@@รักเกิดในอู่ซ่อมรถ (บารมี&พิพัฒน์) ตอน ความสุขเล็ก ๆ
เสียงกระดิ่งดังกรุ๋งกริ๋งมาแต่ไกลในเวลาบ่ายแก่ๆ อากาศร้อนอบอ้าวลมไม่พัด ใบไม้ไม่กระดิก
ร้อน ๆขนาดนี้ สิ่งที่ช่วยให้ทั้งเด็กในอู่และช่างที่กำลังซ่อมรถมีอารมณ์อยากทำงานต่อได้ คงหนีไม่พ้นไอติมหวาน ๆ เย็น ๆ สักแท่ง
พิพัฒน์เปิดประตูออกมาจากออฟฟิศและเดินออกไปหน้าลานกว้างที่เปิดเป็นพื้นที่สำหรับซ่อมรถ โบกไม้โบกมือให้รถไอติมจอดและตะโกนให้คนในอู่หยุดมือที่กำลังทำงาน
“มาเอาไอติมกันคนละแท่งครับ”
พิพัฒน์ตะโกนบอกและทั้งเด็กในอู่และช่างที่กำลังทำงานก็ค่อยๆ ผละจากงาน และเดินมายืนรอรถไอติมทันที
“เฮียบัสเลี้ยงคนละแท่ง”
แค่ได้ยินว่ามีคนเลี้ยง สมาชิกทั้งอู่ก็โห่ฮาและปรบมือกันใหญ่ แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆแต่ก็ทำให้อารมณ์หงุดหงิดจากอากาศร้อนผ่อนคลายลงได้
“ตั้งแต่พี่พัฒน์มาอยู่คุณภาพชีวิตดีขึ้นเยอะเลย ถ้ามีแต่เฮียคนเดียวอย่าหวังจะได้มากินไอติม ชิล ๆ มีความสุขแบบนี้เหอะ เฮียแม่งไม่ละเอียดอ่อน”
เต๋อยืนเกาะรั้วรอรถไอติมก่อนคนแรกและหันไปทำหน้ากวนประสาทใส่คนที่กำลังเดินตามมา
“ไม่ต้องแดกมั้ย เลี้ยงแล้วยังปากดีอีก”
บารมีเดินมาเกาะรั้วด้วยอีกคนและเต๋อก็เบ้หน้าใส่บารมี
“พาดพิงไม่ได้เลย เอาแม่งสองเลย แบบนี้แม่งต้องเบิ้ล”
ชะ ไอ้ห่าเต๋อ จะกินล้างกินผลาญเลยใช่มั้ยสรุป
“กูจะไปเก็บตังค์กับแม่มึง”
ถามสิว่ากลัวมั้ยเต๋อไม่ได้ตอบบารมีแต่ทำสิ่งที่เหนือกว่าการตอบ
“น้า ของผมสี่เลย”
เป็นไงล่ะ อึ้งสิ
เต๋อยักคิ้วให้บารมีที่อยากจะตบกบาลเต๋อเต็มแก่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าส่ายหัว ด้วยความอ่อนใจ
“แม่มึงรวย กูก็รวย กินซะให้พุงแตกเลยไอ้ห่า”
ประชดประชันไปพอสมควร แต่เต๋อไม่รู้สึกอะไร รับไอติมมาสี่แท่งและยิ้มเยาะบารมีอย่างสะใจ
“แดกแม่ง”
ไม่ใช่แค่พูดแต่ยัดไอติมสี่แท่งเข้าปาก และช่างวินัยก็ได้แต่ลอบมองปฏิกิริยาของเต๋อด้วยความขำ
เด็กเปรต
ทั้งกวนตีน ทั้งหาเรื่องให้โดนด่า แบบนี้มันน่า..........
เต๋อเดินถือไอติมสี่แทงจากไปแล้วและบารมีก็ขมวดคิ้วมุ่น และบ่นพึมพำอยู่คนเดียว
“แม่ง”
บ่นไปก็เท่านั้น ถึงบ่นก็ทำอะไรไม่ได้ และพิพัฒน์ที่กำลังยืนกินไอติมก็อมยิ้มเล็ก ๆที่มุมปากเมื่อนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
“ยิ้มอะไรพัฒน์”
พิพัฒน์รีบหุบยิ้ม และเดินหนีเข้าออฟฟิศไป ทิ้งให้ช่างวินัยและบารมีมองตาม
“เฮียบัส”
บารมีหันมามองหน้าของช่างวินัยที่กัดไอติมไปเรื่อยๆ และเริ่มพูดบางอย่าง
“ตั้งแต่พิพัฒน์มาอยู่ด้วยกันนี่ ดูเฮียมีความสุขขึ้นเยอะเลยนะ”
ดูมีความสุขงั้นเหรอ
การแสดงออกมันชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ
บางทีก็..........อาจจะใช่อย่างที่ช่างนัยพูดจริงๆ ตั้งแต่มีพิพัฒน์มาอยู่ด้วยบารมีรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมาก ๆ ในทุก ๆ วัน
“ก็จริง”
ยอมรับออกมาตรงๆ และบารมีก็ยิ้มออกมาบาง ๆ พยักหน้าให้กับช่างนัยที่พยักหน้าตาม และกำลังจะเดินเข้ามาในอู่เพื่อทำงานต่อ
“ว่าแต่ช่างนัยเถอะ”
ช่างวินัยหันมามองหน้าเจ้าของอู่ และบารมีก็เดินเข้ามาใกล้กับช่างวินัยและพูดอะไรบางอย่างพอให้ได้ยินกันสองคน
“คิดดีแล้วนะ”
คิดดีแล้ว?????????
จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ก็ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ว่าไม่รู้จักบารมี รู้จักกันมานานหลายปี รู้ไส้รู้พุงกันหมดเพราะที่จริงก็โตมาด้วยกัน
ช่างวินัยนิ่งชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบบารมีตรง ๆ แบบไม่ต้องใช้เวลาคิดนาน
“ผมคิดมาตลอดชีวิต”
คำตอบเรียบง่ายแต่จริงจัง และบารมีก็รับรู้ถึงความจริงจังในน้ำเสียงของช่างวินัย
“งั้นก็ฝากด้วยนะ”
บารมีแตะที่ไหล่ของช่างวินัยและผละไปที่ออฟฟิศ
ช่างวินัยถอนหายใจยาวๆ และกลับมาทำงาน เหลือบสายตามองไอ้เด็กเวรที่ทำให้ช่างวินัยต้องคิดมาตลอดชีวิต และมันกำลังเมามันส์กับไอติมสี่แท่งที่มันกินประชดเจ้าของอู่
“.................”
ปกติไม่ค่อยจะเข้าใกล้หรือพูดคุยกันเวลาอยู่ที่อู่ แต่วันนี้ช่างวินัยอยากจะขอทำอะไรสักนิด
เดินไปยืนอยู่ตรงหน้าเต๋อ และแตะมือเบา ๆที่หัวของเด็กที่นั่งกินไอติม
เต๋อเงยหน้าขึ้นมองและรีบปัดมือช่างวินัยออกทันที
“ทำอะไรวะ หัวคนนะไม่ใช่หัวหมา ทำขนาดนี้ไม่ลูบหัวแล้วโยนอาหารให้เลยล่ะ”
อะไรที่ทำให้พี่ต้องคิดอะไรกับเต๋อเกินเลยมาตลอดวะ ไม่รู้จริง ๆ นะไม่รู้เลยว่าทำไมถึงไม่เคยมองเป็นอย่างอื่น ตั้งแต่เล็กจนโต ที่จริงสายตาของช่างวินัยยังเหมือนเดิม ยังเห็นเต๋อเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆที่วิ่งวนไปวนมาอยู่รอบ ๆ ตัวเหมือนเดิม
“ปากเลอะหมดแล้วมึงกินยังไงให้เปื้อนขนาดนี้”
ช่างวินัยส่งยิ้มจางๆ ให้กับเต๋อ และแตะปลายนิ้วเบา ๆที่ริมฝีปากของเต๋อ
“ช่างนัย”
เต๋อรีบหันซ้ายหันขวาเลิ่กลั่ก เพราะตกใจกับสิ่งที่ช่างวินัยทำ
อย่ามาเปิดเผยให้คนอื่นเห็นตอนนี้นะโว้ย กูยังไม่พร้อม
เต๋อขมวดคิ้วมุ่น และทำท่าจะลุกขึ้นเดินหนีแต่ช่างวินัยเรียกเอาไว้และเต๋อก็ยิ่งมองซ้ายมองขวา ด้วยความหวาดระแวง
“พี่นัย”
เต๋อปรามช่างวินัยเสียงดุ และช่างวินัย ก็ตอบกลับเสียงดุไม่แพ้กัน
“โคตรอยากให้ความแตกแล้วเรื่องรู้ไปถึงหูแม่มึงไวๆ จริง ๆ เลยว่ะ”
ช่างวินัยแม่ง..........แล้วมันใช่เวลาที่ไหนกันล่ะโว้ยยย
“บ้า”
เต๋อสบถออกมาเสียงเบาและหน้างอหงิก รีบเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว และช่างวินัยก็ถอนหายใจออกมายาว ๆ ก่อนจะเดินไปจัดการงานตัวเองที่ค้างอยู่ให้เสร็จเรียบร้อย
บารมีปล่อยมือจากมู่ลี่ที่ใช้บังแสงและถอนหายใจ พิพัฒน์นั่งท้าวคางและกัดไอติมไปเรื่อย ๆ ก่อนจะยื่นส่งให้บารมีที่เดินมานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“อะไรมึงพัฒน์”
พิพัฒน์ไม่พูด แต่ยังยืนยันจะป้อนไอติมบารมีให้ได้และบารมีก็ส่ายหน้าแต่พิพัฒน์ก็ยังยืนยันจะทำแบบเดิม
กัดไปแค่หนึ่งคำและพิพัฒน์ก็ดึงไอติมกลับมากินต่อ
กินไปเรื่อย ๆและเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ว่าจะบอกก็ลืม”
ลืมอะไร มีอะไรให้ลืม ลืมเรื่องอะไรวะพัฒน์
พิพัฒน์ชี้ไปที่ซอกคอของบารมีและบารมีก็แตะปลายนิ้วไปที่ซอกคอของตัวเอง
“อะไร”
เอ่ยถามและพิพัฒน์ก็เลิกคิ้วขึ้นสูงและตอบออกมาหน้าตาเฉย
“เมื่อคืนดูท่าว่าผมจะดูดแรงไป”
ดูด
แรง
ไป
คอก็เลยมีรอย รอยที่ไม่น่าจะมี และบารมีเริ่มเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าทำไมช่างวินัยทักแปลกๆ
“ตั้งแต่พิพัฒน์มาอยู่ด้วยกันนี่ ดูเฮียมีความสุขขึ้นเยอะเลยนะ”
ไม่ใช่แค่พูดแต่ช่างนัยคงสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ถึงได้ลองเชิงด้วยการพูดแบบนั้น และบารมีก็ยอมรับซะด้วย ว่ามีความสุขจริง ๆ
ดังนั้นแล้ว เมื่อคิดโดยสรุป...............คำตอบที่ได้ก็คือ ช่างวินัยรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบารมีกับพิพัฒน์แล้ว ที่สำคัญรู้ไปถึงขนาดที่ว่า บารมีกับพิพัฒน์ไปถึงขั้นไหนกันแล้ว
ไอ้..........นัย.............
บารมีเองก็ซึ้งใจในความร้ายกาจของช่างวินัยไม่น้อย
แบบนี้สิ มันค่อยสมน้ำสมเนื้อกับไอ้เต๋อหน่อย
เจองานละเอียดแล้วไงมึงไอ้เต๋อ.........แดกไอติมกูฟรีสี่แท่ง เก็บตังค์จากแม่มึงก็ไม่ได้ งั้นกูจะให้ช่างนัยนี่แหละ ไปจัดการทบต้นทบดอก คิดค่าเสียหายเอาจากมึงให้หมดเลยไอ้เต๋อ
แม่ง..........ไอ้ห่าเต๋อ........ไอ้หลานเวร
แล้วนี่ก็อีกคน ปั่นซะกูไปไม่เป็นเลย แล้วก็มานั่งกินไอติมหน้าตาเฉย พิพัฒน์นี่แม่งก็เหลือเกิน
บารมีนึกอยากจะต่อว่าคนที่นั่งกินไอติมเฉยๆ ไม่มีทีท่ารู้ร้อนรู้หนาวอะไรทั้งนั้น คิดแล้วก็หงุดหงิดอยู่ในใจ และพิพัฒน์ก็นั่งจ้องหน้าของบารมีและยื่นหน้าเข้าไปใกล้กับหน้าของบารมี โดยไม่ทันตั้งตัวพิพัฒน์ขบริมฝีปาก เข้ากับริมฝีปากล่างของบารมีเบาๆ
“เฮ้ย.......ไอ้........พัฒน์”
บารมียกหลังมือขึ้นขัดถูที่ริมฝีปากของตัวเองและพิพัฒน์ก็ยิ้มใส่ตาของบารมี
“ให้ดูดคืนก็ได้ไม่อยากเอาเปรียบ”
อะไรของมึง
อะไรของมึงวะพัฒน์อะไรของมึงงงงงงงงงงง
บารมีไม่มีปัญญาทำอะไรได้ นอกจากนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นและทนไม่ไหวจนต้อง เอาคืนพิพัฒน์บ้างด้วยการยื่นหน้าเข้าไปหาพิพัฒน์ และจูบกันอยู่อย่างนั้นเป็นนานจนอารมณ์ชักจะเตลิดไปไกลและบารมีก็ต้องผละใบหน้าออกห่างก่อนที่อะไรจะเกินเลยไปมากกว่านี้
“ไว้กลับบ้านก่อนนะพัฒน์”
พิพัฒน์มองหน้าบารมีด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ตอบสนองสิ่งที่บารมีต้องการแบบง่าย ๆ
“ไม่ต้องกลับหรอก เดี๋ยวใช้ปากทำให้.....เดี๋ยวรอให้คนอื่น ๆ กลับไปก่อนก็ได้......ผมอยากทำ”
TBC.