บทที่ 27
ผูกพัน [2]ฟ้ากำลังจะสาง...
หากคนกำลังถูกละอองความหวานครอบงำไม่สะทกสะท้านใดๆ นายช่างใหญ่แห่งชาญทะเลนอนไม่หลับ ไม่สิ! เขาอยากจะหลับ แต่กลัวเหลือเกินว่า เมื่อลืมตาจะพบว่าทุกอย่างเป็นเพียงภาพฝัน เพราะอย่างนั้นจึงจงใจละเลยซึ่งการนอน ปล่อยให้คนหมดแรงคาอกเขาเข้าสู่การพักผ่อนเพียงลำพัง
สองตาของนายช่างใหญ่จับจ้องคนเคียงข้าง...ทะเลนอนหันหลังให้เขา ขดตัวเข้าหากันเหมือนลูกหมาเจออากาศหนาว
มือใหญ่ดึงผ้าห่มผืนเดียวที่มีคลุมตัวมันไว้ ปกปิดร่องรอยศึกหนักเมื่อคืน ถึงกระนั้นหัวไหล่ที่โผล่พ้นขอบผ้าก็ยังมีรอยแดงโชว์หรา บ่งบอกถึงน้ำมือคนทำว่าสะกดคำว่าทะนุถนอมไม่ค่อยจะเป็น ท่อนแขนแข็งแรงเกี่ยวกระหวัดรอบเอวบาง ดึงร่างที่ยังหลับสนิทเข้าหา จับหัวกลมๆ ที่นอนราบกับฟูกนอน หนุนแขนเขาต่างหมอน โอบกระชับทั้งร่างเอาไว้ อิงแอบแนบกันไป ถ่ายทอดอุณหภูมิร่างกายให้แก่กัน
ริมฝีปากหยักกดสัมผัสลงกับไหล่ขาว คลอเคลียซอนซบ ก่อนจะจบลงที่ความหลงใหล
เขารอวันนี้มานาน...
นานเหลือเกินกับการได้ครอบครองคนคนหนึ่งทั้งตัวและใจ
แม้รู้ว่าไม่ใช่เวลาเหมาะสม ไม่ควรฉวยโอกาสในตอนที่อีกฝ่ายเสียขวัญและอ่อนไหว แต่เมื่อได้กอด ได้รัก...หัวใจมันเต็มอิ่มทุกพื้นที่ มีความสุขเสียจนเรื่องราวเจ็บปวดทั้งหลายกลายเป็นสะพานสายรุ้งทอดยาว หากตอนนี้เขาลุกขึ้นยืนตัวตรง สองเท้าของไอ้ตังเกคนนี้จะลอยจากพื้นได้หรือเปล่าหนอ
คนตัวใหญ่ไล่มองเสี้ยวหน้าคนในอ้อมแขน เนื้อตัวอุ่นๆ พาลให้นึกถึงความร้อนรุ่ม ช่องทางคับแน่นร้อนระอุ บีบรัดเสียจนแทบปลดปล่อยตัวตนเพียงแค่ได้ล่วงล้ำเข้าไป คนผ่านประสบการณ์โชกโชนมาไม่รู้เท่าไหร่ แค่นี้ก็คาดเดาได้ ไอ้เด็กช่างยั่วคนนี้เป็นของเขา...ของเขาเพียงคนเดียวนับตั้งแต่เราเจอกัน
ทะเลสลบคาอกเขา หลังถูกกระทำไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไหร่ มองสีหน้าเหนื่อยอ่อน คิดถึงเสียงร้องคอแหบคอแห้งเมื่อคืน ความละอายใจจึงตีตื้นขึ้นมา
มือขวาของนายหัวชาญถอนหายใจยาวนาน เขารู้ตัวดีว่าทุกการกระทำที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งคือความเก็บกด เพราะรักของเขาผ่านการรอคอยมาเนิ่นนาน ยามเมื่อได้แตะต้อง เขาจึงเหมือนปีศาจร้าย จากความตั้งใจจะทะนุถนอมสุดกำลัง กลายเป็นความบ้าระห่ำ ตะกรุมตะกรามกลืนกินเหมือนคนอดอยากปากแห้ง หิวโหยกับการสัมผัสเนื้อตัวของมัน
ปลายนิ้วแตะต้องแก้มใส มองมือตัวเองสลับกับผิวของคนนอนหลับ นึกขำความต่างของเฉดสีที่ห่างไกลกัน คนกรุงเทพฯ ตอนรู้ตื่นลืมตา มันน่ารักน่าใคร่สักแค่ไหน ตอนหลับใหลยิ่งชวนใจละลายยิ่งกว่านั้น เปลือกตาสีมุกหลับพริ้ม แพขนตายาวทาบทับ ขับให้ดูอ่อนวัยกว่าความเป็นจริง
หากไม่เคยรู้มาก่อนว่าอายุจริงของมันผ่านวัยบรรลุนิติภาวะมาหลายปี เหตุการณ์ครั้งนี้...ดูยังไงก็คล้ายพรากผู้เยาว์
ก็ใครใช้ให้เขาไปหลงรัก ‘เด็ก’ กันเล่า
เป็นเด็กที่พ่อเขาหวงมากเสียด้วย!
“อือ...” เสียงครางแผ่วดังมา เหมือนคนเหนื่อยอ่อนกำลังจะตื่นนอน
หัวกลมๆ ค่อยขยับ คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากัน ปากบางแดงช้ำขมุบขมิบราวกับจะพูดอะไรสักอย่าง คนตื่นอยู่แล้วตะแคงข้างมอง จับจ้องกิริยาต่างๆ อย่างเอ็นดู
นายหัวคนใหม่แห่งชาญทะเลค่อยๆ ปรือตา แสงแดดเล็ดลอดส่องเข้ามาในบ้าน พอๆ กับไอร้อนที่เพิ่มขึ้นทุกขณะ แม้จะยังเหนื่อยล้า ทว่าก็บังคับเปลือกตาให้ปิดสนิทไม่ได้อีกแล้ว ระบบอัตโนมัติในร่างกายมันจดจำ สั่งให้ต้องตื่นเช้าในทุกวัน อย่างไรก็ต้องลืมตา
ใบหน้าคุ้นเคยปรากฏเลือนราง คนสติยังไม่คงที่จึงเอ่ยสรรพนามที่เป็นห่วงมากกว่าใคร
“หือ...พ่อ...”
“เป็นผัวไปแล้ว เป็นพ่อให้ไม่ได้”
“นายช่าง!”
ประโยคเดียวเท่านั้น...คนฟังตื่นเต็มตา
ทยากรชะงัก สำนึกแล้วว่าคนที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นใคร มองใบหน้าของนายช่างใหญ่ ไล่เรื่อยลงยันลำคอและลำตัวช่วงบน รอยขีดข่วนจิกทึ้งตอกย้ำสถานะระหว่างกัน ทุกภาพทุกเหตุการณ์ไหลผ่านสมอง จำทุกอย่างได้กระจ่างแจ้ง แม้กระทั่งเสียงทุ้มเต็มอารมณ์ยามเมื่อได้ครอบครองกัน คนเพิ่งตื่นเม้มปาก ผิวขาวๆ ค่อยแดงระเรื่อตามสภาพจิตใจเจ้าของมัน
“ตื่นได้เสียที” เสียงทุ้มเอ่ยหยอกเย้า จูบเบาๆ เข้าที่หัวไหล่ มองอาการเหวอหมดสภาพของคุณชายเมืองกรุงแล้วนึกขำ
ทะเลตัวรุมๆ คล้ายจะมีไข้ ริมฝีปากเขาสัมผัสอุณหภูมิในตัวมันได้อย่างนั้น จมูกโด่งเป็นสันขยับเข้าคลอเคลียหลังคอ มือข้างหนึ่งแทรกผ่านกลุ่มผมนุ่ม ลูบไล้ขับกล่อม พยายามตะล่อมให้นอนต่ออีกหน่อย หากคนขยันเสียอย่าง เมื่อตื่นแล้วให้จะข่มตาก็ไม่ยอมโดยง่าย
ทยากรทำการเปลี่ยน ‘ผัว’ โดยพฤตินัยให้กลายเป็นนาฬิกา ด้วยการร้องถามว่า
“กี่โมงแล้วครับ”
“เจ็ดโมงเช้า”
“สายแล้ว!” คนหน้าตาตื่นลืมตัว ลุกพรวดขึ้นทั้งกาย ร้อนถึงเจ้าของท่อนแขนแกร่งต้องรีบตวัดรัดร่างมันไว้ ถึงกระนั้นก็ช้าไปเสียแล้ว
“อย่าเพิ่งลุก...” ทะเลกัดปาก ดวงตารื้นน้ำจวนเจียนจะหยด “นอนนิ่งๆ”
ตัวต้นเหตุทำได้แค่ประคองเด็กน้อยของเขานอนลงดังเดิม ร่างขาวๆ ยอมอยู่นิ่งเป็นหุ่นให้จับเอนตัวลง อาการนั้นบอกให้คนตัวใหญ่รู้แก่ใจว่า คนเจ็บ...เจ็บสักแค่ไหน
“เจ็บมากหรือ”
คนถูกถามช้อนตามอง เจ็บร้าวไปทั้งกาย ช่วงล่างปวดหนึบ ขยับเพียงนิดก็รู้สึกเหมือนจะแตกร้าว หากมือใหญ่ที่เอื้อมมาลูบแก้มแผ่วเบา การกระทำอ่อนโยนจนไม่อยากโยนความกังวลไปใส่เขาอีกเลย
“เดี๋ยว...ก็หาย” ทยากรกัดฟันตอบไปอย่างนั้น หากเหงื่อที่ผุดขึ้นบนใบหน้าทำให้อีกฝ่ายรู้ว่า คำพูดนั้นหาความจริงไม่ได้
“วันนี้ไม่ต้องไปทำงานก็แล้วกัน” คนโตกว่าตัดสินใจแทนให้ หากอีกฝ่ายส่ายหน้าไม่ยอมรับ
“ไม่ได้ วันนี้จะมีคนมาตรวจท่าเรือ...งานสำคัญ”
สภาพอย่างนี้อย่าว่าแต่ละไปถึงท่าเรือเลย เอาแค่คลานไปจากที่นอนได้ก็เก่งเกินคนแล้ว
“เดี๋ยวไปดูแทนให้”
“แต่...นายช่างก็งานเยอะอยู่แล้ว”
“เยอะแค่ไหนก็ทำไหว ได้ยาบำรุงมาแล้ว”
คนพูดหูตาแพรวพราวเสียจน ‘ยาบำรุง’ ต้องหันหน้าหนี ทยากรพยายามขยับตัวลุกนั่ง พยายามครั้งที่สองทำเอาเจ็บร้าวหนักกว่าเดิม
“จะลุกไปไหนอีก”
“ทำงาน”
ดื้อเหลือเกิน...
กระนั้นก็ยังเป็นความดื้อรั้นที่น่าเอ็นดู
“อย่าฝืน...” เสียงทุ้มเอ็ดตะโรอย่างไม่จริงจัง “ไม่ไหวก็บอกว่าไม่ไหว”
“ไม่ไหว! เพราะใครกันล่ะ”
พอถูกอนุญาตให้เอาแต่ใจ ไอ้ที่ตั้งมั่นจะเป็นคนดี ไม่มีปากมีเสียงก็เป็นอันจบกัน คนเจ็บเหลือบตามองเจ้าของท่อนแขนที่เลื้อยพันอยู่บนตัวเขา อยู่ๆ ก็อยากทุบให้คนทำเจ็บสักครึ่งเหมือนที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้ คนบ้าอะไรเรี่ยวแรงเหมือนช้างสาร ทำตัวเหมือนเครื่องจักร ตะบี้ตะบัน ‘รัก’ จนเขาจะขาดใจ ถึงขนาดนี้จะไม่ให้เจ็บอย่างไรไหว
‘ดี...’
‘อีกนิดเด็กดี รัดแน่นอีกนิด...’
‘อา...เล’
แค่หวนคิดถึงฉากพวกนี้ คนอาการไม่ดีก็ร้อนฉ่าไปทั้งหน้า
ยิ่งตื่นมาเห็นตัวเองเปลือยเปล่า ยิ่งตอกย้ำถึงความเร่าร้อนระหว่างกัน ร่างกายนี้ถูกกอดก่ายกลืนกินไปรอบแล้วรอบเล่า หนุ่มเมืองกรุงจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าสติมอดดับไปตอนไหน ในความเลือนราง ร่างของเขาสั่นสะเทือนเกินกว่าจะนับครั้งได้
ทยากรรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเคยมีครอบครัว เคยแต่งงาน มิหนำซ้ำประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขาก็ถูกวงเม้าตีแผ่เสียขนาดนั้น ก็ทำใจไว้อยู่แล้วว่าอดีตนักรักมืออาชีพ ยามเข้าโหมดอย่างว่าก็คงไม่ธรรมดา หากเมื่อถึงเวลาเผชิญหน้าเข้าจริงๆ ใจที่เคยเสริมใยเหล็กไว้ ราวกับขาดสะบั้นลงในคราวเดียวที่เขารุกเข้าใส่
‘รัก’ ของนายช่างเร่าร้อนดุดัน ขณะเดียวกันก็อ่อนโยนจนหลอมละลาย
ชายหนุ่มถอนหายใจ ในที่สุดก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน...
คิดมาถึงตรงนี้ อยู่ๆ ความรู้สึกจุกแน่นก็ตีรวนขึ้นในอก เมื่อคืนนี้...ทยากรรู้ดีว่าเหตุผลกลใดชักนำให้เขาเอาตัวเองมาให้ถูกกอด ไม่ใช่ความรักเพียงอย่างเดียวเหมือนที่อีกฝ่ายมอบให้ ในความยินยอมของเขามันเจือปนด้วยความไม่บริสุทธิ์ใจ
เขาใช้ตัวเองทั้ง ‘ผูก’ และ ‘พัน’
เพียงเพื่อเหนี่ยวรั้งคนคนนี้ไว้ ยอมแม้กระทั่งเปลี่ยนตัวเองเป็นเชือกผูกมัด ใช้เซ็กส์และกำหนัดเป็นเหยื่อล่อ หวังผลเพียงไม่ให้นายช่างจากไปไหน หากอีกฝ่ายจะมองว่าเขามันใจง่าย อยู่ดีๆ เอาตัวใส่พานมาถวายถึงที่ ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาเลย
“เป็นอะไรไป” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหู “คิดอะไร หือ...”
เห็นมันเงียบไป คนตัวใหญ่ก็ชักใจไม่ดี ทั้งที่เมื่อกี้ยังร้องโวย โมโหใส่คนที่ทำให้มันเจ็บได้อยู่หยกๆ ไม่คิดว่าเวลาไม่กี่วินาทีจะทำให้คนเจ็บนิ่งเงียบและซึมลง อย่างนี้จะไม่ให้ห่วงได้อย่างไร
ทยากรหันไปมองคนที่นอนซ้อนเบื้องหลัง ย่นคอหนีริมฝีปากร้อนที่คอยแต่จะแนบลงผิวเนื้อ คำประกาศก้องของคนตัวใหญ่ยังฉายซ้ำอยู่ในหัว ยามเมื่อช่วงล่างบดเบียด ลากฝ่ามือลูบไล้ทั่วร่าง เสียงครางต่ำในลำคอกระซิบข้างหู ตอกย้ำสถานะแนบแน่นระหว่างกัน
‘มึงเป็นของกู’
‘ของกูคนเดียว...’
ใช่...เขาเป็นของนายช่าง ทว่าหากอีกฝ่ายรู้ว่าเจตนาของเขาเป็นอย่างนี้ จะยังอยากเป็นของกันและกันอยู่ไหม
“เล...”
“เปล่าครับ” เขาปฏิเสธ “แค่เจ็บ...ไม่ได้เป็นอะไร”
คนขี้ขลาดส่ายหัว อย่างน้อยขอให้ยังไม่ใช่ตอนนี้ ตอนเช้าของวันที่เพิ่งมีอะไรกันไปหมาดๆ เขาไม่อยากทะเลาะทุ่มเถียง ไม่อยากให้เราผิดใจกัน หากนายช่างรู้เข้าแล้วจะโกรธก็ขอให้เป็นวันอื่นก็แล้วกัน วันนี้ทยากรเจ็บไปทั้งเนื้อทั้งตัว เขากลัวจะไม่มีแรงไปง้อใคร
“งั้นเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม เมื่อคืนทำไมถึงทำอย่างนั้น”
คำถามของนายช่างทำเอาทยากรใจสั่นระรัว คนน่วมไปทั้งตัวลืมเจ็บ ขยับกายหันกลับไปมองหน้า
“ทะ...ทำอะไรล่ะ”
“ไม่รู้ตัวหรือว่าทำอะไร” คนถามขยับยิ้ม เอ็นดูหน้าตาตื่นตกใจของไอ้ลูกหมาตัวซน ว่าแล้วก็อดไม่ได้ เอานิ้วจิ้มหน้าผากไปเสียหนึ่งที “อยู่ดีๆ ก็มายั่ว หาเรื่องให้โดนจับกิน”
นี่ก็พูดตรงเสียจนคนฟังหน้าจะไหม้
“ไม่คิดว่าผมจะอยาก...อยาก...” อยากอะไรดีวะ “อยากมีเซ็กส์จนทนไม่ไหวเลยวิ่งมาหาถึงนี่”
พูดเองก็อายเอง อยากตบปากตัวเองอยู่เหมือนกัน
คนพูดหน้าแดงก่ำ ขณะที่คนฟัง ฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะ
“ถ้ามึงเป็นคนอย่างนั้นคงเสร็จโจรไปตั้งนานแล้ว”
‘โจร’ ที่ว่าตาพราวระงับ ยันตัวเองขึ้นนอนตะแคงมองมา ทะเลไม่ใช่เด็กรักสนุก เอาตัวเองเกลือกกลั้วไปทั่วให้ไร้ค่า มันวางตัวเหมาะสมกับที่เกิดในตระกูลดีๆ ได้รับการอบรมเลี้ยงดูมา ตัวเขาเองนั่นแหละที่รู้ดีกว่าใคร อันที่จริงแล้วมันออกจะไว้ตัวกับคนแปลกหน้าเสียด้วยซ้ำ
“บอกมาเสียดีๆ เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น” คนโตกว่าจับหน้ามันแหงนเงย บังคับให้สบตา แค่เห็นความสั่นไหวเหมือนปิดบังอะไรเอาไว้ของคนตรงหน้า นายช่างใหญ่ก็รู้แล้วว่ามันต้องมีเรื่องมีราวเกิดขึ้น
“ถ้าผมเล่า นายช่างอย่าโกรธนะ” ไอ้คนชอบดื้อต่อรองเสียงอ่อนลง ทั้งกังวลและไม่แน่ใจ
“กูไม่เคยโกรธมึงได้อยู่แล้ว ไม่เห็นต้องกลัวเลย”
ฟังคำพูดหลอกล่อนั้น เด็กน้อยของเขาก็ถอนหายใจ
นายช่างใหญ่แห่งชาญทะเลนอนฟังเรื่องกลุ้มใจของเด็กบางคน สีหน้าเขานิ่งสนิทราวกับฟังนิทานก่อนนอน เรื่องของชายชรา คนเก่าคนแก่ของชาญทะเลค่อยๆ ถูกเล่าออกมาเรื่อยๆ ทะเลเล่าไปก็ถอนหายใจไป เหมือนมันกลุ้มใจหนักหนา ปากบางขยับพูดนั่นพูดนี่ ตบท้ายด้วยวลีน่าสงสาร
“พ่อก็ไม่อยู่ ลุงอินก็มาลาออก คนงานคนอื่นก็พูดกันว่าจะไปหางานใหม่...นายช่างห้ามลาไปไหนอีกคนนะ”
โธ่เอ๊ย!
เด็กเอ๋ยเด็ก...
คนถูกห้ามลาออกลาตายมันเขี้ยวจนนึกอยากเอื้อมมือไปเขกกะโหลกมันนัก นี่คงขวัญกระเจิงกับเหตุการณ์นั้นจนทำให้สติสตังหล่นหาย กล้าคิดได้อย่างไรว่าเขาจะทิ้งมันไปได้ ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้ เขาก็จะขอเป็นคนสุดท้ายที่ยืนอยู่กับมัน
“จะไปไหนได้ มึงนั่นแหละ...ถ้ากล้าไล่กู จะได้เห็นดีกัน”
ลูกชายเจ้าของท่าเรือใหญ่ยิ้มรับ เขาเหมือนยกภูเขาออกจากอกเมื่ออีกฝ่ายไม่โกรธ มิหนำซ้ำปฏิกิริยาจากนายช่างยังเป็นการหยอกเย้า อารมณ์ดีเหลือเกิน น่าแปลกที่คนอดหลับอดนอนแถมผลาญเรี่ยวแรงไปค่อนคืนจะคึกครื้นได้ขนาดนี้
ชายหนุ่มสบตาคนตรงหน้า บรรยากาศทำท่าจะสดใส แต่แล้วก็มีบางอย่างเข้ามาทำให้เอะใจ
“ว่าแต่เรื่องลุงอิน ทำไมนายช่างดูไม่ตกใจเลยล่ะครับ”
เด็กมันถามเพราะสงสัย หากคนตัวใหญ่หลุดหัวเราะ
“ไม่มีใครเขาตกใจกับข่าวเก่านักหรอก”
“หมายความว่ายังไง” ทยากรงงหนัก คิ้วได้รูปขมวดมุ่น อีกนิดก็ผูกเป็นโบว์ได้
“ลุงอินแกอายุมากแล้ว ทำงานมาทั้งชีวิตก็ต้องอยากพักเป็นธรรมดา ที่จริงแกพูดเรื่องลาออกมาหลายปีแล้วด้วยซ้ำ แต่ที่ยังอยู่กันนี่ก็เพราะยังติดใจอาลัยอาวรณ์เพื่อนกินเหล้ากินยาด้วยกัน นายหัวเองก็รับรู้เรื่องนี้มานานแล้ว”
“พ่อก็รู้เหรอ!”
“ใช่ ไอ้หินกับไอ้ชาติก็เหมือนกัน”
“...”
ทำไม...
ทำไมเป็นอย่างงั้น!
ทยากรอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้างด้วยรู้ไม่เท่าทัน ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าเหตุการณ์จะกลับตาลปัตรขนาดนั้น แล้วไอ้ที่เขาเป็นทุกข์อยู่นาน คิดกังวลกลัดกลุ้มไปสารพัด สรุปแล้วนั่นคือการเครียดฟรี ร้ายที่สุดคือเสียตัวฟรีเลยด้วยซ้ำ...หนุ่มเมืองกรุงคิดแล้วก็อยากจะบ้าตาย
“คิดอยู่ล่ะสิว่าไม่น่ามาหากูเมื่อคืน”
“นายช่างรู้...”
“เด็กอ่อนหัด อย่าคิดว่าผู้ใหญ่เขาโง่นักสิ”
‘ผู้ใหญ่’ ขยับตัวกึ่งนอนกึ่งนั่ง เอื้อมมือมาขยี้ผมเขาราวกับเป็นเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง นายหัวคนใหม่กะพริบตาปริบๆ จ้องมองคนตรงหน้าอย่างลึกซึ้งแล้วจึงพิจารณา
ก็นั่นสินะ..
นายช่างไม่ใช่คนโง่ เขาเป็นคนเก่ง ประสบการณ์โชกโชน อาบน้ำร้อนน้ำเย็นมาก่อนเป็นสิบปี การกระทำผิดวิสัยของเขาเมื่อคืนนี้คงมองออกตั้งแต่แรกแล้ว
“นายช่างรู้แล้วทำไมยังทำ”
ทะเลเสียงอ่อย ดูก็รู้ว่าเด็กดีอย่างมัน ก่อนจะตัดสินใจมาหาเขา มันคงกลุ้มจะแย่แล้ว ทว่าเมื่อมันตั้งใจวางกับดัก คนที่รักมันหัวทิ่มหัวตำก็ทำได้แค่กระโจนลงบ่วงบาศนั้นอย่างเต็มใจ หากมันเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อ เขาก็จะลงไปสวมกอดเจ้าเหยื่อตัวนั้นไว้ หรือหากจะล่ามโซ่คุมขัง...ยอมได้ทั้งนั้น ยืดอกยอมรับอย่างเต็มใจ
“กูก็คนธรรมดา ไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่ไหน มีอะไรมาล่อตาล่อใจจะทนได้สักกี่น้ำ”
ก็ตัวล่อก็น่าฟัดเสียขนาดนี้...เมื่อคืนถึงได้เกิดศึกหนัก
กว่าจะสงบลงได้ เสียหายไปไม่รู้กี่น้ำ
ทยากรมองหน้านายช่างด้วยอารมณ์หลากหลาย อยากจะขว้างค้อนวงโตๆ เข้าใส่ ข้อหาปล่อยให้เขาคิดว่าตัวเองฉลาดอยู่เสียนาน ทว่าเมื่อบวกลบคูณหาร ผลลัพธ์ออกมาก็ยังกลายเป็นว่าเขาผิดเสียมากกว่า ผิดที่เอาความรักมาปนกับเรื่องอื่น ผิดที่หวั่นไหว ไม่เชื่อใจเพียงเพราะเสียขวัญกับคนอื่นแล้วมาลงที่นายช่าง ถึงอีกฝ่ายจะแสดงออกเต็มที่ว่าไม่โกรธเคืองกัน แต่คนผิดไปแล้วก็ยังแอบเสียใจอยู่ดี
“นี่แหละผลของการมีอะไรไม่มาปรึกษา คิดเองเออเองคนเดียว แล้วความคิดนั้นก็ทำให้ตัวมึงเป็นอย่างนี้” คนพูดชี้ไปรอยแดงเต็มลาดไหล่ ไล้ข้อนิ้วตามรอยฟันและรอยช้ำ “จำไว้ ต่อจากนี้มีเรื่องอะไร ขอแค่มึงหันหน้ามาหา...กูอยากเป็นคนที่มึงคิดจะพึ่งพา อยากเป็นคนแรกที่มึงนึกถึงเวลาเดือดร้อน”
ทยากรยิ้มทั้งน้ำตา
ณ เวลานี้ ชายหนุ่มเพิ่งเข้าใจว่า แท้จริงแล้วเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า ‘ที่พึ่ง’ ในยามอ่อนแอ...
----------
tbc.
ก็พระเอกเรื่องนี้ไม่ใช่พระอิฐพระปูนอ่ะเนอะ ฮี่ฮี่