บทที่ 15 : หนทาง
เช้าวันเดินทางขบวนทัพของลู่ซือเหยียนก็เข้าแถวเรียงกันตามลำดับอย่างเป็นระเบียบ แม่ทัพคนใหม่เดินทางมาถึงเมื่อเจ็ดวันก่อน ผู้ที่มาคือขุนพลคนหนึ่งตระกูลกัวซึ่งถือหางองค์ชายสามอยู่จริงๆ นี่ไม่ผิดจากที่จั๋วเจียหานคาดไว้เท่าไหร่นัก เมื่อส่งมอบตราทัพแล้วลู่ซือเหยียนจึงให้ทุกคนเตรียมตัวออกเดินทางทันที
การเปลี่ยนหัวหอกในการนำทัพเช่นนี้ยิ่งทำให้ข่าวลือแพร่กระจายไปมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อรถม้าของเชลยสงครามคนสำคัญผู้นั้นถูกจัดอยู่ในส่วนที่มีการคุ้มกันแน่นหนาที่สุด ทั้งยังเป็นรถม้าขนาดใหญ่เสียด้วย
เมื่อไหร่กันที่ต้องให้ความสำคัญกับเชลยเยี่ยงนี้ นักโทษอย่างไรก็เป็นนักโทษ ต่อให้ศักดิ์ฐานะก่อนหน้าสูงส่งแค่ไหนก็ไม่สมควรได้รับการดูแลดีถึงขั้นนี้จริงๆ
ในตอนที่ทั้งค่ายถูกเรียกมารวมกันเพื่อส่งลู่ซือเหยียนเดินทางกลับนี้ การแสดงออกของอดีตแม่ทัพใหญ่คล้ายจะเป็นจริงดังข่าวลือ ความเชื่อมั่นว่าข่าวลือเป็นของปลอมสั่นคลอน ในใจของเหล่าทหารหาญฉาบไปด้วยความผิดหวัง ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้ผู้มาใหม่ขยับรอยยิ้มหยันขึ้นในใจ
ลู่ซือเหยียนเอ่ยลู่ซือเหยียน เจ้าทำเช่นนี้เท่ากับฆ่าตัวตายชัดๆ มิคิดว่านักรบผู้เกรียงไกรจะขุดหลุมฝังตัวเองแบบนี้ น่าผิดหวัง น่าผิดหวังจริงๆ
บรรยากาศก่อนออกเดินทางพิลึกมากขึ้นทุกที ตอนที่ลู่ซือเหยียนกระตุ้นม้าให้มาหยุดอยู่ตรงหน้าและประสานมือคารวะ กัวเฉินยิ้มเหยียดขึ้นมาบนใบหน้าแล้วประสานมือคารวะตอบ
"ขอให้เดินทางปลอดภัย แม่ทัพลู่...!" ในจังหวะที่เงยหน้าขึ้นมาประสานสายตา ความรู้สึกราวกับกำลังจะโดนคมดาบแทงทะลุก็พุ่งเข้ามาพร้อมรังสีอำมหิตเข้มข้น แผ่กระจายออกมาจากร่างสูงใหญ่อย่างรุนแรงจนทั้งคนทั้งม้าผงะถอยออกไปสุดตัว
ม้าของกัวเฉินกรีดร้องดังลั่นลนลานถอยห่างจากลู่ซือเหยียนอย่างหวาดกลัว เจ้าของม้ารีบรั้งบังเหียนเอาไว้แทบไม่ทัน เพียงพริบตาเดียวสภาพดูไม่จืดของแม่ทัพใหญ่คนใหม่ก็ปรากฏขึ้นสู่สายตาของคนทั้งกองทัพ เมื่อเทียบกับร่างสูงใหญ่ของลู่ซือเหยียนบนอาชาสีดำทมิฬแล้ว ความต่างชั้นยิ่งถูกขับให้เห็นเด่นชัดขึ้นทุกที
เสียงกระซิบของคนหมู่มากดังหึ่งขึ้นทันทีจนกัวเฉินหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความอับอายผสมไปด้วยความกราดเกรี้ยว มองกราดไปยังตัวต้นเหตุอย่างเคียดแค้น ทว่าก็หาทำอันใดคนถูกจ้องมองได้ไม่
"หึ" ริมฝีปากบางเฉียบคลี่ยิ้มหยามหยันขึ้นมาบนหน้าของลู่ซือเหยียนอย่างชัดเจน กระตุกบังเหียนหมุนม้าควบนำออกไปโดยไม่แยแสกัวเฉินอีก เฉินฟู่หลิงที่รออยู่นานแล้วชักม้าให้ควบตามไปพร้อมตะโกนสั่งเสียงดังก้อง
"ออกเดินทางได้!"
วินาทีเดียวที่เสียงคำสั่งสิ้นสุดลง เสียงโห่ร้องรับกระหึ่มขึ้นมาทันที ทัพม้าพากันฟาดแส้ลงที่บั้นท้ายม้าอย่างแรงออกตัวควบทะยานตามผู้บังคับบัญชาไปอย่างรวดเร็ว เพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ทั้งทัพม้า ทั้งทหารราบก็ออกเดินทางหายลับไปราวกับสายฟ้าฟาด
ออกเดินทางได้รวดเร็วสมกับนามทัพเหนือกิเลนอันโด่งดัง
ความเป็นระเบียบและความเร็วนั้นทำให้กัวเฉินต้องกัดฟันกรอด ไม่สามารถแสดงท่าทางริษยาออกมาได้มากกว่านั้น ทำได้เพียงชักม้าควบกลับไปในค่ายด้วยความอาฆาตแค้น
ความอับอายในวันนี้ข้าจะให้เจ้าตอบแทนอย่างสาสม ลู่ซือเหยียน ใต้ฟ้าแห่งนี้ มีข้าต้องไม่มีเจ้า
...
"ทำอะไรของท่านกัน อยู่ๆไปสร้างความแค้นขึ้นมาทำไม" จั๋วเจียหานควบม้ามาขนาบข้างลู่ซือเหยียนถามอย่างไม่สบอารมณ์ เจ้าบ้านี่ทำอะไรไม่ปรึกษาอีกแล้ว
"ข้าจำเป็นต้องกลัวพวกที่ดีแต่ใช้เส้นสายของตระกูลให้ได้ตำแหน่งมารึ?" ลู่ซือเหยียนตอบกลับแบบไม่มีความรู้สึกผิดอยู่แม้แต่นิดเดียว ทำให้จั๋วเจียหานหน้าเบี้ยว อยากยันสหายผู้ดื้อรั้นที่ทำตัวเป็นเด็กๆผู้นี้ให้ตกม้าเสียจริง
ถูกเรียกกลับบ้านก็เป็นแผนของพวกเขาเองแท้ๆ ยังหาคนพาลใส่จนได้สิน่า
"เจ้าจะทำหน้าแบบนั้นทำไม ไม่เห็นสีหน้าของพวกทหารที่เหลือเมื่อครู่หรือ?" ลู่ซือเหยียนชะลอม้าลงช้าๆเมื่อกองทัพออกมาพ้นสายตาของพวกกัวเฉินแล้ว การเดินทัพก็กลับมาสู่ความเร็วปกติ ช้าสลับเร็ว ยากจะกะเดาตำแหน่งซุ่มโจมตีได้ นี่เป็นการเดินทัพที่ลู่ซือเหยียนชอบใช้มากที่สุด
"ก็เห็น แล้วมันทำไมเล่า"จั๋วเจียหานยังคงนิ่วหน้าไม่ชอบใจอยู่ดี การกระทำของลู่ซือเหยียนในครั้งนี้ระห่ำเกินไปแล้ว
"ความเชื่อมั่นของทหารถูกทำลายตั้งแต่ยังไม่ทันได้สร้าง ต่อให้มันสั่งทหารได้ ก็ไม่มีทางซื้อใจได้ง่ายๆอีกแล้ว"
ในกองทัพ ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะถูกยอมรับ คุณชายที่ดีแต่ใช้อำนาจของตระกูลให้ได้ตำแหน่งมาอย่างมิชอบ อย่าหวังเลยว่าจะซื้อใจทหารของเขาได้โดยง่าย
จั๋วเจียหานถอนหายใจแรง สุดท้ายก็เป็นฝ่ายยอมจำนนไม่คาดคั้นอะไรอีก หันไปยังคนของตนที่อยู่ใกล้ๆแทน
"ถ่ายทอดคำสั่งออกไป จับตาดูกัวเฉินให้ดี หากเจ้านั่นทำอะไรให้ทหารต้าเสียงตกอยู่ในอันตราย ก็บั่นคอแล้วอำพรางให้แนบเนียนซะ"
ดูเหมือนว่าลู่ซือเหยียนไม่คิดจะดึงตระกูลกัวมาเป็นพวก เขาก็ไม่จำเป็นต้องยั้งมือไว้ไมตรีอีกต่อไป
*********
มือที่แหวกม่านหนาปล่อยผ้าออกให้ทิ้งตัวปิดลงดังเดิมอย่างแนบเนียน หันกลับไปคีบถ่านใส่เตาเล็กโดยไม่สะทกสะท้านต่อการโยกไหวของรถม้าเลยแม้แต่น้อย ยังคงจัดการทุกอย่างได้อย่างสงบนิ่งเช่นเคย จางเหลียนเขี่ยไฟในเตาเล็กอย่างบรรจง พอเห็นว่าเข้าที่ก็ยกกาดินเผาขนาดเล็กขึ้นไปตั้งไฟ รอจนไอน้ำพวยพุ่งออกมาค่อยยกลงมารินใส่กาอีกกาที่มีใบชาบรรจุอยู่เต็ม
"ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?" เสียงทุ้มนุ่มของบุรุษอีกคนดังขึ้นจากด้านในของตัวรถที่มีม่านกั้นอยู่อีกชั้น เรียกให้จางเหลียนต้องขยับกายไปเปิดม่านออก ส่งชาเข้าไปด้านใน
"เราออกเดินทางกันมาเกือบถึงชายแดนของเมืองโจวแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทัพของลู่ซือเหยียนเดินทางรวดเร็วยิ่งนัก เพียงสามวันก็มาถึงตรงนี้แล้ว"
หลิวช่างหลินส่งเสียงรับในคอ ยาชาหอมกรุ่นที่บุคคลในบทสนทนาสรรหามาให้ขึ้นจิบช้าๆ รู้ตัวว่าจางเหลียนยังคงจับจ้องตนอยู่ตลอดเวลาจึงวางจอกหยกในมือลง
"เจ้ามีอะไรหรือเปล่าอาเหลียน"
จางเหลียนขมวดคิ้วแน่น เมื่อโดนถามบัณฑิตหนุ่มก็เผยสีหน้ายากจะอธิบายออกมา ถอยหายใจสักเฮือก ก็ต้องพูดออกมาอย่างอดไม่ได้ "ฝ่าบาท ท่าทีที่ลู่ซือเหยียนมองฝ่าบาทดูไม่ปกติเลยแม้แต่น้อย ข้ากลัวว่าเจ้าสารเลวนั้นจะบังอาจคิดล่วงเกิน..."
ยังไม่ทันพูดจบฝ่าบาทของจางเหลียนก็หัวเราะเบาๆออกมาเสียแล้ว ใบหน้าสุขุมมีรอยยิ้มประดับอยู่เล็กน้อย ราวกับเรื่องที่ได้ฟังน่าขำนักหนา
"ฝ่าบาท นี่ไม่ใช่เรื่องน่าขำนะพ่ะย่ะค่ะ" จางเหลียนครางในคอ ใบหน้ายิ่งยุ่งเหยิงหนักกว่าเดิมเสียอีก "พวกต้าเสียงป่าเถื่อนไร้ธรรมเนียม จางเหลียนกลัวว่าฝ่าบาทจะตกอยู่ในอันตราย"
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวช่างหลินหาได้ลดลงแม้แต่น้อย ท่าทางอันเรียบสงบราวผิวน้ำนิ่งนี้สะกิดความคิดบางอย่างในตัวคนมองขึ้นมาทันที หรือว่า... จางเหลียนเบิกตากว้าง รีบเข้าไปนั่งอยู่ตรงหน้าร่างโปร่งทันที จับจ้องเจ้าชีวิตคล้ายไม่เชื่อสายตาตัวเอง
"...หรือว่าฝ่าบาท...รู้อยู่แล้ว" ฝ่ายที่ถูกถามไม่ได้ปฏิเสธ นี่หมายความว่า... "หากฝ่าบาทรู้อยู่แล้ว เหตุใดยังตกลงอีกล่ะพ่ะย่ะค่ะ!"
น้ำเสียงที่ดังเกินไปหน่อยของจางเหลียนทำให้หลิวช่างหลินต้องเบือนหน้าหลบเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือมาด้านหน้าจับหาตำแหน่งไหล่จางเหลียนตบลงเบาๆ รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไปแล้ว กลายเป็นใบหน้าเรียบสงบประหนึ่งสวมหน้ากากอีกครั้ง
"เจ้าเสียงดังเกินไปแล้ว อาเหลียน" ความชืดชาที่แฝงมากับกระแสเสียงเรียบสงบนั้นทำให้จางเหลียนสะดุ้งเฮือกทันที รีบถอยออกห่างจากผู้เป็นนายทันที ด้วยรู้ดีว่าตัวเองได้ล้ำเส้นเข้าไปแล้ว จางเหลียนพึมพำขออภัยแผ่วเบา ไม่บ่อยนักที่หลิวช่างหลินจะเป็นเช่นนี้
จอกชาถูกยกขึ้นจิบอีกครั้ง ทิ้งจังหวะให้ความเงียบโรยตัวลงปกคลุมทั้งสองอย่างน่าอึดอัด ฝ่ายอดีตรัชทายาทแห่งต้าซางมีกลิ่นอายเย็นชาโอบล้อมร่างเอาไว้จนจางเหลียนต้องถอยห่างออกมาคุกเข่ารอรับโทษ
"..." ปล่อยให้คนสนิทใจหายอยู่พักใหญ่ หลิวช่างหลินก็ผ่อนลมหายใจออกมา ไล้มือไปบนปากจอกชาอันว่างเปล่า "เจ้าคิดว่าหากข้าไม่ตกลง คนผู้นั้นจะยอมหยุดหรือ?" คำอธิบายแรกมาเป็นประโยคคำถามด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย "เจ้าคิดว่าลู่ซือเหยียนเป็นคนดีขนาดนั้นเลย? เห็นได้ชัดว่าเขาดำเนินแผนการไปนานแล้วก่อนจะมาตกลงกับข้า ปฏิเสธไป ข้าจะได้อะไร?"
จางเหลียนเม้มริมฝีปาก จากช่วงเวลาที่ข่าวลือเริ่มแพร่กระจาย ไม่ผิดไปจากที่รัชทายาทบอกเลยแม้แต่น้อย เป็นเขาใจร้อนไปเอง มือที่วางอยู่บนตักกำแน่นขึ้นช้าๆ
หลิวช่างหลินพอจะเข้าใจคนสนิทอยู่บ้าง สีหน้าและน้ำเสียงจึงอ่อนลงสองส่วน ทว่ายังคงความชืดชาไร้อารมณ์เอาไว้ ปกปิดความรู้สึกของตัวเองให้อยู่ในก้นบึ้งที่จะไม่มีผู้ใดลงหาค้นหาจนพบ "เจ้าต้องคิดเสียว่าข้าตายไปแล้ว เช่นนี้ดีหรือไม่"
คนตายไม่เจ็บปวด คนตายไม่รับรู้ คนตาย...ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว
"ฝ่าบาท!" จางเหลียนหน้าเปลี่ยน ร้องออกมาแบบไม่เชื่อหูตนเอง เช่นนี้จะดีได้อย่างไร เห็นๆอยู่ว่านายของเขายังเป็นคนมีลมหายใจ มีชีวิต มีความรู้สึก จะให้เห็นดังอีกฝ่ายเป็นคนตายได้อย่างไร
"ข้าไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วจางเหลียน" หลิวช่างหลินคลี่รอยยิ้มว่างเปล่าบนใบหน้า "หากมีอะไรที่ข้ายังใช้ได้เพื่อต้าซาง ต่อให้เป็นการเดินไปสู่โคลนตมที่เหม็นเน่าที่สุดข้าก็จะทำ"
จางเหลียนมิอาจปริปากพูดอะไรได้อีก รู้สึกเจ็บลึกในอกอย่างบอกไม่ถูก
"หากชื่อเสียงของข้าทำประโยชน์ได้ก็ปล่อยให้มันเสียไป แลกได้เพื่ออิ่นเอ๋อร์และประชาชนที่เหลือของข้ายังมีอะไรต้องกลัวอีกเล่า"
ใช่แล้ว หากความรู้สึกของลู่ซือเหยียนที่มีต่อเขาพิเศษจริงดังว่า
"นี่เป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมแล้ว เขาใช้งานข้า หากข้าจะใช้งานเขาบ้าง จะเป็นไรไป?"
*********
สองเดือนต่อม้า จินหลง ต้าเสียง ขบวนทัพอันยิ่งใหญ่เดินทางมาถึงประตูเมืองที่เปิดกว้าง ธงดำปลิวสะบัดเป็นทิวเรียงตัวกันเป็นแนวยาวหลายลี้จนมองไม่เห็นหาง ด้านหน้าสุดคือบุรุษร่างสูงใหญ่สวมชุดเกราะสีเงินวาววามบนอาชาสีดำผู้ยกมือขึ้นเพียงหนึ่งครั้งก็สั่งให้ทหารทั้งกองทัพขานรับอย่างฮึกเหิมยืดตัวขึ้นตรงหลีกทางให้กองทหารใต้สังกัดของลู่ซือเหยียนตามเข้าประตูเมือง
หลังจากข้ามคูน้ำด้วยสะพานไม้ทอดยาว สิ่งที่ทอดเข้าสู่สายตาของทหารทุกนายคือชาวเมืองที่ออกมามุงรอรับกันเต็มสองฟากฝั่งถนนพร้อมกับเสียงขานร้องต้อนรับดังสนั่น ดังจนม้าของนายทหารบางคนแตกตื่นจนต้องปลอบให้นิ่ง ดังจนอาวุธในมือสั่นสะท้าน ดังจนแทรกผ่านเข้าไปในจิตใจจุดไฟแห่งความภาคภูมิให้อุ่นวาบขึ้นในอก เหล่าทหารหาญพากันยืดอกตั้งตรงสง่า
นี่เอง...ความรู้สึกของการพาชัยชนะกลับมาบ้าน...ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ชวนให้หัวใจพองโตยิ่งนัก
ใบหน้าของลู่ซือเหยียนนิ่งเฉยเย็นชา วางตัวสงบนิ่งคล้ายไม่รู้สึกถึงเสียงโห่ร้องสรรเสริญยังคงคุมม้าให้ก้าวเดินช้าๆไปตามถนนสายหลักที่ถูกทำความสะอาดเสียโล่งตา ชาวเมืองที่รายล้อมเป็นหลักฐานยืนยันถึงความสำเร็จในครั้งนี้...ทว่าขบวนของขุนนางและขันทีซึ่งรอรับอยู่เบื้องหน้าไม่ต่างจากประตูสู่เส้นทางที่เต็มไปด้วยดินโคลนที่เขากำลังจะเยื้องย่างลงไป รถม้าคันใหญ่ที่ตามมาด้วยความเร็วไม่ช้าไม่เร็วเป็นสิ่งยืนยันว่าเขามิอาจถอยกลับได้อีก
รอจนลู่ซือเหยียนมาหยุดตรงหน้า ลงจากหลังม้ามาคุกเข่าแล้ว ขันทีผู้เชิญราชโองการก็กางม้วนผ้าไหมลายมังกรสีทองออก ร่ายยาวถึงคุณงามความดีของขุนพลและกองทัพด้วยน้ำเสียงแหลมสูงฟังบาดหูจนคิ้วของคนฟังต้องขมวดแน่น รอจนขันทีชราอ่านราชโองการสรรเสริญคุณงามความดีเสร็จ กงกงเบื้องหน้าก็มอบม้วนผ้าใหม่ให้เขา รับสั่งให้เข้าเฝ้าของเจ้าแผ่นดินผู้เป็นนายเหนือหัวที่เขารับใช้มานานเรียกรอยยิ้มบางเบาปริศนาให้ปรากฏขึ้นมา
พายุ...กำลังเริ่มพัดแล้ว...- จบภาคต้น -
ในที่สุดก็จบภาคต้นแล้วค่ะ บรรยากาศสงบๆในภาคนี้ต่อไปคงหายากแล้ว----
เฉลยการกระทำของช่างหลินเมื่อตอนที่แล้วสักหน่อย พ่อคุณของเรายังไม่ได้ใจอ่อนกับเหยียนๆแม้แต่นิดเดียวเลยค่ะ-- เป็นซือเหยียนที่ตกหลุมของช่างหลินไปครึ่งตัวแล้ว แต่อย่างที่บอกไปต้นเรื่องค่ะ สองคนนี้..ลงเอยกันยาก มีก้าวแรกแล้ว ก้าวต่อไปจะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ //ซับน้ำตา//
นิสัยไม่ค่อยดีเท่าไหร่กันทั้งคู่ ต้องรอสามปีที่เหลือแล้วล่ะค่ะ ว่าสองคนนี้จะออกมาเป็นแบบไหน
ขอขอบคุณทุกคนที่กดเข้ามาอ่าน กดติดตาม ส่งแรงใจกันมาถึงตอนนี้นะคะ ไม่มีทุกคนไม่มีแรงปั่นมาลงแน่นอนเลย ขอบคุณจริงๆค่า เจอกันในภาคต่อ เร็วๆนี้ค่ะ =v=// จะรีบเข็นมาให้เร็วที่สุดนะคะ