#ตอนที่สี่
ห้องชุดบนคอนโดหรูชั้นยี่สิบเอ็ด สามเพื่อนสนิทวิศวะปีสามกำลังนั่งเผชิญหน้ากันอยู่บนโซฟากลางห้องรับแขก สองคนที่ถูกเจ้าของห้องลากกลับมาจากมหา’ลัยด้วยกัน ได้แต่มองเพื่อนสนิทที่นั่งหน้าเครียดแบบที่ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยนักอย่างแปลกใจ เพราะปกติเห็นแต่มันชอบทำหน้านิ่งๆหยิ่งๆซะมากกว่า แต่วันนี้มันกลับมาแปลก อยู่ดีๆก็บอกว่ามีเรื่องให้ช่วย ซึ่งมันสร้างความแปลกใจให้ปกรณ์เป็นอย่างมาก ร้อยวันพันปีตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมามันเคยขอความช่วยเหลือจากเขาที่ไหน มีแต่เขาเองนี่แหละที่เป็นคนหาเรื่องมาให้มันช่วยตลอดๆ
“กูจะจีบน้อง”
ประโยคแรกหลังจากที่พวกเขานั่งเงียบกันมากว่าสิบนาทีสร้างความแปลกใจให้คนฟังทั้งสองไม่น้อย ท่าทางจริงจังของยุทธนาบ่งบอกว่าเขาไม่ได้กำลังล้อเล่น
“น้อง? หมายถึงเดือนสิบอ่ะนะ” ร่างสูงพยักหน้าแทนคำตอบ ปกรณ์เลยถามต่อ
“แล้วที่ผ่านๆมานี่คือมึงไม่ได้กำลังจีบน้องมันหรอวะ ที่มีแอบยงแอบยิ้มตักอาหารให้กันนี่คือ?” ยุทธนาถอนหายใจยาว คิ้วเข้มขมวดยุ่งอย่างใช้ความคิด
“ก็จีบ.. แต่ไม่รู้ว่ะ เหมือนทุกครั้งที่สบตากันน้องมันดูจะรู้สึกอึดอัด” ว่าจบก็ถอนใจอีกเฮือก จนเพื่อนสนิทสองคนที่มองอยู่ลอบสบตากันแล้วลงความเห็นว่ามันกำลังเป็นเอามาก
“นี่ไอ้ยุทธ มึงอย่าลืมว่าน้องพึ่งรู้จักมึงนะเว้ย เดือนสิบไม่ได้รู้จักมึงมาก่อนเหมือนที่มึงรู้จักเขา มีคนไม่สนิทมาจ้องขนาดนั้นมันก็ต้องอึดอัดเป็นธรรมดาอยู่แล้วป่ะวะ” ศิลาว่า
เจ้าของห้องคิดตาม มันก็จริงอย่างที่เพื่อนเขาว่าน้องมันไม่ได้รู้จักเขามาก่อน แต่จะให้ทำไงวะ ในเมื่อเวลาเห็นหน้าแล้วมันอดมองไม่ได้ เหมือนเขาจะหลุดควบคุมทุกครั้งที่เจอเดือนสิบ ยิ่งพอน้องมาอยู่ใกล้ๆสายตาที่พยายามจับโฟกัสอย่างอื่นมันก็เอาแต่จะเบนมาที่หน้าใสๆนั่นไม่หยุด มองไกลๆว่ายากจะถอนสายตาแล้ว พอได้มามองใกล้ๆแม่งยากยิ่งกว่าอีก เฮ้อ…
“กูควรทำไงดีวะ” คำถามที่ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ยินจากปากคนอย่างยุทธนา ทำเอาเพื่อนสนิททั้งสองนิ่งค้างมองหน้ากันอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“นี่ถ้าไม่ได้ยินกับหูกูไม่เชื่อจริงๆด้วยว่าคนอย่างมึงจะพูดประโยคนี้ออกมา” ศิลาว่ายิ้มๆ ตั้งแต่รู้จักกันมาห้าปีไม่เคยมีสักครั้งที่ยุทธนาจะมีท่าทีคิดไม่ตกอย่างนี้ ยิ่งเรื่องที่เครียดยังเป็นเรื่องความรู้สึกของคนอื่นยิ่งแล้วใหญ่ ถึงจะเป็นคนที่มันเฝ้ามองมาหลายเดือนก็เถอะ เห็นนิ่งๆไม่คิดว่าจะเป็นเอามากขนาดนี้
“ถ้าแค่มองแล้วน้องมันอึดอัด ทำไมไม่ลองพูดเคลียร์ๆไปเลยวะ” ปกรณ์ออกความเห็น
ยุทธนานิ่งไปอย่างใช้ความคิด นั่นสินะ ถ้าแค่มองมันยากทำไม่เขาไม่ลองทำให้มันง่ายโดยการพูดดูล่ะ…
.
.
.
หลังเลิกงานจากอู่เฮียโหน่งไอ้ปืนพาเดือนสิบไปเลี้ยงบิงซูอย่างที่ได้ตกลงกันไว้ แต่เค้กมะพร้าวนมสดต้องเป็นหมันไปอย่างน่าเสียดาย เพราะเขาไม่สามารถที่จะยัดมันลงไปได้หลังกินบิงซูถ้วยใหญ่ ไอ้ปืนแวะมาส่งเดือนสิบที่หอพักในเวลาเกือบทุ่ม แล้วรีบบึ่งรถออกไปหลังรับโทรศัพท์จากเด็กสักคนในสต็อก เห็นตัวติดกับเขาแบบนั้นแต่ไอ้ปืนเจ้าชู้อย่าบอกใครเชียว ผู้หญิงในสต็อกมีเป็นสิบไม่รู้มันคุยยังไงให้ทั่วถึง
เดือนสิบวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินเข้าไปอาบน้ำอาบท่า ใช้เวลาไม่นานก็กลับออกมาในชุดเสื้อยืดตัวใหญ่กับกางเกงขาสั้นที่ใส่นอนเป็นประจำ ร่างโปร่งหยิบชีทที่ต้องใช้เรียนพรุ่งนี้มานั่งอ่านคร่าวๆอยู่บนเตียงพลางเช็ดผมไปด้วยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา พอผมแห้งเขาก็เอาโต๊ะญี่ปุ่นออกมากางแล้วลงมือทำการบ้านที่ค้างอยู่
ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงหลังจากที่นั่งหลังขดหลังแข็งทำการบ้าน เสียงท้องร้องประท้วงบังคับให้เดือนสิบจำต้องยอมรามือจากโจทย์แคลคูลัสเพื่อลงไปหาอะไรกินคลายหิว เขาไม่ได้ซื้อของกินอะไรมาตุนไว้เลยนอกจากมาม่าเพราะในห้องไม่มีตู้เย็น แถมมาม่าซองสุดท้ายก็หมดไปแล้วเมื่อเย็นวาน
ร่างโปร่งบิดขี้เกียจคลายความเมื่อยล้าก่อนจะลุกไปหยิบกระเป๋าตัง ตอนนี้เป็นเวลาเกือบๆสามทุ่มร้านลุงป้างน่าจะยังเปิดอยู่
ติ้ง!..
เสียงแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้าจากโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ไม่ไกลทำให้เดือนสิบชะงักเท้า เขาเดินไปหยิบมันขึ้นมาดู เรียวคิ้วสวยขมวดเข้าหากันน้อยๆเมื่อเห็นรายชื่อที่โชว์หราบนหน้าจอ
‘พี่ยุทธ’
‘ขอโทษที่วันนี้ทำให้อึดอัด’ 20.45 น.
กลีบปากเผลอเม้มเข้าหากันนิดๆหลังอ่านข้อความ แปลกใจไม่น้อยเพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมองออกว่าเขารู้สึกยังไง แต่พอคิดอีกทีมันก็น่าอยู่หรอก เล่นจ้องเอาๆขนาดนั้น …
ชั่งใจอยู่นานว่าจะพิมพ์ตอบกลับไปดีไหม สุดท้ายปลายนิ้วก็จรดลงกับแป้นพิมพ์จนเรียงร้อยเป็นประโยคสั้นๆ
‘ไม่เป็นไรครับผมโอเค…’ 20.49 น.
เดือนสิบยืนนิ่งมองหน้าจออยู่ชั่วครู่ จนมันดับไปเขาถึงได้ละสายตาแล้วลงไปหาอะไรกินอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก แต่ในจังหวะที่กำลังล็อกประตูโทรศัพท์ในมือก็สั่นครืดคราดขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ไม่ใช่แค่ข้อความ แต่มันเป็นสายเรียกเข้าจากคนที่ส่งข้อความมาก่อนหน้านี้ต่างหาก
เป็นอีกครั้งที่กลีบปากเผลอเม้มเข้าหากัน ตากลมจับจ้องรายชื่อที่กำลังโชว์หรา … เสี้ยววินาทีก่อนที่มันกำลังจะตัดไปนิ้วเรียวสวยก็กดรับ
“ครับ?” เดือนสิบเอ่ยสั้นๆ ขณะก้าวเดินลงบันได
หอพักที่เดือนสิบอาศัยอยู่เป็นหอเล็กๆค่าเช่าตกเดือนละไม่กี่พัน มีทั้งหมดแค่สามชั้น ชั้นละไม่กี่ห้องซึ่งเขาพักอยู่ชั้นสาม
‘ว่างอยู่หรือเปล่า’ เสียงทุ้มฟังดูไม่มั่นคงนัก คล้ายคนพูดกำลังตื่นเต้น
แต่ตื่นเต้นเนี่ยนะ? เดือนสิบย่นคิ้วก่อนจะตอบออกไป
“ครับ.. พี่ยุทธมีอะไรรึเปล่า?”
‘…กำลังจะไปกินข้าว… ไปด้วยกันไหม?’
“….”
‘ฮัลโหล.. สิบ’ ปลายสายเรียกซ้ำเมื่อเห็นว่าเขาเงียบไป
“…ก็ได้ครับ ผมกำลังจะลงไปหาอะไรกินอยู่เหมือนกัน”
‘โอเค งั้นพี่รอหน้าหอเรานะ’
“ครับ”
เดือนสิบวางสายพอดีกับที่เดินลงมาถึงชั้นล่าง แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นร่างสูงคุ้นตาที่เพิ่งวางสายไปเมื่อครู่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว พออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาเจอเขารอยยิ้มเล็กๆก็ถูกส่งมาให้ทันที เดือนสิบยิ้มบางตอบเพื่อไม่ให้ดูเสียมารยาทขณะเดินเข้าไปหา
“ทำไมมาเร็วจังล่ะครับ” เหมือนมารออยู่แล้ว ก่อนที่จะโทรมาหาเขาซะอีก
“ผ่านมาพอดีน่ะ” อีกฝ่ายว่ายิ้มๆขณะที่สายตาไม่ละไปจากหน้าเขา จนเดือนสิบต้องเป็นฝ่ายเสตามองไปทางอื่นแทนเพราะชักเริ่มรู้สึกแปลกๆ เหมือนก้อนเนื้อในอกจะกระตุกวูบ…
เสียงหัวเราะเบาๆในลำคอก่อนที่เสียงทุ้มจะเอ่ยถาม
“กินอะไรดี”
“ผมว่าจะไปกินร้านลุงป้างน่ะครับ”
“โอเคงั้นไปกัน” รุ่นพี่ร่วมคณะตอบรับง่ายๆ จนเดือนสิบถึงกับหันมามองอย่างแปลกใจ แต่พออีกฝ่ายยิ้มให้เขาก็เลือกที่จะไม่ถามอะไรต่อ
ทั้งสองคนเดินเคียงกันไปเรื่อยๆโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร คนน้องเงียบโดยนิสัย ส่วนคนพี่ก็เงียบเพราะเอาแต่ลอบสังเกตท่าทางของน้อง บ่อยครั้งที่ดวงตากลมโตเบนมาสบ แต่ก็แค่ครู่เดียวเพราะเดือนสิบมักจะรีบถอนสายตาออกไปเมื่อเห็นว่าเขามองอยู่ก่อนแล้ว…
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันนิดๆ คล้ายจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่…
มาถึงร้านข้าวพวกเขาก็พากันสั่งอาหาร เดือนสิบสั่งคะน้าหมูกรอบคนพี่เลยบอกเอาด้วยแต่ขอพิเศษ รอลุงป้างทวนรายการอาหารเสร็จทั้งสองคนก็เดินมานั่งรอที่โต๊ะ บรรยากาศในร้านจอแจด้วยเสียงพูดคุยของลูกค้าที่มีอยู่ประปราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาในมหา’ลัยเดียวกันกับพวกเขาทั้งนั้น
“เอาน้ำอะไรเดี๋ยวพี่ไปหยิบให้” ยุทธนาถามขึ้น
“เดี๋ยวผมไปหยิบให้เองดีกว่าครับ พี่ยุทธจะเอาน้ำอะไร” เดือนสิบอาสา เพราะเห็นว่าตัวเองเป็นรุ่นน้อง ให้รุ่นพี่มาบริการดูจะไม่เหมาะเท่าไหร่ ถึงอีกฝ่ายจะเต็มใจก็เถอะ
“อืม.. งั้นเอาน้ำเปล่าแล้วกัน” คนน้องพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินไปเปิดตู้แช่แล้วหยิบน้ำเปล่ามาสองขวด
นั่งรออยู่ไม่นานลุงป้างก็ยกกระเพราะหมูกรอบร้อนๆมาเสิร์ฟ กลิ่นหอมๆของมันเรียกเสียงโครกครากจากกระเพาะน้อยๆของเดือนสิบได้เป็นอย่างดี เขาลงมือกินข้าวทันทีด้วยความหิวโหยจนลืมสนใจรุ่นพี่ร่วมคณะที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันไปชั่วขณะ กระทั่งกินไปได้ซักพักเสียงทุ้มนุ่มก็เอ่ยขึ้นเบาๆ
“กินเลอะเป็นเด็กๆ” น้ำเสียงติดจะล้อเลียน กับแววตาอ่อนแสงที่ทอดมองทำให้เดือนสิบชะงัก ข้าวที่กำลังจะส่งเข้าปากค้างอยู่แบบนั้น จนคนมองหลุดยิ้มบาง
“กินเถอะเดี๋ยวค่อยเช็ดก็ได้” เสียงทุ้มนุ่มเรียกสติ เดือนสิบเลยส่งข้าวที่ถือค้างอยู่เข้าปากพลางเคี้ยวตุ้ยๆ ก่อนจะยื่นมือไปรับทิชชู่ที่อีกฝ่ายส่งมาให้อย่างว่าง่าย
“ขอบคุณครับ” พึมพำเสียงเบาเพราะชักเริ่มจะรู้สึกเก้อๆขึ้นมากับสายตาที่จ้องอยู่
เหมือนยุทธนาจับสังเกตได้ เลยละสายตามาสนใจกับอาหารตรงหน้า แต่ก็ไม่วายเหลือบมองรุ่นน้องเป็นระยะอยู่ดีอย่างห้ามไม่ได้
พอกินอิ่มคนเป็นพี่เลยอาสาบอกว่าจะเลี้ยงแต่เดือนสิบกลับส่ายหัวปฏิเสธจนผมฟุ้ง
“ไม่ดีมั้งครับรบกวนพี่เปล่าๆ ผมจ่ายเองดีกว่า”
“ไม่รบกวนหรอกน่าพี่เต็มใจ อีกอย่างพี่เลี้ยงน้องถ้าปฏิเสธถือว่าเสียมารยาทนะ” พอพี่มันเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง เดือนสิบเลยจนใจจะเถียง ปล่อยให้อีกฝ่ายเดินไปจ่ายเงินก่อนจะพากันเดินออกมาจากร้าน แม้จะยังติดใจเรื่องที่อีกฝ่ายเลี้ยงข้าวอยู่ก็เถอะ
“แล้วเรื่องติวหนังสือว่าไง ว่างวันไหนบอกพี่ได้เลยนะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบระหว่างเดินกลับหอ
เดือนสิบนิ่งคิด เมื่อวานเฮียโหน่งบอกเขาว่าช่วงนี้ยังไม่ต้องไปเข้าไปทำงานก็ได้ รอให้ผ่านช่วงสอบไปก่อนแล้วค่อยกลับไปทำ เพราะฉะนั้นนอกจากเวลาเรียนก็ถือว่าช่วงนี้เขาว่าง
“จริงๆช่วงนี้หลังเลิกเรียนผมก็ว่างนะครับ เอาตามที่พี่สะดวกดีกว่า”
“งั้นเป็นเสาร์อาทิตย์ดีไหม หลังเลิกเรียนเราจะได้มีเวลาทำการบ้านด้วย” ยุทธนาเสนอ เขารู้ว่าปีหนึ่งเทอมนี้เรียนหนัก แถมทั้งการบ้านทั้งรายงานก็บานเบอะ เรียนวิศวะไม่ใช่ง่ายๆถึงปีแรกจะเรียนแค่พื้นฐานแต่ก็หนักเอาการอยู่เหมือนกัน ยังนึกทึ่งว่ารุ่นน้องตรงหน้าเอาเวลาที่ไหนไปทำทั้งที่ทำงานควบคู่ไปด้วยแบบนี้ ถ้าไม่ขยันจริงๆไปไม่รอดแน่
“ก็ได้ครับ” เดือนสิบตอบรับพลางลอบสังเกตท่าทางของอีกฝ่าย “เอ่อพี่ยุทธครับ”
“หืม…” ร่างสูงครางรับ โดยที่ไม่ได้หันมามอง เสี้ยวหน้าคมคายนิ่งสนิทขณะก้าวเดินคล้ายกำลังใช้ความคิด
“ผมชวนเพื่อนมาติวด้วยได้ไหมครับ”
“…ได้สิ”
“ขอบคุณครับ” เดือนสิบยิ้ม เป็นจังหวะเดียวกับที่อีกคนหันมาสบตาเข้าพอดี… ริมฝีปากได้รูปบิดยิ้มบาง ทอดสบตากลมที่คล้ายจะเบิกกว้างขึ้นนิดๆก่อนจะรีบเบือนหนีไปอีกครั้ง…
อีกครั้งที่เดือนสิบหลบตาคนๆนี้ ทว่าคราวนี้ไม่ได้เป็นเพราะความรู้สึกกระอักกระอ่วนหรืออึดอัดใจ…
ตึกตักๆ
เดือนสิบยกมือขึ้นกุมอก เมื่ออยู่ดีๆก้อนเนื้อที่อยู่ในนั้นคล้ายจะเร่งจังหวะเร็วขึ้นอย่างน่าประหลาด มันไม่ได้ถึงกับเต้นระรัว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่าหัวใจเข้าเต้นเร็วขึ้นหนึ่งอัตราเมื่อสบเข้ากับตาคมที่ทอดมองมาอย่างอ่อนโยนนั่น….
แต่ดูเหมือนเจ้าของตาคมจะเข้าใจไปคนละทาง
“โทษทีที่ทำให้รู้สึกอึดอัด” เสียงทุ้มเอ่ยแผ่วเบา ก่อนที่ตาคมจะละจากใบหน้าของเดือนสิบ
“คือ.. ไม่ใช่นะครับ ผมไม่ได้กำลังรู้สึกอึดอัด ผมแค่.. ผม..” เสียงอ้อมแอ้มเอ่ยแก้ความเข้าใจผิด ทว่าท้ายประโยคแผ่วลงเพราะไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกที่กำลังเป็นอยู่ยังไงดี
เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่จากคนข้างกายยิ่งทำให้หน้าใสๆหงอยลง ตากลมหลุบต่ำอย่างรู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจไปแบบนั้น
“ขอโทษครับ”
เสี้ยวหน้าคมคายหันกลับมามองรุ่นน้องร่วมคณะที่เดินก้มหน้าจนแทบชิดอก เสียงขอโทษแผ่วเบากระตุกใจเขาจนทนเฉยไม่ได้อีกต่อไป ท่าทางแบบนั้นทำให้ยุทธนารู้สึกอ่อนใจอยู่ไม่น้อย คิดดีแล้วว่ายังไงวันนี้เขาก็ต้องคุยกับน้องให้รู้เรื่อง ถึงจริงๆแล้วเขาไม่ได้อยากจะเร่งรัด แต่ถ้ายังปล่อยให้ระหว่างเรายังเป็นอยู่แบบนี้ความสัมพันธ์ที่คิดอยากจะสานต่อก็คงเป็นไปได้ยาก
“สิบ..” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นก่อนที่สองขาจะหยุดชะงัก เรียกให้คนที่เดินก้มหน้าอยู่เงยขึ้นมามองอย่างไม่เข้าใจ เรียวคิ้วสวยขมวดหน่อยๆแต่ก็ไม่ได้เปิดปากพูดอะไรออกมา
จ้องตากันอยู่ชั่วครู่ ก่อนเสียงทุ้มจะเอ่ยออกมาอย่างมั่นคง “พี่อยากคุยกับสิบให้เข้าใจ..“
“….”
“รู้ใช่ไหมว่าพี่คิดยังไงกับเรา” กลีบปากได้รูปเผลอเม้มเข้าหากัน ตากลมเหลือบมองเสี้ยวหน้าคมคายที่ดูจริงจังขึ้นจนน่าหวั่นใจ
ความเงียบของร่างเล็กกว่าไม่ได้ทำให้ยุทธนาหงุดหงิด เขารอคอยอย่างใจเย็น ส่งผ่านความจริงใจผ่านสายตาที่สบมอง ปล่อยให้น้องค่อยๆคิด ค่อยๆตัดสินใจอย่างช้าๆ กระทั่งเดือนสิบยอมพยักหน้าเบาๆ เขาถึงได้เหยียดยิ้มบางออกมา
เอาล่ะ อย่างน้อยๆน้องก็ยังมองเห็นความรู้สึกของเขา ที่เหลือก็แค่ทำให้ยอมเปิดใจ…
“อาจดูเร็วไปหน่อยที่พูดออกมาตอนนี้ แต่พี่ไม่อยากรอจนเสียโอกาสไปอีกครั้ง… พี่อยากลองทำความรู้จัก อยากให้เราค่อยๆเป็นค่อยๆไป แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องแสดงออกยังไงเราถึงจะไม่รู้สึกว่ากำลังถูกคุกคาม…” โทนเสียงทุ้มนุ่มเอ่ยเรียบเรื่อย
“….”
“พี่ไม่อยากให้สิบต้องรู้สึกอึดอัดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน พี่เป็นคนพูดไม่เก่งยิ่งเรื่องแสดงออกยิ่งแล้วใหญ่… แต่พออยู่กับเราทุกอย่างมันเหมือนพลิกแพลงไปหมด.. จนบางทีสิ่งที่แสดงออกมันเลยดูมากไปจนทำให้เราอึดอัด” ยุทธนาเว้นช่วง มองลึกลงไปในหน่วยตากลมโตที่เริ่มสั่นระริกก่อนจะหลุบลง แพขนตาหนากระพริบถี่คล้ายกำลังสับสน จนเมื่อน้องยอมเลื่อนสายตากลับมาสบกันอีกครั้งถึงได้พูดต่อ
“สำหรับเราพี่อาจะเป็นคนอื่นที่เพิ่งรู้จักกัน แต่สำหรับพี่มันไม่ใช่… อาจฟังดูเป็นเรื่องไม่เข้าท่า แต่พี่มองเรามานานแล้ว นานจนจากที่แรกๆแค่ชอบมอง.. จนมันกลายเป็นอยากดูแลไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
ยุทธนายิ้มบาง สบดวงตากลมโตที่เบิกขึ้นนิดๆอย่างมั่นคง กลีบปากสวยขยับเผยอขึ้นคล้ายจะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็ทำแค่เม้มแน่นเข้าหากันอีกครั้ง ตากลมหลุบต่ำซ่อนความรู้สึกทั้งอึ้งทั้งสับสน แต่อีกความรู้สึกที่แทรกลึกเข้ามาเหนือสิ่งอื่นใดคือความอุ่นซ่านจากฝ่ามือหนาที่เอื้อมมากุมมือเขาเอาไว้ แรงบีบเบาๆทำให้เดือนสิบต้องเงยหน้าขึ้นสบตาคมอีกครั้ง
“ถ้าเราไม่รังเกียจ จะลองให้โอกาสพี่สักครั้งได้ไหม.. ยังไม่ต้องถึงขั้นคบกันก็ได้ ขอแค่ให้พี่ได้ลองดูแลสิบได้ลองอยู่ข้างๆ.. ส่วนหลังจากนั้นจะเป็นยังไงต่อไปพี่จะให้สิบเป็นคนตัดสินใจ”
“แล้วถ้ามันไม่โอเคล่ะครับ” เดือนสิบเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจนักหลังเงียบไปชั่วครู่
คนฟังยิ้มบาง
“มันต้องโอเคสิ เพราะพี่จะทำให้มันโอเค”
“แล้วถ้าเป็นตัวผมเองที่ไม่โอเคล่ะ”
“พี่ก็จะตื้อไปจนกว่าเราจะโอเคนั่นแหละ”
“แล้วถ้าตื้อยังไงผมก็ไม่โอเคล่ะครับ” เดือนสิบซักต่อ ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ความประหม่าหายไปจากดวงตาคู่สวย
“อืม….” ยุทธนาหรี่ตามองคนที่กลายเป็นเจ้าหนูจำไมไปชั่วขณะ “งั้นก็ฉุดเข้าห้องเลยดีไหม ทำให้เป็นเมียก่อนแล้วค่อยตื้อต่อทีหลัง”
รูปประโยคฟังดูคล้ายจะล้อเล่น แต่ใบหน้าคมคายกลับฉายแววจริงจังขึ้นมาจนเดือนสิบถึงกับเหวอ
“บ้าแล้ว ใครจะยอมให้ฉุดง่ายๆกัน” บ่นขมุบขมิบก่อนจะเบือนหน้าหลบตาคมที่คล้ายจะดูเจ้าเล่ห์ขึ้นมาชั่วขณะ
ร่างสูงยิ้มกว้าง ทอดมองคนบ่นอุบอิบทั้งที่ใบหูเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ น่าเอ็นดูจนเผลอยื่นมือไปขยี้กลุ่มผมนุ่มอย่างไม่อาจห้ามใจ ฝ่ามือหนากระชับแน่นเข้าคล้ายเรียกความสนใจ ก่อนที่เสียงทุ้มจะเอ่ยขั้นเมื่อดวงตาคู่สวยเบนกลับมาสบกันอีกครั้ง
“อย่าพึ่งกังวลไปเลย แค่สิบยอมเปิดใจให้.. สัญญาด้วยเกียติรของลูกผู้ชายว่าพี่จะไม่ทำให้เราต้องผิดหวัง”
“….”
“เชื่อใจพี่นะ”
ชั่วขณะที่ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา กระทั่งเสียงห้าวต่ำเอ่ยขึ้นเรียกรอยยิ้มกว้างจากคนที่ได้ฟัง
“….ลองดูก็ได้ครับ”
*****
ขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจพี่ยุทธกับเดือนสิบนะคะ