ปราบซ่า
ตอนที่19
ผมนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลาห้าวัน ก็กลับมาพักที่บ้าน ความจริงอาการผมไม่ได้หนักที่จะต้องนอนนานขนาดนั้น แต่ว่าพี่ปราบไปทำอีท่าไหนไม่รู้ หมอเลยไม่อนุญาตให้ผมกลับ คนที่บ้านผมก็บ่น แต่พอหมอบอกว่าค่าใช้จ่ายมีคนจ่ายให้หมดแล้ว พวกเขาก็สงสัยซักถาม พี่ปราบก็เลยบอกว่าเป็นสวัสดิการพนักงาน ส่วนเกินจะไปหักเอากับเงินเดือนแทน พ่อกับแม่ก็เลยเลิกบ่น
ตั้งแต่เกิดเรื่องผมก็ยังไม่ได้กลับไปที่หอ พี่ปราบให้ผมเลือกระหว่างบ้านกับคอนโดพี่ปราบ แต่ผมไม่อยากรบกวนพี่ปราบมากไปกว่านี้จึงเลือกกลับมาอยู่บ้าน
ผมไปเรียนกลับมาตอนเย็นก็นอนเล่นเกมในบ้าน ในขณะที่คนอื่นๆทำงานอยู่ในโรงโกดัง เมื่อผมทำงานไม่ได้ กระดูกซี่โครงที่ร้าวยังไม่สมานตัวดี คนที่ต้องทำงานหนักขึ้นก็คือน้าตั้ม ดังนั้นผมจึงได้ยินคำด่าทอดังมาเรื่อยๆเมื่อน้าตั้มรู้สึกเหนื่อย สารพัดเรื่องที่เขาจะหยิบยกขึ้นมาด่าและว่า ซ้ำเติมในความผิดของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สิ่งที่ผมทำได้ก็คือทำเป็นหูทวนลม แต่ใจถือทุกคำพูดนั้นไว้ ผมอยากสลัดมันทิ้ง แต่จิตใจกลับทำตรงกันข้าม
ตอนนี้ผมรู้สึกอย่างเดียวว่าผมเหนื่อย เหนื่อยเกินกว่าจะคิดว่าวันพรุ่งนี้ผมควรมีชีวิตยังไง
ห้าโมงเย็นทุกคนก็เลิกทำงาน แม่กับพ่อเดินกลับเข้ามาบ้าน เตรียมเงินจ่ายค่าแรงรายวัน ยายฝนมานั่งคุยกับแม่ตั้งแต่แม่เลิกงานเรื่องที่อยากให้ผมบวชพระ
“มันไม่บวชหรอก คนอย่างไอ้ซ่าน่ะเหรอจะเอาอะไร”
“พี่พิมพ์ก็อย่าไปพูดอย่างนั้น เดี๋ยวฉันคุยกับหลานเอง”
“เออ มึงก็ลองพูดดูแล้วกันฝน เผื่อมันจะฟังคนอื่นบ้าง กูพูดแม่มันพูดมันไม่เคยจะฟังห่าอะไรหรอก” ในขณะที่แม่กำลังบ่นผมอย่างเมามัน ยายพิมพ์ก็กวักมือเรียกผมให้ไปหา
“ซ่าเอ้ย มาหายายสิ มานั่งตรงนี้”
ผมลุกออกไปนั่งขัดสมาธิข้างๆแม่ ก้มหน้าลงเอานิ้วเขี่ยตามร่องกระเบื้องไม่ได้สบตาใคร
“ซ่า อยากบวชไหม วันนี้ยายไปหาหลวงพ่อที่วัด เอาวันเดือนปีเกิดซ่าไปถามท่านมา เขาบอกว่าช่วงนี้ซ่าจะมีเคราะห์หนัก ทั้งเรื่องผู้หญิงและจะไปถึงขั้นเลือดตกยางออก ที่ผ่านมามันแค่เริ่มต้นเท่านั้นนะลูก หลวงพ่อบอกว่าจะมีอีก แต่ถ้าซ่าบวช อยู่ใต้ผ้าเหลือง บุญใหญ่นี้จะช่วยผลักเคราะห์ใหญ่นี้ออกไปได้ ชีวิตซ่าจะได้ดีขึ้น”
ผมเงยหน้ามองตายายฝนแวบนึงแล้วก้มหน้าลงอีกรอบ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมรู้สึกไม่กล้าที่จะพูดความต้องการของตัวเองให้คนรอบตัวรับรู้
ถึงแม้ว่าผมจะตัดสินใจที่จะบวช แต่ก็ไม่กล้าที่จะบอกอยู่ดี
“ว่าไงซ่า บวชเนอะ จะได้ไปหาหลวงพ่อดูฤกษ์บวช”
ผมพยักหน้าน้อยๆเป็นการตกลง ยายฝนดูพึงพอใจที่ผมยอมทำตาม ในสายตาทุกคนผมคือเด็กที่ดื้อรั้น ชอบแหกคอก แต่ครั้งนี้ผมตั้งใจจริง ไม่ได้ตัดสินใจบวชเพราะใครบังคับ แม้ว่าจะทำให้คนอื่นรอบข้างโดยเฉพาะพี่แนนเชื่อได้ยากก็ตาม
“ตกลงเอ็งจะบวชใช่ไหมซ่า” พี่แนนถาม ทันทีที่ยายฝนเล่าให้พี่แนนฟังว่าผมยอมบวช และยายฝนได้ไปหาฤกษ์บวชกับหลวงพ่อมาแล้ว
“อืม” ผมตอบในลำคอสั้นๆ ก็ผมไม่มีทางเลือก ยังไงชีวิตผมมันก็ไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้อีกแล้ว แค่ลองดูอีกซักตั้ง ให้มันรู้กันไปว่าชีวิตนี้มันจะหาดีไม่ได้
“มึงคิดดีแล้วแน่นะ” พี่แนนยังคงไม่เชื่อว่าผมจะตัดสินใจแบบนี้ ยังไงในความคิดของพี่แนน ผมก็ยังเป็นเด็กที่ไม่มีหัวคิดอยู่ดี
“เอ็งจะไปเซ้าซี้อะไรมันนักเล่า ให้มันบวชๆไปนั่นน่ะดีแล้ว อยู่ในวัดเผื่อผีห่าซาตานที่ทำให้มันเกเรจะหลุดออกจากตัวมันไปบ้าง” แม่พูดให้พี่แนนเลิกเซ้าซี้ผม แต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกดี
“แนนไม่คิดว่ามันจะทำได้หรอกแม่ เดี๋ยวกูจะคอยดูว่ามึงจะบวชได้สักกี่วัน กูว่าไม่เกินสามวันก็ศึกแล้ว”
ผมฟังแล้วก็ได้แต่อึ้ง ที่ผ่านมาผมอาจจะเกเรนะ แต่คนอย่างผมจะทำความดีบ้างไม่ได้เลยหรือไง ถ้าผมไม่เหมาะที่จะเป็นคนดี ทำไมถึงไม่พอใจที่ผมเป็นคนเลวล่ะ
ต้องการอะไรจากผมกันแน่ ทำไมต้องดูถูกกันขนาดนี้
“เอาอีกแล้วนะ มึงนี่ชอบเดินหนีจริงๆเลยเวลาแม่บ่นแม่ด่าเนี่ย”
ไม่เดินหนีออกมาไม่ได้ เพราะผมไม่ต้องการให้พี่แนนเห็นน้ำตาของผม
เพราะอย่างนี้ไง ผมถึงไม่อยากเป็นคนดี สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครเห็นค่าสักคน
ผมไม่รู้จะไปที่ไหน ก็เลยมาหาไอ้ตูนที่บ้านมัน ที่ผมเลือกมาหาไอ้ตูนมากกว่าคนอื่นๆก็เพราะว่าไอ้ตูนมันไม่พูดมากให้ผมรำคาญ ผมแค่อยากได้ที่สงบๆ โดยที่ไม่ใช่การกลับไปอยู่ที่หอคนเดียว ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะไปหาพลอยที่บ้าน แต่วันนี้ผมไม่มีใครคนนั้นที่จะคอยอยู่ข้างๆกันแล้ว
แต่คนที่ผมคิดถึงในเวลานี้ไม่ใช่พลอย แต่กลับเป็นพี่ปราบ ถ้าไม่ติดว่าเมื่อเช้าพี่ปราบส่งข้อความว่าวันนี้เขามีประชุมทั้งวัน ผมคงจะไปหาพี่ปราบแล้ว แต่ในเมื่อทำไมไม่ได้ ผมเลยมาที่บ้านเพื่อนแทน
“คิดไงวันนี้มาหากูที่บ้านเนี่ย” ไอ้ตูนเปิดประตูบ้านให้ผมเข้าไป
“เบื่อๆวะ” ผมบอก มองสำรวจรอบบ้านไอ้ตูนไปด้วย
“พ่อแม่กูยังไม่กลับ ถ้าหิวก็ไม่มีอะไรให้มึงกินหรอกนะ”
“เออ กูไม่ได้หิว”
ผมทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟา หน้าโทรทัศน์มีเครื่องเล่นเกมต่อทิ้งไว้ ผมกับไอ้ตูนก็เลยประลองฝีมือผ่านเกมต่อสู้นิดหน่อยจนเริ่มรู้สึกเบื่อก็หยุด เลยเปลี่ยนมานั่งดูรายการทีวีแทน ผมนั่งมองหน้าจอโทรทัศน์ แต่ใจไม่ได้จดจ่อในสิ่งที่มองอยู่
“เฮ้ย เป็นเหี้ยอะไร นั่งเหม่อเป็นพระเอกเอ็มวีเลยนะมึง” ไอ้ตูนยกเท้าขึ้นถีบหน้าขาผมให้รู้สึกตัว
“ไอ้ตูน กูมีไรจะบอก” ผมคงจะทำหน้าจริงจังเกินไปกว่าที่เคยเป็น ไอ้ตูนถึงขยับตัวออกห่าง
“อย่าบอกนะว่าจะยืมเงิน”
“กูจะบวช”
“แล้วไป เพราะเดือนนี้กูใช้เงินค่าขนมหมดแล้ว”
“...”
“...!” เหมือนมันจะรู้ตัวแล้วว่า เมื่อตะกี้ผมพูดอะไรออกไป “มึงว่าไงนะ มึงพูดใหม่ดิ”
ผมสูดลมหายใจเข้าออกลึกก่อนจะพูดอีกรอบ “กูบอกว่ากูจะบวช”
“บวช! บวชพระอ่ะนะ”
“เออ บวชพระ”
“มึงล้อเล่นเปล่าเนี่ย ไม่ตลกนะเว้ย เล่นพระเล่นเจ้า มันบาป”
ดูท่าว่าผมคงไม่เหมาะที่จะทำความดีจริงๆ ไม่ว่าใครก็คิดว่าการที่ผมตัดสินใจบวชมันเป็นเรื่องที่น่าตกใจและเป็นไปไม่ได้ แต่จะโทษใครได้ ที่ผ่านมาผมมันแย่เอง
“กูไม่ได้ล้อเล่น ที่บ้านกูอยากให้บวช กูเซ็งกับปัญหาด้วย”
“กะหนีปัญหา”
“เออ”
ผมตอบไปสั้นๆ ขี้เกียจอธิบายว่ามากกว่าบวชให้ปัญหามันจบ นั่นคือการอยากให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะรู้ว่าพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ งั้นก็อย่าพูดเลยดีกว่า
“มึงแน่ใจแล้วใช่ไหมไอ้พัช”
“กูแน่ใจ”
“มึงทำเอากูงงมากๆ แต่กูว่ามึงบวชก็น่าจะดี ได้บุญๆ กูว่าเราควรต้องโทรหาไอ้พวกนั้น ให้มันมาฉลองให้กับมึง แปบนะ กูโทรก่อน”
สุดท้ายผมก็ไม่ได้อยู่แบบเงียบๆ พวกที่เหลือก็ตามมาถล่มบ้านไอ้ตูนอยู่ดี ยิ่งพอพ่อแม่ไอ้ตูนรู้ว่าผมจะบวช ก็อยากจะให้ลูกตัวเองบวชบ้าง บอกว่าจะได้เพลาๆเรื่องผู้หญิงลงซะบ้าง
คืนนี้ก็เมาปลิ้นกันไป ทั้งคนนอนค้างที่บ้านไอ้ตูน อัดๆกันนอนในห้องนอนของมัน ตื่นมาตอนหกโมงเช้า ผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ไปอาบน้ำแต่งตัวไปเรียน
ความจริงผมคิดจะหยุดเรียน แต่เมื่อเช้าได้รับข้อความจากพี่ปราบว่าให้ตั้งใจเรียน ผมเลยต้องแบบสังขารไปเรียน ยังไงผมก็จะไม่ทำให้พี่ปราบผิดหวัง
เมื่อผมตัดสินใจดีแล้วว่าจะบวช คนที่บ้านก็เริ่มเตรียมงาน ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง ก็เลยอยู่เฉยๆ ไว้ใครบอกให้ทำอะไรก็ทำ แต่ที่แน่ๆคือผมต้องไปดรอปเรียน เพราะหลวงพ่ออยากให้ผมบวชให้เร็วที่สุด ท่านว่าผมจะมีเคราะห์หนักในเร็วๆวันนี้ หากผมบวชไม่ทัน อาจถึงแก่ชีวิตได้ คนที่บ้านผมก็เลยเร่งงานกันใหญ่
ทีแรกพี่แนนบอกว่าผมไม่มีความจำเป็นต้องดรอปเรียน เพราะผมคงบวชได้ไม่เกินสามวันก็ต้องศึก ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกับผมขาดเรียนธรรมดา ถึงตอนนั้นก็แค่กลับไปเรียน และอาจไม่ถูกตัดสินสอบด้วย เพราะผมคงขาดเรียนไม่นานจริงๆ
ฟังแล้วผมก็โกรธนะ แต่ผมไม่พูดอะไร คนที่ยืนยันให้ผมดรอปเรียนเป็นพี่จี้ที่พูดกับพี่แนน แต่ถึงไม่มีใครพูดให้ ผมก็คิดเองตัดสินใจเองได้แล้ว ไม่คิดจะฟังคำพูดของพี่แนนหรอก
ก็เท่ากับว่าตอนนี้ผมไม่ต้องไปเรียนแล้ว แต่ต้องเตรียมตัวบวชในอีกหนึ่งอาทิตย์ที่จะถึงนี้แทน
เรื่องบวชผมเล่าให้พี่ปราบฟังแล้ว แต่ช่วงนี้พี่ปราบงานยุ่งมาก พี่ริชกับป๊าพี่ปราบดันมาป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่คู่ ทำให้งานที่พี่ปราบต้องทำมีมากขึ้น พี่ปราบเลยไม่ได้โทรคุยหรือมาหาบ่อยเหมือนก่อน แต่ก็จะมีส่งข้อความมาให้เสมอ ถามว่าวันนี้ผมทำอะไร หรือเล่าว่างานเขาเยอะขนาดไหนแค่นั้น
เมื่อเช้าผมไปตระเวนซื้อเครื่องอัฏฐบริขาร ก็มีชุดผ้าไตร บาตรพระ และข้าวของเครื่องใช้ที่ผมจะต้องใช้เมื่อผมบวชเป็นพระอยู่ในวัด กว่าจะได้ของครบก็ต้องเดินหากับยายฝนและพี่จี้อยู่หลายชั่วโมง กลับมาถึงบ้านผมก็เลยนอนงีบตรงโซฟา นอนหลับได้ไม่นานผมก็ตื่นเพราะคนเดินเข้าออกในบ้านตลอดเวลา
“ไอ้ซ่าล่ะแม่”
“นอนอยู่ในบ้าน”
นอนๆอยู่ก็ได้ยินเสียงเสียงพี่แนนที่เพิ่งมาถึงถามถึงผม แต่เพราะผมขี้เกียจฟังเขาบ่นต่อตัว เลยแสร้งนอนหลับอยู่อย่างนั้น
“เอาแต่นอนหรือไงซ่า ไม่ลุกขึ้นมาช่วยคนอื่นเขาทำงานทำการ” พี่แนนเดินเข้ามาปลุกผม แต่ผมก็ยังทำเป็นนิ่ง
“เอ็งปล่อยมันไปเถอะ เมื่อเช้ามันก็ตื่นออกไปซื้อของกับน้าเอ็งแต่เช้า เพิ่งกลับมาเมื่อสักพักนี่เอง” เสียงแม่พูด
“ก็แล้วไป แต่ตอนบวชจะมาทำตัวขี้เกียจเอาแต่นอนไม่ได้นะแม่ บอกมันด้วย”
“ไม่หรอกแนน เดี๋ยวเขาบวชแล้วก็ดีขึ้น” ยายฝนบอก
“สาธุเลยน้าฝน เออแม่ เดี๋ยววันนั้นพี่โอ๊ตจะมาด้วยนะ อย่าพูดว่าไอ้ซ่ามันเป็นลูกหนูนะแม่ หนูไม่ได้บอกพี่โอ๊ตไว้”
“แฟนใหม่เหรอแนน”
“ก็คนนั้นไงน้าฝนที่หนูเล่าให้ฟังอ่ะ”
“อ่อ ที่ว่าคุยตั้งแต่ก่อนเลิกกับเบิร์ดอ่ะนะ”
“อืม เดี๋ยววันงานเขาจะมาด้วย คือหนูหลุดปากบอกไปว่าจะไปติดต่อวัดเรื่องงานบวช พี่เขาเลยบอกว่าอยากมาร่วมงานบุญด้วย แต่คือเขาไม่รู้ว่าหนูมีลูกแล้ว”
“บอกเขาไปก็ได้มั้ง”
“คงก่อนอ่ะน้าฝน ตอนนี้หนูกับพี่โอ๊ตกำลังไปด้วยดี ไม่อยากให้มันสะดุด”
“เดี๋ยวมันก็รู้ มึงจะปิดเขาไปนานเท่าไหร่อ่ะแนน” เสียงแม่ถามขึ้น
“แม่ก็บอกพวกเด็กๆด้วยแล้วกัน ยังไงซ่ามันก็เรียกหนูว่าพี่แนนอยู่แล้ว กะว่าเดี๋ยวให้พี่โอ๊ตมาวันบวชเลยทีเดียว”
“ตามใจมึงแล้วกัน ความแตกขึ้นมามึงก็เคลียร์กันเอาเอง”
ผมนอนฟังแล้วก็ได้แต่คิดว่า...ผมแม่งไม่น่าเกิดมาจริงๆ เหมือนอยู่ผิดที่ผิดทาง เกิดมาแล้วก็ไม่ได้มีใครต้องการ ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดมาทำไม ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไร
ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาในบ้าน ผมแสร้งทำเป็นพลิกตัวนอนตะแคง หันหน้าเข้าหาพนักโซฟา เพื่อปกปิดไม่ให้ใครรู้ว่าผมได้ยินเรื่องราวทั้งหมดเมื่อสักครู่ และผมมันก็อ่อนแอที่ควบคุมน้ำตาไม่ได้
บางทีการที่ผมตัดสินใจบวชก็อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด ผมอยากออกไปจากตรงนี้ อยากไปให้ไกลๆจากทุกคน การอยู่อย่างโดดเดี่ยวจริงๆมันคงดีกว่าการที่มีครอบครัวแต่เหมือนไม่มี
ถ้าไม่มีพวกเขาเลย...มันจะดีกว่าไหม
พอใกล้ถึงวันงานบวช ทุกอย่างก็ดูเร่งรีบกันมาก ผมก็ต้องแวะเวียนไปที่วัดทุกวัน เพื่อฟังคำแนะนำของหลวงพ่อ ท่านจะบอกว่าจะต้องทำตัวยังไง ต้องสวดต้องท่องบทสวดไหนให้ได้ก่อนจะถึงวันบวชจริง ผมก็ได้การบ้านมาเป็นการท่องบทสวดต่างๆที่ต้องใช้ ก็ยากสำหรับผมพอสมควร
ถ้ารู้สึกเบื่อผมก็มาช่วยเขาห่อริบบิ้นเหรียญไว้โปรยทาน อันที่ผมทำก็จะไม่ค่อยสวย แต่ก็พอใช้ได้อยู่ ไอ้เพื่อนๆของผมก็แวะมาดูที่บ้านบ้าง เพราะช่วงก่อนบวช ยายฝนขอเอาไว้ว่าให้ผมอยู่แต่บ้านจะดีกว่า ผมที่อยากละจากปัญหาเลยไม่คิดจะออกไปไหน ยกเว้นต้องออกไปซื้อของหรือไปวัดก็ไปกับคนในบ้าน
ก่อนวันสุกดิบ ผมก็ยกพานดอกไม้และธูปเทียนเพื่อขอขมาลาบวชกับพ่อแม่และญาติพี่น้องในบ้าน ซึ่งก็มีแค่พ่อแม่และยายฝนเท่านั้น ส่วนพี่แนนเขาไม่มา เขาจะมาอีกทีก็วันสุกดิบแทนเลย
ตอนกลางคืนที่ผมนอนอยู่ในห้องนอน อยู่ๆก็รู้สึกร้อนรุ่ม จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ผมไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร รู้แต่ว่าผมอึดอัดและอยากออกจากบ้าน ช่วงที่ผมกำลังจะทนไม่ไหว โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น
ผมรีบกดรับสายพี่ปราบ รู้สึกได้เลยว่าเสียงที่เปล่งออกไปสั่นและขาดช่วง
“เป็นอะไร ตื่นเต้นหรือไง เสียงถึงได้สั่นน่ะ” พี่ปราบแซวผมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ที่พอจะช่วยให้จิตใจผมสงบได้ครึ่งนึง
“พี่ปราบผมเป็นอะไรไม่รู้” ลำคอแห้งผาก อยู่ๆผมก็รู้สึกอยากออกจากบ้าน อยากไปกินเหล้า เหมือนจิตใจฝ่ายชั่วกำลังจะประท้วงหลังจากที่ผมเก็บเนื้อเก็บตัวเตรียมบวชมาร่วมหนึ่งอาทิตย์
“เป็นอะไร ตอนนี้มึงอยู่ไหน” เสียงของพี่ปราบดูเข้มขึ้นและจริงจังขึ้น
“ผมอยู่บ้าน แต่ผมอึดอัด หายใจไม่ออกอ่ะพี่ ใจมันหวิว ตอนนี้ผมอยากออกไปข้างนอก ไม่อยากอยู่บ้านเลย” ผมเล่าให้พี่ปราบฟังอย่างร้อนรน จนเกือบพูดแทบไม่รู้เรื่อง ได้แต่ผุดลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินวนไปวนมารอบห้อง
“ซ่า ใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ ตั้งสติให้ดี”
“ผม...พี่ปราบ ผมปวดหัวอ่ะพี่ ผมไม่อยากอยู่บ้าน”
แม่งเอ้ย! ผมเป็นอะไรว่ะ แล้วทำไมในบ้านมันร้อนขนาดนี้วะเนี่ย
“ซ่า ฟังพี่ มันไม่มีอะไร พรุ่งนี้มึงจะปลงผมนาคแล้ว และวันต่อไปคือวันที่มึงจะได้บวช จะได้เข้าไปสู่จุดที่เป็นบุญเป็นกุศลอย่างใหญ่หลวง ที่มึงเป็นอยู่ตอนนี้เขาเรียกว่ามาร มันไม่ใช่ผีห่าซาตานที่ไหน แต่มันคือจิตใจของมึงเอง มึงต้องระงับจิตของตัวเองให้ได้ ต้องมีสติ อย่าให้อุปสรรคแค่นี้มาทำลายความตั้งใจของมึงได้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวมึงและจิตใจของมึงในตอนนี้มันเป็นอุปสรรค เป็นมารที่กำลังรอให้มึงเดินออกนอกเส้นทาง และเมื่อมึงทำตามใจมัน มันจะหัวเราะเยาะมึงที่มึงไม่สามารถไปสู่ธรรมมะได้ ดังนั้นแล้วมึงอยากจะแพ้มันงั้นเหรอ ไหนมึงตอบกูสิ ว่ามึงจะยอมแพ้มันไหม”
“ไม่ ผมไม่ยอมแพ้” ผมตอบไป แม้ว่าทั่วทั้งปากและคอจะแห้งผาก
“ถ้าไม่อยากแพ้ มึงต้องสู้ มึงชนะมันได้ง่ายๆขอแค่มึงชนะใจตัวเองซ่า มึงทำได้ เมื่อบวชเสร็จ มึงจะได้หัวเราะเยาะมัน ที่มันไม่สามารถดึงจิตใจของมึงให้ตกต่ำลงได้ เข้าใจที่กูพูดไหม”
ผมฟังและคิดตามคำพูดของพี่ปราบทุกคำ พี่ปราบค่อยๆพูด ค่อยๆบอก ผมรู้ว่าที่พี่ปราบพูดนั้นไม่ได้หลอก คนที่บ้านผมก็พูดเหมือนกันว่ากลัวผมจะผ่านช่วงเวลาก่อนบวชไปไม่ได้ แต่เพราะที่ผ่านมามันไม่มีอะไรผมเลยย่ามใจ จนกระทั่งคืนนี้ที่ผมรู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้
“ผมรู้สึกไม่ดีเลยพี่”
ผมทิ้งตัวนั่งลงกับเตียงอย่างคนหมดแรง ในหัวปวดตุบๆ มีแต่ภาพของสิ่งแย่ๆในชีวิตผมต่างๆที่ผุดขึ้นมา คำด่าทอของพ่อแม่ การไม่ยอมรับจากแม่แท้ๆของตัวเอง คนรักเก่าที่หักหลัง ทั้งหมดนี้มันอัดแน่นอยู่ในหัวจนแทบจะระเบิด จนเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นว่า ผมไม่ควรบวช เพราะไม่ว่ายังไงชีวิตผมก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงและดีขึ้นได้
“มันจะผ่านไป มึงจะผ่านมันไปได้”
“ผมจะทำได้ใช่ไหมพี่”
“มึงทำได้แน่ๆ กูมั่นใจ และในเมื่อกูยังมั่นใจ มึงก็ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง”
ใช่แล้ว ถ้าพี่ปราบยังคงเชื่อในตัวผม แล้วยังจะมีอะไรต้องกลัว
ตลอดทั้งคืนพี่ปราบคอยอยู่เป็นเพื่อนผมผ่านทางสายโทรศัพท์ ไม่ปล่อยให้ผมคิดมากและฟุ้งซ่านไปคนเดียว ความจริงพี่ปราบก็ไม่ใช่คนพูดเก่ง แต่เมื่อคืนพี่ปราบสรรหาเรื่องมาเล่าให้ผมฟัง ตั้งแต่ที่ป๊าพี่ปราบบ่นโวยวายใหญ่ที่ตัวเองมาป่วย แต่ถึงจะป่วยก็ยังต้องดูแลพี่ริชไปด้วย เพราะพี่ริชป่วยหนักกว่า ส่วนพี่เค้กก็ดูแลคนป่วยสองคนไปด้วย ทำงานบ้านหนักขึ้นจนเกือบทำให้ป่วยไปอีกคน และคนที่ได้รับบ่นหนักที่สุดก็เป็นพี่ปราบกับพ่อทราฟ ที่วิ่งหน้าวิ่งหลังวุ่นไปหมด
ในที่สุดผมก็เผลอหลับไปในขณะที่พี่ปราบยังคงพูดอยู่ ในยินแว่วว่าพี่ปราบบอกฝันดี แต่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นจริงหรือความฝัน แต่ถึงจะเป็นความฝันมันก็เป็นเรื่องราวดีๆ
สิ่งที่ผมไม่เคยจินตนาการว่าจะเกิดขึ้นในชีวิตนี้มาก่อน นั้นคือวันที่ผมอยู่ในชุดผ้าเหลือง ยืนมองญาติโยมหน้าโบสถ์ด้วยความสำรวม เหมือนผมคนเก่าได้ออกจากร่างไป แล้วผมคนใหม่ก็มาอยู่ในร่างๆนี้ ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือไม่ แต่ผมรู้สึกว่าโลกที่อยู่เบื้องหน้าผมในตอนนี้ สว่างและชัดเจนมากกว่าที่เคย
ผมมองเห็นแม่ พ่อ พี่แนนและแฟนใหม่ของเขา ยายฝน พี่จี้ มิว น้าตั้ม รวมไปถึงพี่ปราบ เพื่อนๆ และคนอื่นๆอยู่เบื้องหน้า ทุกคนยืนอยู่เบื้องหน้า ผมยิ้มให้กับทุกคนก่อนจะเดินเข้าไปใกล้แม่ ให้แม่ได้ใส่ดอกบัวที่เตรียมมาลงในย่าม
หลังจากเสร็จสิ้นการฉลองพระใหม่ ผมก็ต้องไปรายงานตัวต่อเจ้าอาวาสและพระท่านอื่นๆในวัด ท่านก็สอนและชี้แนะวิถีทางและการวางตัวของพระ ทั้งยังแนะนำว่าช่วงบวชใหม่นี้ หากไม่มีกิจจำเป็นอย่าออกมาเดินเพ่นพ่านในตอนกลางคืน ท่านว่าจะมีสิ่งบางอย่างมากวนหรือทดลองใจในช่วงที่เรียกว่าบุญกำลังแรง และแน่นอนว่าคนที่กลัวผีอย่างผมจึงเชื่อฟังข้อนี้เป็นพิเศษ
ช่วงแรกๆของการเป็นพระค่อนข้างลำบากสำหรับผม ทั้งการต้องตื่นแต่เช้า กฎระเบียบเคร่งครัด จะนั่งจะเดินอะไรก็ต้องสำรวมไม่งั้นจะถูกหลวงพ่อดุ ยากกว่าอะไรที่เคยทำมาในชีวิตก็คือการต้องนั่งสมาธิ แรกๆผมนั่งไม่ได้เลย ฟุ้งซ่านคิดนู่นคิดนี่วุ่นวายไปหมด แต่หลังๆก็พอจะอยู่นิ่งได้บ้าง สิ่งที่ทรมานอีกอย่างก็คือการงดสูบบุหรี่ หลายครั้งที่เกือบลงแดงตาย (อาจดูเวอร์ แต่อาการค่อนข้างใกล้เคียง)
จากที่เคยใช้ชีวิตตามใจตัวเอง จะเรียนไม่เรียน จะตื่นจะนอนกี่โมง หิวเวลาไหนก็กิน อยากเมาเวลาไหนก็เมา ไม่สนใจใคร มาตอนนี้ต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรอบ ก็ทำให้ผมเกือบถอดใจอยู่หลายรอบ แต่คนๆเดิมคนเดียวที่คอยให้กำลังใจให้ผมสู้ต่อไปได้ก็คือโยมพี่ปราบ
ในทุกวันพระ โยมพี่ปราบจะมาใส่บาตรและมานั่งพูดคุยกับผมเสมอไม่เคยขาด โยมพี่ปราบยังเป็นโยมพี่ที่ดี
เมื่อวันเวลาผ่านไปเข้าเดือนที่ห้าของการบวชเป็นพระ อะไรที่ไม่เคยชิน อะไรที่เคยกลายเป็นเรื่องยาก ก็ไม่ใช่เรื่องลำบากอีกต่อไป
สำหรับวันแม่ในปีนี้ ผมก็ได้รับมอบหมายให้ขึ้นเทศน์เนื่องในวันแม่ และตรงกับวันพระพอดี ดังนั้นญาติโยมก็จะมาทำบุญตักบาตร และฟังเทศน์ฟังธรรมในวัด
ก่อนจะถึงวันนั้น ผมไปเดินบิณฑบาตที่บ้าน และได้บอกให้โยมแม่มาร่วมงาน รวมไปถึงฝากไปบอกโยมพี่แนนด้วย
เมื่อถึงวันแม่ที่ผมต้องขึ้นให้ธรรมเทศนาโยมแม่กับโยมพ่อก็มาใส่บาตร เมื่อได้เวลาอันสมควรผมถึงเริ่มกล่าวแสดงธรรมเนื่องในวันแม่ ขณะที่กล่าวไปผมก็เห็นโยมพี่ปราบและครอบครัวค่อยๆคลานเข่าเข้ามาร่วมฟังด้วย สีหน้าของทุกคนต่างเบิกบานใจ ผมพูดพร้อมกวาดสายตามองไปรอบๆ จนกระทั่งเทศน์จบผมก็ยังไม่เห็นโยมพี่แนน นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้มาร่วมการขึ้นแสดงธรรมเทศนาของผมในวันนี้
ผมจึงได้แต่ก้มหน้าแล้วยิ้มให้ตัวเอง เพราะถึงแม้ว่าโยมพี่แนนจะไม่มา แต่ว่าก็ยังมีคนที่รักและหวังดีกับผมมาร่วมงานในวันนี้ แล้วผมยังจะต้องหวังให้มากมายไปมากกว่านี้ทำไม
จบพิธีการต่างๆในช่วงเช้าแล้ว ผมก็กลับมาที่กุฏิ ก็เจอกับโยมพี่ปราบและครอบครัว ส่วนโยมพ่อโยมแม่กลับไปตั้งแต่ที่ฟังเทศน์จบแล้ว ก็คงจะรีบกลับไปทำงานตามเดิม เพราะถ้าโยมพ่อโยมแม่ไม่เป็นคนเริ่มงาน คนอื่นๆในบ้านก็จะยังไม่ทำอะไร
ครอบครับของโยมพี่ปราบนำอาหารคาวหวานที่ทำเอง รวมไปถึงชุดสังฆทานมาทำบุญต่างหาก ผมก็รับของพร้อมกล่าวบทสวดและบทกรดน้ำจนเสร็จสรรพ
“อาหารนี่โยมพี่ตั้งใจทำมาเลย เพราะเห็นปราบบอกว่าหลวงพี่ชอบ” โยมพี่เค้กบอก
“ขอบคุณโยมพี่มากๆเลย” ผมพูดแล้วยิ้ม ผมไม่ใช่คนคุยเก่ง มาอยู่ต่อหน้ากันแบบนี้ ผมก็ไม่รู้จะคุยอะไร”
“หลวงพี่ยังขาดเหลืออะไรไหม ผมจะได้นำมาถวาย” พี่ปราบถาม
“ไม่เป็นไรโยมพี่ อาตมาไม่ได้ขาดอะไร” ผมบอก การแทนตัวเองว่าอาตมา แรกๆผมก็ไม่ชิน แทนตัวเองว่าผม แต่หลวงพ่อบอกว่าควรต้องเรียกแทนตัวเองว่าอาตมาให้ติดปาก จะได้ถือว่ากระทำตามประเพณีอย่างถูกต้อง
“หลวงพี่บวชมาได้กี่เดือนแล้วครับ” โยมพ่อของพี่ปราบถาม
“เดือนนี้เดือนที่ห้า” ผมตอบ
“นานเหมือนกัน นานกว่าตอนผมบวชอีก” โยมป๊าพูดพลางทำท่านึกถึงอดีตไปด้วย
“จริงเหรอพี่คราม พี่เคยบวชด้วยเหรอ ทำไมริชไม่รู้”
“ไอ้ครามมันบวชได้อาทิตย์เดียวเอง มันเป็นคนบ้างานไง อยู่วัดไม่ได้กลัวเงินทองจะหายถ้าไม่ได้ทำงานเอง”
“มึงก็บวชมากกว่ากูแค่แปบเดียวเถอะไอ้ทราฟ ทำมาเป็นพูด”
ผมนั่งยิ้มมองดูความอบอุ่นของคนในครอบครัวนี้ กว่าครึ่งชั่วโมงที่ครอบครัวของโยมพี่ปราบมานั่งพูดคุยกับผม ก่อนจะขอตัวกลับไปทำงานทำหน้าที่ของตัวเอง ผมเองก็มีหน้าที่ที่ต้องทำเช่นกัน เป็นหน้าที่ที่ต้องทำให้ดีที่สุดในขณะที่ยังครองผ้าเหลือง
จากคำปรามาสของใครต่อใครในวันนั้น วันนี้ผมได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า ผมไม่ใช่คนที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ หกเดือนแล้วที่ผมได้บวชเป็นพระ ได้อยู่ในผ้าเหลืองด้วยความสงบสุขมาครึ่งปี และตอนนี้ผมพร้อมที่จะออกไปใช้ชีวิตปกติอย่างมีสติมากขึ้น
ผมหวังเอาไว้ว่า ชีวิตของผมหลังจากนี้ จะได้พบสิ่งดีๆกับใครเขาสักที
“ไปลาหลวงพ่อมาแล้วเหรอ”
“ครับพี่ปราบ ขอบคุณครับพี่ที่มารับผม”
“ไม่เป็นไร กูเต็มใจ”
และยังคงเป็นพี่ปราบคนเดิม ที่มารับผมออกจากวัดในวันที่ผมสึกจากการเป็นพระ
“จะกลับบ้านเลยไหม” พี่ปราบถามหลังจากที่ขึ้นมาบนรถ
“ผมอยากไปที่โรงเรียน ไปติดต่อเรื่องกลับไปเรียนต่ออ่ะ พี่ปราบพาผมไปได้ป่ะ”
“อืม ได้ เดี๋ยวกูพาไป”
เรื่องเรียนต่อผมคิดไว้ตั้งแต่ตอนยังบวชแล้ว ผมอยากรีบเรียนให้จบๆ จะได้ออกมาหางานทำ แล้วใช้ชีวิตอยู่เอง ผมคิดเอาไว้แล้วว่า หลังจากนี้ผมจะต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้แล้ว จะไม่ยอมเป็นภาระของครอบครัวอีกต่อไป
………………………………………
สวัสดีค่ะ
มีคนแวะไปขอให้มาลงต่อ วันนี้เลยมาลงต่อให้นะคะ
หากเนื้อหาส่วนไหนผิดพลาด ข้อมูลไม่ถูกต้อง ก็แนะนำติชมด้วยนะคะ ริริเป็นผู้หญิง ไม่เคยบวช และจำไม่ได้แล้วว่าตอนที่ลูกพี่ลูกน้องตัวเองบวชนั้นทำอะไรบ้าง แต่ก็ถามข้อมูลมาจากผู้ใหญ่เอา ได้มาประมาณนี้นะคะ
ขอบคุณนักอ่านที่น่ารักที่ยังแวะเวียนมาบอกว่าคิดถึงพี่ปราบน้องซ่า จะรีบมาลงตอนหน้าให้ได้อ่านกันนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ