มากกว่ารัก
ตอนที่ 2
หลังจากเข้ารายงานตัวที่กรมตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเรียบร้อยแล้ว ผู้พันชนวีร์ก็เดินทางกลับค่ายเพื่อสะสางงานต่างๆที่ยังคงคั่งค้างอยู่ โดยไม่ลืมโทรศัพท์มาบอกชินดนัยว่าอาจจะกลับมากรุงเทพฯช้ากว่ากำหนด น่าจะกินเวลาอีกราวหนึ่งถึงสองอาทิตย์ คนที่อยู่กรุงเทพฯเอ่ยถามถึงบาดแผลจากการผ่าตัด พอรู้ว่าหายดีแล้วก็สั่งคนแก่อุดมการณ์ให้ดูแลรักษาตัวดีๆ อย่าได้เที่ยวเอาตัวเองไปรับลูกกระสุนหรือคมมีดที่ไหนอีก คนรับคำสั่งก็ได้แต่หัวเราะแผ่วๆก่อนจะวางสายไป
ด้านคนที่อยู่ทางกรุงเทพฯเองก็เริ่มเข้ามาเรียนรู้งานที่บริษัทของคุณหญิงชลลดา ผู้เป็นแม่ ชินดนัยเริ่มศึกษาจากงานเล็กๆน้อยๆที่ตรงสายกับที่เขาเรียนจบมา ง่วนอยู่กับการวางแผนการตลาดสำหรับสินค้าของบริษัท คว้าเอาดินสอมาขีดๆเขียนๆสิ่งที่ตัวเองคิดลงบนกระดาษเปล่า ก่อนจะต้องเงยหน้าขึ้นมา เมื่อถูกรบกวนด้วยเสียงโทรศัพท์
“ชินดนัยพูดครับ”
(นี่แม่เองนะลูก ยุ่งอยู่หรือเปล่า)
“นิดหน่อยครับ ผมกำลังลองร่างแผนการตลาดของบริษัทเราออกมาคร่าวๆ แม่มีธุระด่วนหรือเปล่า”
(เปล่าค่ะ แม่แค่จะบอกว่า เดี๋ยวไปกินข้าวกลางวันกับแม่นะ)
“ครับผม”
ชินดนัยรับคำก่อนจะวางโทรศัพท์ลง แล้วหันมาก้มหน้าก้มทำงานต่อ คนที่อยู่ที่ค่ายก็เลือกทางเดินของตัวเอง เลือกที่จะเป็นทหารตามพ่อบังเกิดเกล้า ส่วนเขา...ก็เลือกที่จะเข้ามาสืบทอดกิจการของคุณแม่
ถึงทางเดินของเราจะต่างกัน แต่เขาก็หวังว่า...เราจะได้เดินไปด้วยกัน ชินดนัยนั่งทำงานโดยไม่ได้สนใจเวลา กว่าจะรู้ตัวว่าเที่ยงก็ตอนที่ประตูห้องทำงานของเขาเปิดออก แล้วเห็นคุณหญิงชลลดาก้าวฉับๆมายืนอยู่ข้างๆ ให้ต้องส่งรอยยิ้มแหยๆไปให้
“โทษทีครับแม่ พอดีผมลองเขียนแผนแล้วเพลินไปหน่อย” ชินดนัยเอ่ยก่อนจะรีบรวบเอกสารเก็บไว้มุมหนึ่งของโต๊ะทำงาน
“ไฟแรงจริงนะเรา เก็บของแล้วไปกินข้าวกับแม่ได้แล้ว”
ชินดนัยทำตามคำสั่งของผู้เป็นแม่อย่างว่าง่าย เขาเก็บของให้เรียบร้อยแล้วเดินเคียงคุณหญิงชลลดาลงมาที่ลานจอดรถ ก้าวขึ้นไปประจำตำแหน่งคนขับบนรถของตัวเอง มีผู้เป็นแม่นั่งอยู่เคียงข้างคอยบอกทางไปร้านอาหาร พอเห็นระยะทางเริ่มห่างจากออฟฟิศออกมาเรื่อยๆ ชินดนัยเลยอดไม่ได้ ต้องเปรยออกมาด้วยความสงสัย
“ร้านไหนครับเนี่ย มาซะไกลเชียว”
“อ้าว...นี่แม่ยังไม่ได้บอกชินอีกเหรอลูก ว่าเดี๋ยวเพื่อนแม่เขาจะมากินข้าวกับเราด้วย”
ชินดนัยเลิกคิ้วนิดๆ พอชำเลืองมองผู้เป็นแม่ที่นั่งอมยิ้มน้อยๆก็นึกรู้ทันที เขาได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ นี่คงไม่พ้นอีหรอบเดิมอีกแน่ๆ
“เพื่อนคนที่ว่าก็คือคุณหญิงเพียงแขกับลูกสาวใช่ไหมครับ”
“ลูกชายแม่ฉลาดมากจัง”
ชินดนัยได้แต่นั่งนิ่งๆ จดจ่อสายตาไปที่ถนนข้างหน้า เหตุการณ์มันเป็นแบบนี้สองสามครั้งได้แล้ว ที่คุณหญิงพยายามจับคู่เขากับแพรพลอย แต่เขาก็พยายามเลี่ยงมาโดยตลอด รู้ดีว่าคงรักใครไม่ได้อีก เขาเลยไม่อยากให้หรือแม้กระทั่งทำลายความหวังใคร แค่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เขาก็รู้สึกผิดกับพ่อแม่มากแล้ว อย่าให้ใครต้องมาเสียใจเพราะเขาอีกเลย
ถ้าอีกคนที่อยู่ห่างกันหลายร้อยกิโลเมตรรู้เขาจะว่าอย่างไรบ้าง ถ้ารู้ว่าเขากำลังถูกจับคู่แบบเนียนๆ คนๆนั้นก็คงไม่วายต้องหงุดหงิดตามเคย เพราะฉะนั้นก็สู้อย่าให้รู้เลยจะดีกว่า ให้เขาเป็นคนเดียวที่ต้องลำบากใจก็เพียงพอแล้ว
====================
ชินดนัยจอดรถลงหน้าร้านอาหารไทยบรรยากาศสบายๆ ดับเครื่องให้เรียบร้อย แล้วก็เดินเข้าร้านไปพร้อมกับผู้เป็นแม่ เขาเห็นคุณหญิงเพียงแขและลูกสาวนั่งรออยู่มุมหนึ่งแล้ว พอเขากับคุณหญิงชลลดาเดินไปถึง แพรพลอยก็ยกมือไหว้คุณหญิงชลลดา เช่นเดียวกับเขาที่หันไปยกมือไหว้คุณหญิงเพียงแข ก่อนจะยิ้มให้แพรพลอยตามมารยาท
“พี่มาช้าไปหน่อย ไม่ว่ากันนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณพี่ น้องกับยัยแพรก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน เชิญคุณพี่สั่งอาหารเลยค่ะ”
ชินดนัยกระตุกยิ้มมุมปากนิดๆ ถ้าเพิ่งมาถึงจริงๆ...น้ำแข็งในแก้วคงไม่ละลายจนหมด แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป เพียงแค่ชะโงกหน้าไปช่วยผู้เป็นแม่ดูรายการอาหารและเลือกสั่งมาสามสี่อย่าง ที่ดูแล้วน่าจะเพียงพอสำหรับสี่คน รีบกินแล้วจะได้รีบกลับไปทำงานต่อเสียที
“จริงๆพี่น่ะเคลียร์งานเสร็จเร็ว แต่ชินน่ะสิ เอาแต่นั่งทำงาน...” คุณหญิงชลลดาเอ่ยพร้อมกับปรายตามองลูกชายยิ้มๆ
ชินดนัยไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่ยิ้มน้อยๆเมื่อคุณหญิงเพียงแขมองมาทางเขา ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าผู้เป็นแม่กำลังเร่งทำคะแนนให้ ไม่ต่างอะไรจากคุณหญิงเพียงแข ที่พยายามพูดถึงลูกสาวของตัวเองไม่ขาดปาก เลยกลายเป็นว่ามีแค่สองคุณแม่ที่เอาแต่ผูกขาดการสนทนาบนโต๊ะอาหาร
หลังกลับมาจากนิวยอร์ก ชินดนัยมีโอกาสได้เจอแพรพลอยอยู่สองสามครั้ง ส่วนมากมักจะเป็นเหตุมัดมือชกที่เขาไม่ได้เต็มใจแม้แต่น้อย อย่างเช่นคราวนี้ เขาพอรู้มาจากผู้เป็นแม่ว่าแพรพลอยอายุเท่าเขา เพิ่งเรียนจบกลับมาจากซานฟรานซิสโก ท่าทางเธอก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไร แต่เขาไม่ได้นึกชอบเธอ มันก็แค่นั้น
“น้องให้ยัยแพรไปสมัครงานหลายที่ นี่ก็ยังไม่มีที่ไหนเรียกเลย เห็นยัยแพรอยู่บ้านว่างๆ น้องก็กลัวว่ายัยแพรจะเบื่อเอาเสียก่อน”
“อ้าว...แล้วทำไมไม่ให้หนูแพรทำงานที่บริษัทของน้องแขล่ะคะ”
“น้องอยากให้ลูกออกไปหาประสบการณ์จากที่อื่นก่อนค่ะ จริงไหมลูก?”
“ถ้างั้นพี่ว่าให้หนูแพรมาเป็นเลขาตาชินไหมล่ะ ตาชินเองก็ยังไม่มีเลขาพอดี”
ชินดนัยที่กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวอยู่ถึงกับชะงักค้าง รีบกลืนข้าวแล้วเงยหน้ามองผู้เป็นแม่ทันที คุณหญิงชลลดาเคยจะหาเลขาให้เขาแล้วหนหนึ่ง แต่เขาก็ปฏิเสธไป เพราะคิดว่ามันไม่ได้จำเป็นแม้แต่น้อย แต่หนนี้เห็นทีเขาคงปฏิเสธไม่ได้แน่ๆ ถ้าปฏิเสธออกไป จะต่างอะไรกับการหักหน้ามารดาตัวเอง อีกทั้งยังคุณหญิงเพียงแขและแพรพลอยที่มองมาที่เขาอีก ถึงเขาจะไม่ใช่คนดีล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ชินดนัยก็มั่นใจว่าตัวเองยังมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่บ้าง
“ถ้าเกิดตาชินลำบากใจ...” คุณหญิงเพียงแขแสร้งเอ่ยออกมาเสียงอ่อยคล้ายกับเกรงใจ จนคุณหญิงชลลดาต้องหันมาถามย้ำเอากับลูกชาย
“ชินลำบากใจหรือลูก?”
“เปล่าครับแม่...”
“งั้นก็ให้หนูแพรไปเป็นเลขาชินนะลูก”
ในเมื่อผู้เป็นแม่พูดออกมาขนาดนี้ เขาจะปฏิเสธอะไรได้เล่า แต่จะให้เขาหักหน้าผู้ใหญ่กลางโต๊ะอาหาร ชินดนัยก็ทำไม่ได้จริงๆ ได้แต่นึกหวังในใจว่ามันจะไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ แต่ใครเลยจะรู้ว่าคำขอร้องของเขาจะไม่เป็นผล
“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วชินพาหนูแพรไปที่ออฟฟิศเรานะ จะได้ไปดูที่ทางอะไรให้เรียบร้อย”
“แล้วแม่จะไปไหนครับ”
“เดี๋ยวแม่ไปประชุมสมาคมกับอาแข แล้วให้อาแขไปส่งแม่ที่บ้าน ค่อยกลับไปเจอกันที่บ้านตอนเย็นเลย”
ชินดนัยได้แต่พยักหน้ารับอย่างยอมจำนน เขากินข้าวต่ออีกไม่กี่คำก็พาลรู้สึกอิ่มตื้อขึ้นมา เลยรวบช้อนส้อมเข้าหากัน คว้าแก้วน้ำมาดื่มให้เรียบร้อย ก่อนจะเอ่ยขอตัวกับผู้ใหญ่สองคน แล้วเดินนำแพรพลอยไปยังรถที่จอดอยู่ด้านนอก ไม่วายได้ยินเสียงแม่เขาเอ่ยกำชับตามหลังมา
“ดูน้องดีๆด้วยนะชิน”
ชินดนัยผงกหัวรับ ก่อนจะหันมายิ้มให้คนข้างตัวเนือยๆ อีกฝ่ายก็เพียงแค่ยิ้มกลับมา เขาเปิดประตูให้เธอตามประสาสุภาพบุรุษที่ดี เสร็จแล้วถึงอ้อมไปฝั่งคนขับ
“ชิน...อยู่กับแพรแล้วอึดอัดหรือเปล่า” หญิงสาวเอ่ยถามอย่างเกรงใจ หลังเห็นเจ้าของรถมีท่าทีกระอักกระอ่วน
“เปล่าหรอก ผมแค่ไม่ชินเท่าไหร่ ขอโทษด้วยนะ ถ้าทำให้แพรไม่สบายใจ”
“ไม่เป็นไร แพรไม่ใช่คนคิดมากอยู่แล้ว แต่คุณแม่เราสองคนตลกกันจังเลยเนอะ”
“แล้วแพรลำบากใจหรือเปล่า”
“ไม่เลย แม่แพรน่ะชอบพูดถึงชินให้ฟังอยู่เรื่อยๆ จนแพรคิดว่าตัวเองต้องรู้จักชินดีมากแน่ๆ ชินเป็นคนเก่งนะ แพรอยากเก่งอย่างชินบ้างจัง ถ้าแพรมาเป็นเลขาชิน แพรต้องได้เรียนรู้อะไรเยอะขึ้นแน่ๆ”
คงไม่เสียหายอะไร ถ้าเขาคิดจะคบแพรพลอยเป็นเพื่อน เท่าที่ได้รู้จักและพูดคุยกันมาสองสามครั้ง เธอเองก็ดูอัธยาศัยดีไม่ใช่น้อย แต่ก็เพื่อนเท่านั้น ที่เขาจะเป็นให้เธอได้
เพราะหัวใจ...มันไม่มีที่เหลือไว้ให้ใครอีกแล้ว====================
หลังจากได้แพรพลอยมาเป็นเลขา ชินดนัยก็อดยอมรับออกมาไม่ได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงเก่งจริงๆ แพรพลอยทำงานด้วยความคล่องแคล่วและกระฉับกระเฉง การมีเธอเป็นเลขา เรียกได้ว่าทำให้งานของเขาเบาลงไปเยอะ เพราะเธอคอยจัดการทุกอย่างให้เขาเสร็จสรรพ เล่นเอาคุณแม่ของชินดนัยถึงกับปลื้มแพรพลอยมากกว่าเดิมหลายเท่า จนเก็บไปชมเปาะให้ท่านนายพลฟังอยู่บ่อยครั้ง
“คุณพูดถึงหนูแพรทุกวันเลยนะ” นายพลชานนท์เอ่ยแซวภรรยายิ้มๆ
“หนูแพรเขาน่ารักจริงๆนี่คะ ช่วยตาชินตั้งหลายอย่าง ว่างๆฉันจะชวนหนูแพรมากินข้าวที่บ้านเราบ้าง ถ้าคุณเห็นคุณต้องเอ็นดูหนูแพรแน่ๆ ชินว่าดีไหมลูก?”
“อย่าเลยครับ เดี๋ยวใครเขาจะเอาแพรไปพูดในทางที่ไม่ดี”
“ผมว่าที่เจ้าชินพูดมาก็ถูกนะ คุณจะใจร้อนใจเร็วไปไหน นี่ลูกเราเพิ่งเรียนจบเองนะ คุณทำอย่างกับลูกเราอายุสามสิบ กลัวลูกจะหาเมียไม่ได้เหรอไงกัน”
“คุณก็...ฉันก็ไม่อยากให้คนดีๆอย่างหนูแพรหลุดมือไปนี่คะ”
ตอนแรกเขาก็ว่าจะนั่งฟังเงียบๆ ไม่เอ่ยแสดงความคิดเห็นออกไป แต่ในเมื่อพูดมาขนาดนี้ จะให้เขาอยู่นิ่งเฉยต่อไปก็คงไม่ได้
“แม่หมายความว่ายังไงครับ”
“ไหนๆชินเองก็ยังไม่มีใคร หนูแพรเองก็เหมือนกัน แม่อยากดองกับทางคุณหญิงเพียงแขเขา เท่าที่ดูหนูแพรเขาก็ไม่มีอะไรเสียหายไม่ใช่หรือไงลูก”
ชินดนัยแทบจะสำลักแกงจืดออกมา เขายอมรับเลยว่าแพรพลอยดีทุกอย่าง เธอสวย เรียบร้อย และเก่งแบบผู้หญิงยุคใหม่ เป็นผู้หญิงที่ผู้ชายหลายๆคนต้องนึกชอบเพียงแรกเห็น มันติดอยู่แค่เพียงอย่างเดียว...เขาไม่ได้รักแพรพลอย และคงไม่มีวันที่จะรักเธอได้อย่างแน่นอน
“คุณก็ไปบังคับลูกมัน ดูอย่างเจ้าวีร์สิ...นี่มันขึ้นเป็นผู้พันแล้วยังไม่เคยพาสาวมาไหว้ผมกับคุณเลย”
ชินดนัยนึกอยากถอนหายใจที่พ่อเขาเอ่ยเบี่ยงประเด็นให้พ้นตัวไป แต่ก็ถอนหายใจได้ไม่ทั่วท้อง ในเมื่อประเด็นที่ถูกเปลี่ยนก็ไม่ได้ห่างจากตัวเขาซักเท่าไหร่เลย
“ตาวีร์เอาแต่ออกแนวหน้า แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปหาสาวล่ะ ถ้าว่างๆคุณก็ทำเรื่องย้ายตาวีร์กลับมาหน่อยเถอะ ฉันห่วงลูกจะแย่แล้ว จะได้หาคู่ให้เป็นฝั่งเป็นฝาด้วย”
สำหรับท่านนายพลแล้ว ในฐานะพ่อ ที่ถึงแม้จะไม่ได้เป็นพ่อแท้ๆ ต้องยอมรับเลยว่าเขาภูมิใจในตัวชนวีร์มาก แล้วยิ่งในฐานะของนายทหารด้วยกัน ความสามารถที่เห็นและเสียงชื่นชมหนาหูที่ได้ยิน ยิ่งทำให้เขานึกรักลูกชายบุญธรรมไม่ต่างจากลูกแท้ๆ บางทีอาจจะถึงเวลาที่เขาต้องทำเรื่องขอย้ายชนวีร์กลับมาประจำที่กรมเป็นการถาวรแล้วก็เป็นได้
“เดี๋ยวผมจะลองหาโอกาสดูละกัน แต่ไม่รู้ว่าเจ้าวีร์มันจะยอมหรือเปล่านะ คุณก็รู้ว่าอุดมการณ์มันแรงจะตาย”
“ชินก็ช่วยแม่พูดกับพี่เขาหน่อยนะลูก จะได้กลับมาอยู่บ้านอยู่ช่องพร้อมหน้าพร้อมตากันซะที ตาวีร์ออกแนวหน้าทีไร แม่นอนไม่หลับทุกที ไม่รู้จะเจ็บกลับมาอีกไหม” คุณหญิงเปรยก่อนจะถอนหายใจช้าๆ
“ครับ”
ถึงแม้จะรับปากผู้เป็นแม่ออกไป แต่ชินดนัยก็นึกสงสัยว่าอย่างชนวีร์น่ะหรือจะฟังเขา ถ้าฟังเขาซักนิด อีกฝ่ายคงย้ายตัวเองกลับมาอยู่ที่กรมนานแล้ว ไม่เที่ยวลาดตระเวนไปนั่นไปนี่ให้เขาต้องห่วงอยู่บ่อยๆหรอก
“ชิน...พ่อกับแม่มีลูกอยู่สองคน ก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าเห็นลูกชายสองคนเป็นฝั่งเป็นฝา พ่อกับแม่จะได้นอนตายตาหลับ เข้าใจไหมลูก”
ชินดนัยเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้เป็นแม่ พอเห็นสายตาที่มองมา เขาก็ต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีแทน สายตาของคุณหญิงชลลดามันปะปนกันระหว่างความรักและความคาดหวัง จนเขากลัว...กลัวว่าตัวเองจะเป็นคนทำลายความหวังของพ่อแม่ให้ย่อยยับลงไปกับตา เขา...เป็นลูกอกตัญญูหรือเปล่านะ?
“หึ...เรายังอยู่กับลูกอีกนานน่ะคุณ จะเร่งมันไปไหน เผลอๆคุณกับผมคงได้อยู่จนอุ้มหลานพอดี”
ถ้าความคาดหวังของแม่เปรียบเสมือนมีดกรีดลงกลางใจ ถ้อยคำถัดมาของพ่อก็ไม่ต่างอะไรจากเปลวไฟที่แผดเผาเขา พระเจ้าเท่านั้นที่รู้...ว่าเขาไม่อาจมีหลานให้พ่อกับแม่ได้จริงๆ หรือถ้าต้องมี มันก็คงเป็นไปด้วยความจำใจ ไม่ใช่ความเต็มใจของเขา
“แต่ฉันไม่อยากให้หลานเป็นทหารแล้วนะคุณ” คุณหญิงแว้ดออกมาอย่างเคืองๆ เรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากท่านนายพลได้เป็นอย่างดี คงมีเพียงชินดนัยเท่านั้นที่หัวเราะไม่ออก
เขาจิกเล็บเข้ากับฝ่ามือตัวเองจนเจ็บ ถึงความรักจะยังเป็นความลับ แต่ความคาดหวังของพ่อกับแม่ล่ะ...เขากล้าทำลายมันลงหรือ?
เขาอาจจะทำร้ายคนอื่นได้อย่างเลือดเย็น แต่เขาไม่อาจทำร้ายบุพการีตัวเองได้ อย่าว่าแต่ทางกายเลย แค่ทางใจเขายังไม่เคยคิดที่จะทำ ถ้ามีใครซักคนต้องแบกรับความเจ็บปวดและความอึดอัดเอาไว้...ให้มันเป็นเขา แค่เขาคนเดียวก็พอ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันหนักหนาสาหัส เขาจะรับมันเอาไว้ทั้งหมดเอง
====================
ชินดนัยนอนก่ายหน้าผากอยู่บนโซฟาในเรือนเล็ก เรือนเล็กที่เป็นอาณาจักรส่วนตัวของเขา ในสมองมีแต่คำพูดของพ่อกับแม่วนเวียนราวเข็มนับพันเล่มที่พร้อมจะทิ่มแทงลงมา ก่อนจะต้องสะดุ้งจากภวังค์ เมื่อเสียงโทรศัพท์ดัง เขาคว้ามาก่อนจะกดรับโดยไม่คิดที่จะดูชื่อ
“ชินดนัยพูดครับ...”
(ฉันเอง...)
มีอยู่เพียงคนเดียว เสียงที่เขาจำแม่นกว่าเสียงของตัวเอง แค่ได้ยินเสียง...หัวใจก็เต้นระรัวด้วยความคิดถึง ถึงจะไม่นานที่เราจากกัน แต่ทุกครั้งที่จากไป ใจมันก็คอยแต่จะกระวนกระวายอยู่เสมอ แค่ได้ยินเสียง แค่รู้ว่ายังปลอดภัยดี แค่นี้ก็ทำให้เขายิ้มออกมาได้
“สบายดีหรือเปล่า” ความรู้สึกข้างในมันมากมาย แต่สุดท้ายก็เอ่ยออกไปได้แค่ประโยคง่ายๆ
(คิดถึงนาย...)
“ตอบไม่ตรงคำถาม”
(แล้วตรงใจไหม)
“ถ้าคิดถึงมากนัก...ก็รีบกลับมาเร็วๆสิ”
เสียงทุ้มห้าวหัวเราะแผ่วๆมาตามสาย ไม่ว่าได้ยินเมื่อไหร่ก็ทำให้สบายใจได้ทุกครั้ง เขาเล่าเรื่องราวในแต่ละวันให้อีกฝ่ายรับรู้ นานๆทีปลายสายถึงจะออกความเห็น ส่วนมากก็ครางอือเบาๆ แต่เขารู้ดีว่าอีกคนฟังอยู่ตลอด
(ตั้งใจเรียนรู้งานไว้เยอะๆล่ะ อีกหน่อยนายจะได้ทำแทนแม่ แล้วให้แม่พักบ้าง)
“ฮื่อ ผมก็พยายามอยู่นี่ไง แต่ผมเพิ่งเรียนจบเองนะ”
(ก็ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบ ถ้าเหนื่อยก็พักบ้าง)
“คราวนี้ไม่ต้องลงพื้นที่ใช่ไหม แม่เป็นห่วง จะให้พ่อย้ายพี่กลับมาแล้วนะ”
(คราวนี้ไม่ต้องลงพื้นที่ บอกแม่ว่าเดี๋ยวก็กลับไปแล้ว กลับไปจะไปกอดแน่นๆเลย)
ชินดนัยยิ้มตามน้อยๆ ก่อนจะประหวัดคิดถึงบทสนทนากับพ่อแม่เมื่อซักครู่ คิดไม่ตกว่าจะเล่าให้อีกคนฟังดีหรือไม่ สุดท้ายเลยตัดสินใจเรียกออกไป
“พี่...” เสียงที่เอ่ยออกไป มันสั่นจนแม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกได้ และคนฟังก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน เสียงหัวเราะเลยเงียบหายไป แล้วกลายเป็นความกังวลเข้ามาแทนที่
แม้จะบอกตัวเองว่าไม่อยากทำให้อีกคนลำบากใจ แต่ในบางเวลา...เขาก็ต้องการกำลังใจจริงๆ
(เป็นอะไร ไม่สบายใจอะไร บอกฉันมา อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว นายก็รู้...ว่าฉันยืนอยู่ข้างๆนายเสมอ)
ชินดนัยสูดลมหายใจเข้าปอดลึกและยาวนาน ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยถามออกไป แม้จะรู้ดีว่าเป็นคำถามที่คนฟังไม่ชอบใจแม้แต่น้อย
“ถ้าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันจะเป็นยังไง”
(มันจะไม่มีวันนั้น...)
ถ้อยคำที่เอ่ยออกมา ย้ำหนักแน่นหวังจะให้เขาสบายใจ แต่สาบานได้เลยว่า ชินดนัยไม่ได้รู้สึกสบายใจเลยแม้แต่น้อย
“แล้วถ้าพ่อกับแม่รู้ล่ะ... พี่คิดว่าพ่อกับแม่จะยอมรับได้เหรอ”
เป็นระยะเวลานานที่ความเงียบเข้าปกคลุม จนสุดท้าย...เสียงถอนหายใจก็ดังมาตามสายโทรศัพท์ เสียงถอนหายใจที่หนักหน่วงราวกับจงใจจะให้อีกคนได้ยินด้วยเช่นกัน เสียงถอนหายใจที่ดังก้องจนสะเทือนเข้าไปถึงข้างในใจ
(แต่ฉันก็ไม่ยอมอยู่โดยไม่มีนาย ฉันเคยบอกหรือยัง...ว่านายไม่ใช่คนรัก เราไม่ใช่คนรักกัน แต่นายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับฉัน)
“ถ้าเกิดเป็นผู้หญิงแล้วทำให้เราได้อยู่ด้วยกัน ผมก็อยากเกิดเป็นผู้หญิงมากกว่า”
ถึงแม้จะเป็นแค่เพศที่ขวางกั้นเราเอาไว้ แต่มันกระเทือนไปถึงเกียรติยศ ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล และสถานะทางสังคม
(นายจะเป็นเพศไหนมันไม่สำคัญ เพราะที่สำคัญสำหรับฉัน...ก็มีแค่นาย)
“แต่บางครั้ง...มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราต้องการเสมอไป”
(อย่าเพิ่งคิดในสิ่งที่มันยังมาไม่ถึงเลย...)
แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ว่ามันจะมาถึงเมื่อไหร่ นั่นคือคำถามที่ชินดนัยได้แต่เฝ้าถามตัวเองอยู่ในใจ ก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนล้า
เขาไม่ใช่คนเข้มแข็ง เขาก็แค่ผู้ชายธรรมดา...เจ็บได้ เสียใจเป็น
บางครั้งก็เฝ้าถามตัวเองอยู่หลายครั้ง...
...ถ้าให้เรารักกันไม่ได้ แล้วจะให้เราเจอกันทำไม... โชคชะตามันขีดกำหนดเส้นทางทุกอย่างเอาไว้แล้ว กำหนดให้เราได้มาเจอ กำหนดให้เราได้รักกัน แล้วอยากจะถามต่อเหมือนกันว่า...จะกำหนดให้เรื่องราวของเราลงเอยกันอย่างไร
====================
ไม่ใช่แค่คนที่อยู่เมืองหลวงเท่านั้นที่นอนก่ายหน้าผากด้วยความกังวล คนที่อยู่ค่ายก็ไม่ได้ต่างกันเลย ตะกอนความอึดอัดมันหนาแน่นเสียจนต้องผุดลุกขึ้นมาจากเตียง แล้วออกมานั่งอยู่ริมระเบียงบ้านพัก ทอดสายตาเหม่อมองออกไปไกล
...มีหลายครั้งเหลือเกินที่ชนวีร์นึกอยากเดินเข้าไปบอกท่านนายพลกับคุณหญิง ว่าเขารักลูกชายคนเดียวของพวกท่าน ขอให้เขาดูแลชินดนัยได้ไหม แต่เขาก็ไม่ได้ทำอย่างที่ใจต้องการ ไม่ใช่ไม่กล้า แต่บุญคุณที่ทั้งสองเลี้ยงดูเขามามันมากมายเสียจนเขาไม่อยากให้พ่อแม่บุญธรรมของเขาต้องเสียใจ
ไม่ใช่ความผิดของเขาและชินดนัยที่รักกัน และที่สำคัญ...ถ้าเขาสองคนจะรักกันไม่ได้ มันก็ไม่ใช่ความผิดของท่านนายพลและคุณหญิง แต่เขาก็เพียงอยากขอ...ขอแค่การยอมรับ ให้เขาสองคนได้อยู่ด้วยกัน เขาไม่ได้ต้องการเปิดเผยอะไรให้ใครในสังคมรับรู้ แค่ได้อยู่ด้วยกันเรื่อยไป มันก็เป็นอะไรที่วิเศษสำหรับเขาแล้ว
“ยังไม่นอนอีกเหรอครับผู้พัน พรุ่งนี้ต้องเข้าประชุมแต่เช้านะครับ” ผู้กองติสรณ์ที่เดินผ่านมา อดเอ่ยทักคนที่มียศสูงกว่าไม่ได้
“ผมนอนไม่ค่อยหลับ นั่งคุยกันหน่อยไหมผู้กอง”
คนถูกชวนยิ้มรับ ก่อนจะเดินขึ้นมาตรงระเบียงบ้านพัก
“ผู้พันมีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า ผมเห็นพักนี้ผู้พันดูเครียดๆ ถึงผมจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ผมรับฟังได้นะ”
ชนวีร์นิ่งไปเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าความตึงเครียดของเขาแสดงออกมาจนแม้แต่คนใต้บังคับบัญชายังรู้สึกได้
“ผู้กอง...ผู้กองเคยรักใครมากๆ แม้จะรู้ว่ามันอาจจะไม่สมหวังหรือเปล่า”
ผู้กองติสรณ์ส่ายหน้าช้าๆ หากในใจก็อดสงสัยไม่ได้ หน้าตาดี มียศ มีตระกูลอย่างผู้พัน มีโอกาสที่จะไม่สมหวังกับใครเขาด้วยหรือ
“ถ้ารู้ว่าไม่สมหวัง ผมก็คงตัดใจตั้งแต่แรกแล้วล่ะครับผู้พัน”
“ถ้ามันตัดกันได้ง่ายๆอย่างที่ผู้กองพูดก็คงดีสิ”
“มันก็มีสองทางแล้วล่ะครับผู้พัน ถ้าไม่ตัดใจแล้วถอยออกมา ก็มีแต่ต้องเดินหน้าท้าชน”
ที่ผู้กองติสรณ์พูดมาก็ถูก...ในเมื่อเขาเลือกที่จะรักแล้ว ก็เท่ากับว่าเขาเลือกที่จะเดินหน้า ที่เหลือก็มีเพียงแค่ต้องเดินไปให้จนถึงปลายทาง
“ว่าแต่ผู้พันมีคนที่ชอบแล้วเหรอครับ ผมไม่ยักรู้เลยแฮะ”
“ไม่ได้ชอบหรอกผู้กอง แต่ผมรักเขา...รักมากเลยล่ะ”
“จะแต่งเมื่อไหร่ อย่าลืมแจกการ์ดเชิญผมด้วยนะผู้พัน”
ถ้อยคำกระเซ้าเย้าแหย่ทีเล่นทีจริงของลูกน้อง ทำเอาชนวีร์ถึงกับนิ่งเงียบ สิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยมา แม้ว่าจะเป็นเรื่องง่ายๆ แต่เขาคงทำให้ไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ เขากับชินดนัยคงไม่มีโอกาสได้แต่งงานกัน ขอแค่ให้ได้อยู่ด้วยกันก็เพียงพอแล้ว
...ถ้าย้อนเวลากลับไปก่อนจะความรู้สึกผูกพันมันจะเกินเลย ถามว่าเขาจะหยุดตัวเองไหม
คำตอบคือไม่...ถึงแม้จะรู้ว่ารักไม่ได้ แต่เขาก็ยังอยากจะรัก อยากจะครอบครอง อยากจะเป็นเจ้าของ
เราต่างรู้ดีว่า...เราไม่ได้ไม่รักกัน เพียงแต่เรารักกันไม่ได้ สุดท้ายแล้ว...นายทหารหนุ่มก็ได้ถอนหายใจออกมาเบาๆให้กับความรู้สึกหนักอึ้งที่กำลังแบกรับเอาไว้ ออกศึกมากมายแค่ไหนไม่เคยหวั่น มีแค่เรื่องนี้เพียงเรื่องเดียวที่ทำเขาหวั่นไหว ไม่รู้ว่าจะอยู่กับชินดนัยต่อไปอย่างนี้ได้อีกนานแค่ไหน
เขารักชินดนัยมาก...เกินกว่าจะยอมปล่อยมือจากจากกัน
แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็เคารพท่านนายพลและคุณหญิงมากเกินกว่าจะทำให้ท่านทั้งสองผิดหวัง
แม้จะบอกชินดนัยว่าอย่าเพิ่งคิดในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่ลึกๆแล้ว ชนวีร์เองก็นึกกังวลอยู่ไม่น้อยเลย แม้จะพยายามหาทางมากแค่ไหน แต่เขาก็ยังมองไม่เห็นทางออกของความรักครั้งนี้อยู่ดี
====================