re: [แจ้งข่าวหน้า๑๕] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๑๕/๐๕/๖๓) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 21-05-2020 09:23:43
พึ่งอ่านจบใช้เวลานานหน่อยเพราะต้องการอ่านทุกคำที่ผู้เขียนได้บรรยายมา เพราะทุกคำสละสรวยจึงต้องค่อยๆทำความเข้าใจกับความหมายของคำ ส่วนตัวชอบอ่านนิยายประเภทนี้อยู่แล้วเลยอินมาก ตอนจบเหมือนไม่จบมันค้างๆ เลยต้องเข้ามาอ่านในมาตะวัน ก็คงสนุกเหมือนเคย ชอบมากค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [แจ้งข่าวหน้า๑๕] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๑๕/๐๕/๖๓) หน้า ๑๕ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: Tin Tin ที่ 17-06-2020 22:24:22
ภาษาสวยมาก ชอบ

แต่บางประโยคตอบกลับคู่สนทนาคือยาวมาก คือเวลาอ่านต้องอ่านไปแปลไป พอถึงกลางประโยคลืมส่วนต้นไป มันยังไม่กระชับ
อ่านข้ามไปก็เยอะเหมือนกัน จะอ่านต้นประโยคส่วนหนึ่งแล้วก็มาท้ายประโยคเลย

อ่านมาถึงคำว่าจบ แต่…ค้างอะ มันค้างทำไมถึงไม่เคลียร์ก็ไม่รู้
ยังติดใจอยู่หลาย ๆ ข้อ
-ตอนที่พระแม่เจ้าบั่นคอเสร็จแล้วได้รับโทษหรือไม่
-องค์มหาเทพรู้สึกอย่างไรตอนที่คนรักโดนฆ่า
-ทำไมถึงกลายมาเป็นจอมมาร
-แล้วองค์มหาเทพได้มาพูดกับจอมมารหรือป่าวว่าวันนั้นไม่ใช่คนที่ฆ่า
-หลังจากที่เกิดแผ่นดินไหว นครใต้พิภพขึ้นมาบนผืนน้ำแล้วใช่ไหม
-ทำไมมาตะตอนท้ายที่พจน์ขึ้นไปหาถึงอยู่เหนือก้อนเมฆ

จะรอติดตามเรื่องต่อ ๆ ไป…
หัวข้อ: Re: [แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (Pre-Order) หน้า ๑๖ [จบแล้วครับ]
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 15-03-2021 10:25:44
(https://sv1.picz.in.th/images/2021/03/15/DKD00n.png)

มาแล้วคร้าาบ เปิดพรีออเดอร์ [Pre-order] #ข้ามพิภพ (รวมค่าจัดส่ง)

ทดลองอ่านคลิก >>> https://bit.ly/3bMcuaL (https://bit.ly/3bMcuaL)
**เป็นฉบับรีไรท์ใหม่**

รายละเอียดเนื้อหามีดังนี้

✍️เธียรศกร ผู้แต่ง

หนังสือขนาด A5
หน้าปกเป็นกระดาษอาร์ตการ์ด พิมพ์สี เคลือบด้าน
กระดาษเนื้อในถนอมสายตา
จำนวน 738 หน้า

+ตอนพิเศษ 1 ตอน "ผู้ถอนคำสาป"
+โปสการ์ดการ์ตูนจิบิฉาก "แรกพบ"
+ที่คั่นรูปปก

**รอบพรีออเดอร์ราคา 590 บาท รวมค่าจัดส่ง

ชำระเงินผ่าน ธ.ไทยพาณิชย์ 566-452588-2 (จักรพงษ์ นิมานะ)
ตั้งแต่วันนี้ - 30 เมษายน 2564 เวลา 18.00 น.

#การจัดส่ง
ส่งแบบพัสดุลงทะเบียน (ไปรษณีย์ไทย)
กล่องฝาชนห่อบับเบิล 3 เลเยอร์ 2 ชั้น

+ปิดพรีออเดอร์วันที่ 30 เมษายน 2564
+หนังสือส่งไม่เกิน 25 พฤษภาคม 2564

สั่งซื้อที่>>> https://bit.ly/3vrh323 (https://bit.ly/3vrh323)

หรือ inbox Facebook fanpage (https://www.facebook.com/Teansakorn) / Twitter (https://twitter.com/khamphiphob)

หัวข้อ: Re: [แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: LoveBlueSky2203 ที่ 02-08-2021 21:14:13
เปิด Pre-order นิยาย #มาตะวัน (ภาคต่อ "ข้ามพิภพ")

(https://sv1.picz.in.th/images/2021/08/02/2xSo4l.png)



รายละเอียดเนื้อหามีดังนี้ นิยายวาย (ฺBoys Love) แนวพีเรียดไทย ผสมผสานโคลงกลอน การผจญภัยและแฟนตาซี

เธียรศกร ผู้แต่ง

- หนังสือขนาด A5 (145x210 mm)

- ปกอ่อนอาร์ตการ์ด 300 แกรม พิมพ์สี เคลือบ PVC ด้าน

- เนื้อใน กระดาษถนอมสายตา จำนวน 420 หน้า

- เข้าเล่ม แบบไสกาว

+ตอนพิเศษ 1 ตอน "นิราศปริศนา"

แถมฟรี!!

+โปสการ์ด

+ที่คั่นหนังสือ

**รอบ Pre-order 10 วันแรก (19-28 กรกฎาคม 2564) ราคา 324 บาท รวมค่าจัดส่ง

หลังจากนั้นราคาปกติ 360 บาท รวมส่ง

ชำระเงินผ่าน ธ.ไทยพาณิชย์ 566-452588-2 (จักรพงษ์ นิมานะ) ตั้งแต่ 19 ก.ค. - 13 ส.ค. 2564

#การจัดส่ง จัดส่งฟรีแบบลงทะเบียน กล่องฝาชนห่อบับเบิล 3 เลเยอร์ 4 ชั้น

สั่งจองที่ >>> http://teansakorn.lnwshop.com/ (http://teansakorn.lnwshop.com/)

ทดลองอ่านคลิก >>> https://bit.ly/2TJFdXC (https://bit.ly/2TJFdXC)

ตรวจสอบสถานะสั่งจอง >>> https://docs.google.com/spreadsheets/d/1wdQ2_98_DPopp7Ewqmf2K3TSY7zCSQb_yT3mAnN2QwU/edit? usp=drivesdk (https://docs.google.com/spreadsheets/d/1wdQ2_98_DPopp7Ewqmf2K3TSY7zCSQb_yT3mAnN2QwU/edit? usp=drivesdk)

ติดต่อสอบถาม inbox Facebook fanpage (https://www.facebook.com/Teansakorn) / Twitter (https://twitter.com/khamphiphob)

หัวข้อ: Re: [แจ้งข่าวหน้า๑๖] >>>>ข้ามพิภพ<<<< (๒/๐๘/๖๔) หน้า ๑๖ [จบแล้ว]
เริ่มหัวข้อโดย: psyche ที่ 25-01-2022 15:37:19
ใช้เวลาหลายวันมากกว่าจะอ่านจบ
ด้วยเนื้อเรื่อง บทกลอน ปมต่างๆ ต้องอ่านทุกตัว
ภาษาดี ภาษาสวย  ยิ่งกลอนนะ แต่งเก่งมากกก
ปมเยอะไปหมด ทำให้น่าติดตาม

ส่วนตอนจบเข้าใจได้ว่าจบแบบไหน
แต่.....​น่าจะชัดเจนไปเลยว่า มาตะกับพจน์​ ยังไงกัน
ครอบครัวพจน์ เพื่อนๆ รอด รอดแบบไหน ไปอยู่ที่ไหน
เราก็เข้าใจนะว่าผู้เขียนอยากให้จบแบบคิดเองกันบ้าง
แต่.... เรื่องนี้อ่านยาก ถ้าชัดเจนไปเลย นิยายน่าจะสมบูรณ์​กว่านี้
นิยายเรื่องนี้ดีนะคะ สนุก น่าติดตาม ติแค่ตอนจบ
แต่เราก็เข้าใจอีกว่า  จะมีภาคต่อเลยจบแค่นี้ไว้ก่อน