คำสาปร้าย พ่ายรัก
บทที่ 25
ธราเทพผวาจากหลับใหลในทันทีที่ถูกผลักแล้วก็มีน้ำหนักตัวมิใช่น้อยถาโถมเข้ามาทาบทับเขาลืมตา
อย่างตกใจก็พบกับดวงตาแดงก่ำที่เบิกโพลงรอเขาอยู่แล้ว
สิงหาที่ไม่เหมือนสิงหา
แววตาที่มองมายังเขามันเหมือนมองใครอีกคนที่มีเงาซ้อนทับกันอยู่ แววตาคู่นั้นเกรี้ยวกราด
แค้นเคือง ราวกับเปลวไฟที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกอย่างให้เป็นจุล
“พี่สิงห์เป็นอะไร อ๊ะ …อย่า…”
ธราเทพเบิกตากว้างเมื่อร่างที่ร้อนระอุไปทั่วอณูขุมขนทิ้งน้ำหนักตัวลงมาบดริมฝีปากไปบนเรียวปากของเขา
ริมฝีปากที่ร้อนรุ่มกดลงไปอย่างดุดัน ทั้งขบทั้งเม้มด้วยแรงกายที่ธราเทพสู้ไม่ไหวแม้ว่าเขาเพียรพยายาม
ที่จะออกแรงผลักดันร่างแกร่งของสิงหา แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ผลอะไรเลย
สิงหาเลื่อนตัวลงไปเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ซอกคอ ธราเทพถึงกับสะดุ้งเฮือกทุกครั้งที่ปลายฟันคม
ถูไถไปกับเนื้ออ่อน
“พี่สิงห์ปล่อย ปล่อยนะ ผมเจ็บ”
ธราเทพส่งเสียงประท้วง ริมฝีปากที่เป็นอิสระแดงเห่อไปกับการกระทำของสิงหาแข่งกับรอยแดงตามเนื้อตัว
ที่ถูกย่ำยี เสื้อยืดตัวบางถูกกระชากจนติดมือขาดวิ่น รวมทั้งกางเกงนอนที่ธราเทพสวมใส่ก็หลุดออกจากร่าง
อย่างไม่มีชิ้นดี ดวงตาแดงก่ำคู่นั้นจ้องมองเรือนร่างขาวโพลนที่สั่นระริกด้วยความหวาดกลัวใต้ร่าง
แล้วกระตุกยิ้มออกมา
“คนหลอกลวง ข้าจะแก้แค้นอย่างสาสมกับทุกสิ่งที่เจ้ากระทำให้ข้าเสียใจ”
“พี่สิงหา ผมขอร้อง ได้โปรด อย่า…”
สิงหาไม่สนใจธราเทพที่วอนขอจนแทบจะยกมือไหว้ เขากดไหล่คู่นั้นแล้วดึงเสื้อผ้าของตัวเองออก
จนเปลือยเปล่า มือแกร่งบีบคางธราเทพจนหน้าบูดเบี้ยว
“บังอาจมาขอร้อง แล้วตอนที่ทำร้ายข้าและพ่อตัวเอง เจ้าเคยฟังคำร้องขอจากใครหรือไม่ ราโมส
วันนี้แหละที่ข้าจะทำให้เจ้ารู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดที่ข้าเคยมี”
“มะ ไม่ พี่สิงห์ ผมคือวิน ไม่ใช่ราโมส พี่สิงห์ตั้งสติหน่อย อ๊ะ…”
แม้จะเพียรเตือนสติแต่ก็ไม่ได้ผล ธราเทพอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกโพลงเมื่อร่างกายของเขาถูกสิงหา
แทรกกายเข้ามาอย่างรวดเร็วและดุดัน ความเจ็บแปลบแล่นวาบตลอดร่าง น้ำตาหยาดหยดจากหางตา
ไหลลงมาเปียกอยู่ที่ไรผมไม่ขาดสาย
ธราเทพหมดแรงที่จะต้านทาน ได้แต่สะอื้นสลับกับส่งเสียงร้องครางออกมาปล่อยให้สิงหาชำเราจนสาแก่ใจ
แล้วจึงปล่อยให้เขานอนร้องไห้อย่างเจ็บปวดทั้งกายและใจ
“เจ้าวินเป็นอย่างไรบ้าง”
ธราเทพลืมตาขึ้นมาด้วยเสียงเรียกปรานีที่คุ้นหูมาตลอดชีวิต เมื่อลุกขึ้นมองก็เห็นร่างสูงอายุ
ที่ห่มจีวรสีเหลืองเย็นตายืนอยู่ไม่ไกลนัก
“หลวงพ่อ”
หนุ่มน้อยร้องเรียกอย่างยินดี พลางลุกขึ้นวิ่งไปหาแล้วก้มกราบแทบเท้าก่อนที่จะกอดขาของ
ผู้ที่เลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่ด้วยความคิดถึง น้ำตาของธราเทพไหลลงมาอย่างปลาบปลื้ม
เมื่อหลวงพ่อลูบผมเขาอย่างอ่อนโยนเหมือนเช่นทุกครั้ง
“ผมสบายดีครับ แต่บางครั้งก็ไม่สบายใจ เหมือนผมจะมีอดีตที่เลวร้ายอยู่ที่นี่”
หลวงพ่อทอดสายตามองอย่างอ่อนโยน
“จำคำที่หลวงพ่อเคยสอนได้ไหม ทำอะไรต้องอดทนและมีสติพิจารณาไตร่ตรอง”
ธราเทพถอนใจ
“แล้วสาเหตุของเรื่องล่ะครับ หลวงพ่อเคยสอนเสมอว่าถ้ามีปัญหาให้แก้ที่สาเหตุ
แต่นี่ผมยังหาสาเหตุไม่ได้เลย”
“บางครั้งสาเหตุมันก็ลึกเกินกว่าที่จะค้นหากันได้ง่ายๆ แต่เจ้าก็จะหามันจนพบ
ถ้าตั้งใจมั่นจำที่หลวงพ่อสอนให้นั่งสมาธิได้ไหม”
ธราเทพพยักหน้ารับ
“ตั้งจิตให้มั่น ทำใจให้มีสมาธิ ปัญหาทุกอย่างจะคลี่คลายได้ รวมทั้งเรื่องของคนรักเจ้าด้วย”
หนุ่มน้อยเบิกตากว้าง ผิวหน้าแดงเรื่อ
“หลวงพ่อทราบเรื่องนี้ด้วยหรือครับ”
“จิตของเจ้าสองคนผูกพันกันมานาน แต่ก็เป็นเพราะเรื่องในอดีตที่ยังแก้ไม่ได้นั่นแหละ
อดทนกับเขาให้มากๆ ตอนนี้เขายังไม่ปกตินักหรอกมีบางอย่างที่ยังคงครอบงำจิตของเขาไว้อยู่
ลองชวนเขานั่งสมาธิดูนะอาจจะช่วยได้หลวงพ่อต้องไปละ อย่าลืมนะ อดทนและมีสติ”
ธราเทพก้มลงกราบแทบเท้า เมื่อเงยหน้าขึ้นมาชุดจีวรก็หายลับไป
“หลวงพ่อครับ หลวงพ่อ”
ธราเทพลืมตาตื่นพลางมองหาพระภิกษุอันเป็นที่รัก ก่อนที่จะทอดถอนใจเมื่อรู้ว่านั่นคือความฝัน
ตอนนี้เขาอยู่กับปัจจุบันที่เจ็บปวด เมื่อมองเห็นคนที่นอนเคียงข้างยังคงหลับใหล
ธราเทพขยับตัวอย่างร้าวระบม แล้วย่องลงจากเตียงเดินตรงเข้าห้องน้ำ
ร่างบางมองเงาที่สะท้อนอยู่ในกระจก เนื้อตัวเปล่าเปลือยเต็มไปด้วยร่องรอยที่สิงหาทิ้งไว้
ทั้งริมฝีปากที่บวมเห่อ ทั้งรอยฟันที่ซอกคอและตามเนื้อตัวเนียน ธราเทพได้แต่มองตัวเองอย่างอเน็จอนาถ
อดทนและมีสติ
หลวงพ่อเตือนเขาไว้ ธราเทพยังนึกแปลกใจที่อยู่ๆ ความสัมพันธ์ระหว่างสิงหากับเขาที่ดีขึ้น
มันกลับแย่ลงไปเพียงชั่วข้ามคืน มันอาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ในความเปลี่ยนแปลงนั้นก็ได้
เขาใช้น้ำอุ่นชะล้างไปทั่วตัวเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด จนเมื่อรู้สึกดีขึ้นจึงได้เดินออกไป
จากห้องน้ำ แล้วก็เห็นว่าสิงหาตื่นนอนแล้ว ร่างสูงอยู่ในเสื้อคลุมตัวบางยืนอยู่ที่ระเบียงด้านนอก
ทอดสายตามองพระอาทิตย์ยามเช้าที่ฉายฉานแสงสีส้มทองอยู่ที่ริมขอบฟ้า
จนเมื่อดวงไฟลูกโตสาดแสงเต็มดวง เขาจึงได้ก้าวกลับเข้ามาในห้องเพื่อที่จะมายืน
ทอดสายตามองธราเทพแทน
หนุ่มน้อยถอยหลังกรูดเมื่อสิงหาย่างก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาหวานดั่งเนื้อทรายเหลือบมอง
อย่างไม่ไว้วางใจ ความตระหนกกับเหตุการณ์ที่ผ่านมายามราตรียังไม่คลายไปจากหัวใจ
แต่ก็หนีไม่พ้นเมื่อสิงหาก้าวมาแค่ก้าวเดียวก็คว้าเอวคอดไว้ได้ เขาตรึงธราเทพจนลำตัวแนบชิดกัน
แล้วใช้อีกมือเชยคางให้ธราเทพหันมาสบตากับเขา
ดวงตาคู่นั้นเรียบเฉยแต่คล้ายมีแววเยาะหยันลึกๆ เมื่อมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความน้อยใจตัดพ้อ
จากธราเทพ เขาใช้สายตากวาดละไปตามเนื้อตัวที่มีผลงานของเขาประจักษ์ชัดเป็นหลักฐาน
“ปล่อยผม”
ธราเทพเปล่งเสียงคำแรกออกมา
“ถ้าเกลียดกันนักก็ปล่อยผม จะทนเหม็นขี้หน้าอยู่ด้วยกันทำไม”
ดวงตากร้าวของสิงหามองตรงมาที่เขาจนธราเทพใจหาย มือที่เชยคางไว้บีบแน่นจนหนุ่มน้อยหน้าเสีย
“นี่ยังคิดว่าตัวเองมีสิทธ์เรียกร้องงั้นหรือ”
คิ้วเข้มที่พาดเฉียงเหนือดวงตาเลิกขึ้นอย่างเย้ยหยัน
“นายเป็นของฉัน สิทธิในการเรียกร้องเท่ากับศูนย์”
สิงหาดึงใบหน้าเรียวเข้ามาจนใกล้ เขาเห็นเรียวปากที่บวมเห่อแล้วแต่เขาก็ยังกดริมฝีปากของเขา
ซ้ำลงไปตรงนั้นอย่างหนักหน่วงตอกย้ำกับคำพูดประโยคเมื่อครู่ ธราเทพเจ็บแปลบจนสะดุ้ง
แต่นั่นก็ยังไม่เท่าเจ็บที่ใจ ความร้อนชื้นแล่นเข้าสู่โพรงจมูกเมื่อธราเทพพยายามกลั้นน้ำตา
ธราเทพสะบัดตัวเต็มแรงจนหลุดออกมาจากการยึดเหนี่ยวของสิงหาจนได้เขาผวาไปที่ประตูห้อง
เตรียมที่จะพุ่งตัวออกไปเมื่อมือจับลูกบิดประตู แต่แล้วเขาก็แทบหงายหลังเมื่อสิงหาตามมา
คว้าท่อนแขนของเขาไว้ได้อย่างรวดเร็ว
สิงหาดันร่างที่บางกว่าให้ถอยหลังจนไปชนกับผนังห้องเสียงดังพลัก ก่อนที่เขาจะตามเข้ามา
ใช้มือที่แข็งราวกับคีมเหล็กบีบคางเรียวไว้ โดยไม่สนใจว่าคนถูกกระทำจะเจ็บปวดแค่ไหน
เมื่อบังคับให้ใบหน้านั้นเงยขึ้นมาสบตากับดวงตาที่คุโชนราวกับพายุลูกโตเขาก็ยื่นหน้าไปใกล้
แล้วตะคอกใส่หน้า
“นายไม่มีสิทธ์ที่จะหนี ถ้าฉันสั่งว่าไม่ ต่อให้นายมีปีกก็บินหนีไม่ได้”
ธราเทพสบตาคู่นั้นด้วยความแค้นเคือง อยากที่จะสะบัดหน้า ดันร่างที่หนากว่าให้พ้นแล้วหนีหาย
ไปจากการบังคับขู่เข็ญ แต่เขาก็รู้ว่ามันทำไม่ได้
เพราะสิงหาจะตามหาเขาจนพบ และเขาอาจจะถูกลงทัณฑ์ทั้งกายและใจ
คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วยเถิด เขาอยากจะรู้นักว่าชาติที่แล้วเขาไปทำอะไรให้สิงหาแค้นเคืองมาถืงชาตินี้
แม้ร่างกายจะยังไม่พร้อมแต่สิงหาก็ลากธราเทพมาที่ปิรามิดจนได้
ความเปลี่ยนแปลงของสิงหาชัดเจนจนแม้แต่วาโยผู้เป็นเพื่อนสนิทก็มองออก
เขามองมาที่ลูกศิษย์สลับกับสิงหาอย่างเป็นห่วงแต่ก็ยังไม่ได้พูดอะไรมากตลอดทาง
ที่ขับรถมาด้วยกันจนกระทั่งถึงปิรามิดแล้วสิงหาลากธราเทพให้เข้าไปในเต็นท์เก็บของนั่นแหละ
วาโยกับภูหิรัณย์จึงได้ถือโอกาสเข้าไปหาเมื่อสิงหาเข้าไปในปิรามิดแล้ว
“ไอ้วิน แกกับไอ้สิงห์เป็นอะไรกันวะ”
อาจารย์ถามลูกศิษย์ด้วยความเป็นห่วง เมื่อธราเทพได้ยินน้ำตาก็รื้นขึ้นมาอีกครั้ง
เขาตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้วาโยและภูหิรัณย์ฟังไม่เว้นแม้แต่เรื่องที่เขาถูกสิงหาทำร้าย
ทั้งร่างกายและจิตใจเมื่อคืนที่ผ่านมา อาจารย์หนุ่มและเพื่อนสนิทได้แต่มองเขาอย่างเห็นใจ
“น่าแปลกที่ผมรับรู้เรื่องราวในอดีตมาจนถึงแค่มาอีถูกจับและถูกโบย หลังจากนั้นก็เหมือนมันจะช็อต
เอาดื้อๆ ผมจึงยังไม่รู้ว่าเรื่องราวต่อจากนั้นมันเป็นอย่างไร ทำไมพี่สิงห์ถึงได้แค้นผมนักหนา”
ธราเทพกล่าวเสียงขื่น
วาโยขมวดคิ้วเมื่อรับรู้เรื่องราวที่เขาไม่อยากจะเชื่อ แต่มันก็เกิดขึ้นมาแล้ว เรื่องราวข้ามชาติข้ามภพ
ที่เขานึกว่ามีแต่นิยาย แต่มันกลับเกิดขึ้นจริงกับเพื่อนและลูกศิษย์
“เราต้องช่วยกันสืบหาที่มาให้ได้ ว่าเกิดอะไรขึ้น”
วาโยตัดสินใจ ธราเทพใจชื้นขึ้นเมื่อเขามีคนช่วยคิด
“ส่วนแก ไอ้วิน อย่าเพิ่งโกรธเกลียดอะไรไอ้สิงห์มันเลย อาจารย์ว่าเพื่อนของอาจารย์มันเปลี่ยนไป
มันดูไม่เป็นตัวของตัวเอง พวกเราต้องช่วยกันสืบแล้วทำให้ไอ้สิงห์กลับมาเป็นเหมือนเดิม”
วาโยปลอบโยนก่อนที่จะขอตัวออกไปทำงานกับภูหิรัณย์ต่อ
สิงหายังคงพาธราเทพมาที่ปิรามิดทุกวันแต่กลับไม่ยอมให้ออกไปทำงาน ได้แต่ให้ธราเทพเฝ้าอยู่ใน
เต็นท์เก็บของที่ติดเครื่องปรับอากาศไว้เพียงแค่นั้น เมื่อเวลาผ่านไปหลายวันเข้า
อารมณ์ปะทุของสิงหาก็ดูจะเบาบางลงแต่ก็ยังไม่ได้ดีขึ้นเสียทั้งหมด ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่
จึงยังดูเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย
หนุ่มน้อยนึกถึงคำที่หลวงพ่อมาบอกกล่าวในฝัน “สมาธิ” หลวงพ่อบอกอย่างนั้น
ในเวลาที่ไม่รู้จะทำอะไรที่นอกเหนือไปจากบันทึกชิ้นงานที่แผนกขุดหาสมบัติหามาได้
เขาจึงใช้เวลานั้นฝึกนั่งสมาธิแต่ทุกอย่างยังดูมืดมน
แต่วันนี้เขาไม่ได้นั่งสมาธิ เพราะอยู่ๆ วริษฐาก็เดินเข้ามาในเต็นท์หลังจากที่หายหน้าไปหลายวัน
“อ้าว ไอ้ก้อย”
ธราเทพยิ้มเฝื่อนให้เพื่อนสาว หลังจากวันนั้นที่วริษฐามาบอกความในใจ เขาก็ยังไม่ได้พบหน้าเพื่อนอีก
“เป็นไงบ้าง ไม่เห็นหน้าหลายวันเลย”
“ฉันสิ ต้องถามแกว่าเป็นไงบ้างวิน”
วริษฐาตรงเข้ามายืนต่อหน้าเขา ดวงตาคู่นั้นอ่อนเชื่อมเมื่อสบตา
“ฉันคิดถึงแกนะวิน คิดถึงตลอดเวลา แกล่ะคิดถึงฉันบ้างไหม”
ธราเทพรู้สึกลำบากใจเมื่อมองหน้าเพื่อน ยิ่งเมื่อรู้ว่าวริษฐาคิดกับเขาเกินกว่าความเป็นเพื่อน
ธราเทพไม่รู้จะวางตัวอย่างไรดี
“เอ่อ …ก็คิดสิ ฉันก็ต้องคิดถึงเพื่อนเป็นธรรมดา”
“แกผอมลงนะวิน”
วริษฐาก้าวเข้ามาใกล้จนตัวห่างจากธราเทพเพียงไม่กี่คืบ หญิงสาวเอื้อมมือมาลูบไล้ที่ใบหน้า
ของธราเทพจนเขาตกใจที่วริษฐากล้าทำแบบนี้
“ฉันเป็นห่วงแกนะ แกก็รู้แล้วนี่ว่าฉันคิดยังไงกับแก”
“ก้อย แต่ฉันเห็นแกเป็นแค่เพื่อนว่ะ”
ธราเทพตัดสินใจโพล่งออกไป วริษฐาชะงัก ใบหน้าเผือดลงเมื่อได้ยิน
“ฉันขอโทษนะก้อย แต่ฉันคงรับน้ำใจแกไว้ไม่ได้จริงๆ เราเป็นเพื่อนกันจะดีกว่านะ”
“เป็นเพราะแกชอบผู้ชายด้วยกันใช่ไหมวิน”
วริษฐาเป็นฝ่ายโพล่งออกมาบ้าง น้ำตาที่รื้นในหน่วยตาไหลลงมาจนธราเทพหน้าเสีย
“แกรู้เหรอก้อย”
“ตาฉันไม่ได้บอด ถึงดูไม่ออกว่าแกกับพี่สิงห์น่ะ มันมีอะไรผิดปกติ หึหึ… เขาทำให้แกติดใจสินะ”
วริษฐาทำสิ่งที่ธราเทพนึกไม่ถึง หล่อนคว้าท้ายทอยของธราเทพไว้เบียดตัวจนแนบชิดแล้วมองอย่างท้าทาย
“แกลองกลับมาหาผู้หญิงอย่างฉันสิ ฉันจะทำให้แกลืมพี่สิงห์ให้ได้”
วริษฐาโน้มคอธราเทพลงมาแล้วเบียดริมฝีปากเข้าไป พลางดันอกนุ่มเข้าไปชิดจนธราเทพตกใจ
เขาพยายามจะผลักตัววริษฐาออก แต่หล่อนก็ยึดตัวเขาไว้เหนียวหนึบ
แล้วจู่ๆ ก็มีใครบางคนกระชากตัวเขากับวริษฐาออกจากกัน เมื่อเขาหันไปมองหัวใจของเขา
ก็หล่นวูบเมื่อเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยโทสะคู่นั้น