ความผิดปกติส่อเค้าตั้งแต่นั่งรถกลับมาด้วยกัน...
พวกเขากับแม่ไปรถคนละคัน ขากลับจึงแยกกัน สังเกตจากรถยนต์คันโปรดที่แม่ชอบใช้จอดเก็บไว้ในโรงรถ แสดงว่าคุณรตีคงกลับถึงบ้านได้สักพักแล้ว เมื่อรถคันของเขาจอดเทียบหน้าประตู คนนั่งเงียบมาตลอดทางลงจากรถโดยไม่หันมามองเขา คนตัวขาวหัวหมุนคว้าง มองอาการของอีกฝ่ายแล้วถอนหายใจ
ทยากรรู้ตั้งแต่ในงานว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับนายช่าง คนตัวใหญ่เหมือนสถาปนาตัวเองรูปปั้น กลายเป็นประติมากรรมชิ้นหนึ่งก็ไม่ปาน
เขานิ่งเงียบ...เงียบมากๆ...
ไม่มีคำพูดจาหรือบทสนทนาใดออกมาจากปากเขาสักคำ บรรยากาศในบ้านเงียบสนิท ส่งเสริมให้อารมณ์หดหู่พุ่งทะยาน คงเพราะเป็นเวลาดึกมากแล้ว แม่บ้านส่วนใหญ่รวมถึงคนสูงวัยอย่างป้านงเข้านอนกันหมด ลูกชายเจ้าของบ้านเพิ่งค้นพบว่า เขาไม่ชอบความวังเวงแบบนี้เอาเสียเลย
ชายหนุ่มถอดรองเท้า เดินขึ้นบันไดไปชั้นบน ขณะที่คนมาด้วยกันสับขายาวๆ ของเขาหายลับเข้าไปในห้องเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่ทยากรเปิดประตูห้อง ภาพที่เห็นคือร่างสูงใหญ่ถอดสูทตัวนอกวางพาดโซฟา เมื่อหันมาเห็นหน้าเขา นายช่างก็เดินเลี่ยงเข้าห้องน้ำไป
เป็นความห่างเหินที่ทำให้ต้องกัดริมฝีปากแน่น เขาเกลียดความอึดอัดแบบนี้ เกลียดที่ตัวเองกลายเป็นคนที่อีกฝ่ายไม่อยากอยู่ใกล้
ประตูห้องน้ำถูกเปิดออก ทยากรตามไปบิดลูกบิดครั้งเดียว มันก็เปิดออกอย่างง่ายดาย นายช่างลืมล็อกประตู หรือล็อกไม่เป็นก็ไม่รู้ได้
“เข้ามาทำไม” เสียงของคนหน้าดุห้วนจัด
คนตัวใหญ่เปลือยท่อนบนแล้ว เขาถอดเสื้อแสงออกเสียหมด โยนพาดไว้กับเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า ร่างกายของคนทำงานออกกำลังเสมอช่างดีงาม กล้ามเนื้อหน้าท้องตึงแน่น กล้ามแขนและหัวไหล่เป็นมัดๆ ดูดีเสียจนคนมองสูบเลือดไปกองไว้บนหน้า
“เป็นอะไรครับ” เจ้าของห้องเอ่ยถามตรงๆ เห็นหน้าตาบอกบุญไม่รับของอีกฝ่ายก็ใจฝ่อไปเหมือนกัน หากเมื่อใจกล้าเดินหน้าเข้ามาแล้วก็ยากที่จะถอยออกไป “...นายช่างโกรธอะไร”
“เปล่า” คำปฏิเสธของเขามาพร้อมอาการหลบตา
ทยากรส่ายหน้า บางทีผู้ใหญ่อย่างนายช่างก็ทำตัวเด็กกว่าเขาได้
“ตอนที่ผมไปนั่งกับเพื่อนอีกโต๊ะใช่ไหม แม่มาพูดอะไรครับ” คนเด็กกว่าถามอย่างใจเย็น ทว่าอีกฝ่ายนอกจากจะไม่ตอบสักคำ ยังทำเป็นไม่สนใจ
ทยากรชักของขึ้นแล้ว!
ในงานเลี้ยงเจอเพื่อนคะยั้นคะยอให้ดื่มมาก็เยอะ ที่สมัครใจดื่มเองก็ไม่รู้ตั้งกี่แก้ว แอลกอฮอล์ในร่างกายสูงติดเพดานแล้วตอนนี้
“นายช่าง! จะบอกหรือไม่บอก”
“...” คนถูกคาดคั้นยังนิ่ง
“ไม่บอกใช่ไหม...ได้!”
หนุ่มตังเกนิ่วหน้าเมื่อเห็นไอ้เด็กบ้าดึงทึ้งเสื้อผ้าตัวเองออกจากกาย ดวงตาคู่สวยจับจ้องเขาอย่างดื้อดึง เหมือนเด็กเอาแต่ใจ
“ทำอะไร!”
“ง้างปากคน”
ง้างด้วยวิธีสัปดนแบบนี้นะหรือ!
นายช่างใหญ่มองคนตรงหน้า มองเสื้อผ้าที่ถูกกำจัดทิ้งชิ้นแล้วชิ้นเล่า ทะเลเปลือยเปล่า เปลือยกายต่อหน้าเขา ร่างขาวๆ ออกแรงดันตัวเขาขยับไปติดเคาน์เตอร์ในห้องน้ำ จากนั้นโน้มตัวเขาลงมา ประกบจูบร้อนแรงเหมือนอยากให้ปากแตกกันไปข้าง
“มึงเมามากไปแล้ว” เขากระชากตัวมันออก มือใหญ่ทั้งสองจับแขนมันไว้ หากไอ้คนไม่ยอมรับตัวเองฮึดฮัด ทะเลสะบัดตัวออกจากการเกาะกุม
“เมาที่ไหน คุยรู้เรื่องทุกคำเห็นไหม”
คนเถียงไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม มือซุกซนเปะป่ายรูดซิปกางเกงเขาลง จากนั้นเคลื่อนกายลงนั่ง
“เล!” เสียงทุ้มอุทาน
ร่างสูงใหญ่นิ่งค้าง ไม่เคยนึกฝันว่าจะมีวันที่อีกฝ่ายยอม...ถึงขนาดนี้
ปากบางแตะลงกลางลำตัว ส่งปลายลิ้นทักทายตัวตนร้อนจัด ริมฝีปากสีสวยอ้ากว้าง รับเอาตัวตนของเขาเข้าไป
“พอ...” เขาดุมัน ทว่าเด็กหัวรั้นไม่ยอมฟัง มิหนำซ้ำยังขยับเรียวลิ้นแลบเลียเหมือนลูกแมวเพิ่งหย่านม ตากลมๆ ช้อนขึ้นมองเขา ยั่วให้ตบะแตกเข้าไปใหญ่
นี่ถ้าไม่ได้กินเหล้าก็ไม่รู้ว่าจะใจกล้าบ้าบิ่นแบบนี้ไหม...
คนตัวใหญ่มองมันแล้วกัดกราม อารมณ์วาบหวามพุ่งทะยาน ในที่สุดก็ทนการปลุกเร้าไม่ไหว เอาไงก็เอากัน! ในเมื่อมันอยากเล่นแบบนี้ ก็ลองมาดูกันสักตั้ง คนตัวใหญ่ดวงตาวาววับ เลื่อนมือไปประคองใบหน้า สะโพกหนาขยับกระแทกแรงเข้า
“อื้อ!” ทะเลสำลัก ไอหนักๆ เมื่อถูกสิ่งแปลกปลอมล่วงล้ำลึกลงคอไป
นายช่างใหญ่รีบถอนตัวตนออกมา สองมือดึงตัวคนทรุดลงไปกองกับพื้น อุ้มมันขึ้นนั่งบนอ่างล้างหน้า แผ่นหลังบางพิงแนบไปกับกระจกใส แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงตามจังหวะหายใจ
“อวดเก่ง! ใครสั่งใครสอนให้แก่แดดขนาดนี้” คนต่อว่ามองอาการสำลักน้ำหูน้ำตาไหล ทั้งน่าสงสารและน่ากลืนกินให้ตาย มีอะไรกันมาหลายครั้ง นอกจากครั้งแรกครั้งเดียวนั้น แทบทุกครั้งมันไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มก่อนเลย
“หาย...หายโกรธแล้วใช่ไหม” คำถามนั้นทำเอาใจเขาอ่อนยวบ นึกรู้แล้วว่าอีกฝ่ายทำถึงขนาดนี้ เพราะแคร์เขามากแค่ไหน
แล้วนี่เขากำลังทำบ้าอะไร...
ทำให้มันทุกข์ใจ...ทำแล้วได้อะไรขึ้นมา
“ขอโทษ...”
น้ำเสียงอ่อนโยนที่ทยากรคุ้นเคยกลับมาแล้ว มาพร้อมจูบหวานๆ แตะแต้มลงทั่วหน้า เสียงจุมพิตดังก้องทั่วห้องแคบ ริมฝีปากดูดดึงไม่ยอมแยกจากกัน ยิ่งจูบนานเรียวลิ้นก็ยิ่งเกี่ยวพัน ลำคอขาวถูกดูดซับแดงเป็นจ้ำ หากเจ้าของร่างไม่ห้ามเลยแม้แต่คำเดียว
มือใหญ่ลูบไล้ร่างเปลือยเปล่า ผิวขาวนุ่มนวลชวนให้ลุ่มหลงจนต้อง ‘ชิม’ ให้หนำใจ ร่างกายบอกรักกันจนคุ้นเคย รู้หมดแล้วว่าต้องแตะลงตรงไหน ใช้เรี่ยวแรงประมาณใดถึงจะทำให้เสียงร้องดังระงม
“นายช่าง...”
เขาชอบเหลือเกินเวลาคำเรียกขานนี้ออกมาจากปากมัน...
ยอดอกแดงก่ำถูกลิ้นร้อนแลบเลียซ้ำๆ แผ่นอกขาวผวาขึ้นตามแรงกระทำ หัวนมชูชัน เหมือนท้าทายให้กัดทึ้ง ดูดกลืนจนกว่าจะหมดเรี่ยวแรงกันไปข้าง ทยากรกัดริมฝีปาก มือข้างหนึ่งสอดเข้าขยุ้มเส้นผมของนายช่าง กดย้ำส่งสัญญาณให้เขาแนบชิดมากขึ้น
นายช่างดูดดึงหนักๆ เหมือนทารกหิวโหย ฟันคมขบกัดแล้วดึงยืด รุนแรงจนเสียวปลาบไปทั้งกาย
“เจ็บ...” เสียงอุทธรณ์มานำหน้า ทว่าเสียงแผ่วที่ตามหลังมาคือคำว่า เสียว...
เท่านั้นคนทำก็กระตุกยิ้มร้าย
“แล้วอย่างไหนมากกว่ากัน” เขากระซิบถามกลับ ขบใบหูแกล้งปลุกปั่นเสียอีกทาง
“ไม่...ไม่รู้ อื้อ...”
ทยากรหูอื้อ ในอกเหมือนมีประทัดตรุษจีนถูกจุดไว้สักร้อยสาย เส้นที่หนึ่งถูกจุดจากการกัด...มือไม่อยู่สุขเลื่อนมาบีบขยี้ยอดอกอีกข้าง ทำซ้ำๆ จนเขาจะทนไม่ไหว จากนั้นนายช่างจะแกล้งผละออก เรียวปากร้อนถอนออกไป เมื่อเขาปรือตามองเพราะทนรอสัมผัสต่อไปไม่ไหว อีกฝ่ายก็จะจุดประทัดเส้นใหม่ เข้ามาแลบเลียปลุกเร้ากระตุ้นอารมณ์
ไม่ยอมให้ถึงฝั่งฝัน ขณะเดียวกันก็ไม่ปล่อยให้ไฟราคะมอดไหม้...
คนถูกทำอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ใจจะขาดตาย เหมือนถูกแกล้งให้อัดอั้นไปทุกส่วน พอใกล้จะแตะฝั่งฝันก็ถูกปล่อยเคว้งคว้าง หยุดกลางทางเสียอย่างนั้น ขณะที่อีกฝ่ายทำตัวเหมือนนักล่าสุดแสนจะใจเย็น เขาเพียงถอยออกมามองสีหน้าคนเปลือยกายบนเคาน์เตอร์ ทำหน้าตาน่าย่ำยีเสียขนาดนี้ หากไม่สลบเหมือดคาอกไปอย่างทุกที อย่ามาเรียกเขาว่านายช่างใหญ่
มือหนาแยกเรียวขาขาวออกจากกัน จ้องมองร่างเปลือยเปล่าค้างอยู่อย่างนั้น มองจนทยากรทนไม่ไหว
“มองอะไรนักหนา”
“มีของสวยๆ ให้มองก็ต้องมอง”
“เลิกมองสักที จะทำอะไรก็ทำ!”
ก่อนที่เขาจะทนไม่ไหว...ปลดปล่อยไปทั้งที่ช่วงล่างยังไม่ถูกสัมผัส
ลูกคนรวยกัดปากแน่น พยายามสู้แรงมือที่จับขาเขาแยกกัน ทว่ามือของนายช่างแข็งแรงเหมือนคีมเหล็ก คนอ่อนแรงเป็นทุนเดิมจึงพ่ายแพ้อยู่วันยันค่ำ
“เด็กดื้อ...” เสียงหัวเราะในลำคอมาพร้อมเสียงเอ็ดไม่จริงจัง “เมาแล้วใจร้อนเหลือเกิน”
คนตัวใหญ่พูดไว้แค่นั้น จากนั้นปากเขาก็ไม่ว่างจะเอ่ยคำใด เพราะมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับยอดอกแดงก่ำ
ทยากรมองความใหญ่โตเสียดสีช่องทางร้อนผ่าว หัวใจเต้นรัวเมื่ออีกฝ่ายค่อยๆ กดกายแทรกลึก ส่วนปลายจมหายเข้าสู่ตัวเขาอย่างเชื่องช้า มือใหญ่เลื่อนขึ้นจับแนวกราม บังคับให้เขามองหน้า สบนัยน์ตาร้อนแรงคู่นั้น คนถูกกระทำร้อนวาบไปทั้งกาย
ใบหน้าของอีกฝ่ายค่อยๆ เลือนลง บดจูบหวานๆ ลงบนริมฝีปากปากอ่อนนุ่ม เรียวลิ้นซอกซอนสัมผัสกัน หนุ่มเมืองกรุงรู้สึกคล้ายมีผีเสื้อนับพันกระพือปีกอยู่ในตัว ขณะที่เคลิบเคลิ้มจนหลงลืมทุกอย่าง นายช่างก็กระชากความอ่อนโยนทิ้งกลางคัน อีกฝ่ายทิ้งน้ำหนัก กดกระแทกลึกลงสุดความยาว ปลายหยักครูดไปกับผนังอ่อนนุ่ม ทิ่มแทงจุดกระสัน...
“อ๊า!”
ร่างขาวๆ กระตุกเกร็ง ปลดปล่อยทุกหยาดหยด เปรอะเปื้อนทั้งตัวเองและตัวเขา ใบหน้าแหงนเงยจนคอตั้ง ดวงตาลอยคว้าง คนถูกโลมเล้ามานานสิ้นสุดความอดทนตรงนี้เอง
คนตัวใหญ่กัดกรามแน่น ครางแผ่วในลำคอ อดกลั้นต่อความคับแน่นที่โอบล้อมตัวตนของเขา ผนังนุ่มด้านในร้อนผ่าวราวกับจะเผาให้มอดไหม้ คนถึงจุดคงไม่รู้เลยว่า เวลาที่ตัวเองล่องลอยไปถึงฝัน ช่องทางของมันตอดรัด แทบจะพาให้เสร็จตามมันไป
ทยากรหน้าแดงจัด มือสั่นๆ ถูกยกมาปิดหน้า เขาระเบิดห้วงอารมณ์ออกมาเพียงเพราะโดนใครอีกคนสอดใส่แค่เพียงครั้ง ยิ่งคำพูดของเขาที่กระซิบข้างหูให้ฟัง คำนั้นยิ่งพาให้อับอาย
“ไปไวจริง เด็กน้อย...” คนพูดยกยิ้ม เอ็นดูจับใจ
เสียงครางต่อจากนั้นบอกชัดว่าศึกรักครั้งนี้หนักหน่วงแค่ไหน สะโพกหนาขยับโยกจนสุดกาย ขาขาวๆ สั่นไหว กระทั่งเมื่อเดินทางมาจุดจุดหมาย คนตัวใหญ่จึงถอนตัวออกจากกายบาง ของเหลวภายในไหลอาบลงมาตามเรียวขา เป็นภาพที่ทำให้แข็งขืนขึ้นมาโดยไม่ต้องปลุกอารมณ์ใดๆ
“อ๊ะ! นายช่าง” ทยากรร้องลั่น อยู่ๆ คนตัวใหญ่ก็แทรกกายเข้ามาอีกครั้ง
“อีกรอบ”
“แต่...”
“อีกรอบเดียว”
ถึงไม่ให้ก็ขัดเขาไม่ได้แน่นอน...ความร้อนผ่าวเสือกไสเข้าออก ท่อนแขนแข็งแรงโอบกอด ไม่ยอมให้ขยับหนีไปไหน แล้วคำว่า ‘อีกรอบเดียว’ ก็กลายเป็นเพียงลมปากไป
...ผู้ใหญ่อะไร...ไม่รู้จักพอ...
ร่างสองร่างทอดกายอยู่บนเตียงนุ่ม เตรียมเข้านอนหลังจบศึกระหว่างกันไปหมาดๆ เจ้าของห้องสวมชุดคลุมสีขาวแทนการสวมชุดนอน เพราะกว่าจะจับเด็กหมดเรี่ยวแรงทำความสะอาดร่างกายได้หมดจด คนตัวใหญ่ก็แทบจะหมดเรี่ยวแรงตาม ขณะที่ตัวเขามีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันท่อนล่าง ท่ามกลางแอร์ที่ถูกปรับอุณหภูมิยี่สิบสององศา แต่ละคนเสื้อผ้ากลับไม่ติดกาย
“วันนี้เก่ง...ไม่ตายคาอก” คนพูดขยับท่อนแขน จับหัวกลมๆ หนุนนอนในตำแหน่งสบาย
สงสัยต้องเอาเหล้าให้กินบ่อยๆ...กินแล้วร้อนแรง เห็นผลเสียขนาดนี้
คนถูกชมยู่หน้ากับคำพูดนั้น มองดวงตาวาบวับแล้วอยากจะยกมือจิ้มตาสักที เสียก็แต่ยามนี้แขนขาแสนจะหนัก ก็ถูก ‘ทำ’ จนแทบไม่เว้นจังหวะให้พักหายใจ ติดต่อกันหลายต่อหลายครั้ง ถึงจะไม่หมดสติเหมือนทุกครั้ง แต่เรี่ยวแรงไม่มีเหลือติดกาย
“มีเรื่องต้องคุยน่ะสิ ก็เลยยังหลับไม่ได้”
“หมาน้อยเอ๊ย!...กัดไม่ยอมปล่อย” คนพูดขยี้หัวเอ็นดู นึกรู้อยู่ว่ามันจะพูดอะไร “จะคุยอะไรก็คุยมา”
จะได้หลับตากันเสียที ดูหน้ามันตอนนี้ เห็นแล้วว่าแทบฝืนเปลือกตาไว้ไม่ไหว
“แม่พูดอะไรกับนายช่างเหรอครับ”
นายช่างใหญ่ยืดตัวขึ้นพิงหัวเตียงนอน มองตาปรือๆ คู่นั้นแล้วก็ให้สงสาร กังวลกับเรื่องของเขาจนยอมไม่หลับไม่นอน
“เรื่องของผู้ใหญ่...” เขาตัดสินใจไม่บอก วันนี้หนักหนาพอแล้วสำหรับมัน เรื่องอื่นเอาไว้คุยกันทีหลังก็คงได้
“เรื่องของผู้ใหญ่ แต่เกี่ยวกับตัวผมใช่ไหม”
ดูเด็กฉลาดมันถาม ถามอย่างเดียวไม่พอซุกหัวขยับเข้าหา กะว่ามาไม้นี้ อย่างไรเขาก็ต้องใจอ่อน
ทยากรได้ยินเสียงถอนหายใจ “ไม่บอกก็ได้ งั้นให้ผมเดาไหมว่านายช่างโดนแม่เล่นงานเรื่องอะไร”
“รู้ด้วยหรือ...”
นิสัยแม่เขา คนเป็นลูกจะไม่รู้ได้อย่างไร
“โดนแม่บอกให้ถอยห่างจากผมสินะ”
นายช่างใหญ่นิ่วหน้า มองอาการพูดออกมาหน้าตาเฉยของมันแล้วถอนหายใจ เขารู้อยู่แล้วว่ามันฉลาด หากบางทีก็ฉลาดเกินไป
“ช่างเถอะ แม่มึงจะพูดยังไงก็ช่าง” ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ในอกก็ยังรู้สึกหน่วงๆ อยู่ภายใน
“แต่นายช่างก็คิดมากใช่ไหม”
“...”
คนตัวใหญ่ไม่ตอบเขา แค่นั้นคนถามก็รู้ลึกถึงความจริงในใจ ดวงตาดุๆ คู่นั้นจ้องมองมานิ่งนาน ในความเงียบมีเพียงเสียงทำงานของเครื่องปรับอากาศ สัมผัสแผ่วเบาที่ศีรษะยังคงอบอุ่นไม่เสื่อมคลาย ทยากรหลงรักความอ่อนโยนนี้ หลงใหลทุกการกระทำที่อีกฝ่ายมอบให้
รักมือใหญ่ที่คอยลูบไล้เส้นผม
ชอบจมูกโด่งๆ ที่กดลงข้างขมับ...
“ตอนอยู่อเมริกา ผมพยายามลืมนายช่าง”
คำพูดเป็นความจริงทุกคำ คนพูดสารภาพบาปอย่างเปิดใจ
ประเทศที่อิสระมีอยู่รอบตัว ผู้คนผูกสัมพันธ์กันอย่างเสรี ฟรีเซ็กส์กันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครถือเป็นเรื่องผิดแปลกอะไร สองปีที่เขาอยู่ที่นั่น มีผู้คนมากหน้าผ่านเข้ามามากมาย ทั้งในสถานะเพื่อน และหลายคนที่อยากเป็นมากกว่านั้น ชายหนุ่มในวัยสนุกสนาน มีพร้อมทุกอย่างจึงมีคนเข้าหาสนใจ
ทยากรไม่ปฏิเสธว่าบางครั้งหัวใจเขาเผลอวูบไหว ความห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอนก่อให้เกิดความเหงาไม่รู้จบ เมื่อมีคนมาวนเวียนรอบกาย ใจแข็งแค่ไหนก็มีหวั่นไหวเป็นธรรมดา หากทุกครั้งที่เขาคิดจะลึกซึ้ง มอบความผูกพันให้ใครคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของคำสัญญา ทุกค่ำคืนที่เข้านอน บางอย่างจะย้อนกลับมาในความคิด เหมือนมีเชือกบางเบาที่มองไม่เห็นคอยผูกรั้งไว้
ธรรมชาติของคน ยิ่งอยากลืมมันยิ่งจำ!
ตอกย้ำลงในหัวใจ...
“ผมจำได้เสมอว่าตัวเองโกหกนายช่าง รู้ทั้งรู้ว่านายช่างมองผมกับนายหัวชาญเป็นแบบไหน แต่ผมก็ไม่บอกความจริงออกไป...”
นั่นเป็นเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจเรื่อยมา...
ความรู้สึกผิดกลายเป็นสิ่งเหนี่ยวรั้ง อานุภาพรุนแรงจนความตั้งใจจะลืมกลายเป็นยิ่งผูกพัน ถึงตอนนี้ทยากรขอแค่อย่างเดียวเท่านั้น
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...
อย่าทิ้งกัน...ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรก็ตาม
“ผมถึงได้กลับมา...ตามสัญญา กลับมาเพราะรู้แล้วว่าคงไปผูกพันกับใครอีกไม่ได้”
ชีวิตของทายาทตระกูลดังมีคนมาให้เลือกมากมาย หากสุดท้าย...
“ผมเลือกนายช่าง...” เลือกคนที่ครั้งหนึ่งเคยช่วยชีวิตเขาไว้ในยามที่เกือบตายไปแล้ว เลือกคนที่ดุกับคนอื่นแต่ใจดีกับเขาเพียงคนเดียว เลือกคนที่อบอุ่นเสมอในวันที่เขาไม่มีใคร
ทยากรอยากให้รู้ ไม่ใช่อีกฝ่ายที่กลัวเพียงลำพัง เขาเองต่างหากที่มีความกังวลใจสารพัด...นายช่างเคยแต่งงาน เคยมีลูก ถ้าวันหนึ่งเขาหวนนึกถึงความรู้สึกเหล่านั้น หากความอยากเป็นพ่อคนหวนกลับมาในความรู้สึกของนายช่าง วันนั้นเขาจะทำอย่างไร ในเมื่อสิ่งเหล่านี้ทยากรไม่สามารถมีให้เขาได้
ผู้หญิงกับผู้ชายมันต่างกัน...ในอนาคตหากคนตัวใหญ่เกิดอยากได้สาวๆ อ่อนหวานเอาอกเอาใจ อยากไปหาคนที่จะเติมเต็มคำว่าครอบครัวให้สมบูรณ์กว่านี้ได้ หนุ่มกรุงเทพฯ เองก็หวาดกลัวเต็มที
กลัวใจเขาจะเปลี่ยนไป กลัวเบื่อกันไปในสักวัน...
“คนอื่นจะพูดยังไงก็ช่างเขา อย่าเอามาคิดจนเสียใจ...” ความง่วงทำให้คำพูดทุกคำเบาลง มิหนำซ้ำยังขาดๆ หายๆ “อย่าทิ้งผม...รู้ไหม...”
“...”
“ไม่ว่ายังไง...อย่า...ทิ้ง...”
ใจความสำคัญที่ทยากรอยากสื่อจบลง เมื่อคนพูดฝืนเปลือกตาตัวเองไม่ไหว ลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ ดวงตาหลับพริ้ม เป็นสัญญาณว่าเด็กเมาเหล้าไม่อาจพูดอะไรต่อ คนตัวใหญ่กระชับอ้อมแขน มองใบหน้าอ่อนเยาว์ของคนเข้านอนแล้ว
ทะเลคงไม่รู้...
คำพูดของมันในวันนี้ กอบกู้หัวใจของคนหวั่นไหวได้มากแค่ไหน
ปัญหาระหว่างเราเหมือนคลื่นใต้น้ำ แม้พยายามไม่พูดไม่เอ่ยถึง แต่ยังคงมีอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเรื่องฐานะ สังคม เพศสภาพ ไปจนถึงช่องว่างระหว่างวัย
ไม่มีวันไหนที่เขาจะไม่กังวล ความคิดในหัวกลัวไปสารพัด เขารู้ว่าทะเลไม่แคร์เรื่องเงินทอง ทุกอย่างที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่ามันไม่ใช่คนอย่างนั้น แต่เพราะมันยังเด็ก ชีวิตยังไปต่อได้อีกยาวไกล คนเป็นผู้ใหญ่กว่าเป็นสิบปีจึงมีแต่ความไม่แน่ใจ เพราะรักมันมากกว่าใคร จึงกลัวว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นตัวเขาเองที่ทำให้มันหม่นแสงลง
คำพูดของคุณรตีวันนี้จึงเหมือนน้ำเย็นๆ สาดใส่หน้า เหมือนจี้ใจดำ ตอกย้ำสิ่งที่หวาดกลัวอยู่แล้วให้กลายเป็นหลุมดำ ไม่อาจทำเป็นมองข้ามไป และไอ้เด็กนี่ก็เหมือนกัน...
ที่ผ่านมามันไม่เคยพูด ไม่เคยได้เปิดใจ
เขารู้ว่าตัวเองรัก...รักมันมากกว่าใครในโลกนี้ หากความรู้สึกที่อีกฝ่ายส่งกลับมาให้ มากน้อยแค่ไหนไม่อาจคาดเดา
ก็คงรัก...
แต่อาจไม่มากเท่าไหร่
ไม่มากเท่าที่เขารักมัน ไม่เท่าที่เขาทุ่มเทลงไป หากวันนี้นายช่างใหญ่เพิ่งเข้าใจแจ่มชัด หัวใจที่อีกฝ่ายมอบให้ ก็ไม่มากไม่น้อยไปกว่ากัน
เพราะต่างคนต่างกลัว
ต่างคนต่างไม่แน่ใจ...
เขาเพิ่งรู้มันเองก็กลัวการถูกทิ้ง ทั้งที่เพียบพร้อมไปเสียหมดจนไม่คิดว่าคนอย่างมันจะต้องกลัวอะไร สุดท้ายทะเลก็เป็นแค่คนธรรมดา ไม่ใช่เทวดามาจากไหน มันแสดงให้เห็นแล้วว่าความรู้สึกของเขาคือสิ่งที่มันห่วงใย ยอมลดตัวลงมาทำอะไรต่อมิอะไรให้
แล้วอย่างนี้จะไม่คู่ควรให้รักได้อย่างไร
คนตัวใหญ่กอดคนข้างกาย...ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าวันนี้รักมันมากกว่าเดิม...
-----
tbc.
เข้าเล้ายากมากจริงๆ TT
ตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายสำหรับเด็กทะเลค่ะ