สืบครั้งที่ 4
ทั้งหมดเดินเข้ามาหลบอยู่ในป่าซึ่งระยะทางไม่ไกลจากที่เดิมมากนัก เมื่อเจอพื้นที่ที่เหมาะสม กิตติธัชจึงหยุดเดินพร้อมทั้งหากิ่งไม้มาหนึ่งกองแล้วจุดไฟเพื่อป้องกันสัตว์ป่าเสร็จก็หันมาออกคำสั่งกับคนที่เหลือ
"คืนนี้พวกเราจะนอนกันที่นี่ตรงนี้ ซึ่งพวกนายจะหาที่นอนกันตรงไหนก็นอน ยกเว้นรวิสราที่ต้องไปนอนตรงนู้น"
"ทำไมล่ะตรงนั้นน่ากลัวจะตาย"
กันต์กวินขัดขึ้นมาอย่างไม่พอใจทำไมต้องให้ผู้หญิงไปนอนตรงที่มืดตรงนู้นคนเดียวด้วยแต่รวิสรากลับส่ายหน้าห้ามปรามแล้วยิ้มออกมาอย่างอ่อนหวาน
"ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่กลัวความมืดหรอกค่ะ"
"แน่นะครับ"
กันต์กวินถามกลับเพื่อความแน่ใจซึ่งรวิสราพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิมทำให้ทุกคนต่างถอนหายใจแล้วแยกย้ายกันหาที่นอนพักผ่อน ซึ่งตอนนั้นเองเวทิตเดินแบกรุจรวีมาถึงพอดีจึงวางลงข้างผู้จัดการตนเองอย่างแรง
ตุ๊บ!
"เบาหน่อยซิทิต!"
พีรัชดุเสียงดังอย่างไม่ชอบใจแต่เวทิตไม่สนแถมหันไปมองรอบตัวด้วยสีหน้าและแววตาที่รังเกียจปนไปด้วยความขัดใจ
"พี่จะให้ผมนอนตรงนี้เนี่ยนะ"
"อือ"
พีรัชตอบรับพร้อมกับเอากระเป๋าตนเองมารองศีรษะของรุจรวีเอาไว้เพื่อหวังจะให้อีกฝ่ายได้นอนสบายขึ้น
"ไม่มีเตียงก็ไม่เป็นไร แต่มีผ้าห่มซักผืนก็ยังดี"
"แล้วนายเห็นพวกเรามีของแบบนั้นในเวลานี้ไหม"
กิตติธัชขัดขึ้นมาพร้อมกับจ้องเวทิตอย่างข่มขู่จนอีกฝ่ายเริ่มกลัวแต่ยังพยายามจะคัดค้านอยู่ดี
"แต่..."
"เลือกเอาจะนอนหรือจะเฝ้าเวรยาม"
กิตติธัชถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจังทำให้คนที่กำลังจะเถียงนั้นชะงักไปเล็กน้อย
"นอน!"
เวทิตตอบอย่างรวดเร็วก่อนจะนั่งลงตรงอีกด้านของรุจรวีที่ยังว่างอยู่อย่างหงุดหงิด ซึ่งบรรยากาศแสนอึมครึมนั้นทำให้กันต์กวินที่ไม่ชอบอยู่นิ่งอดที่จะพูดออกมาทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดแบบนี้
"อะแฮ่ม! เราไม่คิดจะแนะนำตัวกันหรอครับ น่าจะอยู่ด้วยกันซักพักน่าจะรู้ชื่อกันนะ"
"นั่นซิครับ"
รณกรเห็นด้วยซึ่งดูเหมือนทุกคนก็หันมามองด้วยความสนใจทำให้กันต์กวินฉีกยิ้มกว้างพร้อมเอื้อมมือไปหยิบกิ่งไม้มาถือไว้แทนไมค์ที่พังไปแล้ว
"ผมชื่อ กันต์กวิน อายุ 25 ปี ปัจจุบันพึ่งได้บรรจุเป็นนักข่าวมือใหม่ของสำนักข่าวชื่อดังแห่งหนึ่ง ตอนนี้อยู่ในช่วงทดลองงานครับและครั้งนี้เป็นงานแรกของผมคือการลงพื้นที่ทำข่าวกับขบวนรถไฟเที่ยวนี้ครับ นั่งอยู่ตู้ห้าครับ"
"ผมชื่อ รณกร อายุ 25 ปีครับ ผมชอบการถ่ายภาพจึงสมัครเป็นตากล้องพึ่งออกงานภาคสนามด้วยกันครั้งแรกและเป็นผู้ช่วยของกันต์ครับ นั่งตู้ห้าครับ"
รณกรยิ้มแป้นออกมาอย่างภาคภูมิใจที่ได้ทำงานกับเพื่อนสนิท ก่อนจะส่งกิ่งไม้ให้พีรัชที่นั่งอยู่ด้านซ้ายมือซึ่งอีกฝ่ายรับมาถือไว้ด้วยรอยยิ้ม
"ผมชื่อ พีรัช อายุ 32 ปี ปัจจุบันเป็นผู้จัดการนายแบบทั้งสองคนนี้ครับ พวกเรานั่งตู้สองครับ"
พีรัชหยุดพูดเอื้อมมือไปปัดยุงให้รุจรวีอยางอ่อนโยนก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาแนะนำต่อด้วยรอยยิ้ม
"ส่วนคนนี้นายแบบในการดูแลของผมเองครับชื่อ รุจรวี อายุ 26 ปี นายแบบหนุ่มน้อยหน้าหวานที่มีมีฐานแฟนคลับเยอะมากแต่ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอครับ เจออะไรที่ตื่นเต้นมากก็จะช็อกแบบนี้ล่ะแต่ไม่เป็นอะไรมากไม่ต้องเป็นห่วง"
"ไม่แนะนำผมด้วยล่ะ"
เวทิตเชิดหน้าขึ้นอย่างเอาแต่ใจทำให้พีรัชเหยียดยิ้มออกมาอย่างหมั่นไส้
"ได้ครับคุนชาย~ คนนี้คือ เวทิต อายุ 27 ปี นายแบบหนุ่มหน้าหล่อที่มีแฟนคลับตามขอรายเซ็นตลอดเวลาแต่อยู่ในช่วงขาลงไม่ค่อยมีงานเท่าไหร่"
"พี่รัช!"
เวทิตขึ้นเสียงใส่อีกฝ่ายอย่างขัดใจก่อนที่จะส่งกิ่งไม้ให้วรภพที่รับไปถืออย่างสุภาพ
"ผมชื่อ วรภพ ครับ อายุ 26 ปี พึ่งเรียนจบหมอมาครับเลยอยากไปประจำที่โรงบาลทางภาคเหนือ เพื่อช่วยเหลือคนที่เจ็บไข้บนภูเขาครับ นั่งอยู่ตู้สี่ครับ"
"ผมชื่อ ต้นหลิว อายุ 24 ปีครับ ปัจจุบันทำงานเป็นนักสืบแต่ยังมือใหม่อยู่จึงยังไม่เคยได้สืบเลยซักครั้ง ชอบอ่านนิยายแนวอาชญากรรม พึ่งหยุดงานพาคู่หมั้นมาเที่ยวรถไฟก่อนที่จะแต่งงานกันเดือนหน้าแต่คู่หมั้นดันหายตัวไป นั่งอยู่ตู้สามครับ"
ต้นหลิวสะอื้นเล็กน้อยและเช็ดน้ำตาตนเองก่อนจะยื่นกิ่งไม้ให้กับรวิสราซึ่งอีกฝ่ายยกมือขึ้นมาลูบหลังเป็นการปลอบใจ
"ไม่เป็นอะไรนะคะ"
"เธอพูดคนสุดท้าย"
กิตติธัชออกคำสั่งด้วยสีหน้าบึ้งตึงทำให้รวิสราพยักหน้ารับพร้อมส่งกิ่งไม้ให้แต่อีกฝ่ายกลับเมิยเฉยไม่สนใจ
"ฉัน กิตติธัช อายุ 28 ปัจจุบันเป็นตำรวจอาชญากรรมของสถานีตำรวจหลวงนั่งตู้สี่"
"ตานายแล้ว...อ่ะ!"
กันต์กวินหยิบกิ่งไม้กิ่งใหม่ให้กับพลทัพซึ่งทำท่าทางไม่สนใจจึงจัดการยัดไม้ใส่มือทันทีทำให้อีกฝ่ายหันมาถลึงตาใส่
"พลทัพ อายุ 28 ว่างงานไม่ได้ทำอะไร นั่งตู้ห้า"
"ไม่บอกไปด้วยล่ะว่าเมื่อก่อนเคยทำงานอะไร"
กิตติธัชจงใจขัดขึ้นเสียงดังด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยทำให้พลทัพหันไปมองตาขวาง
"ไม่จำเป็น"
"งั้นฉันบอกให้ฟังก็ได้..."
กิตติธัชทำเมินเฉยพร้อมทั้งกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เยาะเย้ยมากกว่าเดิม
"หมอนี่เมื่อก่อนเคยอดีตตำรวจหน่วยอาชญากรรมแต่ถูกปลดเพราะความใจร้อนจนเสียงานหลายครั้ง"
"นายเองก็ดีแต่เอาหน้าเอาผลงานคนอื่น"
พลทัพกระแทกเสียงใส่อย่างอารมณ์เสียทำให้กิตติธัชตั้งท่าจะกระโจนใส่แต่รวิสรากลับห้ามเอาไว้
"อย่าทะเลาะกันซิคะ"
"แล้วคุณล่ะชื่ออะไรดูสนิทกับกิตจัง"
กันต์กวินถามอย่างอยากรู้อยากเห็นตามสัญชาตญาณนักข่าวจนรณกรต้องสะกิดเตือนแต่รวิสรากลับยิ้มหวานมาให้เหมือนเดิม
"ฉันชื่อ วริสรา ค่ะ อายุ 26 ปี ตอนนี้เปิดร้านขายเสื้อไหมพรมอยู่ค่ะ นั่งอยู่ตู้หนึ่งค่ะ เป็นลูกสาวของรติกรนักธุรกิจพวกคุณคงได้ยินชื่อกันนะคะ"
"เคยครับ! เป็นนักธุรกิจที่ใจบุญมากที่สุดและเป็นที่จับตามองในวงการนักข่าวเลยครับ"
กันต์กวินแทรกขึ้นมาด้วยรอยยิ้มซึ่งรวิสราเองก็ยิ้มกลับเช่นกัน
"แล้วเป็นอะไรกับคุณกิตติธัชครับ"
"เอ่อ..."
รวิสราทำหน้าตาลำบากใจก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
"เป็น...คู่หมั้นคู่หมายกันค่ะ"
"โอ้โห~"
กันต์กวินร้องออกมาอย่างตื่นเต้นแต่ทว่าระหว่าที่จะถามอะไรเพิ่มเติมก็มีเสียงหนึ่งขัดขึ้นมา
"เลิกคุยแล้วไปนอนกันได้แล้วคืนนี้ฉันจะอยู่เฝ้าเวรยามเอง"
กิตติธัชขัดขึ้นมาก่อนที่กันต์กวินจะทำเสียงล้อเลียนไปมากกว่านี้ทุกคนต่างแยกย้ายไปนอนที่ของตนเอง ซึ่งแม้จะไม่ได้สบายมากแต่ความเหนื่อยล้าที่เจอมาในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นทำให้ทุกคนต่างนอนหลับกันอย่างรวดเร็ว
วันต่อมาต้นหลิวและวรภพนั้นออกมาเดินตามหาคู่หมั้นตั้งแต่เช้ามืด ทว่าพบเพียงซากรถไฟที่ไหม้เกรียมมองไปทางไหนก็เห็นแต่ตะกอนสีดำเต็มไปหมด ซึ่งพอเห็นแบบนั้นทำให้หลิวจื้อหงท้อใจนิดหน่อยแต่ยังไม่ยอมแพ้
"เวย์..."
"อย่าขึ้นไปปีนขึ้นไปบนนั้นซิครับ"
วรภพเตือนเพราะเห็นต้นหลิวกำลังจะปีนตู้รถไฟที่พลิกคว้ำซึ่งอีกฝ่ายหันหน้ามาทำท่าทางจะแย้ง
"แต่..."
"ไปหาตรงนู้นไหม"
วรภพชี้ไปอีกด้านหนึ่งซึ่งต้นหลิวพยักหน้ารับก่อนที่จะเดินไปตามซากรถไฟที่บางช่วงยังมีไฟติดอยู่ซึ่งไหม้ยังไม่หมดแต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอแม้แต่เงาของคู่หมั้นตนเอง
"เวย์...ได้ยินแล้วตอบผมหน่อยเวย์"
"ช่วย...ช่วยด้วย"
มีเสียงแผ่วเบาร้องมาจากด้านหลังตู้รถไฟนั้นทำให้ต้นหลิวและวรภพรีบวิ่งไปดูพบกับร่างของใครคนหนึ่งนอนหอบคว้ำหน้าอยู่กับพื้น
"ช่วย...ด้วย"
"เวย์!"
ต้นหลิวเข้าไปประคองตัวคนบาดเจ็บให้หงายขึนมานอนบนตักของตนเองแต่ต้องทำหน้าเจือนลงเมื่อคนที่รอดชีวิตนี้ไม่ใช่คู่หมั้นของตนเองทว่ากลับเป็นเจ้าของใบหน้าสวยจัดจ้านก็คุ้นตาไม่เคยลืม
"ไวซ์"
"ต...ต้นหลิวหรอ"
วณิชชาลืมตาขึ้นมามองก่อนจะร้องไห้แล้วโผเข้ากอดอีกฝ่ายไว้แน่น
"ฮึก!...ต้นหลิว~"
"บาดเจ็บไม่มากยังพอขยับตัวได้" วรภพพูดขึ้นหลังจากมองดูบาดแผลตามเนื้อตัวของอีกฝ่าย "พาไปที่พักก่อนเถอะ"
"อื้ม"
ต้นหลิวตอบรับก่อนจะประคองวณิชชาที่บาดเจ็บเดินกลับไปยังที่พักอย่างระมัดระวังเพื่อวรภพจะได้ทำแผลได้สะดวก
ส่วนกันต์กวินนั้นรึบตื่นแต่เช้าเดินมาตรงแถวซากรถไฟซึ่งยังมีไฟลุกโชนยังไม่ยอมดับก่อนจะหันมายิ้มหวานให้กล้องโดยที่ในมือกำลังเอากิ่งไม้มาถือแทนไมล์และให้รณกรที่เป็นตากล้องคอยอัดวีดีโอเอาไว้
"เปิดกล้องแน่แล้วนะกร"
"แน่นอน...แต่กันต์จะถ่ายไปทำไมล่ะ"
รณกรเช็คกล้องอีกครั้งเพื่อความแน่ใจก่อนจะโดนกันต์กวินผลักหน้าผากอย่างหมั่นไส้
"ถามอะไรของนายเนี่ย! ถ่ายไว้เผื่อเอาไปให้ หัวหน้าตอนกลับไปได้ไง"
"อ๋อ"
รณกรพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะยกกล้องขี้นมาถ่ายวีดีโอให้คนน่ารักอย่างตั้งอกตั้งใจ
"เริ่มถ่ายได้แล้ว"
กันต์กวินยิ้มหวานให้กล้องซึ่งด้านหลังเป็นบรรยากาศของซากรถไฟที่พลิกคว้ำ
"คุณผู้ชมครับ ภาพที่คุณผู้ชมได้รับชมอยู่นี้คือซากรถไฟพาเที่ยวรุ่นใหม่ที่เริ่มเส้นทางการเดินรถไฟที่กรุงเทพ-เชีบงใหม่ ซึ่งเริ่มออกเดินทางเมื่อวานนี้เวลาห้าโมงเย็น แต่ทว่ากลับเกิดเหตุขัดข้องทางระบบทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นรถไฟทั้งขบวนพลิกคว่ำก่อนจะระเบิดอย่างรุนแรงและถูกเพลิงเผาไหม้จนเหลือแต่ซากซึ่งบางส่วนในขณะนี้ยังมีไฟติดอยู่เลยครับ หากมีอะไรคืบหน้าจะรีบรายงานให้ทราบต่อไป ผม กันต์กวิน นักข่าวฝึกหัดรายงาน"
"คัท!" รณกรร้องขึ้นก่อนจะตรวจสอบดูผลงานที่พึ่งถ่ายไป "ยอดเยี่ยมมากเลยกันต์!"
"แน่นอนอยู่แล้ว"
กันต์กวินยิ้มรับก่อนจะกอดคอโน้มให้ใบหน้าของรณกรลงมาอยู่ในระดับเดียวกัน
"นายต้องถ่ายบรรยากาศซากรถไฟพวกนี้ให้หมดเลยนะเข้าใจไหม รับรองกลับไปพวกเราจะต้องดังระเบิดแน่นอน"
"อื้ม!"
รณกรตอบรับพร้อมแอบลอบมองใบหน้าหวานของกันต์กวินก่อนที่จะหลบสายตาเมื่ออีกฝ่ายหันมามองพอดี ทั้งสองถ่ายทำกันถึงเกือบเที่ยงจึงคิดจะกลับไปทานข้าว
"ถ่ายได้เยอะแล้วใช่ไหมงั้นเรากลับที่พักกันเถอะ"
"อื้ม!"
"ช...ด้วย"
แต่ระหว่างนั้นเองกลับมีเสียงร้องขอความช่วยเหลือออกมาจากตรงพุ่มไม้แถวชายป่าทำให้ทั้งสองคนหยุดเดินทั้นที
"กันต์...ได้ยินเสียงอะไรไหม"
"ช่วย...ย"
"ได้ยิน! กรนายรีบถ่ายเอาไว้นะเข้าใจไหม"
กันต์กวินหันมาสั่งอย่างตื่นเต้นก่อนจะเดินเข้าไปดูตรงพุ่มไม้โดยมีรณกรตามถ่าย ทั้งสองก็ได้พบกับผู้รอดชีวิตกำลังนอนหอบหายใจอย่างหมดแรงตรงศีรษะเลือดออกเยอะ เนื้อตัวเปรอะเปื้อนด้วยดินเต็มไปหมด กันต์กวินลองจับตัวแล้วเรียกอย่างเป็นห่วง
"คุณครับ...คุณได้ยินผมไหม"
"ก...กันต์กวิน"
เสียงแหบที่เรียกชื่อตนเองได้ถูกต้องทำให้กันต์กวินจ้องหน้ามอมแมมนั่นอีกครั้งก่อนจะตาโตด้วยความตกใจเพราะคนตรงหน้าคือ
กวิตาเพื่อนสมัยเด็กของตนเอง
"วิตา! เธอคือวิตาใช่ไหม"
"ช...ใช่"
"ใช่จริงด้วยมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย...กรมาช่วยอุ้มเพื่อนฉันหน่อยเร็ว"
กันต์กวินหันไปเรียกรณกรที่กำลังทำหน้างุนงงไม่เข้าใจพรางมองหน้าอย่างสงสัย
"เพื่อนนายงั้นหรอ"
"ใช่!...นั่งนิ่งอยู่ได้รีบมาช่วยเร็วซิ"
กันต์กวินออกคำสั่งทำให้รณกรฝากกล้องไว้และรีบลงไปอุ้มกวิตาอย่างระมัดระวังก่อนจะพากันเดินกลับไปยังที่พัก
ทางด้านของรวิสราตื่นแต่เช้าเพราะตั้งใจจะออกไปตามหาพ่อแต่กลับเจอกิตติธัชยืนกอดอกหน้าบึ้งตึงทำท่าทางไม่พอใจ
"จะไปไหน"
"ไปตามหาพ่อน่ะ ธัช...เอ่อ...กิตจะไปด้วยกันไหม"
รวิสราสะดุดคำพูดเล็กน้อยเพราะเกือบหลุดอีกชื่อหนึ่งออกมาซะยิ่งสายตาดุดันที่มองมาของอีกฝ่ายซึ่งเดี๋ยวนี้ชอบทำตัวห่างเหิน
"ไม่!"
"เอ่อ..."
ก่อนที่จะได้พูดอะไรกิตติธัชนั้นกลับเดินหนีไปล้มตัวลงนอนโดยไม่ได้สนใจตนเองอีกต่อไปทำให้รวิสราทำหน้าเจื่อนลงก่อนจะตกใจเมื่อได้ยินเสียงทักมาจากด้านหลัง
"เธอคงจะคือรวิสราลูกสาวของคุณรติกรที่พี่พีรัชบอกฉันเมื่อเช้าซินะ"
"อ้าว! ฟื้นแล้วหรอรุจ"
รวิสรายิ้มหวานให้ซึ่งรุจรวีพยักหน้าพร้อมยิ้มตอบกลับมาอย่างน่ารักสมกับนายแบบหนุ่มน้อยหน้าหวานจนใครเห็นก็ต้องเอ็นดูแม้ตอนนี้ผมจะฟูไปหน่อยก็ตาม
"จะออกไปข้างนอกใช่ไหม ฉันไปด้วยซิพี่พีรัชก็ออกไปทำอะไรไม่รู้ตั้งแต่เช้ามืดเหลือแต่ไอ้พี่ทิตคนแก่กวนประสาทนี่คนเดียว"
"อ่า...ได้คะ"
ทั้งสองจึงออกเดินทางกันโดยที่ไม่มีกิตติธัชตามมาด้วย พอมาถึงซากรถไฟรวิสราก็พยายามตามหาพ่อทว่าไม่พบร่องรอยเลยซักนิดเดียว จนกระทั่งแดดยามบ่ายเริ่มร้อนขึ้นมากทำให้รุจรวีบ่นไม่หยุด
"ร้อนจังเลยอ่ะกลับที่พักกันเถอะ"
"แต่...ก็ได้ค่ะ"
รวิสราทำหน้าเสียดายและเริ่มหมดหวัง แต่ทว่าในตอนที่กำลังจะกลับนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกจากอีกด้านหนึ่งของรถไฟ
"รวิ! รวิจริงด้วย...รวิสรา!~"
"อ๊ะ! เสียงนี้มัน"
รวิสราหันกลับไปมองพบใครบางคนที่คุ้นตาแม้เนื้อตัวจะดูมอมแมมไปหน่อยแต่จำได้ไม่เคยลืม
"เกล!
เวธกา!!!"
รวิสราตะโกนเรียกเวธกาที่ยืนอยู่อีกฝากหนึ่งของรถไฟก่อนที่ทั้งสองคนวิ่งเข้ามากอดกันด้วยความคิดถึง
"ดีใจจังเลยที่เธอไม่เป็นอะไรน่ะเกล"
"ฉันเองก็ดีใจเหมือนกัน"
"แล้วเธอเห็นพ่อฉันบ้างไหม"
รวิสราถามพร้อมมองไปรอบกายอย่างมีความหวังโดยไม่ทันสังเกตุใบหน้าที่เศร้าลงของเพื่อนสนิท ก่อนที่จะได้ยินเสียงตะโกนของรุจรวีแทรกขึ้นมา
"กลับกันเถอะ! แดดร้อนมากแล้ว"
"ค่ะ...ไปกันเถอะเกล"
รวิสราลากเวธกาให้เดินตามรุจรวีโดยไม่ได้สังเกตุเห็นสายตาจากด้านหลังที่มองมาด้วยความสงสารตลอดเวลา
ส่วนพีรัชนั้นตื่นแต่เช้ามืดก็พบรุจรวีกำลังนั่งกินช็อกโกแลตในกระเป๋าใบเล็กของตนเองด้วยความหิวทำให้อดที่ลูบผมด้วยความเอ็นดูไม่ได้
"ฟื้นซักทีนะตัวแสบ กินแบบนี้ไม่กลัวอ้วนรึไงหือ~"
"อยู่กลางป่าแบบนี้ผมไม่จำเป็นต้องลดหุ่นหรอก"
รุจรวีตอบอย่างไม่สนใจพร้อมกับเคี้ยวช็อกโกแลตต่ออย่างอร่อยแต่กินเลอะตรงมุมปากทำให้พีรัชอดที่จะเอื้อมมือเช็ดปากให้อีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว
"ปากเลอะเหมือนเด็กเลย~ แล้วรู้สึกเป็นยังไงบ้าง"
"หิว"
"ฮะฮะ"
คำตอบนั้นทำให้พีรัชหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นก่อนจะเอ่นปากชวนคนที่นั่งกินช็อกโกแลตอย่างเอ็นดู
"ไปเดินสำรวจแถวนี้ด้วยกันไหม"
"ไม่เอา" รุจรวีส่ายหน้าไปมาอย่างน่ารัก "ผมกินเสร็จแล้วจะนอนต่อ พี่รัชไปเถอะครับ เอ้อ! ถ้าเกิดเจอกระเป๋าสีเขียวของผมแล้วยังไม่ถูกเผาเก็บมาให้หน่อยได้ไหมครับในนั้นมีของสำคัญอยู่แต่ผมคว้าไม่ทันน่ะครับ"
"ได้...งั้นพี่ไปก่อนนะ ถ้าเกิดเหงาก็ไปนั่งเล่นกับรวิสราได้ ห้ามดื้อล่ะ"
พีรัชลูบผมอีกฝ่ายอย่างเอ็นดูแล้วเดินออกไปจากตรงนั้นท่ามกลางสายตาของใครบางคนที่ลืมตามองทั้งสองคนมาตั้งแต่ต้น
ทางด้านของพีรัชก็เดินออกมาสำรวจความเสียหายแถวซากรถไฟตั้งแต่เช้าจนเกือบเที่ยง มองไปไม่ไกลนักเห็นกันต์กวินและรณกรกำลังรายงานข่าวกันอยู่ทำให้ไม่กล้าไปกวน ก่อนจะเดินไปแถวขบวนรถไฟที่น่าจะเป็นตู้ที่ตนเองเคยนั่งพร้อมกับมองแถวพื้นพบกับกระเป๋าสีเขียวเปื้อนคราบเขม่าควันจึงเก็บขึ้นมาเห็นชื่อที่ปักอยู่จึงยิ้มออกมาอย่างโล่งอก
"รุจต้องดีใจแน่"
"นาย! นายน่ะไม่ได้ยินรึไง"
เสียงตะโกนดังมากแถวรถไฟตู้แรกทำให้พีรัชลองเดินไปตามเสียงพบกับ
รุ้งพรายที่นั่งเจ็บขาลุกขึ้นยืนไม่ได้
"ช่วยฉันหน่อยซิ! ฉันลุกไม่ขึ้น!"
"คุณเจ็บตรงไหนครับ"
พีรัชย่อตัวลงไปนั่งระดับเดียวกันก่อนจะลองจับไปตรงข้อเท้าที่บวมจนเขียวของอีกฝ่าย
"ข้อเท้าหรอครับ"
"โอ๊ย! เจ็บ!"
รุ้งพรายปัดมือหนาออกอย่างแรงทำให้พีรัชขมวดคิ้วก่อนจะอุ้มอีกฝ่ายจนตัวลอยซึ่งรุ้งพรายรีบเอามือคล้องคอพร้อมโวยวายเสียงดัง
"จะทำอะไรน่ะ! ปล่อยนะ!"
"พาไปทำแผล ที่นั่นมีผู้รอดชีวิตและหมอที่รักษาคุณได้"
พีรัชตอบอีกฝ่ายอย่างรำคาญนิดหน่อยพอเห็นว่าไม่โวยวายแล้วพากลับไปที่พัก พอกลับไปพบกับคนอื่นที่พาผู้รอดชีวิตกลับมาโดยมีวรภพนั่งทำแผลปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับผู้ที่บาดเจ็บแต่รวิสรายังไม่กลับมารวมถึงรุจรวีก็ไม่อยู่ที่นี่ด้วยไหนจะพลทัพ กิตติธัช และเวทิตก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วยจึงหันไปถามต้นหลิวที่นั่งอยู่แถวนั้นด้วยควาเป็นห่วง
"คุณต้นหลิวครับ เห็นรุจบ้างไหมเขาหายไปไหน"
"ออกไปกับรวิสราน่ะครับ ส่วนสามคนนั้นออกไปหาอาหารกับหาฟืนครับ"
ต้นหลิวตอบด้วยรอยยิ้มพร้อมถือกล่องยาเดินตามวรภพมาหยุดอยู่ตรงหน้ารุ้งพรายที่ทำหน้าบึ้งตึงใส่ ต้นหลิวหยิบผ้าพันแผลขึ้นมาถือคอยช่วยเป็นลูกมือให้กับวรภพที่กำลังทำแผลตรงข้อเท้าให้รุ้งพรายอย่างระมัดระวัง
"ข้อเท้าบวมมากเลยนะครับ ถ้ามาช้ากว่านี้อาจต้องดามเท้าเลยนะครับ" วรภพพันแผลให้อีกฝ่ายอย่าเบามือ "ข้อเท้าบวมมากไปกระแทกเก้าอี้มาหรอครับ"
วรภพถามอย่างสงสัยซึ่งรุ้งพรายกลับเชิดหน้าขึ้นอย่างถือตัว
"จะรู้ไปทำไม เป็นหมอหรอถึงมาถามคนอื่นเขาน่ะ"
"ครับผมเป็นหมอ"
วรภพตอบหน้านิ่งก่อนจะปิดพลาสเตอร์ตรงผ้าพันแผลอย่างเรียบร้อย
"เรียบร้อยแล้ว ห้ามเดินมากนะครับเดี๋ยวข้อเท้าจะบวมไปมากกว่านี้"
"ทำไมฉันต้องเชื่อฟังด้วยล่ะ"
รุ้งพรายลอยหน้าลอยตาไม่คิดจะขอบคุณซักคำแต่วรภพไม่สนกำลังจะเดินไปดูอาการของกวิตาอีกรอบแต่ต้องหยุดเดินเมื่อรุ้งพรายยืนขามากั้นเอาไว้ไม่ให้เดิน
"เดี๋ยว! นายเป็นหมอไม่ใช่หรอแล้วทำไม่มียาให้ฉันกินล่ะ แต่ฉันไม่เอาพารานะระดับฉันต้องยานอกเท่านั้น"
"ที่นี่คือป่า ผมไม่มียาพร้อมอะไรขนาดนั้นมีแต่พาราที่คุณไม่ทานน่ะครับ ผมขอตัวไปดูคนอื่นก่อน"
คำตอบของวรภพทำให้รุ้งพรายหงุดหงิดโวนวายออกมาเสียงดังลั่นด้วยความขัดใจ
"อะไรกันน่ะ กลับมานี่นะ!!!!!"
"คุณรู้สึกยังไงบ้างครับ"
วรภพเดินไปดูอาการของกวิตาที่ดูจะหนักมากที่สุดแต่ยังดีที่มีกันต์กวินและรณกรดูแลอยู่ไม่ห่าง
"ปวดหัวค่ะ"
"ผมมีแต่ยาพาราที่พอจะลดอาการปวด แต่คุณทานได้ใช่ไหมครับ"
วรภพถามกึ่งประชดคนที่นั่งมองตาเขียวมาให้ทำให้ต้นหลิว กันต์กวิน และรณกรแอบหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ส่วนกวิตาพยักหน้าอย่างอ่อนแรง
"ทานได้ค่ะ"
"คุณต้นหลิวช่วยหยิบยาพาราในกระเป๋าให้คนไข้ทานทีครับ"
"ครับ~"
ต้นหลิวหยิบยาพารามายื่นให้กวิตาที่รับมาทานทันที วรภพยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูเหมือนที่หมอทุกคนยิ้มให้คนไข้
"ถ้างั้นพักผ่อนก่อนนะครับ จะได้หายป่วย"
"ขอบคุณค่ะ"
กวิตาพยักหน้ารับแล้วล้มตัวลงนอนเพื่อจะพักผ่อน ซึ่งต้นหลิวกำลังเก็บยาลงในกระเป๋าก็ได้ยินเสียงหวานที่คุ้นเคยเรียกมาจากอีกด้านหนึ่ง
"ต้นหลิวคะ~"
ต้นหลิวแอบถอนหายใจแต่ยอมเดินกลับไปหาวณิชชาที่กำลังส่งยิ้มมาให้อย่างยั่วยวนและเอาใจ
"ต้นหลิวคะ~ ไวซ์คิด..."
"หายเจ็บรึยัง"
ต้นหลิวขัดขึ้นมาทั้งที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบทำให้วณิชชาชะงักไปเล็กน้อย
"ต้นหลิวคะ..."
"ถ้าไม่มีอะไรผมขอตัวก่อนนะ"
ต้นหลิวทำเป็นเมินเฉยพร้อมเดินหนีไปนั่งข้างวรภพทำให้วณิชชากำมือแน่นด้วยความแค้นใจ
******************