SPECIAL
[0.5] เด็กชายพิชชาอายุสิบสามปีกำลังมองรูปของใครอีกคนไม่ยอมละสายตาไปไหน
ส่วนสูงโดดขึ้นมาท่ามกลางเพื่อนในวัยเดียวกัน รอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากดูไม่เข้ากับเหรียญทองที่คล้องอยู่ตรงคอ มือทั้งสองข้างประคองถ้วยรางวัลขนาดใหญ่เอาไว้ ที่เห็นข้างหลังคือป้ายไวนิลเขียนชื่อรายการพร้อมกับรุ่นการแข่งเอาไว้
“เก่งจังเลยนะครับคุณแม่”
“...ซนนะพิช”
“คุณแม่วางไว้บนโต๊ะครับ” นั่นคือการบอกเป็นนัยว่ามันอยู่ในสถานที่ที่ง่ายต่อการสังเกตมากกว่าการเล่นซนตามคำกล่าว “ผมไม่ได้แอบรื้ออะไร”
“เด็กไม่ควรยุ่งกับของของผู้ใหญ่”
“ครับๆ”
“รับปากส่งๆ ไม่ได้”
“ผมก็แค่ตอบรับ ไม่ได้รับปากครับ”
เด็กชายผมยาวยกไหล่ขึ้นอย่างไม่ใส่ใจมากนัก ถึงจะเป็นคุณแม่ที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังไม่สามารถจดจำอะไรได้ก็ไม่ได้อยู่ใต้อาณัติเสมอไป
‘คุณแม่’ เขม่นใส่ลูกชายนอกสายเลือดของตัวเอง “ดื้อจังนะ”
“เหมือนคุณแม่แหละครับ”
ยังถือภาพใบเดิมเอาไว้ ปรายตามองภาพแอบถ่ายทั้งหมดบนโต๊ะว่ามีแผ่นอื่นที่น่าสนใจหรือไม่ ตั้งคำถามว่าคนในรูปจะรู้หรือไม่ว่าตนเองกลายเป็นเป้านิ่งให้กับอีกคนมาตั้งแต่ยังเป็นทารก แล้วถ้าวันหนึ่งรู้เรื่องนี้เข้ามันจะเป็นอย่างไรต่อ
“รา...” เกือบเผลอหลุดใช้ชื่อที่เรียกเอง ”พี่แบล็คเขาไม่คิดจะเทิร์นโปรบ้างเหรอครับ”
ชนะรายการที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ อาจไม่ใช่ที่หนึ่งตลอดแต่ก็ไม่ค่อยหลุดหนึ่งในสาม รูปรายสัปดาห์จะแปรผกผันไปตามกิจกรรมที่ทำในเวลานั้น ถ้าเป็นสัปดาห์ปกติไม่ค่อยมีอะไรออกมาให้เห็น ส่วนช่วงไหนมีแข่งเทนนิสก็จะมีรูปให้ติดตามมากขึ้นหน่อย
จากเด็กผู้ชายตัวเล็กที่มักจะมีเด็กอีกสามคนตามติดเสมอก็เริ่มแยกตัวออกห่างตามวัย น่าเสียดายที่ดันเกิด ‘เหตุการณ์’ นั้นขึ้นด้วย เพราะรูปถ่ายภายหลังมักจะมีแต่รอยยิ้มเล็กๆ ดูแปลกปลอมประดับเอาไว้ ไม่เหมือนรอยยิ้มกว้างเห็นฟันเช่นยามเยาว์วัย
ยิ่งพอเข้าชั้นมัธยมก็ชัดเจนเข้าไปใหญ่ ทั้งเรื่องชกต่อยกับรุ่นพี่เพื่อปกป้องน้องของตัวเอง สมัยเพิ่งเปิดเรียนได้เทอมเดียวนี่ได้พ่อต้องเข้าไปรับทราบความประพฤติที่น่ากังวลของลูกชายและลูกสาวฝาแฝดรวมแล้วสามครั้ง
และส่วนที่เปลี่ยนไปชัดเจนสุดคงเป็นนัยน์ตาสีดำสนิทไร้ความรู้สึกนั่น
“แบล็คไม่ยอมอยู่ในกฎระเบียบอย่างนั้นหรอก”
“...ก็นั่นสิครับ”
แม้จะไม่เคยเข้าใกล้ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ คนเป็นเจ้าของสายเลือดครึ่งหนึ่งในร่างกายของเด็กชายทิวากาลเก็บข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับลูกแฝดเอาไว้เสมอ พี่โตสุดของบ้านอย่างแบล็คไม่เหมาะกับการอยู่ใต้คำสั่ง ถึงจะเป็นการสั่งให้ฝึกซ้อมตามรายการที่วางเอาไว้ก็ตามที
รูปอื่นไม่มีอะไรน่าสนใจ ท่าตีวาดวงสวยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน รู้ได้โดยความเคยชินว่าใต้กรอบแว่นสีดำอันใหญ่ไม่พ้นสายตาของผู้ล่าที่ไม่เคยพลาด
“วางลงแล้วกลับมาช่วยแม่ปักต่อได้แล้ว”
“ผมทำได้ไม่สวยสักที เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้เหรอครับ”
กิจกรรมที่ทำร่วมกันของแม่ลูกมีหลากหลายตั้งแต่ของเบสิกอย่างช่วยทำอาหาร ออกไปเที่ยวด้วยกัน ไปจนถึงการฝึกมารยาทผ่านการสอนในหลายรูปแบบ อย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้คือผ้าพื้นลินินกับไหมปักเหลือบ วางเอาไว้คู่กับลายดอกไม้ตัวอย่างหลายแบบ
“วันก่อนก็บ่นว่าร้อยดอกไม้ไม่สวย”
“คุณแม่ก็เห็นตัวอย่างแล้วนี่ครับ”
ไม่เคยมองว่าเป็นกิจกรรมสำหรับเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น พิชชาโตขึ้นมาพร้อมกับการสอนที่สมกับเป็นสายเลือด ‘ผู้ดีเก่า’ ทั้งคุณพ่อแล้วก็คุณแม่ที่เลี้ยงมาโตขึ้นท่ามกลางสังคมที่สถาปนาความสูงศักดิ์ของตัวเอง ทั้งสองรู้จักกันดีในระดับหนึ่งเพราะว่ามีถูกจำกัดเรื่องเพื่อนเหมือนกัน ก็เพราะทางออกที่มีไม่มากอย่างนั้นนั่นแหละเขาเลยได้มาอยู่ตรงนี้
แทนที่เด็กฝาแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง
“เราทำได้ แต่เราไม่ทำ”
“ถ้าเป็นลูกสาวอาจทำได้ดีกว่านี้เยอะครับ” โครงสร้างร่างกายของพิชชาไม่ต่างจากเด็กชายทั่วไป นิ้วใหญ่เก้งก้างไม่เหมาะกับการทำงานละเอียด “หรือว่าจะเป็นลูกชายก็ไม่รู้สิ”
“ไวท์ใจเย็นกว่าแบล็คเยอะ”
เรื่องลูกชายหญิงของเธอไม่ใช่สิ่งที่ต้องปกปิดเอาไว้ หรือต้องบอกว่าถ้าจะปิดไว้ก็ไม่มีทางพ้นจากสายตาของเด็กที่มีชื่อจริงแปลว่าผู้หยั่งรู้ไปได้ เด็กน้อยผู้ตั้งคำถามว่าเพราะอะไรเธอถึงมี ‘สีขาวดำ’ อยู่รอบกายเสมอ นับตั้งแต่นั้นมาเรื่องนี้จึงกลายเป็นหัวข้อสนทนาทั่วไปไปเสียแล้ว
พิชชาเลยได้รู้จักพี่อีกสองคนไปโดยปริยาย รู้เรื่องส่วนตัวเกี่ยวกับพวกเขาจำนวนมาก โดยเฉพาะเรื่องที่สำคัญที่สุดอย่างกรุ๊ปเลือดของแฝดคนพี่ที่เหมือนกับของเขาเอง
“ผมแปลกใจที่พี่แบล็คไม่มีเรื่องกับเด็กในสนามสักที”
สิ่งหนึ่งที่คนเป็นแม่ค่อนข้างกังวลใจคือนิสัยโมโหร้าย เจ้าอารมณ์ ต้องได้ทุกสิ่งอย่างที่ต้องการของทิวากาล ถึงจะดีขึ้นกว่าช่วงเวลาฮอร์โมนเปลี่ยนมากแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะไว้วางใจได้ตลอด พิชชาเองก็ต้องลุ้นระทึกอยู่เสมอว่าเลือดของตัวเองจะได้ทำหน้าที่เมื่อไหร่
“วัยรุ่น” คำสั้นแสดงความเข้าใจความต่างของช่วงอายุ “นี่ก็ดีขึ้นเยอะมากแล้ว พัฒนาได้ดี”
“จะมีโอกาสที่ผมได้ช่วยชีวิตพี่เขาไหมนะครับ”
“ก็ลองมองดูสิ”
ท้าทายแบบคนรู้ทัน พิชชาหัวเราะในลำคอขณะที่มือสองข้างช่วยกันร้อยไหมใส่รูเข็ม เตรียมตัวสำหรับการทำงานประดิดประดอยเป็นเพื่อนของคุณแม่ นอกจากคุณย่าแล้วก็ยังมีคุณแม่นี่แหละคอยเคี่ยวเข็ญให้ทำทุกอย่างมากเท่าที่จะเป็นไปได้
“ผมไม่อยากมองครับ...”
สิ่งที่ ‘พยายาม’ ไม่เห็นให้มากที่สุด สีดำสนิทยามมองลึกลงไปแทนคำตอบได้เพียงอย่างเดียว
“ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอแหละ”
“งั้นผมขอเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นได้ไหมครับ ดอกไม้จะกลายเป็นต้นไม้พิษแล้ว”
โชว์ผลงานชิ้นเอกของตัวเอง ส่วนที่ควรเป็นกลีบดอกก็โย้เย้ไม่มีระเบียบ แถมยังไม่เท่ากันเลยสักกลีบอีกต่างหาก “สงสารผ้าผืนนี้จังเลยครับ”
รอยยิ้มเอ็นดูส่งมาให้พร้อมกับรับผลงานของศิลปินชื่อพิชชาไปตรวจรายละเอียด “เพิ่งเริ่มทำครั้งแรกก็อย่างนี้ ไว้ลองใหม่คราวหน้า”
“คุณแม่...” งอแงเป็นเด็กตัวเล็ก เบะปากออกให้รู้ว่าไม่พอใจ “ผมรู้ว่าสำหรับคุณแม่มันสวยหมดแหละ แต่มันก็เป็นฝันร้ายของผมจริงๆ นะครับ”
งานที่สอนมีตั้งแต่งานพิถีพิถันไปจนถึงงานต้องใช้แรงงาน คุณแม่ให้ทุกอย่างกับเขาจนลืมตัวเสียบ่อยว่าตัวเองเป็นเพียงเด็กที่ถูกฝากเลี้ยงเอาไว้เท่านั้น แต่พอเห็นรูปของทารกคู่หนึ่งที่มักวางเอาไว้ตรงโต๊ะใหญ่ในห้องนั่งเล่นก็จะดึงตัวเองกลับมาได้หน่อย
พิชชาไม่ใช่เด็กตัวน้อยที่ใช้อารมณ์ตัดสินทุกอย่างมานานแล้ว เขารู้และวางตัวเองเอาไว้ในพื้นที่ที่ควรจะอยู่ไม่เคยล้ำเส้นออกไปไหน คิดเสียว่าโชคดีกว่าฝาแฝดคู่นั้นมาก อย่างน้อยก็มีทั้งคุณพ่อแล้วก็คุณแม่ แถมยังไม่ต้องจมอยู่กับตราบาปที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต
“ความทรงจำมันไม่ได้มีแต่เรื่องดีเสมอไปอยู่แล้วนี่”
“ก็จริงแหละครับ” ถอนหายใจออกมาให้ได้ระบายความรู้สึกหน่วงข้างใน มองหญิงสาวแสนสวยเจ้าของตำแหน่งดาวคณะสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยความชื่นชมเต็มหัวใจ คุณแม่ดูแลตัวเองดีเสมอไม่ว่าจะเป็นท่าทางหรือว่าการแต่งกาย ภาพที่ปรากฏต่อสายตาของคนข้างนอกที่ไม่รู้เบื้องลึกคือผู้หญิงเก่งผู้กุมอำนาจในธุรกิจหลายตัวเอาไว้เอง
ส่วนที่คนในรู้ก็คือเรื่องของลูกฝาแฝดคู่นั้น ทั้งสองไม่ได้ปิดบังถึงขั้นว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอยู่บนโลก ก็แค่แบ่งขอบเขตการรู้จักกันเอาไว้อย่างชัดเจน ไม่เคยย่างกรายเข้าไปปรากฏตัวให้ลูกเห็นอย่างที่สัญญากันเอาไว้ ต้องใช้วิธีการดูห่างๆ แทน
คุณแม่เข้มแข็งอย่างที่เด็กชายพิชชาไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้หากต้องอยู่ในสถานการณ์นั้น
“เดือนหน้าผมไม่อยากไปเรียนเปียโนเลย ขอเกเรได้ไหมครับ”
“ไม่น่ารักเลยนะ” เอ็ดปนระอาจากความเคยชิน “แล้วจะทำอะไรล่ะ แม่ไม่ให้เราว่างหรอกนะ”
ยังไม่ได้วางแผนเอาไว้เลยคิดไม่ออก “อืม... อาจเป็นเล่นกีฬามั้งครับ”
“งั้นไปแข่งเทนนิสไหมล่ะ?”
ก็พูดไปลอยๆ ตอนที่เห็นชื่อตัวเองอยู่บนตารางการแข่งเลยรู้สึกแปลกพิลึก
“น้องพิชแข่งคู่สาม จะกลับไปรอในรถไหม?”
เด็กชายผมยาวเงยหน้าขึ้นมองการ์ดของคุณน้า น้องชายของคุณแม่ ส่ายหัวปฏิเสธความหวังดีพลางบอกปัด “ไม่ล่ะครับ ว่าจะยืนดูคู่แข่งหน่อย”
ตอนนั้นก็พูดไปเรื่อย ไม่คิดว่าคุณแม่จะจริงจังถึงขนาดไปหาตารางการแข่งขันรอบกรุงเทพในเดือนถัดไปมาให้เลือก พอเห็นความใส่ใจนั้นจะให้ปฏิเสธไปว่าจะไม่เข้าแข่งขันก็คงเป็นลูกที่ไม่น่ารักมากเกินไปหน่อย พิชชาเลยต้องมายืนอยู่ข้างสนามเทนนิสนอกเมืองในเวลาแปดโมงเช้า
“งั้นต้องไปดูที่สนามสี่นะ ไม่ใช่สนามเจ็ด”
ทำปากยื่นใส่คนรู้ทัน ถึงจะเป็นการ์ดของคุณน้าแต่ก็เคยรับหน้าที่พี่เลี้ยงชั่วคราวของเขามาหลายครั้ง “ผมจะดูการแข่งขันรุ่นสิบสี่หรือสิบหกมันก็ค่าเท่ากันแหละครับ อย่างมากก็ผ่านไปถึงรอบรอง จะไปสู้พวกเล่นจริงจังได้ยังไง”
การแข่งขันแบ่งตามช่วงอายุ แล้วพิชชาก็กลายเป็นน้องคนสุดท้องในรุ่นไม่เกินสิบสี่ปี ส่วนคนที่กำลังวอร์มร่างกายเตรียมพร้อมอยู่ในสนามเจ็ดลงรุ่นไม่เกินสิบหกปี เขาไม่สนเรื่องคนที่แข่งในรุ่นของตัวเองอยู่แล้วล่ะ ทั้งไม่รู้จักใครแล้วก็ไม่ได้อยากจะทำความรู้จักด้วย นี่นา
เลยมาดูคนที่มักเห็นแค่ในภาพดีกว่า
บอกไม่ได้ว่าคุณแม่จงใจให้เขามาเจอหรือเปล่า ตอนเห็นชื่อผู้เข้าแข่งขันเลยต้องอ่านซ้ำอีกครั้งว่านายทิวากาลคนนั้นเป็นคนเดียวกับที่เขารู้จักหรือไม่ พิชชาจัดการสวมหมวกสีขาวปักชื่อยี่ห้อเอาไว้ปกปิดใบหน้าส่วนหนึ่ง รวบหางม้าที่มัดเอาไว้แล้วผ่านทางช่องเล็กด้านหลัง ชุดการแข่งที่ใส่ได้ทั้งสองเพศและส่วนสูงที่ยังไม่ถึงช่วงเวลาการทำงานของฮอร์โมนทำให้ดูเผินๆ แล้วก็เหมือนเด็กผู้หญิงที่มาร่วมการแข่งขันคนหนึ่ง
เดินไปแทรกรวมกลุ่มใต้ร่มชายหาดคันใหญ่ เลขเจ็ดตรงปลายสุดข้างหนึ่งของสนามแทนการบอกว่าเขากำลังจะได้รับชมการแข่งขันของรุ่นอายุไม่เกินสิบหกปี แดดในยามสายมากเสียจนเข้าใจว่าทำไมนักกีฬาประเภทนี้ถึงมีผิวสีคล้ำกันเป็นส่วนใหญ่
“กูจะฟ้องพ่อว่ามึงโดดเรียน”
“ไม่ยุ่งสักเรื่องได้ไหมเน็ท”
“ต้องยุ่งสิ มึงไม่ต้องฟังนิชมันบ่นแบบกูไง”
เหลือบมองเด็กชายวัยไล่เลี่ยกับตนสองคนคุยกันอย่างออกรสออกชาติ กดหมวกของตัวเองให้ลงมาปิดหน้ามากขึ้นเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง คนตรงนั้นไม่รู้จักเขาหรอก แต่ว่าพิชชารู้จักทั้งคู่เป็นอย่างดีเลยล่ะ ...รู้จักไปถึงบุคคลที่สามนั่นด้วย
น้องชายคนเล็กของบ้านกับเพื่อนสนิทที่น่าจะตีกันตายไปตั้งนานแล้ว พิชชารู้และเข้าใจเบื้องหลังความเป็นมาในครอบครัวนั้นทั้งหมด ทั้งที่ได้ยินจากคุณแม่แล้วก็แอบไปอ่านรายงานการบันทึกเอาเอง
คนตัวผอมนั่นชื่อโรม โตกว่าเขาประมาณครึ่งปีได้มั้ง ชอบทำตัวงอแงสมกับเป็นน้องชายคนเล็ก แล้วที่อยู่ข้างกันนั่นก็เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กชื่อเน็ท อายุไล่เลี่ยกับพี่ชายคนโตอย่างแบล็คแล้วก็ไวท์ ส่วนที่พูดถึงแต่ไมได้อยู่ตรงนี้ก็คือนิช คนที่เห็นแต่รูปยังพูดกับคุณแม่เลยว่าร้ายที่สุด
บอกแล้วไงว่ารู้จักดี
“ก็มันน่าเบื่ออะ มือกูเจ็บไปหมดแล้วด้วย”
“ใครใช้ให้เลือกกีตาร์ล่ะ เล่นกลองกับนิชก็จบแล้ว”
“เสียงดังจะตาย”
“ก็เลยลากกูมาดูพี่มึงแข่งในบรรยากาศสงบๆ แต่โคตรร้อนอย่างนี้สินะ”
“กูไม่มีทางมาคนเดียวอยู่แล้วมึงก็รู้”
ในเมื่อการแข่งขันยังไม่เริ่มก็ยืนฟังต่อไป เคยเห็นแต่หน้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวจริงของเหล่าผองเพื่อนเป็นคนแบบไหนบ้าง ตอนนี้กรรมการเรียกนักกีฬาไปตกลงเรื่องกติกาและเลือกฝั่งแล้ว ผู้ชายที่ชื่อแปลว่ากลางวันอยู่ในชุดเสื้อขาวกับกางเกงสีดำเกือบถึงเข่า สวมหมวกและแว่นเอาไว้พร้อมป้องกันแดด
เคยคิดว่าท่าตีสวย ตอนนี้คงต้องเปลี่ยนเป็นแค่ท่าเดินกลับมายืนหลังเส้นกรอบเตรียมรับลูกเสิร์ฟยังดูดีเลย โชคเป็นของเขาที่ทิวากาลเลือกเล่นฝั่งที่ยืนอยู่ เลยได้เห็นแผ่นหลังในระยะใกล้แทนที่จะเป็นด้านหน้าในระยะไกล
“เด็กติดพี่อย่างมึงเคยไปไหนคนเดียวเหรอ ...เหี้ยเอ๊ย แบล็คยืนกลางสนามอย่างนั้นไปได้ไงวะ กูอยู่ในร่มยังจะตายเอา”
“ไปซื้อน้ำกันไหมล่ะ”
“ไม่อะ เดี๋ยวกลับมาไม่มีที่นั่ง”
“กูไปเองก็ได้”
“ไกล เดี๋ยวมึงหลงทาง”
ไม่ต่างอะไรกับเด็กเห่อของเล่นใหม่ พิชชาให้ความสนใจกับเพื่อนกลุ่มนี้มากกว่าการแข่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเสียอีก กลุ่มคนที่เขาเคยได้เห็นเพียงรูป ได้รู้เรื่องผ่านตัวอักษร ตอนนี้ยืนอยู่ข้างเขาตั้งสามคนเลยนะ
“แค่นอกสนามเอง”
“นั่นแหละ ไกลแล้ว”
“มึงเป็นบ้าเหรอเน็ท”
“มึงอย่ามาลามปามพี่มึงนะน้องโรม”
ยิ้มคนเดียวจนคิดว่าถ้ามีใครแอบมองต้องคิดว่าเขาเป็นคนสติไม่เต็มแหง พิชชาเปลี่ยนไปชมการแข่งขันแทนการฟังเสียงเพื่อนสองคนทะเลาะกันไม่จบสิ้น การควบคุมลูกของทิวากาลทำได้ดีไม่มีที่ติ จังหวะการขยับตัวก็พอเหมาะพอดี ต้องฝึกมากเท่าไหร่ถึงทำได้ขนาดนั้นนะ
ทำหน้าที่เป็นผู้ชมที่ดีโดยการยืนชมเงียบๆ ไม่ส่งเสียงอะไรออกมารบกวนการแข่ง ลอบจำท่าทางตามจังหวะต่างๆ เอาไว้ปรับกับการเล่นของตัวเอง ทิวากาลเป็นผู้ชายที่แปลกสำหรับพิชชา แค่ส่วนสูงที่มากกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันก็เสริมความเด่นแล้ว พอไปรวมกับความรู้สึกบางอย่างข้างในใจที่ผุดขึ้นมาก็ยิ่งแล้วใหญ่
ผู้ชายคนนั้น ‘สูงศักดิ์’ กว่าเขา
“โห ชนะขาดเลยแฮะ”
เนื่องจากไม่รู้เรื่องแรงกิงของผู้เข้าแข่งขันทั้งสองคนเลยบอกไม่ได้ว่าสกอร์สามต่อศูนย์เซตที่ออกมาหมายถึงอะไรได้บ้าง พิชชามองผู้ชนะในเกมการแข่งขันถอดหมวกของตัวเองหนีบไว้กับช่วงแขนเพื่อยีเส้นผมสั้นข้างใน มืออีกข้างก็กวาดเอาของจำเป็นไม่ว่าจะผ้าเช็ดหน้า โคฟเวอร์ไม้และเครื่องดื่มเกลือแร่เอาไว้ จากนั้นถึงเลี่ยงออกมานอกสนามเพื่อให้คู่ต่อไปได้ใช้
แว่นกันแดดสีดำซ่อนช่วงนัยน์ตาเอาไว้จนไม่เห็นสิ่งใด เด็กชายผมยาวหันไปมองตรงสนามแข่งหมายเลขสี่ว่าใกล้ได้เวลาลงเล่นในส่วนของตัวเองหรือยัง พอมองกลับมาก็เป็นช่วงเดียวกับที่ทิวากาลเดินเข้ามาใกล้จนเกือบประชิดตัวแล้ว
“กะเอาชนะเลิศเลยเหรอ”
“มั้ง”
เสียงแตกหนุ่มตอบกลับคำเดียว พิชชาขยับตัวออกห่างนิดหน่อยโดยไม่ลืมกดหมวกให้ลงมาปิดครึ่งหน้า ความตื่นเต้นที่ได้เจอกันในระยะใกล้ส่งผลให้หัวใจเต้นแรงจนน่ากลัว ก็พิชชามักเห็นแต่ในรูปนี่นา แล้วรูปมันก็ไม่มีเสียงออกมาให้ได้ยินเสียหน่อย
ตามองตรงทำเป็นสนใจกับการแข่งขันแต่หูยังไม่เลิกแอบฟังว่าพี่น้องคุยอะไรกันต่อ
“คลาสกีตาร์?”
เล่นใช้เสียงราบเรียบอย่างนั้นไม่แปลกใจเลยที่คนน้องจะตอบกลับหงอยๆ “ก็อยากมาดูมึง...”
“หรือแค่ไม่อยากเรียน กูเตือนตั้งแต่มึงขอไปเรียนแล้วนะ”
“ก็...”
“ไม่เรียนก็บอกคุณพินิจไป เปลืองเงิน”
สมแล้วที่เป็นทั้งพี่แล้วก็พ่อ ลอบยิ้มมุมปากคนเดียวยามนึกกลับไปถึงเรื่องเล่าที่ออกมาจากปากของคุณแม่ พี่ชายคนโตอย่างทิวากาลไม่ยอมอยู่ในตำแหน่งของพี่ชายเพียงอย่างเดียว เขาตั้งให้ตัวเองกลายเป็นคุณพ่อคนที่สามของโรมไปแล้ว
วันนี้ได้เรื่องอื่นกลับไปเล่าให้คุณแม่ฟังนอกเหนือจากผลการแข่งแล้วล่ะ
“น้อง...ครับ” เสียงคุ้นเคยเรียกให้หันไปตามความเคยชิน ด้านซ้ายนั้นคือพี่เลี้ยงชั่วคราวของเขานั่นเอง “ต้องเตรียมตัวแล้ว”
“ครับ”
ตอบรับพร้อมกับเดินออกมาจากตรงนั้นทันที ขอบคุณในใจที่ไม่เรียกชื่อของเขาตอนที่อยู่ใกล้กับกลุ่มนั้น
“อ้าว นั่นผู้ชายเหรอ...” ระยะห่างยังไม่เท่าไหร่เลยได้ยินเสียงร้องด้วยความสงสัยนั้น คนโดนเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กผู้หญิงโคลงหัวไปมาเล็กน้อย มันก็ชินแล้วล่ะ นี่ไว้ผมยาวมาตั้งหลายปีแล้ว แถมยังปิดไปแล้วเสียครึ่งหน้าอีกต่างหาก ให้ใครมามองก็ต้องคิดอย่างนี้ทั้งนั้น
“เป็นไงบ้างครับ”
“เอาแง่ไหนดีครับ” เพิ่งเข้าชั้นมัธยมได้ไม่เท่าไหร่แต่เรื่องของความคิดความอ่านไม่ต่างจากคนที่อายุมากแล้ว “การแข่งก็ทั่วไปไม่มีอะไร ส่วนพวกเขาก็น่ารักดีครับ เสียดายไม่เห็นหน้าพี่แบล็คเต็มๆ อยากรู้ว่าเหมือนคุณแม่แค่ไหน”
รับกระเป๋าใส่ของจำเป็นสำหรับการแข่งขันมาไว้เอง ควานหาครีมกันแดดออกมาเป็นอย่างแรกสุด ทั้งร้อนทั้งแดดอย่างนี้ถ้าไม่ทาเอาไว้กลับบ้านไปคุณแม่จะต้องตกใจแน่ๆ
“ช่วงตาเหมือนครับ แต่ส่วนอื่นไม่เท่าไหร่ คนผู้หญิงเหมือนกว่า”
“...งั้นเหรอครับ”
“แต่ถ้าอยากเจอคนผู้หญิงคงต้องลงทุนกว่านี้”
หัวเราะขำขันให้กับคำกล่าว
“ไม่ต้องหรอกครับ เจอคนนี้ก็พอแล้ว” เสียงประกาศให้เตรียมตัวดังไปทั่วสนาม เด็กชายพิชชาเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนก้าวเหยียบสนามเทนนิสสมัยใหม่อย่างมั่นคง ตรงไปวางอุปกรณ์บนม้านั่งข้างสนามติดกับเก้าอี้ตัดสินของกรรมการ เพิ่งสังเกตว่าคนที่กำลังวอร์มอยู่ในสนามถัดไปคือ ‘พี่ชาย’ ของตัวเอง
อย่างนี้ก็มีจุดดึงความสนใจมากกว่าการแข่งของตัวเองแล้วสิ สะบัดหัวไปมาเรียกสติให้กลับเข้ามาอยู่ในร่าง พ่นลมออกจากปากเรียกกำลังใจเป็นครั้งสุดท้าย ได้สู้กับว่าที่ผู้ชนะอย่างนี้ก็ประหม่านิดหน่อย เขาเองไม่ได้เล่นเป็นอาชีพเหมือนอย่างบางคนที่หยุดเรียนเป็นปีเพื่อฝึกซ้อมนี่นา มีช่วงก่อนจะมาแข่งนี่แหละที่ตั้งใจกว่าปกติหน่อย ไม่อย่างนั้นก็ไปเล่นบ้างไม่เล่นบ้างตามอารมณ์ช่วงนั้น
ที่เลือกเทนนิสก็เพราะว่าเห็นภาพทิวากาลหัดเล่นนี่แหละ บอกคุณแม่ว่าอยากลองเล่นบ้างแล้วก็ไปซื้อไม้แร็กเก็ตวันถัดไป เริ่มเรียนในวันเสาร์จต่อจากนั้น พอตีได้ถนัดก็ไม่ได้เรียนเป็นคอร์สแล้วใช้วิธีไปตีตามความพอใจแทน
พิชชาพาตัวเองเข้าไปอยู่ในวงโคจรที่ชื่อทิวากาลทีละน้อย
เป็นการเริ่มเกมที่ดีเมื่อได้คะแนนแรกจากลูกเสิร์ฟเอส กระชับไม้ในมือให้แน่นเตรียมพร้อมกับการโต้กลับจากอีกฝั่ง ดูจากขนาดตัวแล้วคงต้องวางเท้าให้มั่นคงมากกว่าหลายๆ นัดที่ผ่านมา เขายิ่งไม่ถนัดลูกแบคแฮนด์อยู่ อย่าตีไปทางซ้ายมากเลยนะ
“โห...ถนัดสองมือเลยเหรอ”
แว่วเสียงมาจากด้านหลัง คงเป็นพวกคนมาดูการแข่งขันนั่นแหละ พิชชาเปลี่ยนวิธีการจับไม้จากด้านขวาเป็นซ้ายด้วยหลายสาเหตุ หนึ่งคือเป็นการเล่นจิตวิทยากับฝ่ายตรงข้ามไม่ให้ตั้งตัวรับทิศทางของลูกที่เปลี่ยนไป อย่างที่สองคือถึงจะเล่นได้ทั้งสองมือแต่การควบคุมทางซ้ายน้อยกว่านิดหน่อย มันจะช่วยให้เขาไม่ต้องเล่นนัดถัดไปได้ด้วย
มันเป็นเหตุผลที่ย้อนแย้งกันใช่ไหมล่ะ
ชีวิตคนเราก็อย่างนั้นแหละ
จากที่เคยถนัดแต่มือขวาก็โดนเคี่ยวเข็ญให้ใช้มือซ้ายด้วยจนไม่มีปัญหาในการสลับความถนัด ส่วนมากเป็นข้อดีแต่ข้อเสียก็มากอย่างเช่นตอนที่อยากอู้ไม่ช่วยคุณแม่ก็จะอ้างว่ามือเจ็บไม่ได้ จดการบ้านไม่เสร็จก็ยังต้องฝืนใช้อีกมือทำให้เสร็จอยู่ดี
“โว้ย!!!”
ทำหน้านิ่งยามฝั่งตรงข้ามคำรามออกมาจนก้องไปทั้งสนาม ระหว่างแข่งนักกีฬาก็มีวิธีการออกเสียงเพื่อระบายความตึงเครียดแตกต่างกันออกไป พิชชาไม่ค่อยทำมากเท่าไหร่เพราะไม่จริงจังกับการแข่งถึงขนาดนั้นแล้วก็ไม่อยากให้เสียงหายด้วย
ตอนนี้เด็กชายตัวใหญ่หัวเสียไม่น้อยเลยล่ะ พอพิชชาเปลี่ยนไปใช้มือซ้ายในการบังคับหลักมันคือการเริ่มต้นอ่านคู่ต่อสู้ใหม่ทั้งหมด นี่ใกล้จะจบเซตที่สองแล้วด้วย
ตั้งแต่เริ่มแข่งเมื่อวานก็ใช้แต่มือขวา ไม่แปลกที่ใครต่อใครจะตกใจตอนที่เขาใช้มือซ้ายตี การแข่งขันต่อจากนั้นพิชชากลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างสมบูรณ์ ที่คิดเอาไว้ว่าจะแพ้ในรอบนี้คงต้องพับเก็บเอาไว้ก่อน เกมในส่วนที่เหลือเป็นอย่างที่คิดเอาไว้ เขาชนะไปด้วยคะแนนสามต่อหนึ่งเซตท่ามกลางความตกใจของผู้ชม
ตามประเพณีหลังจบเกมก็ต้องมีการจับมือกันนิดหน่อย พิชชาหนีบแร็กแก็ตสีดำอันโปรดเอาไว้ตรงแขน ยกมือไหว้ฝั่งตรงข้ามในระดับเพื่อนตามที่คุณแม่พร่ำสอน อีกฝ่ายทำหน้าบอกบุญไม่รับแถมยังไม่ยอมยื่นมือมาให้จับตามมารยาทการแข่งที่ดีอีกต่างหาก
เห็นว่าคงไม่มีอะไรต้องทำเพิ่มเลยเดินกลับมานั่งพักตรงม้านั่ง แอบมองไปสนามถัดไปว่าเป็นอย่างไรบ้าง ได้ยินกรรมการประกาศไทร์เบรกพอดี ถ้าพี่แบล็คสามารถเก็บแต้มในรอบนี้ได้ก็จะชนะไป ก็เพราะว่าเอาแต่สนใจคนอื่นเลยไม่ได้สังเกตว่าเด็กชายตัวใหญ่คนที่เพิ่งแพ้เขาไปมายืนจังก้าอยู่ตรงหน้า
“ครับ?”
“ไอ้ตุ...”
“อย่าพูดคำนั้นออกมาดีกว่านะ” สวนกลับไปทันควัน คำที่ไม่ถึงกับต้องห้ามแต่ก็ส่งผลให้อารมณ์เสียได้อยู่เรื่อย “มันจะตอกย้ำว่าคนที่แพ้คือใครกันแน่”
เหยียดยิ้มร้ายให้รู้ว่ามันไม่ใช่แค่คำเตือน จ้องหน้าเด็กชายตัวโตไม่ลดละ ไม่ต้องขยับร่างกายสักส่วนเพื่อข่มขวัญฝ่ายตรงข้าม พิชชาไม่ใช่เด็กที่น่าเข้าใกล้เมื่อมองจากมุมคนวัยเดียวกัน พูดสุภาพ ไม่ค่อยร่าเริง ชอบมองมากกว่าที่จะลงมือเอง แล้วก็ไว้ผมยาวแตกต่างจากเด็กผู้ชายทั่วไป
และเด็กชายวัยสิบสามรู้ดีว่าครั้งนี้มันก็เหมือนกัน
เจ้าของแรงก์สูงสุดในการแข่งรุ่นไม่เกินสิบสี่กำมือแน่น อารมณ์คุกรุ่นยังค้างมาตั้งแต่ลูกเสิร์ฟในรอบที่สอง ศักดิ์ศรีของว่าที่แชมป์กลับถูกตีแสกเข้าหน้าจนยับเยินด้วยฝีมือของเด็กหน้าใหม่ผู้ไม่เคยลงแข่งในรายการใดมาก่อน
สังคมของนักกีฬาเทนนิสแคบ เรียกได้ว่ารู้จักกันเกือบหมดถ้าไม่ใช่ประเภทเก็บตัวเงียบสนิทจริงๆ ไปแข่งที่ไหนรายการไหนก็มักเจอคนหน้าคุ้นและเคยประลองฝีมือกันทั้งนั้น ตอนแรกที่เห็นว่าคู่แข่งเป็นเด็กหน้าแปลกทรงผมประหลาดก็คิดว่าสามารถชนะได้ไม่ยาก
ไม่มีแม้แต่เสี้ยวความคิดว่าจะเป็นผู้แพ้
“มึง!”
“ครับ”
ยังลอยหน้าลอยตารอดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เด็กชายพิชไม่เคยกลัวอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ
“น้องเก็บขวดน้ำพี่ให้หน่อย” ระหว่างที่ยังเปิดสงครามประสาทกันอยู่เสียงที่เพิ่งเคยได้ยินครั้งแรกเมื่อวานก็ดังขึ้นแทรก พิชชาตวัดหน้าหันไปมองพี่แบล็คของตัวเองทันที บอกไม่ได้ว่าสายตาคู่นั้นจับจ้องตรงส่วนไหนเพราะมีแว่นกันแดดบังไว้อยู่ “มันกลิ้งไป ขี้เกียจเดินไปเก็บ”
“อ่า...ได้ครับ”
ตอบรับพลางเอื้อมมือไปคว้าขวดน้ำพลาสติกที่นอนนิ่งสนิทไม่ไกลจากตัวเองเอาไว้ คิดไม่ออกว่าวางไว้ท่าไหนถึงโผล่มาอยู่ฝั่งเขาได้ เข้าใจสถานการณ์จำลองใช่ไหม เวลาดื่มน้ำเสร็จแล้วก็ต้องตั้งขวดน้ำเอาไว้ ตอนที่เดินมาก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรอยู่ที่พื้นเลย
“นี่ครับ...” ท้ายเสียงแผ่วลงยามเห็นว่าช่วงหน้าที่เคยมีแว่นกันแดดอันใหญ่สีดำปิดอยู่หายไปเสียแล้ว โดยไม่ต้องสั่งการพิชชาก็จัดการเก็บรายละเอียดบนใบหน้าของทิวากาลเอาไว้จนครบ
จนเผลอสะดุ้งยามสบเข้ากับนัยน์ตาสีดำสนิทคู่นั้นแบบไม่ทันตั้งตัว “อย่าดึงอันตรายเข้าหาตัวเอง”
“ขอบคุณครับ”
“เล่นดีนะ”
ยังไม่ได้ทันได้ขอบคุณอีกครั้งทิวากาลก็ต้องกลับไปลงสนาม แว่นสีดำกรอบใหญ่ถูกสวมกลับเข้าไปตามด้วยหมวกกีฬาทรงสวย พิชชามองตามไปจนกระทั่งเสียงลูกสักหลากกระทบกับหน้าไม้ดังขึ้น เมื่อนั้นถึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังตีกับโจทก์ตัวใหญ่ไม่เสร็จ
รีบกลับมาหาเด็กชายตัวใหญ่ มองจนทั่วแล้วก็ไม่เห็นแม้แต่แผ่นหลังไกลลับตา พิชชาลองตรวจสอบอีกครั้งจนมั่นใจว่าคนที่เข้ามาหาเรื่องไม่อยู่แถวนี้แล้วถึงผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน
ช่างมันเถอะ
วันนี้มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับเขาเกินพอแล้วล่ะ
***
คิดถึงพวกเขามากๆ เลยค่ะ (ยิ้ม) ช่วงนี้โน้ตบุ๊กเจ้างอแงตลอดเลย เอาเข้าศูนย์มาสามครั้งแล้วค่ะ ก็เลยต้องงัดเอาเครื่องเก่ามาใช้แล้วเจอไฟล์นี้พอดี ไหนๆ ยังไม่รู้ว่าหนังสือจะพรีเมื่อไหร่ก็เอามาลงดีกว่า พี่แบล็คกับพิชชาเป็นเรื่องที่เจ้าอยากเขียนตอนพิเศษในหลายๆ พล็อตแต่ว่าตามเส้นไทม์ไลน์แล้วมันแทบจะไม่มีที่ให้ลง เอาจริงๆ คือกว่าจะได้ตอนพิเศษครบนี่เหนื่อยมากจริงๆ ค่ะ (หัวเราะ)
ตอนที่ลงนี้จะเป็นครึ่งแรกของ [0.5] ซึ่งเป็นหนึ่งในตอนพิเศษลงในเล่ม ส่วนอีกพาร์ตชื่อ [18.5] เป็นเรื่องช่วงระหว่างตอนที่ 18 และ 19 ตามเนื้อเรื่องหลักค่ะ (ยิ้ม)
#พิชแบล็ค