CH.10-2
เสียงร้องหลงของครูวัยกลางคนแปลกจนทิวากาลต้องชะโงกหน้าเข้าไปดูว่าบนสมุดเล่มใหญ่ที่เธอกำลังเอานิ้วชี้ตรงรายชื่อสุดท้ายมีอะไรผิดปกติ หัวกระดาษเขียนเอาไว้ว่ารายชื่อผู้ขออนุญาตออกจากโรงเรียนก่อนเวลา และชื่อสุดท้ายคือเด็กผีที่เขาสวมรอยเป็นผู้ปกครองชั่วคราว
โดยมีชื่อผู้รับคือเจ้าบ่าวมือใหม่คนนั้น
"อืม เมื่อกี้เลย"
"โอ้ะ เขาบอกผมแล้วนี่นา" เรื่องที่ได้ยินน่าสนุกจนทิวากาลไม่ยอมเสียเวลาอยู่ตรงนี้ "ไม่ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเลย งั้นขอตัวก่อนนะครับ"
ยกมือขึ้นไหว้ผู้ประสาทวิชา ผละออกจากตรงนั้นไปทางลานจอดรถสำหรับผู้มาติดต่ออย่างรวดเร็ว คนอย่างปกายไม่มีทางมาตัวเปล่า แล้วตรงที่จอดรถสำหรับผู้มาติดต่อมันมีอยู่ที่เดียว ประเมินดูแล้วเด็กหัวแข็งไม่ยอมทำตามคำสั่งง่ายๆ ยังไงเขาก็น่าจะตามไปทัน
ได้ยินเสียงร้องโวยวายจากลานจอดรถอย่างที่คิดเอาไว้ ยิ่งเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ก็มั่นใจได้ว่าคนที่กำลังตะโกนออกมาด้วยความเกรี้ยวกราดเป็นเด็กในปกครองชั่วคราวของตัวเอง หาพื้นที่เหมาะสมกับการแอบฟังโดยหลบอยู่ด้านหลังของรถโรงเรียน ยื่นหน้าออกไปนิดหน่อยก็เห็นภาพที่คิดเอาไว้
เด็กชายตัวเล็กในชุดนักเรียนกับผู้ปกครองในเชิ้ตทำงานกำลังยืนโต้เถียงกันอยู่
"ภัสบอกแล้วว่าอย่าเจอกันอีก!"
"แต่ครูโทรไปบอกพี่ว่าภัสทำตัวแย่"
"แล้วไง? พี่กายเลยต้องสนถึงขนาดหนีภรรยาของตัวเองมาหาเลยเหรอ?"
เด็กน้อยก็ยังเป็นเด็กน้อยอยู่วันยังค่ำ ทิวากาลเดาะลิ้นไม่พอใจที่ภัสเลือกประชดอย่างนั้น ทำไปมันไม่มีเอฟเฟคอะไรสักหน่อย รังจะทำให้ตัวเองกลายเป็นคนงี่เง่าไร้เหตุผลไปเสียอีก
"อืม แล้วไง"
"พี่แม่งโคตรเหี้ย" เกือบหลุดคำอุทานตอนเห็นเด็กยกนิ้วกลางขึ้นใส่หน้าของอีกคน วัยรุ่นก็อารมณ์รุนแรงอย่างนี้ "ทำตัวทุเรศอย่างนี้สงสารผู้หญิงคนนั้น"
"ตัวเองก็รู้ว่าเรามีความสัมพันธ์แค่ทางกฎหมาย"
มือของคนตัวสูงกว่ายื่นออกไปคล้ายจะลูบช่วงศีรษะ และมันก็ถูกปัดออกด้วยความเร็วไม่ต่างกัน
"อย่า แตะ ภัส"
"เลือกอย่างนี้?"
"...ใช่"
นั่นไม่ใช่เสียงของคนมั่นใจเลยสักนิด ภัสสร์เงยหน้าขึ้นไปมองอีกคนด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างไปจากวันนั้น ราบเรียบไร้ความรู้สึก แห้งแล้งราวกับไร้ชีวิต "ไม่เคยมั่นใจกับเรื่องไหนเท่านี้เลย"
"ทั้งที่ภัสบอกว่ารักพี่"
"เคยรัก"
"..."
"แล้วก็ไม่รักแล้ว"
ช็อตการตัดขาดไม่เหลือใยเด็ดจนไม่อยากกระพริบตา ทิวากาลไม่เคยเจอฉากทะเลาะของคนที่มีความสัมพันธ์กันในรูปแบบนี้ ความรักของผู้ชายสองคนไม่ใช่เรื่องประหลาด ต่อให้ผู้ชายสองคนที่ว่ามีจุดเชื่อมทางสายเลือดก็เถอะ เขาแค่ไม่เคยเจอใครพูดคำว่า 'เคยรัก' ออกมาได้เต็มปากเท่าเด็กคนนี้
อันนี้เหมือนพี่
"...มั่นใจแล้วใช่ไหม"
"ถ้าไม่มั่นใจแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเหรอพี่กาย?" คนอายุมากกว่าเงียบไปถนัดตาพี่ที่เหมือนเป็นต่อในคราวแรกตอนนี้ทำได้แค่ปิดปากเอาไว้สนิท รอว่าเด็กในชุดนักเรียนจะเอ่ยคำเชือดเฉือนใดออกมาอีก "มันไม่มีไง เพราะงั้นพี่ควรกลับไปทำ 'หน้าที่' ของตัวเอง"
"..."
"ส่วนภัสจะทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนกัน"
หน้าที่เดียวของผมคือรอวันตาย
รอยยิ้มแสยะยังติดตา เสียงของเด็กอายุสิบหกไม่ควรไร้ชีวิตได้เท่านั้น
"เราเข้าใจตรงกันแล้วนะ"
ได้เวลาออกโรงบ้างแล้ว ทิวากาลหยิบแว่นกันแดดของตัวเองขึ้นมาสวมอีกครั้ง เดินตรงไปยังบริเวณที่ภัสสร์กำลังยืนอยู่ เด็กนักเรียนหันมามองหน้าเขาโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก ส่วนอดีตผู้ปกครองแบล็คไม่สนใจว่าจะคิดอย่างไร
"ผู้ปกครองมารับกลับบ้านแล้ว"
"อืม ไปกันเถอะ"
"ภัส!"
เสียงของบุคคลที่สามเรียกชื่อเด็กข้างตัว แบล็ครีบยกมือขึ้นโอบไหล่ผอมแห้งเอาไว้ ดันให้ออกเดินโดยไม่คิดจะหันกลับไปบอกคำลา
"ถ้าจะตัด...อย่าหันกลับไป"
"ผมตัดมานานแล้วต่างหาก"
“ทำให้ได้อย่างที่พูดแล้วกัน”
บอกคนที่ไหล่สั่นไหวไม่ยอมหยุด ไม่อยากก้มหน้าลงไปมองเพราะรู้ว่าบนใบหน้านั้นกำลังแสดงออกถึงสิ่งใด กดปุ่มเปิดล็อครถ ดันเด็กตัวเล็กเข้าไปข้างในรถตามด้วยตัวเองกลับไปอยู่บริเวณคนขับ สั่งให้คาดเข็มขัดเรียบร้อยแล้วถึงเคลื่อนตัวออก
"วันนี้ยังจะบ่นกลิ่นรถอีกไหม"
ตั้งแผนที่ในโทรศัพท์ให้ตรงไปยังเพนส์เฮาส์ของเด็กนี่ แดดจ้าตรงเข้ามาจนไม่อยากถอดแว่นตาสีดำที่กำลังใส่อยู่ เอื้อมมือไปดึงแผ่นกันแดดของอีกคนให้ลงมาทำหน้าที่ ลอบมองเด็กชายวัยรุ่นผู้หันหน้าออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่คิดจะกล่าวทักทาย
กลับไปหาพิชชาเย็นนี้จะต้องมีการฟ้องบ้างล่ะ
"ครูเล่าให้ฟังแล้ว"
"อ่าฮะ...?"
"เป็นวิธีประชดที่โง่ดี"
ถ้าไม่ใช่น้องของตัวเองแล้วล่ะก็ไม่มีประโยชน์ที่จะรักษาน้ำใจ
"เหอะ..." ภัสสร์เปลี่ยนมานั่งหลังตรง ไม่ท่ามากเหมือนกับพี่เท่าไหร่ "ผมแค่เบื่อแล้ว ไม่เกี่ยวกับพี่กาย"
ชื่อที่คิดว่าเป็นสิ่งต้องห้ามออกมาจากปาก ยื่นมือออกไปเปิดวิทยุลดความเงียบข้างในรถ เดี๋ยวนี้ไม่ได้ฟังช่องอื่นจนเพลงใหม่ทั้งหลายกลายเป็นไม่คุ้นหูไปหมด
"เบื่ออะไรมากมาย ไม่มีอะไรอยากทำเป็นพิเศษบ้างเหรอ"
"ไม่มี"
"งั้นอยากไปที่ไหนก่อนไหมล่ะ เดี๋ยวพาไป"
ไม่ค่อยอยากให้เด็กอารมณ์แปรปรวนอยู่คนเดียว ถ้าเกิดความคิดชั่ววูบขึ้นมาล่ะแย่แน่
"ที่ไหนก็ได้?"
"เอาที่พี่กลับมาเรียนพรุ่งนี้เช้าทันก็พอ"
วันนี้คงไม่ได้กลับไปทานข้าวเย็นกับพิชชาแล้วล่ะ ไม่ใช่ความผิดของเขานะที่ต้องมาติดแหงกอยู่กับคนน้อง ก็ให้แบล็คมาเป็นผู้ปกครองเอง
หยิบเครื่องมือสื่อสารเครื่องใหญ่ของตัวเองขึ้นมา ไม่มีข้อความตอบกลับเพราะเพิ่งผ่านเวลาเข้าคาบไปแค่ชั่วโมงเดียว กดปุ่มปลดล็อคพาสเวิร์ดตามด้วยเข้าโปรแกรมแผนที่ถึงส่งไปให้ภัสถือ คนที่บอกว่าตัวเองเบื่อทุกอย่างยื่นแขนข้างที่เต็มไปด้วยสร้อยข้อมือหลายรูปแบบเรียงกันจนดูรกตามารับ
"งั้นทะเลก็ได้ใช่ไหม"
"ชลบุรีไม่ก็ระยอง ไม่เอาประจวบ"
ระยะทางจากที่นี่ไปสองจังหวัดแรกใช้เวลาไม่เท่าไหร่ แล้วนักท่องเที่ยวในวันธรรมดาน่าจะน้อยกว่าด้วย
"ขอหารีวิวก่อน"
"ตามสบายเลย"
เด็กบ้าอะไรอยากไปทะเลตอนฤดูฝน คำนวณการเดินทางในหัว ไปเส้นชลบุรีมอเตอร์เวย์น่าจะง่ายที่สุดส่วนถ้าจะต่อไประยองก็ไม่มีปัญหาอะไร ถนนช่วงกลางวันช่วยให้สามารถใช้ความเร็วได้มากกว่าปกตินิดหน่อย ขับด้วยความเร็วอย่างนี้อีกไม่เกินสองชั่วโมงก็ถึง
"เปิดโลเคชั่นแล้วนะ"
นั่นคือประโยคสุดท้ายของเขากับภัสสร์บนรถ
ในความรู้สึกส่วนตัวทะเลฝั่งอ่าวไทยสวยไม่เท่าทะเลใต้ แต่เทียบกับระยะเวลาการเดินทางด้วยรถยนต์แล้วมันก็พอหักลบกันได้หน่อย ทิวากาลมองเด็กในชุดนักเรียนเปลี่ยนรองเท้าเป็นแบบแตะยางราคาถูกจากร้านขายของชำระหว่างทาง เตรียมพร้อมขนาดที่ว่าซื้อชุดเอาไว้เปลี่ยนด้วย
ใครเป็นคนกำหนดว่าอกหักต้องมาทะเล
ไม่เข้าใจ
"จะเล่นน้ำทั้งชุดนี้เหรอ"
คิดสภาพลงไปลุยทั้งชุดนักเรียนมันตลกพิลึก แค่วิ่งฝ่าฝนด้วยชุดนั้นรอบหนึ่งสมัยม.ปลายก็พอแล้ว
"ดูก่อน อาจไม่เล่น"
"ตามใจ"
ภัสสร์พูดน้อยลงเยอะ ตอนอยู่บนรถเห็นหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาปิดเครื่องแล้วโยนไปเบาะหลังส่งๆ เสียงเครื่องอำนวยความสะดวกกระแทกกับเบาะหลังแล้วเด้งลงพื้นดังจนเขาอยากจะส่งไปบอกพิชชาว่าเตรียมซื้อเครื่องใหม่ก็ดี
จะว่าไปเขายังไม่อยากรายงานพิชชาว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน
"ปกติต้องบอกพิชตลอดไหมว่าทำอะไรอยู่" หันไปถามคนที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋าทั้งสองข้าง รับลมทะเลเข้ามาปะทะหน้าอยู่ "หรือว่าจะมีคนบอก?"
"เดี๋ยวพิชก็รู้เอง"
หน้าจอสมาร์ทโฟนเด้งเตือนมาว่ามีข้อความใหม่ จากคนที่กำลังอยู่ในบทสนทนาของทั้งคู่
ฝากดูแลภัสด้วยนะครับ
ปล. แล้วถ้าได้เต็มจะมีรางวัลไหม?
ทิวากาลไม่ชอบครอบครัวนี้เข้าไปทุกที
"ไม่อึดอัดบ้างเหรอโดนตามตลอดอย่างนี้"
เขาเริ่มแยกได้แล้วว่าคนไหนรับหน้าที่ตามคนพี่ และรถคันไหนที่เอาไว้ตามคนน้อง แต่จะให้ตามใครเขาก็ว่ามันน่ารำคาญทั้งนั้นแหละ
"ชิน ก็ไม่เหงาดี"
"นี่มันละเมิดสิทธิส่วนบุคคลต่างหาก"
"บางคนกลัว มันก็ระแวงเป็นธรรมดา"
เดินทอดน่องไปบนชายหาดยาว เวลาบ่ายสามเกือบบ่ายสี่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ ความสงบบวกกับเสียงคลื่นช่วยผ่อนคลายอารมณ์ตึงเครียดของตัวเองได้ดี จากจุดจอดรถตรงต้นหาดกว่าจะเจอที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนก็เกือบท้ายหาดเข้าไปแล้ว ทิวากาลนั่งลงตรงโขดหิน หยิบกล่องบุหรี่ของตัวเองขึ้นมาด้วยความเคยชิน
"สูบไหม?" ถามหยั่งเชิง ยื่นไปให้ทั้งกล่อง "แต่นี่แบบร้อนนะ"
"ไม่"
ผิดคาด
แต่ก็ไม่เปลืองดี
เปิดไลท์เตอร์อันเดิม จุดให้เกิดประกายไฟแล้วจ่อไปตรงปลายมวนของตัวเอง สูดลมหายใจเข้าไปลึกหวังว่ารสขมจะช่วยให้ในสิ่งที่ต้องการ
"ถ้ากลัวเรื่องควันก็ไปเดินเล่น แต่อย่าไกลล่ะ" ขี้เกียจเดินตามหาอีก เขาไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็กสักหน่อย
"อยู่ตรงนี้แหละ"
พ่นควันสีเทาออกมา มันลอยฟุ้งอยู่ในอากาศได้ไม่นานก็จางหายไปกับสายลม หลังจากนี้อาจต้องลดปริมาณลงหน่อย วันก่อนไปเล่นกีฬาไม่นานก็เริ่มรู้สึกว่าหายใจลำบาก ไม่อยากคิดไปถึงตอนตรวจร่างกายคราวหน้าเลย จะต้องโดนพี่พยาบาลบ่นเรื่องจุดดำในปอดเพิ่มขึ้นแน่
"ไม่สูบหรือว่าวันนี้ไม่อยากสูบ"
"ไม่สูบ เคยลองแล้วไม่ชอบ"
"แล้วทำไมชอบไปที่แบบนั้น?"
"มันสบายใจดี"
เด็กไม่สูบบุหรี่ดึงชายเสื้อออกจากกางเกง ดันตัวเองขึ้นมานั่งข้าง
"นึกว่านั่นเป็นคำสำหรับการเข้าค่ายธรรมะ"
"อยู่ที่นิยามความสบายใจของแต่ละคน"
"แล้วสรุปทำไมถึงทำตัวใจแตก"
"อย่าเอาตัวเองมาตัดสินผม" คิ้วของภัสสร์ขมวดเข้าหากัน เสียงตวัดบอกว่าไม่พอใจเท่าไหร่กับคำที่ใช้ "บอกแล้วว่าแค่เบื่อ ไม่อยากเรียนแล้ว"
เคสของเพื่อนลุคเนิร์ดของตัวเองว่าหนักแล้ว เจอกรณีนี้ถ้าเอากลับไปเล่าให้นิชฟังรายนั้นคงหัวเราะไม่มีหยุด คนนั้นแค่ไม่เรียนต่อในมหาวิทยาลัยเพราะไม่ชอบระบบการเรียน แต่นี่คือเบื่อจนไม่อยากจะเรียนต่อ ต้องไร้แรงบันดาลใจขนาดไหนกัน
"แล้วอยากทำอะไร"
"อยากตาย"
เป็นครั้งที่สองแล้วที่เด็กคนนี้พูดในลักษณะเดียวกัน
"ก็ตายไปสิ"
ขอโทษที นี่ทิวากาล ไม่ใช่พระเอกในนิยายแบบที่หนึ่ง ถ้าอยากจะตายเขาก็จะเชียร์ให้คำตามบอก ไม่ใช่เรื่องจิตวิทยาอะไรทั้งนั้น ถ้าพูดออกมาได้ก็ต้องกล้าทำ ไม่อย่างนั้นก็เป็นแค่พวกขี้แพ้ที่ไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง
"คิดว่าผมไม่เคยลองหรือไง?"
"แล้วอย่างอื่นล่ะ" คำตอบที่สวนมาไม่ใช่อย่างที่คิดจนต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง นั่นไม่ใช่แค่คำท้าทาย...
"เดินทางรอบโลกมั้ง อยากไปที่แปลกๆ เบื่อไทยแล้ว"
"ก็ลองไปแถบเพื่อนบ้านก่อน เที่ยวไม่น่ายาก"
เห็นรีวิวไปเที่ยวด้วยเงินไม่เท่าไหร่เต็มอินเทอร์เน็ต พอเข้าไปเปิดอ่านแล้วมันก็มีทั้งเที่ยวแบบประหยัดจริงแล้วก็แอบแฝงโฆษณาเอาไว้ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าออกไปเที่ยวทั้งทีกลับมากังวลแต่เรื่องเม็ดเงิน สรุปแล้วไปเที่ยวเพราะต้องการประสบการณ์ใหม่หรือว่าไปเครียดเรื่องใช้เงินอย่างไรให้ประหยัด
"มีบางคนกลัวผมผลาญเงินน่ะ"
ครอบครัวสุขสันต์ของแท้เลยบ้านนี้
บุหรี่ยังเหลืออีกเกือบครึ่งมวน ทิวากาลสูดเอาสิ่งทำลายสุขภาพเข้าไปเป็นครั้งสุดท้ายก่อนขยี้มันกับหินตรงนั้น กลิ่นจางของบุหรี่ลอยวนเวียนจนรู้สึกผิดถ้าปล่อยให้กลิ่นนี้เข้าไปปนกับดอกไม้แห้งบนรถ
ที่จริงซองบุหงานั่นก็แทบไม่มีกลิ่นแล้วล่ะ จางเร็วอย่างที่พิชชาบอกเอาไว้เลย
"กลัวทำไม เขาทำอะไรได้เหรอ"
"เพราะเขาทำไม่ได้แต่พยายามทำมันเลยรำคาญไง"
"แล้วกับลูกชายเขาล่ะ?" คำถามไม่มีอ้อมค้อม และทิวากาลก็เชื่อว่าเด็กอายุสิบหกที่อยู่ด้านข้างใจเด็ดพอที่จะตอบกลับมา
"รู้สึกแบบไหน"
"ก็ไม่ได้เกลียดนะ แต่ว่าก็ไม่ได้รัก"
ตอนพูดคำว่า 'ไม่รัก' หนักแน่นกว่าครั้งไหน
"มันตัดง่ายอย่างนั้นเลยเหรอ พอดีไม่เคยมีฟีลลิ่งอย่างนั้นเลยไม่เข้าใจเท่าไหร่"
"ต้องตัดให้ได้ ยังไงก็ต้องทำ"
ในบางเรื่องคนตรงหน้าก็ไม่ใช่เด็กอย่างที่สบประมาทเอาไว้ ภัสสร์ผละออกจากตรงนั้นไปยังส่วนของผืนทะเล รองเท้าแตะคู่ไม่กี่สิบบาทถอดทิ้งไว้ห่างจากส่วนปลายคลื่นพอสมควร บรรยากาศของทะเลในฤดูฝนน่าหดหู่มากกว่าทุกที ทะเลสีขุ่นดูไม่สะอาดตาแล้วยังบวกกับท้องฟ้าสีหม่นนี่อีก เข้าใจเลยว่าทำไมถึงเป็นโลว์ซีซั่น
มองผู้ชายตัวปัญหาเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ จากข้อเท้าก็เป็นช่วงเข่า แล้วก็ครึ่งตัวตามลำดับ เริ่มสะกิดตรงส่วนลึกในใจว่ามันมีเรื่องแปลกกำลังจะเกิดขึ้น ถ้าอยากเล่นน้ำทะเลจริงทำไมถึงต้องลงไปขนาดนั้น หรือว่าแค่อยากให้เปียกทั้งตัวเฉยๆ
ภัสหันหลังกลับมามองที่เขา ระยะทางห่างกันจนมองไม่ค่อยออกว่าเด็กคนนั้นกำลังทำหน้าตาแบบไหนอยู่
ที่แย่คือเมื่อตั้งใจเพ่งดูร่างนั้นก็หายไปเสียแล้ว
"บ้าเอ๊ย!"
หัวใจของทิวากาลเต้นแรงขึ้นไม่รู้ตัว สิ่งที่เด็กใจเด็ดย้ำเสมอตะโกนบอกให้ทิ้งของทั้งหมดแล้วกระโจนลงน้ำตามไปทันที จากจุดที่นั่งอยู่กับบริเวณสุดท้ายห่างกันจนกลัวว่าคลื่นจะพัดคนตัวเล็กคนนั้นไปไกลเกินกว่าจะช่วยได้ทัน ยิ่งเป็นหน้ามรสุมอย่างนี้ไม่มีอะไรน่าไว้ใจสักอย่าง
การว่ายในทะเลไม่ง่ายเหมือนกับการว่ายในสระ ทั้งกว้างจนไม่อาจกำหนดขอบสิ้นสุดได้แถมยังมีแรงคลื่นคอยต้านเอาไว้อีก ดีไม่ดีเขานี่แหละที่จะจมหายไปแทน
เหมือนยกก้อนความเครียดทั้งหมดออกจากอกเมื่อเห็นส่วนศีรษะของเด็กคนนั้นก็โผล่ขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่เขาจะดำลงไป ทิวากาลปรับอารมณ์ของตัวเองให้คงที่มากที่สุดก่อนเดินลุยคลื่นเข้าไปหา
"นี่พยายามฆ่าตัวตายหรือไง"
"เปล่า ยังไม่ถึงเวลา เขายังไม่ยอมให้ผมไป"
‘เขา’ ที่ว่าจะเป็นสิ่งเดียวกับที่พิชชาเคยพูดถึงหรือเปล่านะ
"เล่นน้ำพอหรือยัง คลื่นชักแรงแล้ว"
คือไม่อยากจะเรียกการกระทำนั้นว่าเล่นน้ำหรอก แค่คิดชื่ออื่นที่ดีกว่านั้นไม่ได้แล้ว
กลับมานั่งอยู่ที่เดิม ตัวเปียกแบบจนไม่อยากจับของใช้อย่างอื่น มันเลยกลายเป็นคนสองคนถอดเสื้อของตัวเองออกผึ่งลมเอาไว้ ทิวากาลรู้สึกขอบคุณที่วันนี้ลืมใส่นาฬิกาข้อมือมาด้วยไม่อย่างนั้นคงเป็นเครื่องสังเวยพระสมุทรไปแล้ว ถึงจะเป็นนาฬิกาที่การันตีว่ากันน้ำได้เขาก็ไม่อยากเสี่ยง
"นาฬิกาไม่พังเหรอนั่น" แต่เด็กอีกคนไม่ได้ถอดออกก่อนลงไป
ภัสสร์มองหน้าปัดเครื่องบอกเวลาของตัวเอง ถอดมันออกแล้วโยนทิ้งไปบนผืนทราย "พังแล้ว"
"ไม่คิดจะเอาไปทิ้งในถังขยะให้ดีหน่อยเหรอ" เด็กบ้าอะไรทำตัวเอาแต่ใจได้เท่านี้ ทิวากาลเพิ่มสิ่งที่ตัวเองต้องทำก่อนเดินกลับไปขึ้นรถอีกอย่างคือการเอาขยะไปทิ้งให้ลงถัง "เพิ่มขยะให้ทะเลทำไม"
"ฝากพี่หน่อยแล้วกัน ไม่อยากจับของที่พี่กายให้"
นั่นคงเป็นสาเหตุที่โยนทิ้งเหมือนของไม่มีค่าสินะ
"ภัสติดหนี้พี่อยู่ครั้งหนึ่ง จำได้ใช่ไหม?"
ตอนนี้เขาคิดไม่ออกว่าควรคุยเรื่องไหนจนถึงกับต้องขุดความเดิมตอนที่แล้วมาพูด
"ที่จะถามเรื่องพิชเหรอ มาสิ" ขาทั้งสองข้างแกว่งไปมาเหมือนเด็กตัวน้อย "แต่ผมจะพูดเหมือนเดิมนะว่าพี่ไม่รู้มันก็ดีอยู่แล้ว"
"ขนาดนั้น?"
"ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แล้วจะถามเรื่องอะไรล่ะ"
"ทำไมต้องเป็นพี่"
"ให้เปลี่ยนคำถามได้นะ"
"ตอบมาเถอะ"
สิ่งที่เขาอยากรู้มันมีเรื่องนี้แค่เรื่องเดียว
"ทำไมพี่ถึงเรียนกฎหมาย?"
จากที่ควรได้คำตอบกลับได้คำถามมาแทน ทิวากาลยังไม่อยากออกนอกประเด็นเท่าไหร่เลยยอมตอบ "ไม่รู้สิ เบื่อวิทย์มั้ง"
ชีวิตสามปีในชั้นมัธยมปลายมีเจ้ากรรมนายเวรชื่อว่าฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิตหลัก และคณิตเสริมคอยตามติดไม่ยอมปล่อย ทำบุญอุทิศส่วนกุศลกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่คิดที่จะรับส่วนบุญ
"เหรอ คล้ายผมเลย แต่ผมเบื่อหมดทุกวิชาเลยอะ"
"ทำไมถึงรู้ว่าพี่เรียนนิติ"
"ผมก็ไม่อยากรู้หรอก แล้วสิ่งที่พี่ต้องการที่สุดในชีวิตคืออะไร?"
คำถามที่สองก็ยังไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เขาอยากได้ "ไม่รู้ ยังไม่มี"
"แบบจบไปทำงานอะไร หรือว่าอยากจะสร้างครอบครัวแบบไหน ไม่มีเลยเหรอ"
"ไม่"
ตั้งแต่จำความได้หน้าที่ของตัวเองก็ถูกกำหนดมาไว้แล้วว่าต้องดูแลน้องสามคน เขาเลยไม่คิดเรื่องส่วนตัวให้เปลืองพื้นที่สมอง รวมถึงสีดำยังไม่พร้อมยอมรับว่าหน้าที่นี้ใกล้จบลง สิ่งที่เฝ้าถนอมรักษามาโดยตลอดเติบโตจนไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้การปกครองอีกแล้ว
ความรู้สึกของพ่อที่ต้องปล่อยลูกสาวออกเรือนก็ประมาณนี้ล่ะมั้ง
"แต่พี่เป็นสิ่งที่พิชต้องการที่สุดในชีวิต"
"..."
"การได้เจอพี่คือสิ่งที่พิชชาปรารถนามากกว่าสิ่งอื่นใด"
ชุดของทั้งคู่ไม่เหมือนตอนขามา ภัสสร์เปลี่่ยนเป็นชุดลำลองที่ซื้อมาใหม่ ส่วนทิวากาลใส่เป็นชุดสำหรับเปลี่ยนหลังเล่นกีฬา การได้มาผ่อนคลายหรือว่าอาจจะทำให้สมองเหนื่อยมากขึ้นส่งผลให้บรรยากาศบนรถแย่ยิ่งกว่าเดิม
เพลงยุคเก้าศูนย์ยังเล่นต่อเนื่อง ท้องฟ้าที่เคยสดใสตอนนี้เหลือเพียงความมืดของราตรี
"พี่รู้ไหมว่าทำไมพิชถึงไว้ผมยาว"
อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจะเข้าเขตกรุงเทพมหานคร และนั่นคือคำพูดแรกตั้งแต่ขึ้นรถมา ทิวากาลคิดคำตอบที่เป็นไปได้สองสามอย่างแล้วยอมแพ้ ความคิดทางไหนก็ไม่เข้าท่าทั้งนั้น
"ไม่รู้"
"พี่มีแม่ไหม"
"...ก็มีนะ"
พออยู่กับคนพี่ต้องเป็นคนถาม มาอยู่กับคนน้องก็ต้องตอบอย่างเดียว ทิวากาลไม่ได้อยากตอบอ้อมแอ้มอย่างนั้นหรอก ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกสถานะของตัวเองว่ามีแม่ดีหรือเปล่า อย่างแม่สองไม่ใช่แม่อยู่แล้ว แต่จะให้เรียกผู้หญิงคนนั้นว่าแม่ก็แปลกไปหน่อย
"แม่เสียตอนคลอดผม" เหมือนอย่างที่ครูประจำชั้นบอกไว้ ภัสสร์ไม่มีพ่อกับแม่แล้ว "เห็นว่าเสียเลือดมากไป ผมก็เกือบไม่รอดเพราะว่าน้ำหนักน้อยมาก"
"พี่เสียใจด้วย"
"...พ่อบอกว่าพิชหน้าเหมือนแม่" เด็กที่ไม่เคยมีโอกาสเจอแม่ของตัวเอง ได้แต่จินตนาการจากคำบอกเล่าของคนอื่น "ช่วงประถมต้องให้แม่มางานวันแม่ แต่ผมไม่มีใครมาเลย"
เมื่อรวมกับคำที่พิชชาเคยบอกเอาไว้ เขาเริ่มเอาเรื่องสั้นหลายตอนมาต่อกันได้แล้ว "ยังเด็กอยู่นั่นแหละ เลยกลับมาร้องไห้กับพิช บอกว่าอยากเจอแม่บ้าง"
ได้แต่นั่งเป็นผู้ฟังที่ดี มีการตอบโต้บ้างตามสมควร
"ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าพิชจะยอมไว้ผมยาวให้ แล้วก็ไม่ยอมตัดสั้นเลยตั้งแต่นั้น"
...ผมทำเพื่อต่อชีวิตคนอีกคน
"ไม่ได้คิดว่าตัวเองขาดอะไรขนาดนั้นนะ ตอนมีพี่กายยังคิดอยู่เลยว่าหลังจากนี้พิชไม่ต้องทำอะไรเพื่อผมแล้ว" เสียงแค่นเยาะตัวเอง เห็นอยู่จากหางตาว่าเด็กคนนั้นยกมือขึ้นขยี้เส้นผมตัวเองรุนแรง "แต่ก็นะ สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่านี่แหละเป็นตอนจบที่ดีที่สุดแล้ว"
"..."
"ครอบครัวของผมเหลือแค่พิชคนเดียว"
ไฟแดงบอกระยะเวลาถอยหลังเกือบสองนาทีกว่าจะเขียวอีกครั้ง ทิวากาลเลยมีเวลามากพอในการหันมาค้นความจริงเพิ่มเติมจากตุ๊กตาหน้ารถได้
รัตติกาลเป็นผู้หญิงที่หน้าไร้อารมณ์ ส่วนสนธยาน้องอีกคนเป็นพวกนัยน์ตาไร้ชีวิต
และภัสสร์คือการรวมกันของสองคนที่กล่าวไว้ข้างต้น ผู้ชายผมยาวกว่าเด็กมัธยมทั่วไป โครงหน้าแบบผู้ชายกับการผสมกันของหลากหลายเชื้อชาติกลายมาเป็นรูปหน้าแปลกแต่ไม่น่าดึงดูด นอกจากส่วนของริมฝีปากที่ปิดเอาไว้สนิทจนเกือบเป็นเส้นตรงแล้วนัยน์ตาที่ควรบอกอะไรได้หลายอย่างก็แห้งแล้งไม่ต่างจากต้นไม้ใกล้ตาย
เด็กคนหนึ่งที่ต้องเจอเรื่องทั้งหมดนี้สามารถรับทุกอย่างเอาไว้ได้เองเหรอ
ราชาไม่เชื่อว่าภัสสร์จะทำได้
"พิชคือทุกอย่างของผม"
...ภัสมีแค่พิชคนเดียว
"เพราะอย่างนั้นผมไม่มีวันให้พิชกับใคร"
"..."
"ไม่มีวัน"
***
เรื่องของพี่แบล็คนี่แต่งยากจริงๆ นะคะ /ปาดน้ำตา เจ้าจะสอบแล้วล่ะค่ะ สัญญาว่าหลังสอบจะกลับมาพิมพ์ต่อเนื่องไม่ให้หายไปนานๆ อย่างนี้แล้วล่ะ
ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ
#พิชแบล็ค