-1-
ณ โรงแรมระดับหรูแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ที่ห้องแกรนด์บอลรูม มีงานแต่งงานของคุณหนูในแวดวงไฮโซ แขกเหรื่อในงานตอนนี้กำลังพากันชื่นชมคู่บ่าวสาวที่กำลังเต้นรำบนฟลอร์โดยมีเสียงเปียโนบรรเลงเพลงรักหวานๆประกอบ แต่ก็มีสาวน้อยใหญ่บางคนที่แอบละสายตาไปยังนักเปียโนหนุ่มน้อยผมยาวผู้มีนัยน์ตาโศก ปลายนิ้วเรียวยาวที่เคาะแป้นสีขาวก็ดูสวยงาม ใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆเรียกสายตาให้ผู้ที่มองผ่านต้องหยุด แล้วหันกลับมามองอีกครั้ง
ดนตรีจบลงพร้อมๆกับเสียงปรบมือของบรรดาแขก หลังจากเข้าไปชื่นชมเจ้าสาว บิดาของหล่อนก็เดินมาทางเปียโนพร้อมเริ่มบทสนทนากับ ‘เขา’
“ญาณัช... ขอบคุณมาก... คุณเล่นเปียโนได้เพราะจริงๆ”
“ไม่หรอกครับ... ผมก็แค่เล่นได้” เขายิ้มบางๆให้เป็นการถ่อมตัว
“แล้วคุณทานอะไรหรือยัง... ระหว่างนี้ไปพักทานก่อนก็ได้นะ พวกเด็กๆเขาคงอยากคุยกันมากกว่าฟังเพลงแล้วล่ะ” พูดจบเขาก็หัวเราะ นักเปียโนร่างเพรียวยกมือไหว้พร้อมเอ่ยขอบคุณตามมารยาท แล้วจึงลุกจากเปียโนหลังนั้น เดินมาหยิบจานเปล่าแล้วเริ่มตักอาหาร
‘ญาณัช’ หนึ่งในทายาทรุ่นที่สามของตระกูลประสิทธิ์พรวิวัฒน์ เด็กหนุ่มอายุ20ที่ไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยเพียงเพราะทางบ้านไม่อนุญาต เขาที่อยากเรียนดนตรีจึงออกมาทำงานพิเศษเพื่อเก็บเงินที่โรงแรมแห่งนี้ทุกคืน โดยปกติจะเล่นที่ห้องอาหารของโรงแรม แต่ก็มีหลายทีที่เขาต้องมาเล่นในงานเลี้ยงเช่นนี้หากทางโรงแรมขอร้อง
เรื่องที่เขามาทำงานที่นี่ไม่มีใครรู้ ญาณัชตั้งใจว่าจะเก็บเงินเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม
ญาณัชตักกับข้าวใส่จานเพียงอย่างละนิดเพราะเขาไม่ใช่คนทานเยอะ แต่พอเจอกับบร็อคโคลี่ผัดกุ้งก็หยุดมอง ก่อนจะตักมากกว่าอย่างอื่นถึงเท่าตัวแล้วจึงเดินไปนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่างซึ่งเป็นมุมเงียบสงบก่อนจะเริ่มทาน
รสชาติอาหารที่อร่อยถูกปากทำให้บนใบหน้ามีรอยยิ้มแต้มอยู่ ยิ่งตักบร็อคโคลี่มาทานก็ยิ่งรู้สึกว่าเชฟที่นี่ทำอาหารอร่อย แต่รอยยิ้มกลับจางหายไปจากใบหน้า คนที่แอบมองเขาอยู่อาจจะคิดว่าบร็อคโคลี่นั้นไม่อร่อยถูกปาก แต่จริงๆแล้วเปล่า... สำหรับญาณัชแล้ว บร็อคโคลี่ผัดกุ้งจานนี้อร่อยมากจนเขาหวนนึกถึงคนที่ไม่ได้อยู่กับเขาอีกต่อไปแล้ว
...ถ้าอาพีทได้ทาน...
...อาพีทต้องชอบแน่ๆ...
อาพีทที่ญาณัชคิดถึงก็คือ ‘พิชญ์’ ผู้มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพ่อของเขา ตอนที่ญาณัชอายุได้สี่ขวบ พ่อกับแม่ของเขาก็ประสบอุบัติเหตุทางเครื่องบินเสียชีวิต และในตอนนั้น คนที่รับเขามาดูแลราวกับเป็นลูกก็คือพิชญ์
ตอนแรกๆ ญาณัชไม่ค่อยเข้าใจเวลาได้ยินคนในบ้านแอบคุยกันถึงพิชญ์ว่าเป็นเกย์ เป็นตัวประหลาด พอโตขึ้นมาหน่อยก็เลยไปถามเอากับเจ้าตัวด้วยความซื่อ คำตอบที่ได้คือเสียงหัวเราะก่อนที่คำอธิบายจะตามมา
‘แต่ว่าผู้ชายต้องชอบผู้หญิงไม่ใช่เหรอฮะ’ เด็กผู้ชายตัวเล็กที่นั่งอยู่บนพื้นห้องเงยหน้าถาม
‘ฮ่าๆ นั่นก็ใช่ แต่อาไม่ชอบนี่... ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ จริงไหมนัท’ ชายหนุ่มผมยาวหน้าตาสะอาดอ้านเอื้อมมือมาลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู
‘แต่พวกลุงๆป้าๆชอบว่าว่าอาพีทแปลกแล้วก็ประหลาดนี่ฮะ... นัทไม่ชอบเลย’ ญาณัชทำหน้ายุ่ง
‘ถึงจะแปลก ถึงจะประหลาด... แต่ถ้าเรื่องที่อาชอบ ไม่ได้ทำร้ายหรือทำให้ใครเดือดร้อน ก็ไม่เป็นไรหรอก... เหมือนกับที่นัทไม่ชอบกินไข่ดาวยังไงล่ะ... ไม่มีใครเดือดร้อนจากการที่นัทไม่กินจริงไหม ถึงคนทั่วไปจะมองว่าประหลาดเพราะไข่ดาวเขาก็กินกันทุกคน แต่ก็ไม่มีใครตายเพราะนัทไม่กินไข่ดาว จริงไหม.... คนเรา ชอบอะไรไม่เหมือนกัน... ใช่ไหมนัท’
‘...ฮะ’
‘เข้าใจแล้วก็... ไปหาอะไรกินกันดีกว่า วันนี้ไปกินที่ร้านกุ้งกันเถอะ’ พิชญ์ลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมทั้งแตะหลังหลานรักเบาๆเป็นการบอกให้ลุกขึ้น
‘เมื่อวันก่อนก็เพิ่งไปมานะฮะอาพีท’
‘แต่บร็อคโคลี่ผัดกุ้งที่นั่นน่ะ อร่อยสุดยอดแล้วนะ เราก็ชอบเหมือนกันไม่ใช่เหรอนัท’
‘นัทชอบกะหล่ำผัดแฮมมากกว่าฮะ แต่ไม่เป็นไร อาพีทชอบก็ไปกินกัน’ รอยยิ้มสดใสปรากฎบนใบหน้ากลมๆของเด็กน้อย เขารีบกระโดดใส่หลังพิชญ์ ก่อนที่เสียงหัวเราะจะตามมา
นึกถึงตรงนี้ขอบตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ญาณัชรีบสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนจะลงมือทานต่อให้หมด ไม่นานนัก อาหารบนจานใบใหญ่หายไปจนหมด เหลือเพียงบร็อคโคลี่ผัดกุ้งครึ่งนึงจากที่ตักมาทิ้งไว้บนจาน เขายกมือประสานกันเป็นการไหว้ข้าว สิ่งที่พิชญ์สอนมาตั้งแต่เด็ก ก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเดินหาเครื่องดื่ม
พักอยู่ได้ไม่นาน เขาก็ได้รับการเชิญให้ไปบรรเลงเพลงรักอีกสองสามเพลงก่อนจะเริ่มพิธีส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอ คำชื่นชมมากมายที่ได้รับทำให้ต้องโค้งขอบคุณด้วยความเขินอาย ญาณัชปลีกตัวออกมาด้านนอกเมื่อแขกทุกคนไปส่งตัวเจ้าสาวกัน ร่างโปร่งในชุดสูทสีดำมียี่ห้อเดินไปนั่งที่แกรนด์เปียโนหลังใหญ่ตรงล็อบบี้
ตรงล็อบบี้นั้นมีแขกมานั่งทานกาแฟอยู่แค่คนสองคน ญาณัชหลับตาลงก่อนจะเริ่มเล่นเพลงRomance d’Amour เพลงแรกๆที่เขาเล่นเป็นตอนเริ่มหัดเล่นเปียโน... เพลงที่พิชญ์ชอบฟังเวลาทำงาน
ใบหน้าของพิชญ์ยามยิ้มแย้มพร้อมคำชื่นชมในตัวเขาผุดขึ้นมาในมโนภาพ เพลงรักแสนหวานกลับฟังดูเศร้าสร้อยและโหยหา สองปีที่ผ่านมาหลังจากพิชญ์ตายจากไป ญาณัชยังไม่สามารถลบความโศกเศร้าออกจากหัวใจได้
เมื่อบทเพลงจบลง มีเสียงปรบมือดังขึ้นเบาๆจากมุมหนึ่ง เมื่อญาณัชหันไปดูก็พบกับหญิงสูงวัยร่างเล็กในชุดสูทผ้าไหมราคาแพงยืนอยู่ เด็กหนุ่มรีบยกมือขึ้นไหว้ก่อนจะลุกจากเปียโนแล้วเดินเข้ามาหา
“คุณพลอย... สวัสดีครับ” เขาเอ่ยทักทาย‘คุณพลอย’ เจ้าของโรงแรมแห่งนี้
“เล่นได้เพราะเหมือนเคยนะ...” หล่อนเอ่ยชม บนใบหน้ามีริ้วรอยแห่งวัยปรากฎให้เห็นชัดเมื่อเธอยิ้ม
“ขอบคุณครับ”
“คืนนี้ดึกไปหน่อยนะ... นอนที่นี่ไหม... ฉันจะได้เปิดห้องให้”
“...คงต้องรบกวนคุณพลอยด้วยนะครับ” ญาณัชเรียนรู้ที่จะไม่ตอบปฏิเสธ เพราะก่อนหน้านี้หากปฏิเสธ พลอยก็จะรบเร้าให้แท็กซี่ของโรงแรมไปส่งที่บ้าน ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น ความคงแตกว่าเขาทำงานที่นี่
“ไปขอคีย์การ์ดที่เคาน์เตอร์เหมือนเดิมได้เลยนะ... แล้วไว้พบกัน”
เด็กหนุ่มยกมือไหว้อีกครั้ง แล้วยืนรอให้หล่อนเดินจากไปก่อน - - - หากให้คิดถึงเรื่องกลับบ้านกับนอนค้างที่นี่ ญาณัชก็ไม่ค่อยอยากจะกลับไปที่บ้านประสิทธิ์พรวิวัฒน์สักเท่าไหร่นัก เมื่อวานเพิ่งมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นที่บ้าน อยู่ๆ พลภัทร ประธานคนปัจจุบันผู้มีศักดิ์เป็นลุงของเขาก็พาชายหนุ่มคนหนึ่งมาแนะนำว่าชื่อ ‘ชยางกูร’ โดยบอกว่าเป็นลูกที่เกิดกับภรรยาที่อเมริกา พูดง่ายๆก็คือลูกเมียน้อย พลภัทรบอกทุกคนในตระกูลให้รับรู้ว่า ชยางกูร จะมารับช่วงต่อบริษัทจากเขา และนั่น ทำให้คณัสนันท์ ลูกชายแท้ๆผู้ควรจะได้ตำแหน่งนั้นไม่พอใจจนถึงกับโวยลั่น สำหรับญาณัชแล้ว ใครจะสืบทอดอะไรยังไง เขาไม่สนใจนัก แต่เขาก็นึกสงสารคณัสนันท์อยู่ไม่น้อย เพราะเขารู้ว่าญาติผู้พี่ของเขาคนนี้ตั้งใจเรียนตามคำสั่งของพลภัทรขนาดไหน ในสายตาของญาณัชนั้น ชยางกูรดูเป็นคนรักสนุกมากกว่านักธุรกิจ ผมยาวสีทองกับต่างหูยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของว่าที่ประธานดูแย่ลงกว่าเดิม รูปร่างสูงโปร่งกับใบหน้าคมคายนั้นคงได้มาจากมารดาที่เป็นฝรั่ง ผู้ชายที่ดูดีแบบนี้คงไม่พ้นคำว่าเพลย์บอยแน่ๆ
แต่พิชญ์เคยสอนว่าอย่ามองคนแค่ที่เห็นจากภายนอก...
พอคิดได้อย่างนั้น ญาณัชก็เลิกเปลืองความคิดกับเรื่องที่บ้าน เขาตัดสินใจเดินไปติดต่อที่เคาน์เตอร์ของโรงแรมเพื่อรับคีย์การ์ด - - - เมื่อรับการ์ดใบเล็กมาถือไว้ในมือแล้ว ร่างบางก็มุ่งหน้าไปที่ลิฟต์ แต่กลับไปสบตากับคนๆหนึ่งเข้า รูปร่างสูงใหญ่ในเครื่องแบบเชฟนั้นดูสะดุดตา
ญาณัชไม่ได้คิดอะไร เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าคนๆนี้ตามเขามาตั้งแต่ตอนที่เขาออกมาจากงานแต่งงาน แต่พอเขาเดินผ่านเข้าลิฟต์ไป ผู้ชายร่างสูงคนนั้นก็สอดตัวเข้าตามเข้ามาในลิฟต์ ญาณัชใช้หางตามองด้วยความแปลกใจ บรรยากาศชวนอึดอัดก่อตัวขึ้นมาจนเขาต้องเงยหน้ามอง นัยน์ตาสีเขียวแปลกที่มองมาราวกับมีเรื่องไม่พอใจ ด้วยความที่เขาถูกอบรมมาดีพอ ถึงแม้จะไม่ได้ยิ้มให้แต่ก็เอ่ยถามอย่างมีมารยาทและสุภาพ
“ไม่ทราบว่า... มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”
คำถามที่ถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยขึ้น นัยน์สีเทาอมเขียวจ้องกลับไปหากแต่ก็ไม่ยอมปริปากพูดออกมา ร่างสูงเอนหลังพิงโลหะเย็นๆก่อนจะเริ่มให้ความสนใจกับรองเท้าสีดำที่ขัดจนมันปลาบของตนเอง แต่แล้วเสียงขยับตัวของอีกฝ่ายก็ทำให้ต้องละสายตาออกมา
“ขอโทษนะครับ...”
เชฟหนุ่มเงยหน้าขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มจางๆที่แต้มไว้บนริมฝีปาก “ครับ?”
“ไม่ทราบว่า... มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ” เด็กหนุ่มผมยาวสีดำขลับถามย้ำเป็นครั้งที่สอง คราวนี้นัยน์ตาอมโศกกลับจ้องตรงมาราวกับจะเค้นคำตอบ
“เพลงของคุณเพราะมากเลยครับ...ถึงจะเป็นเพลงที่ไม่รู้จักชื่อก็ตาม” เขาสะบัดปลายชุดคลุม เครื่องแบบสีขาวของเชฟประจำโรงแรมที่ถูกขอร้องให้ใส่แทนชุดเชฟปกติไม่ค่อยจะพอดีเท่าไร ด้วยอาจจะเป็นเพราะว่าชุดตัวนี้เป็นของใหม่ เนื้อผ้าแข็งด้านและสีขาวของมันเลยสะอาดเกินความเป็นจริง สำหรับคนภายนอก...มันอาจจะดูดีและมีราคาสูง หากแต่สำหรับคนที่สวมอยู่แล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรกับหน้ากากสวยงามที่ถูกประดับด้วยเพชรวูบวาบที่เป็นของปลอม
“ขอบคุณครับ” ญาณัชเอ่ยขอบคุณ หากแต่เขาก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่าเพราะเรื่องแค่นี้...จะทำให้คนตรงหน้าถึงกับมายืนอยู่ในลิฟท์ตัวเดียวกันได้
“ผมเป็นเชฟของงานเมื่อครู่ เลยมีโอกาสได้ฟังเพลงของคุณตลอดทั้งงาน” ชายหนุ่มผมสีทองยาวถึงเอวแนะนำตัวทั้งที่ชุดที่สวมอยู่ก็เป็นตัวบอกได้อย่างดีอยู่แล้ว
“อาหารในงานอร่อยมากเลยครับ” ญาณัชชมกลับ เขาไม่ได้พูดโกหกเลยแม้แต่น้อย อาหารที่งานนั้นเป็นอาหารนานาชาติที่จัดออกมาได้อย่างลงตัว ทั้งสีสัน ความสวยงาม และรสชาติ ไม่มีสิ่งใดย่อหย่อนไปกว่ากันเลย
“อย่างนั้นหรือครับ” คนได้รับคำชมหรี่ตาลง “คุณคิดอย่างนั้นจริงๆหรือครับ”
‘ทยุต’ เชฟหนุ่มเจ้าของผลงานในวันนี้ทั้งหมดถามด้วยอาการนิ่งๆ ในงานเขาเห็นนักเปียโนคนนี้เดินมาตักอาหารอย่างละนิดละหน่อยในโซนของอาหารไทยก่อนจะเดินไปนั่งกินเงียบๆในที่ปลอดสายตาคน แต่มันอาจจะเป็นเหตุบังเอิญที่เขายืนประจำอยู่ในที่ที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ในตอนแรกๆคนๆนี้ก็กินด้วยท่าทางที่ดูจะมีความสุขดี แต่จู่ๆก็หยุดชะงักลง และถึงแม้จะกินต่อ สุดท้ายก็เหลืออาหารอย่างหนึ่งไว้ในจาน
“ครับ” ญาณัชย้ำอีกครั้ง เขาเห็นรอยยิ้มจางๆเริ่มเลือนหาย
ไฟสัญญาณบอกชั้นไล่ขึ้นไปตามตัวเลข เหลืออีกเพียงห้าชั้นเขาก็จะได้ออกไปจากกล่องแคบๆนี้แล้วไปอาบน้ำแช่ตัวพักผ่อนร่างกายเสียที การเล่นเปียโนเป็นสิ่งที่เขารัก...แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่เหนื่อย เด็กหนุ่มมองเชฟที่ยืนอยู่อีกฝั่งของลิฟท์ พอลองดูจริงๆแล้วกลับต้องทึ่งในภาษาไทยที่พูดออกมาได้ชัดเจนทั้งที่ลักษณะภายนอกดูจะเป็นชาวต่างชาติ ไหนจะสีผมที่ดูก็รู้ว่าเป็นสีธรรมชาติ แถมด้วยความสูงที่ต่างกัน และบรรยากาศรอบกายอีก
“คุณอยู่เมืองไทยมาหลายปีแล้วหรือครับ ภาษาไทยของคุณชัดเจนมากเลย”
“ผมเป็นคนไทยครับ” ทยุตตอบกลับไป “ถึงจะดูแปลก... แต่ว่าผมเกิดที่นี่และโตมาที่นี่” ชายหนุ่มมองหาความประหลาดใจที่มักปรากฏในแววตายามที่เขาบอกกับใครๆว่าเขาเกิดที่นี่ นัยน์ตาเรียบจนติดจะดุมองสบตาเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
ญาณัชเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย
“ครับ” เขาตอบรับเพียงเท่านั้นเพราะลิฟท์ที่เคลื่อนขึ้นมาถึงชั้นสูงสุดหยุดลงเสียก่อน ชายหนุ่มกดลิฟท์ค้างให้ประตูเปิดไว้แล้วยืนชิดริมรอให้คนที่อยู่ด้วยกันออกไปก่อน
“เชิญก่อนเลยครับ” ทยุตก้าวเข้าไปยืนใกล้ๆแล้วแตะนิ้วลงไปบนปุ่มเดียวกัน โดยที่ไม่รู้ตัวท่อนแขนและร่างกายบางส่วนกลับเสียดสีกัน เขาก้มหน้ามองคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักเช่นเดียวกับญาณัชที่เงยหน้าขึ้นสบตาพอดี หลายครั้งที่เชฟหนุ่มนึกคุ้นกับใบหน้าเศร้าๆนี้ แต่นึกเท่าไรเขาก็นึกไม่ออกเสียที
“ขอโทษครับ” ชายหนุ่มพูดแล้วเบี่ยงตัวหลบ
“..ค..ครับ..” ญาณัชก้าวออกไปนอกลิฟท์ สำหรับเขาที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับการอยู่กับคนแปลกหน้าตามลำพังแล้ว สถานการณ์เมื่อครู่เป็นเหตุแปลกเสียยิ่งกว่าแปลกเท่าที่เคยเจอมา กลิ่นหอมจางๆที่โชยมาตอนร่างกายใกล้ชิดกัน...มันเป็นกลิ่นอะไรกันนะ
ตามหลักแล้วอีกฝ่ายที่เป็นคนทำอาหารน่าจะมีกลิ่นของมันติดไม่ใช่หรือ แต่นี่...มันเป็นกลิ่นคล้ายน้ำหอมเจือจาง ไม่เหม็นฉุน กลิ่นอ่อนๆกลับให้ความรู้สึกผ่อนคลาย
คล้ายกับกลิ่นนมอุ่นๆในถ้วยใบโต...หรือกลิ่นของเค้กอะไรสักอย่าง
“แล้วเจอกันครับ”
“อ๊ะ!?”
ญาณัชอุทานขึ้น ลิฟท์ปิดไปเสียแล้ว แถมอีกฝ่ายก็ยังไม่ได้ออกมาด้วย เขายืนรอครู่หนึ่งเผื่อว่าคนข้างในจะออกมา แต่ไฟสัญญาณของลิฟท์ที่ปิดหนีไปกลับบอกว่ามันเคลื่อนตัวลงไปชั้นล่าง
เด็กหนุ่มเอียงคอมอง แต่สุดท้ายก็เลือกการกลับไปนอนในห้องพัก มากกว่ายืนรอคนที่ไม่รู้จัก
...แล้วเจอกันงั้นหรือ...
ญาณัชหมุนคีย์การ์ดในมือเล่นช้าๆ...ก่อนที่จะเสียบมันเข้าไปตรงช่องด้านหน้าแล้วพาตัวเองเข้าไปในห้องพร้อมปิดประตูตัดโลกภายนอกทิ้งไว้เบื้องหลังอย่างรวดเร็ว
To be continue...
kagehana : คุณเชฟ น้องนัท >< นิยายเรื่องแรกสุด จุดเริ่มต้นของซีรีย์บ้านประสิทธิพรวิวัฒน์ใน Scar : ตราบาปไร้รอยเลือนค่ะ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=32704.0 <<จิ้มไปอ่านย้อนกันได้นะคะ /โฆษณาแฝง 555