♚ PITCH BLACK ♛ END - แจ้งข่าวหน้า 5 [25.1.19]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♚ PITCH BLACK ♛ END - แจ้งข่าวหน้า 5 [25.1.19]  (อ่าน 53079 ครั้ง)

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.10-2 [27.11.16] P.3
«ตอบ #60 เมื่อ27-11-2016 21:44:12 »

CH.10-2

   เสียงร้องหลงของครูวัยกลางคนแปลกจนทิวากาลต้องชะโงกหน้าเข้าไปดูว่าบนสมุดเล่มใหญ่ที่เธอกำลังเอานิ้วชี้ตรงรายชื่อสุดท้ายมีอะไรผิดปกติ หัวกระดาษเขียนเอาไว้ว่ารายชื่อผู้ขออนุญาตออกจากโรงเรียนก่อนเวลา และชื่อสุดท้ายคือเด็กผีที่เขาสวมรอยเป็นผู้ปกครองชั่วคราว

   โดยมีชื่อผู้รับคือเจ้าบ่าวมือใหม่คนนั้น

   "อืม เมื่อกี้เลย"

   "โอ้ะ เขาบอกผมแล้วนี่นา" เรื่องที่ได้ยินน่าสนุกจนทิวากาลไม่ยอมเสียเวลาอยู่ตรงนี้ "ไม่ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเลย งั้นขอตัวก่อนนะครับ"

   ยกมือขึ้นไหว้ผู้ประสาทวิชา ผละออกจากตรงนั้นไปทางลานจอดรถสำหรับผู้มาติดต่ออย่างรวดเร็ว คนอย่างปกายไม่มีทางมาตัวเปล่า แล้วตรงที่จอดรถสำหรับผู้มาติดต่อมันมีอยู่ที่เดียว ประเมินดูแล้วเด็กหัวแข็งไม่ยอมทำตามคำสั่งง่ายๆ ยังไงเขาก็น่าจะตามไปทัน

   ได้ยินเสียงร้องโวยวายจากลานจอดรถอย่างที่คิดเอาไว้ ยิ่งเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ก็มั่นใจได้ว่าคนที่กำลังตะโกนออกมาด้วยความเกรี้ยวกราดเป็นเด็กในปกครองชั่วคราวของตัวเอง หาพื้นที่เหมาะสมกับการแอบฟังโดยหลบอยู่ด้านหลังของรถโรงเรียน ยื่นหน้าออกไปนิดหน่อยก็เห็นภาพที่คิดเอาไว้

   เด็กชายตัวเล็กในชุดนักเรียนกับผู้ปกครองในเชิ้ตทำงานกำลังยืนโต้เถียงกันอยู่

   "ภัสบอกแล้วว่าอย่าเจอกันอีก!"

   "แต่ครูโทรไปบอกพี่ว่าภัสทำตัวแย่"

   "แล้วไง? พี่กายเลยต้องสนถึงขนาดหนีภรรยาของตัวเองมาหาเลยเหรอ?"

   เด็กน้อยก็ยังเป็นเด็กน้อยอยู่วันยังค่ำ ทิวากาลเดาะลิ้นไม่พอใจที่ภัสเลือกประชดอย่างนั้น ทำไปมันไม่มีเอฟเฟคอะไรสักหน่อย รังจะทำให้ตัวเองกลายเป็นคนงี่เง่าไร้เหตุผลไปเสียอีก

   "อืม แล้วไง"

   "พี่แม่งโคตรเหี้ย" เกือบหลุดคำอุทานตอนเห็นเด็กยกนิ้วกลางขึ้นใส่หน้าของอีกคน วัยรุ่นก็อารมณ์รุนแรงอย่างนี้ "ทำตัวทุเรศอย่างนี้สงสารผู้หญิงคนนั้น"

   "ตัวเองก็รู้ว่าเรามีความสัมพันธ์แค่ทางกฎหมาย"

   มือของคนตัวสูงกว่ายื่นออกไปคล้ายจะลูบช่วงศีรษะ และมันก็ถูกปัดออกด้วยความเร็วไม่ต่างกัน

   "อย่า แตะ ภัส"

   "เลือกอย่างนี้?"

   "...ใช่"

   นั่นไม่ใช่เสียงของคนมั่นใจเลยสักนิด ภัสสร์เงยหน้าขึ้นไปมองอีกคนด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างไปจากวันนั้น ราบเรียบไร้ความรู้สึก แห้งแล้งราวกับไร้ชีวิต "ไม่เคยมั่นใจกับเรื่องไหนเท่านี้เลย"

   "ทั้งที่ภัสบอกว่ารักพี่"

   "เคยรัก"

   "..."

   "แล้วก็ไม่รักแล้ว"

   ช็อตการตัดขาดไม่เหลือใยเด็ดจนไม่อยากกระพริบตา ทิวากาลไม่เคยเจอฉากทะเลาะของคนที่มีความสัมพันธ์กันในรูปแบบนี้ ความรักของผู้ชายสองคนไม่ใช่เรื่องประหลาด ต่อให้ผู้ชายสองคนที่ว่ามีจุดเชื่อมทางสายเลือดก็เถอะ เขาแค่ไม่เคยเจอใครพูดคำว่า 'เคยรัก' ออกมาได้เต็มปากเท่าเด็กคนนี้

   อันนี้เหมือนพี่

   "...มั่นใจแล้วใช่ไหม"

   "ถ้าไม่มั่นใจแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเหรอพี่กาย?" คนอายุมากกว่าเงียบไปถนัดตาพี่ที่เหมือนเป็นต่อในคราวแรกตอนนี้ทำได้แค่ปิดปากเอาไว้สนิท รอว่าเด็กในชุดนักเรียนจะเอ่ยคำเชือดเฉือนใดออกมาอีก "มันไม่มีไง เพราะงั้นพี่ควรกลับไปทำ 'หน้าที่' ของตัวเอง"

   "..."

   "ส่วนภัสจะทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนกัน"   

   หน้าที่เดียวของผมคือรอวันตาย

   รอยยิ้มแสยะยังติดตา เสียงของเด็กอายุสิบหกไม่ควรไร้ชีวิตได้เท่านั้น

   "เราเข้าใจตรงกันแล้วนะ"

   ได้เวลาออกโรงบ้างแล้ว ทิวากาลหยิบแว่นกันแดดของตัวเองขึ้นมาสวมอีกครั้ง เดินตรงไปยังบริเวณที่ภัสสร์กำลังยืนอยู่ เด็กนักเรียนหันมามองหน้าเขาโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก ส่วนอดีตผู้ปกครองแบล็คไม่สนใจว่าจะคิดอย่างไร

   "ผู้ปกครองมารับกลับบ้านแล้ว"

   "อืม ไปกันเถอะ"

   "ภัส!"

   เสียงของบุคคลที่สามเรียกชื่อเด็กข้างตัว แบล็ครีบยกมือขึ้นโอบไหล่ผอมแห้งเอาไว้ ดันให้ออกเดินโดยไม่คิดจะหันกลับไปบอกคำลา

   "ถ้าจะตัด...อย่าหันกลับไป"

   "ผมตัดมานานแล้วต่างหาก"
   
   “ทำให้ได้อย่างที่พูดแล้วกัน”

   บอกคนที่ไหล่สั่นไหวไม่ยอมหยุด ไม่อยากก้มหน้าลงไปมองเพราะรู้ว่าบนใบหน้านั้นกำลังแสดงออกถึงสิ่งใด กดปุ่มเปิดล็อครถ ดันเด็กตัวเล็กเข้าไปข้างในรถตามด้วยตัวเองกลับไปอยู่บริเวณคนขับ สั่งให้คาดเข็มขัดเรียบร้อยแล้วถึงเคลื่อนตัวออก

   "วันนี้ยังจะบ่นกลิ่นรถอีกไหม"

   ตั้งแผนที่ในโทรศัพท์ให้ตรงไปยังเพนส์เฮาส์ของเด็กนี่ แดดจ้าตรงเข้ามาจนไม่อยากถอดแว่นตาสีดำที่กำลังใส่อยู่ เอื้อมมือไปดึงแผ่นกันแดดของอีกคนให้ลงมาทำหน้าที่ ลอบมองเด็กชายวัยรุ่นผู้หันหน้าออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่คิดจะกล่าวทักทาย

   กลับไปหาพิชชาเย็นนี้จะต้องมีการฟ้องบ้างล่ะ

   "ครูเล่าให้ฟังแล้ว"

   "อ่าฮะ...?"

   "เป็นวิธีประชดที่โง่ดี"

   ถ้าไม่ใช่น้องของตัวเองแล้วล่ะก็ไม่มีประโยชน์ที่จะรักษาน้ำใจ

   "เหอะ..." ภัสสร์เปลี่ยนมานั่งหลังตรง ไม่ท่ามากเหมือนกับพี่เท่าไหร่ "ผมแค่เบื่อแล้ว ไม่เกี่ยวกับพี่กาย"

   ชื่อที่คิดว่าเป็นสิ่งต้องห้ามออกมาจากปาก ยื่นมือออกไปเปิดวิทยุลดความเงียบข้างในรถ เดี๋ยวนี้ไม่ได้ฟังช่องอื่นจนเพลงใหม่ทั้งหลายกลายเป็นไม่คุ้นหูไปหมด

   "เบื่ออะไรมากมาย ไม่มีอะไรอยากทำเป็นพิเศษบ้างเหรอ"

   "ไม่มี"

   "งั้นอยากไปที่ไหนก่อนไหมล่ะ เดี๋ยวพาไป"

   ไม่ค่อยอยากให้เด็กอารมณ์แปรปรวนอยู่คนเดียว ถ้าเกิดความคิดชั่ววูบขึ้นมาล่ะแย่แน่

   "ที่ไหนก็ได้?"

   "เอาที่พี่กลับมาเรียนพรุ่งนี้เช้าทันก็พอ"

   วันนี้คงไม่ได้กลับไปทานข้าวเย็นกับพิชชาแล้วล่ะ ไม่ใช่ความผิดของเขานะที่ต้องมาติดแหงกอยู่กับคนน้อง ก็ให้แบล็คมาเป็นผู้ปกครองเอง
   
   หยิบเครื่องมือสื่อสารเครื่องใหญ่ของตัวเองขึ้นมา ไม่มีข้อความตอบกลับเพราะเพิ่งผ่านเวลาเข้าคาบไปแค่ชั่วโมงเดียว กดปุ่มปลดล็อคพาสเวิร์ดตามด้วยเข้าโปรแกรมแผนที่ถึงส่งไปให้ภัสถือ คนที่บอกว่าตัวเองเบื่อทุกอย่างยื่นแขนข้างที่เต็มไปด้วยสร้อยข้อมือหลายรูปแบบเรียงกันจนดูรกตามารับ

   "งั้นทะเลก็ได้ใช่ไหม"

   "ชลบุรีไม่ก็ระยอง ไม่เอาประจวบ"

   ระยะทางจากที่นี่ไปสองจังหวัดแรกใช้เวลาไม่เท่าไหร่ แล้วนักท่องเที่ยวในวันธรรมดาน่าจะน้อยกว่าด้วย

   "ขอหารีวิวก่อน"

   "ตามสบายเลย"

   เด็กบ้าอะไรอยากไปทะเลตอนฤดูฝน คำนวณการเดินทางในหัว ไปเส้นชลบุรีมอเตอร์เวย์น่าจะง่ายที่สุดส่วนถ้าจะต่อไประยองก็ไม่มีปัญหาอะไร ถนนช่วงกลางวันช่วยให้สามารถใช้ความเร็วได้มากกว่าปกตินิดหน่อย ขับด้วยความเร็วอย่างนี้อีกไม่เกินสองชั่วโมงก็ถึง

   "เปิดโลเคชั่นแล้วนะ"

   นั่นคือประโยคสุดท้ายของเขากับภัสสร์บนรถ



   ในความรู้สึกส่วนตัวทะเลฝั่งอ่าวไทยสวยไม่เท่าทะเลใต้ แต่เทียบกับระยะเวลาการเดินทางด้วยรถยนต์แล้วมันก็พอหักลบกันได้หน่อย ทิวากาลมองเด็กในชุดนักเรียนเปลี่ยนรองเท้าเป็นแบบแตะยางราคาถูกจากร้านขายของชำระหว่างทาง เตรียมพร้อมขนาดที่ว่าซื้อชุดเอาไว้เปลี่ยนด้วย

   ใครเป็นคนกำหนดว่าอกหักต้องมาทะเล

   ไม่เข้าใจ

   "จะเล่นน้ำทั้งชุดนี้เหรอ"

   คิดสภาพลงไปลุยทั้งชุดนักเรียนมันตลกพิลึก แค่วิ่งฝ่าฝนด้วยชุดนั้นรอบหนึ่งสมัยม.ปลายก็พอแล้ว

   "ดูก่อน อาจไม่เล่น"

   "ตามใจ"

   ภัสสร์พูดน้อยลงเยอะ ตอนอยู่บนรถเห็นหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาปิดเครื่องแล้วโยนไปเบาะหลังส่งๆ เสียงเครื่องอำนวยความสะดวกกระแทกกับเบาะหลังแล้วเด้งลงพื้นดังจนเขาอยากจะส่งไปบอกพิชชาว่าเตรียมซื้อเครื่องใหม่ก็ดี

   จะว่าไปเขายังไม่อยากรายงานพิชชาว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน

   "ปกติต้องบอกพิชตลอดไหมว่าทำอะไรอยู่" หันไปถามคนที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋าทั้งสองข้าง รับลมทะเลเข้ามาปะทะหน้าอยู่ "หรือว่าจะมีคนบอก?"

   "เดี๋ยวพิชก็รู้เอง"   

   หน้าจอสมาร์ทโฟนเด้งเตือนมาว่ามีข้อความใหม่ จากคนที่กำลังอยู่ในบทสนทนาของทั้งคู่


   ฝากดูแลภัสด้วยนะครับ
   ปล. แล้วถ้าได้เต็มจะมีรางวัลไหม?



   ทิวากาลไม่ชอบครอบครัวนี้เข้าไปทุกที

   "ไม่อึดอัดบ้างเหรอโดนตามตลอดอย่างนี้"

   เขาเริ่มแยกได้แล้วว่าคนไหนรับหน้าที่ตามคนพี่ และรถคันไหนที่เอาไว้ตามคนน้อง แต่จะให้ตามใครเขาก็ว่ามันน่ารำคาญทั้งนั้นแหละ

   "ชิน ก็ไม่เหงาดี"

   "นี่มันละเมิดสิทธิส่วนบุคคลต่างหาก"

   "บางคนกลัว มันก็ระแวงเป็นธรรมดา"

   เดินทอดน่องไปบนชายหาดยาว เวลาบ่ายสามเกือบบ่ายสี่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ ความสงบบวกกับเสียงคลื่นช่วยผ่อนคลายอารมณ์ตึงเครียดของตัวเองได้ดี จากจุดจอดรถตรงต้นหาดกว่าจะเจอที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนก็เกือบท้ายหาดเข้าไปแล้ว ทิวากาลนั่งลงตรงโขดหิน หยิบกล่องบุหรี่ของตัวเองขึ้นมาด้วยความเคยชิน

   "สูบไหม?" ถามหยั่งเชิง ยื่นไปให้ทั้งกล่อง "แต่นี่แบบร้อนนะ"

   "ไม่"

   ผิดคาด

   แต่ก็ไม่เปลืองดี

   เปิดไลท์เตอร์อันเดิม จุดให้เกิดประกายไฟแล้วจ่อไปตรงปลายมวนของตัวเอง สูดลมหายใจเข้าไปลึกหวังว่ารสขมจะช่วยให้ในสิ่งที่ต้องการ

   "ถ้ากลัวเรื่องควันก็ไปเดินเล่น แต่อย่าไกลล่ะ" ขี้เกียจเดินตามหาอีก เขาไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็กสักหน่อย

   "อยู่ตรงนี้แหละ"

   พ่นควันสีเทาออกมา มันลอยฟุ้งอยู่ในอากาศได้ไม่นานก็จางหายไปกับสายลม หลังจากนี้อาจต้องลดปริมาณลงหน่อย วันก่อนไปเล่นกีฬาไม่นานก็เริ่มรู้สึกว่าหายใจลำบาก ไม่อยากคิดไปถึงตอนตรวจร่างกายคราวหน้าเลย จะต้องโดนพี่พยาบาลบ่นเรื่องจุดดำในปอดเพิ่มขึ้นแน่

   "ไม่สูบหรือว่าวันนี้ไม่อยากสูบ"

   "ไม่สูบ เคยลองแล้วไม่ชอบ"

   "แล้วทำไมชอบไปที่แบบนั้น?"

   "มันสบายใจดี"

   เด็กไม่สูบบุหรี่ดึงชายเสื้อออกจากกางเกง ดันตัวเองขึ้นมานั่งข้าง

   "นึกว่านั่นเป็นคำสำหรับการเข้าค่ายธรรมะ"

   "อยู่ที่นิยามความสบายใจของแต่ละคน"

   "แล้วสรุปทำไมถึงทำตัวใจแตก"

   "อย่าเอาตัวเองมาตัดสินผม" คิ้วของภัสสร์ขมวดเข้าหากัน เสียงตวัดบอกว่าไม่พอใจเท่าไหร่กับคำที่ใช้ "บอกแล้วว่าแค่เบื่อ ไม่อยากเรียนแล้ว"

   เคสของเพื่อนลุคเนิร์ดของตัวเองว่าหนักแล้ว เจอกรณีนี้ถ้าเอากลับไปเล่าให้นิชฟังรายนั้นคงหัวเราะไม่มีหยุด คนนั้นแค่ไม่เรียนต่อในมหาวิทยาลัยเพราะไม่ชอบระบบการเรียน แต่นี่คือเบื่อจนไม่อยากจะเรียนต่อ ต้องไร้แรงบันดาลใจขนาดไหนกัน

   "แล้วอยากทำอะไร"

   "อยากตาย"

   เป็นครั้งที่สองแล้วที่เด็กคนนี้พูดในลักษณะเดียวกัน

   "ก็ตายไปสิ"

   ขอโทษที นี่ทิวากาล ไม่ใช่พระเอกในนิยายแบบที่หนึ่ง ถ้าอยากจะตายเขาก็จะเชียร์ให้คำตามบอก ไม่ใช่เรื่องจิตวิทยาอะไรทั้งนั้น ถ้าพูดออกมาได้ก็ต้องกล้าทำ ไม่อย่างนั้นก็เป็นแค่พวกขี้แพ้ที่ไม่กล้าทำอะไรสักอย่าง

   "คิดว่าผมไม่เคยลองหรือไง?"

   "แล้วอย่างอื่นล่ะ" คำตอบที่สวนมาไม่ใช่อย่างที่คิดจนต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง นั่นไม่ใช่แค่คำท้าทาย...

   "เดินทางรอบโลกมั้ง อยากไปที่แปลกๆ เบื่อไทยแล้ว"

   "ก็ลองไปแถบเพื่อนบ้านก่อน เที่ยวไม่น่ายาก"

   เห็นรีวิวไปเที่ยวด้วยเงินไม่เท่าไหร่เต็มอินเทอร์เน็ต พอเข้าไปเปิดอ่านแล้วมันก็มีทั้งเที่ยวแบบประหยัดจริงแล้วก็แอบแฝงโฆษณาเอาไว้ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าออกไปเที่ยวทั้งทีกลับมากังวลแต่เรื่องเม็ดเงิน สรุปแล้วไปเที่ยวเพราะต้องการประสบการณ์ใหม่หรือว่าไปเครียดเรื่องใช้เงินอย่างไรให้ประหยัด

   "มีบางคนกลัวผมผลาญเงินน่ะ"

   ครอบครัวสุขสันต์ของแท้เลยบ้านนี้

   บุหรี่ยังเหลืออีกเกือบครึ่งมวน ทิวากาลสูดเอาสิ่งทำลายสุขภาพเข้าไปเป็นครั้งสุดท้ายก่อนขยี้มันกับหินตรงนั้น กลิ่นจางของบุหรี่ลอยวนเวียนจนรู้สึกผิดถ้าปล่อยให้กลิ่นนี้เข้าไปปนกับดอกไม้แห้งบนรถ

   ที่จริงซองบุหงานั่นก็แทบไม่มีกลิ่นแล้วล่ะ จางเร็วอย่างที่พิชชาบอกเอาไว้เลย

   "กลัวทำไม เขาทำอะไรได้เหรอ"

   "เพราะเขาทำไม่ได้แต่พยายามทำมันเลยรำคาญไง"

   "แล้วกับลูกชายเขาล่ะ?" คำถามไม่มีอ้อมค้อม และทิวากาลก็เชื่อว่าเด็กอายุสิบหกที่อยู่ด้านข้างใจเด็ดพอที่จะตอบกลับมา

   "รู้สึกแบบไหน"

   "ก็ไม่ได้เกลียดนะ แต่ว่าก็ไม่ได้รัก"

   ตอนพูดคำว่า 'ไม่รัก' หนักแน่นกว่าครั้งไหน

   "มันตัดง่ายอย่างนั้นเลยเหรอ พอดีไม่เคยมีฟีลลิ่งอย่างนั้นเลยไม่เข้าใจเท่าไหร่"

   "ต้องตัดให้ได้ ยังไงก็ต้องทำ"

   ในบางเรื่องคนตรงหน้าก็ไม่ใช่เด็กอย่างที่สบประมาทเอาไว้ ภัสสร์ผละออกจากตรงนั้นไปยังส่วนของผืนทะเล รองเท้าแตะคู่ไม่กี่สิบบาทถอดทิ้งไว้ห่างจากส่วนปลายคลื่นพอสมควร บรรยากาศของทะเลในฤดูฝนน่าหดหู่มากกว่าทุกที ทะเลสีขุ่นดูไม่สะอาดตาแล้วยังบวกกับท้องฟ้าสีหม่นนี่อีก เข้าใจเลยว่าทำไมถึงเป็นโลว์ซีซั่น

   มองผู้ชายตัวปัญหาเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ จากข้อเท้าก็เป็นช่วงเข่า แล้วก็ครึ่งตัวตามลำดับ เริ่มสะกิดตรงส่วนลึกในใจว่ามันมีเรื่องแปลกกำลังจะเกิดขึ้น ถ้าอยากเล่นน้ำทะเลจริงทำไมถึงต้องลงไปขนาดนั้น หรือว่าแค่อยากให้เปียกทั้งตัวเฉยๆ

   ภัสหันหลังกลับมามองที่เขา ระยะทางห่างกันจนมองไม่ค่อยออกว่าเด็กคนนั้นกำลังทำหน้าตาแบบไหนอยู่

   ที่แย่คือเมื่อตั้งใจเพ่งดูร่างนั้นก็หายไปเสียแล้ว

   "บ้าเอ๊ย!"

   หัวใจของทิวากาลเต้นแรงขึ้นไม่รู้ตัว สิ่งที่เด็กใจเด็ดย้ำเสมอตะโกนบอกให้ทิ้งของทั้งหมดแล้วกระโจนลงน้ำตามไปทันที จากจุดที่นั่งอยู่กับบริเวณสุดท้ายห่างกันจนกลัวว่าคลื่นจะพัดคนตัวเล็กคนนั้นไปไกลเกินกว่าจะช่วยได้ทัน ยิ่งเป็นหน้ามรสุมอย่างนี้ไม่มีอะไรน่าไว้ใจสักอย่าง

   การว่ายในทะเลไม่ง่ายเหมือนกับการว่ายในสระ ทั้งกว้างจนไม่อาจกำหนดขอบสิ้นสุดได้แถมยังมีแรงคลื่นคอยต้านเอาไว้อีก ดีไม่ดีเขานี่แหละที่จะจมหายไปแทน

   เหมือนยกก้อนความเครียดทั้งหมดออกจากอกเมื่อเห็นส่วนศีรษะของเด็กคนนั้นก็โผล่ขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่เขาจะดำลงไป ทิวากาลปรับอารมณ์ของตัวเองให้คงที่มากที่สุดก่อนเดินลุยคลื่นเข้าไปหา

   "นี่พยายามฆ่าตัวตายหรือไง"

   "เปล่า ยังไม่ถึงเวลา เขายังไม่ยอมให้ผมไป"

   ‘เขา’ ที่ว่าจะเป็นสิ่งเดียวกับที่พิชชาเคยพูดถึงหรือเปล่านะ

   "เล่นน้ำพอหรือยัง คลื่นชักแรงแล้ว"

   คือไม่อยากจะเรียกการกระทำนั้นว่าเล่นน้ำหรอก แค่คิดชื่ออื่นที่ดีกว่านั้นไม่ได้แล้ว

   กลับมานั่งอยู่ที่เดิม ตัวเปียกแบบจนไม่อยากจับของใช้อย่างอื่น มันเลยกลายเป็นคนสองคนถอดเสื้อของตัวเองออกผึ่งลมเอาไว้ ทิวากาลรู้สึกขอบคุณที่วันนี้ลืมใส่นาฬิกาข้อมือมาด้วยไม่อย่างนั้นคงเป็นเครื่องสังเวยพระสมุทรไปแล้ว ถึงจะเป็นนาฬิกาที่การันตีว่ากันน้ำได้เขาก็ไม่อยากเสี่ยง

   "นาฬิกาไม่พังเหรอนั่น" แต่เด็กอีกคนไม่ได้ถอดออกก่อนลงไป

   ภัสสร์มองหน้าปัดเครื่องบอกเวลาของตัวเอง ถอดมันออกแล้วโยนทิ้งไปบนผืนทราย "พังแล้ว"

   "ไม่คิดจะเอาไปทิ้งในถังขยะให้ดีหน่อยเหรอ" เด็กบ้าอะไรทำตัวเอาแต่ใจได้เท่านี้ ทิวากาลเพิ่มสิ่งที่ตัวเองต้องทำก่อนเดินกลับไปขึ้นรถอีกอย่างคือการเอาขยะไปทิ้งให้ลงถัง "เพิ่มขยะให้ทะเลทำไม"

   "ฝากพี่หน่อยแล้วกัน ไม่อยากจับของที่พี่กายให้"

   นั่นคงเป็นสาเหตุที่โยนทิ้งเหมือนของไม่มีค่าสินะ

   "ภัสติดหนี้พี่อยู่ครั้งหนึ่ง จำได้ใช่ไหม?"

   ตอนนี้เขาคิดไม่ออกว่าควรคุยเรื่องไหนจนถึงกับต้องขุดความเดิมตอนที่แล้วมาพูด

   "ที่จะถามเรื่องพิชเหรอ มาสิ" ขาทั้งสองข้างแกว่งไปมาเหมือนเด็กตัวน้อย "แต่ผมจะพูดเหมือนเดิมนะว่าพี่ไม่รู้มันก็ดีอยู่แล้ว"

   "ขนาดนั้น?"

   "ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร แล้วจะถามเรื่องอะไรล่ะ"   

   "ทำไมต้องเป็นพี่"

   "ให้เปลี่ยนคำถามได้นะ"

   "ตอบมาเถอะ"

   สิ่งที่เขาอยากรู้มันมีเรื่องนี้แค่เรื่องเดียว
   
   "ทำไมพี่ถึงเรียนกฎหมาย?"

   จากที่ควรได้คำตอบกลับได้คำถามมาแทน ทิวากาลยังไม่อยากออกนอกประเด็นเท่าไหร่เลยยอมตอบ "ไม่รู้สิ เบื่อวิทย์มั้ง"

   ชีวิตสามปีในชั้นมัธยมปลายมีเจ้ากรรมนายเวรชื่อว่าฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิตหลัก และคณิตเสริมคอยตามติดไม่ยอมปล่อย ทำบุญอุทิศส่วนกุศลกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่คิดที่จะรับส่วนบุญ

   "เหรอ คล้ายผมเลย แต่ผมเบื่อหมดทุกวิชาเลยอะ"

   "ทำไมถึงรู้ว่าพี่เรียนนิติ"

   "ผมก็ไม่อยากรู้หรอก แล้วสิ่งที่พี่ต้องการที่สุดในชีวิตคืออะไร?"

   คำถามที่สองก็ยังไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เขาอยากได้ "ไม่รู้ ยังไม่มี"

   "แบบจบไปทำงานอะไร หรือว่าอยากจะสร้างครอบครัวแบบไหน ไม่มีเลยเหรอ"

   "ไม่"

   ตั้งแต่จำความได้หน้าที่ของตัวเองก็ถูกกำหนดมาไว้แล้วว่าต้องดูแลน้องสามคน เขาเลยไม่คิดเรื่องส่วนตัวให้เปลืองพื้นที่สมอง รวมถึงสีดำยังไม่พร้อมยอมรับว่าหน้าที่นี้ใกล้จบลง สิ่งที่เฝ้าถนอมรักษามาโดยตลอดเติบโตจนไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้การปกครองอีกแล้ว

   ความรู้สึกของพ่อที่ต้องปล่อยลูกสาวออกเรือนก็ประมาณนี้ล่ะมั้ง

   "แต่พี่เป็นสิ่งที่พิชต้องการที่สุดในชีวิต"

   "..."

   "การได้เจอพี่คือสิ่งที่พิชชาปรารถนามากกว่าสิ่งอื่นใด"



   ชุดของทั้งคู่ไม่เหมือนตอนขามา ภัสสร์เปลี่่ยนเป็นชุดลำลองที่ซื้อมาใหม่ ส่วนทิวากาลใส่เป็นชุดสำหรับเปลี่ยนหลังเล่นกีฬา การได้มาผ่อนคลายหรือว่าอาจจะทำให้สมองเหนื่อยมากขึ้นส่งผลให้บรรยากาศบนรถแย่ยิ่งกว่าเดิม

   เพลงยุคเก้าศูนย์ยังเล่นต่อเนื่อง ท้องฟ้าที่เคยสดใสตอนนี้เหลือเพียงความมืดของราตรี

   "พี่รู้ไหมว่าทำไมพิชถึงไว้ผมยาว"

   อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจะเข้าเขตกรุงเทพมหานคร และนั่นคือคำพูดแรกตั้งแต่ขึ้นรถมา ทิวากาลคิดคำตอบที่เป็นไปได้สองสามอย่างแล้วยอมแพ้ ความคิดทางไหนก็ไม่เข้าท่าทั้งนั้น

   "ไม่รู้"

   "พี่มีแม่ไหม"

   "...ก็มีนะ"

   พออยู่กับคนพี่ต้องเป็นคนถาม มาอยู่กับคนน้องก็ต้องตอบอย่างเดียว ทิวากาลไม่ได้อยากตอบอ้อมแอ้มอย่างนั้นหรอก ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกสถานะของตัวเองว่ามีแม่ดีหรือเปล่า อย่างแม่สองไม่ใช่แม่อยู่แล้ว แต่จะให้เรียกผู้หญิงคนนั้นว่าแม่ก็แปลกไปหน่อย

   "แม่เสียตอนคลอดผม" เหมือนอย่างที่ครูประจำชั้นบอกไว้ ภัสสร์ไม่มีพ่อกับแม่แล้ว "เห็นว่าเสียเลือดมากไป ผมก็เกือบไม่รอดเพราะว่าน้ำหนักน้อยมาก"

   "พี่เสียใจด้วย"

   "...พ่อบอกว่าพิชหน้าเหมือนแม่" เด็กที่ไม่เคยมีโอกาสเจอแม่ของตัวเอง ได้แต่จินตนาการจากคำบอกเล่าของคนอื่น "ช่วงประถมต้องให้แม่มางานวันแม่ แต่ผมไม่มีใครมาเลย"

   เมื่อรวมกับคำที่พิชชาเคยบอกเอาไว้ เขาเริ่มเอาเรื่องสั้นหลายตอนมาต่อกันได้แล้ว "ยังเด็กอยู่นั่นแหละ เลยกลับมาร้องไห้กับพิช บอกว่าอยากเจอแม่บ้าง"

   ได้แต่นั่งเป็นผู้ฟังที่ดี มีการตอบโต้บ้างตามสมควร

   "ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าพิชจะยอมไว้ผมยาวให้ แล้วก็ไม่ยอมตัดสั้นเลยตั้งแต่นั้น"

   ...ผมทำเพื่อต่อชีวิตคนอีกคน

   "ไม่ได้คิดว่าตัวเองขาดอะไรขนาดนั้นนะ ตอนมีพี่กายยังคิดอยู่เลยว่าหลังจากนี้พิชไม่ต้องทำอะไรเพื่อผมแล้ว" เสียงแค่นเยาะตัวเอง เห็นอยู่จากหางตาว่าเด็กคนนั้นยกมือขึ้นขยี้เส้นผมตัวเองรุนแรง "แต่ก็นะ สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่านี่แหละเป็นตอนจบที่ดีที่สุดแล้ว"

   "..."

   "ครอบครัวของผมเหลือแค่พิชคนเดียว"

   ไฟแดงบอกระยะเวลาถอยหลังเกือบสองนาทีกว่าจะเขียวอีกครั้ง ทิวากาลเลยมีเวลามากพอในการหันมาค้นความจริงเพิ่มเติมจากตุ๊กตาหน้ารถได้

   รัตติกาลเป็นผู้หญิงที่หน้าไร้อารมณ์ ส่วนสนธยาน้องอีกคนเป็นพวกนัยน์ตาไร้ชีวิต

   และภัสสร์คือการรวมกันของสองคนที่กล่าวไว้ข้างต้น ผู้ชายผมยาวกว่าเด็กมัธยมทั่วไป โครงหน้าแบบผู้ชายกับการผสมกันของหลากหลายเชื้อชาติกลายมาเป็นรูปหน้าแปลกแต่ไม่น่าดึงดูด นอกจากส่วนของริมฝีปากที่ปิดเอาไว้สนิทจนเกือบเป็นเส้นตรงแล้วนัยน์ตาที่ควรบอกอะไรได้หลายอย่างก็แห้งแล้งไม่ต่างจากต้นไม้ใกล้ตาย

   เด็กคนหนึ่งที่ต้องเจอเรื่องทั้งหมดนี้สามารถรับทุกอย่างเอาไว้ได้เองเหรอ

   ราชาไม่เชื่อว่าภัสสร์จะทำได้

   "พิชคือทุกอย่างของผม"

   ...ภัสมีแค่พิชคนเดียว

   "เพราะอย่างนั้นผมไม่มีวันให้พิชกับใคร"

   "..."

   "ไม่มีวัน"


***
   เรื่องของพี่แบล็คนี่แต่งยากจริงๆ นะคะ /ปาดน้ำตา เจ้าจะสอบแล้วล่ะค่ะ สัญญาว่าหลังสอบจะกลับมาพิมพ์ต่อเนื่องไม่ให้หายไปนานๆ อย่างนี้แล้วล่ะ
   ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ
   #พิชแบล็ค

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.10-2 [27.11.16] P.3
«ตอบ #61 เมื่อ27-11-2016 22:01:37 »

ไม่มีวันให้พิชกับใคร

โอ้ว! เหมือนจะเข้าใจ แต่ต้องรอเรื่องราวต่อไป
แค่บางอย่างชัดขึ้นมานิด

เอาใจช่วยคนเขียนนะคะ
จะรออ่าน

ออฟไลน์ Warnkt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 82
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.10-2 [27.11.16] P.3
«ตอบ #62 เมื่อ03-12-2016 01:30:47 »

รอจ้า ไม่ว่าเรื่องจะไปทางใหนขออย่างเดียว อย่าม่ามากก็พอ  :mew2: :mew2:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.11-1 [15.12.16] P.3
«ตอบ #63 เมื่อ15-12-2016 19:14:59 »

CH.11-1


   ‘ทำได้ไหมครับ’

   ‘...’

   ‘สาบานว่าราชาจะไม่จากพิชชาไปไหน’



   ป่าหลังบ้านแปลกตาไปกว่าทุกครั้งที่เดินเข้ามา พืชใบเขียวที่มักแทรกขึ้นมาตามช่องว่างวันนี้ดูเป็นระเบียบมากกว่าเคย ทิวากาลเดินเลาะตามเส้นทางสายเดิมจนหยุดอยู่ตรงต้นไม้ขนาดใหญ่อายุเกือบร้อยปี มันซ่อนตัวอยู่ในที่ลึกอย่างเงียบเชียบจนไม่เคยมีใครสำรวจเจอ ขนาดคนเป็นพ่อตอนซื้อก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอยู่ เป็นเขานี่แหละที่พาน้องเดินเล่นซนจนบังเอิญพบเข้า

   บ้านที่อยู่ลึกเข้ามาในซอยส่วนบุคคลไม่มีเสียงรบกวนอยู่แล้ว ยิ่งเป็นพื้นที่ไร้การรุกรานอย่างนี้มันเป็นส่วนที่สงบที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา แบล็คชอบมานั่งเล่นอยู่คนเดียวเวลาที่ต้องการความเป็นส่วนตัวหรือว่าอยากจะพักผ่อนสมอง มันเป็นสวนลับของทิวากาลคนเดียว ...ไม่สิ ของใครอีกคนด้วย

   "เมื่อวานไปเที่ยวไหนมาไวท์?"

   ครึ่งชีวิตที่มายืนอยู่ตรงหน้าเขานี่ไง

   "ไม่ได้เที่ยว ไปซื้อสมุด"

   "ไม่เห็นส่งมาบอก ที่บ้านก็ตกใจ"

   คนมีหน้าที่ส่งไม่ใช่น้องสาวเขาหรอก อีกคนต่างหาก มีเอาไว้รายงานทุกความเคลื่อนไหว ปากบอกว่าเพื่อไม่ให้คนที่บ้านต้องห่วง ที่จริงก็แค่อยากหาเรื่องเยาะเย้ยเขานั่นแหละ

   "เมื่อวานรีบๆ เลยลืมมั้ง"

   น้องสาวฝาแฝดในชุดลำลองอยู่บ้านสบายๆ เสื้อสีขาวโอเวอร์ไซซ์กับกางเกงยีนส์สั้น ถึงจะอยู่ในสไตล์การแต่งตัวที่ไม่ชอบมากเท่าไหร่ก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าไวท์ไม่เคยห้ามเรื่องสูบบุหรี่เขาก็ต้องเคารพในวิธีการ 'ไว้อาลัย' ในแบบของเธอเช่นกัน

   รัตติกาลลงมานั่งถัดออกไป เอียงคอซบลงตรงไหล่ ความสูงของทิวากาลกับแฝดแตกต่างกันตามข้อจำกัดเรื่องเพศ ถึงอย่างนั้นมันก็ยังถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานอยู่ดี

   "แล้ววันนี้ไม่ออกไปไหน?" ถ้าเป็นเมื่อก่อนคำถามนี้ไม่มีทางออกมาจากปาก ก็รัตติกาลเคยไปข้างนอกเหมือนอย่างคนอื่นเขาที่ไหนล่ะ ขลุกตัวอยู่แต่ในบ้านทั้งวันจนเพื่อนยังบ่นว่าเป็นโรคกลัวการออกจากห้องหรือเปล่า

   รู้คำตอบได้จากแรงขยับตรงไหล่ แน่นอนว่าเวลาเกือบบ่ายอย่างนี้คงเพิ่งตื่นนอน รู้ว่าเป็นการตามใจในเรื่องไม่ดีแต่ชายหนุ่มก็ไม่มีสิทธิมากพอจะไปบังคับให้น้องทำตาม ระบบร่างกายของรัตติกาลต่างจากคนอื่นจนไม่อาจเข้าไปอยู่กับสังคมใหญ่ได้แล้ว

   "งั้นวันนี้ก็นั่งเล่นด้วยกันเนอะ"

   ไม่ได้มีโอกาสมานั่งข้างกันเหมือนที่กำลังทำอยู่นานแล้ว ต่างคนต่างดำเนินชีวิตของตัวเอง ในช่วงเวลาหนึ่งทั้งสองคนไม่เคยจะห่างกัน และในอีกช่วงหนึ่งก็แทบจะไม่ได้เจอกันเลย แต่ในท้ายที่สุดสายใยของครึ่งชีวิตมันจะพาสองร่างกลับมาเจอกันอีกครั้ง

   สำหรับทิวากาลแล้วรัตติกาลเป็นครึ่งชีวิตที่ต้องดูแลเท่าชีวิต ไม่ว่าเมื่อไหร่ 'แบล็ค' จะต้องมี 'ไวท์' อยู่ด้วยเสมอ สีดำที่จะต้องอยู่กับสีขาวบนสัญลักษณ์หยินหยาง เราร่วมทุกข์และแบ่งสุขกันเสมอ

   ท้องฟ้าเป็นสีหม่นสมกับพยากรณ์อากาศบอกว่าอาจจะมีฝนฟ้าคะนอง แล้วคิดว่าทั้งสองคนสนหรือไงกันล่ะ ทางที่แย่ที่สุดคือต้องเปียกฝนเดินกลับเข้าไปในตัวบ้านก็เท่านั้นเอง

   ต่อให้รอบข้างมีแต่เสียงของใบไม้ปลิวตามแรงลมมันก็ไม่มีผลอะไรกับคนทั้งคู่ ฝาแฝดแบ่งช่วงเวลาผ่อนคลายนี้ด้วยกันเช่นเดียวกับทุกครั้งที่หนีมาซ่อน มันเป็นที่สำหรับคนสองคนเท่านั้น

   ณ ที่นี้ไม่อนุญาตให้ใครอื่นเข้ามาแบ่งปัน

   "มีปัญหาอะไรกับเวลหรือเปล่า"

   เรื่องน่าประหลาดที่ไม่มีใครสามารถให้คำอธิบายได้ ทิวากาลรับรู้ได้ว่าอีกครึ่งหนึ่งของตัวเองกำลังคิดหรือว่ากังวลบางเรื่องอยู่

   "เปล่า"

   "เล่ามา" ปฏิเสธแบบนี้ร้อยทั้งร้อยมีปัญหาแน่นอน

   "ไม่ใช่เรื่องของเวลา"

   ชื่อที่เขาไม่อยากจะใช้ ชายคนนั้นเก็บไว้ให้ 'บางคน' เรียก และบางคนที่ว่าไม่มีเขารวมอยู่ด้วย

   เงียบรอว่าสีตรงข้ามของตัวเองจะเล่าเรื่องอะไรต่อ คนรู้จักกันดีที่สุดสามารถจับทางได้ว่าควรปฏิบัติแบบไหนให้สบายใจทั้งสองฝ่าย ไวท์ไม่ใช่คนชอบพูดมาก กับเขาที่เป็นฝาแฝดยังพูดเฉพาะเท่าที่จำเป็นเลย

   คนเป็นกระจกจะรอจนกว่าอีกฝั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้า เมื่อนั้นถึงทำหน้าที่ของตัวเอง

   "ผู้ชายผมยาวคนนั้น"

   แต่ไม่คิดว่ามันจะสะท้อนกลับมาเข้าตัว

   "พิช...ชา?"

   ว่าจะไม่ถอนหายใจแล้วนะ ถ้าชื่อนั้นมันไม่ออกมาจากปากของน้องสาวตัวเอง "อืม พิชชา"

   "เจอเดินด้วยกันที่ม.เมื่อวันก่อน" ไวท์ชอบพูดสั้น และแปลกดีตรงที่เขาดันเข้าใจเสียทั้งหมด "เวลาไม่ได้บอกก่อนนะ"

   เชื่อตามที่บอก คนอย่างเวลาไม่ใช่พวกขี้ฟ้องอยู่แล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นคนรอบข้างเขาคงรู้ตั้งแต่วันที่ไปช่วยพิชซื้อของแล้ว ข้อดีนี้ของคนที่กำลังจะมาเป็นน้องเขยไม่ได้ช่วยให้คะแนนความนิยมเพิ่มขึ้นหรอก เขาจะค้านจนสุดขอบโลกเลยล่ะ

   "อืม อยากรู้ตรงไหนล่ะ"

   อาจถึงเวลาที่ต้องบอกออกไป

   "ไม่มี"

   "ถามได้หมดนะไวท์"

   "ไม่มีคำถาม"

   เอียงคอตัวเองลงไปซบกับอีกคน กลิ่นน้ำหอมเหมือนกันแตะจมูกพร้อมกับความแปลกประหลาดบางอย่าง กลิ่นหวานที่มักจะทำให้เขาเอียนเสมอวันนี้มันเปลี่ยนไป ทั้งที่คนสองคนใช้น้ำหอมกลิ่นเดียวกันเมื่อมาอยู่ข้างก็ควรจะทวีคูณแท้ๆ

   "แล้วจะเล่าให้ฟังทั้งหมดนะ"

   ยังไม่อยากเล่าตอนนี้ เพราะมันไม่มีอะไรแน่นอนสักอย่าง ไม่รู้ว่าพิชชาเป็นใคร ทำไมต้องเป็นเขา ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วอะไรเป็นเหตุผลของการกระทำทั้งหมด

   "รอได้"

   "ขอบคุณนะ"

   "แล้วอยากถามอะไรไหม?"

   ไม่มากนักที่รัตติกาลจะเปิดโอกาสให้คนอื่นได้ถามกลับ

   "อืม ไม่ล่ะ"

   ถ้าเธอไม่ถาม เขาก็ไม่อยากถามกลับเหมือนกัน ถ้าเป็นเรื่องของเวลาก็รู้เกือบทั้งหมดแล้ว ใครจะปล่อยให้น้องสาวของตัวเองไปอยู่กับคนอื่นโดยไม่ตามหาประวัติส่วนตัวล่ะ จะน้องคนไหนก็เถอะฝ่าด่านของราชาไปให้ได้แล้วค่อยว่ากันเรื่องอื่น

   น้ำหนักตรงไหล่หายไปแล้ว หันมามองหน้าน้องสาวของตัวเองเงียบๆ ใบหน้าแทบไม่มีส่วนใดคล้าย และนิสัยไม่มีส่วนไหนเหมือน ความเป็นฝาแฝดของทั้งคู่มีเพียงใบเกิดเท่านั้นเป็นข้อพิสูจน์ นอกจากนั้นแล้วถ้าอยากจะเช็คคงต้องส่งดีเอ็นเอไปตรวจเอา

   นัยน์ตาว่างเปล่าคู่นั้นเห็นกี่ครั้งก็ยังไม่ชิน ความรู้สึกผิดยังติดค้างอยู่ข้างในมากเสียจนไม่อยากสบตากลับไป รัตติกาลเคยเป็นเจ้าหญิงของราชา หญิงสาวที่ได้รับการทะนุถนอมมาโดยตลอด เป็นเขาเองที่ 'ดูแลน้อง' ได้ไม่ดีพอ

   "ผมยุ่งหมดแล้วนั่น" ลมพัดแรงจนเรือนผมสีดำสวยเริ่มไม่เป็นทรง มือยกขึ้นไปจัดแต่งให้ด้วยความเคยชิน "มัดให้ไหม"

   เห็นว่าตรงข้อมือไวท์มียางรัดผมเส้นใหญ่อยู่ รัตติกาลยังจ้องใบหน้าพี่ชายตัวเองโดยไม่ตอบรับข้อเสนอ และเมื่อริมฝีปากบางขยับอีกครั้งถึงรู้ว่าสาเหตุมันคืออะไร

   "มัดผมได้ด้วยเหรอ?"

   "เพราะคุณคนเดียวเลยพิชชา"

   เล่าเรื่องที่เจอมาเมื่อวานให้กับลูกค้าร้านทำผมตรงหน้า ยกผ้าขนหนูขึ้นซับหยดน้ำตามเส้นผมเหมือนเช่นทุกวัน

   คนที่เขาโบ้ยความผิดให้ร้องเสียงหลง "อะไรครับ ทำไมมาโทษผมล่ะ"

   "เรื่องนี้คุณผิดเต็มประตู"

   ต่อให้รู้ว่าคนตรงหน้าไม่ได้ทำอะไรผิดก็ยังหาเรื่อง พิชชาไม่เคยขอให้ช่วยดูแลในเวลาที่แขนข้างขวายังคงมีเฝือกอ่อนติดเอาไว้ ไล่เสียทุกครั้งที่เสนอหน้ามาช่วยด้วยซ้ำ ต้องใช้วิธีเอาคำเดิมกลับมาพูดย้ำอยู่อย่างนั้นจนอีกฝ่ายยอมเงียบแล้วปล่อยให้ทำอย่างต้องการ

   อันที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีหน้าที่อะไรมากไปกว่ามารับไปเรียน ไปทานข้าวด้วยถ้าเวลาว่างตรงกัน แล้วก็ช่วยสระผมให้ในวันที่ต้องสระ

   จากหน้าที่ช่างสระทุกวันนี้ทำถึงขั้นตอนของการมัดผมแล้ว อย่างตอนนี้พอซับผมจนแห้งหมาดก็จะเอาไดร์มาเป่าเย็นให้แห้ง พิชชาบอกว่าไม่ชอบการเป่าให้แห้งมากเท่าไหร่ แต่สำหรับเขาแล้วมันน่าขัดตาที่เห็นผมเปียกแนบชิดอย่างนั้นจนต้องลงมือแก้ไขเอง

   "ข้อหาอะไรครับ แล้วนี่แจ้งสิทธิ์ให้กับผู้ถูกกล่าวหาแล้วหรือยัง"

   วิธีการไล่เรียงตามลำดับถูกต้องจนมีคำถามเกิดขึ้นมาว่าพิชชาเป็นเด็กเอกธุรกิจแน่หรือไม่ ต่อให้เคยลงวิชาเกี่ยวกับกฎหมายเบื้องต้นมันก็ไม่น่าจะจำได้ขนาดนี้

   "ครบแล้ว สิทธิเดียวคือนั่งรอผมเป่าผมยาวๆ ของคุณให้แห้ง"

   "นี่มันเผด็จการครับราชา"

   "ผมปกครองด้วยระบบทิวากาลนิยม"

   ราชาคือประมุขสูงสุด

   "ครับๆ ตามสบายเลย"

   ส่งยิ้มพึงพอใจผ่านกระจกกลับไป ปรับเครื่องเป่าผมยี่ห้อดีไปตรงความร้อนน้อยที่สุด เว้นระยะห่างให้พอดีกับผมที่แบ่งเป็นช่อเอาไว้แล้ว ทุกอย่างคือความรู้ใหม่ที่ได้จากการดูแลผู้ชายผมยาวคนนี้ ถ้าใครถามว่าจบไปทำอะไรเขาจะตอบว่าไปเปิดร้านทำผมแทนล่ะ

   เพลงยุคเดียวที่ฟังในช่วงหลังดังไม่มีหยุดจากโทรศัพท์ของตัวเองบนโต๊ะเครื่องแป้ง สมาธิจับจ้องแค่ผมเส้นยาวสีดำสนิทตรงหน้า พิชชาเป็นคนที่น่าอิจฉาตรงที่ขนาดผมหยักศกแล้วมันก็ยังเข้าทรงได้ตลอดเวลา ไม่ฟูหรือเป็นลอนไม่สวย

   ช่างทำผมมือสมัครเล่นครั้งนี้ทำเวลาได้ดีพอสมควร จัดการหวีด้วยแปรงขนาดใหญ่เหมาะกับลักษณะของเส้นผม ไล่ไปทีละส่วนจนครบ ต่อจากนั้นก็เป็นเวลาของน้ำมันบำรุงผม

   ของทุกอย่างที่พิชชาใช้ไม่เคยเป็นยี่ห้อตลาด ทุกอย่างเป็นของแปลกที่เห็นครั้งแรกแล้วก็ต้องถามว่าในไทยมีขายด้วยเหรอ

   "เรียบร้อย วันนี้จะไปหาลูกค้าที่ไหน"

   "วันนี้ไม่มีนัดครับ"

   "อ้าว?"

   เช้าอาทิตย์ปกติเป็นวันทำงานของพิชชา งานที่มาพร้อมกับค่าตอบแทนจำนวนมหาศาลเสมอ เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพอเป็นคนอื่นพิชชาถึงยอมรับค่าจ้าง แต่พอเป็นของชายไฮโซคนนั้นกลับปฏิเสธเสียงแข็ง   

   ทุกอย่างที่เกี่ยวกับพิชชาสร้างความประหลาดใจให้ทิวากาลได้เสมอ

   "งั้นวันนี้จะไปไหน"

   เรียกได้ว่าทุกวันนี้บ้านหลังใหญ่เริ่มมีทิวากาลเป็นสมาชิกคนที่สองไปแล้ว ไปเช้าเย็นกลับจนคนดูแลประตูจำเวลาได้ว่าต้องเปิดตอนช่วงเวลาไหนบ้าง

   ดูจากชุดแล้วไม่สามารถบอกได้ว่าวันนี้จะมีงานพิเศษหรือเป็นการแต่งตัวสำหรับอยู่บ้าน เขาก็ยังคงอยู่ในเสื้อโปร่งกับกางเกงเข้าชุดกัน สร้อยตรงคอเส้นเดิมเส้นเดียวไม่เคยเปลี่ยน ทุกอย่างของพิชชายังเหมือนวันแรกที่เจอ

   "ไม่ออกไปไหนครับ ว่าจะพาคุณไปเรือนไม้"

   "เหรอ" เรือนไม้ที่เคยเล่าว่ามีไว้เก็บของเก่าจนเกือบเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กได้ไม่ยาก "ก็กินข้าวก่อนค่อยพาผมไปแล้วกัน"

   โต๊ะตัวใหญ่ยังวางไว้แบบเดิมในห้องทานอาหาร ต่างตรงจำนวนเก้าอี้ที่ว่างเหลือเพียงแปดจากสิบตัว อาหารมื้อสิบโมงของวันนี้ไม่ใช่ฝีมือของพิชชาเนื่องจากเจ้าของบ้านยังแขนเจ็บอยู่ มันเลยเป็นหน้าที่ของเขาในการซื้ออาหารสำเร็จรูปจากข้างนอกเข้ามา

   ข้าวในจานของทิวากาลน้อยกว่าอีกคน นี่ไม่ใช่อาหารมื้อแรกของวันสำหรับเขา ก่อนออกจากบ้านก็ต้องทานกับคนอื่นมาแล้ว จากนั้นถึงมาทานที่นี่อีกหนึ่งมื้อย่อย นี่มันชีวิตอะไรของเขากันนะ

   ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากเท่านี้ก็ไม่รู้

   "ติดหวานไปหมด แสบคอ"

   ปริมาณน้ำดื่มลอยดอกมะลิที่ตามเข้าไปมากกว่าปกติ เขาเลยไม่ชอบทานร้านไม่คุ้นรสไง ถ้าเป็นร้านที่เคยกินบ่อยนั่นแสดงว่าถูกจริต แต่แถวบ้านพิชชาแทบไม่มีอะไรนอกจากความกันดาร ได้เจอร้านอาหารตามสั่งสักร้านก็เป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว

   "ถ้าไม่เปลี่ยนร้านใหม่ก็คงต้องทำเองแล้วล่ะครับ"

   "คุณก็รีบหายสิ"

   หลังจากอาหารมื้อพอกินให้ผ่านไปอีกวันก็ได้เวลาไปเยี่ยมเรือนไม้ที่บอกเอาไว้ตั้งแต่แรก ใต้อาณาจักรขนาดใหญ่ทั้งสองเลือกวิธีการเดินตามเส้นทางที่สร้างเอาไว้แล้วไปยังจุดหมาย แม้แดดจะแรงจนต้องหยีตาก็ไม่มีปัญหาอะไร การอยู่กับปัจจุบันไม่ต้องเร่งรีบอะไรก็ได้ความสุขไปอีกแบบ

   "หมอบอกว่าอีกสองสัปดาห์ก็เอาออกได้แล้วไงครับ คุณเป็นคนถามเองนะ"

   อีกหนึ่งหน้าที่คือคอยดูแลไม่ให้ทำอะไรกระเทือนแผล ไม่เช่นนั้นคนอย่างพิชชาไม่ยอมอยู่สุขสักที

   "นั่นคือกรณีที่คุณไม่ทำอะไรเกินตัว"

   "ผมอยากหายจะแย่แล้วครับ ไม่ทำอะไรอย่างนั้นหรอก"   

   พิชชาพูดมักติดเสียงหัวเราะจนกลายเป็นเอกลักษณ์ คล้ายเป็นการแสร้งหลอกตัวเองให้ร่าเริงอยู่ทุกขณะ

   ระยะทางจากบ้านใหญ่กว่าจะถึงเรือนไม้ต้องผ่านบ้านรองสองหลัง เขาไม่สนใจว่าแต่ละหลังมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง รู้แค่บ้านหลังที่เพิ่งผ่านมาเป็นของคุณอา พี่กาย แล้วก็สมาชิกใหม่อย่างภรรยาตามกฎหมาย พูดถึงแล้วก็น่าคิดว่าอะไรที่ทำให้คนข้างในต่างกันได้ขนาดนั้น

   บ้านตรงหน้าไม่ค่อยเหมือน 'เรือนไม้' อย่างที่คิดเอาไว้ตั้งแต่แรก คือมันน่าจะเหมือนตามละครหรือไม่ก็ในรูปถ่าย ประเภทเห็นปราดเดียวก็รู้ว่าบ้านผู้ดีเก่า แต่นี่มันเป็นแค่บ้านอย่างง่ายชั้นเดียวไม่มีใต้ถุนอะไร ไม้ที่ใช้ก็เป็นแบบธรรมดาไม่ได้มีสลักลวดลายไว้เลย

   ก็ไม่ผิดที่เรียกเรือนไม้

   "ด้านหลังจะมีสวนดอกไม้ด้วยครับ เดี๋ยวพาไปดูต่อ"

   โดยรวมเรียกได้ว่าอยู่สภาพดีมาก ไม่ถึงกับสมบูรณ์อยู่แล้วเนื่องด้วยข้อจำกัดเรื่องระยะเวลา ข้างในมีข้าวของสมัยก่อนถูกจัดวางเอาไว้เป็นระเบียบแบ่งเป็นหมวดหมู่สำหรับการใช้งานจริง ทุกชิ้นมีร่องรอยของฝุ่นจับเพียงแค่เล็กน้อยไม่เหมือนกับหลายแห่งที่เขาเคยไป

   ฟังพิชชาอธิบายวิธีการใช้อุปกรณ์โบราณหลายอย่าง เช่นหีบไม้เก็บเสื้อหรือว่าเครื่องใช้ในครัว บางอย่างก็เป็นของที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันมีวิธีใช้ละเอียดยิบย่อยอย่างนั้น

   "ถ้าเป็นของมีราคาจะเก็บไว้ในธนาคารครับ"

   ในยุคนี้ของมีค่าไม่อาจสู้ของมีราคาได้

   "พวกเพชรพลอย ผ้าไหมงานสมัยก่อน เหมือนจะมีพวกตำราเรียนด้วยมั้ง ต้องรอจัดการทรัพย์สินเสร็จทั้งหมดก่อนแหละครับถึงจะรู้ว่าเหลืออะไรเท่าไหร่บ้าง"

   "แล้วของในนี้รวมอยู่ด้วยไหม?"

   "ของในนี้คุณย่าบอกแล้วครับว่าถ้าหมดรุ่นผมก็ให้บริจาคกับแหล่งการเรียนรู้ไป"

   เรื่องบางเรื่องถ้าไม่ได้เกิดมาในตระกูลที่มีต้นสายย้อนไปยาวนานคงไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรถึงต้องเก็บรักษาเอาไว้ขนาดนั้น เหมือนกับวิธีการพูดจา ท่าทางที่แสดงออกเมื่ออยู่ต่อหน้าสาธารณะชน แล้วก็การวางตัวในสังคมปัจจุบัน

   สายเลือดเก่าแก่สามารถไล่เรียงไปได้เป็นร้อยปี คนใหญ่คนโตเป็นส่วนหนึ่งของสายเลือดนี้นักต่อนัก ใบพระราชทานนามสกุลยังติดอยู่ในกรอบรูปบานสวย พิชชาคงเป็น 'รอยด่าง' ของสายตระกูลนี้ เพราะคนเป็นมารดานั้นไม่อาจตามหาเชื้อสายได้เลย

   เดินตามจุดต่างๆ ของบ้านทรงเหลี่ยมจนครบ แผ่นไม้ส่งเสียงร้องเตือนหลายครั้งเมื่อเผลอลงน้ำหนักมากเกินไป ทั้งหมดเกิดจากการขยับตัวก้าวเดินของทิวากาล ไม่มีครั้งไหนมาจากว่าที่เจ้าของบ้านคนถัดไป

   "สรุปแล้วแค่อยากมาอวดของในบ้าน?"

   ก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรมากกว่าการเล่าว่าของชิ้นนี้ได้มาเมื่อไหร่ น่าจะช่วงสมัยใด จนเขานึกว่าตัวเองเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาทัวร์ในพิพิธภัณฑ์ของเก่าแห่งชาติ

   "แค่หาเรื่องอยู่กับคุณสองคนน่ะครับราชา"

   "ก็เลยใช้พื้นที่ในบ้านให้เป็นประโยชน์สินะ" มือหยิบกระจกส่องหน้าโบราณขึ้นมาตรวจใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนกลับมา ช่วงโครงทั้งหมดกลายเป็นสนิมหมดแล้วแต่ว่าส่วนของแก้วตรงกลางยังใช้งานได้ไม่มีบกพร่อง "เราจะไปต่อกันที่สวนดอกไม้เลยไหม"

   คราวนี้สวนดอกไม้ไม่ถึงกับทำให้แปลกใจ มันก็เป็นสวนดอกไม้จริงตามคำเรียก เพียงแค่ว่าพืชพันธุ์ที่เลี้ยงนั้นไม่เหมือนสวนในบ้านสมัยใหม่ ต้นมะลิที่กำลังติดดอกทั้งต้นส่งกลิ่นลอยระริน ยังไม่รวมต้นไม่รู้ชื่ออีกจำนวนมากเขียวชอุ่มจนเต็มพื้นที่

   "ก็ปลูกตามสไตล์คนสมัยก่อนแหละครับ ทั้งสวยงามแล้วก็ใช้งานได้ ก่อนคุณย่าเสียท่านก็บ่นว่าต้นไม้ใหม่ๆ ที่มาลงทำได้แค่ให้ความสวย เอาไปทำอย่างอื่นเพิ่มไม่ได้"

   "คุณก็เลยเอาไปลอยน้ำให้ได้ใช้งานล่ะสิ"

   "ถ้าเป็นเมื่อก่อนแล้วยิ่งกว่านี้อีกครับ เอามาทำอาหาร ร้อยมาลัยหรือไม่ก็เอาไปทำเครื่องหอม" รอยแย้มละไมยามนึกไปถึงคนในอดีตสวยงามจนเขาเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้รู้จัก "คุณย่าอยากให้ของพวกนี้ยังอยู่ต่อไป เลยสอนให้หมดทุกอย่าง แต่ผมเองก็ทำได้แค่ไม่กี่อย่าง"

   "แค่นี้ก็เยอะแล้วนะ"

   "ผมยังพลาดไปอีกหลายสูตรครับ อย่างขนมหวานโบราณบางอย่างมันยากจนผมยอมแพ้ คุณเคยได้ยินชื่อข้าวตอกตั้งไหมครับ นั่นเมนูเด็ดของคุณย่าเลยล่ะ"

   ทิวากาลยืนฟังเรื่องคนในครอบครัวของพิชชาโดยไม่เข้าไปขัด เรื่องเล่าทุกอย่างคือสิ่งที่หลอมให้เกิด 'พิชชา' ขึ้นมา และนั่นคือสิ่งที่เขาเคยประกาศไว้ว่าจะทำให้ได้ ทำความรู้จักในทุกแง่มุม ทั้งสังคมที่แวดล้อมรวมถึงนิสัยใจคอส่วนตัว

   "ผมคงหนีออกจากบ้านถ้าต้องทำอะไรอย่างนี้"

   "ขนาดนั้นเลยเหรอครับ" พิชชาเปลี่ยนร่างจากไกด์นำเที่ยวเป็นคนดูแลสวนดอกไม้ เห็นก้มๆ เงยๆ มองส่วนประกอบของไม้สีเขียวเกือบทุกต้นที่ผ่าน

   "จะให้มาทำตามนิ้วของคนอื่นที่ชี้สั่งนี่ทำใจรับไม่ได้จริงๆ"

   "ก็ราชานี่นะ"

   คนที่มีสิทธิขาดสูงสุดเหนือผู้ใด

   "คุณไม่เบื่อเหรอ"

   "มันก็เพลินดีนะครับ"

   "ไม่ทำอย่างอื่นล่ะ"

   "ไม่มีใครอยากยุ่งกับ 'คนน่ากลัว' อย่างผมหรอกครับ"

   ใบหน้ายังจับจ้องอยู่กับไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ คิ้วของเขาขยับเข้าหากันเมื่อเห็นว่ามือข้างที่ว่างของชายผมยาวกำลังหิ้วตะกร้าหวายขนาดพอเหมาะอยู่ ไปเสกมาจากไหนอีก

   เดินเข้าไปใกล้ ฉวยเอาสิ่งนั้นมาถือเอาไว้เอง แขนก็ใช้ได้ข้างเดียวยังจะซ่า "ถ้าเป็นสมัยก่อนผมคิดว่าตัวเองดีกรีสูสีนะ"

   "ของคุณมันเป็นกรณีทำเพื่อสร้างเกราะให้ตัวเองครับ แต่ของผมเป็นคนอื่นบังคับให้ต้องใส่เอาไว้"

   "คุณรู้เรื่องผมตั้งแต่ช่วงไหนนะพิช"

   การสร้างความน่ายำเกรงทั้งหมดในช่วงมัธยมมีไว้เพื่อเหตุผลเดียวคือคอยดูแลน้องทั้งสองคนให้ปลอดภัย ต่อให้อยากใช้ชีวิตเรียบง่ายแค่ไหนถ้าเป็นสิ่งที่เขาทำให้ได้แล้วล่ะก็ทิวากาลจะทำมันให้ดีที่สุด

   "โห ให้นับจริงเหรอครับ"

   "สิบสองปี?" นั่นคือระยะเวลามากที่สุดเท่าที่จะให้ได้ ประมาณชั้นประถมตอนปลาย

   "ผมรู้จักคุณมานานมากกว่านั้นเยอะครับ" ดอกไม้หลากแบบในที่ใส่ไม้หวายส่งกลิ่นเฉพาะตัวออกมาจนแยกประสาทไม่ออก "เอากระดังงาแบบคราวที่แล้วไหมครับ หรือว่าอยากลองชมนาด แต่ผมว่าจำปีก็น่าสนนะ"

   ชื่อดอกไม้หลายชนิดเคยได้ยินผ่านหูโดยไม่ทราบถึงสรรพคุณ ยื่นตะกร้าออกไปรับดอกไม้กลีบสวยที่เพิ่งแยกออกมาจากกิ่ง มองคนผมยาวเฟ้นเลือกจนได้ดอกที่ต้องการครบถ้วนทั้งหมด

   "เอาไปทำอะไรเยอะแยะ"

   "ก็หลายอย่างนะครับ มะลิลอยน้ำเหมือนเดิมส่วนอย่างอื่นว่าจะเอาไปทำเครื่องหอม"

   สิ่งนั้นเตือนทิวากาลว่ากลิ่นหอมที่ติดอยู่ข้างในใจยังไม่ได้รับการไขให้กระจ่าง ไม่เคยเห็นวางเอาไว้บนโต๊ะเหมือนเครื่องบำรุงชนิดอื่น สังเกตหลายต่อหลายครั้งก็ไม่เห็นว่าจะหยิบขึ้นมาใช้สักที

   แล้วทำไมเขาถึงได้กลิ่นนั้นทุกครั้งที่เข้าใกล้ล่ะ

   "ถ้าผมเด็ดบ้างจะเป็นอะไรไหม"

   "ได้อยู่แล้วครับ ไม่อยากให้มันเฉาไปแบบไร้ประโยชน์"

   ได้รับไฟเขียวแล้วทิวากาลจึงเอื้อมมือออกไปหยิบดอกไม้กลีบสีขาวที่มีส่วนในสีเหลือง กลิ่นเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากการสัมผัสครั้งอื่น ทิวากาลปิดตาสนิทขณะที่ยกมันขึ้นสูดเอาความหอมหวานเข้าไปข้างใน พอลืมตาขึ้นมาก็เลยเห็นว่าคนเป็นเจ้าของสวนมองมาแบบไม่เข้าใจมากเท่าไหร่

   "หรืออยากได้ราชาวดีครับ"

   "ผมมีคำถาม" ถือตะกร้ากับดอกไม้ดอกเดิมไว้ในมือข้างเดียวกัน ส่วนข้างที่เหลือจัดการทัดปอยผมให้ไปอยู่ด้านหลังหูจนใบหน้าเกลี้ยงเกลาเปิดเผยออกมา

   "อยากได้วิธีการไปทำเองเหรอครับ"

   นัยน์ตาขี้เล่นเย้าแหย่จนเกือบปิดสนิท แบล็คหัวเราะในลำคอให้กับท่าทางไม่ยอมโอนอ่อนอย่างนั้น ผู้ชายคนนี้อยู่เหนือทุกกฎเกณฑ์บนโลก

   "คุณว่าระหว่างดอกไม้ดอกนี้" ทัดดอกราชาวดีที่เชยชมความหอมเมื่อครู่กับช่วงใบหูของอีกคน สีขาวของดอกไม้ตัดกับเรือนผมชัด ขยับตัวเข้าไปใกล้กับบริเวณที่ตัวเองเพิ่งละมือออก ทำเป็นสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอด

   "หรือว่าตัวคุณจะหอมกว่ากัน?"

   "นี่มันคำถามจิตวิทยาหรือไงครับ"

   กลับกลายเป็นชอบเสียแล้วที่พิชชาไม่แสดงอาการตอบโต้กลับมา สายตาสองคู่ประสานกันคล้ายกับเล่นเกมใครกระพริบตาก่อนแพ้ ใบหน้าไม่ยินดียินร้ายกับคำพูดก่อนหน้าจงใจโน้มเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นหอมสะอาดเช่นเคย

   "ไม่ คำถามทั่วไปนี่แหละ"

   "ปกติใครเขาถามแบบนี้กันครับ"

   "ผมไง"

   "หืม..." พิชชากำลังหาทางหนีด้วยการหันไปมองต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง ทิวากาลเรียกชื่อไม่ถูกแล้วก็ไม่ค่อยชอบกลิ่นมันเท่าไหร่ "ผมต้องตอบแบบไหนถึงจะถู...สักครู่นะครับ"

   เสียงฝีเท้าลงหนักทุกจังหวะบอกได้ผู้มาใหม่กำลังวิ่งเข้ามา หันตัวกลับไปมองว่าใครเป็นผู้กล้าในบ้านหลังนี้ คนงานในส่วนของการดูแลระบบภายในบ้านทั้งหมดในชุดเข้างานหยุดเท้ายามเห็นว่าสองคนหันมามองตนเป็นตาเดียว ใจมีคำถามว่ารู้ได้อย่างไรว่ากำลังมาหาแต่ก็ไม่กล้าถามออกไป

   “เตรียมตัวไว้นะครับราชา” แววขี้เล่นที่เขาเห็นเมื่อสักครู่หายไปแล้ว มันเหลือเพียงความระอาผสมไปกับความน่าเบื่อหน่าย "ที่บ้านใหญ่เรามีแขก"


***
   ยังสอบไม่เสร็จค่ะ แต่ไม่ไหวแล้วจริงๆ ขอเทชีวิตตัวเองหนึ่งวันมาอยู่กับพี่แบล็คดีกว่า /ไม่หันไปมองกองหนังสือที่หลอกหลอนอยู่ข้างตัว
   ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ
   #พิชแบล็ค

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.11-1 [15.12.16] P.3
«ตอบ #64 เมื่อ15-12-2016 22:46:22 »


อยากอ่านต่อแล้ว
#พิชแบล็ค

ออฟไลน์ Pawaree

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 432
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-2
    • FANPAGE
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.11-1 [15.12.16] P.3
«ตอบ #65 เมื่อ16-12-2016 00:42:13 »

รีบๆมาต่อน้าาาาา รออยู่

ออฟไลน์ tangmomozii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.11-1 [15.12.16] P.3
«ตอบ #66 เมื่อ23-12-2016 14:44:36 »

เหนือความลึกลับใดใด อิพี่แบล็คกะพิชชานี่ก็ละมุ๊นละมุนเนอะ สระผมเอย มัดผมเอย เอาผมทัดหูเอย สูดกลิ่นตัวเอย  :hao7: :o8:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.11-2 [24.12.16] P.3
«ตอบ #67 เมื่อ24-12-2016 21:51:01 »

CH.11-2


   ปกติถ้ามาอยู่บ้านพิชชาทิวากาลจะยึดห้องนั่งเล่นเป็นอาณาเขตของตัวเอง พอเดินกลับเข้ามาแล้วเจอคนอื่นนั่งอยู่ตาเลยกระตุกแปลกๆ

   ปกายและพ่อของเขา

   "เคลียร์บัญชีเรียบร้อยแล้วเหรอครับ" ไม่เคยลดราวาศอกใส่กันเลย เอาจากความรู้สึกยิ่งเจอกันมากครั้งเท่าไหร่ก็แย่ขึ้นไปทุกที "มีปัญหาอะไรหรือเปล่าถึงต้องเรียกผมมาคุย"

   "คนมีปัญหาน่ะน้องแก"

   แท็บเล็ตหน้าจอใหญ่ส่งมาจากฝั่งตรงข้าม พิชชารับมันมาดูเงียบๆ ที่เห็นผ่านตาไปเป็นเนื้อความในข่าวตามเว็บสักแห่ง ภัสสร์ไปก่อเรื่องอะไรอีกอย่างนั้นเหรอ?

   "งามหน้าไหมล่ะ อายุยังไม่ถึง แล้วใส่ชุดนักเรียนปักชื่อหราอีก" คนแก่สุดในห้องหัวเสียจนลูกต้องรีบห้าม พิชชายังไล่ตามตัวอักษรบนหน้ากระดาษไม่ได้สนใจเสียงอื่น จนจบบรรทัดสุดท้ายถึงส่งคืนไปให้

   "ก็ไม่ได้บอกชื่อนี่ครับ มีแต่นามสมมติ"

   "แน่สิ เอาเงินปิดไปแล้ว"

   "อ๋อ งั้นมาบอกผมแค่นี้ใช่ไหมครับ"

   แอบมองว่าชายผมยาวอยู่ในฟีลลิ่งไหน ท่านั่งตัวตรงประสานมือไว้ตรงตักเหมือนบางคนในรูปถ่ายที่เห็นในเรือนไม้ นัยน์ตามองตรงไม่มีความรู้สึกใดปรากฏชัด นี่ก็เป็นพี่ประหลาด ไม่เคยห้ามไม่ให้น้องไปเที่ยวมั่วสุมในพื้นที่อย่างนั้นแถมยังไม่ยี่หระต่อข่าวในหน้าสังคม

   "ไม่ใช่แค่นี้ เมื่อไหร่ภัสจะเลิกทำตัวแย่ๆ ทำอะไรคิดถึงชื่อเสียงของตระกูลหน่อย"

   ข้ออ้างสมกับเป็นพวกกินบุญเก่าดี

   "ครับๆ" วิธีการตอบรับส่งๆ อย่างนั้นไม่แปลกใจเลยที่เห็นความไม่พอใจบนสีหน้าของคนเป็นอา "เราต้องรักษาตระกูลเอาไว้ให้ได้"

   "อาจะคุยกับภัสสร์"

   "คุยกับผมก็ไม่ต่างครับ"

   "รับปากอากี่ครั้งแล้วพิช ภัสก็ไม่เห็นเปลี่ยนนิสัย"

   "ผมไม่เคยรับปากคุณอา”
   
   ห้องนั่งเล่นแปรสภาพเป็นพื้นที่สุญญากาศโดยพลัน "และคุณอาไม่มีสิทธิ์สั่งให้ผมทำตาม"

   เรื่องภายในครอบครัวถ้าดีไปเลยก็แตกแยกไม่มีทางกลับมาชิดกันใหม่ได้ แบล็คเคยได้ยินเพื่อนหลายคนเล่าถึงความสัมพันธ์น่าเบื่อข้างใน แม่ไม่ชอบสะใภ้ พี่กับน้องแย่งสมบัติ ทำงานไม่เท่ากัน ส่วนตรงนี้คงเป็นการแย่งตำแหน่งสูงสุดของบ้านหลังนี้

   "ยังไงอาก็จะคุย ถ้าไม่เรียกภัสให้กลับบ้านเดี๋ยวอาจะไปเอง"

   "ห้ามแตะต้องภัสสร์"

   เสียงเย็นเยียบไร้โทนราวกับซาตานผู้ชี้ชะตาชีวิต เห็นได้ชัดว่าคนอายุมากกว่าทั้งสองคนชะงักค้างไปเมื่อได้ยินประกาศิตนั้น พี่กายของพี่น้องคู่นี้น่าจะเป็นผู้ตกอยู่ในสถานะลำบากใจมากที่สุด ฝั่งหนึ่งก็บุพการีส่วนอีกฝั่งก็น้อง ...ใช่ ตอนนี้เป็นน้องแล้ว

   "ผมจะไม่พูดถึงสิ่งที่คุณอาทำมาตลอดนะครับ อย่างเช่นตามพวกผมทุกฝีก้าว"

   "..."

   "แล้วถ้าคุณอาอยากให้ทุกอย่างมันสงบอย่างนี้ก็หยุดความคิดที่จะไปหาภัส ...รวมถึงพี่ด้วยนะครับพี่กาย"

   "จะเกินไปแล้วนะพิช"

   "มันยังน้อยไปต่างหากครับ"

   "คุยกันไม่รู้เรื่อง ไปกาย" แท็บเล็ตเครื่องเดิมกลับไปอยู่กับเจ้าของเรียบร้อย ผู้มาเยือนไม่มีการกล่าวคำลาไปราวกับเขาทั้งสองไม่มีตัวตน พิชชายังนั่งตัวตรงเช่นเดิม มีแต่ทิวากาลที่หันกลับไปมอง

   บางทีสิ่งที่อยู่ใต้เสื้อผ้าราคาแพงมันอาจเป็นปีศาจชื่อความโลภ

   "พูดครั้งเดียวควรจะรู้เรื่องนะครับคุณอา"

   เสียงก้องจนทั่วห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ พิชชานั่งตัวตรงอยู่ที่เดิม มีเพียงริมฝีปากขยับกล่าวต่อ

   "แต่ถ้าไม่รู้เรื่องผมไม่รับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง"

   มีแค่ปกายที่หันกลับมามอง สีดำเห็นแต่รอยกังวลอยู่ข้างใน เขาอ้าปากคล้ายจะพูดอะไรแต่ก็เปลี่ยนเป็นเดินตามบิดาของตัวเองออกไปเสีย

   "ราชาครับ"

   "ว่าไง"

   ได้แต่จับไหล่ให้กำลังใจ คนตัวเล็กกว่านิดหน่อยไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อจนคิดว่าหากลองบีบมันแรงกว่านี้คงไม่พ้นรอยช้ำ

   "คงต้องไปห้องภัสกันหน่อยแล้วล่ะครับ"

   "ได้นะ ไปเลยไหมล่ะ" เขาเองก็เป็นห่วงเด็กคุ้มดีคุ้มร้ายอย่างนั้นเหมือนกัน ชอบไปอยู่ในที่สบายใจจนได้เรื่อง "แล้วอาของคุณ?"

   ถามดักเอาไว้ก่อนดีที่ที่สุด ไม่รู้ว่า 'คำสั่ง' ของพิชชาสำหรับบ้านหลังนี้มีความหมายแค่ไหน

   "ไม่ไปหรอกครับ"

   นั่นแสดงว่าในบ้านหลังใหญ่ผู้มีอิทธิพลมากที่สุดคงเป็นชายผมยาว ทิวากาลส่งเสียงรับรู้พลางมองหากระเป๋าผ้าใบประจำของพิช พร้อมออกไปตามหาเด็กเวรตะไลที่ประกาศตัวเป็นศัตรูกับเขาชัดเจน คนที่ไม่คิดจะขอบคุณสักคำสำหรับการพาไปตะลอนไกล

   "แล้วภัสอยู่ที่ห้องเหรอ"

   ใช้เวลานานพอควรกว่าจะถึงห้องพักบนชั้นสูงสุดของภัสสร์ ถนนในเมืองของวันอาทิตย์มีจำนวนรถหนาแน่นกว่าที่คิดเอาไว้นิดหน่อย ตลอดทางพิชชาไม่มีอาการกระวนกระวายหรือว่าพยายามติดต่อกับน้องของตัวเอง แค่นั่งเงียบๆ อยู่ข้างโดยไม่ปริปากเล่าเรื่องใดออกมา

   คงต้องการพื้นที่สำหรับใช้ความคิดเลยไม่เซ้าซี้ เขาเข้าใจความรู้สึกที่ต้องดูแลน้องชายดีเลยล่ะ แค่นั้นมันก็ดูดพลังชีวิตไปมากโข กรณีของพิชนี่ยังต้องสู้รบปรบมือกับญาติอีก แล้วญาติแต่ละคนก็น่ารักเหลือเกิน

   "ไม่อยู่หรอกครับ ผมแค่มาตรวจความเรียบร้อยของห้องเฉยๆ"

   "อ้าว?" ร้องเสียงหลงออกมาพอได้ยิน มองพี่ชายแตะการ์ดอิเล็กทรอนิกส์กับประตูห้องจนเห็นไฟเขียวอนุญาตให้เข้าไปข้างในได้

   "กลับมาแล้วครับ"

   ไม่ว่าครั้งไหนก็ตาม เมื่อพิชชาเปิดประตูบานใหญ่ออกนี่คือคำพูดที่ออกมาจากปากเสมอ การกระทำที่สร้างความสงสัยให้ทุกครั้งว่าการทักทายนี้ส่งไปถึงใคร

   ห้องสี่เหลี่ยมว่างเปล่าไร้ผู้อาศัย เครื่องปรับอากาศแบบฝังยังคงทำหน้าที่สร้างความเย็นให้กับทุกพื้นที่ ทิวากาลเดินสำรวจรอบห้องรับรองเป็นอย่างแรก ข้าวของหลากหลายวางทิ้งไว้ระเกะระกะ ตั้งแต่ซองขนมเปิดทิ้งเอาไว้ นิตยสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยวกองเป็นตั้งสูง ถุงเสื้อผ้าที่จำได้ว่าตัวเองเป็นคนถือเมื่อครั้งไปเดินซื้อของกับพิชชา ถึงว่าซื้อขนาดเล็กกว่าไซซ์ตัวเอง

   ไม่ชอบความเย็นอับจนออกปากขอปิดแอร์แล้วเดินไปเปิดหน้าต่างทุกบานในห้องแทน เด็กคนนั้นใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ไม่ได้มาตรฐานด้านสุขอนามัยขนาดนี้ได้อย่างไรกัน

   "นี่คุณไม่จ้างแม่บ้านเหรอพิช" อย่างภัสสร์น่ะไม่มีทางทำความสะอาดห้องเองอยู่แล้วล่ะ

   "จ้างนะครับ แต่คิดว่าภัสคงแอบโทรไปยกเลิกเอง"

   "เลี้ยงมายังไงให้ร้ายได้ขนาดนั้น"

   บนชั้นวางของมีโมเดลลูกโลกงานละเอียดวางไว้ นอกจากนั้นเป็นหนังสือแนะนำประเทศต่างๆ มากกว่าเก้าสิบเปอร์เซนต์เป็นหนังสือภาษาอังกฤษ และทุกเล่มมีโพสอิทแผ่นเล็กโผล่ออกมา ที่บอกว่าอยากไปเที่ยวรอบโลกนี่เรื่องจริงสินะ
   
   "ไม่เคยเลี้ยงครับ"

   มือที่กำลังเปิดไปตามหน้าหนังสือนำเที่ยวประเทศกรีซหยุดอยู่ตรงร้านอาหารห้ามพลาด แบล็คต้องเลือกให้ดีว่าจะต่อบทสนทนาแบบไหนเพื่อรักษาบรรยากาศเอาไว้

   "อย่างนั้นเหรอ..."

   "ผมถูกส่งไปให้เพื่อนของคุณพ่อเลี้ยง ส่วนภัสพี่กายเลี้ยง"

   โลกของเด็กที่เติบโตขึ้นด้วยมือคนอื่น ไม่ใช่มารดาผู้ให้กำเนิด

   เหมือนอย่างเขา

   "ก็เลยรักกันขนาดนั้นสินะ"

   "มั้งครับ"

   ปิดหนังสือเกี่ยวกับประเทศกรีซลงแล้วหยิบเล่มถัดไปออกมาดู กระดาษที่คั่นเอาไว้คือสถานที่ห้ามพลาดของประเทศนั้นๆ มีรอยปากกาวงสิ่งที่ตนเองสนใจเอาไว้พร้อมกับคำอธิบายเพิ่มเติมด้วยลายมือ มีบางคนเคยพูดเอาไว้ว่าถ้าอยากรู้จักใครสักคน ให้ลองหาว่าเขาอ่านหนังสือประเภทไหน และแบล็คได้รู้จัก 'ภัสสร์' จากกระดาษพวกนี้

   รักความสะอาดในระดับหนึ่งเพราะหนังสือไม่มีรอยยับหรือว่าพับเอาไว้ ส่วนไหนที่ขีดเสริมเข้าไปเป็นลายมือสวยงามไม่มีร่องรอยขีดฆ่า พอเจอคำผิดในหนังสือจะวงเอาไว้พร้อมแก้ไขให้เสร็จสรรพ ส่วนคำที่ไม่เข้าใจในหนังสือต่างชาติก็จะมีคำแปลเอาไว้ด้านข้าง ไม่แปลกที่ครูของเขาจะบอกว่าเป็นเด็กเรียนดี

   แล้วทำไมเด็กคนนั้นถึงเปลี่ยนไป

   "ที่ผมไปหาครู...เขาบอกว่าภัสโดดเรียนเป็นว่าเล่น"

   ชีวิตยุ่งวุ่นวายจนเพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้รายงานผลของการเป็นตัวแทนผู้ปกครอง "แล้วก็มีปัญหากับเด็กคนอื่นด้วย เป็นหัวโจกยกพวกตีกัน"

   "ครับ"

   "ไม่กลุ้มหน่อยเหรอ?"

   "ช่วงสมัยคุณมัธยมก็ไม่ต่างกันหรอกครับราชา"

   พี่ชายผมยาวเก็บของที่วางไว้กระจัดกระจายให้เข้าที่ ห้องไร้ระเบียบเริ่มเข้าทางมากขึ้นเป็นลำดับ เห็นอย่างนั้นแล้วก็เลยต้องเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นแม่บ้านจำเป็นไปด้วย

   แต่ก่อนหน้าต้องทำหน้าที่เดิมให้ดีเสียก่อน

   "ผมออกจะเป็นเด็กดี" ขั้นตอนการมัดผมให้กับพิชชาขั้นแรกคือการเสยผมด้านหน้าไป จากนั้นค่อยอ้อมตัวเองตามไปเพื่อเก็บทีละช่อให้ดี จนครบจึงมัดเป็นมวยสูงด้วยยางรัดผมตรงข้อมือของตัวเอง วันนี้ไม่ได้จัดแต่งเพิ่มเติมมากเท่าไหร่เพราะตั้งใจให้สะดวกต่อการเก็บห้องเท่านั้น "บอกเลยว่าประวัติผมดีสุดๆ"

   ดูแล้วพิชชาคงไม่เชื่อเขาเท่าไหร่ "ให้โอกาสพูดใหม่ครับ"

   "ไหนบอกว่ารู้จักผมไงพิช"

   "ก็เพราะรู้จักไงครับถึงไม่เชื่อ ราชาที่อยู่กับปีศาจแล้วก็เจ้าชาย"

   "แล้วตอนคุณอยู่มัธยมเป็นยังไงบ้าง"

   แยกย้ายกันไปเก็บของตามพื้นที่ที่คิดว่าควรได้รับการทำความสะอาด ทิวากาลเลือกเก็บหนังสือตามพื้น นอกจากหนังสือเรียนสภาพใหม่กับสิ่งพิมพ์ชนิดอื่นแล้วมันยังมีหนังสือปกแปลกอีกสามสี่เล่ม เล่มแรกเป็นด้านจิตวิทยาความรัก ส่วนสองเล่มถัดมาเกี่ยวกับการปกครองรูปแบบต่างๆ และเล่มสุดท้ายเกี่ยวกับวิธีทำความเข้าใจโรคซึมเศร้า

   ไม่ชอบหนังสือที่ตัวเองเจอเลยให้ตาย

   "ผมก็เรียนให้จบตามหลักสูตรเท่านั้นแหละครับ ไม่ได้มีวีรกรรมอะไร"

   "แต่ที่เพื่อนผมเล่าคุณดังจะตายไป"

   "นั่นมันสิ่งที่คนอื่นยัดเยียดให้ครับ ผมไม่ต้องการชื่อเสียง" แผ่นหลังใต้ชุดฝ้ายขยับไปมาตรงหน้าโซฟา ส่วนที่เขาเรียกเองว่ามันเป็นที่ทิ้งขยะแบบไม่มีถัง "เพราะถ้าได้มันมา ต้องรักษามันให้ได้"

   "ของพวกนี้ถือไปก็หนักเปล่าๆ"

   "สำหรับบางคนเป็นเกียรติที่ได้ถือมันไว้ครับ"

   "เบื่อบ้างไหมที่มีอาแบบนั้น" ไม่มีเหตุผลรองรับการนินทาคนที่ไม่ชอบ ต่อให้คนคนนั้นจะมีอายุมากกว่าเขาหลายรอบก็เถอะ

   ห่างกันมากอยู่ก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมา "ทำเป็นไม่สนใจไปนานๆ คุณจะไม่รู้สึกอะไรไปเองแหละ"

   "แล้วเพื่อนของพ่อที่ว่าเลี้ยงคุณมานี่ยังคุยกันอยู่ไหม"

   "ทุกวันนี้ก็ยังเลี้ยงอยู่นะครับ"

   "ไม่เห็นเคยเจอ" ถ้าเป็นคนสำคัญในระดับนั้นพิชชาควรไปเยี่ยมบ้าง แต่นี่เขายังไม่เคยทำหน้าที่สารภีไปส่งเลยสักครั้ง

   "ช่วงนี้ไม่อยู่ไทยครับ ไปทำธุระที่ฝรั่งเศส"
   
   พื้นฐานของภัสเป็นพวกเจ้าระเบียบ สังเกตดูจากวิธีการแบ่งหมวดหมู่ของใช้ส่วนที่ยังอยู่สภาพเดิม หลายอย่างดูย้อนแย้งในตัวเองมากเสียจนเขาเริ่มเปลี่ยนพื้นที่ทำความสะอาดจากห้องนั่งเล่นไปเป็นส่วนของห้องนอนแทน จะเรียกว่าทำความสะอาดมันก็ไม่ได้ถูกต้องเสียทีเดียวหรอก ก็แค่แยกกองของที่ยังใช้ได้อยู่กับส่วนที่ต้องทิ้งแล้วมากกว่า

   เมื่อเทียบกันแล้วห้องของสองพี่น้องเป็นเหมือนกับสิ่งตรงข้ามกัน ห้องของภัสสร์มีของตกแต่งจำนวนมากประดับตามชั้นวางรวมถึงรูปภาพบนฝาผนัง นอกจากนั้นก็ยังมีของใช้ราคาสูงอย่างอื่นอีกมากมายนอนกองไว้ ในขณะที่ห้องของพิชชามีแต่ความว่างเปล่า ของที่มีคือใช้ได้ในชีวิตประจำวันทั้งหมด ไม่มีชิ้นไหนวางไว้เป็นเครื่องประดับหรือว่าเป็นเผื่อไว้ว่าจะได้ใช้งาน

   "โอ้..."
   
   หลุดคำอุทานออกมาเมื่อเห็นห้องนิทราของเด็กผีชัดๆ รูปแบบของห้องนอนสไตล์โมเดิร์นสมกับเป็นตึกใหม่เพิ่งสร้างไม่กี่ปี เฟอร์นิเจอร์ข้างในเน้นสีตามทฤษฎีที่บอกว่าจะช่วยให้ผ่อนคลายและหลับสบาย สิ่งดึงดูดสายตาคือภาพแผนที่โลกทำมือขนาดใหญ่ตรงกำแพงด้านหนึ่งของห้อง

   "ภัสวาดเองครับ ใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน"

   "น้องของคุณเก่งนะ"

   ในหลายๆ ความหมาย คนเรามักมีความสามารถในด้านในด้านหนึ่งเท่านั้น ซึ่งสิ่งนั้นใช้ไม่ได้กับเด็กผู้ชายชื่อภัสสร์ เรื่องเรียนไม่ต้องพูดถึงอยู่ในโรงเรียนอันดับต้นของประเทศ เลขสี่ในใบเกรดเรียงต่อกันสวยงามไม่เหลือพื้นที่ให้เลขอื่นได้ปรากฏ นอกจากนั้นยังมีพรสวรรค์ในด้านศิลปะอีก

   "พ่อเชื่อว่าทุกคนเกิดมาพร้อมของขวัญพิเศษครับ"

   "แล้วคุณ?"

   "ผมเลยได้ 'รู้' มาไงครับ"

   "อย่างนั้นคุณคงต้องไปโทษทางแม่"

   ตู้เสื้อผ้าแบบเลื่อนเปิดค้างไว้ ข้างในแบ่งออกได้เป็นสองส่วนใหญ่คือเสื้อที่ยัดๆ เข้ามากับพับเอาไว้เรียบร้อย  สัญลักษณ์หลายอย่างแสดงออกผ่านทางวิธีการจัดเก็บข้าวของเครื่องใช้สร้างความไม่เข้ากันของข้อมูลชุดแล้วชุดเล่าแล้วยังมีส่วนที่ระบุไม่ได้อีกนิดหน่อย

   "ผมไม่เคยโทษนะครับที่ตัวเองเป็นอย่างนี้"

   "คุณคล้ายกับพ่อของผมเลย" ทิวากาลนึกออกแล้วล่ะว่าเวลาพิชชาพูดปลงตกอย่างนั้นมันเหมือนกับใคร "เขาชอบบอกว่าตัวเองไม่คิดจะฝืนธรรมชาติอยู่แล้ว อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป"

   "มันก็เป็นอย่างนั้นจริงนี่ครับ"

   "น่าเบื่อ"

   "สีสันไม่ใช่คำตอบของความสุขเสมอไปครับราชา"

   "คุณควรเรียนเอกธรรมะไม่ก็ปรัชญา"

   เหมือนวิชาหนึ่งที่ทิวากาลกำลังเรียนอยู่ การคิดและตั้งคำถามเกี่ยวกับทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว เราอยู่ในโลกที่การเรียนรู้คือการจำในสิ่งที่คนอื่นบอกมา ไม่ใช่สิ่งที่คิดและหาคำตอบให้กับตัวเอง

   "ทุกศาสตร์มันก็มีจุดเริ่มต้นมาจากความอยากรู้ทั้งนั้นแหล...โอ้ะ!"

   รีบวางของในมือแล้วรุดไปตรงต้นเสียง พิชชากำลังก้มลงมองฝ่ามือเปื้อนไปด้วยเลือดของตัวเอง ส่วนของมีคมต้นเหตุคงจะเป็นเครื่องแก้วที่มีรอยแตกตรงมุม

   "ไปล้างเร็ว"

   ฉวยข้อมือของคนเจ็บเอาไว้ กึ่งลากกึ่งจูงไปทางห้องน้ำที่อยู่ติดกัน คราวนี้ไม่มีเวลาสำรวจสิ่งต่างๆ ข้างในได้เหมือนห้องอื่น ต้องรีบล้างแผลเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อจากสิ่งสกปรกอื่น ก็ดูสภาพของห้องนี้สิ เชื้อโรคไม่รู้กี่ล้านสายพันธุ์กระจายตัวสนุกสนาน

   "โอ๊ย! มันเจ็บนะครับ" พอโดนน้ำก็มีเสียงร้องประท้วง

   "ทนหน่อยสิ แค่นี้เอง"

   "มันแค่นี้ตรงไหนล่ะครับ"

   จริงอย่างที่บอก ขนาดแผลบนฝ่ามือนั้นใหญ่เกือบสองเซนต์ได้

   "น้องคุณมีของทำแผลเก็บไว้บ้างไหม"

   "ไม่แน่ใจครับ"

   "ออกไปรอที่เตียง นั่งเฉยๆ อย่าซนไปหยิบอะไรอีกล่ะ"

   คว้าผ้าขนหนูผืนเล็กตรงราวแขวนยัดใส่มือพิชชาไปด้วย เดินออกไปตามหากล่องที่เข้าข่ายเป็นเครื่องปฐมพยาบาลจนเจอกับลิ้นชักพลาสติกติดสติกเกอร์ ดึงมันออกมาด้วยความหวังว่ามันคงเก็บของที่เขาต้องการ

   "..."

   สิ่งที่เห็นสร้างความกังวลใจให้ไม่ต่างกับแผลสีสด ในเมื่อกล่องนั้นนอกจากจะไม่มียาสามัญประจำบ้านพื้นฐานแล้วยังมีซองยาเขียนกำกับเอาไว้ว่ายานอนหลับอีกหลายแผงนอนอยู่

   ทิ้งยาชุดนั้นไว้ที่เดิมก่อน เดินกลับเข้าไปหาคนเจ็บผู้นั่งสงบอยู่ตรงปลายเตียงอย่างที่บอกเอาไว้ ปอยผมบางส่วนหลุดลงมาเกลี่ยช่วงข้างแก้มจนเขามองไม่เห็นว่าคนเจ็บแสดงออกทางสีหน้าอย่างไรบ้าง

   "เลือดยังไหลอีกเหรอเนี่ย"

   บนผ้าซับน้ำมีรอยเลือดหลายจุด และตรงฝ่ามือของคนเจ็บยังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด

   "คงเป็นบริเวณเส้นเลือดใหญ่มั้งครับ"

   "เป็นคนรู้ไม่ใช่เหรอ อย่ามามั่ว"

   เสียงหัวเราะยังออกมาจากปากของคนเจ็บได้

   "ผมรู้แค่ว่าตอนนี้มือตัวเองเริ่มสั่นแล้วครับ"

   แผลไม่ได้ลึกเท่าไหร่จากการตรวจสอบ แบล็คหยิบผ้าขนหนูมาซับรอบแผลอีกครั้งพลางเปิดโหมดคุณพ่อ "แล้วไปซนอะไรตรงนั้นหืม"

   "ว่าจะเก็บของให้เข้าที่ ไม่รู้ว่าขอบมันแตกแล้ว"

   "ระวังหน่อยสิ" ดุเหมือนตอนน้องสักคนเจ็บตัว "แขนก็ยังไม่หายมือก็มาเจ็บอีก หมดสองข้างแล้วคุณจะหยิบของยังไง"

   "ก็ให้คุณช่วยไงครับ"

   "จะตัดมือของผมไปต่อแทนเหรอ"

   คิดถึงการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่ตัวเองมีแขนกล เงื่อนไขไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร่พอดีคิดถึงก็แค่นั้น

   "ถ้าอยากทำผมก็เต็มใจรับนะครับ"

   "..."

   ราวกับเป็นการเสกให้รอบข้างไร้สรรพเสียง ราชาละสายตาจากแผลขนาดพอสมควรไปสบกับนัยน์ตาคู่แปลก การสื่อสารระหว่างทิวากาลกับพิชชามักเกิดขึ้นในรูปแบบของภาษากาย ไม่จำเป็นต้องพูดก็สัมผัสได้ว่าจุดประสงค์ของอีกฝ่ายนั้นคืออะไร

   "ผม...จะอยู่กับคุณพิชชา"

   ความปรารถนาไม่มีเหตุผลมารองรับ

   แม้เงื่อนไขของมันคือตราบสิ้นลมหายใจ

   "บอกแล้วไงครับว่าผมไม่เคยได้ยินคำนั้น"

   "กลัวมันผูกพัน?"

   "กลัวสิ่งที่จะตามมาต่างหากครับ"

   ภาพที่เห็นไม่ชัดอาจไม่ใช่เพราะไกลห่าง แต่เป็นเพราะชิดใกล้เกินไป

   "ผมไม่เข้าใจคุณเลยจริงๆ นะพิช" คนที่ดึงเข้ามากลายเป็นคนเดียวกับที่ผลักออกไป "ไม่เข้าใจสักอย่าง ต่อให้ผมอยู่กับคุณมากแค่ไหนมันก็ยังเหมือนเดิม"
   
   พอเลือดยังไม่หยุดไหลจะทำแผลต่อก็ไม่ได้ มือข้างที่เจ็บยังมีฝ่ามือของทิวากาลรองรับเอาไว้อยู่ จากความอบอุ่นแบบที่ร่างกายมนุษย์ควรมีมันก็เริ่มปรับระดับลงไปเป็นมือเย็นเฉียบตามเดิม

   "ลองพยายามมากกว่านี้ไหมครับ"

   ถ้าต้องทำมากกว่านี้ทิวากาลคงต้องไปจุดธูปเชิญคุณพ่อคุณแม่ของคนตรงหน้าขึ้นมาคุยเรื่องลูกชายของทั้งคู่ คนอะไรทำตัวเป็นปริศนาไม่คิดจะบอกคำใบ้เสียบ้าง ถ้าเล่นนานไปไม่ผ่านสักทีเขาอาจจะล้มกระดานบ้างแล้วนะ

   ก็พูดไป ทำจริงได้เสียที่ไหน

   "ภัสบอกผมว่าเขาจะไม่ยกคุณให้ใคร"

   "..."

   "เขาบอกว่าคุณเป็นสิ่งเดียวที่เขาเหลืออยู่"

   นั่นเป็นอีกเรื่องเกี่ยวกับน้องชายที่พิชควรจะรู้ ...หรืออาจเป็นเรื่องที่รู้อยู่แล้ว

   "ใช่ครับ ภัสมีแค่ผม"

   "แล้วคุณจะอยู่กับน้องชายอย่างนี้ไปจนแก่?"

   "ไม่ถึงหรอกครับ เราก็มีชีวิตของตัวเอง"

   "แล้วทำไมถึงไม่ปล่อยให้เขาเดินเองตั้งแต่ตอนนี้"

   คติในการเลี้ยงน้องข้อแรกของทิวากาลคือต้องปล่อยให้เดินเอง ล้มเอง เจ็บเอง ทุกคนไม่มีทางเจอทิวากาลในรูปแบบของพี่ชายผู้ยอมทุกอย่างตามความต้องการของน้อง คนอื่นอาจเข้ามาใส่ปุ๋ยให้ได้แต่นั่นก็แค่ชั่วคราว การเติบโตที่ยั่งยืนต้องมาจากตัวเอง

   "ผมให้ภัสเดินเองตลอดครับ เพียงแต่ว่าทางของเรายังอยู่บนเส้นเดียวกันอยู่"

   "ขึ้นทางด่วนได้แล้ว วิ่งข้างล่างอย่างนั้นเมื่อไหร่จะถึง"

   "คงต้องไปบอกภัสเองแล้วล่ะครับ"

   "อยู่ไหนล่ะ ผมก็อยากเจอเหมือนกัน"

   "ลงไปตีกับเด็ก?"

   "เปล่า" เว้นช่องว่างเอาไว้ สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนที่จะพูดความต้องการของตัวเองออกไป "ผมจะไปบอกเด็กคนนั้นว่าผมไม่ยอมให้เขาเก็บคุณไว้คนเดียวหรอก"

   ทิวากาลเป็นราชาผู้เอาแต่ใจ

   ถ้าต้องการอะไรแล้วสิ่งนั้นจะต้องเป็นไปตามความประสงค์

   "มันจะผูกพันจนวันตาย...จำได้ใช่ไหมครับ?"

   "จำได้สิ"

   ทิวากาลจำไม่ได้ว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ จนถึงจุดนี้ถ้าต้องตอบว่ารู้สึกกับพิชชาแบบไหนก็คงบอกได้เลยว่ายังไม่สามารถบรรยายออกมาให้ตรงตามคำนิยามได้

   "สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปจากนี้ จะไม่ดีกับเราทั้งคู่"

   "คุณรู้อย่างนั้นเหรอ"

   "มันเป็นเรื่องที่ไม่ต้องเห็นมาก่อนก็รู้ครับ"

   "อย่าเดามั่วสิพิช"

   “ผมเหมือนคนที่ชอบพูดไปเรื่อยเหรอครับ?”

   นั่นเป็นการย้อนถามที่ตอกย้ำตัวตนได้ดี

   “คุณชอบพูดไปเรื่อย”

   “ปากไม่ตรงกับใจเลยนะ”

   “อย่าเปลี่ยนเรื่อง” รีบดึงกลับมาให้อยู่ในเรื่องเดิม “ผมจะไม่ให้คุณกับภัสหรอก ...อย่างน้อยก็จนกว่าผมจะได้รู้ว่าคุณเป็นใคร”

   เอาเรื่องอื่นมาอ้างไปอย่างนั้นเอง และเหมือนอีกฝ่ายก็จะจับได้เลยส่งรอยยิ้มรู้ทันมาให้ ทิวากาลมองนัยน์ตาสีแปลกที่เปลี่ยนเป็นขึงขังในพริบตาจนเขาไม่กล้าเอ่ยเร่ง ในช่วงเวลานี้ราชาทำได้แค่เป็นคนรอจนกว่าจะได้รับคำสนองตอบรับหรือว่าคำปฏิเสธ

   บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัด และเสียงของพิชชาทุ้มต่ำราวกับอยู่ในช่วงสำรวมระหว่างงานพิธี "ถ้าอย่างนั้น....ดื่มเลือดสาบานครับ"

   หมุนข้อแขนให้เลือดไหลลงไปกองอยู่ตรงปลายแผล หยดเลือดที่ไม่ถึงกับไหลเป็นสายธาร มันถูกยื่นมาจนเกือบชิดส่วนอวัยวะในการรับรสชาติ

   การดื่มเลือดบางตำนานมันคือการทำสัญญาที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด

   เพิ่งรู้ว่าริมฝีปากของตัวเองแห้งผากก็ตอนเผลอกัด ส่วนอีกคนส่งรอยแย้มละไมมาให้ โทนเสียงแปลกหูนั้นก้องติดอยู่ตรงข้างในส่วนรับรู้ "ทำได้ไหมครับ"

   “...”

   "สาบานว่าราชาจะไม่จากพิชชาไปไหน"

   ทิวากาลทิ้งช่วงสำหรับการหายใจเข้าเท่านั้นก่อนจะตอบกลับไป

   "ราชาไม่เคยลืมคำพูดตัวเอง"

   เสียงแว่วบางเบาพยายามกลั้นไม่ให้คำอื่นเล็ดลอดออกมายามบรรจงจูบลงไปตรงกลางแผล ฝ่ามือเย็นเหมือนจะอุ่นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาสัมผัส ลากลิ้นไปตามฝ่ามือเพื่อชิมรสชาติของเหลวสีแดงขุ่น

   รสของเลือดควรจะคาว

   แปรเป็นความหวานจนไม่อยากหยุดแค่นั้น


***
   Merry x'mas eve ค่ะ เป็นการฉลองปิดเทอมที่ดีอยู่เหมือนกันนะคะ (หัวเราะ)
   #พิชแบล็ค

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.11-2 [24.12.16] P.3
«ตอบ #68 เมื่อ25-12-2016 00:40:09 »


โอ้ววววว
แบบนี้นี้เรียก จูบเลือดสาบาน
หวานจนไม่อยากหยุด

ยังคงต้องติดตามต่อไป
ว่าอะไรเป็นอะไร
ขอให้เป็นเรื่องดีๆ มากกว่าไม่ดีนะ

Merry Christmas ค่ะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.12-1 [29.12.16] P.3
«ตอบ #69 เมื่อ29-12-2016 22:07:54 »

CH.12-1


   หลังจากนั้นข่าวของภัสสร์ก็หายไปกับอำนาจเงินตรา ก็ต้องยอมรับว่านอกจากน้องชายคนเล็กแล้วยังมีอีกหลายชีวิตที่อาจเสียประโยชน์จากตัวอักษรเหล่านั้นได้

   เสียงเพลงยุคเก่าคลอระหว่างประกอบกิจวัตรยามเช้าของตัวเอง ยังหัวเสียอยู่เล็กน้อยจากการนอนตื่นสายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่เคยใช้นาฬิกาเป็นตัวช่วยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทุกเช้าทิวากาลสามารถกำหนดช่วงเวลาการตื่นได้เสมอ จะเว้นไว้แต่วันที่ต้องตื่นในช่วงเวลาผิดแปลกไปเท่านั้นแหละ

   ฉะนั้นเช้าที่ไม่มีอะไรพิเศษเขาก็ควรจะตื่นตามนาฬิกาชีวิตของตัวเอง ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นตอนหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาดูเวลามันถึงเกือบเที่ยงเข้าไปแล้ว

   นึกไปมาก็เพิ่งคิดออกว่าวันนี้ทั้งบ้านจะมีแค่หนึ่งชีวิต คุณพินิจผู้เป็นพ่อออกต่างจังหวัดกับกลุ่มเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย น้องสาวฝาแฝดไปเขาใหญ่กับเวลอย่างที่เคยบอกไว้ ส่วนน้องเล็กทำตัวแก่แดดด้วยการไปค้างบ้านที่หนึ่ง คนเป็นคุณพ่อทางพฤตินัยเลยได้แต่แกร่วอยู่ในบ้านรอให้หมดช่วงวันหยุดไปเท่านั้น

   ฉีดน้ำหอมขวดทรงแปลกเป็นการจบทุกขั้นตอน  สั่งเอาไว้แล้วว่าไม่ต้องทำอาหารเช้าไว้ให้เพราะเหลืออยู่แค่ชีวิตเดียว ออกไปหาอะไรทานเองจะสะดวกกว่า อีกอย่างช่วงหลังทานอะไรก็หาเรื่องติได้หมด ไม่หวานไปก็อมน้ำมันจนปวดหัว หนักที่สุดคือเรื่องผักตกแต่งที่เหมือนค้างมาหลายคืน
   
   ทิวากาลเดินลงมาชั้นล่างของบ้าน ระยะทางจากห้องของตัวเองลงมาถึงส่วนของห้องส่วนกลางใช้เวลาไม่นานเมื่อลองเทียบกับบ้านของอีกคน แค่จากห้องของพิชชาที่อยู่บนชั้นสองลงมาถึงบันไดอาจใช้เวลาเยอะกว่าเขาลงมาตรงนี้เลย

   บ้านหลังใหญ่ที่ไร้ชีวิต ลองมองไปรอบกายของตัวเองจึงพบว่าบ้านของตัวเองมีของตกแต่งอยู่ไม่กี่แบบ ถ้าไม่เป็นถ้วยรางวัลสมัยยังแข่งกีฬาก็เป็นของฝากจากทั่วมุมโลกของคุณพ่อ นอกจากนั้นส่วยใหญ่จะเป็นของที่เอาไว้ใช้สอยในชีวิตประจำวัน

   เขาเลยไม่เข้าใจทุกครั้งที่เห็นเครื่องประดับจำนวนมหาศาลข้างในบ้านของพิชชา จริงอยู่มันอาจช่วยลดความใหญ่โตลงได้ไม่น้อย แต่นั่นมันก็ไม่ช่วยเสกให้บ้านมีชีวิตขึ้นมาได้

   พออยู่คนเดียวกุญแจเครื่องยนต์ที่คว้ามาไว้มือเลยกลายเป็นบิ๊กไบค์คันโปรดแทนที่จะเป็นพวงกุญแจรถอีโค่คาร์เช่นทุกที ออกไปไม่ไกลจากบ้านเท่าไหร่เลยไม่ได้ใส่ชุดป้องกันแบบเต็มยศ ถึงบ้านจะอยู่ห่างออกจากตัวเมืองไปพอสมควรมันก็ยังดีตรงที่มีห้างสรรพสินค้ามาเปิดเมื่อไม่นานมานี้

   จอดเข้าซองพิเศษ ถอดแว่นกันแดดเสียบกับแจ็คเก็ตหนัง ค่อยๆ เดินตามป้ายบอกทางเพื่อเข้าไปในส่วนของร้านค้า ตอนนี้ยังคิดไม่ออกว่าอยากจะทานอะไรเป็นพิเศษ ก็ถ้าอยู่กับพิชชาแล้วมื้ออาหารก็จะไปลงเอยตรงร้านแปลกๆ ที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่ามีอยู่ในเมือง

   “แล้วเครื่องดื่มรับอะไรดีคะ?”

   เดินวนไปเวียนมาจนยอมจบกับร้านอาหารสไตล์ฟิวชั่นชื่อแปลก ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าคนในร้านน้อยจนหาความเป็นส่วนตัวได้ไม่ยาก ทิวากาลไม่อยากเห็นสายตาของคนอื่นที่มองมา ถึงจะชินก็ใช่ว่าจะชอบ

   “...มีชาอะไรบ้างครับ”

   “คะ?”

   มันเป็นเรื่องแปลกที่ทานอาหารจานเดี่ยวคู่กับน้ำชา “ชา มีอะไรบ้าง”

   พนักงานจดออเดอร์หยุดเขียนเมนูที่สั่งไปเมื่อครู่ หล่อนมองหน้าลูกค้าแสนโดดเด่นที่ดึงดูดทุกสายตาได้ตั้งแต่แรกก้าวเข้ามาในร้าน ชายตัวสูงกับเสื้อหนังสีดำเข้ากับกางเกง ใบหน้าคมคายจนอยากใช้คำอื่นที่มากกว่าคำว่าหล่อ เขาไม่ได้เหมือนกับหนุ่มสายเกาหลี แต่จะเรียกว่าไทยมันก็ไม่ใช่

   แล้วสายตานั่นก็ไม่เหมาะกับการประสานเลยสักนิด

   “เอ่อ...ตามที่โชว์อยู่ตรงหน้าร้านเลยค่ะ”

   ทิวากาลพยักหน้ารับรู้ ลุกขึ้นออกจากโต๊ะริมหน้าต่างของตัวเองไปยังเคาท์เตอร์จ่ายเงินเพื่อไล่ดูชนิดของชา เขาเองก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องนี้มากเท่าไหร่ พิชชาจะเป็นคนจัดการทั้งหมดเอง

   ชาหลายแบบในซองเรียงเป็นระเบียบ มีแค่บางช่องที่แหว่งออกไปนิดหน่อย ยื่นมืออกไปหยิบแต่ละชนิดขึ้นมาดูไม่มีใครกล้าเข้ามารบกวนเวลาการเลือก หลายคนรู้สึกเหมือนกันว่าผู้ชายคนนี้น่าสนใจ

   แต่ไม่ควรเข้าใกล้เกินความจำเป็น

   “เอาคาโมมายด์”
     
   หยิบมันออกมาวางไว้บนโต๊ะ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพนักงานในการจัดการต่อไป หนังสืออ่านเล่นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์กฎหมายเล่มบางถูกหยิบขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา เขาไม่อยากใช้โทรศัพท์ตอนนี้ แน่นอนว่าถ้าเข้าไปในเฟสบุ๊คต้องเจอกับโพสของเพื่อนสักคน เช่นสเตตัสของที่หนึ่งเกี่ยวกับการไปนอนค้างบ้านครั้งแรกของน้องโรม

   เหลือบสายตามองไปทางโต๊ะด้านข้างของตัวเอง มีหญิงสาวสองคนกำลังแอบมองมา แล้วยังกระซิบกระซาบกันในระดับเสียงที่เขาเชื่อว่าพนักงานตรงหน้าประตูร้านยังรับรู้ได้ ทิวากาลก้มลงอ่านข้อความในหนังสือของตัวเองต่อ ปิดประสาทสัมผัสการได้ยินเพื่อให้ความรู้ในหนังสือเข้าสู่สมองมากที่สุด มันมีหลายวิธีสำหรับการอ่านหนังสือในที่สาธารณะ บางคนบอกว่ามันจอแจจนไม่มีสมาธิ ส่วนเขาเองถ้ารู้วิธีการควบคุมตัวเองมันก็ไม่มีอะไรยาก

   พอเห็นว่าหนึ่งคนบนโต๊ะนั้นลุกขึ้นยืนเขาก็ปิดหนังสือลง ถอนหายใจออกมาบางเบาเพื่อเตือนครั้งที่หนึ่ง

   นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับการหยุดทุกความตั้งใจ

   ผ่านไปสักพักโต๊ะที่เคยว่างเปล่าก็มีกาน้ำชาสีขาวงานเกรดทั่วไปกับแก้วชาใบเล็กวางเอาไว้ เมื่อมันโดนสายลมก็จางหายไป ส่วนข้าวผัดแบบผสมรสชาติก็ผสานจนไม่มีความเข้ากันในทุกส่วน ทานเข้าไปได้ไม่กี่คำไม่อาจฝืนใจกินต่อไป เก็บไว้เป็นแบล็คลิสต์ที่จะไม่เข้ามาเหยียบอีกตลอดกาล

   เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามว่างเปล่าไม่คุ้นตา ทิวากาลเป็นมนุษย์สังคมมาโดยตลอด ดูแลทั้งน้องทั้งเพื่อนจนนึกไม่ถึงว่าการที่ต้องมานั่งทานข้าวคนเดียวอย่างนี้มันเงียบเหงาแล้วก็น่าหดหู่แค่ไหน

   ชากลิ่นหอมแต่ไม่มีรสชาติ รสขมจนติดลิ้นเป็นผลมาจากการต้มที่นานจนเกินไป ไว้จะไปเล่าให้พิชชาฟัง ผู้ชายคนนั้นมีเทคนิคการจับเวลาที่น่าทึ่งเสมอ

   ...
   
   พิชชาอีกแล้ว

   วันนี้ชื่อพิชชาโผล่ขึ้นมาในหัวกี่ครั้งแล้วนะ



   ตรงป้ายชื่อนามสกุลขนาดใหญ่มีร่างของใครคนหนึ่งในชุดเสื้อฮู้ดแขนยาวปิดบังใบหน้าเอาไว้จนหมด อากาศของเวลากลางวันเข้ากันไม่ได้กับเสื้อผ้าที่กำลังสวมใส่ ทิวากาลชะลอรถจนกระทั่งจอดสนิทตรงประตูบ้าน และเมื่อคนปริศนาเงยหน้าขึ้นมาจนเห็นใบหน้าเขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา

   “ว่าไง”

   พอควรจะว่างก็ต้องลำบากมาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงเด็ก

   “บอกให้มาส่งที่เดียวกับพิช” แถมยังไม่ต้องเสียเวลาซักถามจำเลยก็รับสารภาพถึงวิธีการเดินทางเองเสียอย่างนั้น ภัสสร์ยังเป็นเด็กเวรตะไลที่เขาไม่อยากต่อปากต่อคำด้วยเหมือนเดิม ด้านบนเป็นเสื้อฮู้ดส่วนข้างล่างเป็นกางเกงนักเรียนกับรองเท้าแตะมียี่ห้อ

   “แล้วมาทำไม?”

   “ไม่รู้จะไปที่ไหน”

   ชาติที่แล้วทิวากาลไปทำอะไรให้พี่น้องคู่นี้อาฆาตแค้นกัน ชาตินี้เลยเลยต้องมาชดใช้แบบเพิ่มดอกเบี้ยเข้าไปไม่รู้กี่เท่า

   “นี่ไม่ใช่ที่สาธารณะ”

   “ผมรู้ว่าบ้านที่มีเจ้าของเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล”

   “รู้แล้วก็ยังมาอีก นี่มันบุกรุกนะ”

   “ก็ไปแจ้งความสิ”

   เด็กที่เคยสุขุมวันนี้อารมณ์ร้อนแปลกๆ ภัสสร์อาจไม่ได้ใจเย็นเท่ากับพี่แต่มักจะคิดอะไรก่อนทำ หรือเจอข่าวเข้าไปจนเพี้ยนก็ไม่รู้ ชุดที่ใส่มาไม่เข้ากับสภาพอากาศจนต้องก้มลงสำรวจอีกครั้ง มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์เครื่องโตเอาไว้ส่วนอีกข้างหนึ่งนั้นว่างเปล่า

   ไม่สิ มันมีบางอย่างอยู่

   “ไปทำอะไรมา”

   “ไม่ได้ทำ”

   “ภัส บอกพี่มา”

   ใช้การขู่รอดไรฟันหวังว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ เด็กมัธยมปลายไม่ยอมทำตามบอกมิหนำซ้ำยังเดินอาดไปทางประตูเข้าบ้านอีก

   ช่วงขาที่ยาวกว่าช่วยให้ไปถึงตัวเด็กได้เกือบจะทันที เจ้าบ้านใช้รูปร่างที่ใหญ่กว่าให้เป็นประโยชน์โดยการบังเอาไว้ไม่ให้แทรกผ่านเข้าไปได้ ใบหน้าซีดกับช่วงนัยน์ตาล้ากำลังแสร้งทำเป็นเข้มแข็งเช่นทุกครั้งที่เจอ แต่สุดท้ายต่อให้เก่งแค่ไหนด้วยช่วยอายุเท่านี้มันก็คุมตัวเองไว้ไม่ได้หมดหรอก

   “จะบอกดีๆ หรืออยู่ข้างนอกต่อไป” ทิวากาลไม่ใช่คนชอบขู่อยู่แล้ว พร้อมจะทำจริงเสมอนั่นแหละ

   “...ไม่รู้จะไปที่ไหน”

   คำตอบอ้อมแอ้มเป็นใบเบิกทางให้ประตูเปิดออก “ก็แค่นั้น”

   ปล่อยให้แขกที่ไม่ได้เชื้อเชิญเดินนำเข้าไปในตัวบ้าน ส่วนตัวเองรีบเดินไปเอากล่องปฐมพยาบาลในห้องครัวออกมา เสียงกีต้าร์ตัวเก่งดังแว่วมาจากส่วนของห้องกลางอเนกประสงค์ รู้ได้เลยว่าเด็กคนนั้นต้องมือบอนหยิบของเขามาเล่นโดยไม่ขอ

   “จะถอดเสื้อออกหรือว่าให้พี่โทรหาพิช”

   จังหวะเพลงสตริงยุคใหม่หยุดชะงักไปหนึ่งจังหวะ ก่อนจะกลับมาเล่นต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

   “งั้นโทรหาเลยแล้วกัน”

   เด็กในชุดเสื้อกันหนาวตัวหนากวนประสาทด้วยการถอดส่วนฮู้ดออก ยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนที่จะกลับไปมองโน้ตกีตาร์ต่อ

   แบล็คมองภาพตรงหน้าเงียบๆ ยกมือขึ้นกอดอกของตัวเองเอาไว้ การกดดันทางร่างกายเคยได้ผลเสมอเมื่อใช้กับน้อง และมันก็ไม่มีอะไรยากสำหรับการลวงเด็กคนนี้เช่นกัน

   “...หรือว่าโทรหาพี่กายดีนะ”

   คราวนี้เสียงดนตรีเงียบสนิท ช่วงหน้าไม่พอใจเงยขึ้นมามองพร้อมกับคิ้วที่เริ่มขมวดเข้าหากัน บอกแล้วว่าอย่างไรภัสสร์ก็ยังเป็นเด็กที่ตามแผนการเล่นของเขาไม่ทันหรอก มันเลยไม่มีใครเคยทำร้ายทิวากาลได้เพราะไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่าจุดอ่อน

   “ภัสเลือกแบบไหน?”

   “ไม่ เลือก”

   ทุกคำช้าชัด เสียงทุ้มแบบเด็กผู้ชายไม่เข้ากับท่ากอดกีตาร์อย่างนั้นเลย

   เมื่อไม่ได้ตั้งใจแค่ขู่ ทิวากาลเลยล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบเครื่องสี่เหลี่ยมมาปลดล็อคหน้าจอ เปิดไปตรงคำสั่งของการโทรออกเตรียมรายงานให้คนพี่ฟังว่ามีใครมาหา

   “ห้ามโทร!”

   “สั่ง?” ทิวากาลแสยะยิ้ม ยกโทรศัพท์ที่ต่อสายถึงพิชชาเรียบร้อยขึ้นแนบหู “รู้เอาไว้ด้วยว่าไม่เคยมีใครสั่งพี่ได้”

   เว้นแต่ชายคนนั้นคนเดียว

   ริมฝีปากอีกคนเม้มเข้าหากัน มือสองข้างโผล่ออกมาพ้นเสื้อหนาวเล็กน้อยกำลังกำเอาไว้แน่น  “...ก็พอใช่ไหม”

   “หืม?” แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินว่าพูดอะไร “เดี๋ยวรอคุยกับพิชทีเดียวเลยนะ”

   “บอกว่าถอดเสื้อก็พอใช่ไหม!”

   ในเสี้ยววินาทีเด็กที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็เข้ามาประชิดตัว มือข้างหนึ่งฉวยเอาโทรศัพท์ของเขาไปกดวางสายก่อนที่อีกฝั่งจะรับ แบล็คเลิกคิ้วให้กับเด็กที่มีส่วนสูงต่างกันพอสมควร เพิ่งม.ห้าก็ยังสูงขึ้นได้อีกหน่อย ถ้าเลิกทำร้ายร่างกายตัวเองสักที
   
   “ทำตามคำพูดตัวเองด้วย”

   “...”

   “หรือจะให้พี่ถอดให้?” มือทั้งสองข้างที่ว่างอยู่เตรียมถลกปลายเสื้อขึ้น เด็กตัวเล็กแค่นี้สู้แรงเขาไม่ไหวหรอก

   “ภัสทำเอง!”

   “งั้นก็รีบถอด”
   
   ทิวากาลรู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ใต้เสื้อหนาวตัวใหญ่ และมันจะยิ่งแย่ลงหากปล่อยไว้

   เด็กตัวเล็กทำเสียงฮึดฮัดตอนถอดเสื้อหนาวออก เมื่อมันหลุดออกไปจากคอแบล็คก็ต้องทำงานแข่งกับเวลาในการคว้าข้อมือข้างที่มักจะมีสร้อยหลายรูปแบบมาตรวจสอบระดับความน่ากลัวของแผล

   แผลที่ว่าคือรอยกรีดจนกลายเป็นเลือดกรังจำนวนมากตรงข้อมือ
     
   “ทำประจำ ไม่เป็นไรหรอกน่า"

   “หุบปาก”

   “...”

   ตอนแรกไม่มีความคิดจะระเบิดอารมณ์ฉุนเฉียวใส่คนที่เด็กกว่าเลยสักนิด ภัสสร์เป็นเด็กน่าห่วงในเรื่องสิ่งที่เก็บเอาไว้ภายใน ใต้ความสงบและคำพูดว่าไม่เป็นไรมันซ่อนเรื่องโกหกเอาไว้

   ข้อมือบางจนกำเอาไว้ทั้งหมด ทิวากาลเริ่มต้นการปฐมพยาบาลด้วยการล้างรอยเลือดเดิมออกโดยใช้น้ำเกลือเสียก่อน เมื่อสะอาดเรียบร้อยแล้วถึงเห็นว่านอกจากแผลรอบล่าสุดแล้วมันยังมีร่องรอยของแผลเดิมอีกนับไม่ถ้วนอยู่บนนั้น เพราะอย่างนี้เลยสวมสร้อยข้อมือเอาไว้ตลอดสินะ

   ที่ว่ามันมีสิ่งผิดปกติตอนแรกเห็นก็รอยเลือดแห้งติดตรงฝ่ามือนี่แหละ เด็กบ้าอะไรถึงคิดว่าการใส่เสื้อแขนยาวมันจะช่วยปิดแผลเอาไว้จนไม่มีใครสงสัยกัน บอกเลยว่าทำอย่างนั้นก็ยิ่งมีพิรุธกว่าเดิมเป็นล้านเท่า

   ภัสสร์นั่งเงียบตั้งแต่ที่เขาสั่งไม่ให้พูด แอบเงยหน้าขึ้นมามองหลายครั้งก็พบว่าคนที่ทำร้ายตัวเองเหม่อมองแขนของตัวเองไม่หันไปทางอื่น

   “ไหนบอกรอวันตาย”

   “ก็รออยู่”   

   “ทำอย่างนี้ไปมันก็ไม่ได้ตายเร็วขึ้นเลยนะ”วิธีการกรีดที่ไม่ลึกจนถึงขนาดเป็นแผลใหญ่ แถมตามหลักของแพทย์แล้ววิธีการกรีดแนวขวางอย่างนี้มันก็ไม่ช่วยให้ตายง่ายขึ้น ถ้าอยากจะฆ่าตัวตายจริงคงเลือกวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ นี่มันคือการเรียกร้องความสนใจจากคนรอบข้างชัดๆ

   “ก็ไม่ได้คิดว่ากรีดให้ตาย”

   “แล้วทำไปทำไม?”

   “...ไม่รู้สิ”

   ถอนหายใจออกมาต่อหน้า มือยังไม่หยุดพันผ้ากับข้อแขน เผื่อว่าอย่างน้อยถ้าเห็นแขนของตัวเองในสภาพนี้แล้วจะได้ไม่วู่วามกรีดอีก

   “ชีวิตมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอภัส”

   “พี่น่าจะถามว่ามีอะไรดีในชีวิตผมบ้าง”

   อยากจะถอนหายใจออกมาอีกสักรอบ ติดว่าทำไปก็คงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา “งั้นเล่าเรื่องที่ภัสคิดว่าเป็นสิ่งดีในชีวิตมาให้พี่ฟังสิ”

   เขาไม่เคยต้องรับมือกับเด็กที่เพิ่งทำร้ายตัวเองมา ไม่รู้ว่าควรไล่ลำดับการเกลี้ยกล่อมให้สงบอย่างไรบ้าง แล้วคำพูดไหนที่หากพูดออกไปแล้วมันอาจไปกดสวิทช์ความรู้สึกจนกลับไปทำร้ายตัวเองอีกครั้ง ทิวากาลกำลังต่อสู้กับเด็กอารมณ์แปรปรวนโดยที่เขาไม่รู้วิธีรับมือ

   “ไม่มี”

   เพราะยังไม่มั่นใจในระดับความสงบในตอนนี้ เลยต้องปล่อยให้เด็กยังมีอิสระอยู่โดยที่ตัวเองก็คอยจับตาดูไม่ให้คลาดสายตา เขาจะยังไม่โทรไปหาพิชชาตอนนี้ การที่ภัสสร์เลือกมาหาตนเองนั่นแสดงว่าไม่อยากจะกลับไปอยู่กับคนในครอบครัว เพราะอย่างนั้นสิ่งที่เขาควรทำคือปล่อยให้เด็กตัวเล็กได้ทำตามอย่างที่ตัวเองต้องการ สมัยนี้เป็นอันรู้กันว่าเกือบทุกการเคลื่อนไหวตกอยู่ใต้การควบคุมของพ่อแม่ เว้นจะเป็นครอบครัวปล่อยแบบเขา

   ภัสสร์ผงกหัวแทนการขอบคุณเมื่อทำแผลเสร็จ ก็ดี คราวนี้รู้จักขอบคุณผู้มีพระคุณ

   “ผมเดินเล่นได้ไหม”

   “เชิญเลย ตามสะดวก” ทำอะไรก็ได้ที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ทิวากาลยังต้องการข้อมูลอีกมากจากปากของเด็กคนนี้ "ยกเว้นแต่ห้องสุดท้ายตรงสุดท้ายเดิน นั่นห้องทำงานของพ่อพี่"

   ห้องที่ต้องได้รับอนุญาตก่อนเข้าไปทุกครั้ง

   ข้างในคือพื้นที่แห่งความทรงจำที่คนเป็นพ่อไม่เคยเล่าให้ใครฟัง

   เด็กในชุดอยู่บ้านกับผ้าพันตรงข้อมือลุกขึ้นตรงไปยังตู้เก็บของรางวัลจำนวนมาก มันเป็นของเก็บเอาไว้ตั้งแต่สมัยที่ยังแข่งกีฬาเป็นงานอดิเรก ก็ดันโตมากับยุคที่เทนนิสบูมจนถึงขั้นที่ว่าต้องคัดกันข้ามวัน มันเลยมีหลายรายการให้ไปลองวัดระดับฝีมือของตัวเอง พ่อเองก็สนับสนุนเต็มที่แต่ไม่ได้บังคับให้ต้องเป็นโปรหรือถึงขั้นที่ว่าหยุดเรียนเพื่อไปซ้อม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความพอใจของแบล็คทั้งหมด

   พอวันหนึ่งเขาเบื่อก็โบกมือลาวงการ

   “พี่เก่งเนอะ”

   นิ้วผอมจนเห็นโครงชี้ไปตรงรูปถ่ายตอนรับรางวัลช่วงมัธยมต้น อีกอย่างที่น่าแปลกคือต่อให้ตากแดดมากแค่ไหนเขาก็ยังขาวได้ในระดับที่ผู้ปกครองหลายคนเดินมาถามว่าใช้ครีมกันแดดยี่ห้อไหน พอตอบว่าใช้ปกติทั่วไปก็ทำหน้าไม่เชื่อจนเขาไม่อยากจะตอบอีก

   “ไม่หรอก” ยังมีคนจำนวนมากที่เก่งกว่าเขา แค่จังหวะชีวิตไม่ตรงกับโอกาสก็เท่านั้นเอง “ไม่มีใครเก่งในเรื่องเดียวกันไปทั้งหมด”

   “แต่อย่างน้อยพี่ก็รู้ว่าเก่งอะไร ผมไม่เห็นเจอว่าตัวเองเก่งทางไหน"

   “ก็เรียนเก่งไม่ใช่เหรอ ครูบอกมา”

   “ผมเรียนได้ แต่ผมไม่ได้เก่ง”

   นั่นเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับเด็กที่ทำอะไรได้หลายอย่าง แต่ไม่สุดสักทาง “แล้วพี่เล่นกีฬาอื่นไหม?”

   “เคยเล่นบาส เหรียญที่ไม่เข้าพวกนั่นน่ะ” เหรียญตรงริมสุดของตู้ เพราะมันเป็นเหรียญสุดท้ายที่ได้ในชีวิตการเป็นเด็กมัธยม “แต่ก็ชนะเพราะทีมดี”

   กัปตันตัวสูงกับทีมฟูลทีมในตำนานโรงเรียน บวกกับพ่อคนที่เป็น’ที่หนึ่ง’ ในทุกเรื่องจนได้แชมป์จังหวัดมาแล้ว เขาก็ได้ลงเล่นอยู่หลายนัด แต่ไม่ถึงกับเป็นตัวเล่นที่ขาดไม่ได้ขนาดนั้น ก็บาสมันเป็นกีฬาที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนๆ เดียวนี่นา ต่อให้คุณเก่งขนาดไหนแต่ถ้าทีมไม่ส่งเสริมมันก็ไม่มีประโยชน์

   “แล้วพี่เรียนเป็นไงบ้าง”

   “ก็ไม่แย่นะ” การเรียนที่ถูกบังคับให้ต้องทบทวนซ้ำอยู่เสมอเผื่อว่าน้องคนเล็กไม่เข้าใจตรงไหนจะได้ตอบกลับไปได้ทันที

   “พี่เคยรู้สึกเบื่อที่ต้องไปเรียนไหม”

   “ตลอดแหละ”

   ทั้งเรื่องการเรียนแล้วก็สังคม เขาเบื่อจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ว่าเพราะอะไรคนเราถึงต้องรู้ทุกอย่างในโลกนี้ขนาดนั้น มันไม่มีเวลาสำหรับการตามหาสิ่งที่ตัวเองสนใจจริง เราถูกบังคับให้ต้องรู้ในสิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ไม่ใช่อยากรู้แล้วจึงไปหาคำตอบ บอกเลยว่าทุกวันนี้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ถูกทิ้งไว้บนโต๊ะเรียนมัธยมปลายหมดแล้ว

   “แล้วพี่ใช้วิธีไหนถึงผ่านมันไปได้”

   “ก็พยายามท่องบอกให้ตัวเองอดทน...เฮ้ อย่าซน บ้านนี้ของอันตรายเยอะ”

   ของที่เคยทำร้ายคนในครอบครัวมาแล้ว

   “ของอันตราย?”

   “ปืน มีด อะไรทำนองนั้น” มันก็มีแบ่งประเภทอีกแหละ เขาขี้เกียจไล่

   “ล้อเล่นหรือเปล่า นี่บ้านนะพี่”

   “พูดให้ถูกคือบ้านมาเฟียเก่า”

   มีเพียงเสียงผิวปากหวือ ไม่มีอาการตื่นตกใจกับการเข้ามาเหยียบข้างใน

   “งั้นพี่ก็เป็นลูกมาเฟียอย่างนั้นสิ”

   “บ้านพี่เลิกทำแล้ว ทุกวันนี้อยู่แบบสงบ”

   “ขายยาเสพติด? ค้าอาวุธเถื่อน? ฆ่าคนตามคำสั่ง?”

   นั่นคงเป็นทัศนคติต่อคำว่ามาเฟีย ทิวากาลส่ายหัวไปมาก่อนจะตอบตามที่ได้ยินมาจากเพื่อนของบิดาว่าช่วงชีวิตก่อนที่จะมีเขานั้นธุรกิจของบ้านนี้เป็นอย่างไรบ้าง

   “ไม่ชัวร์ว่ารุ่นคุณปู่ยังมีไหม แต่พ่อพี่แค่คุมคนให้อยู่ในโอวาท ไม่ได้ทำอะไรพวกนั้น”

   คุณพินิจเล่าเหมือนเรื่องขำขันว่าเดี๋ยวนี้ตำรวจเขาเปลี่ยนมาเป็นมาเฟีย คนที่เคยเป็นมาก่อนเลยต้องระเห็จตัวเองไปทำหน้าที่อื่นแทน อย่างพ่อของเขาแม้จะไม่ได้เอาเรื่องงานมาปะปนกับชีวิตส่วนตัวคนในครอบครัวอย่างเขาก็ผ่านเรื่องราวน่าระทึกใจมาไม่น้อย เพื่อความปลอดภัยเขากับไวท์ถูกส่งไปเรียนศิลปะป้องกันตัวหลายแบบ ส่วนเกรย์นั้นไม่น่าเป็นกังวลเนื่องจากแม่สองเป็นลูกของคู่ค้าทางธุรกิจ

   “ถ้าจ้างพี่ให้ช่วยฆ่าผมจะได้ไหม?”

   ใบหน้าของทิวากาลตึงขึ้นหนึ่งระดับตอนได้ยิน ภัสสร์ยังคงให้ความสนใจกับถ้วยรางวัลจำนวนมากในตู้อยู่เลยไม่เห็นว่าต้องคุมอารมณ์ของตัวเองแค่ไหน

   “แน่นอนว่าไม่ ฆ่าผู้อื่นผิดกฎหมายอาญา”

   “เหรอ...”

   ได้แต่มองเด็กทำหน้านิ่งตอนไล่ไปตามตู้เก็บของรางวัลจนครบทั้งหมด แล้วจึงเดินไปยังส่วนต่อไปคือชั้นวางรูปถ่ายจำนวนมาก มีตั้งแต่ช่วงที่ยังเป็นเด็กอายุประมาณขวบหนึ่งจนถึงปัจจุบันคือรูปถ่ายครบทั้งห้าคนเมื่อช่วงไปอังกฤษทั้งบ้าน

    “บ้านพี่คนเยอะดีจัง” รูปที่ภัสหยิบขึ้นมาดูคือรูปถ่ายตอนจบมัธยมปลาย จะไม่ให้เยอะได้ยังไงในเมื่อบนนั้นมีเพื่อนอีกสามคนอยู่ด้วย

   “นั่นมีเพื่อนด้วย ถ้ารูปครอบครัวต้องอันนี้”

   แก้ความเข้าใจผิดด้วยการหยิบรูปถ่ายครอบครัวที่บอกไว้เมื่อครู่มาไว้ในมือให้เห็นชัดๆ “พ่อ พี่ แล้วก็แฝดพี่ ไวท์ ที่ผอมที่สุดชื่อเกรย์  ส่วนที่ทำหน้านิ่งๆ นั่นน้องเล็กสุด น้องโรม”

   "ทำไมคนเล็กชื่อไม่เหมือนคนอื่น?"

   "ลูกบุญธรรม ไม่ใช่น้องแท้"

   “ก็ยังเยอะอยู่ดีนั่นแหละ”

   คิดถึงจำนวนคนในครอบครัวของอีกฝ่าย ได้แต่ยอมรับว่าเมื่อเทียบกันแล้วบ้านของพิชชามีสมาชิกน้อยกว่าจริงอย่างที่พูด

   “ปวดหัวจะตายแต่ละคน ถ้าภัสลองมาเป็นพี่อาจไม่อยากมีน้องก็ได้”

   “พิชก็อาจปวดหัวที่ต้องมีน้องอย่างผมเหมือนกัน”

   “คิดมาก”

   “แล้วแม่ของพี่ไปไหนล่ะ ทำไมไม่อยู่ในรูป?”

   คำถามที่ไม่อยากตอบ รู้ตัวดีกว่าครอบครัวของตัวเองค่อนข้างซับซ้อนแล้วก็เข้าใจยากเมื่อใช้มาตรฐานของคนทั่วไปในการวัด ควรจะเล่าแบบไหนให้เข้าใจได้ว่าแม่ของเขาไม่ใช่แม่ของสีเทาแล้วก็น้องโรม แต่ก็ต้องไม่ให้เด็กถามต่อว่าแล้วแม่ของทิวาราตรีไปไหน

   รู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่มีทางตอบคำถามนั้นได้

   จำได้ว่าบนชั้นวางมีรูปของแม่สองเก็บเอาไว้อยู่ ถึงแม้ว่าจะเป็นรูปเดียวที่ไม่ได้รับการดูแลจากคนงานเลยก็เถอะ สมัยนั้นใครชอบคุณนายสูงสุดของบ้านบ้าง ไม่มีหรอก

   “อะ นี่แม่สอง”

   ปาดฝุ่นชั้นหนาตรงหน้ากระจกออก ใบหน้าของหญิงสาวที่ไม่ได้เห็นมานานจนกระทั่งพอเห็นอีกทีกลายเป็นไม่คุ้นหน้าไปเสีย ทิวากาลมีความทรงจำเกี่ยวกับคนที่ตัวเองเรียกว่าแม่สองไม่มากเท่าไหร่ ก็ไม่ได้ดูแลเขามาแถมยังเป็นเหตุของเรื่องแย่ๆ พรรณนั้นมันเลยไม่มีความจำเป็นในการให้ความสำคัญ

   "เสียไปตอนพี่หกขวบ"

   เขาจำช่วงเวลานั้นได้ดี

   “หืม?” ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ว่าเสียงนั้นดัดให้เหมือนว่าตัวเองกำลังสงสัยอยู่ “ใช่แม่เหรอ ไม่เหมือนพี่เลย”

   “ก็ไม่เคยมีใครบอกว่าพี่เหมือนพ่อเหมือนกัน”

   “พี่ไม่ใช่ลูกบ้านนี้สินะ”

   “นั่นปากเหรอ”

   ผลักหัวเด็กปากเสียไปที เมื่อสภาพแวดล้อมกำลังดีอยู่ก็ไม่อยากจะหาเรื่องดึงอารมณ์ลง ได้แต่ตามน้ำไปเรื่อยหวังว่ามันจะช่วยให้เด็กอารมณ์คงที่

   “ก็จริงนี่ ถ้าพี่ไม่เหมือนแม่กับพ่อแล้วจะเหมือนกับใคร”

   “ขนาดพี่มีฝาแฝดยังไม่เหมือนกันเลย”

   “นั่นไง นางพยาบาลหยิบมาผิดตัวแหงเลย”

   “อ่านนิยายมากไปแล้ว หัดอ่านหนังสือแบบอื่นบ้าง”

   จบการแนะนำคนในครอบครัวแล้ว ภัสสร์ก็ยังไม่ยอมปล่อยรูปครอบครัวในมือให้กลับไปอยู่บนชั้นตามเดิม รูปที่เขาไม่เคยคิดว่ามันจะมีความสำคัญอะไรมากไปกว่าของตั้งวางไว้บนชั้นดูเหมือนว่าจะมีความหมายกับอีกคนเหลือเกิน

   “แม่รักพี่ไหม?”

   ถ้าให้หาคำที่เหมาะกับความรู้สึกมากที่สุดคงต้องใช้คำว่าชะงักจนไปต่อไม่ถูก “...คิดว่านะ”

   “อยากเห็นรูปอื่น ผมไม่เคยมีรูปแม่อย่างนี้เลย”

   “ครอบครัวพี่ก็ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้นหรอก” เขาไม่ได้ปลอบใจอะไรหรอกนะ ความหมายตรงตามที่พูดเป๊ะเลย ไม่กล้าสรุปไปเองว่าภัสรู้เรื่องนี้เหมือนอย่างที่พิชรู้หรือไม่ด้วย เขาไม่อยากเอาเรื่องข้างในออกไปด้านนอก

   “อย่างน้อยพี่ก็มีพ่อกับน้อง”

   นั่นคือสองสิ่งที่ภัสสร์เคยมี และตอนนี้มันเหลือเพียงพี่คนเดียว

   “...ดีกว่าผมตั้งเยอะ”

   รูปแทนความสุขวางลงตรงที่เดิม เป็นจังหวะเดียวกับหยดน้ำตาทิ้งตัวลงสู่พื้น


***
   วันนี้อากาศกลับมาเย็นลงเฉยเลยค่ะ อยากให้อากาศเป็นประมาณนี้ต่อไปนานๆ จังนะ (หัวเราะ)
   เจ้าวางแผนสำหรับปีใหม่นี้คือการอยู่กับพี่แบล็คพร้อมพิชชาข้ามปีค่ะ (ฮา) วางโครงทั้งหมดเสร็จแล้วล่ะ เหลือแต่บอกตัวเองให้พิมพ์เร็วๆ กว่านี้หน่อยอย่างเดียวเลย
   #พิชแบล็ค

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.12-1 [29.12.16] P.3
« ตอบ #69 เมื่อ: 29-12-2016 22:07:54 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.12-1 [29.12.16] P.3
«ตอบ #70 เมื่อ30-12-2016 05:18:10 »

หน่วงๆ นะ
ไม่มีใครสดใส ร่าเริงซักคน
ดูอึมครึมๆ ทุกคน
ภัสสร เด็กสุด น่าจะสดใสตามวัย
กลับกรีดแขน ทำร้ายตัวเอง
เป็นเพราะคนเลี้ยง
ขาดความอบอุ่น 
หรือสภาพจิตใจตัวเอง
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.12-1 [29.12.16] P.3
«ตอบ #71 เมื่อ30-12-2016 09:01:37 »


อึมครึมพอควร
เรื่องซับซ้อนนี่ปกติ

อยากอ่านต่อไวๆ

รอแบล็คพิชชาข้ามปีนะคะ

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.12-2 [01.01.17] P.3
«ตอบ #72 เมื่อ01-01-2017 01:28:49 »

CH.12-2

   เด็กเจ้าปัญหาร้องไห้จนหลับไปแล้ว ตั้งแต่เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่ต้องมาอยู่ในสภาพอย่างนี้เลยไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง ก็ถ้าเป็นน้องเล็กเขาไม่คิดที่จะปลอบอยู่แล้วเพราะว่ามีคนอื่นพร้อมรับหน้าที่ไปอย่างเต็มใจ พอเหลือคนเดียวนี่จะเลือกทางไหนก็ดูไม่โอเคทั้งนั้น สุดท้ายเลยนั่งเงียบอย่างเดียว

   ตอนเลี้ยงน้องโรมไม่เห็นยากอย่างนี้

   พอหลับไปแล้วแทนที่จะเดินไปสูดอากาศข้างนอกได้สะดวกก็ต้องมาติดแหงกอยู่ตรงพรมในห้องนั่งเล่นเพราะว่าหน้าขาของตัวเองกลายเป็นหมอนอิง ด้วยข้อจำกัดของสถานที่ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการสูบทิวากาลควรจะเปลี่ยนไปสูบบุหรี่ไฟฟ้าแล้วจริงๆ นั่นแหละ ตอนนี้เขาต้องการสารพิษมากเลย

   เอาหลังพิงกับขอบโซฟาเอาไว้ มองจนจำได้แล้วของในห้องวางประดับเอาไว้ตรงไหนบ้างก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับขาได้ ว่างจนต้องก้มลงมองใบหน้าของเจ้าชายนิทรา ผิวขาวเหมือนกับพี่ ผมเส้นบางที่่ยาวกว่าเด็กมัธยมปลายทั่วไปบางส่วนระส่วนข้างอาจทำให้รำคาญเลยช่วยปัดมันออก จมูกมีสันแต่ก็ไม่ได้โด่งอะไร โดยรวมแล้วก็ดูเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีส่วนใดโดดเด่นเหมือนกับคนเป็นพี่

   เสียงข้อความเข้าดังมาจากด้านหลัง หันกลับไปจึงพบว่าเป็นมือถือของภัส ถือสิทธิ์จากการที่ต้องมาดูแลเด็กหยิบมันมาเปิดดูว่ามีใครส่งอะไรมา มันเป็นข้อความแจ้งเตือนให้ชำระค่าบริการจากเครือข่ายโทรศัพท์ จำนวนเงินมากแบบที่เขาสามารถใช้ได้ประมาณสามเดือนทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ประหยัดอะไร

   ด้วยความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัวมือจึงกดเลื่อนสไลด์ไปแล้ว อีกคนไม่ได้ใส่พาสเวิร์ดอะไรไว้วอลเปเปอร์สีดำสนิทเลยเปลี่ยนเป็นหน้าจอเริ่มต้นที่มองภาพข้างหลังไม่ค่อยชัดว่าสื่อถึงอะไร เริ่มต้นด้วยการเปิดดูว่าก่อนจะมาหาเขาคำสั่งสุดท้ายจบตรงไหน

   แอปพลิเคชันที่มีไว้ลงรูปอย่างอินสตาแกรมคือสิ่งที่เจอ รูปแรกตรงส่วนของการอัปเดตจากเพื่อนนั้นเป็นรูปของคู่รักคู่หนึ่งที่เขาคุ้นหน้าเป็นอย่างดีอยู่ระหว่างช่วงฮันนีมูน กดเข้าไปดูต่อในหน้าข้อมูลส่วนตัวถึงพบว่านี่ไม่ใช่การแสดงออกถึงความรักรูปแรก

   ตลกที่สุดคือภัสสร์ยังกดไลค์ทุกรูป

   คน ‘เคยรัก’ นี่ต้องทำอะไรขนาดนี้เลยหรือไง

   เลื่อนลงมาจนถึงรูปสุดท้ายแล้วก็ยังไม่พบความผิดปกติหรือว่ารูปอื่นใดที่มีเด็กคนนี้เกี่ยวข้อง เข้าต่อไปยังส่วนของหน้าไอจีเจ้าของดูว่ารูปสามสิบสี่รูปที่มีอยู่นั้นเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง มีแต่รูปไร้สาระ ไม่เพื่อนแกล้งก็เป็นตามร้านอาหาร มีอยู่แค่สองรูปที่เป็นคนอื่นถ่ายตัวเอง แน่นอนว่าไม่มีรูปไหนเห็นเสี้ยวหน้าของพี่กายเลย

   “...ลบหมดแล้วมั้ง”

   ก้มลงมองคนที่ยังหลับลึก ลองสมมติว่าถ้าตัวเองเป็นเด็กคนนี้จะใช้วิธีการติดต่อสื่อสารยังไง เรื่องที่ต้องเก็บเอาไว้เป็นความลับขั้นสุดยอด ไม่มีทางเอาลงเฟสหรือว่าทวิต หรือว่าจะลองเข้าไปดูในไลน์ดี

   คิดอย่างนั้นก็เลยลองทำตามทฤษฎีของตัวเอง มีช่องสนทนาอยู่แค่ไม่กี่ช่อง ดูแล้วเกือบทั้งหมดเป็นเพื่อนที่โรงเรียน แล้วก็มีชื่อกรุ๊ปหนึ่งที่เห็นแล้วก็รู้เลยว่าต้องเป็นกลุ่มเด็กเที่ยวพวกนั้น ทั้งหมดทั้งมวลไม่มีการพูดคุยกับปกายหรือพิชชา

   ลองตรวจสอบต่ออีกนิดถึงเจอว่าชื่อของปกายหายไปไหน เมื่อลองตรวจในส่วนของรายชื่อที่ทำการบล็อคก็พบว่าบัญชีหนึ่งเดียวตรงนั้นคือของพี่กาย ซึ่งก็น่าบล็อคอยู่แหละในเมื่อเอารูปตัวเองกับภรรยาในวันแต่งงานขึ้นแทนรูปโปรไฟล์หรา

   ผู้ชายคนนั้นก็แปลก

   สำหรับทิวากาลแล้วทุกอย่างมันไม่มีอะไรเข้ารูปเข้ารอย คนมีภรรยาแล้วด้านหนึ่งยังตามเด็กผู้ชายตัวเล็กไม่ยอมปล่อยให้คลาดสายตา ผู้ใหญ่อย่างนั้นควรจะรู้ว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร เขาไม่สนหรอกว่าจะยังรักหรือเปล่า แต่ในเมื่อเลือกทางนั้นไปแล้วมันก็ต้องยอมรับ

   เหมือนที่เขาเลือกทางนี้ไปแล้ว มันก็ทำได้แค่ยอมรับว่าต้องทำให้ดีที่สุด

   ต่อมาเลยเข้าไปดูในส่วนของอัลบั้มรูป เลขสี่ร้อยกว่านั้นถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับมือถือรุ่นที่ออกมาสองปีแล้ว ทิวากาลไล่ลงไปดูชื่อของแต่ละส่วนจนเจอกับหนึ่งในวิวัฒนาการของเครื่องในเรื่องการเก็บรูปที่ลบทิ้งไปแล้ว ก็จำนวนสองร้อยกว่านั่นมันเกือบครึ่งหนึ่งของรูปในเครื่องจริงแล้ว น่าสนว่าในหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเด็กคนนี้ลบความทรงจำอะไรบ้างลงไปอยู่ในส่วนของถังขยะ

   รูปถ่ายก็สมกับเป็นเด็กมัธยมดี รูปเพื่อน รูปสมุดการบ้าน โจทย์บนกระดาน

   ...และรูปถ่ายคู่กัน

   มีอยู่หลายรูปในหลายสถานที่ และในบางรูปต้องใช้คำว่าล่อแหลมอยู่พอสมควร ก็ไม่น่าแปลกใจที่ลบทิ้งล่ะนะ มันคงไม่ดีกับคนเป็นพี่เท่าไหร่ถ้าเกิดรูปพวกนี้มันหลุดออกไปสู่สาธารณะ ยิ่งเป็นบ้านที่สนใจเรื่องชื่อเสียงยิ่งกว่าความสุขของเด็กแล้วด้วยไม่ต้องพูดเลย

   แม้จะไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็ใช่ว่าเสียงเปิดประตูจะหายตามไปด้วย ทิวากาลเงยหน้าขึ้นมามองผู้มาใหม่ที่ไร้มารยาทพอๆ กับน้องชายของตัวเองเงียบๆ จัดการเรียงแอปที่ตัวเองเปิดให้กลับไปเป็นแบบเดิมก่อนวางไว้บนเบาะ พยักเพยิดแบบไม่มีเสียงให้ช่วยทำอะไรกับคนตรงตัก
   
   พิชชาผงกหัวให้ ก้มลงไปกระซิบอะไรกับภัสเล็กน้อยก่อนออกแรงดึงน้องชายให้ขยับตัวขึ้นอย่างทุลักทุเล ทิวากาลรีบคว้าหมอนใบใหญ่บนโซฟามารองหัวเอาไว้แทนหน้าขาของตัวเอง เอาเสื้อหนาวตัวหนาที่ใส่มาห่มเอาไว้อีกชั้น ปล่อยให้เด็กคนหนึ่งได้อยู่ในนิทราโดยไม่มีใครเข้าไปรบกวน

   “ทำเหมือนบ้านผมเป็นสวนสาธารณะที่จะมาเมื่อไหร่ก็ได้เลยนะ”

   ออกมาสู่พื้นที่ส่วนหลังของบ้านที่จะพาเข้าไปสู่ผืนป่าขนาดพอสมควร หยิบแท่งนิโคตินออกมาดับอารมณ์ขุ่นมัวของตัวเอง ยื่นไปให้คนด้านข้างเผื่อว่าต้องการเหมือนกัน “รู้ได้ยังไงว่าภัสอยู่นี่?”

   ชายผมยาวในชุดแบบเดิมผลักมันกลับมา “ก็คุณโทรมาหาผม พอโทรกลับไม่เห็นจะรับเลยคิดออกอย่างเดียวน่ะครับ”

   “ภัสกรีดข้อมือ” เข้าสู่ประเด็นเลยดีกว่า คนเป็นพี่ก็คงเห็นผ้าพันแผลแล้วล่ะ “ผมรู้ว่าไม่ใช่ครั้งแรก แล้วมันก็ไม่ควรมีครั้งต่อไป”

   “ครับ”

   “ผมอยากได้คำอื่น”

   “ทราบแล้วครับ”

   “พิชชา”

   ติดเป็นนิสัยที่จะเรียกชื่อจริงของคนอื่นถ้าต้องการให้อีกคนรู้ตัวว่ากำลังจริงจัง มันน่าโมโหก็ตรงพิชชาไม่ยินดียินร้ายกับการกระทำของน้องชายตัวเอง เด็กที่พยายามฆ่าตัวตายจนถึงขั้นที่ถามออกมาว่าช่วยฆ่าให้หน่อยได้ไหมต้องมีความผิดปกติในด้านจิตใจแล้ว

   “ถึงนั่นไม่ใช่น้องผม ผมก็รู้ว่าภัสควรไปหาหมอ”

   “การพบแพทย์ไม่ได้ช่วยทุกเรื่องครับ” บุหรี่ที่อยู่คาบเอาไว้หายไปอยู่ในมือของอีกคนแทน พี่ชายของภัสยกมันขึ้นมาสูดเอาควันพิษเข้าไปบ้าง “เหมือนกรณีของน้องคุณ”

   น้องสาวฝาแฝดเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นช่วงประถม การเข้ารับการรักษาด้านจิตใจที่หมอถึงกับเอ่ยปากออกมาเองว่าไม่สามารถแก้ไขอะไรได้หากเจ้าตัวไม่ให้ความร่วมมือ รัตติกาลติดอยู่กับความคิดเรื่องเดิมจนยากเกินกว่าจะเยียวยา

   “เคสไวท์มันซับซ้อน”

   “ของภัสก็เหมือนกันครับ"

   เด็กที่แลกชีวิตของตัวเองกับมารดา ไม่เคยได้รับการดูแลโดยผู้ให้กำเนิด หลงรักลูกพี่ลูกน้องที่เป็นเพศเดียวกัน และสุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าตัวเองเหลือพี่ชายเพียงคนเดียว

   “น้องสาวของผมไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย”

   “แล้วไงครับ”

   การตีรวนอย่างนั้นไม่เหมือนกับพิชชาคนที่ทิวากาลอยู่ด้วย แท่งควันตรงปากของผู้รู้ถูกดึงออกไปอย่างแรง เขวี้ยงมันลงพื้นตามด้วยการขยี้ด้วยรองเท้าแตะ แค่ต้องมาเจอเรื่องของภัสมันก็ทำลายเช้าอันสดใสมากเกินไปแล้ว การที่ต้องมาเจออีกคนย้อนกลับแบบไร้เหตุผลด้วยเขาก็คิดว่าตัวเองคงไม่จำเป็นต้องทนอีก

   “อย่าทำอย่างนี้กับผมนะพิช”

   "มีใครกล้าทำอะไรราชาด้วยเหรอครับ?"

   "ก็ที่คุณทำมาตลอดไม่ใช่หรือไง"

   "อ้อ งั้นต้องขอโทษด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจะพาภัสกลับล่ะ"

   เท้าขยับเตรียมหมุนตัวกลับ เรียกให้ร่างพุ่งตรงไปก่อนจะมีคำตอบจากส่วนสมองว่าควรทำอย่างไรต่อ

   รู้แค่ในตอนนี้ไม่อยากให้พิชชาหันหลังให้อย่างนั้น

   "พิช..." เรียกชื่อเสียงอ่อน เดินเข้าไปใกล้แล้วจัดการโอบเอวเอาไว้หลวมๆ เพื่อป้องกันการหนี ทิวากาลชอบพิชชาคนที่ชอบท้าทายด้วยการส่งรอยยิ้มปริศนาพร้อมกับคำพูดที่เข้าใจยากอย่างนั้นมากกว่านี่นา "เล่าให้ผมฟังได้หรือเปล่า?"

   ก็พอรู้อยู่ว่าไม่น่าจะได้ผล ก็ไม่รู้ว่าจะเอาวิธีไหนมาบรรเทาอาการไร้ชื่อเรียกของพิชชา หรืออาจจะแขนเจ็บจนพาลไปหมดทุกอย่างก็ไม่รู้

   "ผมไม่มีอะไรจะเล่าครับ"

   เจออีกคนยืนกรานอย่างนั้นเลยต้องรีบคิดใหม่ ลมเย็นที่พัดเข้าหน้าช่วยบอกทิวากาลว่าอาจมีทางอื่นที่ช่วยให้คนอารมณ์แปลกกลับมาเป็นคนเดิมได้

   "งั้นไปเดินเล่นกันไหม"

   "ครับ?"

   "ไปดูต้นไม้กัน"

   บางทีการได้อยู่กับธรรมชาติอาจช่วยให้ผ่อนคลายได้มากขึ้น อย่างที่เคยมีผลการวิจัยบอกว่าการพักด้วยการอยู่กับพื้นที่สีเขียวแป็นการพักสายตาที่ดี

   พอนึกถึงคำว่าป่าแล้วคงไม่พ้นพื้นที่รกชันไม่เคยมีใครเข้าไปดูแล ต่างจากส่วนหลังของบ้านหลังนี้ จะมีคนเข้าไปดูแลทุกเดือนเพื่อไม่ให้รบกวนระบบธรรมชาติมากเกินไป แต่ก็ยังต้องดูแลเรื่องสัตว์อันตรายเอาไว้ให้ดีเพราะว่าไวท์ชอบเข้าไปเดินเล่น

   "ไม่ครับ"

   "ให้เจ้าบ้านได้พาเดินหน่อยเถอะน่า ตอบแทนที่เคยพาผมทัวร์ไง"

   นั่นไม่ใช่คำขอแต่คือการบังคับ หมุนตัวอีกคนให้หันไปทางเดียวกัน มือจับไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้แล้วผลักให้เริ่มเดิน คนแขนเจ็บทำท่าฮึดฮัดแบบคนโดนขัดใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะว่าแรงน้อยกว่าพอสมควร พิชชาส่งตาดุมาให้แล้วเขาก็เลียนแบบท่านั้นกลับไป เขาก็เปลี่ยนอารมณ์ได้เหมือนกันนี่นา ไม่ใช่คนที่เอาแต่นิ่งเงียบทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอย่างนั้นตลอดเวลา

   'ป่า' ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กวันนี้แตกต่างออกไปจากทุกวัน ทั้งที่ต้นไม้ตามทางก็ยังเหมือนเดิมไม่มีส่วนไหนเปลี่ยนแปลงไป แขกคนพิเศษเดินนำโดยไม่ปริปากออกมาสักคำเดียว ปล่อยให้ทิวากาลแนะนำต้นไม้ชนิดต่างๆ เท่าที่ตัวเองรู้จักไปคนเดียว

   ชุดสีเข้มของพิชชาวันนี้หม่นกว่าทุกครั้ง มองอีกคนจากด้านหลังอย่างนี้ก็แปลกดีเหมือนกัน ผมหยักศกไม่ค่อยเป็นระเบียบจนอยากจะเสกแปรงหวีมาไว้ในมือตัวเอง หรือว่าจะช่วยมัดผมดีนะ เดินไกลอย่างนี้อาจร้อนเกินไปสำหรับคนที่มักใช้ชีวิตอยู่ในร่มก็เป็นได้

   "มัดผมให้ไหม?"

   "..."

   "เหงื่อออกแล้ว เดี๋ยวรำคาญ"

   "..."

   เมื่อปลายไม่มีเสียงตอบรับ เขาก็เลยรวบเส้นผมไว้ในมือของตัวเองอย่างที่ทำเป็นประจำ

   "ไม่ครับ"

   "ผมให้เวลาคุณตอบตั้งนาน ตอนนี้ผมไม่รับคำตอบแล้วพิช"

   ให้รู้เอาไว้เลยว่าคนที่นิสัยเสียที่สุดในบ้านนี้ไม่ใช่น้องโรม แต่เป็นเขานี่แหละ ราชาเอาแต่ใจตัวเองจนไม่มีใครกล้าเข้ามาปราม ในเมื่อให้เวลาแล้วพิชชาอยากเงียบเองเขาก็จะทำตามที่ตัวเองต้องการ ไม่คิดจะสนเสียงห้ามที่ตามมาหรอก ถ้าตัวเองทำอย่างนั้นได้เขาก็จะทำบ้าง

   ร่างนั้นกลับหลังหันมาแทบในทันที ทิวากาลเลยได้แต่ยกมือทั้งสองข้างค้างไว้ที่ท่าเตรียมมัดผม เอียงคอรอว่าพิชชาจะพูดอะไรออกมาหรือเปล่า

   "ผมบอกว่าไม่ครับ"

   "แล้วทำไมไม่พูดแต่แรก?"

   "ก็เพราะ..."

   เกือบจะขยับปากต่อแล้ว หากไม่ติดว่าเห็นบางอย่างเสียก่อน

   นัยน์ตาตัดพ้อกับน้ำเสียงแห้งผาก

   “เพราะ...?”

   “ไม่มีอะไรครับ”

   “คิดว่าผมเชื่อ?”

   มันเป็นสิ่งที่ทั้งสองรู้อยู่แก่ใจ และทิวากาลคงไม่เค้นแบบที่อีกฝ่ายไม่สมัครใจตอบ เขาทำได้แค่รอจนกว่าจะมีเสียงพูดออกมา พอลองคิดดูให้ดีแล้วช่วงเวลาตรงนั้นอาจผ่านไปไม่ถึงนาทีดี แต่สำหรับคนที่ทำได้แค่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปแล้วนั้นมันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน

   มันเป็นความสัมพันธ์ที่แปลก

   และประหลาดตรงที่ทั้งสองคนพอใจอย่างนั้น

   "...ผมไม่ชอบที่ตัวเองเป็นอย่างนี้เลยครับราชา"

   "..."

   "ทั้งที่คุณก็เหมือนเดิม สิ่งที่คุณทำให้ภัสมันก็ไม่ต่างจากที่คุณทำให้คนอื่น..."

   เท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับเหตุผลในการดึงทั้งร่างให้มาอยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง ทิวากาลเกยคางของตัวเองกับไหล่ของอีกฝ่าย มือข้างที่ยังว่างอยู่ลูบเรือนผมสวยไปมาแทนการกล่อม กลิ่นของน้ำหอมปนไปกับสบู่ยี่ห้อเดิมหวานจนเขาต้องสูดเข้าไปลึก

   รู้ได้โดยไม่ต้องขอข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีก คนที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเองนิ่งไม่ไหวติงจนต้องสังเกตจังหวะการหายใจว่ายังอยู่ในระดับปกติหรือไม่ แขนที่ยังไม่หายดีเป็นเหตุให้เขาไม่กล้ากอดแน่นไปกว่านี้ แม้ในใจอยากจะแสดงออกให้รู้ว่าไม่จำเป็นต้องกังวลเสียหน่อย

   ข้อหนึ่งที่พิชชาไม่รู้

   กอดของทิวากาลเก็บไว้ให้คนสำคัญ


   And all the roads we have to walk are winding

   And all the lights that lead us there are blinding

   There are many things that I would

   Like to say to you

   But I don't know how



   "ผมจะอยู่กับคุณพิชชา"

   "..."

   "เลือดของคุณจะไม่ถูกผสม"

   "..."

   "สิ่งไหนที่ผมให้คุณ...คนอื่นไม่มีทางได้ไป"

   คำสาบานของราชาคือคำสัตย์

   หากไม่อาจรักษาไว้ สิ่งเดียวที่ควรค่าคือความตาย

   ไม่จำเป็นต้องหาความหมายของการกระทำ สีดำนึกรู้ได้แค่เพียงว่าตัวเองต้องการที่จะทำอย่างนี้เพื่อให้อีกคนสบายใจ แม้มันอาจเป็นการถลำลงไปในหลุมลึกที่ไม่ดีกับทั้งสองคนอย่างที่พิชชาเคยเตือน

   "เข้าใจไหม"

   "...ผมไม่อยากเข้าใจครับ"

   การพูดอย่างนั้นถึงเหมาะกับพิชชาหน่อย ชนหัวกับอีกคนพลางฮัมเพลงที่กำลังชอบอยู่ในเวลานี้ เพลงเดียวกับที่วิทยุเคยเปิดในวันที่เขาถาม

   ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ทิวากาลจำได้เสมอ

   "เดินอีกหน่อยแล้วกัน"

   "ยังเดินอีกเหรอครับ"

   "อยากพาไปดูอีกที่"

   "ผมไม่ไปตรงที่ของคุณกับไวท์ครับ"

   พิชชาคนชัดเจนกลับมาอีกครั้ง

   เรื่องเล่าระหว่างกิจวัตรในตอนเช้า ทิวากาลบอกความเป็นมาเรื่องต้นไม้แห่งความลับของฝาแฝดให้ฟัง พื้นที่ของครึ่งชีวิตที่ไม่เคยให้ใครอื่นเข้าไปย่างกราย เรื่องที่แม้แต่น้องโรมเองยังไม่มีสิทธิรับรู้แต่ทิวากาลกลับเล่าให้พิชชาฟังหมดทุกอย่าง

   "ตรงนั้นเป็นพื้นที่ที่ผมเข้าไปไม่ได้"

   "งั้นกลับไหม" ยังไงแขนของพิชชาก็ยังเจ็บอยู่ เผื่อล้มอะไรไปล่ะยุ่ง

   "ก็ได้ครับ"

   ทางเดินกลับบรรยากาศน่าพิรมย์กว่าขามา ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือการที่พิชชายอมคุยกับเขาเหมือนปกติแล้วนี่แหละ

   ทิวากาลเว้นระยะห่างไว้ให้พอสำหรับการดูแลคนแขนเจ็บ อยากจะเดินข้างอยู่ติดตรงทางเดินในป่าไม่ได้สะดวกอะไรมากมายนัก ก็เป็นตัวเองที่บอกคนงานเอาไว้เสมอว่าไม่ต้องไปยุ่งอะไรมากนัก ทางก็ไม่ต้องขยายให้ใหญ่โตอะไร พอให้คนเดียวเดินได้ก็พอแล้ว

   "คุณเคยคิดว่าตัวเองเป็นพี่ที่ทำเพื่อน้องมากเกินไปไหม?"

   "ไม่นะครับ ภัสควรได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ"

   "ผมเห็นคุณให้แต่ 'สิ่งของ' กับเขา"

   "เพราะผมให้อย่างอื่นไม่ได้แล้วไงครับ"

   "คราวนี้คุณเดินหมากผิดช่องนะพิช"

   พิชชาคนที่มักจะเดินคุมทิศทางของกระดานได้ คราวนี้กลับตัดสินใจพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย

   "คุณเคยได้ยินเหตุผลว่าเพราะอะไรคนเราถึงเกิดมาเป็นพี่น้องกันไหมครับ?"

   เท้าไม่หยุดก้าว และการพูดคุยยังคงต่อเนื่อง "ที่บอกว่าภาวนาให้ได้เจอกันอีกน่ะเหรอ"

   ยิ่งเป็นฝาแฝดแล้วด้วยความเชื่อเรื่องนี้เลยมีหลายคนเล่าให้ฟัง ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องเล่าทางศาสนาหรือว่าแค่ความเชื่อ การเกิดมาเป็นฝาแฝดชายหญิงเป็นผลจากชาติที่แล้วตั้งจิตอธิษฐานเอาไว้ให้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ตอนนั้นก็แค่พยักหน้ารับแล้วเอากลับมาคุยกับไวท์สองคนว่าคนที่สาบานอะไรอย่างนั้นคงเพี้ยนไปแล้ว ก็ถ้าเกิดมาเป็นพี่น้องกันมันก็รักกันไม่ได้น่ะสิ

   "เกือบใช่ครับ" กลางป่าที่เงียบสงัด เสียงของพิชชาก้องกังวาลไปทั่ว "ถ้าไม่รักกันมาก ก็ต้องมาชดใช้ให้กัน"

   บางเรื่องไม่อาจอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์

   “อีกหนึ่งสิ่งที่ผมให้กับภัสได้คือชีวิตครับ”



   จนท้ายที่สุดก็ต้องพาทั้งพี่ทั้งน้องกลับบ้าน หมายถึงพาทั้งคู่กลับบ้านหลังใหญ่ เห็นว่าภัสสร์เองมีเรื่องที่ต้องเคลียร์กับคนอื่นในบ้านเหมือนกัน

   "อยู่ด้วยได้นะ"

   เป็นคนไร้ครอบครัวที่กลับบ้านไปก็ต้องเจอความว่างเปล่าอยู่ดี จนเสนอตัวเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนต่อ อีกอย่างยังไม่อยากห่างจากพิชชาในเวลานี้ ไม่รู้ว่าคนเป็นพี่จะรับมือกับระดับอารมณ์ไร้ความเสถียรของน้องอย่างไร ถ้าเกิดคุมตัวเองไม่ขึ้นมาเขากลัวว่ามันจะไม่จบแค่รอยตรงแขน

   "ไม่เป็นไรครับ แค่คุณอาคนเดียว"

   "นั่นยิ่งน่าห่วง"

   พิชชาส่งเสียงหัวเราะแหลมมาให้ "เขาทำอะไรผมไม่ได้หรอกครับ"

   เด็กที่ต้องติดเขี้ยวเล็บเอาไว้ไม่ให้ใครมาทำร้ายได้ คนที่ไว้ใจใครไม่ได้นอกจากตัวเอง

   "นี่ผมจริงจังนะ ให้อยู่ด้วยไหม?"

   "เรื่องอยู่ไม่อยู่ในเขตอำนาจของคุณครับ"

   ในเกมกระดานนี้แบล็คเป็นได้แค่คนดู ไม่ใช่แค่คำกล่าวเหมือนอย่างกับที่ให้คนอื่นเสมอ งานนี้คนดูตรงที่นั่งวีไอพีทำได้เพียงแค่รอจนกว่าการแสดงจะเปิดม่าน

   "โทรหาผมได้..."

   "น่ารำคาญชะมัด"

   เสียงปิดประตูดังสนั่น มองด้านหลังของเด็กชุดเสื้อหนาวตัวเดิมเดินลับหายไปหลังประตูบานใหญ่ เจ้าของบ้านหลังใหญ่แกล้งกระแอมไอออกมาเรียกให้เขาคลี่ยิ้มมุมปากกลับไป

   "ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย"

   "เหรอครับ" เฉพาะคนรู้ทันถึงจะใช้เสียงอย่างนั้น "ราชาลงไปแกล้งเด็กไม่มีทางสู้อย่างนี้ไม่ดีเลยนะ"

   "ในสนามรบเราไม่เคยแบ่งอายุ"

   "ไม่คิดจะแก้ตัวหน่อยเหรอครับนั่น"

   "ไม่" ช่วงชิงจังหวะที่อีกฝ่ายรอคำตอบกดจูบไปตรงเรือนผมยาวแทนคำลา "เข้าบ้านไปได้แล้ว"

   คนที่เพิ่งเจอการบอกลาแบบใหม่ยกมือขึ้นโบกไปมา น่าเสียดายที่ในรถมืดเกินกว่าจะบอกได้ว่าบนหน้าที่มักปรากฏรอยยิ้มจางมีอย่างอื่นหรือไม่ "ราตรีสวัสดิ์ครับราชา"

   "ไว้เจอกัน"

   รอจนพิชชาเดินเข้าไปในตัวบ้านแล้วถึงสตาร์ถรถอีกครั้ง ตั้งแผนที่ไว้ให้พากลับบ้านรอการกลับมาของสมาชิกคนอื่นในครอบครัว วันหนึ่งทุกคนก็ต้องแยกย้ายกันไปเมื่อเจอทางแยกที่เหมาะกับตัวเอง และมันจะเหลือเพียงทิวากาลที่เดินอยู่บนทางเส้นนี้
   
   คำว่าเหงาที่คิดว่าตัวเองไม่มีทางเจอก็เข้ามาทักทายหลายต่อหลายครั้ง ชีวิตที่บอกตัวเองว่าไม่ต้องการใครอื่นนอกจากคนในครอบครัวคราวนี้รู้แล้วว่ามันไม่มีทางจะมีสิ่งใดอยู่กับเขานิรันดร์

   คิดทบทวนสิ่งที่เจอมาในวันนี้แล้วตัดสินใจหักเลี้ยวตรงทางแยกด้านหน้ากะทันหัน ดิ่งไปยังเส้นทางที่เขาจำได้จนขึ้นใจว่าต้องเลี้ยวตรงไหนบ้าง เสียงของแผนที่คำนวณเส้นทางการเดินใหม่ดังน่ารำคาญจนต้องกดปิด ปล่อยให้รถคันเล็กเหลือเพียงเสียงของเพลงช่องเดิมคอยขับกล่อม

   เมื่อเข้าสู่เขตคุ้นเคยก็เริ่มชะลอรถลง บังคับตัวเองให้ไม่หันไปมองสิ่งปลูกสร้างด้านขวาของตัวเอง ระยะทางไม่ถึงร้อยเมตรยาวนานสำหรับคนที่ไม่อาจจะเหลียวไปมอง ท่องบอกตัวเองอย่างที่ทำมาเสมอว่าแค่ผ่านมาแถวนี้ได้มันก็ดีแค่ไหนแล้ว

   ต่อให้เป็นราชาผู้มากยศแค่ไหนอาจกลายเป็นคนไร้พิษสงไปได้ หากนั่นไม่ใช่พื้นที่บนกระดานที่ตนมีเขตอำนาจอยู่

   บางพื้นที่เขาไม่อาจก้าวผ่านเข้าไป


***
   สวัสดีปีใหม่ค่ะ (ยิ้มกว้าง)
   ถึงจะบอกว่าจะอยู่กับพี่แบล็คข้ามปี ก็ไม่คิดว่าจะกลายเป็นการปั่นไม่เสร็จข้ามปีเหมือนกันค่ะ (ฮา) ปกติแล้วในวันปีใหม่เจ้าก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนะคะ จนกระทั่งปีที่แล้วที่มี 'ที่หนึ่ง' เข้ามานี่แหละ วันปีใหม่เลยเปลี่ยนมาเป็นปีที่สองแล้ว ยังไงก็สุขสันต์วันเกิดนะที่หนึ่ง
   เรื่องนี้จะมีทั้งหมด 19 ตอนค่ะ นั่นหมายความว่าอีก 7 ตอนเจ้าก็จะแต่งจบอีกเรื่องแล้ว ใจหายเหมือนกันนะคะ อยู่กันมานาน (เนื่องจากความเอื่อยและงานที่เข้าแทรกตลอดทั้งปี) อยากให้อยู่ด้วยกันไปจนตัวอักษรสุดท้ายนะคะ (ยิ้ม)
   #พิชแบล็ค

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.12-2 [01.01.17] P.3
«ตอบ #73 เมื่อ01-01-2017 04:46:28 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.12-2 [01.01.17] P.3
«ตอบ #74 เมื่อ01-01-2017 12:02:26 »

 :pig4: :pig4: :3123: :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.12-2 [01.01.17] P.3
«ตอบ #75 เมื่อ01-01-2017 12:53:07 »


สงสัยพิชจะหึง หรือเปล่า?

แล้วแบล็คไปไหน เขตอำนาจนั้นคืออะไร?

อีก 7 ตอนเอง
หวังว่าตอนจบจะไม่มีใครหายไปนะคะ

เศร้าไม่เอานะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.12-2 [01.01.17] P.3
«ตอบ #76 เมื่อ01-01-2017 17:37:31 »

แบล็ค พิชชา  :mew1: :mew1: :mew1:
พิชชา รอเจอราชาที่สุด  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ภัสสร รู้อะไรๆ เหมือนพิชชาเหรอ
พี่กายชอบภัสสร จริงๆใช่ปะ
ไม่ใช่เพื่อหวังทรัพย์สมบัตินะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.13-1 [03.01.17] P.3
«ตอบ #77 เมื่อ03-01-2017 22:08:24 »

CH.13-1

   เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปไวเหมือนมีใครไปกดเร่งเวลา

   "ได้เอาเฝือกออกแล้วทำไมทำหน้าอย่างนั้น"

   "มันไม่ค่อยชินน่ะครับ"

   "แค่เดือนเดียวเอง"

   กดลิฟต์เตรียมลงไปเคาท์เตอร์จ่ายเงินพร้อมกับรับยาหลังการรักษา  พิชชาวันนี้แต่งตัวต่างจากวันอื่นเล็กน้อยก็ตรงที่ใส่กางเกงยีนส์รัดรูปมาแทน ผมยาวถักเป็นเปียเดียวด้วยฝีมือของทิวากาลเอง ช่างทำผมที่อัพสกิลของตัวเองขึ้นไปทุกครั้งที่ได้ทำหน้าที่

   ยากก็ตรงแบ่งช่อ ส่วนอื่นไม่มีอะไรน่าห่วง

   "ก็ถ้าวันหนึ่งผมไม่ได้เจอคุณแล้วมันก็เป็นความรู้สึกคล้ายกันแหละครับ"

   "กลับบ้านวันนั้นแล้วคุณดูแปลกไปนะ"

   เหตุที่ต้องเรียกคุยคือการแบ่งมรดกเสร็จสิ้นแล้ว ถือว่าเร็วเมื่อเทียบกับบางครอบครัว ต้องยกความดีความชอบทั้งหมดให้กับคุณย่าของพิชชาผู้แบ่งสมบัติไปแล้วรอบหนึ่งก่อนเสีย พอมาถึงรุ่นลูกทรัพย์หลายชิ้นเลยไม่มีปัญหาในการมาแบ่งซ้ำอีก

   "คุณแค่ไม่เคยเจอผมแบบนี้เท่านั้นแหละครับ"

   "แล้วอยากไปฉลองเอาเฝือกออกที่ไหนล่ะ"

   "โอ้ คุณจะเลี้ยงใช่ไหมเนี่ย"

   "ถ้าร้านที่จะไปมันถูกปากผม"

   "แล้วที่ผ่านมาเคยไม่ถูกปากด้วยเหรอครับ"

   ต่อให้จะเป็นคนเจ็บอยู่ก็ตามที พิชชาไม่เคยลดระดับความมั่นใจนั่นลงเลย

   "ก็เผื่อเจอร้านแรกไง"

   "ผมไม่ทำให้คุณผิดหวังหรอกครับราชา"

   เรียกอย่างนั้นจนเกือบลืมชื่อของตัวเองไปแล้ว อย่างวันก่อนตอนที่เพื่อนเรียกก็ไม่ยอมหันเพราะนึกว่าหมายถึงคนอื่น จนเกือบโดนหนังสือเรียนปีสี่เล่มหนาฟาดหน้านั่นแหละถึงจะนึกออกว่าตัวเองชื่อเล่นว่าอะไร

   "ใครจะไปรู้"

   "สรุปเราจะไปกินร้านไหนดีล่ะครับ"

   "ผมตามใจคุณอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ไปรับยาก่อน"

   เสียงของนางพยาบาลตามสายเรียกชื่อคุณพิชชามาสองสามครั้งแล้ว ระบบของโรงพยาบาลเอกชนมันก็ดีตรงความรวดเร็วในการบริการนี่แหละ ตามแนวคิดของระบบทุนนิยมที่แฝงเอาไว้อยู่ เมื่อมีเงินแล้วจะเสกให้อะไรเกิดขึ้นก็ได้ทั้งนั้น

   มองตามหลังชายผมเปียไปยังช่องรับยา จนไม่ทันสังเกตว่าด้านข้างของตัวเองบุคคลที่สามมายืนด้วย

   "พิชชางั้นเหรอ"
   
   ทิวากาลไม่เคยเกลียดเสียงอีกคนเท่าครั้งนี้มาก่อน

   ตัดสินใจให้ฉับไวมากเท่าที่จะทำได้ หันไปทางชายตัวเล็กพร้อมกรอบแว่นหนาผู้ส่งยิ้มทักทายมาให้ ยิ้มที่เขาเกลียดตั้งแต่ไหนแต่ไร ก็เป็นที่รู้กันว่าใต้ลุคเนิร์ดอย่างนั้นมันซ่อน 'ปีศาจ' ตัวร้ายเอาไว้ กี่คนแล้วล่ะที่โดนรูปลักษณ์ภายนอกล่อลวง ขนาดผู้ชายที่ดูทันคนอย่างนักร้องคนนั้นยังเอาไม่อยู่เลยเถอะ

   "ไงนิช"

   "สวัสดี กูมาตรวจสุขภาพประจำปีแล้วมึงพาใครมาเหรอ"

   ตรงประเด็นอย่างที่ไม่เหลือช่องให้ทิวากาลได้คิดเปลี่ยนเรื่อง

   "พาคนนั้นมาถอดเฝือก"

   "ใคร?"

   "คนรู้จัก"

   เขาก็ยังวางตำแหน่งของพิชชาไว้เช่นเดิมไม่คิดไปเปลี่ยน

   แม้สาบานด้วยเลือดว่าจะอยู่เคียงข้าง

   "ใคร"

   เจอคำถามเดิมซ้ำอย่างนั้นเข้าไปเลยต้องกลับมาทบทวนว่าควรจะอธิบายแบบไหนถึงจะทำให้อีกคนพอใจ นิชเป็นคนเดียวที่ทิวากาลนึกขอบคุณมากที่สุดที่ไม่ได้เป็นศัตรูกัน คนที่ยิ้มเอ็นดูให้น้องชายคนเล็กของเขาในขณะอีกมือหนึ่งก็บีบคอคนที่มาทำร้ายน้องได้อย่างนั้นน่ะ

   "ชื่อพิชชา"

   "กูรู้ชื่อแล้ว"

   เหมือนกันหมดทั้งกลุ่มก็ตรงไม่ค่อยมีเพื่อนจากที่อื่น อยู่กันเป็นสังคมขนาดเล็กที่มีสมาชิกใหม่เข้ามาเมื่อไหร่ก็รู้ทั่วกัน บอกแล้วว่ามีแต่น้องโรมที่ไม่สนใจโลกภายนอก ตั้งแต่เน็ทคบกับพี่ฟิวนั่นทุกคนก็รู้หมด สมัยเรื่องของนักร้องคนนั้นก็เหมือนกัน

   "แล้วนี่เจ้านายมึงไปไหนล่ะ"

   ไม่เคยเห็นอยู่ห่างกัน หวงอะไรได้ขนาดนั้นก็ไม่รู้

   "ประชดกูจัง"

   "ก็ถ้ากูเรียกอย่างนี้มึงก็รู้เลยไงว่าหมายถึงใคร"

   "สิปป์จะรีโนเวทร้าน นัดคุยงานวันนี้"

   ส่งเสียงอือออขณะที่สายตามองไปยังคนเพิ่งหายเจ็บตรงหน้าเคาท์เตอร์ เห็นยาถุงใหญ่อย่างนั้นแล้วสงสารคนจัดยา ของเก่าจากครั้งที่แล้วเขาเคี่ยวเข็ญแทบตายยังไม่ยอมทานสักเม็ด คราวนี้ก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก ได้เอาไปวางเป็นเครื่องประดับบนโต๊ะกินข้าว

   "สรุปนั่นใคร"

   คนอย่างนิชไม่มีวันยอมแพ้ง่ายๆ อยู่แล้ว บอกเลยว่าวันนี้เขาต้องรู้ว่าเพื่อนคนที่เอาตัวเองไปผูกติดอยู่กับน้องจนไม่เคยมีชีวิตของตัวเองพา 'ใคร' มาถอดเฝือก หรือถ้าไม่ยอมบอกจริงๆ ก็คงต้องใช้เวทมนต์ในการบีบให้คายสิ่งที่เขาอยากได้ออกมา

   "ก็บอกว่าคนรู้จัก"

   "อ๋อ...ถ้ากูส่งไปบอกในกรุ๊ปตอนนี้ก็ได้สินะว่ากูเจอมึงกับ 'คนรู้จัก' อยู่ที่โรงพยาบาล"

   เข้าใจตรงกันแล้วนะว่าทำไมทิวากาลถึงไม่อยากเป็นศัตรูกับนิช

   "ถามเอาเองแล้วกัน" เห็นว่าอีกคนเดินกลับมาพร้อมถุงยาสีขาวพอดี "เผื่อว่าตอบแล้วจะถูกใจกว่า"

   การที่ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคออย่างนั้นไม่ช่วยให้สบายใจขึ้นได้เลย ทิวากาลยืนรออยู่ที่เดิมจนกระทั่งพิชชาเดินกลับมา หยิบถุงยาในมือมาดูยาชุดใหม่โดยปล่อยให้อีกสองคนที่เหลือทำความรู้จักกันเอง

   "สวัสดีครับ ผมเป็นเพื่อนแบล็คชื่อนิชครับ"

   "พิชชาครับ เรียกพิชก็ได้"

   "ชื่อเราคล้ายกันจัง"

   "แต่ความหมายคนละเรื่องเลยครับ"

   นิชหมายถึงความเป็นนิรันดร์

   "แล้วพิชแปลว่าอะไรเหรอ"

   "แบล็ค"

   พิชหมายถึงสีดำ

   เก็บยาแก้ปวดไว้ตามเดิม เงยหน้าขึ้นมามองหนุ่มผมยาวผู้หันมาส่งสัญญาณให้เขา "พิชแบล็ค แปลว่าสีดำสนิทครับ"

   "อ้อ..."

   ถ้าไม่สนิทกันไปเลยก็คงฆ่ากันตายไปข้าง ทิวากาลเชื่ออย่างนั้น "บังเอิญจังเลยเนอะ"

   "เรื่องบังเอิญไม่มีอยู่หรอกครับ ทุกอย่างมันถูกวางเอาไว้แล้ว"

   "แล้วไม่ทราบว่าเป็นอะไรกับแบล็คเหรอครับ พอดีว่าผมไม่เคยเห็นมันอยู่กับคนอื่นอย่างนี้"

   "คนที่จะอยู่ด้วยชั่วชีวิตครับ"

   และคำที่เขาเคยพูดเอาไว้วันนี้มันกลับมาเป็นมีดปาดคอตัวเอง

   ทิวากาลทำหน้านิ่งในขณะที่ใต้กรอบแว่นอันใหญ่ของเพื่อนมีคำถามส่งมามากมาย ยกไหล่ของตัวเองขึ้นพลางหันไปเตือนพิชชาเรื่องยาทานหลังอาหาร

   "มีสองตัวกินหลัง แล้วก็อีกตัวก่อนนอน"

   "เดี๋ยวจะเอาไปรวมกับของเก่านะครับ" ชายผมยาวผู้มีชื่อเล่นแปลว่าสีดำไม่แสดงอาการกระอักกระอ่วนใจที่ต้องยืนอยู่ข้างคนที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก ...หรืออาจจะเคยเจอก่อนหน้าที่แล้วก็ได้ใครจะไปรู้ "เดี๋ยวผมกับราชาจะไปทานข้าวกัน สนใจไปด้วยไหมครับ?"

   ชื่อเรียกแทนตัวกระตุกรอยยิ้มบนใบหน้าปีศาจได้อย่างดี "ได้สิ ผมยังอยากคุยกับคุณหลายเรื่องเลยล่ะ"

   บอกแล้วว่าสองคนนี้ไม่ควรเจอกัน!




   "แสดงว่าตอนนี้ก็เป็นนักดนตรีเต็มตัวเลยสิครับ"

   "อืม ก็ยังชอบวาดรูปนะ แต่ว่าเล่นกลองบ่อยกว่า"

   ร้านอาหารในซอยลึก ข้างทางมีแต่บ้านไว้อยู่อาศัยจนไม่น่าจะมีร้านอย่างนี้ตั้งอยู่ด้วย ยิ่งพอเข้ามาเห็นปริมาณลูกค้าข้างในก็ไม่เข้าใจมากไปขึ้นว่าไปรู้จักกับร้านได้อย่างไร ตอนเขาขับรถมาต้องอาศัยคำบอกของพิชชาตลอดทางเนื่องด้วยแผนที่ไม่มีตำแหน่งที่ตั้งบันทึกเอาไว้

   "ผมเคยฟังเพลงของวงนี้หลายเพลงอยู่ อย่างซิงเกิลล่าสุดผมก็ชอบนะครับ"

   "ผมไม่ค่อยชอบเพลงนั้นเท่าไหร่"

   เพลงที่ชื่อว่า 'นิจ'

   ตอนแบล็คเห็นชื่อเพลงครั้งแรกยังคิดอยู่เลยว่านิชยอมให้ผ่านมาได้อย่างไร คิดออกอยู่อย่างเดียวว่ามันต้องเป็นเพลงที่มือกลองของวงไม่รู้มาก่อนอย่างแน่นอน เนื้อเพลงเล่าเรื่องรักแรกพบที่จะเป็นความรักนิจนิรันดร์ เสียงร้องเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ล่อลวงให้หลายคนติดกับ

   ยกเว้นแรงบันดาลใจในการแต่งเอาไว้คนหนึ่งแล้วกัน

   "มึงไม่ชอบจริงเหรอ?"
     
   ตำแหน่งที่นั่งบนโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าสำหรับสี่คนแบ่งได้เป็นทิวากาลนั่งข้างพิชชา แล้วนิชนั่งอีกฝั่งคนเดียว

   "เมื่อกี้กูพูดชัดแล้วนะ"

   "แล้วเริ่มเล่นตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่าครับ ผมฟังแต่เพลงไม่ได้สนในเรื่องสมาชิกในวง"

   "เปล่าๆ ผมมาแทนได้ปีกว่าเอง"

   ดูได้เลยว่าประโยคไหนใครพูดกับใคร เมื่อพิชชาไม่เคยหลุดคำหยาบออกมาเหมือนที่เขาใช้คุยกับเพื่อนสนิท มันเลยส่งผลต่อให้นิชต้องใช้ภาษาสุภาพในการคุยกับชายผมยาวเหมือนกัน

   "น่าอิจฉาจังครับ ชีวิตดูอิสระ"

   "ก็ดีอย่างเสียอย่าง บางคนก็มองว่าเราเป็นพวกเรียนหนังสือไม่เอาอ่าวเลยต้องมาทำอะไรอย่างนี้"

   "ไม่หรอกครับ มันเป็นทางของคุณ" ได้แต่ขอโทษเพื่อนในใจ รู้ได้โดยประสบการณ์ว่านั่นคือการ 'เล่าเรื่อง' ในแบบของพิชชา "ทางแสนสวยงามที่จะไม่มีใครทำลายมันลงได้"

   "ขอบคุณนะ ...น้ำชาทางนู้นเลยครับ"

   บริกรเดินเข้ามาเสิร์ฟน้ำพอดี นิชส่งสัญญาณให้ถ้วยกาใส่ชาร้อนแบบจีนวางลงตรงหน้าอีกสองคนที่เหลืออยู่ ส่วนตัวเองก็เป็นน้ำเปล่าธรรมดาในขวด ทุกความเคลื่อนไหวอยู่ใต้การเก็บรวบรวมข้อมูลไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง ก็จะไม่คิดอะไรมากหรอกถ้าไม่รู้จักเพื่อนของตัวเองดี ผู้ชายอย่างแบล็คมีแนวทางในการดำเนินชีวิตที่มั่นคงแล้วก็ชัดเจนจนเขาไม่อยากจะเชื่อว่าวันหนึ่งจะได้มาเห็นอะไรอย่างนี้

   คนกลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูอะไรไปเรื่อย เปิดทางให้นิชได้สอบถามอย่างที่ตัวเองต้องการ ก็ยิ่งห้ามเดี๋ยวก็ไปกันใหญ่ สู้ให้คุยกันไปเลยจะไม่ต้องมีปัญหาอีก

   "รู้จักร้านนี้ได้ยังไงเหรอ?"

   "ก็ได้ยินบอกต่อกันมาครับ ที่จริงร้านอย่างนี้มีเยอะเพียงแต่เราไม่ค่อยรู้จักกัน"

   "แปลกดี ไว้พาผมไปบ้างสิ"

   "ด้วยความยินดีครับ"

   เท่านั้นแหละการทำพันธสัญญาของปีศาจกับผู้รู้ได้เกิดขึ้น

   แล้วราชาตระหนักดีว่านั่นเป็นการรวมตัวกันที่แย่ที่สุด

   "เดี๋ยวให้กูไปส่งที่บ้านหรือว่าร้าน?" ถามไปอย่างนั้น ในเมื่อชายสุดเนิร์ดมีบ้านเอาไว้ให้ฝุ่นอยู่

   "เดี๋ยวสิปป์มารับที่นี่ คิดว่าไม่นานก็คงถึง"
   
   หยิบเครื่องมือสี่เหลี่ยมของตัวเองขึ้นมากดตรวจสอบการแจ้งเตือน แบล็คล่ะอยากจะพูดออกไปว่าปากบอกไม่ชอบแต่รูปหน้าจอก็ยังเปิดตัว แผ่นหลังของชายคนนั้นกับรอยสักตรงบริเวณหัวใจโดดเด่นเหนือสิ่งใด สองสิ่งที่เป็นตัวแทนของคนสองคน

   "เพื่อนอีกคนเหรอครับ?"

   เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจว่าพิชชาจำคนในกลุ่มเขาไม่ได้

   "เปล่า คนที่ขายวิญญาณให้ปีศาจน่ะ"

   แก้ความเข้าใจผิดหน่อย พอเรียกอย่างนั้นก็เห็นว่าคนตรงข้ามพร้อมสละร่างแปลงแล้วเปิดเผยตัวจริงออกมา แบล็คไม่สนหรอกว่าอีกฝ่ายจะเป็นปีศาจจากนรกขุมไหน อย่างน้อยนิชก็ยังติดหนี้อยู่เรื่องที่ไปช่วยคราวนั้น ยังมีข้อต่อรองไม่ให้เรื่องมันลุกลามไปกว่านี้

   ข่าวลือนี่ชอบกันนักล่ะ

   "เรียกให้ถูกหน่อยแบล็ค"

   "อยากให้กูเรียกว่าอะไรล่ะ?"

   "...เรื่องของมึงเถอะ"

   มันก็มีชื่ออื่นที่เน็ทใช้เรียกอยู่เหมือนกัน และปล่อยให้เรียกไปคนเดียว

   "แล้วพี่เขาจะกินด้วยกันหรือเปล่า จะได้สั่งอะไรเพิ่มเลย" เมนูที่น่าสนใจมากกว่าจำนวนคนทาน เลยเลือกได้เพียงแค่บางอย่าง ได้คนหารเพิ่มก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

   นิชส่ายหัวไปมา "แค่มารับ ช่วงนี้สิปป์ไม่ชอบเจอผู้คน"

   เป็นอันเข้าใจตรงกันว่าสมาชิกบนโต๊ะจะมีแค่สามคนเท่านั้น ระหว่างมื้ออาหารเต็มไปด้วยบรรยากาศผ่อนคลายไม่เหมือนอย่างที่ห่วงเอาไว้ หรือในอีกแง่หนึ่งก็คือต้องห่วงมากขึ้นไปอีกที่คนสองคนสามารถเข้ากันได้ดีเกินไปสำหรับคนเพิ่งเจอหน้ากันได้ไม่กี่ชั่วโมง
   
   พิชชาไม่ได้หลุดปากพูดอะไรออกมาอีก เช่นเดียวกับนิชที่ไม่กลับไปพูดถึงสถานะตำแหน่งที่บอกไว้ตั้งแต่คราวแรก พอจบมื้ออาหารเป็นเวลาประจวบเหมาะกับผู้ขายวิญญาณได้มาถึงพอดี เขาเลยอาสาออกไปส่งโดยปล่อยให้ไกด์แนะนำร้านอยู่เคลียร์บิลไปก่อน

   "อย่าคิดว่ากูปล่อยไปนะมึง"

   "กูไม่เคยคิดอย่างนั้นอยู่แล้ว" ผู้ชายที่ใส่แว่นไว้อำพรางความชั่วร้าย ไม่ยอมปล่อยให้สิ่งที่ตัวเองต้องการหลุดลอยไปง่ายๆ หรอก "แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้"
   
   "ทำไม?"

   หยุดอยู่ตรงหน้ารถสปอร์ตคันใหญ่ที่ยังสตาร์ทเครื่องค้างเอาไว้ ท่าการยืนสบายๆ ไม่สื่อถึงการคุกคามผ่านการกระทำเท่าวิธีการถามสั้นห้วนอย่างเช่นประโยคหลังสุด

   "ขนาดไวท์กูยังบอกให้รอ มึงเข้าใจไหมนิช"

   "ไม่เข้าใจ"

   นี่ไงล่ะที่มานิสัยไม่ดีของน้องโรม
   
   ทิวากาลกลั้นใจนับเลขหนึ่งถึงสิบไวๆ เพื่อนที่อยู่กันมานานย่อมรู้นิสัยใจคอกัน ยิ่งผ่านเรื่องราวจำนวนมากมาด้วยกันมันแทบจะเรียกได้ว่ามองตาก็เข้าใจ นิชจับสังเกตได้อยู่แล้วล่ะว่ามันมีเรื่องอะไรซ่อนอยู่ ส่วนเขาก็ทำได้เพียงต่อรองขอให้อย่ารื้อค้นอะไรตอนนี้

   "มึงติดหนี้กูอยู่ครั้งหนึ่งเรื่องคนนั้น" แน่นอนว่าหมายถึงคนในรถ

   "เพราะงั้นไม่เข้าใจต่อไปก่อนแล้วกัน"




   "เพื่อนของคุณแปลกดีนะครับ"

   "คุณยังกล้าพูดคำนั้นกับคนอื่นอีกเหรอ"
   
   หลังจากส่งปีศาจกลับไปพิชชาก็เดินออกมาพร้อมกับขนมหวานที่เป็นของฝากขึ้นชื่อ เห็นตรงกันว่าอาหารมื้อควรได้รับการย่อยก่อนกลับเลยตกลงว่าไปเดินเล่นในซอยลึกนี้ก่อน

   "เขาดูอิสระมากๆ มากกว่าทุกคนที่ผมเคยเจอ"

   "นั่นแหละนิช"

   "แล้วคนที่ชื่อสิปป์อะไรนั่นคงเป็นแฟนสินะครับ"

   "ไม่ได้รู้อยู่แล้วเหรอ"

   เรื่องราวรอบตัวทิวากาลมักอยู่ในสายตาของผู้รู้เสมอ

   "อืม...ไม่ได้สนใจน่ะครับ"

   "ผมเข้าใจว่าคุณจะรู้ไปหมดทุกเรื่องเสียอีก" ไม่ได้ตั้งใจประชดเลยนะ ถึงคำที่ออกมาฟังยังไงมันก็อ้างอย่างอื่นไม่ขึ้น "อีกอย่างเรื่องของนิชกับสิปป์ก็รู้กันเยอะ"

   แน่นอนล่ะ นักร้องผู้มีความรักกับมือกลองเป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจจะตายไป เขาเกือบเปิดพนันกับเน็ทแล้วด้วยตอนรู้ว่าเพื่อนผู้หนีไปเรียนต่อทางศิลปะกำลังกลับไปอยู่ในโลกของเสียงดนตรีอีกครั้ง โลกที่คนปากดีเคยพูดว่าไม่มีทางเข้าไปแต่สุดท้ายก็หาทางออกมาไม่เจอ

   เขาเลยบอกว่าเพื่อนของตัวเองเก่งในเรื่องการจัดการโลกออนไลน์ให้ไม่เข้ามาปะปนกับชีวิตจริง นิชไม่เคยมีปัญหาเรื่องแฟนคลับ เรื่องวิธีการแสดงความรักผ่านสื่อ หรือว่าเรื่องราวอื้อฉาวออกมาให้หน้ากระดานเฟสบุ๊คเขาคึกคักขึ้นมา

   "ผมคนหนึ่งนี่แหละครับที่ไม่รู้" หันมาเห็นแขนสองข้างของพิชชาแกว่งไปมาตามจังหวะการเดินได้แล้วก็แอบไม่คุ้นเหมือนกัน "เขาดังเหรอครับ"

   "ในระดับหนึ่งเลยล่ะ นี่ไม่รู้จริงเหรอ"

   "ขืนผมรู้ทุกเรื่องคงสมองออเร่อไปก่อนแล้ว"

   ถึงว่าทำไมไม่รู้เรื่องของเพื่อน มันเป็นความสามารถที่น่าไขว่คว้า แต่ในขณะเดียวกันเมื่อได้อะไรมาก็ต้องแลกกับบางสิ่งเสมอ

   กฎของการแลกเปลี่ยนคือต้องเท่าเทียม

   "แล้วกับเรื่องของน้องผมทำไมถึงรู้หมดเลยล่ะ" โดยเฉพาะเรื่องของไวท์ คนที่เก็บตัวเงียบสร้างโลกส่วนตัวอยู่คนเดียวไม่ยอมให้ใครผ่านเข้าไป

   "มันเป็นผลพลอยได้น่ะครับ"

   "เมื่อไหร่คุณจะพูดให้เข้าใจง่ายสักทีนะ"

   วิธีหัวเราะในลำคออย่างนั้นกลายเป็นท่าทางเฉพาะตัวไปเสียแล้ว "คุณไม่รู้ต่างหากครับ คุณเลยไม่เข้าใจอะไรเลย"

   "นี่ผมยังไม่รู้อีกเหรอ?"

   "บ้านหลังนี้สวยจัง คุณว่าไหม"

   นอกจากจะเลยผ่านคำถามไปแล้วพิชชายังเปิดประเด็นใหม่อีก ในซอยลึกมีบ้านหลายแบบเรียงรายตั้งแต่บ้านไม้หลังโทรมไม่ได้รับการดูแล บ้านคอนกรีตแบบเก่า รวมไปถึงบ้านสมัยใหม่ที่เน้นกระจกเพื่อเพิ่มความโปร่งของตัวบ้าน ส่วนหลังที่คนด้านข้างบอกนั้นเป็นบ้านชั้นเดียวตกแต่งแปลกตา คือรอบตัวบ้านล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวครึ้ม มีเพียงบางส่วนของตัวบ้านเท่านั้นที่พ้นออกมาจากม่านต้นไม้ พื้นที่ที่เป็นบ้านทาสีอ่อนสะอาดตาแขวนโมเดลไม้เอาไว้หลายชิ้น
   
   สำหรับเขาแล้วไม่ถึงกับสวย ก็แค่แปลกดี

   "ไม่ล่ะ"

   "แล้วอย่างไหนถึงจะสวยสำหรับคุณล่ะครับ"

   "สำหรับผมมันไม่ได้อยู่ที่ข้างนอก แต่อยู่ข้างใน"

   บ้านของทิวากาลไม่ใหญ่โตอะไร แล้วก็ไม่ได้มีการดีไซน์สวยหรู มันสร้างขึ้นบนความตั้งใจของคนเป็นพ่อที่อยากให้บ้านสมกับคำว่าบ้านมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องใช้ราคาแพง หรือว่าตกแต่งด้วยของแบรนด์ละลานตา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่ลูกทุกคนอาศัยอยู่ข้างในด้วยกันอย่างมีความสุข

   "ก็จริงนะครับ"

   "คุณก็เอาภัสกลับไปนอนบ้านด้วยสิ"

   "ที่นั่นไม่ใช่บ้านครับ"

   "ที่รวมวิญญาณ?" ยังจำได้ว่าพิชชานิยามบ้านของตัวเองว่าอย่างไร "คุณก็บอกเขาว่าอย่ามายุ่งกับภัสสิ"

   คนยังไล่ได้ เอาอะไรมากกับสิ่งที่มองไม่เห็น

   "คุณว่าถ้าผมซื้อบ้านอย่างนี้ดีไหม?"

   เขายังทำใจให้ชินกับการเปลี่ยนเรื่องคุยตลอดเวลาอย่างนี้ไม่ได้จริงๆ "ชอบก็ซื้อ แล้วบ้านใหญ่คุณจะเอาไปทำอะไรล่ะ"

   "ทุบทิ้งครับ"
   
   พูดเหมือนกำลังเล่นเกมสร้างบ้านในโทรศัพท์ ที่จะกดเพิ่มลดตรงไหนก็ได้ตามใจปรารถนา

   "เขาจะยอมให้ทำเหรอ"

   "ก็ถ้าสุดท้ายแล้วมันอยู่ในชื่อของผม ผมก็ต้องทำได้สิครับ"
   
   ทำหน้าเอือมระอาเลยได้รับการพยักหน้าพอใจกลับ นอกจากซอยนี้จะลึกแล้วยังมีตรอกแยกย่อยไปอีก เดินตามผู้ชายในชุดฝ้ายไปเรื่อยแบบไม่คิดอะไรมาก ก็เดี๋ยวเลี้ยวไปมามันก็พาเขากลับไปอยู่ตรงทางออกได้เองนั่นแหละ นี่ไม่ใช่เขาวงกตเสียหน่อย

   สิ่งที่ได้รู้เพิ่มเติมคือในซอยควรเรียกตัวเองว่าหมู่บ้านได้แล้ว ถ้าจะมีพื้นที่ส่วนกลางซ่อนตัวอยู่ในตรอกหนึ่งอย่างนี้ด้วย มันคล้ายกับที่เคยเห็นในมหาวิทยาลัยหรือลานชุมชน เครื่องออกกำลังกายแบบง่าย ของเด็กเล่นสามสี่อย่าง แล้วก็ลานกว้างไว้สำหรับทำกิจกรรม

   "มีกระบะทรายด้วยครับราชา"

   "...ผมไม่เล่น"

   สิ่งที่ได้สัมผัสครั้งสุดท้ายก็เมื่อครั้งยังเป็นเด็กอนุบาลอยู่ ข้างในกรอบสี่เหลี่ยมยกสูงขึ้นมีอุปกรณ์ของเล่นสภาพดีหลายชิ้นนอนทิ้งตัวอยู่ หันมาปฏิเสธเสียงแข็งเมื่อได้ยินคำชวนทางอ้อม นัยน์ตาเป็นประกายแวววาวของพิชชาหลุบลงนิดหน่อยแต่ยังไม่ยอมแพ้

   "ผมไม่ได้เล่นนานแล้วนะครับ"

   "เหมือนกัน มันหมดวัยเราที่จะมานั่งปั้นทรายแล้วพิช"

   "ไม่ยักกะรู้ว่าคนเรามีข้อบังคับเรื่องช่วงเวลาที่สามารถเล่นทรายด้วย"

   โอเค

   เข้าใจตรงกัน

   "เดี๋ยวผมนั่งรอ"

   "มาช่วยผมด้วยครับ"

   "พิช" เขาไม่อยากจะมาอธิบายเรื่องง่ายๆ อย่างนี้เลย "ขนาดตัวของเราสองคนลงไปก็เกือบครึ่งหนึ่งของกระบะแล้วนะ"

   ลองคิดภาพของผู้ชายวัยมหาลัยสองคนลงไปนั่งเล่นทรายอยู่ข้างในนั้นแล้วอึดอัดแทน กรอบสี่เหลี่ยมสร้างมาให้มีขนาดเหมาะกับการเล่นของเด็กตัวเล็ก คนสร้างก็คงไม่คิดว่าจะมีผู้ใหญ่ลงมาเล่นบ้างหรอก

   "นั่นแสดงว่ามันยังมีที่เหลืออีกตั้งครึ่งหนึ่งเลยไงครับ"

   "ยังไงก็จะให้ผมลงไปให้ได้?"

   "ครับ"


***
   พี่นิชก็ยังเป็นพี่นิชค่ะ (ยิ้ม) อยากให้สิปป์ได้มีบทเหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าจะใส่เอาไว้ตรงไหนดี เจ้าลองคิดดูเล่นๆ ว่าถ้าพี่นิชกับพิชชาสนิทกันนี่มันเป็นการรวมตัวกันที่น่ากลัวที่สุดเลยค่ะ เลยอย่าให้อยู่ด้วยกันมากเลยเนอะ
   แต่งแล้วก็ชอบความละมุนของพี่แบล็คนะคะ แต่ถ้าถามว่าไม่ชอบใครที่สุดก็ไม่ชอบพี่แบล็คอยู่ดี (หัวเราะ)
   #พิชแบล็ค

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.13-1 [03.01.17] P.3
«ตอบ #78 เมื่อ04-01-2017 00:17:59 »


ชอบพิชชาตอนนี้ informal ดี
ชอบแบล็คด้วย เหมือน spoil พิชชา

ยินดีที่ได้เจอนิชค่ะ

รีบมาต่อนะคะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.13-2 [07.01.17] P.3
«ตอบ #79 เมื่อ07-01-2017 20:14:22 »

CH.13-2


   คนตรงหน้าคล้ายน้องชายตัวเล็กของเขายามเจอของเล่นถูกใจ วิธีการยิ้มพร้อมกับออกเสียงยินดีอย่างนั้นเคยทำให้เขาใจอ่อนอย่างไรตอนนี้มันก็ไม่ต่างกัน ทิวากาลทำเสียงจิ๊จ๊ะจนคนเอาแต่ใจปรบมือไม่มีหยุด

   "ถ้าไม่หยุดยิ้มผมจะกลับแล้วนะ"

   "ถ้าคุณจะกลับคงไม่เดินลงมาเหยียบทรายอย่างนี้หรอก"

   รองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังรุ่นที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมในเมืองไทยสัมผัสกับทรายเม็ดใหญ่ วางขนมที่ซื้อมาไว้ตรงมุมปลอดภัยเรียบร้อย มือข้างหนึ่งหยิบถังพลาสติกสีสวยข้างตัวไว้ส่วนอีกข้างก็หยิบเครื่องมือสำหรับตักทราย เตรียมตัวสำหรับการเป็นผู้ช่วยในการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นใหม่แบบที่ไม่เต็มใจมากนัก

   ส่งหน้าเบื่อหน่ายไป "บอกไว้ก่อนว่าผมถนัดแต่ทำลาย"

   วางของทั้งสองชิ้นลงกับพื้นทรายแถวที่พิชชานั่งอยู่ เดินไปตามหาของเล่นชิ้นอื่นมาให้จนของเคยวางทิ้งไว้กระจัดกระจายมากองรวมกันอยู่ที่เดียว

   "ก็หัดสร้างเสียบ้างอาจจะช่วยดัดนิสัยได้ครับ"

   "นี่เป็นโปรแกรมดัดนิสัยเหรอ"

   การส่งยิ้มให้ไม่รู้ความหมาย "ผมจะสร้างปราสาท คุณอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหมครับ"

   มือขาวสะอาดขยับไปมา ตีกรอบเอาไว้คร่าวๆ ว่าขนาดของสิ่งที่กำลังจะสร้างมันมีอาณาเขตเท่าไหร่ ทิวากาลผู้ที่เคยเข้ามาเล่นอะไรอย่างนี้นับครั้งได้ก็เลยนั่งลงบนขอบปูน ยกมือขึ้นเท้าคางมองวิศวกรโยธามือใหม่เพลิดเพลินไปกับกิจกรรมตรงหน้าคนเดียว

   อยากให้ช่วยเมื่อไหร่ก็สั่งเองแหละ

   "...ผมอยากได้สระรอบตัวปราสาท มีสะพานแขวนที่เปิดเอาไว้ หน้าต่างตามกำแพงเยอะๆ แล้วก็เอาป้อมวางไว้ทั้งสี่ด้าน อ้อ! แล้วก็มีธงอยู่ตรงยอดเสาด้วย"

   "คุณคงต้องให้เวลาผมสักสามเดือน" คนขอความเห็นทำตาค้อนใส่ มือยังไม่หยุดปรับหน้าทรายให้เท่ากัน "น่าจะได้แค่ป้อมนะครับ"

   "อะไรเนี่ย ผมไม่ได้ขอเยอะเลยนะ"

   "พูดมาไม่กระดากปากเลยนะครับ"

   อุปกรณ์ที่หยิบมาให้มากมายไม่มีชิ้นไหนถูกหยิบไปใช้ เครื่องมืออย่างเดียวสำหรับการสร้างปราสาทแห่งความฝันอะไรนั่นคือสองมือเย็นเฉียบคู่เดิม

   "คุณเล่นบ่อยสินะ" ดูจากความคล่องแคล่วในการสร้างฐาน รู้ว่าตรงไหนควรจะทำอย่างไรบ้าง

   "ภัสชอบครับ"

   "งั้นเหรอ"

   ก็วันที่ไปทะเลไม่เห็นว่าบุคคลที่สามในบทสนทนาจะทำอะไรอย่างนั้น เห็นอยู่อย่างเดียวคือเดินลงไปในทะเลแล้วก็หายตัวไปกับกลุ่มคลื่น เด็กที่เขายังไม่เคยเจออีกเลยนับแต่วันบุกบ้านพร้อมกับรอยกรีดข้อมือตรงแขน

   "ภัสชอบทะเล เวลาไปเที่ยวก็เสนอแต่ไปทะเล แต่แปลกที่ตากแดดเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยดำ"

   ถึงว่าทำไมเลือกไประยอง ทิวากาลยังไม่อยากเล่าเรื่องนี้ให้คนเป็นพี่ฟัง มันก็คงเป็นเรื่องไม่ค่อยน่าเชื่อมากเท่าไหร่ถ้าอยู่ดีๆ ก็บอกไปว่าวันนั้นน้องชายของตัวเองทำวีรกรรมอะไรไว้บ้าง

   นี่ไงเรื่องที่รู้แต่พูดไม่ได้

   จากฐานเสมอกันทั้งสี่มุมพิชชาเริ่มถมชั้นต่อไปให้สูงขึ้นโดยมีความกว้างลดลงเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าจะให้เขาเข้ามาทำไมในเมื่อไม่ได้เรียกให้ช่วยสักที โดนขู่ว่าทำได้แค่ทำลายเข้าไปทีเลยไม่กล้าใช้งานเลยหรือไง แปลกดีที่คราวนี้ชายผมยาวเชื่อคนง่าย

   ความคิดเรื่อยเปื่อยสะดุดลงเมื่อพิชชาเงยหน้าขึ้นมาสบตาแบบไม่ได้เตรียมใจเอาไว้

   โครงหน้าแปลกขยับริมฝีปากขึ้นหลายองศา สวยงามจนหาที่ติไม่เจอ "คุณนั่งจ้องผมนานแล้วนะครับ"

   เจอคำนั้นเข้าไปก็เลยกระตุกมุมปากขึ้นบ้าง แก้สิ่งที่อีกฝ่ายอาจเข้าใจผิดจนรู้สึกว่ามือที่ยังอยู่ตรงคางของตัวเองสั่นตามทุกครั้งเมื่อขยับ

   "ผมมองปราสาทที่คุณกำลังสร้างต่างหาก"

   "จริงเหรอครับ?"

   "อ่าฮะ"

   "แปลกนะ ปกติคุณไม่ชอบโกหก"

   "หึ"

   ระยะห่างออกไปไม่กี่ก้าวดูไกลจนเขาต้องเข้ามานั่งบนเก้าอี้พลาสติกตัวเล็กที่วางไว้ตรงข้ามกับบริเวณที่พิชชากำลังนั่งอยู่

   "แน่ใจเหรอพิชชา"

   ทิวากาลเกลียดความลวง อาจมีบ้างที่ใช้คำกว้างหรือว่าคำที่ตีความหมายได้หลายแง่เพื่อไม่ให้คำพูดมันรัดตัวเอง ทุกครั้งที่เขาโกหกออกไปนั่นหมายความว่าจะต้องเป็นเรื่องสำคัญในระดับค่อนข้างมาก

   ใช่ไง

   เรื่องที่เขากำลังแอบมองพิชชาอยู่นี่ก็เรื่องสำคัญนะ

   "ถ้าเป็นเรื่องของคุณผมมั่นใจเสมอครับราชา"
   
   ทำเสียงอือออในลำคอพอให้รู้ว่ายังฟังอยู่ หยิบพลั่วพลาสติกขึ้นมาตักทรายถมขึ้นไปอีก ไม่สนใจจัดแต่งอะไรเพิ่มเติม แค่ตักๆ แล้วก็โปะๆ ให้มันมีช่องว่างระหว่างกันน้อยหน่อยก็พอแล้ว เขาไม่สามารถละเมียดละไมทีละส่วนได้อย่างที่พิชชาทำหรอก

   จนได้ความสูงตามต้องการแล้วขั้นต่อไปก็ต้องตกแต่งพื้นที่โดยรอบ ถ้วยที่เคยไว้ใช้ใส่โยเกิร์ตถูกนำมาปรับสำหรับการสร้างป้อมโดยรอบทั้งสี่ด้านของปราสาท ทิวากาลยังไม่อยากให้มือของตัวเองเปื้อนไปมากกว่านี้เลยช่วยตัดแต่งด้านบนให้เกิดช่องว่างคล้ายกับพื้นที่กำบังขึ้น น่าเสียดายที่ไม่สามารถสร้างสะพานแขวนได้ นั่นมันความคลาสสิคของปราสาทสมัยก่อนเลยนะ

   "คุณว่าคนที่อยู่ในปราสาทจะเหงาบ้างไหม" คิดไปถึงการเดินเที่ยวปราสาทรอบล่าสุดตอนไปเมืองนอกแล้วน้องโรมถามขึ้นมาว่าพื้นที่กว้างใหญ่อย่างนี้มันเหมาะกับการเป็นที่อยู่อาศัยจริงหรือเปล่า

   "ราชาอย่างคุณน่าจะตอบได้อยู่แล้วนะครับ"

   "มันไม่เหมือนกันไหมล่ะ"

   "อืม...ถ้าให้ใช้ประสบการณ์ที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวแล้วก็เหงาอยู่แหละครับ" ก่อนถามเขาลืมนึกเรื่องพื้นฐานทางบ้านของพิชชาไปเลย "เหมือนเราเป็นจุดเล็กๆ ในอวกาศกว้างใหญ่ อะไรประมาณนั้น"

   "ก็เลยจะทุบทิ้งงั้นสิ"

   "คุณเห็นด้วยไหมล่ะครับ"

   "มันอยู่ที่คุณ ถามผมแล้วได้อะไรขึ้นมา?"

   "มันไม่ต่างอะไรกับบัลลังก์ของคุณหรอกครับ" ต่างคนก็ให้ความสนใจอยู่กับการจัดแต่งส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบ "บนนั้นไม่ใช่พื้นที่ที่ใครก็ได้ขึ้นไปอยู่ ยิ่งปลายยอดแหลมมากเท่าไหร่ พื้นที่สำหรับคนเคียงข้างมันก็น้อยลงเท่านั้นครับ"

   นั่นไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่สำหรับกรณีของแบล็ค ก็ยอมรับแหละว่าพื้นที่บนนั้นมันน้อย แต่เหตุผลของการมีกี่คนเป็นเพราะว่าเขาไม่คิดจะหาเพิ่มต่างหาก ชีวิตมีเพื่อนแค่นั้นมันก็เพียงพอแล้ว คนที่มั่นใจได้ว่าจะอยู่ด้วยกันจนกว่าจะต้องบอกลาหน้าโลง

   อากาศอบอ้าวเป็นสัญญาณของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างฝน นี่ควรจะเข้าหน้าหนาวได้ตั้งแต่นานแล้วแต่ฝนก็ยังไม่ยอมหยุดตก โลกร้อนจนสิ่งที่อาจารย์เคยสอนเกี่ยวกับการเปลี่ยนผันของฤดูกาลกลายเป็นความรู้ที่ไม่สามารถนำมาปรับใช้ได้อีกแล้ว ในเมื่อทุกวันนี้เขาแทบไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าอากาศหนาว

   "ปีนี้เราจะได้เจอหน้าหนาวบ้างไหมพิช"

   "หน้าหนาว?" พิชชาไม่หยุดมือที่กำลังจัดแต่งป้อมด้านบนปราสาท "นี่ผมไม่ใช่หน่วยพยากรณ์อากาศนะครับ"

   "ใช้ความสามารถให้เกิดประโยชน์หน่อยสิ"

   "นี่คุณอยากรู้คนเดียวต่างหาก"

   โดนจับไต๋ได้แล้วก็ไม่เป็นไร "ผมเบื่อหน้าฝนแล้ว มันเฉอะแฉะ"
 
   "ถ้าเรายังอยู่ประเทศนี้ต่อไปคุณก็เลี่ยงไม่ได้หรอกครับ อยู่ภาคใต้ยิ่งกว่านี้อีกนะ"

   ปัดทรายออกจากมือของตัวเองขณะชื่นชมผลงานการช่วยเหลือของตัวเอง มันเป็นแค่ทรายที่ถูกทำให้เป็นกองสูงขึ้นโดยมีลูกเล่นอยู่เล็กน้อยตรงด้านบน ธรรมดาเสียจนไม่เข้าใจพิชชาว่าจะมองด้วยความปลาบปลื้มอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน

   คิดถูกที่วันนี้ถักเปียให้ เป็นเงื่อนแข็งแรงมันก็ดีอยู่เหมือนกัน เพราะถ้าไม่ได้มัดหรือว่าเป็นหางม้าธรรมดาถ้ามันยุ่งไปมือเลอะทรายของเขาคงจะมัดให้ใหม่ไม่ได้

   "ไม่ถ่ายรูปเก็บไว้เลยล่ะ"

   "ผมไม่ชอบถ่ายรูปครับ"
   
   "ทำตั้งนาน" นาฬิกาข้อมือที่ดูก่อนเริ่มทำกับตอนนี้ขยับไปหลายช่องอยู่ "ให้ผมถ่ายไหมล่ะ"

   "ถ้าคุณอยากทำก็ได้ครับ"

   เจ้าของผลงานชิ้นใหญ่หมุนช่วงคอไล่ความเมื่อยล้า "ไม่ได้นั่งทำอย่างนี้นานๆ ก็ปวดตัวเหมือนกัน"

   "มันไม่สวยเหรอเลยไม่ถ่ายเอาไว้?"

   ถามตอนหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดคำสั่งถ่ายรูป เดินวนหามุมที่คิดว่าสวยที่สุดอยู่ครู่ใหญ่จนได้ตามต้องการ ถ้าบอกว่าอุปกรณ์มีแค่นี้เขาคิดว่ามันเรียกว่าดีได้เลยนะ หรือว่าสำหรับพ่อคุณผู้ทำทุกอย่างให้เนี้ยบเสมอจะมองว่ามันเป็นงานที่ยังไม่เข้าเกณฑ์ก็ไม่รู้สิ

   พิชชาเล่าว่ามันเป็นนิสัยที่ได้มาจากคนเลี้ยง เป็นพวกผู้ดีเก่าเหมือนกับพ่อของตัวเอง เพราะอย่างนั้นทั้งกิริยาท่าทางหรือว่าวิธีการพูดจาทั้งหมดจะต้องดูดีอยู่เสมอ คำสอนนั้นลามมาถึงเวลาที่ต้องทำอะไรสักอย่างจะต้องละเอียดรอบคอบ ไม่มีการทำอะไรลวกๆ หรือว่าสักแต่ทำให้เสร็จเด็ดขาด และได้เห็นแล้วว่าสิ่งที่เล่ามาแต่ละอย่างมันไม่ได้เกินกว่าที่เป็นอยู่ ขนาดปราสาททรายยังต้องปาดจนกำแพงเรียบสวยเลย

   "เปล่าครับ สวยดี"

   "ปกติคนที่ชอบอะไรมากๆ ก็ต้องเก็บมันเอาไว้นี่" อย่างน้องโรมช่วงหลังจะชอบถ่ายรูปเก็บเอาไว้

   "ก็สิ่งที่ทำให้มันสวยที่สุด คือการที่ผมกับคุณช่วยกันทำมันขึ้นมานี่ครับ"

   การอธิบายเรียบง่ายเสมอ

   "เพราะอย่างนั้นถึงถ่ายไปมันไม่มีทางเก็บความสุขทั้งหมดของผมเอาไว้ได้"

   "การได้เจอผม...มันมีความหมายกับคุณขนาดไหน"

   ผู้หยั่งรู้คลี่ยิ้มเศร้า สัญลักษณ์ของความสุขแฝงไปด้วยความหม่นหมองจนรู้สึกแย่ตามไปด้วย "แบบที่คุณไม่มีทางเข้าใจได้ครับ"

   การได้เจอพี่คือสิ่งที่พิชชาปรารถนามากกว่าสิ่งอื่นใด

   "ถ้าผมรู้...ผมจะเข้าใจใช่ไหม"

   ทุกวันนี้ทิวากาลได้กุญแจสำหรับไขเข้าไปแก้ปริศนาในห้องถัดไปมากขึ้น ทุกครั้งที่ก้าวผ่านมันบอกว่าตัวเองผ่านเรื่องราวมามากแค่ไหน แต่หนึ่งสิ่งที่มันไม่มีทางบอกเขาได้คือเมื่อไหร่จะถึงห้องสุดท้าย ห้องที่เขาไม่ต้องตามหากุญแจดอกต่อไปอีกแล้ว

   "ผมอยากบอกคุณว่าใช่อยู่นะครับราชา"

   มือขาวที่รังสรรค์ประติมากรรมขึ้นขีดเขียนอะไรบางอย่างตรงด้านบนสุด เส้นยาวตวัดไปมาก่อนจะจบลงด้วยจุดเล็กๆ ภาษาอังกฤษแบบตัวเขียนคือชื่อเล่นของพิชชา

   เห็นอีกคนทำแล้วก็อยากมีบ้าง ยังไงเขาก็ช่วยทำตั้งหลายอย่าง คราวนี้ทิวากาลยอมใช้นิ้วลากจนเกิดคำต่อจากนั้น ชื่อของตัวเองที่อ่านรวมกันแล้วกลายเป็นความหมายของชื่อเล่นพิชชาตามที่บอกกับนิชก่อนหน้านี้

   Pitch Black

   ยกเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาอีกครั้งเตรียมที่จะถ่ายเก็บเอาไว้ คราวนี้ไม่ต้องเดินหามุมอีกเพราะว่าเป็นการถ่ายจากมุมสูงแทบไม่เห็นสิ่งรอบข้าง สิ่งเดียวที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอสี่เหลี่ยมคือตัวอักษรภาษาอังกฤษแปลความหมายได้ว่าสีดำสนิท

   "...แต่ผมต้องบอกว่า การที่คุณรู้มันอาจทำให้คุณไม่เข้าใจอะไรเลย"

   มือที่เกือบจะกดปุ่มถ่ายไปแล้วเปลี่ยนเป็นกดออกจากแอป สีดำปรับอารมณ์ดิ่งลงลึกให้กลับมาคงที่มากที่สุดก่อนสวนกลับไป

   "แต่คุณก็ยังอยากให้ผมรู้?"

   สิ่งใดถ้าทิวากาลตั้งใจจะทำแล้วมันต้องสำเร็จ อย่างเรื่องของพิชชาที่ลั่นวาจาออกไปแล้วว่าจะต้องรู้ ไม่ว่าต้องทำมากกว่ากรีดเนื้อของตัวเอง

   มันเลยแปลกดีที่เขากำลังกลัวคำตอบนั้น

   "ครับ"

   คำตอบที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ

   ปราสาททรายถูกวางทิ้งไว้ โดยคนสร้างทั้งสองไม่คิดจะหันกลับไปเหลียวแล สุดท้ายทิวากาลก็ไม่ได้ถ่ายคำนั้นเอาไว้เหมือนอย่างตั้งใจทีแรก ซึ่งมันก็ดีเหมือนกันแหละ ถ้าเขาเห็นคำนั้นอีกก็คงมีเสียงของพิชชาลอยตามมา ประโยคจากผู้รู้กับเรื่องที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

   อะไรคือสิ่งที่รู้แล้วจะทำให้ไม่เข้าใจ?

   ไม่ใช่ว่าเพราะไม่รู้เลยไม่เข้าใจอย่างนั้นเหรอ เหมือนกับการเรียนไง ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นการที่เรารู้ว่าหนึ่งบวกหนึ่งมันเท่ากับสองนั้นเพราะว่าเราเรียนรู้วิธีการบวกเลข ถ้าเราไม่เคยเรียนมาก่อนหากเจอเลขนั้นเข้าไปก็อาจไม่เข้าใจได้ว่าเหตุผลที่ทำให้มันเท่ากับสองคืออะไร

   สิ่งที่พิชชาพูดออกมานั่นคือการกลับทุกหลักความเข้าใจที่มีมาโดยตลอด

   เหมือนกับสิ่งที่น้องของชายปริศนาเคยบอกเอาไว้ การที่ไม่รู้มันก็ดีอยู่แล้ว

   อาจต้องหาเรื่องไปเยี่ยมภัสสร์เสียหน่อย คราวนี้จะต้องคาดคั้นให้ได้เลยว่าเรื่องที่เด็กไร้ชีวิตคนนั้นรู้มันมีอะไรบ้าง เขาจะต้องไล่หมอกก้อนใหญ่นี้ให้มันปลิวหายไปได้แล้วล่ะ ก่อนที่ความจริงทั้งหมดที่อยู่ข้างหลังมันจะสลายจนไม่สามารถตามหาได้อีก

   "เดี๋ยวผมจะต้องเข้าไปหาคุณน้าหน่อยน่ะครับ ถ้ายังไงส่งแค่แถวรถไฟฟ้าก็ได้"

   คุณน้าที่ไม่ต้องแนะนำเขาก็รู้ชื่อ

   "ปกติผมก็ไปกับคุณได้ตลอดนะ"

   ไม่ว่าลูกค้าจะเป็นใครก็ตามทิวากาลสามารถไปส่งได้ถึงหน้าประตู บางรายยอมให้เข้าไปฟังด้วยได้ แต่บางครั้งเขาก็ต้องรออยู่ข้างนอกจนกว่าผู้หยั่งรู้จะทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จ สิ่งที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นความเคยชินคราวนี้มันกำลังจะเปลี่ยนไป

   "คุณอยากเจอเหรอครับ?"

   “...”

   ทิวากาลไม่อาจเอ่ยออกไปได้

   "เห็นไหมล่ะ ผมถึงบอกว่าให้ส่งตรงรถไฟฟ้า"

   "งั้นอารีย์นะ" จากตรงนี้สถานีที่ใกล้ที่สุดคือตรงที่เขาบอก

   "ขอบคุณครับ"

   "อย่าเพิ่งดีใจไปนะพิชชา" ปรามเอาไว้ก่อน ให้รู้ว่าการที่เขาทำตามคำขอแบบไม่มีบิดพลิ้วไม่ได้เกิดจากการยอมทำตามใจอีกคน "ที่ผมยอม...ไม่ได้เพราะคุณสั่ง"

   "ผมก็รู้อีกนั่นแหละครับว่ามันไม่ใช่เพราะผม"

   นอกจากห้องทำงานของคนเป็นพ่อ

   มีอีกหนึ่งพื้นที่ที่ทิวากาลไม่อาจย่างกรายเข้าไป

   "ให้เราเข้าใจตรงกันไว้ก่อน จะได้ไม่มีปัญหาอะไร"

   "ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เราเข้าใจตรงกันแล้วล่ะ" ใบหน้าก้มลงมองมือถือของตัวเองตลอดเวลาแถมยังกดส่งข้อความไม่ยอมหยุดแปลกไปจากนิสัยปกติของชายผมยาวที่ไม่ค่อยใช้มันมากนักเวลาอยู่กับเขา

   "มีอะไรหรือเปล่า?"

   ถามออกไปตามตรง ไม่ได้คิดว่ากำลังละลาบละล้วงเรื่องของคนอื่นอยู่

   "ก็นิดหน่อยครับ...เรื่องมรดก"

   นั่นทำให้คิ้วของทิวากาลขยับเข้าหากันเล็กน้อย "ไหนบอกว่าแบ่งเรียบร้อยแล้ว"

   "ก็ญาติบางคนไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ เลยอยากให้ทำรายการทรัพย์สินใหม่"   

   "ทำไมคนเราถึงอยากได้ของที่ไม่ใช่ของตัวเองขนาดนี้นะ" ทอดเสียงหน่าย หักเลี้ยวออกเลนขวาเพราะรถคันข้างหน้าคับช้าเหลือเกิน รถราก็ไม่ได้เยอะอะไรสักหน่อย

   "เพราะมันไม่ใช่ของเราไงครับ"

   "ก็จริง"

   การจราจรบนท้องถนนไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง พอหลุดออกจากรถที่ขับช้าอย่างกับกำลังรักษาระดับไมล์ไว้ที่หกสิบตลอดเวลาแล้วยังต้องมาเจอกับมอเตอร์ไซค์คันใหญ่จี้หลังตลอดเวลาอีก ถ้ารีบมากก็เบี่ยงออกเลนอื่นไปสิ ว่างตั้งเยอะตั้งแยะจะมาตามเขาทำไม

   หรือว่า...

   "ช่วงนี้ถ้าไม่อยากเจออะไรบั่นทอนจิตใจอย่าเพิ่งไปหาผมก็ดีนะครับ คิดว่าน่าจะหัวกระไดไม่แห้งทุกวัน"

   "พอแขนหายเจ็บแล้วผมก็หมดประโยชน์เลยนะ"

   หนึ่งสิ่งไม่คุ้นตาก็คือการที่พิชชาไม่มีเฝือกอ่อนอยู่ตรงข้อแขนแล้วนั่นแหละ "หลังจากนี้ไม่มีคนคอยสระผมให้จะรู้สึก"

   แว่วเสียงบ่นปนเคืองนิดหน่อยมาจากคนเพิ่งหายเจ็บ แปลกหูดีเพราะมันไม่ค่อยเกิดขึ้นกับพิชชาคนที่มักอยู่กับความนิ่งเรียบเสมอมา ทิวากาลยังคุยเรื่องทั่วไปกับอีกคนในระหว่างที่ตัวเองลัดเลาะไปบนเส้นทางยางมะตอย จะว่าไปแล้วชื่อของพิชมันก็แปลว่าน้ำมันชั้นเลวได้เหมือนกัน

   ตามปกติที่มักจะเปลี่ยนเลนต่อเมื่อหมดความอดทนกับรถติดเป็นแนวยาวคราวนี้กลับย้ายไปมาราวกับฝึกขับซิกแซก เขามักใช้วิธีสุดแล้วแต่เวรแต่กรรมตอนเลือกเลนขับ นิสัยที่เพิ่งเป็นช่วงเข้ามาเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแล้ว โลกของกฎหมายหลอมให้มองทุกสิ่งรอบตัวเปลี่ยนไป

   ส่วนสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปก็คงนิสัยแย่ๆ บางอย่าง

   "ทดสอบพอแล้วมั้งครับราชา"

   นั่นคือการบอกว่าตุ๊กตาหน้ารถเองไม่ได้นั่งเล่นโทรศัพท์จนไม่ใส่ใจสิ่งรอบตัว

   "ถ้าส่งลงตรงสถานีอื่นจะเป็นอะไรหรือเปล่า" เอ่ยสบายๆ ไม่ได้จริงจังอะไร ผิดกับข้อแขนตรงพวงมาลัยที่กำลังปูดขึ้นจนเห็นเส้นเลือด ทิวากาลลองคำนวณเส้นทางดูแล้วเปลี่ยนเป็นคำสั่งแทน "ส่งไปบอกคุณน้าว่าไปหาวันอื่นแล้วกัน"

   "เรียบร้อยแล้วครับ"

   ก็พิชชาเป็นอย่างนี้

   ทิวากาลเลยไม่ยอมไปไหนไง

   "เอาแค่สะบัดให้หลุด หรือว่าอย่างอื่น?"

   คราวก่อนทำอย่างแรกไปแล้ว กลัวว่าถ้าทำซ้ำอีกมันก็น่าเบื่อเกินไปหน่อย นี่เรียกว่านิสัยแย่ๆ ได้แล้วใช่ไหม

   "อืม...เอาอย่างที่คุณอยากทำเลยครับ"

   "รับทราบ"

   ได้รับคำอนุญาตแล้วก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก ทิวากาลย้อนกลับไปคิดถึงเส้นที่กำลังจะเดินทางไปในหัว เขตที่เรียกได้ว่าคนละฟากของเมืองกับบ้านเลยทำให้ไม่ค่อยได้มาละแวกนี้เท่าไหร่ จะมาอย่างมากมากก็แค่หาเพื่อนขี้หวงหรือไม่ก็งานเลี้ยงปาร์ตี้วันเกิดตามมายาคติของเด็กมหาลัย

   ขยับยิ้มเหี้ยมเมื่อนึกถึงสถานที่หนึ่งออก

   ถ้าอยากจะเค้นเอาคำสารภาพ ก็ต้องจัดห้องให้เหมาะกับการทำงานหน่อย

   เท้าขวายังยันคันเร่งเอาไว้ไม่มีพัก พอหลุดออกจากถนนใหญ่เข้ามาอยู่ข้างในซอยได้แล้วความเกรงใจทั้งหมดก็ทิ้งไปด้วย รถอีโค่คาร์ไม่ด้อยไปกว่ารถหรูบางคันเมื่ออยู่ในการควบคุมของคนมีทักษะ ตอนแรกที่ลองกะด้วยสายตาเอาคร่าวๆ มีรถสามคันกับจักรยานยนต์อีกหนึ่ง คิดแล้วทางน่าสนใจที่สุดก็คือคันสุดท้ายนั่นแหละ

   ซอยแคบแล้วก็ซับซ้อน ทิวากาลเคยอาสามาส่งเพื่อนในคณะหลังจากเมามายจนไร้สติ ตอนที่ยังพอคุยกันรู้เรื่องเพื่อนเล่าว่าด้านในสุดของหมู่บ้านนี้เป็นพื้นที่รกชันไม่อาจนำไปใช้ประโยชน์ได้เพราะเจ้าของไม่ยอมขายสักที ไม่ว่านักธุรกิจกี่รายต่อกี่รายดาหน้าเข้ามาไม่เคยได้ในสิ่งที่ต้องการกลับไปสักคน

   นอกจากนั้นยังไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าไปเฉียดเพราะเคยมีคนงานก่อสร้างของบ้านใกล้เรือนเคียงเสียชีวิตจากการแอบมาเสพยาเกินขนาด เสียงเล่าลือว่ามีสิ่งที่อธิบายด้วยตาไม่ได้เดินวนเวียนไปมาเพิ่มบรรยากาศวังเวงได้อีกหลายเท่านักล่ะ

   พอขับรถเข้ามาในซอยที่แคบลงเรื่อยๆ รถตามติดก็หายไปทีละคัน นี่เป็นข้อดีของการใช้รถคันเล็ก มันสะดวกต่อการใช้สอยในเมืองหลวง ทิวากาลลอบมองคนข้างตัวเป็นระยะ นอกจากยังกดโทรศัพท์หาใครอยู่ตลอดแล้วยังร้องเพลงสากลยุคโปรดตามราวกับว่าเขากำลังพาไปเที่ยวอยู่

   "สบายใจจังเลยนะ"

   "คุณไม่ปล่อยให้ผมเป็นอะไรอยู่แล้วนี่ครับ"

   ไม่ต่างอะไรกับอัศวินที่ปกปักษ์ผู้เป็นนาย

   "คุณให้ผมเลือกเองนะพิชชา" จัดการจอดรถแอบอยู่มุมหนึ่งของซากปรักหักพัง ดับเครื่องยนต์ให้นิ่งสนิทก่อนที่จะขยับร่างกายไปมาเท่าที่พื้นที่เอื้ออำนวย เอื้อมตัวไปยังลิ้นชักเก็บของทางซ้ายของตัวเองจนเจอกับ 'ของคู่ใจ' ที่จะหยิบออกมาใช้ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น

   ตรวจสอบดูความเรียบร้อยนิดหน่อย เช็คว่าหากต้องใช้งานขึ้นมาจริงมันจะไม่เกิดเหตุการณ์นอกเหนือความคาดหมาย เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วเขาเลยหันมากดจุมพิตหนักๆ ลงไปตรงกลุ่มผมสำหรับการเรียกกำลังใจ แม้จะเป็นกลิ่นของเหงื่อปนทรายเมื่ออยู่บนร่างของพิชชามันก็ยังน่าหลงใหลเหมือนเดิม

   "ห้ามเสียใจทีหลังล่ะ"

   "ไม่มีเรื่องไหนที่ทำให้ผมรู้สึกอย่างนั้นได้อีกแล้วครับ"

   "แล้วจะรอดู"

   ลงจากรถมาได้ไม่ถึงนาทีเสียงเครื่องยนต์ก็แล่นเข้ามาใกล้ ทิวากาลกระชับสิ่งที่อยู่ในมือของตัวเองเอาไว้แน่น วิชาการป้องกันตัวหลายรูปแบบถูกนำมาผสมกันจนกลายเป็นทักษะเฉพาะตัว สิ่งแรกที่ต้องทำคือรอประเมินระดับของอีกฝ่าย หลังจากนั้นก็ค่อยว่ากันว่าอยากจะใช้วิธีไหนในการซักฟอก

   เป็นอย่างที่คิดเมื่อรถจักรยานยนต์วนไปมาอยู่ด้านในสองรอบก่อนจะหยุดลง เขามั่นใจว่าตัวเองจอดซ่อนเอาไว้ดีมากอยู่แล้วเลยไม่ต้องห่วงความปลอดภัยของพิชชา ต้องเพิ่มข้อมูลลงไปอีกนิดว่าตราบใดที่ต้นเหตุปัญหายังอยู่ในรถไม่ออกมาเดินเล่นเพ่นพ่านนะ

   พาตัวเองเข้าไปใกล้กับเป้าหมายมากขึ้นเรื่อยๆ คนติดตามเองก็คงมีเรื่องอื่นให้พะวงยิ่งกว่าถึงไม่ตรวจสอบความปลอดภัยเบื้องต้นของตัวเอง ใต้หมวกกันน็อคไม่ใช่คนที่เขาเคยเจอมาก่อน พื้นที่ที่เต็มไปด้วยของระเกะระกะกลายเป็นตัวเพิ่มความสะดวกให้กับการปฏิบัติภารกิจมากขึ้น

   "ไม่อยู่ในซอยครับ หายไปไหนไม..."

   สิ่งแรกที่ต้องทำคือเจาะยางรถไม่ให้ขับหนีไปไหนได้ ปืนเก็บเสียงกระบอกเดิมที่เคยใช้สำหรับการช่วยปีศาจจนติดหนี้มนุษย์คราวนี้ก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเยี่ยม ทิวากาลสลับกระสุนนัดต่อไปให้พร้อม ก้าวเข้าไปช้าๆ ในระหว่างที่คนชะตาขาดยังตกใจกับความผิดปกติของรถตัวเอง

   ยกอาวุธขึ้นจ่อหัวของอีกคน เสียดายที่ไม่อาจเห็นได้ว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่

   "ผมก็อยู่นี่ไง"

   สีดำคือตัวแทนของความอำมหิต

   และราชาสีดำคือตัวแทนแห่งความตาย


***
   พี่แบล็คก็มีความหวานในแบบของเขาเนอะ (ยิ้ม)
   #พิชแบล็ค

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.13-2 [07.01.17] P.3
« ตอบ #79 เมื่อ: 07-01-2017 20:14:22 »





ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.13-2 [07.01.17] P.3
«ตอบ #80 เมื่อ07-01-2017 20:33:14 »

โอ้ว ... น่าติดตามตอนต่อไปมากๆ

ยังจับโยงมาผูกทำความเข้าใจไม่ชัดเจน

แต่ชอบความหวานตามสไตล์แบล็ค

สีดำ #พิชแบล็ค

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.13-2 [07.01.17] P.3
«ตอบ #81 เมื่อ08-01-2017 12:13:40 »

 :pig4 :pig4: :3123: :3123:

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.14 [11.01.17] P.3
«ตอบ #82 เมื่อ11-01-2017 21:19:41 »

CH.14

   วันครบรอบการตายของคุณพ่อเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการรวมญาติ

   พิชชาบอกเขามาอย่างนั้น

   "วันนี้อยากปล่อยผมไหม?" ถามพลางซับน้ำที่ยังแทรกอยู่ตามเรือนผมยาว กลิ่นของแชมพูผสมกับสบู่หอมกรุ่นมากกว่าทุกครั้ง ก็วันสำคัญทั้งทีคงต้องพิถีพิถันหน่อยล่ะ

   "ได้นะครับ"

   "อยากให้ผมลงไปด้วยหรือเปล่า"

   ได้ยินจำนวนญาติพี่น้องคร่าวๆ แล้วก็อดกังวลไม่ได้ พิชชาคนเดียวจะต้องออกทัพไปเจอกับพวกคนใจเหี้ยมอย่างนั้นเป็นฝูงมันดูไม่แฟร์เท่าไหร่

   "อยากนะครับ แต่คงให้ลงไปไม่ได้"

   "โอเค"

   ไม่ได้ผิดหวังอะไรกับคำตอบนั้น รู้ได้อยู่แล้วล่ะว่ามันจะออกมาในรูปแบบนี้ เขาเองก็ขี้เกียจไปเจอกับสีหน้าไม่เป็นมิตรเหมือนกัน โดยเฉพาะกับคุณพ่อของพี่กาย

   เหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนถึงเวลานัดกับผู้จัดการมรดก หลังจากนั้นจะเป็นเวลาของการพูดคุยในเรื่องของทรัพย์สินกับผู้เกี่ยวข้องส่วนที่เหลือ ถ้าปล่อยจนกว่าผมแห้งไปเองมันคงไม่ทันการ ทิวากาลเลยเดินไปเสียบปลั๊กเครื่องเป่าผมให้เรียบร้อย พร้อมสำหรับการทำหน้าที่ของตัวเอง

   เรื่องที่ทำบ่อยจนเป็นความเคยชินแปรเป็นความชำนาญ ไม่เคยเบื่อสักครั้งที่ต้องมาทำอะไรอย่างนี้ให้กับชายผมหยักศก ในบางมุมคิดว่าตัวเองคงติดนิสัยชอบดูแลคนอื่นไปแล้ว พอหมดหน้าที่ดูแลคนหนึ่งก็หาเรื่องไปทำอย่างอื่นต่อไม่ให้ตัวเองว่างเกินไป

   จัดแต่งจนสวยงามไม่ต่างจากทุกวัน หวีจัดทรงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วถึงถอยห่างออกไปตรวจสอบความเรียบร้อยในภาพรวม ชุดที่พิชชาเลือกใส่วันนี้ต่างจากภาพปกติอยู่หน่อยตรงเสื้อแขนยาวตัวโคร่งเป็นสีดำเหมือนกับกางเกงขายาว เส้นผมยาวสีเดียวกับเสื้อผ้าล้อมกรอบเอาไว้จนใบหน้านั้นขาวขึ้นไปอีกระดับ สีทึบทำให้เครื่องประดับเดียวตรงคอลอยเด่นขึ้นมา

   สร้อยที่เขายังไม่รู้ความเป็นมา

   "พร้อมลงสนามหรือยัง?"

   "ผมพร้อมอยู่เสมอครับ"

   "ดีมาก"

   โน้มตัวลงไปสัมผัสส่วนเรือนผม ไม่กล้าแตะต้องส่วนที่เป็นผิวเนื้อ

   เพราะยิ่งใกล้มากเท่าไหร่ ความยับยั้งมันก็น้อยลงไปเท่านั้น

   “ราชาครับ”

   “อยากได้อะไรเพิ่ม?” ถามพลางคิดว่าตัวเองวันนี้พลาดตรงขั้นตอนไหนไปหรือไม่

   “ถ้าผมทำมันไม่สำเร็จ...รบกวนทำมันต่อให้ผมได้หรือเปล่าครับ”

   มองลึกเข้าไปข้างในนัยน์ตาสีแปลกที่เห็นมานับครั้งไม่ถ้วนก็ยังไม่อาจให้คำนิยามมันได้ว่าเป็นสีอะไรกันแน่ คำฝากฝังที่ควรจะไม่มีอะไรเมื่อออกมาจากปากจากของผู้รู้แล้วมันมาพร้อมความระแวดระวังเสมอ ทิวากาลไม่อยากคิดไปต่อเองว่านั่นคือ ‘เล่าเรื่องที่เห็น’ ตามแบบฉบับของผู้รู้

   “คนอย่างพิชชาจะยอมให้ไม่สำเร็จเหรอ” มันก็เลยจบลงในรูปแบบที่ว่าส่งย้อนกลับไปให้คนถามดีกว่า “ต้องยื่นมือขอความช่วยเหลือจากคนอื่นนี่มันไม่สมกับเป็นคุณเลยนะ”

   “อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ”

   สายตาที่คาดคั้นบอกให้ทิวากาลมีการตอบสนองกลับไป “คนเรียนกฎหมายอย่างผมเชื่อในความเที่ยงธรรมของมัน”

   ไม่ตอบรับ และไม่ปฏิเสธ พิชชาเพียงแค่ส่งยิ้มจางมาให้พร้อมกับคำสุดท้าย

   “ฝากด้วยนะครับ”

   ส่งกำลังใจไปให้อีกครั้ง พอประตูห้องปิดลงเลยทำได้แค่นั่งเล่นอยู่ในห้อง มันก็มีห้องอื่นแต่เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งมากเท่าไหร่ เดินมาอยู่ตรงหน้าประตูแล้วกวาดตาจากซ้ายไปขวา ข้าวของข้างในมันก็ยังคงน้อยอยู่เช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยน มีแต่ของหยิบจับมาใช้งานได้จริง แทบไม่มีชิ้นไหนวางเอาไว้เพื่อให้ฝุ่นจับ

   จะว่าไปถ้ามีโอกาสแล้วก็ควรใช้ให้คุ้มค่าสิ

   สิ่งที่ยังค้างอยู่ข้างในบอกว่านี่เป็นเวลาเหมาะที่สุดสำหรับการตามหาสิ่งที่ต้องการ ทิวากาลตรงไปยังโต๊ะเครื่องแป้งงานประณีต มองขวดเครื่องบำรุงไม่กี่ชิ้นบนนั้นก่อนจะเปลี่ยนไปเปิดลิ้นชักต่างๆ รอบกระจก เมื่อยังไม่เจอสิ่งที่ต้องการเสียทีเลยย้ายเข้าไปข้างในห้องอาบน้ำ เปิดกระจกใสที่ซ่อนชั้นวางเอาไว้ด้านในอย่างแนบเนียน บนนั้นมีเพียงของใช้จำเป็นสำหรับผู้ชายจำพวกมีดโกนหนวด นอกจากนั้นแล้วก็มีแต่ความว่างเปล่าไม่ต่างจากเจ้าของ

   ลองคิดดูอีกทีว่าสิ่งนั้นมันควรจะอยู่ตรงไหน ห้องของพิชชามีตู้เก็บของหลายใบก็จริงอยู่ แต่เจ้าของห้องเล่นปล่อยให้มันว่างจนไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร

   ฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาบอกให้ทิวากาลรีบวางทุกอย่างในมือลง ไม่ใช่พิชชาแน่นอนเพราะรายนั้นไม่เคยคิดจะเดินมีเสียงอย่างคนปกติเขาทำ รอจนกระทั่งมั่นใจว่าจุดหมายของคนที่กำลังมาเยี่ยมคือเขาถึงเดินไปเปิดประตูเสียเอง

   “ว้าย!”

   เด็กสาวในบ้านคนเดียวกับที่เคยวิ่งหนีไปเมื่อวันนั้นทำตาโตเมื่ออีกคนเดินออกมาก่อนที่จะเคาะประตูพอดี เธอดึงสติของตัวเองกลับมาจนครบจึงทำหน้าที่ของตัวเอง

   "เอ่อ...คุณเชิญให้ลงไปหาค่ะ"

   "หืม?" ก็เมื่อกี้ยังบอกอยู่เลยว่าไม่ลงไปดีกว่า

   สาวใช้ไม่กล้าสบตากับผู้ที่อยู่อีกฟากหนึ่งประตู ขนาดเจ้านายของตัวเองที่ว่าน่ากลัวแล้วยังเทียบไม่ได้กับคนตรงหน้า ใบหน้าเห็นอยู่ไม่กี่วินาทีบอกได้คำเดียวว่าหล่อ แต่ก็ไม่น่าจดจ้อง

   มากกว่าความกลัว คือความเกรง

   "คุณให้เชิญลงไปค่ะ"

   "ข้างล่างน่ะเหรอ? คนอื่นยังไม่มา?"

   "เปล่าค่ะ มาครบแล้ว"

   ...แปลก

   ตอบรับการเชิญนั้นด้วยการบอกให้กลับไปทำหน้าที่ตามเดิม แบล็คเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้ากระจกอีกครั้ง ตรวจสอบความเรียบร้อยของตัวเองด้วยความเคยชิน สิ่งที่ทางบ้านสอนมาตลอดคือเรื่องมารยาทและการแต่งกายให้เหมาะสม ถึงเขาเองจะมีคำถามกับคำว่ากาลเทศะอยู่เสมอแต่นั่นมันก็เป็นความเห็นที่เถียงกันไม่จบไม่สิ้น เลยยังต้องเดินทางสายกลางคือทำอะไรที่มันไม่ถึงกับสุดโต่งจนเกินไป

   คิดถูกที่วันนี้ใส่ขายาวมา น่าจะดูสุภาพสำหรับพวกคนแก่อยู่ เขาไม่เคยเจอญาติคนอื่นของพิชชานอกจากสองคนนั้น เลยทำได้แต่จินตนาการไปเองว่าคนอื่นก็คงเป็นพวกผู้ดีต้องเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว

   ถือว่าเลือกสถานที่สำหรับการพูดคุยได้ดีพอสมควร บนโต๊ะตัวใหญ่ในห้องทานอาหารวันนี้แน่นหนากว่าทุกครั้งที่มาเยือน เขายืนหลบอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องยังไม่เปิดตัวเข้าไปข้างใน ประเมินสถานการณ์ข้างในด้วยสายตาว่ามันกำลังตึงเครียดในระดับไหน

   หัวโต๊ะนั่นไม่พ้นพิชชาอยู่แล้ว ส่วนที่ยืนอยู่ข้างกายคือชายในชุดสูทที่เห็นแล้วก็รู้ได้เลยว่าเป็นผู้จัดการมรดก ก็ทั้งแว่นกรอบเหลี่ยม ทรงผมเรียบแปล้ ท่าการยืนที่กลายเป็นแพทเทิร์น ช่วงไปฝึกงานมาก็เจอแต่แบบนี้เดินวนเวียนอยู่รอบตัวเต็มไปหมด

   สำหรับจำนวนญาติก็เหมาะกับการรวมญาติดี คนที่นั่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกคนแก่มีอายุ บางคนก็มีลูกหลานยืนอยู่ด้านข้าง เท่าที่เห็นเด็กหน้าละอ่อนคนเดียวที่ได้นั่งก็มีแต่พี่กาย จะว่าไปแล้วประชุมอย่างนี้ไม่ต้องเรียกภัสสร์ให้มาด้วยเหรอ หรือว่าพออายุยังไม่ครบยี่สิบเลยไม่จำเป็นต้องให้มารับรู้เรื่องพวกนี้

   สำหรับทิวากาลแล้วไม่เคยกังวลที่ต้องเดินเข้าไปเผชิญกับคนแปลกหน้า เขาถูกฝึกทั้งทางตรงแล้วก็ทางอ้อมให้รู้จักการวางตัวอยู่ในสังคมจอมปลอม เวลาไหนที่ควรจะยิ้มเป็นมิตร หรือว่าเวลาไหนที่ควรจะพาตัวเองออกจากบทสนทนา เขาเข้าใจคำว่ารักษาตัวรอดเป็นยอดดีอยู่แล้ว

   "สวัสดีครับ"

   เป็นการเปิดตัวที่ทำได้ดีพอสมควร สีดำเลือกที่จะเดินตรงเข้ามายืนข้างชายผมยาวให้เรียบร้อยถึงจะกล่าวคำทักทาย วางมือไว้บนไหล่ของพิชชาแทนการรายงานตัว สายตาของคนที่เหลือที่กำลังมองตรงมาเต็มไปด้วยความสงสัยจนปิดไม่มิด

   "ใครนะพิช?" หนึ่งในนั้นถามขึ้น

   "อยากแนะนำตัวเองไหมครับราชา" มือเย็นเฉียบของพิชชาที่แตะกลับวันนี้มันชื้นเกินปกติ ทิวากาลมองลึกเข้าไปข้างในนัยน์ตาสีแปลก พยายามหาความหมายของสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างในจนสุดท้ายแล้วก็ได้แต่ยอมแพ้ ในเวลาที่ต้องสวมหน้ากากของผู้เหนือกว่าชายคนนี้ก็ทำได้ดีไร้ที่ติ

   "ไม่ คุณบอกไปเลย"
   
   ทั้งไม่มีการส่งคำใบ้มาให้ล่วงหน้าแล้วยังไม่กล้าการันตีบรรยากาศโดยรวม แบล็คเลยคิดว่าการยืนเงียบอยู่ตรงนี้มันคงช่วยเซฟทั้งคู่ได้ดีที่สุด

   "นี่แบล็คครับ เป็นคนที่จะอยู่กับผมต่อจากนี้ไป"

   ยามที่ชื่อเล่นของตัวเองหลุดออกมาจากปากของอีกคนมันไม่คุ้นหูเอาเสียเลย

   "ทิวากาลครับ แบล็คเป็นชื่อเล่น"

   คิดไม่ออกว่าจะควรจะพูดอย่างอื่นต่อหรือไม่ เสียงฮือดังมาจากทุกพื้นที่ แบล็คปรับสีหน้าให้ดูไม่ตึงแต่ไม่ถึงกับแจ่มใส มองความวุ่นวายขนาดย่อมที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าแล้วอดหัวเราะในใจไม่ได้ เรื่องแค่นี้สำหรับบางคนมันก็ยังเป็นเรื่องที่รับไม่ได้อยู่ดี

   อีกครู่ใหญ่พายุแห่งความวุ่นวายจึงสงบลง ระหว่างนั้นเขาก็ลอบสังเกตคนอื่นไปเรื่อย ทุกคนดูมีคำถามกับเรื่องที่เกิดขึ้น เว้นไว้คนเดียวก็คือชายอายุน้อยที่สุดบนโต๊ะ

   พี่กายผู้ไม่หันมาสบตาสักครั้ง

   "เอาใหม่นะพิช ผู้ชายคนนี้เป็นใคร?"

   "ผมว่าเมื่อกี้ก็บอกชัดแล้วนะครับ" จากมุมนี้เขาไม่เห็นว่าระหว่างการพูดคุยใบหน้าของพิชชาจะสดใสเหมือนอย่างตอนที่คุยกับเขาหรือเปล่า เพราะเมื่อประกอบกับเสียงโทนเย็นอย่างนั้นแล้วมันบอกอะไรไม่ได้เลย "เอาเป็นว่าเรื่องที่ให้ทำรายการใหม่คงไม่ต้องทำแล้ว ที่เหลือก็รอให้เป็นกระบวนการทางศาล เรามาเข้าเรื่องถัดไปเลยดีกว่าไหมครับ"

   พอบอกว่าไม่ต้องทำรายการใหม่เขาก็สามารถแบ่งประเภทญาติของพิชชาได้ทันที คนที่พยักหน้าพึงพอใจมีแค่สองคน ส่วนที่เหลือนั้นมีบางส่วนที่ดูกระอักกระอ่วนใจแต่ไม่ยอมพูดออกไป และที่เหลือแสดงออกว่าไม่ปรารถนาที่จะได้ยินคำนั้น

   "พอดีเมื่อวันก่อนผมเจอเรื่องร้ายแรงนิดหน่อย"

   เข้าใจโดยพลันว่าพิชชาเรียกเขาลงมาทำไม ก็เรื่องถัดไปที่ว่าเขามีเอี่ยวด้วยเต็มๆ เลย

   "เรียกมาถามเลยได้คำตอบว่าชีวิตช่วงนี้ของผมคงไม่ปลอดภัยเท่าไหร่"

   "นั่นเรียกไม่เท่าไหร่เหรอพิช?"

   ราชาไม่สนหรอกว่าการพูดทะลุขึ้นมากลางปล้องอย่างนั้นมันจะดูไม่ดีในสายตาคนอื่นหรือไม่ ก็คนเหล่านั้นไม่มีประโยชน์อะไรกับชีวิตเขานี่

   "คำสั่งที่เอาให้เจ็บ...หรือว่าตายก็ไม่เป็นไรน่ะ"
   
   คำสารภาพจากคนบนจักรยานยนต์ยังตรึงอยู่ในส่วนของการเก็บบันทึก ใบหน้าหวาดกลัวราวกับกำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าซาตานผู้พิพากษาชีวิตมันช่างสวยงามจนเกินคำบรรยาย ใบหน้าบวมช้ำจากการใช้กำลังเล็กน้อยให้รู้จักสถานะของตน ปืนแบบเก็บเสียงคู่ใจจ่ออยู่ตรงหน้าผากพร้อมจะทำหน้าที่ของตัวเองในทุกขณะจิต

   เอาจริงแล้วอยากทำมากกว่านั้นอีก ถ้าไม่ติดว่าฝนใกล้จะตกแล้ว เขาไม่อยากจะเจอรถติดบนท้องถนนหลายชั่วโมงหรอกบอกเลย พอได้สิ่งที่ต้องการแล้วถึงเดินกลับมายังรถของตัวเองอย่างสบายอารมณ์ เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังระหว่างขับไปส่งถึงบ้าน

   นี่ยังใจดีไม่ถามว่าคนจ้างเป็นใครนะ

   ห้องเงียบลงไปถนัดตา คิดว่าหน้าที่ของตัวเองจบแล้วเลยปิดปากสนิท รอให้ผู้ดำเนินการประชุมได้ดำเนินการต่อไปเอง

   "ก็นั่นแหละครับ พอเจออย่างนี้เลยคิดว่าคงต้องมาคุยกันให้เข้าใจหน่อย"

   มันไม่ใช่การปรึกษา แต่คือการเตือน

   "ผมจะไม่ตามหาว่าใครเป็นคนทำ เพราะผมคิดว่าที่ผ่านมาตัวเองก็ไม่เคยทำอะไรให้พวกคุณน้าต้องเดือดร้อน และผมควรจะทำอย่างนั้นต่อไป"

   เป็นภาพตลกสิ้นดีที่ไม่มีใครกล้าขัดขึ้นมาระหว่างที่พิชชาพูดอยู่ ก็ถ้าลองรวมอายุของคนในห้องทั้งหมดมันมากกว่าคนที่กำลังเปล่งเสียงอยู่ไม่รู้กี่เท่า

   "ผมเลยตั้งใจจะประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าภายในเดือนหน้าผมจะย้ายออกจากบ้านหลังนี้ สำหรับของข้างในคงอยู่ในรายการทรัพย์สินอยู่แล้ว พอเคลียร์หมดผมจะส่งคนมาทำลายที่นี่ทิ้งครับ"

   ปราสาททรายก็ต้องสลายไปกับกาลเวลา

   "หวังว่าหลังจากนี้ผมคงไม่ต้องเจอกับเรื่องไร้สาระอย่างนี้อีกแล้ว"

   เรื่องที่พิชชาไม่เคยเล่าหรือว่าปรึกษากับทิวากาล ใช้วิธีการเล่าสบายๆ ให้ฟังจนตายใจว่ามันก็เป็นเพียงการพูดเล่นธรรมดา และเมื่อถึงเวลาเหมาะสมก็ได้เวลาเฉลยว่ามันไม่ใช่เพียงลมปากที่ออกมาอีกต่อไป

   ทิวากาลสัมผัสได้ถึงรังสีบางอย่าง สิ่งที่ชัดกว่าเสียงร้องตะโกนหรือว่าสีหน้าเกรี้ยวกราด บางสิ่งที่เขาไม่อาจนิยามออกมาให้เป็นรูปธรรมได้ เมื่อนั้นถึงเข้าใจว่าทำไมพิชชาถึงเรียกที่นี่ว่าแหล่งรวมวิญญาณร้าย ก็เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาตอนนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ 'มนุษย์' ควรจะกระทำสักนิด
   
   คำถามเกี่ยวกับเหตุผลของการตัดสินใจดังมาจากทุกทิศทาง สีดำไม่อยากจะบอกว่าการถามอะไรสักอย่างนั้นควรจะกลับไปตรวจดูตัวเองก่อนว่ามีข้อมูลเพียงพอสำหรับการตั้งข้อสงสัยหรือไม่ การถามที่ดีคือการถามหลังจากที่ได้เรียนรู้อะไรมาสักอย่างแล้วไม่เข้าใจ ไม่ใช่ว่าไม่เคยสนใจอะไรสักอย่างแล้วก็ถามออกไปส่งๆ ยิ่งทำอย่างนั้นบ่อยครั้งมากเท่าไหร่คุณค่าในสายตาของคนอื่นมันก็น้อยลงมากเท่านั้น

   แสนโง่เขลา

   "ทั้งหมดที่จะแจ้งก็เท่านี้ ขอบคุณทุกคนที่มอบความรักให้คุณพ่อมาเสมอครับ"



   "จะเอากล่องนี้วางไว้ตรงไหน?"

   "นั่นพวกถ้วยชาม เอาไว้แถวหน้าห้องครัวก็ได้ครับ"   

   พิชชาปฏิบัติตามคำที่ได้ลั่นวาจาเอาไว้ ห้องที่เขาบอกว่ามันพร้อมย้ายออกอยู่เสมอใช้เวลาเก็บจนเรียบร้อยไม่ถึงครึ่งวัน เมื่อรวมกับของชิ้นอื่นที่คนกำลังย้ายบ้านบอกว่าซื้อมาด้วยเงินของตัวเองแล้วสองวันมันก็เพียงพอสำหรับการย้ายออก รถขนของคันใหญ่มีกล่องขนาดต่างๆ นอนอยู่ไม่ถึงครึ่งของพื้นที่ทั้งหมด คนขับยังตกใจเลยว่าบ้านหลังใหญ่อย่างนั้นทำไมของถึงได้น้อยเหลือเกิน

   'บ้าน' หลังใหม่ของพิชชาเป็นบ้านชั้นเดียวอย่างที่เคยบอกว่าสวย ตัวบ้านตกแต่งเอาไว้เรียบร้อยพร้อมต้อนรับเจ้านายคนใหม่ ทำเลเกือบอยู่กลางใจเมืองสะดวกต่อการเดินทางมากกว่าหลังเดิมหลายเท่านัก ทิวากาลโดดเรียนวิชาเลือกโดยฝากให้เพื่อนช่วยอัดเสียงให้ ส่วนตัวเองมาช่วยขนย้ายตั้งแต่เช้า และตอนนี้มันก็เหลือกล่องสุดท้ายแล้ว

   ด้านในแบ่งสัดส่วนเอาไว้อย่างดี ตอนที่คุยกับพนักงานจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์สามารถสรุปให้ตัวเองได้ว่าพิชชาไม่ได้ตัดสินใจปุบปับหลังจากเกิดเรื่อง แต่เป็นสิ่งที่วางแผนเอาไว้นานพอควรแล้ว ไม่พูดถึงราคาของบ้านเพราะเป็นอันรู้โดยทั่วไปว่ามันคงหลายหลัก เงินที่เอามาใช้เป็นส่วนของพิชชาทั้งหมดไม่ได้ไปแตะในส่วนของทรัพย์มรดก พอถามก็ง่ายๆ ว่าทำงานมาตั้งหลายปีจะไม่ให้มีเงินเก็บบ้างเลยหรือไง

   "แล้วยังขาดอะไรอีกบ้าง?"

   ถึงจะมีพวกเฟอร์นิเจอร์บ้างแล้วก็เถอะ สำหรับคนที่เพิ่งย้ายเข้ามามันยังมีของอีกหลายอย่างที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต ต้องยอมรับด้วยว่าที่ผ่านมาพิชชาไม่เคยลงมือทำอะไรเอง ทุกอย่างถูกเตรียมเอาไว้พร้อมรอเพียงขยับปากสั่งออกมา

   "ลองลิสต์เอาไว้แล้วครับ ว่าจะค่อยๆ ไล่ซื้อไป"

   "ถ้าอย่างนั้นวันนี้ไปซื้อของจำเป็นในห้างก่อนแล้วกัน" อย่างเช่นพวกของใช้ในห้องน้ำ ห้องครัว แล้วก็อาหารติดตู้เย็นนิดหน่อย "คิดเอาไว้เลยแล้วกันว่าจะซื้ออะไรบ้าง"

   จัดวางของทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง ยังดีตรงที่บริษัทเข้ามาทำความสะอาดเอาไว้แล้วเมื่อวาน เขาเลยเปิดประตูเข้ามาเจอกับบ้านสะอาดเอี่ยมไม่มีฝุ่นรบกวนใจ

   ระหว่างรอเจ้าของบ้านหยิบจับของออกมาใส่ไว้บนชั้น ทิวากาลก็เลี่ยงตัวไปยืนอยู่ตรงหน้าต่างไม้ประดับผ้าม่านลายสวย บ้านชั้นเดียวของพิชชาน่าอยู่ไม่น้อย นอกจากพื้นที่ด้านในแล้วข้างนอกยังมีสวนหย่อมขนาดกำลังดีอยู่ด้วย อาจดูโล่งอยู่เพราะไม่มีอะไรเลยนอกจากหญ้าปูพื้น คงร่มรื่นขึ้นถ้าเอาต้นไม้ใหญ่มาลงสักสองสามต้น ส่วนตรงมุมสุดติดรั้วก็ปลูกไม้พุ่มให้ขึ้นเป็นแนว ต้องเป็นไม้ดอกกลิ่นหอมเพราะมันจะได้พัดเข้ามาตอนกลางคืน

   ...นี่บ้านของใครกันแน่

   พอเข้ามาอยู่ในเมืองมันก็สะดวกกับการเลือกห้างสรรพสินค้าสำหรับการซื้อของ ทิวากาลปล่อยให้พิชชาคุมรถเข็นคันใหญ่เอง ส่วนตัวของเขาก็เดินมองสินค้าเรียงรายไปเรื่อย ถ้าผ่านของที่คิดว่าจำเป็นแต่ชายผมยาวไม่ได้หยิบก็จะถามออกไป

   "นี่คุณลิสต์มาแล้วแน่เหรอพิช"

   ก็ตั้งแต่เริ่มเดินมาของบางอย่างที่เรียกได้ว่าสำคัญสุดๆ พิชชายังไม่หยิบ

   "โธ่ คนเพิ่งปรับสภาพแวดล้อมก็ต้องการเวลาหน่อยไหมล่ะครับ" ว่าพลางคว้ากล่องซีเรียลแบบธัญพืชเอาไว้ในมือ ต่อด้วยถุงข้าวโอ๊ตที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล "ผมต้องกลับไปอ่านวิธีการใช้เครื่องซักผ้าด้วย ไม่งั้นต้องเน่าตายแหง"

   อาจจะรู้สึกไปเอง แบล็คคิดว่าตั้งแต่ก้าวแรกที่หลุดออกจากพันธนาการของบ้านหลังนั้นพิชชาดูสดใสขึ้นมาหลายช่วงตัว

   "เดี๋ยวผมกลับไปสอน"

   แน่นอนว่าการตัดสินใจแบบสุดโต่งอย่างนั้นไม่เป็นที่พอใจของญาติสักคน ไอ้การที่ย้ายออกมาทุกคนเห็นดีเห็นงามอยู่แล้ว พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทุบตึกใหญ่ด้วย

   คนใกล้ตั้งคำถาม

   ในขณะที่คนไกลรู้คำตอบ

   เมื่อมันไม่ได้ใช้งานตามจุดประสงค์ ทำลายมันทิ้งเสียมันอาจจะดีกว่าปล่อยให้มันร้างชีวิต

   "คุณว่าเย็นนี้เราทานอะไรกันดีครับ?"

   กว่าจะผ่านส่วนของใช้มาถึงส่วนของอาหารสดได้รถเข็นก็เต็มไปทั้งคัน จากที่เดินตัวเปล่าก็ต้องรับหน้าที่บังคับรถโครงเหล็กอีกคันหนึ่งไปด้วย

   "คนที่ต้องคิดน่ะคุณต่างหาก" มีอย่างที่ไหนเจ้าบ้านไม่คิดเมนู
   
   พอเข้าสู่โลกของอาหารพิชชาก็ดูกระฉับกระเฉงมากขึ้น ทั้งเนื้อสดหลายแบบรวมไปถึงอาหารแปรรูปอีกสองสามถุง ตอนแรกเกือบจะมีอาหารทะเลแล้วด้วยติดตรงที่ห้ามไว้ก่อน ตามมาด้วยเครื่องปรุงที่เขาได้แต่มองอีกคนกวาดลงมาใส่รถเข็นตาปริบๆ ก็เดินสามก้าวได้ของยัดลงมาหนึ่งชิ้นจะให้รู้สึกยังไง!

   ทำเหมือนเด็กเล็กที่ไม่ยอมกลับจนกว่าจะได้ขนมเต็มกระเป๋า ต่อจากของสดแล้วก็ได้เวลาของขนมสารพัดอย่าง คนที่ดูไม่ค่อยชอบทานของหวานเปิดมิติลี้ลับของตัวเองจนในท้ายที่สุดแล้วแบล็คต้องรีบห้ามเอาไว้ ไม่ได้กลัวจ่ายไม่ไหว แต่กลัวว่าคนที่ต้องทำลายมันทิ้งจะเป็นเขาต่างหาก

   แม้จะไม่เคยไปเดินซื้อของอย่างนี้กับพิชชามาก่อนก็ต้องยอมรับว่ามันสนุกสนานไม่น้อย เขาไม่ค่อยชอบตอนไปกับเพื่อนหรือว่าน้องมากเท่าไหร่ รู้สึกรำคาญทุกครั้งที่ต้องขับรถเข็นหมุนวนไปมา ไม่เหมือนคราวนี้ที่มองด้านหลังของพิชชาไปเรื่อยจนรู้ตัวอีกทีก็เวลาจ่ายเงินแล้ว

   "ทั้งหมด...บาทค่ะ"

   เลขที่ออกมาจากปากของพนักงานเก็บเงินสูงจนได้ยินเสียงลูกค้ารายถัดไปอุทานออกมา ทิวากาลเลี่ยงตัวมาทำเก็บของลงรถเหล็กอีกครั้ง ใครที่มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินก็จัดการไปเอง หลังจากนี้ยังต้องไปซื้อของที่อื่นอีกหน่อย เท่านั้นก็น่าจะพอสำหรับการเริ่มต้นในบ้านหลังใหม่

   รวมถึงอาจเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของพิชชาด้วย

   "อยากได้อะไรอีก?"

   "อืม...อยากไปดูพวกเสื้อผ้าให้ภัสนิดหน่อยครับ"

   ชื่อของเด็กผีที่ยังไม่รู้ว่าพี่ชายของตัวเองย้ายบ้านออกมาแล้วมันน่าหงุดหงิดใจเสมอ

   "ซื้อให้คราวที่แล้วยังไม่เห็นแกะ"

   "มันน่าจะไม่อยู่แล้วล่ะครับ เลยต้องซื้อใหม่"

   ไม่เข้าใจเท่าไหร่ แล้วก็ไม่อยากขัดใจจนปล่อยให้ผู้ชายในชุดเสื้อฝ้ายไร้เซนต์ทางแฟชั่นเดินเข้าออกในร้านเสื้อผ้าหลายยี่ห้อ ได้กลับมาก็หลายตัว คราวนี้เขามีเกณฑ์ในการเลือกแล้วว่าเสื้อผ้าแบบไหนเหมาะสำหรับภัสมากกว่ากัน เด็กที่หมดอาลัยตายอยากอย่างนั้นต้องจับใส่เสื้อสีสดใสให้เข็ด

   แยกกับพิชชาตรงชั้นสาม คนหนึ่งอยากจะไปจัดการเรื่องเครื่องใช้ภายในบ้านส่วนเขาอยากจะไปดูของสะสมที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในร้านประจำ แต่ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปในร้านก็ดันเจอกับอีกคนเสียก่อน

   "เบื่อทุ่งเหรอ?"

   เวลาเย็นของวันธรรมดา ไม่น่าจะเจอผู้ชายคนนี้อยู่ที่นี่

   "นิดหน่อย"

   ผู้ชายผมสีอ่อนที่เจอกี่ครั้งก็ไม่คิดจะทำผมสีเข้มขึ้นบ้าง การเจอเวลาอยู่ในสถานที่นี้ไม่น่าห่วงเท่าว่ามี 'ใคร' มาด้วยหรือเปล่า เพราะนั่นหมายความว่าคำที่เขาบอกให้รอมันไม่สามารถใช้ได้อีกต่อไป

   "มากับพิชชาล่ะสิ"

   "รู้อยู่แล้วจะถามทำไม?"

   ช่วงไหล่ยกขึ้นแบบไม่สนใจอะไร "เพื่อความแน่ใจ"

   "จะต้องแน่ใจอะไรอีกเวล"

   กับคนอื่นแบล็คไม่มีทางกระชากเสียงใส่อย่างนี้แน่ ในเมื่อเวลาเคยเจอเขาในโหมดย่ำแย่ที่สุดมาแล้วเรื่องแค่นี้คงไม่ต้องปิดแล้วล่ะ ให้มันรู้กันไปเลยว่าถ้าอยากจะได้ครึ่งชีวิตของเขาไปต้องเจออะไรอีกเยอะ เขาพร้อมจะเป็นพี่ชายขี้หวงอยู่เสมอเลยล่ะ

   "ไม่มี"

   "งั้นก็แยกย้าย"

   "ซินอยู่ชั้นสี่ แล้วเดี๋ยวเราจะไปกินอาหารกันต่อ"

   "แล้ว...?"

   "ก็ถ้ายังไม่อยากให้เจอแนะนำให้เดินอยู่ชั้นอื่น"

   "ทีหลังหัดส่งไลน์มาบอกก่อน"

   เปลี่ยนเรื่องคุยเสียอย่างนั้น เพิ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ครายการแจ้งเตือน และมันไม่มีการแจ้งมาว่าจะพาน้องสาวของเขาออกมาเที่ยวในเมืองอย่างนี้ "ผมไม่ได้ว่าอะไร แค่ช่วยบอกหน่อยก็เท่านั้น"

   มุมปากข้างหนึ่งของเวลาเหยียดขึ้น "ทั้งที่คุณไม่เคยบอกอะไรน้องตัวเองเลยเนี่ยนะ"

   ณธามรู้ดีอยู่เสมอว่าสายสัมพันธ์ของฝาแฝดคู่นี้มันไม่อาจวัดโดยใช้มาตรที่มีอยู่ได้ ความเป็นครึ่งชีวิตคือการยอมให้ตัวเองต้องแบกรับทุกอย่างเอาไว้โดยไม่ปริปากบอกอีกฝ่าย อย่างเขาเองก็ต้องใช้วิธีแกล้งล่อให้ซินหลุดพูดออกมาเอง ไม่อย่างนั้นถามไปเถอะชาติหน้าก็ไม่บอก

   วันนั้นไปรับรัตติกาลที่คณะอย่างที่ทำเสมอ ส่วนต่างก็คือระหว่างทางออกจากมหาวิทยาลัยทั้งคู่ดันเห็นทิวากาลเดินเคียงข้างไปกับชายผมยาว เขาเองนึกว่ามันเป็นเรื่องที่น้องสาวฝาแฝดรู้อยู่แล้วเลยพูดขึ้นมาลอยๆ ว่าพิชชานี่เหมาะกับทิวากาลดี คนที่ไม่น่าเข้าใกล้สองคนที่มาอยู่ด้วยกัน

   เลยได้รู้ว่าขนาดครึ่งชีวิตยังไม่รู้ชื่อของชายคนนั้น

   "ผมจะบอก...ต่อเมื่อทุกอย่างมันเข้าที่แล้ว"

   "แล้วมันเมื่อไหร่ล่ะ?"

   "คุณกำลังไล่จี้ผมอยู่นะ"

   "ผมกำลังเตือนต่างหาก" เวลาคิดว่าไม่มีช่วงไหนที่เหมาะกับการคุยเท่าตอนนี้ "ผมไม่รู้ว่าผู้ชายที่ชื่อว่าพิชชาเป็นใคร แต่เราเห็นตรงกันว่าคนอย่างนั้นห่างเอาไว้น่าจะดีกว่า"

   รอยยิ้มอาบยาพิษ เสียงใสที่เต็มไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจ นัยน์ตาที่ไม่อาจระบุสีได้เต็มไปด้วยความลึกลับ

   "สภาพของคนบนที่สูงถ้าตกลงมามันคงดูไม่จืดเท่าไหร่"

   ราชากับบัลลังก์ตัวสูงของเขา

   "ว่าอย่างนั้นไหมล่ะ?"


***
ต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.14 [11.01.17] P.3
«ตอบ #83 เมื่อ11-01-2017 21:32:19 »


   ข้าวของที่ซื้อมามันมากเสียจนเลือกไม่ถูกว่าจะเริ่มตรงไหน กว่าจะเอาของทั้งหมดลงจากรถได้ก็กินเวลาไปหลายนาที ยังไม่รวมอีกหลายๆ นาทีที่กำลังจะเกิดขึ้นสำหรับการแยกประเภทของใช้อีก

   "อันนี้ของคุณใช่ไหมครับราชา?"

   ถุงสีแปลกกว่าใบอื่นในมือของพิชชาขยับไปมาตามแรงโบก เขาพยักหน้าให้พลางบอก "ใช่ แยกเอาไว้บนโต๊ะเลย"

   ของเล่นชนิดโปรดของแบล็คคือโมเดลหลากหลายแบบ เขาชอบเล่นตั้งแต่เลโก้ พลาสติกตัวเล็กไปถึงงานเหล็กขนาดใหญ่ ถ้าได้ลองเข้าไปข้างในห้องนอนแล้วจะเห็นกับคอลเล็กชั่นจำนวนมากวางเรียงกันอยู่ในตู้ จะมีแค่บางชิ้นที่ไม่ได้อยู่กับตัวเช่นโมเดลที่ให้น้องชายไปตอนวันเกิด

   คราวนี้เลยได้จิ๊กซอว์ขนาดพันตัวมา ดูจากลายแล้วยากอยู่เหมือนกัน

   ยกถุงสุดท้ายเข้ามาในบ้าน ขยับมือเข้าออกไล่เลือดให้เดินทางได้สะดวกขึ้น ก็ต้องแบกถุงพลาสติกที่รัดมืออย่างนี้หลายใบเข้ามันก็เข้าไปขวางทางการเคลื่อนที่ของเส้นเลือดได้อยู่เหมือนกัน

   "งั้นจะทำกับข้าวเลยไหม นี่มันก็ทุ่มแล้ว" ไปถึงห้างบ่ายโมงออกมาตอนหกโมงกว่า สถิติใหม่สำหรับคนที่ไม่ชอบสถานที่อำนวยความสะดวกครบครันเลยล่ะ

   "ยังครับ เราต้องทำอย่างอื่นก่อน"

   "ผมไม่ขับรถพาคุณออกไปข้างนอกแล้วแน่"

   คราวนี้พิชชาหัวเราะออกมาเต็มเสียง "ไปแค่หน้าบ้านเองครับ"

   "ผมไม่ได้ลืมอะไรนะ" แน่ใจในข้อนั้น หันมามองตั้งหลายรอบว่าตัวเองเผลอลืมหยิบถุงไหนเข้าไปหรือเปล่า ไม่ใช่อะไรหรอก เขาขี้เกียจพาไปซื้อใหม่

   "เอาน่า ไปกับผมหน่อยนะครับ"

   พิชชาเดินนำไปแบบที่ไม่คิดจะหันมาเร่ง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าต่อให้ไม่ได้จูงมือพาเดินร่างกายกลับขยับตามแบบไม่คิดจะสร้างระบบปฏิเสธ จนกระทั่งถึงหน้าประตูทางเข้าไม้บานสวยแกะสลักสายเถาองุ่นเอาไว้ตรงส่วนบน ชายผมยาวผู้ก้าวพ้นธรณีประตูไปก็หันหลังกลับมาสั่ง

   "คุณอยู่ตรงนี้นะครับ"

   "หา..."

   ยังไม่ทันได้ท้วงอะไรประตูก็ปิดลงเสียแล้ว ยกมือขึ้นนวดขมับของตัวเองได้แค่สองสามทีประตูบานเดิมก็เปิดออกอีกครั้ง

   "กลับมาแล้วครับ"

   ประโยคนั้นคือคำที่พิชชาใช้เสมอเมื่อยืนอยู่หน้าประตู

   "แล้วผมควรตอบว่าอะไร?"

   "แล้วแต่คุณเลยครับ"

   กำลังคิดว่าถ้าตอบไปว่ารู้แล้วมันจะดูแข็งกระด้างเกินไปหรือเปล่า

   แล้วถ้าบอกไปว่าแล้วจะออกไปอีกเมื่อไหร่นั่นมันก็ไม่เหมาะกับสถานการณ์

   คำที่ไม่เคยคิดจะใช้หลายต่อหลายคำปรากฏขึ้นมาในความคิด และทุกคำเขาก็มีข้อโต้แย้งจนต้องเลือกทางสุดท้าย คำที่เขาเคยได้ยินแค่ในการ์ตูนญี่ปุ่นเท่านั้นแหละ

   "ยินดีต้อนรับกลับมาครับ"

   แค่หนึ่งประโยค...ทำไมถึงอบอุ่นได้ขนาดนี้นะ



   "บอกแล้วว่าให้เริ่มจากขอบ ทำไมไม่เชื่อ"

   หลังจากได้ลิ้มรสอาหารชื่อแปลกจนครบแล้วมันก็ถึงเวลาสำหรับผ่อนคลายอารมณ์ ของเล่นที่เพิ่งซื้อมาไม่ถึงวันเทกระจายจนเต็มชานระเบียงด้านหลังของห้องครัว กลิ่นของตะไคร้ลอยจางรอบตัวสำหรับกันยุงและแมลงชนิดอื่น บ้านในเมืองไม่ค่อยมีลมพัดผ่านมากเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ถึงกับอบอ้าว

   จิ๊กซอว์ขนาดหนึ่งพันชิ้นยังกระจัดกระจายอยู่ตรงทางด้านขวาของตัวเอง ส่วนที่อยู่ตรงหน้าของเขาในเวลานี้ทุกชิ้นจะมีด้านหนึ่งเป็นมุมเรียบบ่งบอกว่าเป็นส่วนกรอบของรูป หลักการพื้นฐานสำหรับคนทั่วไปในการเริ่มต่อภาพ

   ก็เพราะว่าพิชชาไม่ใช่คนทั่วไปเลยไม่ยอมทำตามที่บอกไง

   รูปที่เลือกมาคราวนี้ตั้งใจให้เข้ากับบรรยากาศการย้ายบ้านเสียหน่อย รูปของบ้านหลังเล็กกลางสวนตามสไตล์คุ้นตา รูปวาดของศิลปินมีชื่อในสมัยก่อน คนขายบอกว่าเป็นของแท้ขายในพิพิธภัณฑ์เลยโดนโก่งราคามาสูงกว่าทุกครั้ง นี่ขนาดลูกค้าประจำยังทำได้ลง น่าเศร้าชะมัด

   "ก็ผมอยากต่อส่วนบ้านก่อนนี่ครับ" ตัวต่อส่วนที่พิชชาหยิบออกมาทั้งหมดคือบริเวณบ้านสีครีมหลังสวย "พอคุณต่อขอบเสร็จผมจะได้เอาบ้านลงไปต่อ"

   "วันนี้ขอบจะได้หรือเปล่าเถอะ"
   
   ทิวากาลไม่ชอบแบบที่มีตัวเลขระบุตำแหน่งเอาไว้ข้างหลัง ก็ความสนุกมันอยู่ที่การค่อยๆ ตามหาไปทีละตัวไม่ใช่หรือไง เล่นเขียนเฉลยไว้ข้างหลังอย่างนั้นแล้วมันจะได้ใช้ความคิดเมื่อไหร่ ไม่ต่างอะไรกับการเขียนตอบข้อสอบได้เพราะจำตัวเลขในเฉลยได้ คือตอบถูกทั้งที่ไม่รู้วิธีทำนั่นแหละ

   เขาเลยชอบเล่นพวกของฝึกสมองพวกนี้ ทั้งเพลิดเพลินและได้ท้าทายตัวเองในเวลาเดียวกัน

   ปริศนายิ่งยากมากแค่ไหน มันก็ควรค่ากับการคลายมันออก

   "ได้สิครับ ไม่เชื่อผมเหรอ"

   โดยเฉพาะกับปริศนาที่ชื่อว่าพิชชา

   "ก็คุณทำอย่างนี้ให้ผมเชื่ออะไร"

   เครื่องดื่มหลังมื้ออาหารก็ยังคงเป็นน้ำชาไม่เปลี่ยนไป กล่องชายี่ห้อแปลกไม่เคยเห็นบนชั้นวางคือเหตุผลที่เลือกมันมาด้วย พอดื่มเข้าไปก็ได้ข้อสรุปว่าอยู่ในระดับใช้ได้ ไม่ถึงกับแย่แต่ก็ไม่ได้ดีอะไร
   
   หมายถึงพิชชาบอกมาอย่างนั้น ส่วนเขาไม่เห็นว่ามันจะต่างกับยี่ห้ออื่นตรงไหน

   "ทำอย่างนี้?"

   มองชายผมยาวกับมวยผมสูงฝีมือตัวเอง พิชชาก้มหน้าอยู่กับชิ้นส่วนตัวต่อตรงหน้าไม่คิดจะมองเขาสักนิดเดียว ส่วนของบ้านที่แยกออกเป็นส่วนเล็กเริ่มเป็นรูปเป็นร่างอย่างรวดเร็ว

   "ก็ชอบเล่าเรื่องที่รู้ออกมาปนกับเรื่องอื่น"

   "ก็เรื่องมันต่อกันพอดีนี่ครับ" พอทางเดินของเสียงไม่ได้ส่งตรงมาถึงเขาเลยได้ยินแบบอู้อี้ ทิวากาลทำปากยื่นใส่การอธิบายนั้นระหว่างที่ผู้รู้ยังพูดต่อไปไม่หยุด "ไม่อย่างนั้นผมก็ขี้เกียจเล่าเหมือนกัน"

   "ขี้เกียจอะไร เสาร์นี้ยังจะไปทำงานอยู่เลยไม่ใช่เหรอ"

   "เป็นคนตกงานแล้วไงครับ ต้องขยันหน่อยล่ะ"

   พิชชาไม่รับทรัพย์มรดกสักชิ้น เขาบอกเอาไว้แล้วว่านั่นเป็นของพ่อ

   "ถ้างั้นศุกร์ผมนอนนี่ เสาร์จะได้ไม่ต้องขับอ้อม"

   "นี่แอบเนียนขอนอนบ้านหรือเปล่าครับ?"

   "ผมเหมือนคนอย่างนั้นเหรอ"

   ทำกรอบได้แค่สองด้านสมองก็เริ่มประท้วง ทิวากาลหยิบกล่องบุหรี่ข้างตัวมาเตรียมหาตัวช่วยบรรเทา ยังไม่ทันจะตามหาไฟแช็คชิ้นโปรดเสียงสารเคมีทำปฏิกิริยากันก็เกิดขึ้นเสียก่อน

   ยื่นหน้าเข้าไปหาเปลวไฟตรงปลายไม้แท่งเล็ก เมื่อสารพิษชุดแรกเข้าไปทักทายถึงผ่อนคลายขึ้นมาหน่อย

   "คุณไม่เหมือนคนที่เกิดยุคนี้เลยพิชชา"

   จะมีวัยรุ่นกี่คนใช้ไม้ขีดไฟในการจุดอย่างนี้ล่ะถามจริง

   "ผมเด็กกว่าคุณอีกนะครับราชา"

   "ก็แค่อายุไหมล่ะ"

   ยื่นแท่งเสพติดชิดกับริมฝีปากของพิชชา เป็นวิธีการลดจำนวนบุหรี่ที่สูบในแต่ละวันได้ดีเหมือนกัน ช่วงนี้เขาเริ่มคิดว่าตัวเองควรจะจำกัดจำนวนมวนในการสูบแบบจริงจังได้แล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นมาอาจจะตายเพราะเหตุหายใจไม่ทันก็เป็นได้

   รอบตัวบ้านมีแต่ความเงียบสงัด มีบ้างได้ยินเสียงเครื่องยนต์จากที่ไกลๆ พิชชาเลือกซื้อบ้านหลังเกือบในสุดของซอย บอกว่าที่จริงก็อยากได้ข้างในสุดเหมือนกันแต่ว่าหาไม่เจอ เลยต้องยอมเลือกที่นี่อย่างเสียไม่ได้ ทิวากาลกลับไปใช้สมาธิกับการเชื่อมชิ้นส่วนเล็กๆ ให้เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ในระหว่างนั้นพิชชาเองก็ยังคงง่วนอยู่กับการสร้างบ้านขึ้นมาอีกครั้ง

   จากกลิ่นของตะไคร้ถูกกลบด้วยยาเส้นหลายชนิด ผลัดกันสูบคนละทีจนแสงไฟริบหรี่สีส้มไม่มีอีกแล้ว พิชชายังถือแท่งควันทำลายสุขภาพค้างเอาไว้จนเขาต้องเอ่ยปากถาม

   "ไม่รู้จะทิ้งที่ไหนเหรอ เดี๋ยวผมเอาเข้าไปเก็บให้ก็ได้"

   "เปล่าครับ พอดีนึกอะไรขึ้นมาได้เฉยๆ"

   "เรื่องไหน?"

   มีตั้งหลายเรื่องวนอยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเรื่องทางบ้านที่เขายังไม่วางใจ ถึงจะไม่มีใครกล้าตามในเชิงนั้นแล้วก็ยังเห็นอยู่ดีว่ามีลูกน้องรายเดิมวนเวียนอยู่รอบตัวไม่ยอมไปไหน อย่างภัสสร์เองไม่ได้เจอตัวจริงแต่ครูก็ยังโทรมาอีกครั้งเรื่องความประพฤติที่ไม่ดีขึ้นเท่าไหร่

   "กำลังคิดว่าเราสูบอย่างนี้มันเหมือนจูบทางอ้อมเลย"

   "งั้นเราก็จูบกันมาหลายครั้งแล้วสิ"

   ก็ช่วงหลังมานี้สองคนกับบุหรี่หนึ่งตัวตลอด

   "เราควรจะมีรีแอคชั่นกับมันมากกว่านี้ไหมครับราชา"

   หัวเราะขำขันให้การถามแบบนั้น "ไม่นะ ผมว่าอย่างนี้มันก็ดีอยู่แล้ว"

   ไม่เคยตั้งคำถามว่ามันเป็นสิ่งที่ควรปล่อยให้ดำเนินต่อไปหรือเปล่า ไม่คิดถึงเรื่องความถูกต้องหรือว่าศีลธรรม ทุกอย่างมันจบลงตรงที่ว่าคนหนึ่งต้องการแล้วอีกคนหนึ่งก็สนองกลับไปอย่างไม่มีเงื่อนไข

   หลักการพื้นฐานของสัญญาคือเรื่องเจตนาต้องตรงกัน

   "ก็นั่นสิครับ"

   "ทำไม คิดอะไรอยู่ล่ะพิช"

   "อืม...ก็คิดแล้วก็ให้คำตอบตัวเองได้ในเวลาเดียวกันน่ะครับ"

   "ว่ามา"

   วางกระดาษแข็งชิ้นเล็กลงกับพื้น หันไปประสานตากับชายผมยาวผู้เป็นเจ้าของเลือดในสัญญา พิชชาวางบุหรี่ในมือลงกับพื้น ชันเข่าขึ้นมาโดยเอามือทั้งสองข้างกอดขาเอาไว้ เอียงคอเล็กน้อยจนลูกผมตามช่วงกรอบหน้าเอียงไปในทิศทางเดียวกัน

   "บางทีคุณก็ดูไกลจังเลยครับ"

   ในความคิดของทิวากาลพิชชาคือหมอกสีดำ มีอยู่จริงแต่จับต้องไม่ได้

   "พอผมคิดอย่างนั้นแล้วมันก็จะมีเสียงต่อว่า 'ก็แน่สิ นั่นมันราชานี่นา' อะไรอย่างนี้"

   ส่วนในความคิดของพิชชา ทิวากาลก็ยังเป็นราชาบนบัลลังก์แสนห่างไกล

   "แต่ตอนนี้ผมก็อยู่กับคุณแล้วไม่ใช่เหรอ มันไม่ใกล้ขึ้นบ้างเลยหรือไง?"

   "ไม่ครับ"

   สุดท้ายแล้วคนที่ประกาศตนท้าทาย ก็ยังยืนอยู่บนพื้นดินเช่นเดิม "คุณยังอยู่บนนั้น...ไม่เคยเปลี่ยน"

   "ผมนึกว่าคุณดึงผมลงมาแล้วเสียอีก"

   "ก็คุณไม่ยอมให้ผมเช็คเมทสักทีนี่ครับ"

   กระดานที่ยังคงมีราชาอยู่ตรงนั้น แม้รอบข้างจะเต็มไปด้วยศัตรูทุกทิศทาง

   "แล้ว...ถ้าผมทำอย่างนี้" นึกอะไรขึ้นมาได้เลยขยับตัวเข้าไปหา ไม่สนใจว่ามันจะทำลายตัวต่อที่เริ่มเกิดเป็นโครงของตัวเองแล้วหรือไม่ พิชชายังนั่งหลังตรงอยู่ที่เดิมด้วยรอยยิ้มจางแบบเดิม นำไปสู่การขยับริมฝีปกของตัวเองขึ้นตาม "ผมจะใกล้คุณบ้างขึ้นหรือยัง"

   กลัวว่าหมอกตรงหน้าจะหายไปจนต้องยื่นมือออกไปแตะช่วงข้างแก้มเอาไว้ ไล้ลงมาจนถึงช่วงคางให้มั่นใจได้ว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นอยู่ด้วยตามันมีอยู่จริง

   ใต้ใบหน้าคุ้นเคย สีดำไม่อาจตอบได้ว่ามันกำลังบอกอะไร

   "ไม่เลยครับ"

   "เหรอ” มันเป็นความสุขกับการได้เห็นความแตกต่างเล็กน้อยบนใบหน้านั้น ทิวากาลชอบที่มันเป็นอย่างนี้ ชอบที่ได้เห็นพิชชานิ่งเรียบอยู่เช่นเดิม

   “...งั้นต้องใกล้กว่านี้"

   เคลื่อนมือไปจับส่วนท้ายทอยเอาไว้ ใต้เรือนผมสวยมีเพียงสร้อยคอเส้นบางประดับ กลิ่นน้ำหอมเฉพาะตัวของคนสองคนผสมกันจนเกิดเป็นสัมผัสใหม่ เครื่องกล่อมประสาทชั้นดีจนไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องดื่มมามัวเมา ใบหน้าที่เคยใกล้คราวนี้ชิดมากกว่าเดิม

   ลมหายใจสอดประสานกันจนเป็นจังหวะเดียว ราชาหัวเราะในลำคอยามที่เห็นว่าทุกอย่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับทุกครั้งที่ผ่านมา

   “คราวนี้ผมไม่หยุดแล้วนะ”

   “แล้วผมบอกให้หยุดตอนไหนครับ”

   ให้ตาย

   พิชชาก็ยังเป็นพิชชาอยู่ดี



   "กลับมาแล้ว"

   สิ่งที่ทำซ้ำกันบ่อยครั้งเข้าจะกลายเป็นความเคยชิน ที่พักหลังเลิกเรียนมันเปลี่ยนจากคอนโดเป็น 'บ้าน' ไปเสียแล้ว ทิวากาลเปิดประตูค้างเอาไว้ในขณะที่ตัวเองถอดรองเท้าเก็บไว้บนชั้น มันคือการรอการตอบรับบางอย่างซึ่งกลายเป็นจารีตประเพณีไปเสียแล้ว

   "ยินดีต้อนรับกลับมาครับ"

   การทักทายเฉพาะตัว ใครที่อยู่ข้างในจะเป็นคนตอบรับเสมอ พิชชาอยู่ในชุดอยู่บ้านตัวเก่งเพราะอยู่ในช่วงของการหยุดอ่านหนังสือ ส่วนแบล็คนั้นเป็นคณะลูกรักของมหาวิทยาลัยที่มีสอบแค่ปลายภาค เลยต้องรับสภาพมาเรียนอยู่กลุ่มเดียวจากนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัย

   "ผมแวะซื้อดอกไม้มา ตรงไหนยังพอมีที่ลงบ้าง"

   แน่นอนว่าการเดินทางไกลทุกวันอย่างนี้ไม่ได้สะดวกสบายอะไร จากคนที่สามารถตื่นก่อนเวลาเรียนสิบห้านาทีก็ยังเข้าห้องทันกลายเป็นว่าต้องตื่นก่อนหลายชั่วโมง ยิ่งถ้าวันไหนตารางเรียนไม่ตรงกันแล้วนั่นแย่เข้าไปใหญ่ ความน่าเบื่อที่สุดคือมีวันหนึ่งพิชชาเรียนตั้งแต่แปดโมงส่วนเขานั้นเริ่มคาบแรกและคาบเดียวตอนบ่าย รู้สึกว่าเป็นเด็กรักเรียนขึ้นมาทันตาเลย

   มันไม่สะดวกกาย

   แต่ว่าสบายใจ

   "ได้หมดแหละครับ ว่าแต่ซื้อดอกอะไรมา"

   "กุหลาบ"

   เพิงขายต้นไม้ข้างทางไม่เคยอยู่ในสายตา จนกระทั่งนักกฎหมายต้องกลายร่างมาเป็นคนสวนทุกครั้งที่เห็นสมาชิกสีเขียวต้นใหม่อยู่ในรั้วบ้าน มีบางต้นถอนมาจากบ้านหลังเดิม จะเป็นพวกไม้หอมที่นักพฤกษศาสตร์ชื่อพิชชาให้ความรู้ว่าในปัจจุบันมันแทบไม่มีต้นไม้ไร้สารพิษอย่างนี้แล้ว

   "หืม?"

   พอเห็นพิชชาทำหน้าไม่ค่อยเชื่อถือเท่าไหร่เลยต้องอธิบายต่อ "ผมยังเสกกุหลาบสีดำไม่ได้ เอาสีอื่นไปก่อนแล้วกัน"

   ไม่ได้ถามคนขายว่ามันจะออกดอกสีอะไร ทำตัวแตกต่างจากคนอื่นที่มักจะซื้อต้นไม้กำลังออกดอก เขาขอต้นที่ยังไม่มีดอกติด แม้จะได้รับเสียงทักท้วงว่าถ้าเลี้ยงผิดวิธีมันอาจจะไม่มีดอกตลอดปีก็ยังยืนยันจะเอาต้นลักษณะอย่างที่บอกไป

   ผู้ชายผมยาวพยักหน้ารับทราบ หมุนตัวกลับเข้าไปข้างในส่วนของห้องครัวต่อ วิถีชีวิตหนึ่งอย่างที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงคือการทานอาหารทำเอง โต๊ะตัวเล็กกว่าที่เคยประดับในห้องทานอาหารหลายช่วงตัว พิชชาเคยพูดขำๆ ว่าเก็บกดมานานขอปลดปล่อยหน่อย

   แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง ทิวากาลเปลี่ยนไปใส่รองเท้าแตะเพื่อให้สะดวกต่อการลุยพื้นหญ้า มือข้างหนึ่งถือถุงพลาสติกบรรจุต้นไม้ขนาดเล็กเอาไว้ อีกข้างก็มีพลั่วเตรียมพร้อมสำหรับการลงดิน ผ่านการทดลองมาหลายงานจนลงมือได้ทันที เลือกพื้นที่เป็นริมรั้วฝั่งที่ติดกับระเบียงบ้าน มองการณ์ไกลไปถึงช่วงที่มันจะโตกว่านี้ ถ้าเดินออกมาแล้วเจอดอกไม้มันก็น่าจะสวยอยู่

   ใครคนที่ถนัดแต่วางแผนทำลายต้องมารักษ์โลกอย่างนี้ก็แปลกดี

   ใช้เวลาไม่นานผลงานชิ้นใหม่ก็ปรากฏ ยังไม่ทันได้ชมเชยผลงานของตัวเองโทรศัพท์ที่วางไว้ตรงริมระเบียงก็แผดเสียงลั่น หยิบมันมาดูชื่อของผู้โทรเข้า พอเห็นว่าเป็นน้องชายคนเล็กเลยต้องเตรียมใจเอาไว้เนิ่นๆ

   (อยู่ไหน)

   ยังไม่ทันได้อ้าปาก เสียงตามสายก็มาถึงก่อนแล้ว

   "ไม่ได้อยู่หอ"

   (แล้วอยู่ไหน?)

   ไม่ชอบมีเรื่องปิดบังก็เพราะอย่างนี้ เวลาโดนไล่บี้ลงมาทีก็ต้องหาทางหนีวุ่นวาย "บ้าน"

   ที่นี่คือบ้านสำหรับทิวากาลเช่นกัน

   (กูไม่เห็นมึงแถวหอมาตั้งหลายวันแล้วนะ)

   "มึงไม่เคยสนใจไง กูเพิ่งอยู่เมื่อวาน"

   เรื่องจริงทั้งนั้นแหละที่พูดไป ถ้าเป็นก่อนจะมีที่หนึ่งจะเจอกันค่อนข้างบ่อยเพราะห้องอยู่ติดกัน ทำอะไรก็ต้องพาน้องชายผู้เกลียดการเข้าสังคมไปไหนมาไหนด้วย แต่พอมีผู้ชายคนนั้นเข้ามาถ้าไม่ใช่เรื่องที่โดนทิ้งให้อยู่คนเดียวแล้วล่ะก็ไม่เคยมีสักครั้งที่โรมันจะทักมาก่อน

   (วันนี้นิชมาหา)

   "...แล้ว?"

   ชื่อของเพื่อนที่เป็นปีศาจในคราบมนุษย์น่ากังวลมากยิ่งกว่าคราวไหน

   (มันถามกูว่ามึงไปไหน)

   "ก็ตอบไปสิ"

   (เหอะ กูตอบได้ไหมล่ะ แค่หน้ายังไม่ค่อยเจอ)

   "กูปล่อยมึงเดินเองแล้วน้องโรม"

   สิ่งที่ทิวากาลรู้ว่าวันหนึ่งจำเป็นต้องทำ แต่เมื่อต้องอยู่กับมันแล้วก็ยังทำไม่ค่อยได้เท่าไหร่
   
   ขณะที่ยังใช้หูฟังเสียงของน้องชายตัวเองอยู่ตัวก็เดินวนไปมาอยู่บนพื้นหญ้า คิดว่าคุยกันให้เรียบร้อยก่อนค่อยกลับเข้าไปน่าจะดีที่สุด สิ่งที่โรมกำลังทำอยู่ตอนนี้เขาไม่ชอบหรอกนะ เพียงแต่เขาไม่มีสิทธิที่จะสั่งให้น้องเลิกทำ เรื่องที่กำลังดำเนินอยู่ในตอนนี้ มันตั้งบนความรับผิดชอบของตัวเองทั้งหมด เขาซ่อนเอาไว้ไม่ดีเอง

   เพราะอย่างนั้นถ้ามีคนมีค้นเจอก็ไม่น่าแปลกใจ

   (มันคนละเรื่องกันแบล็ค)

   "งั้นเราควรจะคุยกันเรื่องไหน?"

   (มึงกำลังอยู่กับใคร)

   ตลอดชีวิตของทิวากาลไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะต้องได้ยินคำนี้จากปากของคนเป็นน้อง ระหว่างที่ยังคิดไม่ออกว่าควรพูดอะไรปลายสายก็พูดต่อ

   (นิชเล่าให้กูฟังแล้ว)

   ไม่ร้ายกาจก็ไม่ใช่ปีศาจ!

   "เล่าให้กูฟังก่อน แล้วตรงไหนที่มันเติมเองกูจะบอก"

   (มันบอกว่ามึงกำลังมีคนอื่น)

   "พิชชา ชื่อพิชชา" ไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นจริง ตอนนี้เขากำลังถูกบีบให้เล่าเรื่อง ไม่ใช่ว่าเรื่องที่ออกมาคือสิ่งที่เขาอยากพูดออกไปเอง "คนที่ไปเล่นเทนนิสด้วย"

   บอกไปเลยดีกว่าจะได้ไม่ต้องมีปัญหาตามมาอีก จบคำเล่าแบล็คไม่ได้ยินเสียงของโรมโวยวายกลับมาอย่างที่ชอบทำ พี่น้องต่างสายเลือดปล่อยให้เวลาได้ทำหน้าที่ของตนเอง จนเสียงถอนหายใจยาวส่งมาจากอีกฝั่งนั่นคือการบอกว่าบทสนทนาต่อไปกำลังจะเริ่มขึ้น

   (เขา...จะมาเป็นราชินีอย่างนั้นใช่ไหม)

   "กูจะไม่ใช้คำนั้น"
   
   ตำแหน่งบนกระดานของพิชชาไม่มีความแน่นอน เขาอาจเป็นได้ทุกอย่าง เป็นได้แม้กระทั่งผู้คุมกระดาน

   (แล้วมึงจะใช้คำว่าอะไร)

   "คนที่กูต้องชดใช้"

   ...ชั่วชีวิต

   ส่วนท้ายเป็นสิ่งที่ทิวากาลไม่ได้พูดออกไป

   (กูไม่เข้าใจ)

   "ใครก็ไม่เข้าใจ" รวมถึงตัวของเขาเอง "ถ้าไม่มีอะไรแล้วกูวางก่อนนะ"

   ถ้ารอให้น้องได้ทักท้วงวันนี้ก็คงไม่จบ เขากดวางสายแทบจะในทันทีที่พูดจบ เปลี่ยนโหมดของเครื่องให้หยุดรับทุกสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์เสีย ตอนนี้บอกเลยว่ายังไม่พร้อมตอบคำถามอะไรทั้งนั้น ส่วนนิชขอคิดแผนแก้แค้นก่อน บอกเลยว่างานนี้ต้องมีสงครามเกิดขึ้นบ้าง

   พออยู่คนเดียวเสียงถอนหายใจที่ออกมามันเลยดังกว่าปกติ
   
   ทิวากาลไม่เคยหนีอย่างนี้ ทุกครั้งเขาสามารถเผชิญหน้ากับทุกปัญหาที่เข้ามาได้อย่างดีเยี่ยม นั่นก็เพราะว่าเขารู้ว่าต้นเหตุคืออะไร และวิธีการแก้ไขนั้นมันเป็นอย่างไร ไม่เหมือนกับคราวนี้ที่เขารู้สาเหตุ ...แต่ไม่เจอวิธีแก้

   "ลงไว้ตรงไหนครับราชา"

   ทุกอย่างมันผิดเพี้ยนไปเพราะ 'พิชชา' คนเดียว

   "ตรงระเบียง ข้าวเสร็จแล้วเหรอ"

   ดึงร่างสูงเกือบเท่าตัวเองเข้ามาชิด จรดจมูกลงไปตรงกลุ่มผมอย่างที่ชอบทำเสมอ นอกจากจูบที่มีบ้างบางครั้งแล้วมันไม่เคยมีการสัมผัสร่างกายเกินเลยไปกว่านั้น ส่วนกลางของกระดาษคำตอบที่ยังว่างอยู่นั่นแหละคือวิธีแก้ที่หายไป เขายังไม่รู้ว่าเพราะอะไรพิชชาถึงทำเรื่องทั้งหมดนี่ขึ้นมา

   สิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้เลยเรียกว่าทำตัวย้อนแย้งก็ได้มั้ง

   "เรียบร้อยครับ เห็นว่าไม่เข้ามาสักทีเลยมาตาม"

   บ้านหลังเล็กเดินไปมาแป๊บเดียวก็ครบทุกส่วน ไม่เหมือนกับบ้างหลังนั้นที่เดินครึ่งวันถึงจะเก็บรายละเอียดได้คร่าวๆ เขาโอบไหล่คนข้างกายเอาไว้ให้เดินเข้าไปพร้อมกัน ผ่านส่วนของห้องนั่งเล่นที่เล็กลงไปกว่าเดิมเมื่อมีเปียโนไม้ขนาดมาตรฐานเสริมเข้ามา วันที่กลับบ้านมาเจอกับเครื่องสายชนิดนี้บอกเลยว่าอึ้งไปหลายวินาที

   เพื่อกันเรื่องฝุ่นแล้วก็เป็นการตกแต่งไปในตัวพิชชาเลยเอาผ้าลูกไม้สีขาวขนาดยาวมาคลุมเอาไว้ตรงด้านบน เห็นแล้วคิดว่ามันจืดเกินไปหน่อยเลยหยิบเอาดอกกุหลาบสีดำในกล่องแก้วมาวางเอาไว้ควบคู่ ทำเป็นหูทวนลมตอนที่ได้ยินเจ้าของบ้านแซวเรื่องวิธีการเก็บรักษาอย่างดี

   บนโต๊ะอาหารมีข้าวสองจานกับกับข้าวสองอย่างซึ่งเป็นตามปกติ น้ำเปล่าไม่เคยลอยดอกมะลิอย่างที่เคยเป็น เงื่อนไขหลายอย่างบอกเขาว่าเหตุผลใดของพวกนี้ถึงเลือนหายไปกับกาลเวลา ก็มันทั้งเรื่องมากแล้วก็ใช้วิธีทำนานอย่างนี้ไงล่ะ

   "เอากระดานหมากรุกมาไว้ที่นี่ไหม?"

   ของที่วางทิ้งเอาไว้อย่างนั้นก็ไม่มีค่า แม้เขาจะยังคิดหาทางออกสำหรับสถานการณ์นั้นไม่ได้เลยก็ตาม

   "มันเป็นของคุณครับ"

   "คุณแค่ฝากผมไว้"

   "เมื่อเช้าภัสโทรมาหาด้วยครับ" พอไม่อยากเถียงก็เปลี่ยนเรื่องประจำ ระหว่างมื้ออาหารไม่ได้มีข้อบังคับเรื่องห้ามคุยกัน ก็อยู่กันสองคนถ้าให้มีแต่เสียงช้อนส้อมกระทบกันมันก็เหงาไปหน่อย "เห็นว่าจะมาเยี่ยม"

   "ไม่ย้ายมาอยู่นี่เลยล่ะ"

   บ้านชั้นเดียวมีสองห้องนอน ตอนนี้ใช้เพียงแค่หนึ่ง เขาอยู่บ้างไม่อยู่บ้าง ถ้าอยู่ก็ใช้ห้องเดียวกับเจ้าของบ้าน

   "จะอยู่ที่ไหนมันก็เหมือนกันแหละ"

   "ที่นี่มีคุณ"

   "แต่ที่นี่ไม่มี 'หัวใจ' ครับ"

   เงยหน้าขึ้นไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ ภาพวาดที่ประดับเอาไว้ตรงทางเชื่อมไปยังห้องนั่งเล่นพร้อมคำสั้นๆ ด้านล่างช่วยให้กระจ่างว่าเพราะอะไรมันถึงเป็นสิ่งตกแต่งไม่กี่ชิ้นในบ้านหลังนี้

   Home is where the heart is

   บ้านคือที่อยู่ของหัวใจ

   วันนี้เวรคนล้างจานคือพิชชา พอจบมื้อเย็นแล้วทิวากาลเลยเดินตัวปลิวมาอยู่ในห้องนั่งเล่นแทน ลองเปิดดูตารางแข่งเทนนิสในโทรศัพท์ดูว่าเวลานี้จะมีการแข่งคู่ไหนน่าสนใจบ้าง

   เสียงกระดิ่งดึงทุกความสนใจไปจากเกมการแข่งขันบนหน้าจอ

   "คุณนัดใครไว้หรือเปล่าพิช" ตะโกนถามเข้าไปเข้าใน ได้ยินคำปฏิเสธลอยกลับมาเกือบในทันที

   พอนึกไปถึงน้องชายของเจ้าของบ้านเลยเดาไปเองว่าอาจจะมาเยี่ยมอย่างที่บอก เด็กอย่างนั้นเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่แล้วด้วย คิดอยากจะทำอะไรก็ทำไม่สนว่าจะทำให้ใครเดือนร้อนมากแค่ไหน สาวเท้าออกไปจนถึงหน้าประตูรั้ว เห็นว่ามีรถไม่คุ้นจอดต่อจากอีโค่คาร์ของตัวเองก็ยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ คงให้เพื่อนในกลุ่มพวกนั้นมาส่งล่ะมั้ง

   "ว่าไงเด..."

   ...

   .

   มันไม่ใช่เรื่องจริง

   ทิวากาลได้แต่เงียบ เมื่อสิ่งที่คิดไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏต่อสายตา

   อีกฟากของรั้วไม้บานใหญ่ มีหญิงวัยกลางคนยืนตัวตรงสง่าอยู่ ผมยาวสีดำขลับมัดตึงเข้ากับชุดผ้าไหมสีเข้ม ใบหน้าแต้มเครื่องสำอางนั้นคือสิ่งที่ทิวากาลไม่คิดว่าจะได้เห็นใกล้ขนาดนี้ ช่วงนัยน์ตาสีเข้มที่สบกลับมาย้อนคำเล่าหนึ่งให้กลับเข้ามาในความทรงจำ

   ตรงตานี่เหมือนที่สุด ...แข็งไม่ยอมคนแต่ก็อ่อนโยนได้

   "...คุณแม่"

   หากคำที่อยากเอ่ยออกมาที่สุดกลับออกมาจากปากของพิชชา


***
   นี่แหละค่ะเหตุผลของการมาครบทั้งตอนได้เร็วอย่างนี้ ไม่อยากปล่อยให้มันค้างคาจนปั่นจนกว่าจะครบตอน (หัวเราะ) จะรีบพาตอนต่อไปมาให้เร็วที่สุดค่ะ (ยิ้ม)
   #พิชแบล็ค

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.14 [11.01.17] P.3
«ตอบ #84 เมื่อ11-01-2017 23:19:32 »


โอ๊ย สนุกมาก ยิ่งอ่านยิ่งอยากได้ตอนต่อไป
ลึกลับ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน
ยังจับต้นชนปลายไม่ได้
เกินคาดเดา...
บรรดาประชาชนก็ห่วงแบล็คเหลือเกิน
พิชอันตรายขนาดนั้นจริงหรือ

อยากรู้มากว่าอะไรเป็นอะไร
จะเป็นอย่างไรต่อไป...

แต่ก็หวังว่าจะจบดี ไม่จากกัน

ขอบคุณนะคะ รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.15-1 [18.01.17] P.3
«ตอบ #85 เมื่อ18-01-2017 20:28:49 »

CH.15-1

   ตั้งแต่จำความได้พื้นที่หนึ่งเดียวในบ้านที่ห้ามใครเข้าไปก่อนได้รับอนุญาตคือห้องทำงานของคนเป็นพ่อ

   "แบล็ค...ถ้าพ่อรู้ล่ะ"

   "ก็อย่าไปบอกสิ"

   ตอนเด็กก็ปฏิบัติตามอย่างดีไม่เคยตั้งคำถามกับคำสั่ง จนเข้าวัยอยากรู้อยากลองสุดท้ายก็วางแผนแอบเข้าไปตอนที่คุณพ่อออกงานต่างจังหวัด ห้องทำงานจัดแต่งไว้ในโทนสะอาดตาไม่ต่างจากห้องอื่นในบ้าน เดินจนทั่วห้องแล้วก็เกิดความสงสัยว่าห้องที่ไม่มีอะไรเก็บซ่อนเอาไว้ทำไมถึงไม่อยากให้เข้ามา

   "แต่คุณพินิจไม่ให้เข้ามา"

   "ไม่มีอะไรหรอกน่า"

   ช่วงมัธยมต้นมันคือวัยรุ่นเลือดร้อน โดยเฉพาะกับเรื่องต้องห้ามบางอย่าง เป็นเหมือนกันหมดนั่นแหละพอโดนสั่งให้ทำอะไรสักอย่างก็อยากจะหาคำตอบว่าเพราะเหตุผลคืออะไร มีข้อสนับสนุนกี่ข้อมารองรับ

   ก็อยากรู้ว่าทำไมถึงห้ามเข้ามาข้างใน

   เลยต้องพิสูจน์สักหน่อย

   "ออกไปข้างนอกกัน" รัตติกาลไม่อยากเข้ามาข้างในนี้ ถ้าคุณพ่อห้ามเข้ามาลูกที่ดีควรจะทำตามนั้น "เดี๋ยวมีคนเอาไปฟ้องล่ะยุ่ง"

   "ตอนนี้ทั้งบ้านมีแค่เราสองคนไวท์"

   ไม่มีทั้งพ่อ แล้วน้องชายอีกคนก็ออกไปเรียนเสริมวันเสาร์ คนงานจะไม่เข้ามาป้วนเปี้ยนข้างในถ้าไม่ใช่เวลาทำงาน ช่วงเวลาเหมาะที่สุดสำหรับการเข้ามาสำรวจพื้นที่ต้องห้าม

   ส่วนของชั้นวางหนังสือแน่นขนัด ทั้งที่เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมและการออกแบบ กำลังภายในจีนที่พ่อบอกว่ามันแฝงอะไรเอาไว้เยอะ หนังสือเกี่ยวกับกลยุทธ์การเดินหมาก ลากยาวไปถึงหนังสือรักไม่เข้ากับสมุดเล่มอื่นใด รู้สึกว่าได้เห็นพ่อในอีกมุมเหมือนกัน

   ขยับเท้าไปเรื่อยจนถึงส่วนของหน้าต่างบานใหญ่ จากมุมนี้มองออกไปจะไม่เจออะไรน่าสนใจ เขาเดินแค่ไม่กี่นาทีก็สำรวจได้ทั่วทั้งห้องแล้ว ส่วนน้องสาวที่ชวนมาด้วยก็ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องแบบเดิมไม่ยอมขยับไปไหน เห็นว่าว่างอยู่เลยชวนมาด้วย

   ถึงจะคิดอยู่แล้วว่าไม่น่าจะให้ความร่วมมือเท่าไหร่ก็เถอะ

   มาจบตรงโต๊ะทำงานไม้สักตัวใหญ่ ถูกใจตั้งแต่เห็นครั้งแรก ไม้สลักลงน้ำยาเป็นมันเลื่อม บนโต๊ะก็เหมือนกับส่วนอื่นที่สะอาดไม่มีของวางรก จะมีก็แต่กรอบรูปสองสามชิ้นวางซ้อนกันเอาไว้ อันแรกคือรูปของทารกสองคนในวัยขวบกว่า แล้วถัดจากนั้นถึงเป็นรูปรวมของพี่น้องทั้งสี่คน ส่วนอีกรูปนั้นคว่ำหน้าเอาไว้

   รูปอะไร?

   ใช้วิธีหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าที่ติดมือมาด้วยคลุมมันเอาไว้ก่อนแล้วค่อยยกมันขึ้น เลิกคิ้วขึ้นสูงกับสิ่งที่ตัวเองเห็น

   ตอนแรกคิดว่าคงเป็นรูปสำคัญบางอย่าง แปลกใจตรงที่กรอบรูปทำจากอลูมิเนียมงานดีไม่ถูกใช้สำหรับการใส่รูปภาพ ของข้างในนั้นคือกระดาษแผ่นซีดที่มีคำหนึ่งเขียนไว้ ส่วนถัดออกไปคือดอกไม้แห้งสีน้ำตาลเข้มจนเดาไม่ออกว่ามันคือดอกอะไร

   รัก

   นั่นคือคำเดียวบนนั้น

   "ไวท์...มานี่หน่อย"

   สิ่งที่เห็นมันประหลาดจนต้องเรียกฝาแฝดมาหา ห้องไร้อากาศระบายกลับอบอุ่นขึ้นมาหลายระดับเมื่อได้เห็นมัน ทิวากาลไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองกำลังรู้สึก เขาถึงต้องเรียกอีกครึ่งชีวิตของตัวเองมาช่วยสนับสนุนข้อสันนิษฐาน

   "...?"

   น้องสาวทำท่าอิดออดแต่สุดท้ายก็ยอมเดินมา หล่อนมองตามแฝดของตัวเอง คำเดียวสั้นๆ ที่ไม่รู้ใช้ในบริบทไหนลอยเด่นอยู่ตรงหน้า

   ด้วยรัก

   หรือ

   ต้องรัก

   "รู้สึกเหมือนกันใช่ไหม..."  สิ่งที่สะท้อนกลับมาจากกระจกใสคือช่วงนัยน์ตาสองคู่ของชายหญิงกำลังจ้องมองมันไม่ละลด โครงสร้างไม่มีส่วนไหนคล้ายกันจนไม่น่าเชื่อว่าทั้งสองมีสายเลือดเดียวกัน ไม่เหมือน...แม้กระทั่งกับบิดาของตนเอง "ว่ามันหมายถึงอะไร"

   มือสองข้างจับกันเอาไว้ไม่รู้ตัว ไออุ่นที่ให้กันเมื่อเทียบกับหนึ่งคำนั้นไม่ได้เลย

   “อืม”



   บนนาฬิกาข้อมือบอกเวลาเก้าโมงครึ่ง แน่นอนว่าถ้าเป็นวันเรียนปกติแล้วคงกำลังเรียนวิชาภาษาไทยอยู่ กลายเป็นว่าตอนนี้ทิวากาลยังนั่งอ่านหนังสือเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้องนอนของตัวเอง

   "เปิดมาเลยน้องโรม"

   ได้ยินเสียงเคาะประตูเลยตะโกนกลับไป หันไปเห็นตอนใบหน้าเล็กโผล่มาให้เห็นเต็มตาพอดี โรมันทำหน้ามีพิรุธบางอย่างแถมยังมองซ้ายขวาตามหาคนพึ่งพิงอย่างที่ทำประจำ ก็ปกติแล้วจะมาหลบอยู่หลังเขาไง งานนี้ไม่มีใครคอยปกป้องแล้วก็ต้องฉายเดี่ยว

   "รู้ได้ไงว่าเป็นกู?"

   "เพราะไม่มีใครในบ้านเดินเสียงดังแบบมึงแล้วไง"

   ไม่ถึงกับปึงปังอะไรเหรอ แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้วมันก็มากกว่า "มีอะไร?"

   "ข้าวเช้า ออกไปกินข้างนอก"

   "คุณพินิจ?" จากวันนั้นคำว่า 'พ่อ' ไม่เคยออกจากปากของทิวากาลถ้าไม่มั่นใจว่าตรงนั้นปลอดภัยพอ "ไวท์ไม่น่าจะออกหรอก เดี๋ยวอยู่บ้านเป็นเพื่อน"

   เอาน้องฝาแฝดมาอ้าง สำหรับเขาแล้วน้องสาวโตพอที่จะเข้าใจเรื่องหลายๆ อย่างจนไม่ต้องกังวล ถึงอย่างนั้นเพื่อความมั่นใจก็ไม่ควรประมาท แบล็คอยากจะผ่านวันนี้ไปโดยที่ไม่มีเรื่องอะไรมารบกวนใจ

   "ไวท์ก็ไป"

   "เหรอ" เรื่องน่าแปลกใจ น้องที่เกือบเป็นโรคติดบ้านยอมออกไปข้างนอกด้วย พ่อเคยบังคับยังไม่ยอมทำตาม แล้ววันนี้ผีอะไรเข้าสิงเลยยอมไป "อีกสิบห้านาที"

   รอจนประตูปิดลงสนิทจึงลุกออกจากเตียงของตัวเอง ลูกทุกคนได้ห้องนอนแยกต่างหากเมื่อถึงเวลาสมควร ห้องของทิวากาลไม่ค่อยมีของเยอะเหมือนกับน้องคนเล็ก อาจมีตู้เก็บของมากกว่าหน่อยเพราะเขาชอบเก็บพวกโมเดลรูปแบบต่างๆ นอกจากนั้นมันก็ไม่มีอะไรน่าสนแล้ว

   ไปหยุดอยู่ตรงหน้าตู้เสื้อผ้า ปกติวันนี้มีไฟลท์บังคับเรื่องเสื้ออยู่นิดหน่อย ซึ่งแน่นอนว่าน้องสาวของเขาไม่มีทางทำอะไรอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะงั้นถึงเขาจะไม่ทำอีกคนมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

   พอมองว่ามันไม่สำคัญ เราก็จะไม่ใส่ใจไปเอง

   "จะไปทำบัตรประชาชนกันวันไหนดีล่ะ?"

   "โหย คนแก่"

   บนโต๊ะที่มีผู้ใหญ่หนึ่งคนกับเด็กสามคนกำลังนั่งรออาหารอยู่ เรื่องใช้คั่นระหว่างรอคือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า วันครบรอบการลืมตาตื่นของฝาแฝดที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกคนโตของครอบครัว

   "เดี๋ยวตัวเองก็ต้องทำบ้างแล้วไหมล่ะ"

   "ก็อีกตั้งปีกว่า" เด็กน้อยผู้เป็นน้องเล็กสุดทำตัวเหมือนเป็นผู้ชนะเต็มประดา จริงอยู่ว่าโรมันนั้นอายุห่างจากเขาเป็นปี เพราะงั้นขณะที่ทิวากาลกับรัตติกาลกำลังจะเปลี่ยนคำนำหน้าแล้วอีกคนก็ยังอยู่กับคำเดิมไปอีกนาน

   "เอาเถอะ มีความสุขก็ทำไป"

   ไม่เคยคิดจะเถียงกลับไปให้ชนะเหมือนเพื่อนบางคน ต่อให้หยิบเหตุผลอะไรขึ้นมาอ้างถ้าโรมหันไปขอความช่วยเหลือจากหญิงสาวคนเดียวแล้วมันก็จบอยู่ดี

   "คงเป็นเสาร์หลังวันเกิดครับ" ปีนี้วันครบรอบของทั้งคู่เป็นวันพุธ ซึ่งไม่สามารถปลีกตัวออกไปทำได้อยู่แล้ว "คุณพินิจติดอะไรหรือเปล่า ผมไปกับไวท์เองก็ได้"

   "อืม...ขอไปเช็คก่อนแล้วกัน แต่ตอนนี้ไม่มีอะไร"

   เก็บเอาไว้เป็นข้อมูลให้ทั้งกับตัวเองแล้วก็น้องสาว ไม่คิดมากอะไรอยู่แล้วถ้าต้องไปจัดการเรื่องทั้งหมดเอง คนเป็นพ่องานยุ่งอยู่เสมอแหละ ยังไงตอนที่ไปก็ต้องไปทั้งคู่อยู่แล้ว ไม่เหงาอะไร หรือถ้าวันนั้นน้องไม่มีใครดูแลก็ต้องกระเตงไปด้วยอีก ไม่อยากปล่อยให้เด็กไม่รู้จักโตอย่างนั้นไปไหนมาไหนคนเดียว

   มองไปรอบร้านอาหารจีนขึ้นชื่อที่ห่างจากบ้านไม่ไกล ดังจากความยาวนานของร้านที่เปิดเมื่อเกือบครั้งศตวรรษที่แล้วมาบวกกับความสดของอาหารที่รักษาคุณภาพเอาไว้ได้เสมอ ถ้าคิดไม่ออกว่าจะทานอะไรดีก็มาจบอยู่ที่นี่หลายครั้ง เขาไม่เคยเบื่อที่จะต้องทานอะไรซ้ำๆ หรือพูดในอีกแง่ก็คือเป็นคนมองการทานอาหารเพื่อต่อลมหายใจไปอีกมื้อมากกว่าจะมาสนว่ามันอร่อยหรือไม่อร่อย

   ลูกค้าเกือบทั้งร้านใส่เสื้อสีเดียวกัน จนโต๊ะของเขากลายเป็นจุดเด่นไปโดยปริยาย คุณพินิจนั้นยังตามเทรนด์อยู่ ทั้งเขาแล้วก็น้องสาวใส่เสื้อสีดำ ส่วนน้องโรมใส่เสื้อสดสีอื่นที่ใส่บ่อยจนกลายเป็นซีด ทิวากาลเข้าถึงวิธีการอยู่ในสังคมอย่างสงบสุขมานานแล้ว ก็แค่เลิกสนใจเท่านั้นทุกอย่างก็อยู่ในความควบคุมอย่างที่เขาต้องการ

   เลิกมองมันแล้วก้มหน้าอยู่กับหนังสือเล่มเดิม ช่วงนี้ไม่ค่อยมีหนังสือน่าสนใจออกใหม่จนต้องรื้อเอาของเก่ามาอ่านซ้ำอีกรอบ อย่างตอนนี้เขากำลังอ่านเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของอังกฤษช่วงที่มีการเปลี่ยนศาสนาอยู่ เขาชอบที่จะตามหาสิ่งที่อยู่ตรงก้นบึ้งของจิตใจว่ามันคืออะไร

   มันเป็นวันที่ดีสำหรับหลายๆ คน

   และมันก็เป็นวันที่ไม่น่าพิสมัยสำหรับหลายคนเช่นกัน

   หันไปมองน้องสาวอยู่บ่อยครั้ง ห่วงเหลือเกินว่าคนที่มีความผิดติดค้างในใจจะคิดมากยิ่งกว่าเดิม พ่อเขาก็แปลกดี น่าจะรู้ดีที่สุดว่าลูกแต่ละคนไม่ชอบวันนี้แค่ไหน ยังกึ่งบังคับให้ออกมาด้วยจนได้ รัตติกาลไม่ใช่คนอ่อนแอ เรียกว่าเข้มแข็งกว่าเขาอีกก็ได้แหละ สุดท้ายแล้วหน้าที่ของคนเป็นพี่มันก็ยังบอกให้ต้อง 'ดูแลน้อง' เหมือนเดิม สายใยที่มองไม่เห็นกำลังบอกให้รู้ว่าใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นไม่ได้ว่างเปล่าตามเหมือนอย่างที่ใครเข้าใจ

   "อะ ของขวัญที่ออกมากับพ่อ"

   รถตู้คันใหญ่มีไว้สำหรับบรรจุลูกหลายชีวิต ถุงกระดาษสีน้ำตาลอ่อนไม่มีลวดลายใดประดับเอาไว้สองถุงถูกส่งมาจากข้างหน้า ทิวากาลถือมันไว้พลางถามกลับ

   "แล้วทำไมมีแค่สองล่ะครับ?" ก็ตอนนี้มีกันสามคน

   "ของขวัญวันเกิดล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นตอนวันเกิดก็ไม่ยอมรับกัน"

   วันเกิดของทิวาราตรีไม่เคยมีความสำคัญ นี่เป็นปีที่สามหรือสี่แล้วก็ไม่รู้ที่ทั้งคู่ของดงานวันเกิด ไม่รับของขวัญจากใครทั้งสิ้น มันเริ่มมาจากความคิดเล็กน้อยที่ลุกลามจนกลายเป็นความไม่เข้าใจ พอถามใครไปว่าทำไมถึงต้องจัดงานวันเกิดแล้วไม่ได้คำตอบเข้าท่าเลยเลิกจัดมันเลย ทำเหมือนกับว่ามันเป็นวันธรรมดาหนึ่งวันเท่านั้นเอง

   "...ขอบคุณครับ"

   เมื่อปฏิเสธไปก็คงไม่มีประโยชน์ เขาเลยส่งอีกถุงไปยังเบาะหลังสุดที่มีหญิงสาวยึดเอาไว้ทั้งแถว เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจเลยเปิดดูตรงนั้นว่าของข้างในคืออะไร ต่อจากถุงหิ้วแล้วมันเป็นกล่องกระดาษแข็งไร้ลายเช่นเดียวกัน น้ำหนักมากเสียจนลอบแอบมองผู้ให้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ คนเป็นพ่อไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าลูกทั้งสองแสดงปฏิกิริยาตอบรับอย่างไร จนทิวากาลตัดสินใจเปิดมันออกโดยมีเสียงของน้องโรมตามมา

   "น้ำหอม?"

   สิ่งที่อยู่ข้างในคือขวดเครื่องหอมทรงสวยขนาดเหมาะมือ ไม่มีสกรีนติดเอาไว้ว่าเป็นของแบรนด์ใด ลองถือไว้ในมือส่วนศีรษะหันกลับไปมองด้านหลังสุดว่าหล่อนเปิดดูบ้างหรือยัง รัตติกาลยังวางถุงเอาไว้ข้างตัว สายตามองออกไปด้านนอกรถไม่สนใจสิ่งรอบตัวแม้แต่น้อย

   ใต้ความเรียบเฉยนั้นเก็บทุกอย่างเอาไว้อย่างแนบเนียน

   ตรวจสอบดูสภาพโดยรอบตามความคุ้นชิน คาดไม่ถึงว่าของขวัญในปีนี้จะเป็นสิ่งนี้ เพราะเด็กชั้นมัธยมสามที่กำลังจะเปลี่ยนคำนำหน้าในอีกไม่กี่สัปดาห์ไม่มีความจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้สักหน่อย ให้เป็นพวกของเบสิคอย่างอื่นยังพอเข้าใจได้มากกว่านี้เยอะ

   ทดสอบกลิ่นด้วยการฉีดลงตรงท้องแขน แรกสุดสัมผัสได้แต่ความหวานจนเลี่ยน จนกลิ่นมันจางลงถึงกลายเป็นความผ่อนคลาย

   แปลก

   ทำไมหัวใจของทิวากาลถึงเต้นเร็วขึ้นอย่างนี้นะ

   เครื่องหอมไม่คุ้นเคยพาสีดำย้อนกลับไปยังบางช่วงของความทรงจำ ส่วนที่เลือนรางจนไม่อาจแยกได้ว่ามันเคยเกิดขึ้นจริงหรือว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองจินตนาการไปไหล ในชั่ววูบหนึ่งทิวากาลคิดว่าตัวเองรู้จักกลิ่นนี้มาก่อน และอีกฟากหนึ่งกำลังค้านว่าไม่รู้จักมัน

   หรือว่า...

   "คุณพินิจ" เรียกชื่อพ่อของตัวเอง ถามในสิ่งที่ตัวเองคิดออกไป "วันนี้วันแม่ใช่ไหมครับ"

   ปลายทางเงียบไปพักหนึ่ง การตอบรับนั้นเบาเสียเหลือเกิน "อืม"

   "ขอบคุณครับ"

   พูดคำนั้นออกไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ส่งไปถึงใครอีกคน


 
   "รัตติกาลไม่มาเรียน ผมเลยมาแทน"

   ทิวากาลยืนประจันหน้ากับครูประจำชั้นนิ่งๆ ไม่ได้คุกคามอะไร ก็แค่น้องสาวโดนเรียกมาพบแล้วไม่อยู่ เพราะงั้นคนเป็นพี่ฝาแฝดเลยมาแทนก็เท่านั้นเอง

   "ไม่เป็นไร จะใครก็เหมือนกัน"

   "มีอะไรเหรอครับ?"

   แกล้งทำเป็นถามออกไปทั้งที่เห็นอยู่เต็มตาว่ามีกระดาษเจ้าปัญหาอยู่บนโต๊ะทำงานของครู กระดาษที่แจกไปตั้งแต่สองสัปดาห์ที่แล้วให้กรอกข้อมูลและรายละเอียดส่วนตัวสำหรับทะเบียนจบการศึกษาในชั้นมัธยมปลาย ข้อมูลบางส่วนที่เว้นว่างไว้เสมอคงเป็นสาเหตุที่ถูกเรียกมา

   "กรอกข้อมูลไม่ครบ เหลือตรงชื่อแม่" มันน่าตลกดีที่กระดาษสองแผ่นของพี่น้องเว้นว่างเอาไว้ตรงที่เดียวกัน "ถ้าไม่ว่างตอนเย็นค่อยเอามาให้ใหม่ก็ได้"

   "ผมกรอกครบแล้วครับ"

   "ไม่ครบ นี่ไงว่างอยู่"

   "ครบแล้วครับ"

   ยืนยันคำตอบสุดท้ายของตัวเองกลับไป คุมเสียงให้ไม่ออกอาการจนเกินไป เขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะจบชั้นมัธยมไปโดยไม่มีปัญหาอะไรอีก ขี้เกียจไปตามแก้ความเข้าใจผิดต่อ อีกไม่นานเท่าไหร่จะหลุดออกจากกรงนี้ไปอยู่ในอีกกรงหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าแล้ว

   "นี่ไงยังไม่ครบ" ครูชี้ไปตรงส่วนของคำว่า 'ชื่อมารดา' ในแผ่นกรอก "ทั้งสองแผ่นเลย"

   "ผมไม่มีแม่ครับ"

   รับรู้ได้ว่าบรรยากาศรอบตัวมันเงียบลงไปหนึ่งระดับ ทิวากาลพูดคำนั้นออกมาด้วยเสียงเรียบคล้ายการเลียนแบบน้องสาวของตัวเอง ก็ดีเหมือนกันที่เขาเป็นคนมาเอง ขืนให้ไวท์มาเย็นนี้ก็คงเถียงกันไม่จบ ไม่โทษครูเพราะการกรอกข้อมูลพวกนี้ครั้งสุดท้ายก็ตอนเข้ามาใหม่ๆ มีพ่อเป็นคนอธิบายเรื่องทั้งหมดจนไม่ต้องเผชิญกับคำถามนี้

   หลังจากที่เจอมาเป็นร้อยๆ ครั้งก่อนหน้านั้น

   "เธอเกิดจากกระบอกไม้ไผ่ไม่ได้ทิวากาล"

   คนพูดอาจไม่ได้คิดอะไร แต่คนฟังคิดมากจนต้องซ่อนมือที่กำไว้แน่นของตัวเองเอาไว้

   "ผมว่าให้คุณพ่อมาจัดการดีกว่า" คุยมากกว่านี้คงไม่รู้เรื่อง แล้วเขาก็ไม่อยากจะทำตัวไม่ดีใส่ครูบาอาจารย์ด้วย "ไม่ทราบว่าครูว่างตอนไหนบ้างครับ"

   "นี่ค..."

   "ไว้นัดคุณพินิจให้นะครับ"

   รู้ว่าครูจะไม่ยอมจบ เพราะงั้นจบเองดีกว่า สีดำยกมือไหว้รวดเร็วแล้วเดินจากพื้นที่ห้องพักครูกลับมายังห้องเรียนของตัวเอง คาบภาษาอังกฤษกลายเป็นคาบว่างเพราะว่าเด็กหายไปเตรียมตัวสอบระดับประเทศมากกว่าครึ่ง ส่วนกลุ่มเขานั้นมาเรียนครบเพราะว่าไม่มีใครจำเป็นต้องใช้คะแนนตรงนั้นในการสอบเข้า

   "บุหรี่ไหมมึง"

   "ยุ่ง" ปรามคนปากพล่อยอย่างเน็ทเอาไว้ด้วยคำเดียว ขี้เกียจฟังเสียงบ่นยาวเหยียดเลยไม่อยากให้น้องชายคนเล็กได้ยิน "แล้วนิชไปไหน?"

   "ไปคุยกับห้องอื่น เรื่องฟอร์มวงตอนวันจบ"

   "อ้อ"

   "ล่ะโดนเรื่องเดิมอีกอะดิ กูบอกแล้วให้มึงเขียนหมายเหตุไว้"

   เป็นเพื่อนกันมาสิบสองปีได้ โดนเรียกไปคุยก็เดาได้เลยว่ามีแค่ไม่กี่เรื่อง

   "ให้พ่อเคลียร์เอง เหนื่อยจะพูด"

   "เหนื่อยหน่อยนะมึง"

   อือออตอบรับพลางนั่งลงกับเก้าอี้ของตัวเอง ก้มหน้าลงไปหาหนังสือใต้ลิ้นชัก ซื้อมานานแล้วแต่เพิ่งรื้อเจอ เอามาอ่านก่อนที่จะต้องไปจมอยู่กับกองหนังสือติวสอบหลังจบชีวิตการเป็นเด็กมัธยมเต็มตัว เขาล่ะเกลียดระบบการศึกษาเมืองไทย จะไปเมืองนอกมันก็ได้แหละถ้าไม่ติดน้องอีกสามคนที่ต้องดูแล พี่ชายคนโตไม่มีทางจะปล่อยให้คลาดสายตาไปจนกว่าจะเจอคนมาดูแลต่อเด็ดขาด

   จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะเรียนต่อคณะไหน ไม่ยอมไปสอบตรงเหมือนอย่างใครเขาแล้วไปรอเสี่ยงดวงกับการแอดมิชชั่นอย่างเดียว คิดในอีกแง่คือน้องทั้งคู่ต้องใช้วิธีเดียวกันในการยื่นเข้ามหาวิทยาลัย ให้ที่บ้านได้ดีใจรอบเดียวเลยแล้วกัน

   "แล้วไวท์เป็นไงบ้างอะ?"

   "เมื่อเช้าปกติ" ตอบแบบที่ไม่เงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือ "คิดว่ากลับไปก็ยังปกติ"
   
   หมายถึงก็คงไม่นอนเป็นปกติ ไม่รู้ว่าช่วงนี้เป็นอะไรถึงเงียบยิ่งกว่าเดิมอีก

   "เอาลัจไปด้วยดิ เผื่อจะช่วยไรได้บ้าง"

   "รายนั้นไม่ว่างหรอก" ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบไปวัดระดับสำหรับเรียนต่อ เรื่องที่เขาบังเอิญรู้แต่จะไม่บอกใคร "ต้มกินได้ก็ทำไปแล้ว"

   "แล้วต้องปล่อยไปงี้เหรอ"

   นัทธิเคยเจอรัตติกาลในรูปแบบของคนเงียบมาตลอด ไม่ใช่ในแบบของการหยุดเรียนไปอย่างนี้ พฤติกรรมที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสะกิดใจว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติ และเขายังไม่อาจหาคำตอบให้ตัวเองได้ตราบใดที่ทุกคนเลือกที่จะหยุดทุกความทรงจำเอาไว้ตรงนั้นไม่ยอมรับสักที

   "ก็ทำอะไรไม่ได้"

   "เหมือนเรื่องที่มึงเพิ่งไปเจอมาอะนะ"

   "นั่นแหละ" เกือบลืม ส่งข้อความไปบอกคุณพินิจเลยแล้วกัน

   "ตลกดีเนอะมึง กูว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากเลย"

   "อย่าเอามุมตัวเองมองสิ"

   ถ้ามองจากมุมของคน 'ทั่วไป' เรื่องของเขามันก็แปลกอยู่แหละ เด็กอะไรจะบอกว่าตัวเองไม่มีแม่ ทุกคนต้องเกิดออกมาจากครรภ์ของมารดา ไม่มีทางที่จะออกมาจากกระบอกไม้ไผ่อย่างที่บอก เขาก็ไม่ได้บอกว่าตัวเองเกิดมาจากพืช แค่บอกว่าไม่มีแม่ในทางพฤตินัยเท่านั้นเอง

   ทิวากาลรู้ว่าตัวเองมีแม่ รู้ว่าแม่เป็นใคร

   แต่ไม่อาจเรียกเขาว่าแม่ได้

   "...มันเป็นสัญญาของคนสองคน"


***
   น่าจะเดาได้แล้วมั้งคะถึงตอนนี้ (แน่ล่ะ อีกกี่ตอนจบแล้ว...) มีใครมีคาถาช่วยให้งานด่วนเลิกเข้าบ้างคะ เจ้านี่พอได้อยู่หน้าคอมหน่อยจะต้องมาเรื่องให้ขยับตัวออกไปตลอดเลย พาร์ทแรกของตอนนี้เป็นเบสิคค่ะ รอพาร์ทหลังนะ (ยิ้ม)
   #พิชแบล็ค

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.15-1 [18.01.17] P.3
«ตอบ #86 เมื่อ18-01-2017 23:00:05 »


แม่ คนเดียวกัน?

ไม่อยากเดาเลย นี่ขนาดเบสิค!!

#เริ่มเครียด

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.15-1 [18.01.17] P.3
«ตอบ #87 เมื่อ29-01-2017 09:40:10 »


มารอค่ะ

#เลือด #แม่ #บริจาค

ออฟไลน์ 23August

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-2
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.15-2 [01.02.17] P.3
«ตอบ #88 เมื่อ01-02-2017 21:11:41 »

CH.15-2

   "บางคนก็ยึดติดกับคำพูดมากไป"

   "ไม่ดีหรือไง?"

   "ก็ดูผลลัพธ์สิ"

   คนเด็กสุดบนโต๊ะอย่างทิวากาลเก็บปากเงียบสนิท ทำเป็นหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดดูอะไรไปเรื่อย ปล่อยให้พวกคนสูงอายุที่กำลังกรึ่มได้ที่หลุดปากพูดอะไรที่ไม่ควรออกมา คุณพินิจติดคุยงานกับเพื่อนอยู่ทางอื่นจนไม่มีเวลากลับมาฟังเรื่องในอดีตของตัวเองว่ากำลังเป็นหัวข้อสนทนาอยู่ในเวลานี้

   "หน้าก็ไม่เคยให้เห็น รู้หรือเปล่าเถอะว่าเป็นใคร"

   "ก็ดันไปสัญญาว่าจะไม่เจอกันอีกนี่"
   
   สัญญาต้องเป็นสัญญา

   สายตาของพ่อยามสอนเรื่องนี้หนักแน่นมากกว่าทุกเรื่องที่เคยสั่ง สอนย้ำจนจำได้ขึ้นใจ

   "คนหนึ่งก็หัวแข็ง อีกคนก็ไม่ยอมคน"

   "เพราะเป็นอย่างนั้นเลยเข้ากันได้ไง"

   เรื่องราวดั่งนิยายของหญิงชายคู่หนึ่ง

   เจอกันในช่วงเข้ามหาวิทยาลัย ในเวลาพักกลางวันของสังคมที่การสื่อสารยังต้องอาศัยจดหมายในการติดต่อ ผู้ชายคือคนหนุ่มลุคเซอร์ตามสไตล์เด็กเรียนสถาปัตยกรรม ลูกชายคนเดียวของมาเฟียมีชื่อย่านชานเมือง ส่วนผู้หญิงคือดาวเด่นในคณะอักษร ทายาทตระกูลผู้ดีทุกกระเบียดนิ้วจนเป็นที่ลือชื่อ

   ไม่น่าจะมาเจอกันได้ ถ้าไม่มีการแข่งขันอย่างหมากรุกสากลขึ้น ช่วงเวลาที่คนในวงกว้างรู้ว่ามีชายผู้หนึ่งได้รับฉายาว่า 'ไม่เคยแพ้' ในเกมกระดาน หลายต่อหลายคนเคยท้าทายแล้วสุดท้ายก็ต้องยกธงขาวกลับไป จนกระทั่งวันหนึ่งบนโต๊ะของหนุ่มฉกรรจ์ก็มีแขกแปลกหน้าเข้ามาเยี่ยม

   สาวในชุดนักศึกษาเรียบร้อย คนดังในระดับที่หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่าแม่ดาวอักษรมาทำอะไรที่ดงของหนุ่มสถาปัตย์ ก็พอพูดถึงผู้ชายเรียนวาดรูปมันไม่พ้นความซกมก สกปรก ปล่อยให้ผมเผ้ารุงรัง เห็นสิ่งแปลกตาหน่อยก็ฮือฮากันไปหมด

   หล่อนมาคนเดียว ฉายเดี่ยวจนต้องถามซ้ำว่าไม่ได้มาหาผิดคนใช่หรือไม่ คำที่คนเล่าใช้ก็คือ 'ไม่รู้จักความกลัว' เพราะตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงช่วงเวลาที่ต้องนั่งลงกับผืนเสื่อ ไม่มีช่วงเวลาไหนแสดงออกถึงความลังเลหรือว่าไม่มั่นใจในตัวเอง

   เป็นที่รู้กันว่าดาวอักษรเย่อหยิ่ง สังคมรอบข้างก็มีแต่พวกคนในระดับเดียวกัน เหล่าหนุ่มบ้านๆ ไม่ควรแม้แต่จะคิดเด็ดดอกฟ้ามาเชยชม มันเลยมีแต่คนสงสัยว่าลมอะไรพัดเจ้าหล่อนมาตกอยู่ที่นี่ ส่วนคำตอบนั้นง่ายจนหลายคนที่ได้ฟังเกือบหงายหลัง หล่อนได้ยินว่ามีคนเก่งหมากรุก และมันคงเป็นการดูถูกตัวเองเกินไปถ้าไม่ยอมมาทดสอบระดับฝีมือสักครั้งให้รู้กันไป

   มันเป็นการต่อสู้ที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ และจบลงด้วยการแพ้ครั้งแรกของผู้ไม่เคยพ่าย

   กลายเป็นว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดการแข่งขันระหว่างคนสองคนมันก็จะอยู่ในความสนใจของทุกคน จากนั้นแม่สาวคนนั้นก็กลายเป็นสมาชิกประจำบนเกมกระดานนี้ ผ่านคำปรามาสว่าคงอยู่ไม่นานก็จากไปเพราะทนความไร้การศึกษาของหนุ่มวาดรูปไม่ได้

   ไม่ใช่เรื่องแปลกที่วันหนึ่งได้ยินว่าทั้งคู่ตกลงคบกัน แต่มันเป็นเรื่องประหลาดเมื่อรู้ถึงเบื้องหลังของคนทั้งสอง ผู้ชายเป็นลูกผู้มีอิทธิพล ส่วนฝ่ายหญิงนั้นนอกจากจะเป็นตระกูลเก่าแล้วยังมีสมาชิกอยู่ในกรมตำรวจเป็นจำนวนมาก มันเลยดูเป็นการผสมที่ไม่เข้ากันมากเท่าไหร่

   ความรักที่อยู่ในความสนใจของคนจำนวนมาก เพื่อนสนิทหลายคนพนันกันนักต่อนักว่าจะรอดหรือไม่ เพราะในยุคที่ความรักไม่อาจชนะได้ทุกอย่างทางเดินนั้นเต็มไปด้วยอุปสรรคมากเหลือเกิน ปีแล้วปีเล่าสายสัมพันธ์แน่นหนาของทั้งสองไม่มีทีท่าว่าจะคลายลง จนเกริ่นเรื่องการตัดชุดสำหรับวันแต่งงานแล้วด้วยซ้ำ สุดท้ายการแต่งงานนั้นก็เกิดขึ้นจริง แต่เจ้าสาวไม่ใช่คนที่คิดเอาไว้

   หญิงสาวที่ไม่มีใครเคยคาดคิดว่าจะมาเป็นคุณนายใหญ่ของบ้าน ลูกสาวของคู่ค้าทางธุรกิจรายสำคัญ ไม่ต้องใช้การวิเคราะห์อะไรมากก็รู้ว่าเป็นการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องสาวดาวอักษรอีก จนวันที่เรื่องฉาวหนึ่งแดงขึ้นมา

   วันที่นายพินิจประกาศว่าตัวเองได้ลูกแฝด ทั้งที่ภรรยาตามกฎหมายยังอุ้มก้อนเนื้อมีชีวิตเอาไว้ในท้อง

   เรื่องราวของพ่อแม่รวมถึงเรื่องของตัวเองทั้งหมดไม่เคยออกมาจากปากของพ่อ อาศัยการลอบถามคนใกล้ตัวรวมถึงทำเป็นไม่ตั้งใจฟังเรื่องในวงคนเมาอย่างนี้นี่แหละ เอามาเชื่อมโยงกันเองจนกลายเป็นเรื่องที่เขาเล่าก่อนหน้า ตอนที่ฟังมันก็สนุกดีอยู่หรอก ติดตรงเวลาเห็นตัวเองในกระจกมันชอบมีความคิดบางอย่างเกิดขึ้นมาในหัว
   
   ทิวากาลเป็นใครกันแน่

   พ่อดูแลลูกทั้งคู่อย่างดี เด็กแฝดมีชื่อแทนความหมายของสิ่งที่ไม่อาจพรากจากกันไป ไม่เคยรู้เรื่องที่ตัวเองไม่ใช่ลูกของแม่สองมาก่อนจนวันที่ได้ยินเรื่องเล่าภายในบ้าน หลายอย่างคือสิ่งที่ทิวากาลไม่คิดว่ามันเกิดขึ้นจริง แต่เมื่อลองหลับตาแล้วเปิดขึ้นมาใหม่ก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ใช่ความฝัน ไม่อยากยอมรับแค่ไหนก็ทำไม่ได้

   ถ้าถามว่าคำไหนอธิบายยากที่สุดสำหรับทิวากาล คำนั้นคือคำว่า 'แม่'

   สัญญาง่ายๆ ที่ตกลงกันว่าคนเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับลูกทั้งสอง สิทธิในการดูแลทั้งหมดจะอยู่กับพ่อเท่านั้น แล้วเธอไม่สามารถปรากฏตัวให้ลูกรู้จักได้เพราะตอนนั้นทางฝั่งพ่อต้องการให้เด็กไม่สับสนที่มีแม่สองคน ตอนที่ได้ยินครั้งแรกเขาก็คิดว่าพ่อกับแม่ทำไมถึงทำตามง่ายๆ พอนึกต่อไปว่าสังคมในสมัยนั้นคงไม่ยอมรับเรื่องพวกนี้มากเท่าไหร่ก็เลยพอหักลบไปได้

   "ดูลูกไม่ค่อยมีปัญหานี่ ใช่ไหมแบล็ค?"

   ไม่อยากจะพาตัวเองเข้าไปอยู่ในพื้นที่อันตรายเลยทำเป็นเล่นโทรศัพท์ไม่สนใจ น่าสงสารตัวเองที่ต้องมารอพ่อในกลุ่มของคนเมา เพื่อนของเขาเคยเมาก็หลายครั้ง แต่ไม่เคยมีใครที่เมาแล้วพล่ามไม่ยอมหยุด ถ้าเล่าเรื่องเกี่ยวกับพ่อแม่เขาก็ดีอยู่หรอก พอหลุดออกจากเรื่องพวกนั้นเมื่อไหร่ก็กลายเป็นเพ้อเจ้อ

   "สังคมก้มหน้า เด็กที่บ้านก็เป็นอย่างนี้"

   "เดินกลับมาแล้วนั่น เลิกคุยๆ"

   ยังไม่ทันตอบห้องแชทของน้องโรมมือของพ่อก็สะกิดลงตรงไหล่ บอกลาทุกคนตรงนั้นแบบที่รู้ว่าคงมีไม่กี่คนรับรู้ว่าเขากำลังบอกลาตามมารยาท มีบางเรื่องที่พ่อไม่เคยสอนทิวากาล เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำไมต้องทำอย่างนี้ พอลองคุยกับน้องสาวฝาแฝดมันก็ได้คำตอบที่ตรงกันว่าบางอย่างต่อให้ไม่มีใครเคยสอนมันก็ยังส่งผลให้ต้องทำอย่างที่คิดว่าควรจะทำ

   "เบื่อไหม"

   "ชินแล้วครับ"

   ตอบกลับไปเนือยๆ ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าเป็นการทำหน้าที่ลูกที่ดี มันมีข้อเสียเยอะแต่ว่าข้อดีมันก็พอมีอยู่

   รถตู้คันใหญ่จอดเทียบจุดรอ ที่ใช้รถชนิดนี้มันไม่มีเหตุผลอะไรมากไปกว่าสามารถบรรจุลูกทุกคนลงไปได้ ใบหน้าสะท้อนผ่านฟิล์มดำนั้นไม่มีความคล้ายคลึงกันแม้แต่น้อย สิ่งที่ทุกคนพูดเหมือนกันทั้งคู่ได้โครงหน้ามาจากฝั่งแม่

   แน่นอนว่าแม่สองไม่เคยเป็นแม่สำหรับทิวากาลและรัตติกาล

   แล้วผู้หญิงคนนั้นสามารถเรียกว่าแม่ได้หรือเปล่า?


 
   "เล่นอะไรอยู่พิชชา?"

   เสียงเรียบเย็นชา ไม่เหมือนกับที่ 'แม่' ใช้กับพิชชามาตลอด

   "ไม่ได้เล่นครับ"

   ย้ายกระเป๋าของทิวากาลออกจากโซฟา เชิญหญิงสาวผู้เลี้ยงดูตนเองมาตั้งแต่ยังแบเบาะให้นั่งรอระหว่างไปหาของทานเล่นมารับรอง หนึ่งในนิสัยได้ที่จากคนตรงหน้า "วันนี้ชาไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ ผมเลือกมาผิด"

   วางกาน้ำชาที่หญิงสาวคนเดิมซื้อมาให้ลงตรงแท่นวางของตัวเล็ก ไม่แสดงอาการพิรุธออกมาให้จับสังเกตได้ เมื่อไม่อาจมองเห็นเรื่องในอนาคตของตัวเองได้  สิ่งที่เกิดมันเลยนอกเหนือจากการควบคุมได้เสมอ

   "เห็นว่าย้ายบ้าน เลยแวะมาหา" จิบน้ำชาเข้าไปหนึ่งคำแล้ววางมันลงกับที่เดิม "ดูแล้วน่าห่วงกว่าที่คิดเอาไว้เยอะเลย"

   "ผมอยู่ได้ครับ คุณแม่ไม่ต้องห่วง"

   "พิชชา"

   "ครับ" ส่งยิ้มสวยไป ไม่กลัวว่าจะต้องเจออะไรบ้าง

   มันคือสิ่งที่ต้องยอมรับ

   "ล้ำเส้นเกินไปแล้ว รู้ใช่ไหม"

   เส้นกรอบบางถูกขีดขึ้นมาตั้งแต่วันที่พิชชาถูกแยกให้ไปอยู่ในความดูแลของเพื่อนสนิทพ่อ หญิงสาวที่เขา 'เห็น' สีขาวกับสีดำลอยวนเวียนอยู่รอบตัวจนเผลอถามออกไป

   "รู้ดีเลยครับ"

   บุญคุณสำหรับการเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ พิชชาได้รับทุกอย่างตามที่ควรได้ในฐานะลูก ข้าวของเครื่องใช้ การดูแลเอาใจใส่ การศึกษา ความรักจากทุกคนในบ้าน ก็ได้ยินมาบ้างแหละว่ามันเป็นการทำเพื่อทดแทนเด็กที่ไม่อาจจะเติบโตในบ้านหลังนี้ได้

   เด็ก...ที่พิชชามีชีวิตเพื่อ 'ชดใช้' เช่นกัน

   "หน้าที่ของเรามีแค่ให้เลือด ไม่ใช่ดึงเขาเข้ามา"

   กลุ่มเลือดของแฝดชายเป็นของหายาก ผู้หญิงที่พิชชาได้แต่มองเธอตามติดชีวิตของเด็กสองคนเงียบๆ ห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยว มีคำถามเกิดขึ้นมากมายระหว่างที่ตัวเองยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น เมื่อโตขึ้นจนรู้ทุกอย่างได้แล้วชายผมยาวจึงเข้าใจว่าในแต่ละเรื่องมีคำตอบอย่างไร

   เขาถึงรู้เรื่องของทิวากาลรวมไปถึงน้องสาวฝาแฝดอย่างรัตติกาล แล้วก็บางเรื่องเกี่ยวกับน้องชายอีกสองคนที่เหลือ

   ...ได้รู้ว่าเลือดหมู่พิเศษของตัวเองมีค่าสำหรับบางคนมากแค่ไหน

   ใต้แท่นวางมีกระดานหมากรุกวางไว้รอบางคน พิชชาเป็นคนจัดการทุกอย่างเองโดยปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งเงียบ มันเป็นเรื่องที่ทำใจยากสำหรับคนทั้งคู่ และคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดอย่างเขาก็ได้แต่ประคับประคองให้มันผ่านไปได้โดยไม่เกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้น

   "อีกกระดาน?" มันไม่ใช่กระดานไม้แผ่นเดิมที่ใช้เมื่อเจอกัน

   "กลับไปหาเจ้าของแล้วครับ"

   สิ่งที่พิชชาได้จากแม่ สิ่งที่ควรส่งต่อให้ลูกที่แท้จริง

   "เด็กคนนั้นเคยเล่นอยู่กี่ครั้งเอง"

   ทิวากาลไม่รู้ แต่พิชชารู้ว่าตลอดเวลาที่ราชาคิดว่าตัวเองเติบโตขึ้นมาด้วยความรักจากบิดาเท่านั้นมันยังมีอีกมือที่มองไม่เห็นคอยโอบอุ้มอยู่เสมอ

   "เขาเล่นเก่งนะครับ"

   "ส่วนเราก็เดินผิดตั้งแต่หมากแรก"

   แม่กับลูกคุยกันผ่านการเดินหมากบนกระดาน พิชชาชินกับการนั่งมองกระดานไม้เป็นเวลาหลายชั่วโมงไม่เหมือนกับทิวากาลที่ทำท่าพร้อมล้มกระดานได้ทุกเมื่อ ผู้หยั่งรู้โตขึ้นมาพร้อมกับซึมซับทุกสิ่งที่คนเป็นแม่ตั้งใจจะทำให้ลูก และนั่นเป็นสิ่งที่ลูกชายที่ถูกรับเลี้ยงอยากจะส่งต่อให้อีกคน

   ลูกที่เธอไม่อาจแตะต้องได้

   "ผมตั้งใจต่างหากครับ"

   ผู้ชายที่เป็นสีดำเหมือนกัน คนที่ต้องได้เจอกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พิชชาไม่มีทางยอมให้มันผ่านไป เขาไม่ควรต้องรออะไรอีกแล้ว "จะเดินอย่างนี้...ต่อให้รู้ว่ามันผิดก็ตามที"

   "พิช..." เสียงอ่อนโยนคล้ายกับอีกคน "เราไม่ควรทำอย่างนี้"

   "มันนานพอแล้วครับคุณแม่"

   จริงอยู่ว่าสิ่งที่แม่ให้ทำคือการช่วยบริจาคเลือดให้กับลูกชายเมื่อทราบว่าโดนแทงเท่านั้น สายรายงานมาว่าน้องชายคนเล็กสุดไม่อาจทำหน้าที่นี้ได้ เมื่อถึงเวลานั้นพิชชาก็ต้องชดใช้ให้กับเธอ ตอบแทนการเลี้ยงดูมาตลอดจนถึงตอนนี้

   เรื่องหลังจากนั้นคือการตัดสินใจของพิชชาเองทั้งหมด

   ในเวลาไม่กี่นาทีชายผมยาวก็เสียเบี้ยตัวแรกไปเสียแล้ว ส่วนหนึ่งมันก็มาจากความกังวลเกี่ยวกับคนที่อยู่ข้างนอก ทิวากาลคงเกลียดเขาเข้ากระดูกดำแล้ว เรื่องนี้คือจุดอ่อนเดียวของคนเป็นราชา และมันเป็นการเล่าเรื่องได้แย่ที่สุดเท่าที่เคยทำมา

   หลายต่อหลายครั้งอยากบอกออกไป แต่อีกใจหนึ่งมันก็อยากให้ทิวากาลได้รู้จัก 'พิชชา' เหมือนอย่างที่เขาได้รู้จักอีกคนผ่านการติดตาม กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ใจร้องเรียก...บอกว่าคนคนนั้นคือปลายสายของด้ายดำที่ตามหา

   "ขอโทษครับ"

   “ก่อนหน้านี้จะแอบทำอะไรแม่ไม่เคยว่า แต่ครั้งนี้มันเกินไป”

   “ผมผิดเองครับที่ไม่ได้บอก”

   "...แม่รู้อยู่แล้ว วันนั้นน้าไปหาที่ร้าน" คำแรกที่น้องชายพูดคือ 'คิดออกแล้ว' หลังจากนั้นก็เล่าเรื่องเด็กผู้ชายที่ตาเหมือนกับเธอให้ฟัง เท่านั้นก็เพียงพอแล้วว่าพิชชากำลังทำอะไรอยู่ "ยิ่งพอน้าเธอรู้ว่าชื่อแบล็คเท่านั้นแหละไม่ต้องทำอะไรแล้ว"

   "วันนั้นผมก็ไม่คิดว่าเขาจะไปเหมือนกันครับ"

   "เห็นชื่อพ่อเลยให้คนอื่นไป อีกคนก็ดันเอาลูกไปแทนเหมือนกัน"

   ระหว่างคนสองคนไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร สุดท้ายแล้วพิชชาก็สามารถรู้ได้โดยไม่ต้องเอ่ยปากบอกอยู่ดี

   "แล้วจะทำยังไงต่อ?"

   นิ้วผอมบางแบบผู้หญิงขยับม้าไปสองช่อง หากผู้รู้เลือกเดินพลาดมันจะเปิดทางให้เธอเช็คเมทได้ทันที "ไม่มีทางให้เลือกแล้วนะ"

   ไม่เคยคิดว่าพิชชาจะตัดสินใจแบบนี้ ตลอดมาเขาเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาทเสมอ แม้ไม่ใช่ลูกแท้แต่ทุกคนก็รักไม่ต่างกัน เด็กที่รับมาเลี้ยงภายหลังจากส่งทารกทั้งสองไปให้ฝ่ายพ่อ จะให้เธอเลี้ยงแฝดทั้งสองเองมันก็ได้อยู่ แต่เมื่อลองคิดถึงอนาคตข้างหน้าแล้วมันจะดีกับเด็กทั้งคู่มากกว่าหากเติบโตขึ้นในอีกสภาพแวดล้อมหนึ่ง

   "ได้แต่ภาวนามั้งครับ"

   "เล่นอะไรไม่เข้าท่า"

   "หมายถึงอะไรครับ" ในเมื่อคำนั้นสามารถใช้กับทั้งหมากบนกระดานแล้วก็ตัวเขาเอง "ผมว่าวันนี้ตัวเองเล่นดีกว่าหลายๆ วันนะ"

   บางทีก็แพ้แบบหมดท่า สมแล้วกับที่เป็นผู้หญิงที่เคยชนะผู้กำชัย

   "หมายถึงเรื่องของแบล็ค..."

   พิชชาอิจฉาทิวากาล ตรงที่เสียงเรียกชื่อลูกของตัวเองนั้นมันช่างอ่อนหวานเสียเหลือเกิน

   "ตรงนั้นมันไม่มีพื้นที่พอสำหรับผมครับ"

   "งั้นก็รีบออกมา"

   "ไม่ครับ"

   ไม่มีครั้งไหนที่พิชชายืนยันในความรู้สึกของตัวเองได้ชัดเจนเท่าครั้งนี้ ใต้คำพูดยังมีนัยน์ตามั่นคงเพิ่มเข้าไปอีกด้วย หญิงสาวผู้ยังคงหน้ากากว่างเปล่าเอาไว้มองหน้าชายผมยาวที่ตนเองเลี้ยงตั้งแต่เล็ก มันคงถึงเวลาที่เธอต้องทำอะไรสักอย่าง

   "แล้วถ้าแม่สั่ง?"

   "ก็ไม่ทำอยู่ดีครับ"

   "ไม่น่ารัก"

   แม้จะโดนกินไปอีกตัวพิชชาก็ยังหัวเราะออกมาได้ "ผมเคยน่ารักด้วยเหรอครับ"

   "ไปคิดวิธีแก้เอาเองแล้วกัน แม่ไม่เกี่ยว"

   "ครับๆ แล้วคุณแม่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ" ตามข้อมูลเดิมคนเป็นแม่บินไปเจรจางานที่ฝรั่งเศสหลายสัปดาห์ ธุรกิจน้ำหอมแบรนด์ส่งออกที่หลายคนไม่เคยรู้ว่าเป็นฝีมือของคนไทย "ไม่ได้ไปรับเลย"

   "เมื่อสองวันก่อน คุยเสร็จก่อนที่คิดเอาไว้"

   "ผมบอกแล้วว่าทางสะดวก"

   "เธอบอกให้แม่เลือกดีๆ ต่างหาก" ครั้งนี้ไม่เหลือทางให้พิชชาได้หนีอีกต่อไป ไม่ว่าอีกฝั่งจะขยับไปทางไหนหมากที่เหลือก็พร้อมเข้าไปปลิดชีพราชาทันที

   "ทุกอย่างเป็นการเดิมพันครับ" ถึงจะไม่เจอทางหนี พิชชาก็อยากจะแพ้แบบมีเกียรติมากที่สุด "ลองมาพนันกันไหมครับคุณแม่ ...ว่าคนข้างนอกเขาจะเข้ามาหรือเปล่า"

   เสียงหัวเราะไม่มีความต่างจากอีกคนเลย พิชชาปล่อยให้สมองของตัวเองทำการเปรียบเทียบใบหน้าของสองคนว่ามันมีส่วนไหนที่เหมือนหรือต่างกันบ้าง ถ้าเทียบกับทิวากาลนั้นมันคงพูดยาก แต่หากลองใช้ลูกสาวอย่างไวท์แล้วล่ะก็บอกได้เลยว่าเกือบทั้งหมดเป็นพันธุกรรมจากทางมารดา

   "เธอจ่ายไม่ไหวหรอกพิช"

   "ก็ไม่แน่นะครับ" ยอมขยับควีนออกไป เปิดทางโล่งให้บิชอปเข้ามาสังหารคิง "อะไรก็เกิดขึ้นได้"

   "แบล็คไม่มีทางเข้ามา"

   มันคือสัญญาที่ทำเอาไว้แล้ว
   
   "ทำไมคุณแม่มั่นใจจังครับ"

   "ฉันเลี้ยงเธอด้วยร่างกายพิชชา" นัยน์ตาสีดำสนิทวาววับ สิ่งที่ส่งต่อไปยังเลือดเนื้อของตัวเองอีกสองชีวิตได้อย่างครบถ้วน

   "ส่วนสองคนนั้นฉันเลี้ยงมาด้วยหัวใจ!"


 
   กว่าจะพาแม่เดินทัวร์จนทั่วทั้งบ้านก็กินเวลาไปอีกครู่ใหญ่ เป็นที่รู้กันว่าเมื่อเดินไปจุดไหนสมาชิกคนที่สามก็จะปลีกตัวไปอยู่อีกที่หนึ่งแบบไม่ต้องร้องขอ พิชชารอจนกระทั่งเสียงเครื่องยนต์นั้นลับหายไปจึงหมุนตัวกลับเข้ามาอยู่ข้างในบ้าน เดินตามกลิ่นบุหรี่แบบมิ้นท์จนพบกับคนที่ตามหา

   "คุณแม่กลับไปแล้วครับ" พิชชาไม่ได้ต้องการจะตอกย้ำอะไร แต่นั่นคือชื่อเรียกเดียวสำหรับเขา

   สิ่งที่ไม่คุ้นชินกลายเป็นความอึดอัด ยืนรอที่เดิมอย่างนั้นจนทิวากาลทิ้งก้นมวนลงกับพื้นหญ้า

   "กว่าจะสูบหมด นานชะมัด" บุหรี่ที่มักจะแบ่งกันสูบจนไม่คุ้นเวลาใช้คนเดียว "...กลับไปแล้วใช่ไหม"

   ทิวากาลไม่มีสิทธิใช้คำนั้น

   "ครับ กลับไปแล้ว"

   ผงกหัวรับทราบ ก้มลงเตรียมจะหยิบบุหรี่อีกสักมวนมาดับอารมณ์แปรปรวนของตัวเอง

   "วันนี้มากไปแล้วนะครับราชา"

   ไม่สนเสียงเตือนนั้น ขยับนิ้วให้เกิดประกายเปลวไปพลางสร้างปรากฏการณ์ทางเคมีขึ้นมารวดเร็ว ทิวากาลปล่อยให้กลิ่นของมิ้นท์แสนสะอิดสะเอียนลอยฟุ้ง เขาจะใช้ต่อเมื่อฟุ้งซ่านจนถึงขั้นแล้วจริงๆ ถึงจะใช้สิ่งนี้ช่วยระงับอารมณ์ ทิวากาลรอจนมั่นใจว่าตัวเองสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ได้ถึงหันไปทางเจ้าของบ้าน

   "ผมเคยคิดว่าเรื่องของแม่สองกับไวท์คงเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตแล้ว" ช่วงนัยน์ตาที่มองกลับมามีแต่ความว่างเปล่าจนไม่ต่างอะไรกับน้องสาว “ก็เพิ่งรู้ว่าที่ตัวเองยังเจอเรื่องที่แย่กว่านั้นได้อีก”

    “...”

    "คุณ ‘รู้’ ใช่ไหมพิชชา"

   ใบหน้าของพิชชาชาสนิทจนไม่รู้ว่าจะเปรียบกับสิ่งใด สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือความเงียบสงัด ทิวากาลสูดสารพิษเข้าไปข้างในร่างกายจนพอใจ ระหว่างที่รออยู่ด้านนอกเขาใช้เวลาไปกับการเรียกความคิดของตัวเองคืนมา รวบรวมทุกอย่างเอามาไว้จนเกิดเป็นข้อสรุปได้อย่างหนึ่งว่านี่คือสิ่งสุดท้ายแล้วที่เขาต้องรู้

   ทุกครั้งพิชชาเฉลยเอาไว้อยู่แล้ว มีแต่เขาที่มองข้ามมันไป ทั้งเรื่องของคุณน้าที่เป็นน้องชายของแม่ ถึงบอกว่ารู้ว่ารู้จักดีไง คนที่เรียกตัวเองอย่างนั้นต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมากพอสมควร แล้วยังไม่รวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่มันจะเป็นปริศนาไร้คนแก้มาโดยตลอด

   "มันไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดเอาไว้ครับ"
   
   หมายถึงไม่คิดว่าจะเจอกันในรูปแบบนี้ พิชชารู้อยู่แก่ใจว่าวันหนึ่งวันใดอีกคนต้องรู้เกี่ยวกับแม่ของตัวเอง แต่มันก็ควรเป็นในแบบที่ดีกว่านี้หน่อย ยอมรับเลยว่าที่เป็นการแนะนำที่แย่ที่สุด

   "คุณมีเรื่องอะไรที่อยากเล่าให้ผมฟังไหม?"

   "...ไม่ครับ"

   นี่คือสิ่งสุดท้ายที่อยากให้ทิวากาลรู้

   "ก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องมาเจอเรื่องตลกอย่างนี้"

   เสียงที่ออกมาไม่ขำขันเหมือนอย่างคำเล่า ควันลอยฟุ้งบนฟ้าเคลื่อนตัวเอื่อยตามแรงลม แบล็คยังไม่อยากหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนที่เขาเคยบอกว่าไม่เคยมีใครดึงดูดสายตาเท่า ก็ถ้าเห็นตอนนี้มันจะมีหน้าใครอีกคนลอยทับ ตามมาด้วยคำถามอีกจำนวนมากจนเกือบล้นส่วนความคิด

   นี่คือสิ่งที่เขาเคยปรารถนา...การได้รู้ว่าข้างหลังหมอกสีดำนั้นมีสิ่งใดซ่อนไว้อยู่

   และเมื่อหมอกสีดำสลายหายไปมันเหลือเพียงความว่างเปล่า

   "มันเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม" ตราชั่งนั้นต้องเท่ากันทั้งสองข้างเสมอ "ผมบอกแล้วครับว่าคนที่ต้องชดใช้คือผม"

   สิ่งที่คุณคิดกับความเป็นจริงนี่อาจเป็นหนังคนละม้วนก็ได้

   “แต่คุณไม่ได้ชดใช้ให้ผมไง”  ทิวากาลไม่อยากคิดอย่างนี้...แต่เรื่องทั้งหมดมันมีคำเฉลยเพียงแค่อย่างเดียว “คุณกำลังชดใช้ให้...ผู้หญิงคนนั้น”

   “ผมมี ‘หน้าที่’ ของตัวเองครับ”

   "ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าหน้าที่ของคุณจบแล้ว?"

   หรือมันอาจไม่เคยมีมาตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำ

   "ถ้าหมายถึงแค่ในส่วนนี้ ใช่ครับ"

   "งั้น...ผมไปได้แล้วสินะ"

   ยากเหลือเกินกว่าจะถามได้ครบประโยค ย้ำบอกให้เลิกคิดถึงเรื่องอื่นที่เป็นส่วนประกอบเสริม เวลานี้ทุกอย่างมันกระจ่างต่อสายตาหมดแล้ว พิชชาเป็นคนที่อยู่ตรงนั้น

   อยู่ตรงพื้นที่ที่ควรเป็นของเขาสองคน

   "ไม่มีใครห้ามคุณได้ครับราชา"

   ยังไกลเหมือนเดิม...

   ตั้งแต่เกิดมาคนเป็นแม่สำหรับพิชชาคือเธอ ไม่ใช่คนที่อุ้มท้องมา ยิ่งหลังจากที่หล่อนจากโลกไปโดยส่งภัสมาเป็นตัวแทนก็ยิ่งห่างไกลคำว่ามารดาเข้าไปเหลือเกิน

   “จากนี้ผมไม่ต้องทำตามคำสั่งของคุณอีก"

   ราชาชดใช้จนครบทุกหยดแล้วตามสัญญา

   "ใช่ครับ" ชายผมยาวฝืนพูดมันออกไปให้เต็มปากมากที่สุด แม้มันจะขัดต่อเสียงที่ตะโกนดังอยู่ในใจแค่ไหนก็ตาม ทางเลือกที่ผิดไม่มีทางพาไปถึงจุดหมายได้

   ทิวากาลขยับเข้ามาใกล้ เพียงแค่ให้พอเห็นว่าทั้งร่างกายนั้นเป็นอย่างไร คนตรงหน้านี้เขาไม่อาจยื่นมือออกไปสัมผัสได้อีกต่อไป

   "ลาก่อนนะพิชชา"

   คงไม่มีใครเหมือนชายผมยาวคนนี้ได้อีก

   "ขอบคุณสำหรับทุกอย่างครับ"

   คนที่เลือกไปแล้วไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก พิชชาจ้องตากลับไปเงียบๆ ไม่คิดจะพูดอะไรให้เยิ่นเย้อมากความ ในเมื่อตอนนี้เป็นตาเดินของอีกฝั่ง เขาก็ทำได้แค่รอจนกว่าสิทธิในการเล่นนั้นจะหมุนกลับมาหาเขาอีกครั้ง

   ส่วนคนที่เปิดปากขอจากไปกลับยืนนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน มองทุกสัดส่วนบนใบหน้านั้นซ้ำๆ จนกระทั่งมั่นใจว่าฝีมือของเด็กเรียนกฎหมายผู้สามารถจำประมวลได้เป็นเล่มจะสามารถจดจำทุกรายละเอียดได้อย่างไม่มีบกพร่อง ฝืนร่างของตัวเองไม่ให้โน้มตัวเข้าไปจุมพิตเรือนผมยาวแทนคำลา

   ต่างฝ่ายไม่มีใครปริปากออกมาก่อน ทิวากาลพาตัวเองมาจนถึงส่วนรั้วของบ้าน บอกตัวเองให้เลิกคิดว่ามีพื้นที่ไหนบ้างที่หล่อนได้เข้าไปเหยียบแล้วเขากำลังซ้ำรอย สำหรับคนที่ไม่เคยเจอตัวจริงมาก่อนมันทั้งดีใจแล้วก็หดหู่ใจ นั่นคือแม่ที่แบล็คเคยเห็นในหน้านิตยสาร และช่วงเวลาที่เจอกันนั้นเขาไม่อาจพูดคำต้องห้ามออกไปได้เลย

   ประตูห้องที่ปิดลงหลังจากคนสองคนเดินผ่านเข้าไปคือพื้นที่ที่ต้องได้รับอนุญาตก่อนก้าวผ่านเข้าไป ตลอดชีวิตมีสถานที่ต้องห้ามอยู่ไม่กี่แห่ง ที่แรกคือห้องทำงานของพ่อ ที่สองคือบ้านของแม่ ...และตอนนี้มันมีแห่งที่สามคือข้างหลังประตูบานใหญ่ ต่อให้อยากเข้าไปมากแค่ไหนก็ทำได้แค่มองจากตรงนั้น

   'แม่' สวยกว่าในรูปเยอะ ดูดุกว่าที่มีคนเคยเล่าว่าเจ้าระเบียบ แม้จะเห็นแค่แป๊บเดียวแถมไม่ได้ทักทายกันสักคำสีดำก็ยังจำช่วงใบหน้ารวมถึงการแต่งกายได้ทั้งหมด ผู้หญิงคนนี้คือคนที่อุ้มท้องเขาและครึ่งชีวิตมาเกือบเก้าเดือน คนที่เป็นเจ้าของคำว่ารักบนกระดาษ คนที่ให้ทุกส่วนในร่างกายเขามา

   ครึ่งหนึ่งของทิวากาลมาจากผู้หญิงคนนี้
   
   มีคำถามมากมายที่อยากถามออกไป ได้แต่ต้องการและไม่มีทางทำความปรารถนาให้สำเร็จ เราไม่ได้อยู่ในฐานะของแม่ลูกกัน เป็นแค่คนรู้จักพิชชาของเหมือนกันก็เท่านั้นเอง

   เดินออกไปทางออก นึกเสียดายอยู่หน่อยที่เพิ่งเอาต้นไม้ลงดินไป ต้นที่เขาตั้งใจว่าจะคอยดูแลจนกว่ามันจะทักทายด้วยการชูช่อสวยงาม ถ้าพิชชารู้ว่ามันจะเป็นอย่างนี้ก็น่าจะบอกหน่อย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาลงดิน สู้เอากลับไปปลูกในป่าหลังบ้านน่าจะดีกว่า

   ไร้เสียงฝีเท้าตามมา มันมีเพียงกลิ่นหอมจางปริศนาเท่านั้นที่บอกว่าพิชชายังเดินตามหลังมาอยู่

   "เออใช่ เมื่อกี้ผมนึกขึ้นมาได้คำถามหนึ่ง"

   หนึ่งคนอยู่ในรั้ว ส่วนอีกคนก้าวออกมาอยู่อีกฟาก อาณาเขตของสองคนถูกแยกออกจากกันชัดเจน

   "หัวใจคุณอยู่ที่ไหนเหรอพิชชา"

   "..."

   "หรือมันไม่เคยมีอยู่เลย"


***
   โดนลากไปต่างจังหวัดแบบไร้จังหวะการหลบหนี แล้วก็ได้อาการแพ้แมลงกลับมาเป็นของแถมค่ะ (หัวเราะ)
   #พิชแบล็ค

ออฟไลน์ arjinn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-1
Re: ♚ PITCH BLACK ♛ CH.15-2 [01.02.17] P.3
«ตอบ #89 เมื่อ01-02-2017 23:55:19 »


โอ๊ยยยย ไม่เอาแบบนี้

รักทั้งคู่นะ :(

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด