คุณ sky-cafe จุ๊บๆกอดๆ ดีใจที่ชอบนะคะ
บุ้งกี๋เอ้ย.....จะหวานเท่าพี่อากาศกะไอ้ป่วนได้ไงเล่า นั่นเขาขั้นแอ๊ดวานซ์ กร้ากกกกกกกกกกกกกส์
.........................
มาค่ะ มาอ่านต่อกันนะคะ
ไม่แถลงใดๆ เชิญอ่านเองเลยดีกว่าค่ะ
.........................
บทที่หนึ่งในความทรงจำ
: amor ou paixão ###ตื๊ดดดดดดดดดดดดด ตื๊ดดดดดดดดดดดดดด ตื๊ดดดดดดด###
ง่า....มีคนรับแล้ว ผมกำลังจะวางสายอยู่เชียว แต่ก็นะมีคนรับทั้งทีถ้าจะคิดวางสายใส่เขาตอนนี้คงเสียมารยาทน่าดู
//Alô? Quem é você querro falar?// .........ฮัลโหล ต้องการพูดสายกับใครครับ?
“O Edu está?” ........เอดู อยู่มั้ยครับ?
//อิส?//
“รู้ได้ไงอ้ะ?”
เออ....ความจริงก็ไม่น่าถาม สำเนียงเหน่อๆแบบนี้จะมีใครไปได้ ไม่เห็นแปลกที่มันจะรู้ว่าเป็นผม แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมโทรหามันก็เถอะ
ไม่ใช่อะไรหรอกครับ สิงหาคมโรงเรียนปิดเทอม พอปิดเทอมปุ๊บผมก็บ๊ายบายปะไป๊กับมะเม้ย พาตัวเองไปทัวร์กับเพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนด้วยกันถึงปันตานาล (Pantanal) สาขาของอะมาซอนโน่น โปรแกรมเข้าเมืองใหญ่ๆอย่างฮิโอ....Rio de Janeiro น่ะ ดึงความสนใจผมไม่ได้หรอก
//หึๆๆ ไม่รู้สิแปลก// เออเนอะ จริงของมัน ฮ่าๆๆๆๆๆ
“เอ่อ...คือ.....”
จะให้พูดยังไงดีล่ะ จะให้บอกว่าเห็นหน้าตัวกินมดแล้วคิดถึงมันดี รึว่าดำน้ำเจอปิรันง่าแล้วคิดถึงมันดี....
//…..saudade de você// .......เซาดาด ดิ โว้เส
“หา??”
นี่มันอ่านใจจากระยะไกลได้ด้วยเรอะ รู้ด้วยว่าผมอยากจะบอกว่าคิดถึง......
//Eu esto com saudade de você!! Entendeu?!? // ........เอว เอสโต คง เซาด๊าดจิ ดิ โว้เส!! เอ็งเท็นเด๊ว?!?
หงะ....ตะโกนมาได้ หูแทบแตก จะบอกว่าคิดถึงก็บอกเบาๆสิ
อ้าว!! นึกว่าจะพูดแทน ที่แท้....มันก็กำลังคิดถึงเราอยู่เหมือนกันนี่หว่า มีการถามย้ำอีกนะว่าเข้าใจรึเปล่า.....
ไอ้บ้า....เข้าใจสิ ตะโกนเน้นมาซะขนาดนั้น ทั้งเข้าใจทั้งตกใจพร้อมๆกันเลยแหละ“ah….Eu também……” แหะๆ me too.
พูดได้แค่นั้นแหละผมอ้ะ ใครจะไปกล้าตะโกนบอกว่าโคตรคิดถึง คิดถึงสุดๆแบบมันเล่า อายตายเลย
//ดีใจจัง......วันกลับจะมาถึงกี่โมง? จะไปรอรับ//
“ไม่ต้องหรอก”
//ทำไมไม่ ที่บ้านจะไปรับเหรอ?//
“เปล่า บอกที่บ้านแล้วว่าไม่ต้องมารับ เป้ใบเดียวเอง เดินกลับเองได้”
//จากสถานีอะนะ?//
“อาฮะ เดินจากสถานีไปบ้าน ถ้าเดินเร็วๆก็แค่สิบห้านาทีเอง”
//จะมาถึงกี่โมง?//
“ไม่บอก”
//บอกมา ไม่งั้นจะไปรอแต่เช้า!!//
“เอ๊!! ก็บอกว่าไม่ต้องมารับไง กลับเองได้”
//ดื้อ......ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก//
“ไม่ต้องดุ ห้ามโกรธด้วย ก็แค่ไม่อยาก.....”
###ตื้ดดดดดดดดดดดดด ตื๊ดดดดดดดดดดดด###
อ้าว.......เวร เลยไม่รู้เลยว่าง้อสำเร็จรึเปล่า เงินหมดอีก
ก็แค่ไม่อยากให้ต้องลำบาก ไม่อยากให้ต้องมาคอย....รถจะถึง Campinus เก้าโมงเช้า
แล้วต้องต่อรถกลับซาน โฮเซ่ เองอีก ไม่รู้จะได้ต่อเลยหรือว่าต้องรออีกกี่ชั่วโมง
ช่วยไม่ได้นะ ถ้ามารอแต่เช้าจริงก็รอเงกไปแล้วกัน เฮ้อ.........
ผมก้าวลงจากรถประจำทางระหว่างเมืองที่ออกจากคัมปินัส ที่ถือเป็นศูนย์กลางของแถบนี้ หลังจากนั่งมึนเพราะเหม็นเท้าใครสักคนในรถมาสองชั่วโมงครึ่ง
ดีนะได้รถด่วน ไม่ใช่รถประเภทหวานเย็นที่จอดทุกครั้งที่มีคนมาโบกริมทาง
พ้นจากประตูรถมาได้ผมก็เดินแบกเป้ใบเดียวทั้งที่ไปเที่ยวมาเจ็ดวันจะตรงไปที่ทางออก บิดขี้เกียจแก้เมื่อยเล็กน้อย พร้อมกับอดไม่ได้ที่จะสอดส่ายสายตามองหาไอ้บ้าบางคนที่มันบอกว่าจะมารอรับ ถึงตัวเองจะห้ามมันไปแล้วก็เถอะ
แหม......คนเรา บางครั้งบางหนมันก็มีบ้างนะครับ ที่จะปากไม่ตรงกับใจ
คือ....ยังไงล่ะ ผมไม่ได้อยากให้มันมารอ เพราะไม่อยากให้มันลำบาก แต่ถ้าลงจากรถมาแล้วเจอหน้ามันมาส่งยิ้มลักยิ้มแก้มบุ๋มรออยู่ ผมก็คงมีความสุขมากๆ
คิดไปคิดมาผมก็ว่าตัวเองชักจะแปลกๆขึ้นทุกที.....ท่าทางจะคิดกับมันเกินเพื่อนแบบไม่รู้ตัวซะมั้งเรา เฮ้อ.....
กำลังคิดเพลินๆเลยครับ ก็มีมือดีมาสะกิดไหล่ แต่ผมไม่ทันได้ตกใจหรอก เพราะพอหันไปก็เจอไอ้เสื้อกันหนาวมิกกี้สีเลือดหมูมันมายืนทำหน้านิ่งๆอยู่ข้างหลัง
“รอนานมั้ย?” ผมถามพร้อมกับส่งยิ้มประจบไปเป็นทัพหน้า
“ไม่นาน พอดีฉลาด หึๆๆ” มันตอบมาอย่างนั้น แล้วก็แบมือมาตรงหน้า
“หืม?”
ผมก็ปลดเป้ที่สะพายอยู่ไปให้มันโดยดี ไม่ครับ......อารมณ์มันแบบนี้ผมยังไม่เสี่ยงจะยั่วโมโหหรือล้อเล่นโดยการบอกว่า.....เสียใจเว้ย ไม่มีของฝาก ฮ่าๆๆๆ
“ก็รู้ว่าต้องต่อรถมาจากคัมปินัส เลยมาถามที่สถานีไว้แล้วว่าวันนี้จะมีรถจากคัมปินัสมาถึงตอนกี่โมงบ้าง”
“อ้อๆ ฉลาดจริงๆด้วยนะเนี่ย”
ผมพยักหน้าชื่นชมมันไปเดินตามมันต้อยๆไปด้วย ก็พอมันมารับแบบนี้ก็ไม่ต้องสนทางแล้วนี่ครับ ยังไงซะมันก็ไม่พาหลง เพราะงั้นมองหลังมันก็พอ ไม่ต้องมองป้ายชื่อถนนหรอก มันแย่ตรงที่ พอออกมาจากสถานีแล้วอากาศมันเย็นขึ้นเหลือเชื่อเลยสิครับ
“เมื่อเช้ามาดูตอนเจ็ดโมงครึ่งไปทีแล้ว แล้วก็มาตอนสิบโมงไปอีกรอบ นี่ถ้ารอบนี้ยังไม่มาก็เหลืออีกแค่รอบเดียว......” แหะๆ ดูท่ามันจะไม่สนุกกับการวนเวียนมาที่สถานีเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ช่างอารมณ์มันก่อนครับ ตอนนี้ผมชักจะเปิดปากตอบโต้มันไม่ไหวแล้ว
ผมไปเที่ยวทางตอนเหนือของบราซิลมา ถึงจะไม่เหนือมาก แต่แถบนั้นก็ไม่หนาว ผมเลยไม่ได้ติดเสื้อกันหนาวไป นอกจากแจ๊คเก็ตยีนส์ตัวเดียว ลงรถที่คัมปินัสก็ยังไม่ทันหนาวเพราะผมไม่ได้ออกจากสถานีเลยด้วยซ้ำก็ได้ต่อรถแล้ว
แล้วนี่มันอะไรกันครับ อีกสิบนาทีเที่ยง ทำไมมันหนาวจนเหมือนปากจะสั่นแบบนี้ล่ะ......แง้ๆๆๆ
“เฮ้อ........”คราวนี้ไอ้คนเดินนำมันส่งเสียงถอนใจมาพร้อมกับปลดผ้าพันคอมาพันให้ผมครับ หมวกไม่ต้องเพราะผมใส่ไว้เรียบร้อย
แล้วยังไม่ทันที่ผมจะพูดขอบใจเลย มันก็ลากผมเข้าไปในร้านกาแฟใกล้ๆสถานีแล้ว
“เอ่อ....หิวเหรอ?”
พอดีร้านกาแฟแบบนี้จะขายทั้งกาแฟ ทั้งของกินประเภททอดๆด้วยน่ะครับ มันทอดบ้าง มันห่อชีสชุบเกล็ดขนมปังทอด หลายเมนูครับ
“ไม่ได้หิว แต่อิสต้องกินอะไรร้อนๆก่อน ไม่งั้นซ้อนจักรยานเราไปไม่ไหวแน่”
มันว่าอย่างนั้นแล้วก็จัดการให้ผมนั่งลงที่โต๊ะหนึ่ง ส่วนตัวมันก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ชี้โน่นชี้นี่สองสามอย่าง แล้วถึงเดินกลับมานั่งลงข้างๆ
“ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไร.....รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวช็อคโกแล๊ตร้อนก็มาแล้ว”มันจะใจดีไปถึงไหนเนี่ย แค่นี้ผมก็จะสำลักความใจดีของมันแล้วนะครับ
เอ่อ.......มันจะดูแย่มั้ยถ้าตอนนี้ผมจะกอดมัน
ไม่ต้องตอบหรอกครับ เพราะแค่ผมเงยหน้าขึ้นมองสบตากับมัน มันก็หันทั้งตัวมาหาผมแล้วก็อ้าแขนออก เท่านั้นแหละ ผมก็พาตัวเองซุกเข้าไปในอกมันแล้ว
อุ่นจริงๆนะครับ เวลาที่มีใครสักคนกอดเราเอาไว้.....
อุ่น สบาย เหมือนกับ....คำว่าหนาวไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้เลยด้วยซ้ำและเจ้าความอุ่นนี่เอง ทำให้ผมเลิกถามตัวเองได้ทันที
ว่าตกลงเจ้าความรู้สึกของมันที่มีต่อผม ที่มันบอกชอบผม.....ที่บอกว่าผมเหมือนดวงอาทิตย์สำหรับมัน นั่นมันเป็นเพราะอะไร
และคำถามที่ผมถามตัวเองมาตลอดสี่เดือนตั้งแต่ปาร์ตี้ครั้งนั้น ว่าแล้วตัวผมล่ะ คิดยังไงกับเพื่อนคนนี้กันแน่....ผมก็เลิกถามได้แล้วเหมือนกัน
เพราะผมแน่ใจมานานแล้ว ว่ามันเป็นความรู้สึกที่เกินกว่าคำว่าชอบ.....
ส่วนจะเป็นรักหรือแค่ลุ่มหลง amor ou paixão ......อะมอร์ ออ ป๋ายชาว
ก็ช่างมันไปก่อนแล้วกัน......
................
................
..โปรดติดตามตอนต่อไป..ปล.คำว่า amor ou paixão love or passion พอแปลเป็นภาษาไทยแล้วไม่ตรงใจเลยค่ะ passion แปลเป็นภาษาไทยว่าอะไรดีอ้ะคะ???