ตอนที่ 8
“ต่อให้ไม่ว่างฉันก็จะมาอยู่ดี...”
เสียงเอ่ยที่ดูเหมือนจะทุ้มนุ่มกว่าเคยสะกดให้กานต์รักนิ่งงันอยู่ในอ้อมแขนของอีกคนราวกับต้องมนต์ ในหัวลืมไปซึ่งทุกสิ่ง ลืมแม้กระทั่งว่าที่นี่คือร้านของตนซึ่งมีคนอยู่รอบๆไม่น้อย
แม้โต๊ะนี้จะอยู่มุมสุดหากแต่มันก็ยังเสี่ยงต่อการมองเห็น เมื่อสติค่อยๆกลับมาร่างบางจึงขยับตัวออกโดยที่อีกคนก็ยินยอมคลายอ้อมกอดอย่างง่ายดาย
“นายทำให้ฉันติดขนม” คนพูดทอดมองใบหน้าหวานของคนที่นั่งอยู่ข้างตัว มือบางบีบถาดขนมบนตักแน่นจนเกรงว่านิ้วเล็กๆนั่นจะเจ็บ ความประหม่าที่กานต์รักเก็บเอาไว้ไม่มิด
“...ขอโทษครับ” กานต์รักเอ่ยเสียงแผ่วทั้งยังไม่กล้าสบนัยน์ตาคมตรงๆ ประโยคก่อนหน้านั้นยังคงดังไปมาในหัว แม้จะพยายามบอกตัวเองว่าที่คุณแพทริกมาที่นี่เพราะติดขนมผีมือตัวเองทว่าใจดวงน้อยกลับยังอดเต้นแรงด้วยความสั่นไหวไม่ได้
แพทริกมองร่างบางนิ่งก่อนจะหันกลับไปหยิบช้อนเล็กๆแล้วตักขนมที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมาชิม หากเขายังคงจับจ้องที่อีกคนอยู่อย่างนี้กานต์รักคงนั่งเกร็งไม่ยอมหันมาคุยกันง่ายๆ
“อร่อย” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเมื่อลองทานขนมชิ้นแรก คำที่ได้ยินเรียกให้คนทำค่อยๆหันกลับมามอง
“อันนี้เป็นซิกเนเจอร์ของทางร้านเราครับ มีขายวันละจำกัดแล้วก็เป็นขนมที่พรีเมียมมาก...เราใช้ช็อกโกแลตที่ทำจากผงโกโก้ซึ่งขึ้นชื่อว่าดีที่สุด รสชาติจึงไร้ที่ติและหาทานที่ไหนไม่ได้อีก”
กานต์รักเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ หลงลืมความขัดเขินจนหมดสิ้นยามกล่าวถึงสิ่งที่ทำด้วยความรักและความตั้งใจของตน ใบหน้าหวานทอประกายอ่อนโยนเสียจนคนมองไม่อาจละสายตา
กานต์รักไม่อยากบอกเลยว่าขนมชิ้นนี้นั้นเขาตั้งใจเก็บไว้ให้พี่ชายซึ่งจะแวะเวียนมาเยี่ยมในคืนวันนี้ เพียงแค่เห็นคนตัวโตปรากฏอยู่ตรงหน้าก็อดใจอยากให้ลองทานไม่ได้
“โชคดีที่ฉันได้กินสินะ...แล้วทำไมไม่ทำขายให้มันเยอะๆ”
“เพราะต้นโกโก้ที่ใช้ทำช็อกโกแลตหลงเหลืออยู่จำนวนไม่มากแล้วครับ ในแต่ละต้นก็มีอายุเป็นร้อยๆปีจึงต้องเก็บเกี่ยวผลโกโก้ไว้ในจำนวนจำกัด ช็อกโกแลตเลยมีจำนวนจำกัดมากขึ้นไปอีก”
คนฟังพยักหน้ารับให้กับความรู้ใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน การจะทำขนมแต่ละชิ้นต้องคัดสรรถึงขนาดนั้นเชียวหรือ พอได้ฟังแล้วจึงเข้าใจว่าทำไมร้านของกานต์รักถึงมีชื่อเสียง เพียงแค่ส่วนผสมก็พิถีพิถีถันกันขนาดนี้แล้วขั้นตอนอื่นๆคงไม่ต้องพูดถึง
“แล้วชิ้นอื่นล่ะ”
“อันนี้...” เสียงอ่อนหวานค่อยๆพูดเรื่องราวของขนมทั้งหมดตรงหน้าไปเรื่อยๆ ดวงตาใสทอประกายจนแพทริกสัมผัสได้ชัดเจนว่าอีกคนมีความสุขและรักในสิ่งนี้แค่ไหน
“มีชิ้นเดียวแหละครับที่ราคาสูงหน่อย ที่เหลือเราเลือกใช้วัตถุดิบพรีเมียมซึ่งราคาสามารถจับต้องได้ เพื่อให้ไม่ว่าใครก็สามารถทานขนมอร่อยๆในราคาที่ไม่แพงมากนัก”
เสียงหวานเอ่ยเจื่อยแจ้วให้ฟังอย่างรื่นหู เมื่อบรรยายขนมทุกชิ้นเรียบร้อยก็ตบท้ายด้วยรอยยิ้มกว้าง
“อะ...ขอโทษนะครับ ผมลืมหยิบน้ำมาให้เสียสนิทเลย คุณแพทจะรับเป็นน้ำเปล่าหรือน้ำชาดีครับ” ตอนเห็นอีกคนยืนอยู่ตรงหน้านั้นสมองมันมึนเบลอไปหมดจนแทบไม่ทำงาน คนตัวสูงก็ไม่ได้สั่งจึงลืมไปว่าต้องนำมาเสิร์ฟ
“น้ำชา”
“รับชาอะไรดีครับ”
“แล้วแต่นายแล้วกัน” กานต์รักพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะเดินกลับมายังเคาท์เตอร์แล้ววางถาดในมือลง พนักงานทั้งหลายที่แอบดูเจ้านายอยู่จึงต้องรีบสลายตัวอย่างรวดเร็ว แม้แต่มินเองยังต้องแสร้งไปรับออร์เดอร์เพราะกลัวโดนจับได้
ทุกอย่างระหว่างทั้งสองนั้นตกอยู่ในสายตาของคนโดยรอบทั้งสิ้น แน่ล่ะเมื่อผู้ชายตัวโตเดินเข้าร้านขนมมาแบบนี้จะไม่ให้เป็นที่สนใจได้อย่างไร
ใบหน้าคมหล่อเหลาเสียจนคนมองใจสั่น ยิ่งยามเจ้าของร้านหน้าหวานเดินเอาขนมไปเสิร์ฟยิ่งเพิ่มความสนใจมากขึ้นไปอีก บรรยากาศระหว่างทั้งสองนั้นแม้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเคยรู้จักกันมาก่อน
“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ” ใบหน้าหวานของกานต์รักเอียงลงน้อยๆอย่างสงสัยเมื่อทุกคนมองมาที่ตนอย่างไม่วางตา
“ปะ เปล่าค่ะ/ครับ” พนักงานทุกคนเอ่ยตอบระรัวอย่างมีพิรุธ ยามกานต์รักหันไปหาผู้จัดการร้านอีกคนก็ยิ้มแหยๆส่งมาให้
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณรัก...แล้วนี่คุณรักเดินมาจะทำอะไรหรือเปล่าคะ” ผู้จัดการร้านแสร้งเบี่ยงความสนใจไปยังประเด็นอื่น
“อ้อ รักจะมาชงชาครับ” กานต์รักเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มก่อนจะขยับตัวเข้าไปยังที่สำหรับชงน้ำชา พนักงานหลายคนได้แต่เมียงมองมาอย่างอยากรู้แต่เรื่องของเจ้านายใครจะกล้าละลาบละล้วง
แต่ถึงกระนั้นภาพนักธุรกิจที่หล่อล่ำสุดๆดึงรั้งคนตัวเล็กให้ถลานั่งลงข้างตัวก็บ่งบอกความใกล้ชิดเสียต่อมความอยากรู้ทำงาน
เมื่อกานต์รักชงชาเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับมายังโต๊ะตัวเดิม ขนมที่นำมาเสิร์ฟก่อนหน้าถูกจัดการจนหมดเกลี้ยง
“น้ำชาครับ” มือบางวางแก้วลงตรงหน้าก่อนจะขยับไปนั่งฝั่งตรงข้ามด้วยกลัวว่าจะถูกรั้งให้ลงไปนั่งข้างๆอีก ไม่ใช่อะไรหากแต่เป็นเพราะขัดเขินจนกลัวจะแสดงท่าทีแปลกๆออกไป แค่ได้นั่งมองอีกคนอย่างนี้กานต์รักยังแทบทำตัวไม่ถูก ทั้งตื่นเต้นและดีใจผสมปนเปกันไปหมด
แพทริกยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปากจนกลิ่นหอมอ่อนของใบชาลอยเข้าจมูก รสชาติหอมละมุนที่ได้รับทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อ
“อีกซักหน่อยฉันคงต้องกลับแล้ว” แค่นี้ก็ถือว่าอู้งานมาหลายชั่วโมง แซมและโจเซฟส่งสัญญาณมาตามให้รีบกลับจนนึกรำคาญใจหากแต่จะให้ทิ้งงานก็เป็นไปไม่ได้
กานต์รักชะงักไปชั่วครู่ยามได้ยินว่าอีกคนจะต้องกลับ ใจดวงน้อยวูบโหวงเสียจนต้องสูดหายใจเข้าลึกเพื่อทำให้มันสงบลง
มันเรียกความรู้สึกนี้ว่าอะไรนะ...อาลัยใช่ไหม
กานต์รักกำลังรู้สึกอย่างนั้น แม้รู้ดีว่าตัวเองไม่มีสิทธ์จะดึงรั้งหรือร้องขอให้อีกคนมาหาทว่าใจยังเรียกร้องอยากเจอ หากแต่ก็ทำได้เพียงรู้สึกอยู่ในใจเท่านั้น แค่วันนี้คุณแพทริกแวะมาทานขนมที่ร้านเขาก็ดีใจมากแล้ว
อยากให้คนตัวสูงมาอีกแต่ว่าอีกคนคงไม่ได้ว่างขนาดนั้น แล้วคนระดับแพทริกไม่จำเป็นต้องมาที่นี่เองเลยด้วยซ้ำไป
“นี่ค่าขนม” บัตรเครดิตที่มีเพียงไม่กี่ใบในโลกถูกวางลงตรงหน้ากานต์รัก เพราะเป็นคนที่ไม่ค่อยพกเงินสดนักจึงไม่มีธนบัตรติดตัว ทั้งตัวแพทริกมีแค่บัตรใบนี้ใบเดียวเนื่องจากออกมาด้วยความความรีบร้อน
“ซักครู่นะครับ” เรือนร่างบางส่งยิ้มฝืดเฝื่อนให้คนตรงข้ามก่อนจะหยิบบัตรแล้วนำไปทำรายการตรงเคาท์เตอร์ แพททริกมองตามกระทั่งอีกคนเดินกลับมานำสลิปให้เซ็นต์ มือหนาจับปากกาแล้วตวัดเขียนลงไปอย่างรวดเร็ว
“โอกาสหน้าเชิญใหม่นะครับ” กานต์รักเอ่ยบอกอย่างที่เคยพูดกับลูกค้าทุกคน หากแต่ครั้งนี้ทำไมกลับรู้สึกว่ามันพูดยากกว่าทุกครั้ง
แพทริกขยับตัวลุกขึ้นยืนจนคนเตี้ยกว่ามากโขต้องเงยหน้าขึ้นมอง ร่างสูงก้าวเท้าหนึ่งก้าวมายืนตรงหน้า ก่อนจะทันได้เอ่ยถามอะไรริมฝีปากร้อนก็ฉกวูบลงมาอย่างรวดเร็วแล้วผละออก
“แล้วฉันจะมาใหม่” ริมฝีปากได้รูปขยับยกยิ้มเมื่อเห็นเจ้าของร้านแน่นิ่งไปสนิท แพทริกอยากจะกดจมูกลงไปบนแก้มนุ่มอีกซักทีหากแต่เพราะสายตาของคนทั้งร้านที่กำลังมองมาทำให้ไม่สามารถทำได้อย่างใจนึก ดวงตาคมกวาดมองใบหน้าหวานอีกครั้งก่อนจะขยับตัวเดินออกไป
“คุณแพทครับ!” ร่างเล็กที่พึ่งได้สติวิ่งตามออกมาขณะมือหนากำลังจะเปิดประตูรถ แพทริกหันกลับมาตามเสียงเรียกจากทางด้านหลังก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อเห็นอีกคนมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“สัญญาแล้วนะครับ”
“?”
“แล้วมาอีกนะครับ...
รักจะรอ” กานต์รักหลับหูหลับตาพูดรัวเร็วก่อนจะรีบวิ่งกลับเข้าไปในร้านทันทีที่พูดจบ แพทริกมองตามแผ่นหลังเล็กนั้นนิ่งก่อนหัวใจที่เคยเต้นอย่างสงบจะเต้นถี่รัวขึ้น
ให้ตายเถอะ...ต่อให้พรุ่งนี้ไม่ว่างยังไงเขาก็ต้องมาให้ได้สินะ
❋❋❋❋❋❋❋❋❋❋
นึกไปถึงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาซึ่งแพทริกพยายามใช้ชีวิตอย่างที่เคย อยากจะแน่ใจว่าตัวเองรู้สึกยังไงกับกานต์รักระหว่างแค่หลงใหลหรือมากกว่านั้น เวลาเพียงเท่านี้แปรเปลี่ยนหัวใจที่ไม่เคยสั่นไหวกับใครได้จริงๆหรือ
กระทั่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่เขากลับยิ่งพบว่าความรู้สึกบางอย่างในใจที่มีต่ออีกคนนั้นมันไม่เป็นปกติ แม้จะพยายามไม่นึกถึงแต่กลับยิ่งนึกถึง ใบหน้าหวาน รอยยิ้มอ่อนละมุน ท่าทางเรียบเรื่อยอ่อนโยน ทุกอย่างสลักอยู่ในห้วงความคิดอย่างไม่อาจลบเลือนได้
จนกระทั่งโจเซฟชี้นำจึงได้รู้ความรู้สึกของตัวเองชัดเจนขึ้นและรู้ว่าควรเริ่มต้นจากตรงไหน ที่หงุดหงิด ที่เบื่อทุกอย่างนั้นมันมากจากกานต์รักทั้งสิ้น จวบจนวินาทีนี้แพทริกไม่สนใจแล้วว่าอีกคนจะเป็นใครมาจากไหน ยังไงเขาจะต้องทำให้กานต์รักมาเป็นของเขาให้ได้
“ได้กินขนมแล้วดูอารมณ์ดีนะครับ...เป็นเพราะขนมหรือว่าเป็นเพราะคนทำกันแน่”
“ไม่ต้องมาแซวฉันหรอกโจเซฟ เพราะมันเป็นความจริงฉันไม่เถียง”
“ว๊าว นายยอมรับหน้าตาเฉยเลยว่ะเจฟ” แซมแสร้งทำหน้าประหลาดใจพร้อมทั้งส่งสายตาล้อเลียนมาให้ผู้เป็นนาย
“อยากจะตัดภาพไปเมื่อสองสามวันก่อนจริงๆ” แม้แพทริกจะทำเป็นไม่สนใจไม่พูดถึงหากแต่ยังสั่งให้คนไปจับตามองที่ร้านตลอด ยิ่งพอรู้ว่ากานต์รักกลับมาดูแลร้านแล้วยิ่งสั่งให้รายงานข่าวบ่อยๆ ถึงอย่างก็ยังทำเป็นปากแข็งว่าไม่ได้คิดอะไรจนตัวเองทนไม่ไหว
ทุกคนเขารู้ไปถึงไหนต่อไหนแล้วมีแต่เจ้าตัวนั่นแหละที่ไม่รู้
“ออกไปกินขนม กลับมาแล้วหน้าตาดูอิ่มเอิบเหลือเกิน” คนโดนแซวยังคงทำเพียงนั่งนิ่ง มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยอย่างอารมณ์ดีโดยไม่สนว่าลูกน้องทั้งสองจะเอ่ยแซวอะไร อยากแซวนักก็ปล่อยให้แซวไป
“ทำมาเป็นอยากกินขนม อยากกินคนทำน่ะสิไม่ว่า”
“ฉันว่าที่บอกเลิกแม่ดาราสาวนั่นก็ไม่ใช่เพราะเธอให้ข่าวหรอก แต่เป็นเพราะใครบางคนต่างหาก”
“นั่นน่ะสิ”
“แซม โจเซฟ!” เสียงเรียกที่เอ่ยขึ้นทำให้คนทั้งสองต้องเงียบลงเมื่อเจ้านายทำหน้าจริงจังเสียคิดว่าไม่ควรล้อเล่นอีกต่อไป
“พวกแกสองคนว่ากานต์รักจะเห็นข่าวไหม” หากแต่ประโยคที่เอ่ยออกกลับทำให้แซมและโจเซฟหันมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ
“อะไรนะครับ”
“ข่าวที่เดซี่ให้สัมภาษณ์ แกว่ากานต์รักจะเห็นไหม” แพทริกเอ่ยด้วยเสียงเครียดๆเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าดริกาเป็นถึงนางเอกแถวหน้าของเมืองไทย เขาไม่ได้สนใจอะไรซักนิดแต่พอนึกขึ้นได้ว่าอีกคนอาจจะรู้ใจมันก็พลันกังวลแปลกๆ เด็กนั่นยิ่งเป็นคนชอบคิดมาก
“ผมว่าไม่น่ารอดนะครับ สื่อโหมข่าวหนักมาก” โจเซฟแสดงความคิดเห็น
“ผมคิดเหมือนกันครับ..แต่ว่าเจ้านายไปเจอคุณกานต์รักมาแล้วเขาก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรไม่ใช่เหรอครับ” แพทริกเคาะนิ้วลงบนโต๊ะทำงานอย่างใช้ความคิด ไม่แน่ใจนักว่ากานต์รักเห็นข่าวแล้วหรือยัง หรือถ้าเห็นคนตัวเล็กควรจะมีท่าทีอย่างไรบ้าง
“แต่ว่าเรื่องนี้เอาไว้ค่อยไปเคลียร์กันนะครับ เพราะตอนนี้ถึงเวลานัดกับท่านโสภณแล้ว” แพทริกพลิกข้อมือเพื่อดูเวลาบนนาฬิกาเครื่องหรู ตอนนี้เป็นเวลากว่าหนึ่งทุ่ม เขามีนัดเจรจาเรื่องธุรกิจกับท่านโสภณตอนสองทุ่มตรง
“อืม เตรียมรถหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
แพทริกพยักหน้ารับ เรือนร่างสูงใหญ่ผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะต้องสลัดเรื่องของคนหน้าหวานออกจากหัวไปก่อน มือหนาเอื้อมไปหยิบสูทขึ้นมาสวม จัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อลงไปขึ้นรถ
❋❋❋❋❋❋❋❋❋❋
หลังจากที่เมื่อวานกานต์รักวิ่งตามคนร่างสูงออกไปแล้วเอ่ยพูดประโยคนั้นรัวเร็วพอกลับเข้าร้านมาก็ถูกพนักงานเอ่ยแซวและยิ้มล้อเลียนเสียจนต้องหลบเข้าไปจัดการงานภายในห้องเนื่องจากอายเกินกว่าจะสู้หน้าทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ได้
ตอนคุณแพทริกแนบริมฝีปากลงมาคนเห็นไม่น้อยแถมมินยังเก็บภาพไว้ได้อีกต่างหาก
วันนี้กานต์รักจึงมาทำงานด้วยอาการขัดเขิน ยิ่งทุกคนจงใจยิ้มให้เท่าไหร่ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนมือไม้มันขวางหูขวางตาไปหมด
“วันนี้ขนมจะหวานกว่าทุกวันหรือเปล่าคะ” แม้แต่คุณไหมเองก็ไม่เว้นเอ่ยแซว
“วะ หวานอะไรกันครับ”
“หน้าแดงขนาดนี้ไม่ต้องปฏิเสธหรอกค่ะ”
“คุณไหมอย่าแกล้งรักสิครับ” กานต์รักเอ่ยเสียงเง้างอจนผู้จัดการร้านหลุดหัวเราะ
“ไม่แกล้งแล้วค่ะ เชิญคุณรักทำขนมตามสบายนะคะ เดี๋ยวไหมไปดูหน้าร้านก่อน”
“ครับ...อ้อ เดี๋ยวซักเที่ยงพี่ชายรักจะมานะครับ ถ้ามีคนมาถามหาก็ให้เขาเข้ามาได้เลย” เสียงหวานใส่เอ่ยบอก เมื่อวานตอนดึกกานต์รักไปรับพี่ชายที่สนามบิน ตอนนี้อีกคนมีอาการเจ็ทแล็คอยู่ยังคงปรับตัวกับเรื่องของเวลาไม่ได้
“ได้ค่ะ” กานต์รักพยักหน้ารับแล้วหันกลับมาตกแต่งขนมต่อ ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่กระทั่งได้ยินเสียงทุ้มห้าวเอ่ยเรียก
“ตัวเล็ก”
พร้อมกานต์ส่งยิ้มให้ผู้เป็นน้องชายก่อนจะเดินเข้ามาหา คนที่ง่วนกับการทำขนมจึงวางมือลงจากสิ่งที่ทำอยู่เมื่ออีกคนมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“พร้อมเป็นยังไงบ้าง รู้สึกดีขึ้นไหม” เสียงหวานเอ่ยถามพี่ชายอย่างเป็นห่วง กว่าที่อีกคนจะหลับได้ก็เห็นว่าเกือบรุ่งเช้าเข้าไปแล้ว
“โอเคแล้วล่ะ แต่คงต้องปรับตัวเรื่องของเวลานอนหน่อย...ว่าแต่รักทำอะไรอยู่”
“ตกแต่งขนมอยู่น่ะ พร้อมรอก่อนนะอีกหน่อยก็เสร็จแล้ว เดี๋ยวรักพาไปทานข้าว” คนเป็นน้องเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มหวาน พี่ชายที่ซึ่งรูปลักษณ์ไม่เหมือนกันนักจึงขยับไปนั่งรออยู่ด้านข้างแล้วมองคนตัวเล็กทำขนมไปพลางๆ
พร้อมหรือ
พร้อมกานต์ ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่นั้นเป็นพี่ชายแท้ๆของกานต์รัก หากแต่คนพี่กลับได้เชื้อพ่อมาเต็มๆส่วนอีกคนนั้นก็ได้แม่มาเต็มๆ แม้จะมีบางส่วนคล้ายคลึงกันแต่รูปร่างแตกต่างอยู่มาก พร้อมกานต์ตัวเกือบเท่าแพทริกแต่ยังถือว่าเล็กกว่านิดหน่อย ส่วนกานต์รักไม่ต้องพูดถึง มองผ่านๆนั้นไม่ต่างจากผู้หญิงเลยซักนิด
“เสร็จแล้ว~ ไปทานข้าวกัน”
“อย่าลืมขนมของพี่ด้วย เมื่อวานเอาไปให้คนอื่นทานยังงอนไม่หายนะ” พร้อมกานต์แสร้งพูดเสียงเข้มทั้งที่ใจไม่ได้นึกโกรธน้องชายซักนิด เรื่องแพทริกนั้นทุกคนในครอบครัวรู้หมด ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับกานต์รักแล้วคนในบ้านจะไม่รู้
ผู้ชายคนนั้นที่น้องชายเขาแอบรักมานานแสนนาน “รักขอโทษ...หายงอนนะ วันนี้เก็บไว้ให้พร้อมคนเดียวสามชิ้นเลย” ใบหน้าหวานส่งยิ้มอ้อนจนคนเป็นพี่ชายหลุดยิ้มออกมาจนได้
“เรานะเรา ไปยอมเขาง่ายๆได้ยังไง แค่เห็นหน้าเขาก็ลืมพี่ซะแล้ว”
“ไม่ได้ลืมนะ~ เดี๋ยวรักไถ่โทษ วันนี้พร้อมอยากทำอะไรอยากกินอะไรรักจะตามใจทุกอย่างเลย ดีไหม?”
“พี่จะเอาให้เราหมดตัวเลยคอยดู”
“ได้ เพื่อพร้อมรักยอม...งั้นไปกันเลยเนอะ” คนมีความผิดติดตัวรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนจะโดนพี่ชายงอนไปมากกว่านี้ พร้อมกานต์ส่ายหัวให้น้องชายเล็กน้อยก่อนจะยอมเดินตามคนตัวเล็กที่จับจูงไปอย่างง่ายดาย
สองพี่น้องมาถึงห้างใจกลางกรุง ความหล่อและความอ่อนหวานนั้นดูลงตัวเสียจนหลายคนมองตามด้วยความอิจฉา หากมองผ่านๆแล้วเหมือนทั้งคู่เป็นคู่รักกันไม่มีผิด
“ทานอะไรดี”
“เราอยากกินอะไร พี่ไม่ได้กลับไทยนานจำไม่ค่อยได้แล้วว่ามีอะไรบ้าง”
“งั้นไปร้านอาหารไทยนะ รักอยากกินยำ”
“ตามใจเราเลย”
กานต์รักพาพี่ชายเดินตรงไปยังร้านอาหารไทยร้านโปรด พนักงานนั้นต้อนรับอย่างยิ้มแย้มเมื่อเห็นลูกค้าประจำเดินเข้ามา ร่างเล็กและร่างสูงที่เดินเคียงข้างกันมาใหม่เรียกสายตาจากคนในร้านได้เป็นอย่างดี
ไม่เว้นแม้กระทั่งแพทริก เบรนเนแกน...
ยามทั้งสองเดินเข้าไปนั่งยังโต๊ะที่อยู่อีกฟากดวงตาคมก็มองตามจนสุดสายตา ก่อนคิ้วเข้มจะขมวดมุ่นเมื่อเห็นคนที่กานต์รักมาด้วย
ใครกัน?
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณแพทริก” เสียงของคู่ค้าคนสำคัญเอ่ยขึ้นทำให้แพทริกจำต้องละสายตากลับมา
“เปล่าครับคุณสมเกียรติ เรื่องสัญญาทุกอย่างเรียบร้อยนะครับ”
“ครับ เรียบร้อยดีไม่มีปัญหาอะไร...ขอโทษด้วยที่ผมต้องเสียมารยาทไม่ได้ทานข้าวกับคุณแพทริกเนื่องจากมีธุระที่อื่นต่อ ไว้โอกาสหน้านะครับ ส่วนเรื่องสัญญาถ้ามีอะไรเพิ่มเติมโทรหาเลขาผมได้ทันที”
“ได้ครับ”
ทั้งสองล่ำลากันอีกเล็กน้อยก่อนคนที่แพทริกมาคุยงานด้วยจะเดินออกไปพร้อมกับลูกน้อง สายตาคมรีบเบนมองไปยังโต๊ะซึ่งมีคนตัวเล็กนั่งอยู่ รอยยิ้มหวานและท่าทางสดใสร่าเริงที่ไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้ความรู้สึกบางอย่างตีรวนขึ้นมาในอก
ไอ้คนหล่อน้อยกว่าเขาคนนั้นมันเป็นใคร!
ความจริงหลังจากคุยงานแล้วเขากะว่าจะไปหากานต์รักที่ร้านอยู่แล้ว หากแต่มาเจออีกคนที่นี่เสียก่อนไม่อย่างนั้นถ้าแวะไปก็คงเสียเที่ยวเปล่า
“นายครับ ช้อนจะหักแล้ว” แซมที่ยืนอยู่ข้างตัวเอ่ยเตือนผู้เป็นนายเมื่อมือหนากำช้อนในมือแน่น
“ไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร” แพทริกไม่รู้ว่าความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้มันคืออะไร ไม่แน่ใจว่าไอ้ความรู้สึกร้อนๆในอกยามเห็นอีกคนยิ้มและหัวเราะกับคนอื่นนั้นเรียกว่าอย่างไร
ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งถึงตอนนี้เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยซักครั้ง
“พวกเราไม่ทราบครับ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นพี่ชายคุณกานต์รัก” โจเซฟเอ่ยขึ้นอย่างพยายามให้คนเป็นนายไม่อารมณ์เสีย
แม้จะได้ยินดังนั้นทว่าใจที่ร้อนรุ่มกลับไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยซักนิด ต่อให้เป็นพี่ชายจริงแพทริกกลับยังไม่พอใจที่กานต์รักยิ้มให้คนอื่นอย่างนั้น
รอยยิ้มสดใสร่าเริงแบบที่เขาไม่เคยได้รับ...
จนกระทั่งทนไม่ไหว มือหนาจึงล้วงโทรศัพท์เครื่องหรูของตัวเองขึ้นมาแล้วกดโทรออกอย่างรวดเร็ว
(สวัสดีครับ)
“มากับใคร” เสียงทุ้มเอ่ยห้วนจัดโดยไม่มีการเกริ่นนำใดๆทั้งสิ้น เขาอยากรู้แทบบ้าว่าไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร
(เอ๊ะ นี่ใครครับ) ปลายสายถามขึ้นอย่างงงงวย
“แพทริก เบรนเนแกน”
(คุณแพท!) เสียงหวานเอ่ยเรียกอย่างแตกตื่น ดวงตาใสกวาดมองไปทั่วร้านกระทั่งพบเข้ากับร่างสูงที่มองมา กานต์รักกำลังจะเอ่ยตอบว่ามากับพี่ชายหากแต่พร้อมกานต์ส่งสายตาให้ว่าอย่าบอกอะไรง่ายๆ
“ฉันถามว่ามากับใคร”
(อะ เอ่อ...เพื่อนครับ)
“เพื่อนคนไหน รู้จักกันนานหรือยัง”
(นานแล้วครับ...เอ่อ คุณแพทมีอะไรหรือเปล่าครับ)
“ถ้าไม่มีแล้วโทรหาไม่ได้หรือไง”
(ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะครับ)
“เดินมาหาฉันเดี๋ยวนี้”
(...)
“เดี๋ยวนี้...กานต์รัก” สายโทรศัพท์ถูกตัดไปหากแต่สองสายตายังคงสบกันนิ่งจากระยะซึ่งห่างกันพอสมควร พร้อมกานต์มองหน้าน้องชายแล้วเลิกคิ้วถามว่ามีอะไร