บทที่ 4
ร้านกาแฟที่ครามทำงานมักจะมีขาประจำอยู่ไม่กี่คน แต่ในทุกวันอาทิตย์ช่วงบ่ายครามจะเฝ้ารอคนคนหนึ่งเสมอ ทุกครั้งที่ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาสั่งกาแฟ ครามมักจะตีสีหน้าไม่ถูก ได้แต่ก้มหน้างุดแต่หูกางคอยฟังเสียงทุ้มแสนไพเราะนั่น ตั้งแต่วันนั้นที่ธาริตถามชื่อครามแล้วยิ้มให้ เขาก็ไม่เคยพูดอะไรอีกนอกจากเข้ามาสั่งกาแฟ ดื่มที่ร้านจนหมด และออกไป
“ชะเง้อหาใครยะ คอยาวเป็นยีราฟแล้ว” หญิงสาวร่างท้วมเหล่มองคราม แสร้งถามทั้งที่รู้แก่ใจ
วันนี้เขารับหน้าที่ล้างแก้วด้วย เด็กหนุ่มจึงแอบหันมาชะโงกมองหน้าร้านอยู่บ่อย ๆ ต่างจากตอนประจำส่วนแคชเชียร์ที่จะต้องมองออกหน้าร้านตลอดเวลา
“เปล่าสักหน่อย” ครามส่ายหัว ตอนนี้ห้าโมงเย็นแล้ว เขาคงไม่มา
“รอก็บอกมาเถอะ ชอบเขาไปแล้วสิท่า” เธอหัวเราะ แต่ครามอายม้วน เขาก็คิดว่าการเฝ้ารอคนที่รู้จักกันเพียงแค่ชื่อมันออกจะประหลาดไปสักหน่อย
ครามทำงานอย่างตั้งใจ แต่พอมีเวลาก็แอบชะโงกหน้ามองประตูร้าน ตั้งแต่ฟ้าสว่างจ้าจนตอนนี้มืดสนิทมีเพียงไฟนีออนแล้ว
..เขาไม่มาจริง ๆ ..
ครามเช็ดโต๊ะ ยกโต๊ะเก้าอี้ขึ้นเก็บ ปิดไฟบางดวงและไฟหน้าร้านเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าปิดให้บริการแล้ว เขาถอดผ้ากันเปื้อน แวะเข้าไปเอากระเป๋า เขาช่วยพี่พนักงานคนอื่นปิดล็อคร้าน โบกมือร่ำลาและเตรียมตัวออกไปป้ายรถเมล์ มือเรียวเปิดดูกระเป๋าสตางค์ เหรียญในกระเป๋าก็เหลือแค่หกบาท ลองจ่ายแบงก์ร้อยคงโดนไล่ตะเพิดลงจากรถเมล์ หรือไม่กระเป๋าคงแก้เผ็ดเขาด้วยการนับเหรียญทอนแน่
ครามหันมองพี่ ๆ ที่แยกย้ายกันหมดแล้ว เหลือเพียงตัวเขาที่ยืนอยู่หน้าร้านเพียงลำพัง ครามตบกระเป๋า หวังจะหาเหรียญเพิ่มอีกเพียงบาทสองบาทให้พอค่ารถเมล์ร้อน
“อ้าว มาไม่ทันซะแล้ว” ครามเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ สวมเชื้อเชิ้ตกับกางเกงสแล็คดูเรียบร้อยปรากฏกายขึ้นตรงหน้า ครามคอยเขาเกือบทั้งวัน แต่เขาดันมาเวลาที่ร้านปิดเสียนี่
“มาช้าไปหน่อยเดียวเองครับ” ครามยิ้ม ลืมเรื่องเหรียญบาทไปสนิทใจ
“เสียดายชะมัด แล้วนี่คุณจะกลับบ้านเหรอ”
“ครับ เดี๋ยวไปรอรถเมล์ป้ายข้างหน้า คุณล่ะ” ครามใช้สองมือกุมสายกระเป๋า เขาประหม่าจนไม่รู้จะเอามือไม้วางไว้ตรงไหน
“คงไปกินข้าว เดินไปพร้อมกันก็ได้ ผมจอดรถทางนั้น” ธาริตผายมืออย่างสุภาพ ไม่รู้ว่าเขาจงใจส่งยิ้มแบบที่จะทำให้คนมองเสียหลักง่าย ๆ หรือเปล่า คนมองเองก็กลัวจะหัวใจวาย สุดท้ายจึงหลบตาทำราวกับอิฐปูทางเท้าน่าสนใจเสียเต็มประดา
“คุณเรียนปีอะไรแล้ว”
“ผมไม่เรียนแล้วครับ ยี่สิบสี่แล้ว” ครามว่า ไม่ได้บอกเขาว่าครามเรียนสายอาชีพ วุฒิสูงสุดคือปวส. ไม่ได้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยเพราะเขาส่งตัวเองเรียนไม่ไหว รีบทำงานหาเงินมันตั้งหลักได้ไวกว่า
“อายุเท่ากัน แต่คุณดูเด็กกว่าผมเยอะเลย” ธาริตหัวเราะ ท่าทีของชายหนุ่มเป็นไปอย่างสุภาพ เมื่อสุดทางเดินฟุตปาธต้องลงมาเดินริมถนน เขาก็ขยับให้ครามเข้าไปเดินด้านใน
“ไม่หรอกครับ ดูภูมิฐานสิน่าอิจฉา คุณเป็นอาจารย์ที่นี่เหรอ” ครามไม่กล้ามองหน้าเขาเท่าไหร่ อยู่ใกล้ก็ไม่กล้า รู้สึกเหมือนตัวเองตัวหดเล็กลงเมื่ออยู่ข้างเขา
“เปล่าหรอก ผมมาเรียนปริญญาโท” ครามฟังเรื่องราวของธาริตแล้วก็รู้สึกว่าทั้งที่อายุเท่ากัน แต่อนาคตของธาริตดูยาวไกลกว่าเขาเป็นไหน ๆ ที่อีกฝ่ายกำลังเรียนอยู่ ก็เป็นปริญญาโทใบที่สองแล้ว
“คุณกินข้าวหรือยัง” คนตัวใหญ่ถาม ขายาวหยุดก้าวเมื่อถึงลานจอดรถ
“ยังครับ คงกลับไปกินที่บ้าน” ระยะทางจากลานจอดรถไปถึงที่ตั้งร้านกาแฟไม่น้อยเลย นี่คงเป็นครั้งแรกที่ครามอยากให้มันยืดยาวกว่านี้อีกสักหน่อย
“ถ้าไม่รังเกียจ ผมอยากจะชวนคุณไปเป็นเพื่อนกัน” ธาริตพยายามจ้องตาคราม แต่ดวงตากลมชวนมองคู่นั้นกลับหลบเลี่ยงเสมอ
“คือ ผม...” คนตัวเล็กละล้าละลัง เหลือบมองรถไม่กี่คันในลานจอด มีแต่ยี่ห้อแพง ๆ ทั้งนั้น ครามกลัวไปป้ำเป๋อใส่เขา อีกอย่าง ครามกลัวว่าเงินจะไม่พอ
“รังเกียจผม?” ธาริตเติมคำในช่องว่าง เขาถอยหลังหนึ่งก้าว สายตาสื่อถึงความเสียใจแจ่มชัด ภาษากายของเขาทำครามใจอ่อนยวบ
“เปล่าครับ ผมแค่เกรงใจ” ครามตอบอย่างสุภาพ
“ถ้าเรื่องนั้นก็ช่างมันเถอะ แต่ถ้าคุณไม่ไว้ใจ ผมจะพาไปร้านในละแวกนี้ที่คุณคุ้นเคย ถ้าคุณมีคุณแม่ที่เข้มงวด ผมจะพาไปส่งที่บ้านก่อนสี่ทุ่มและลงไปรายงานตัวด้วย”
ครามไม่มีแม่คอยอยู่ที่บ้าน เขามีแต่รูปแม่เป็นตัวแทน ไม่มีรูปพ่อ รู้แค่ว่าเป็นลูกคนจีน ป้าของครามเคยเจอเขาอยู่แค่สองหนเท่านั้น ดังนั้นครามจึงอยู่กับป้ามาตั้งแต่จำความได้ รู้แค่ว่าแม่ไปทำงานอยู่ภาคใต้ ตอนเด็ก ๆ แม่ส่งเงินมาให้ป้าทุกเดือน มีของเล่นให้ครามบ้าง พอรู้ตัวอีกทีป้าก็บอกว่าแม่ไปอยู่กับไอ้ฝรั่งขี้นกที่เมืองนอกแล้ว
ป้าของครามแก่มาก เมื่อปีที่แล้วเธอลื่นล้มในห้องน้ำ ศีรษะกระแทกขอบปูน ครามจะพาป้าไปหาหมอ แต่เธอโบกมือไล่ บอกว่าแค่หัวโนเท่านั้นไม่เห็นจะต้องถึงโรงพยาบาล ผ่านไปคืนเดียวป้าก็แน่นิ่ง ปลุกอย่างไรก็ไม่ตื่น หมอบอกว่าเลือดคั่งในสมอง ครามพาป้ามาหาหมอสายเกินไป สุดท้ายโอกาสรอดก็ไม่มี
ป้าไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ให้ครามมากมายนัก บ้านที่อยู่ปัจจุบันก็ยังเช่าเขาอยู่ เธอเป็นเพียงแม่ค้าขายข้าวแกงในตลาด เป็นโชคของครามที่ป้าขยัน ประหยัดและมัธยัสถ์ ยอดเงินในบัญชีจึงมีมากหน่อยแต่ครามก็ไม่เคยคิดใช้มัน
ตั้งแต่นั้นบ้านในใจของครามจึงไม่เหมือนเคย ไม่มีเสียงเคาะกระทะตั้งแต่ตีสี่ ไม่มีเสียงร้องเรียกให้เขาลุกจากที่นอนก่อนป้าจะออกไปขายของ วันหยุดของครามว่างเปล่า เขาไม่ต้องออกไปช่วยป้าตักกับข้าวขายอีกแล้ว
ครามคิดถึงบ้านว่างเปล่าแล้วก็ลอบถอนใจ ตากลมทอดมองธาริตที่ยืนคอยเขาอย่างมีความหวัง สุดท้ายครามก็ใจอ่อนให้เขาจนได้
“คุณช่วยกลับมาส่งผมที่ป้ายรถเมล์ข้างหน้านี่ก่อนสี่ทุ่มก็พอ ผมไม่อยากเสียค่าแท็กซี่”
รถยนต์ของธาริตเป็นรถยุโรปยี่ห้อที่เห็นกันจนเจนตาในหนังในละคร ครามนั่งตัวแข็งทื่อ ปิดประตูอย่างระมัดระวังเพราะกลัวจะทำอะไรหักพัง
“อย่าลืมคาดเบลท์ด้วย” ธาริตกำชับ แต่อีกฝ่ายดูเก้กังจนสัมผัสได้ “ผมขออนุญาตนะ”
ร่างสูงใหญ่ชะโงกตัวข้ามเกียร์มาดึงเข็มขัดนิรภัย ครามหลับตาปี๋ ใจเต้นรัว กลัวว่าจะเหมือนในละครที่จะต้องถูกล่วงเกินไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขาอยากจะเขกหัวตัวเองนัก ไม่รู้คิดถูกหรือผิดที่ตามธาริตมา
“เรียบร้อย ออกเดินทางได้” เสียงทุ้มดังใกล้ใบหู เขาได้ยินเสียงดังกริ๊กเมื่อเข็มขัดเสียบเข้าล็อค ธาริตไม่ได้แตะต้องตัวครามเลยสักนิด มีแค่ระยะห่างที่อยู่ในขีดอันตรายเท่านั้นที่ทำให้ใจหายใจคว่ำ
“ขอบคุณครับ” ครามพูดตามมารยาท เขามองนอกหน้าต่าง ขอบคุณความมืดที่ทำให้ธาริตไม่เห็นว่าเลือดมันสูบฉีดขึ้นหน้าจนแทบระเบิดได้
ท่าทางของบาริสต้าตัวเล็กทำให้ธาริตเผยยิ้ม ครามไม่ใช่คนใจกล้า เขาหยั่งเชิงมาหลายสัปดาห์จนกลัวว่าปลาจะไม่กินเหยื่อ นักศึกษาปริญญาโทที่แวะมาดื่มกาแฟฆ่าเวลาถูกใจครามแต่แรกเห็น ดวงตากลมที่โค้งเป็นเสี้ยวพระจันทร์ยามผลิยิ้มทำให้คนมองมีความสุข ท่าทีป้ำเป๋อยื่นแก้วเปล่ามีรูปยิ้มให้เขายิ่งทำให้รู้สึกว่าครามไม่ได้มีแค่หน้าตาที่น่ารัก
..เขาอยากจะรู้จักให้มากกว่านี้..
ร้านที่ธาริตพามาไม่ใช่ร้านหรูหราราคาแพงอย่างที่ครามนึกกลัว เขาแค่พาครามมาร้านข้าวต้มชื่อดังใกล้มหาวิทยาลัยเท่านั้น เมื่อสบายใจขึ้น ครามก็เป็นตัวเองมากขึ้นด้วย เขานั่งลงตรงข้ามกับธาริต รับเมนูจากเด็กเสิร์ฟเปิดไปมาคอยให้ธาริตสั่งก่อน
“เอากุ้งอบเกลือครับ แล้วก็ต้มยำกุ้ง” ธาริตปิดเมนู
“คุณจะกินอะไร สั่งอีกสองอย่าง” มือใหญ่รับแก้วใส่น้ำแข็งจากเด็กเสิร์ฟอีกคนที่เอามาวาง เขาหยิบขวดน้ำมาแกะแล้วจัดการเทให้ครามแก้วหนึ่ง ตัวเองแก้วหนึ่ง
“ผมเอาเอาทอดมัน..กุ้ง” ครามทำตาโต เหมือนเพิ่งจะนึกได้ว่าเมนูกุ้งชักจะเยอะเกินไป “เอ้อ เปลี่ยนเป็น ปลาใบขนุนทอด กับผัดผักบุ้งไฟแดงดีกว่าครับ”
“เอาทอดมันกุ้งมาเพิ่มก็ได้นะถ้าคุณจะกิน” ธาริตเอ่ยขึ้น แต่ครามส่ายหน้ารีบส่งเมนูคืนให้เด็ก
“สี่อย่างก็กินกันพุงกางแล้วคุณธาริต จะขุนผมให้กลิ้งกลับบ้านเลยหรือยังไงครับ” คนพูดหยิบแก้วน้ำมาดูดแก้เก้อ แต่แล้วก็ต้องสำลักเมื่อได้ยินสิ่งที่ธาริตตอบกลับ
“ถ้าคุณตัวกลม ๆ ก็คงดู...น่ารัก” ครามไม่รู้ว่าเขามันปากหวานเกินมนุษย์หรือเป็นพวกไม่รู้จักหวงคำชม แต่จะอย่างไรก็ล้วนเป็นภัยกับใจครามทั้งสิ้น
“กินดีกว่ามั้ยครับ” ครามรับจานข้าวจากเด็ก มือเรียวหยิบช้อนส้อมขึ้น แต่เพิ่งจะนึกได้ว่ากับข้าวยังไม่มาสักอย่างยิ่งทำให้เสียฟอร์มหนัก
“เป็นคนอารมณ์ดีนะคุณเนี่ย” ธาริตเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ชวนคุยเรื่องอื่นเมื่อเห็นว่าครามเริ่มจะทำอะไรไม่ถูก
“ทำไมมาทำงานร้านกาแฟล่ะ”
“ผมชอบกลิ่นกาแฟ มันหอมดี ดมแล้วรู้สึกโล่ง ที่นี่การจัดการเยี่ยม มีหลักสูตรให้ไปเรียนก่อนทำงานแล้วยังได้ค่าขนม ผมกะจะเอาไว้ใช้กับที่ร้านถ้ามีโอกาสได้เปิด” น้ำเสียงไพเราะเอ่ยยืดยาว เขาชอบภาษากายของธาริต อีกฝ่ายนั่งนิ่งไม่วอกแวก พยักหน้าตามไปด้วยเวลาครามพูด สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ทำให้ครามรู้สึกว่าอย่างน้อยก็มีคนใส่ใจจะฟังเขาจริง ๆ
“ดีนะ คุณยังมีฝัน จนถึงตอนนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าอยากทำอะไร”
ธาริตยักไหล่ เขาจบปริญญาตรีและโทเกี่ยวกับการศึกษาและเทคโนโลยีการบริหารการศึกษาจากประเทศอังกฤษ พอย้ายกลับมาไทยแม่ก็เคี่ยวเข็ญให้เขาเรียนบริหารธุรกิจอีกใบเพื่อเอาไว้สร้างคอนเน็คชั่น
“อย่างน้อยคุณก็ยังมีโอกาส” ครามออกความเห็น เขาพูดความจริง ไม่แฝงแววตัดพ้อต่อว่าโชคชะตา เพราะครามว่ามันเสียเวลาเปล่า เขาเปลี่ยนอะไรไม่ได้ อย่างเดียวที่ทำได้คือก้าวไปข้างหน้า ทำทุกอย่างให้ดีกว่าวันนี้เท่านั้น
“ก็หวังว่าจะมี” ธาริตมองหน้าคราม แววตาเขาทำให้คู่สนทนารู้ว่าตอนนี้คงกำลังพูดคนละเรื่องเดียวกันแล้ว ครามจึงได้แต่เปลี่ยนเรื่อง
“กินข้าวเถอะครับ”
ธาริตยืดตัว จานกุ้งขาวตัวโตอบเกลือทั้งเปลือกเรียงกันมาพร้อมน้ำจิ้มซีฟู๊ดวางลงตรงหน้า พร้อมกับต้มยำกุ้งแม่น้ำตัวใหญ่ เขาชอบร้านนี้เพราะมันสีส้มลอยฟ่องดูข้นน่ารับประทาน สีสันสวยงามมาจากมันหัวกุ้งที่ต้มมาล้วน ๆ ไม่ต้องเติมนมเติมกะทิให้ดูข้นขึ้นแบบหลาย ๆ ร้าน
ธาริตตักอาหารให้คราม เห็นท่าทางเล็มไอ้นั่นนิดไอ้นี่หน่อยของคนตรงข้ามทำให้เขาอยากมองต่อไปอีกนาน ๆ ชายหนุ่มใช้มือแกะกุ้ง พอบิตรงหัวออก มันสีแดงก็พุ่งปรี๊ดเข้าเสื้อเขา
“ผมชอบกินมันมากนะ แต่แกะยากเหลือเกิน” ธาริตบ่น เขาละมือไปหยิบเอาทิชชูในกล่องแต่ท่าทางคงดูทุลักทุเลเกินไปครามจึงช่วยหยิบมันแล้วส่งมาให้
“คุณหันตรงหัวเข้าหาตัวมันก็กระเด็นใส่เสื้อสิ” ครามหยิบกุ้งขึ้นมาตัวหนึ่ง สอนธาริตแกะอย่างถูกต้องไม่ให้มันเยิ้ม ๆ กระเด็นไปทางไหนอีก
“ขอบคุณมาก” ธาริตมองกุ้งตัวใหญ่ที่เลาะเปลือกออกหมดบนจานตัวเองแล้วอมยิ้ม แล้วยิ่งยิ้มกว้างขึ้นอีกเมื่อครามวางกุ้งแกะแล้วอีกตัวบนจานกลาง
“เช็ดมือแล้วก็กินเถอะครับ ผมมือเลอะคนเดียวพอ” ครามว่า เป็นอันว่าเขายึดจานกุ้ง แกะโยนเปลือกใส่จานว่างข้างกันแล้วก็แบ่งเอาเนื้อให้อีกฝ่าย
“ขอบคุณครับ” ธาริตคันไม้คันมืออยากจะตักอาหารแล้วป้อนคนตรงข้าม แต่ก็ยังต้องสำรวมกิริยา สุดท้ายเขาจึงได้แต่ตักอาหารใส่จาน คอยดูแลเติมน้ำในแก้วที่พร่องลงจนจบมื้ออาหารอย่างสุภาพ
“ห้าร้อยสิบสองบาทครับ” เด็กเสิร์ฟกดเครื่องคิดเลข ครามหยิบกระเป๋าเงินแต่ไวสู้ธาริตไม่ได้ มือใหญ่ชิงวางแบงก์พันลงในมือเด็ก
“ผมช่วยออก” ครามนับเงิน หยิบแบงก์ร้อยออกมาสามใบ เขารู้ว่าธาริตมีสตางค์ แต่ไม่อยากจะถูกมองไม่ดี ถึงไม่รวยอย่างเขาแต่ครามก็รับผิดชอบค่าอาหารของตัวเองได้
“ไม่เป็นไรครับ ผมพาคุณออกมาก็ควรจะเลี้ยง” คนพูดยิ้ม เขาสังเกตเห็นแววตาดื้อดึงของอีกฝ่ายจึงเอ่ยต่อไป “ถ้าครามอยากเลี้ยง เอาไว้มื้อหน้า”
“แบบนี้เรียกมัดมือชกหรือเปล่าคุณธาริต” ครามลุกขึ้นจากเก้าอี้ ไม่ได้ตอบตกลงเขาทันทีทันใด
“ขอความกรุณาต่างหาก”
ธาริตยิ้ม พูดราวกับตัวเองเป็นลูกเจี๊ยบตัวน้อย ๆ ที่ครามจะกำก็ตายจะคลายก็รอด เขาปลดล็อกประตูรถ คราวนี้ครามไม่รอให้เขามาคาดเข็มขัดให้เหมือนรอบแรก เจ้าของรถขับออกไปช้า ๆ เขาวนรถเพื่อจะกลับไปยังป้ายรถเมล์บริเวณประตูด้านข้างของมหาวิทยาลัย
“ยังมีรถเมล์แน่นะ” เสียงทุ้มถาม ตอนนี้สามทุ่มสี่สิบห้าเข้าไปแล้ว ธาริตจอดเลยป้ายรถเมล์ไปหน่อยเพื่อที่รถจะได้เข้าป้ายได้สะดวก และเขาก็รอส่งครามได้ด้วย
“ยังมีครับ... อ๊ะนั่นไง” ครามเห็นตัวเลขบอกสายบนป้ายไฟผ่านกระจกมองข้าง รถคันใหญ่เคลื่อนเข้ามาด้านหลัง “ผมไปนะครับ ขอบคุณมาก” เขาหันไปเปิดประตู แต่มันไม่ยอมเปิด
“อาทิตย์หน้าผมจะมารับที่ร้าน ตกลงไหม” ครามมองหน้าเขา เห็นมือใหญ่อยู่ในตำแหน่งเตรียมจะปลดล็อกให้ “ถ้าคิดช้า พลาดรถผมไม่รู้ด้วยนะ”
“เจอกันอาทิตย์หน้าครับ ปลดล็อกให้ผมได้แล้ว” พอออโต้ล็อคถูกปลด ครามก็กระโดลงจากรถ คิดในใจว่าธาริตเจ้าเล่ห์เพทุบายเหลือเกิน ถึงอีกฝ่ายไม่ถาม เขาก็คงตกลงเพื่อที่จะเลี้ยงข้าวคืนอยู่ดี
“กลับบ้านดี ๆ นะคราม” ธาริตลดกระจก ตะโกนเสียงดังให้ครามได้ยิน คนฟังได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ วิ่งหนีอายขึ้นรถเมล์ไป
เขาเห็นครามเดินมานั่งแถวหลัง เจ้าตัวลอบหันมามองผ่านกระจกใสบานใหญ่ขณะรถเมล์ออกตัว แต่เมื่อเห็นว่ารถยุโรปยังจอดที่เดิมครามก็รีบหันหลังกลับ ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขารอส่งจนลับสายตา
----------------------------
วันอาทิตย์ของครามมาถึงช้ากว่าปกติ คงเป็นเพราะครามจดจ่อและเฝ้ารอจนเกินไป เขารู้อยู่แล้วว่ายังไงธาริตก็ต้องมา แต่ก็ยังเผลอเหลือบมองไปที่ประตูร้านอยู่เสมอ
“มาแล้ว ๆ” พี่คนเดิมที่วันนี้สลับมาทำงานเก็บล้างสะกิดสีข้างคราม แต่ชายหนุ่มก้มหน้างุดซ่อนแก้มขึ้นสีเพราะอับอายที่โดนจับไต๋ได้
“อะไรเล่า..”
ธาริตไม่ได้ตรงมาสั่งกาแฟอย่างทุกครั้ง แต่มายืนจ้องมองตู้แช่ขนมอย่างชั่งใจ วันนี้ครามอยู่ประจำที่สเตชั่นขนม หน้าที่ในการอุ่นร้อน หรือจัดขนมและอาหารที่โชว์ไว้ในตู้ลงจานเป็นของเขาทั้งหมด
“คุณลูกค้าสนใจเป็นตัวไหนดีครับ”
“ผมอยากหาอะไรรองท้องก่อนไปกินอาหารเย็น” เจ้าของร่างสูงใหญ่เอ่ย วันนี้เขามาตอนเกือบจะห้าโมงแล้วเพราะติดพรีเซนท์งานยืดยาว ขนมบนชั้นในตู้กระจกร่อยหรอ ส่วนของคาวก็เหลืออีกแค่สองอย่าง
ครามมองหน้าเขา การอ่านสายตาและความสนใจของลูกค้าเป็นความสามารถที่บาริสต้าควรมี ธาริตเหลือบมองครัวซองต์กับซีซ่าร์สลัดแค่แวบเดียวแล้วหันกลับมามองของหวานที่วางเรียงกันอย่างลังเล
“ผมขออนุญาตแนะนำเป็นของหวานนะครับ ถ้าคุณลูกค้าชอบทานแบบที่มีครีม รสหวานกำลังพอดีตอนนี้ยังมีเค้กมะพร้าวอยู่ ถ้าคุณชอบผลไม้จะรับเป็นสตรอเบอรี่เฟรชครีมก็อร่อยครับ” บาริสต้าหนุ่มเว้นวรรค ในสมองกำลังคาดคะเนขนมที่เขาน่าจะชอบและต้องกินเข้ากับเครื่องดื่มที่สั่งประจำ
“แต่ถ้าคุณลูกค้าชอบรสเข้มข้นหน่อย ก็ยังมีช็อคโกแลตมัฟฟิน หรือช็อกโกแลตบราวนี่ครับ”
“มัฟฟินชิ้นใหญ่ น่าจะอยู่ท้องพอสมควร ส่วนบราวนี่ชิ้นเล็กกว่าหน่อยแต่ก็น่าสนใจ ไม่แน่ใจว่าผมจะต้องรอคนที่ไปด้วยนานหรือเปล่า รบกวนคุณเลือกให้เลยนะ” ธาริตยิ้ม แต่ครามเลี่ยงจะมอง ยิ่งมองหน้าเขาครามยิ่งทำอะไรไม่ถูกไปกันใหญ่
“ถ้าอย่างนั้นรับเป็นบราวนี่นะครับ” ครามมือสั่น หยิบจานเซรามิกสีขาวมาใส่ขนม พร้อมกับเตรียมส้อมกับกระดาษเช็ดปากวางไว้ด้วย
“ครับ ผมรอนะ”
คำว่ารอของธาริตทำให้ครามใจเต้นตึกตักเผลอคิดไปไกล ในความเป็นจริงแล้วเขาอาจจะหมายถึงการไปยืนรอเค้กที่ปลายบาร์พร้อมกาแฟก็ได้
อีกสามชั่วโมงที่เหลือ ครามตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ส่วนธาริตก็เอาหนังสือขึ้นมาอ่าน หน้าปกเป็นภาษาอังกฤษตัวเบ้อเริ่ม ครามไม่แน่ใจนักว่ามันเกี่ยวกับอะไร เพราะความรู้ภาษาของเขายาวเท่าหางอึ่ง ทุกวันนี้ฟังลูกค้าสั่งเมนูและบอกทอนเงินถูกครามก็ดีใจแล้ว จะให้ไปพูดคล่องปร๋อแบบหลายคนครามทำไม่ได้หรอก
“แอบมองตาเยิ้มขนาดนี้คือยังไง ชอบกันแล้ว คบกันยัง” พี่คนเดิมกระซิบคราม
“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ เก็บของดีกว่า” ครามหลบมือหล่อน รู้ดีว่ายืนต่อไปคงโดนหยิกจนแก้มช้ำอย่างทุกทีแน่
ธาริตออกไปตั้งแต่ทุ่มสี่สิบห้า คาดว่าคงไปรอแถว ๆ นี้ ครามเริ่มเก็บของที่บาร์ ทำความสะอาดเตาอบและสเตชั่นที่ตัวเองรับผิดชอบ เขารอเช็คสต็อก และลงของที่จะขายพรุ่งนี้ตอนเปิดร้าน กว่าจะเสร็จก็เกือบสองทุ่มครึ่ง
วันนี้ครามจึงกระวีกระวาดกว่าปกติ เขาช่วยปิดล็อคร้าน เดินตรงไปทางลานจอดรถเพราะเดาว่าธาริตคงอยู่แถวนั้น ทางเดินเงียบและมืดเหมือนปกติ เขามองซ้ายมองขวาแต่ไม่เห็นใคร
เป็นไปได้ไหมที่ธาริตจะเปลี่ยนใจไม่รอ?
ครามเดินช้าลงนิดหน่อย กลัวว่าเมื่อถึงลานจอดแล้วไม่เห็นรถเขาจะผิดหวังเอา แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเจ้าตัวโผล่มาข้าง ๆ
“เกือบหัวใจวายแล้วคุณธาริต” ครามหันไปดุเขา ใบหน้ามู่ทู่
“ไม่เห็นมีเสียงร้องสักแอะ ว่าจะขอปลอบสักหน่อย” คนพูดยิ้มกว้าง กิริยาตอนตกใจของครามน่ารักน่าเอ็นดู ตอนเขาโผล่พรวดเข้าไปหา ครามเพียงแต่ยืนนิ่งและทำตาโต ยิ่งมีแก้มพอง ๆ อยู่แล้วยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่
“ฉวยโอกาสไม่ไปด้วยนะครับ” ครามพูดไปอย่างนั้นเอง เพราะสองขาน่ะเดินเข้าลาดจอดรถไปแล้ว
“ด้วยเกียรติของนายธาริตครับ” คนพูดยกสามนิ้วทำท่าเหมือนเรียนลูกเสือ
วันนี้ธาริตพาครามไปเยาวราช ครามรู้ว่ามันมีถนนชื่อดังเส้นนี้อยู่ในกรุงเทพแต่ไม่เคยไปสักที ธาริตวนหาที่จอดอยู่สักพักก็ได้ที่วางแถววัดใกล้ ๆ วันนี้วันอาทิตย์ ผู้คนล้นทะลักทั้งสองข้างทาง
ตลอดถนนเส้นนี้มีแต่ป้ายไฟอันโตประดับประดาอยู่เต็มไปหมด ส่วนใหญ่เป็นร้านทอง มีร้านอาหารจีนขนาดใหญ่และธนาคาร ครามเห็นร้านขายเกาลัดทุกห้าสิบเมตร ถ้าป้ายังอยู่คงได้ซื้อไปฝาก ยังมีร้านอาหารทะเลแบบที่มีกุ้งเป็นปลาเป็นมาโชว์อยู่หน้าร้าน ครามเห็นพวกมันว่ายไปว่ายมาอย่างนั้นก็ชี้นิ้วให้เขาตีหัวมันมากินไม่ลง
ร้านอาหารหลายร้านมีคนยืนต่อคิวแถวยาวเหยียด มองแล้วครามก็นึกทึ่ง ไม่รู้ว่าต้องอร่อยแค่ไหนคนถึงแห่แหนไปแย่งกันกิน
“อยากกินอะไรไหม” คนตัวสูงข้าง ๆ ถาม เขาชอบธาริตตอนแต่งตัวสบาย ๆ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีเรียนหรือเขาไม่เคร่งระเบียบ วันนี้ถึงใส่เสื้อโปโลสีขาวกางเกงสีเข้มและรองเท้าผ้าใบ ต่างจากปกติที่มักจะใส่เสื้อเชิ้ตรีดเรียบกริบ
“ไม่รู้สิ ผมไม่เคยมาเลย” ทั้งซ้ายทั้งขวาน่าตื่นตาตื่นใจไปหมด แม้กระทั่งผลไม้ในรถเข็นข้างทางก็ยังมีผลไม้เมืองนอกที่มักจะเห็นเฉพาะในห้าง อย่างเช่นลูกท้อ ลูกแพร ลูกไหน พวกอย่างนี้ครามไม่ค่อยเห็นในตลาด
“ที่ดัง ๆ เขามากินกันก็พวกสุกี้ ก๋วยจั๊บ มีร้านกระทะร้อนไอ้อันที่แถวยาว ๆ นั่นน่ะ” ธาริตชี้ไปฝั่งตรงข้าม แต่ถ้าไม่รู้จะกินอะไรเดี๋ยวเราสั่งมาแบ่งกันจะได้กินหลายร้านดีไหม”
“เอาตามที่คุณว่าเลยครับ” ครามเดินเคียงไปกับเขา ร้านแรกธาริตพาแวะกินก๋วยเตี๋ยวหลอด ร้านคนแน่นจนต้องแบ่งโต๊ะกับชาวต่างชาติอีกคู่หนึ่ง
ก๋วยเตี๋ยวหลอดร้านนี้ใส่เครื่องเยอะ บนเส้นใหญ่มีไชโป๊ว มีกระเทียมกับหอมเจียวโรยหน้า ใส่ไก่ ใส่ปลาหมึกกรอบ ข้างล่างมีถั่วงอกรอง ราดน้ำจิ้มสีดำออกหวานนำเค็มตาม ครามกินเข้าไปคำก็รู้เลยว่าทำไมใคร ๆ ถึงแนะนำ
ธาริตพาเขาไปกินเผือกทอดของร้านลูกชิ้นปลา เขาบอกก๋วยเตี๋ยวก็อร่อย แต่ครามอยากเดินมากกว่า สุดท้ายก็ได้ถ้วยกระดาษใบใหญ่ใส่เผือกทอดกรอบ ๆ มาแบ่งกันกิน
สุดท้ายพอเห็นว่าก๋วยจั๊บร้านดังคนเริ่มซา พอมีที่ว่างแบบไม่ต้องนั่งต่อคิว ธาริตก็ว่าจะพาครามข้ามถนน แต่คนเยอะเกินไป ทั้งคนมาเที่ยววันหยุดทั้งทัวร์จีนที่เพิ่งจะลงจากรถ ครามตาลาย หันไปอีกทีธาริตก็หายไปแล้ว
ครามมองซ้ายมองขวา พยายามมองหาผู้ชายตัวสูง ไหล่กว้าง ใส่เสื้อโปโลสีขาว แต่เขาโดนเบียดไปทางนั้นทีทางนี้ที ตอนนี้ครามรู้สึกราวกับว่าเขาเป็นปลาตัวเดียวที่ว่ายทวนน้ำ
อยากจะกดมือถือโทรหาอีกฝ่ายแต่ก็เพิ่งนึกได้ว่าไม่มีแม้กระทั่งเบอร์โทรศัพท์ ฝูงชนจากไปแล้ว ครามไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ตรงส่วนไหนของเยาวราช เขาพยายามจะเดินตามหาธาริตแต่ก็หมดหวัง คนเยอะเกินไป และเขาก็พลัดหลงเข้ามาในซอย
ครามไม่ทันได้เห็นป้ายชื่อซอยด้วยซ้ำ รู้เพียงแต่ว่ามีร้านอาหารทะเล มีราดหน้า ร้านรังนกแบบที่ขายอยู่หน้าถนน ทีแรกมันก็สว่างดี แต่ยิ่งเดินยิ่งมืด ครามกะว่าจะเดินกลับทางเดิม เขาหันรีหันขวาง รอบตัวมีแต่ตึกแถว บ้างเปิดไฟบ้างปิดไฟ กว่าจะรู้ก็เหมือนเขาหลุดมาในโลกคู่ขนาน
ครามเดินวนไปวนมาอยู่นาน เขาเห็นทางทะลุซอยข้าง ๆ จึงลองเดินตามไป สุดท้ายก็วนกลับไปเจอถนนเส้นใหญ่ที่คนบางตาลงนิดหน่อย ป้ายไฟเรืองรองจับตาในตอนแรกปิดลงบางส่วน เขาเดินจนขาล้า นาฬิกาข้อมือบอกเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว วันนี้ครามคงต้องเรียกแท็กซี่กลับบ้าน หลงกันตั้งนานขนาดนี้ เขาว่าธาริตคงถอดใจกลับบ้านไปแล้วเหมือนกันแน่
“คราม! ” ครามหันหาต้นเสียง มองซ้ายมองขวาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ กระทั่งเสียงเรียกชื่อเขาดังขึ้นอีก หลายคนหันมองไปยังฝั่งตรงข้าม ธาริตยืนอยู่หน้าทางม้าลาย ป้องปากตะโกนเรียกชื่อครามเสียงดัง
“คุณนี่นะ เห็นตัวเล็กนิดเดียวแต่เดินไวเป็นบ้า” แป๊บเดียวธาริตก็วิ่งข้ามถนนมาถึงตัวเขา บนใบหน้ามีเหงื่อเกาะพราว
“ผมนึกว่าคุณกลับไปแล้วเสียอีก” ครามหยุดเดิน ขยับเข้าไปชิดประตูห้องแถวที่ปิดแล้ว เว้นทางให้คนอื่น
“เก่งมากเลยที่หาผมเจอ ผมหลงไปในซอยโน่นแน่ะ” คนตัวสูงใหญ่ไม่ได้พูดอะไร ครามไม่รู้หรอกว่าเขาเดินวนไปวนมาจนสุดถนนไปตั้งสี่รอบ!
“หลงไปไหนก็จะหาให้เจอ แต่ทางที่ดีอย่าหลงดีกว่า” ธาริตว่า เขาร้องขึ้นเมื่อเห็นทัวร์ลงอีกรอบ คราวนี้ตั้งสองคัน ถ้าให้เดินหาครามทั้งเยาวราชอีกทีเขาตายแหง ๆ
“คุณรังเกียจหรือเปล่าถ้าเราจะจับมือกัน” ธาริตยื่นมือมาตรงหน้าคราม แววตาของเขามั่นคง จนครามเผลอหลบตาอีกหน ครามไม่เคยจับมือใคร ไม่รู้ว่าคนปกติเขามาขอกันหน้าซื่อ ๆ อย่างนี้หรือเปล่า
เวลานี้ทั้งร้อนทั้งเหนื่อย ผู้คนและรถรารอบข้างเสียงดังจอแจ แต่ใจกลับเต้นตึกตักเสียงดังจนกลัวอีกฝ่ายจะได้ยิน ครามทาบมือลงบนมือเขา เผลอยิ้มตามคนตัวใหญ่ตรงหน้า
“จับไว้แล้ว อย่าทำผมหายอีกนะคุณธาริต”
ธาริตกอบกระชับมือครามไว้ น่าประหลาดที่สัมผัสตรงมือกลับส่งไปอุ่นซ่านถึงในใจด้วย ครามไม่รู้ว่าหากเดินต่อไปแล้วอนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไง แต่หากเขายังจับมือครามไว้อย่างนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็คงไม่เป็นไร
---------------------------------------
วันนี้พามาสำรวจอดีตของครามกันค่ะ คิดว่าเราน่าจะอยู่กับน้องครามอีกพักใหญ่เลยทีเดียว
ถ้ามีคำผิดทิ้งเมนท์ไว้ได้เลยนะคะ เบื้องต้นตรวจไปคร่าวๆแล้ว แต่ตาไม่ค่อยดีค่ะ
ต้องรบกวนคนอ่านด้วย เดี๋ยวจะรีบเข้ามาแก้ค่ะ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ ทุกครั้งที่อ่านคอมเมนท์ตื่นเต้นมากเลย อ่านแล้วอ่านอีก
เจอกันตอนหน้าค่ะ