ผมกำลังจะกลับบ้าน บทที่ 1 “เหลือแต่แถวสุดท้ายแล้วครับน้อง”
ผมยื่นหน้าเข้าไปในช่องกระจกเล็กๆให้มากที่สุดเพื่อมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่แสดงผังที่นั่งบนรถทัวร์ ที่นั่งเกือบทั้งหมดมีคนจับจองไว้หมดแล้วจริงๆอย่างที่คนขายบอก เหลือเพียงที่นั่งแถวสุดท้ายสี่ตัวเท่านั้นที่ยังว่างอยู่ “อะไรกันพี่ ไม่ใช่วันศุกร์เสียหน่อยทำไมเต็มเร็วอะ เที่ยวอื่นยังมีหรือเปล่า”
ผมบ่นเสียงไม่ดังนักกับพี่ผู้ชายที่กำลังทำหน้าที่ขายตั๋ว ไม่อยากจะนั่งแถวท้ายๆเพราะว่ามันค่อนข้างโหดร้ายสำหรับการเดินทางที่ยาวนานนี้ ถ้าใครเคยขึ้นรถทัวร์บ่อยๆก็จะรู้ว่าที่นั่งแถวท้ายรถมันจะปัดไปปัดมาไม่นิ่งเหมือนช่วงด้านหน้า ทำให้เมารถได้ง่าย “เหลือเที่ยวนี้แหละน้อง วีไอพี32ที่นั่ง สบายนะน้องที่นั่งกว้างเชียวแต่ละแถวก็ห่างกันยืดแข้งยืดขาวางเท้าสบาย มีปุ่มนวดหลังด้วยนะ รับรองน้องหลับได้เต็มตื่นไม่มีเมื่อยขบแน่ๆเที่ยวอื่นเต็มก่อนหน้าไปแล้ว ตกลงซื้อป่าวอีกครึ่งชั่วโมงรถจะออกแล้ว” “ก็ได้ ที่เดียวครับ”
ไม่ใช่เพราะโฆษณาชวนเชื่อหรอกแต่มันเป็นเพราะผมอยากจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ผมจึงได้ตอบตกลง ชายร่างท้วมที่นั่งอยู่ในคอกสี่เหลี่ยมสำหรับขายตั๋วรถโดยสารผลุบหน้าเข้าไปอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ไม่นานผมก็ได้ตั๋วรถโดยสารมาหนึ่งใบ “แถวสุดท้ายขวามือริมหน้าต่างนะครับ รถออกห้าโมงเย็นจะไปถึงเชียงรายตอนเจ็ดโมงพรุ่งนี้ ขอบคุณคร้าบ”
เมื่อจ่ายเงินค่ารถเรียบร้อยผมก็เดินออกมาทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้รอรถของผู้โดยสาร ยกเป้ใส่เสื้อผ้ามาวางไว้บนตักแล้วก้มหน้าซบมันอย่างหมดแรงกับปัญหาชีวิตที่ถาโถมมาพร้อมกันทั้งเรื่องงานและความรัก ขอบตาชื้นร้อนผ่าวจนไม่กล้าเงยหน้ามามองผู้คนที่เดินผ่านไปมา ภาพจากความทรงจำอันเลวร้ายผุดขึ้นมาอย่างเช่นทุกครั้งที่หลับตาลง มันเป็นเช่นนี้มาตลอดตั้งแต่วันนั้น วันที่ผมมีปากเสียงอย่างรุนแรง และเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้คุยกับเธอคนนั้น “ทำไมล่ะน้ำผมทำผิดอะไร ทำไมน้ำถึงได้เลิกรักผมง่ายดายขนาดนี้”
ผมตะโกนถามผู้หญิงที่ผมรักขณะที่เรากำลังถกเถียงกันอยู่ในห้องพักของพนักงานที่ผมอาศัยอยู่เมื่อประมาณสัปดาห์ก่อน ลำคอของผมแห้งผากเมื่อจ้องหน้าหญิงสาวสวยสะดุดตาซ่อนเรือนร่างอยู่ในอาภรณ์เข้ารูปที่กำลังยืนกอดอกจ้องหน้าผมตอบด้วยสีหน้าระอาใจ “ชินไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกแต่เป็นเพราะไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นมาเลยมากกว่า”
ปากกระจับที่แต่งแต้มด้วยลิปสีสวยขยับขึ้นลง ผมจ้องมองริมฝีปากที่ผมเคยครอบครองอย่างอาวรณ์ “ผู้หญิงน่ะต้องการความมั่นคงในชีวิต ไม่มีใครทนกับคนที่อยู่ไปวันๆอย่างไร้อนาคตหรอก”
“ผมไม่ได้อยู่ไปวันๆนะ”
ผมเถียงกลับ หัวใจของผมมีทั้งความเสียใจและความเจ็บใจปะปนกันจนแยกไม่ออกว่าอะไรมันจะเยอะกว่ากัน “ผมก็มีงานทำเป็นวิศวะโรงงานอยู่นี่ไง เงินเดือนที่ได้มาผมก็เก็บออมเอาไว้ในวันแต่งงานของเราไงน้ำ อีกไม่นานแล้วอย่างที่เราวางแผนกันไง อย่าแกล้งทำเป็นลืมสิน้ำ”
เสียงแหบของผมเรียกร่องรอยเสียใจในแววตาของน้ำแวบหนึ่ง มันแค่แวบเดียวจริงๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นแววตาแน่วแน่ของคนที่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว น้ำเชิดหน้าสูงขณะยัดเยียดความเจ็บปวดให้ผมด้วยวาจาของเธอ “น้ำถามชินหน่อย ตั้งแต่ชินมาทำงานที่นี่สามปีชินก้าวหน้าขึ้นจากเดิมบ้างไหมนอกจากเป็นวิศวะธรรมดา ชินลองดูคนอื่นที่เขาเข้ามาพร้อมชินสิ อย่างเดชไง เดชเขาก็จบมารุ่นเดียวกับชินนะ แต่ชินเห็นไหมว่าเดชเขาก้าวหน้าจนจะได้เป็นผู้จัดการฝ่ายแล้ว”
“ไอ้คนที่แย่งผลงานคนอื่นมาเป็นของตัวเอง น้ำจะเรียกมันว่าทำงานก้าวหน้าได้ไง รู้หรือเปล่าว่าไอ้เดชมันเหยียบหัวคนอื่นมากี่คน”
รวมทั้งผมด้วยที่ถูกมันเหยียบหัวแย่งผลงานไปโชว์จนเจ้าของโรงงานชื่นชม ทั้งที่มันเป็นชิ้นงานที่ผมและเพื่อนคนอื่นช่วยสร้างกันมาแต่เมื่องานนั้นถูกนำเสนอกลับมีแต่ไอ้เดชที่ได้หน้าไปและมันก็ทำให้ผมถูกตำหนิเรื่องความเฉื่อยชา แต่ผมเพิ่งรู้ว่าผู้หญิงอย่างน้ำก็ชื่นชมมันไม่แพ้เจ้าของกิจการ น้ำถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายที่ดูท่าทางว่าผมจะไม่ได้เข้าใจเธอง่ายๆ “น้ำไม่รู้หรอกว่าเดชเขามีวิธีการยังไงถึงทำให้ก้าวหน้าเร็วขนาดนี้ เอาเป็นว่าตอนนี้น่ะ ทุกคนในโรงงานพูดถึงเขาว่าเป็นผู้ชายที่มีอนาคตไกลมาก ทำไมชินไม่ลองศึกษาจากเดชล่ะเผื่อจะได้ดีอย่างเพื่อน สรุปเลยก็แล้วกันนะว่าน้ำต้องการอนาคตที่ดีกว่าคบกับชิน แต่ถึงยังไงที่ผ่านมาน้ำขอบคุณละกันที่ชินก็ทำให้น้ำมีความสุขอยู่บ้าง โชคดีนะชิน”
ร่างเพรียวที่ผมเคยกกกอดไว้ยามค่ำคืนเปิดประตูและก้าวจากไปอย่างไม่แยแส แต่ผมยังตะโกนเรียกชื่อเธอพร้อมกับวิ่งตามไปนอกห้อง ผมไปเกาะอยู่ที่ขอบระเบียงทางเดินเพื่อที่จะเห็นว่าน้ำก้าวลงจากบันไดชั้นสองของหอพักตรงไปยังรถยนต์คันหรูที่จอดรออยู่ด้านล่าง รถยนต์คันหรูที่มีไอ้เดชยืนพิงอยู่และสูบบุหรี่พ่นควันปุ๋ยๆแถมมันยังเงยหน้าขึ้นมามองผมพร้อมกับยักคิ้วและรอยยิ้มหยันก่อนที่มันจะเปิดประตูให้น้ำเข้าไปนั่งชูคอและขับออกไปจากหอพัก ผมได้แต่อ้าปากค้างเพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแฟนของผมไปสนิทสนมกับไอ้เดชตอนไหน มิน่าล่ะ ช่วงนี้คนในแผนกถึงได้มองผมแปลกๆ ตอนนี้ผมเข้าใจถึงสายตาที่มองผมอย่างสมเพชได้แล้ว เออ ใช่ ผมแม่งโง่ชิบหายที่นอกจากจะถูกแย่งผลงานยังเสือกโดนแย่งเมียไปอีก ผมก้าวกลับเข้าไปในห้องพิงตัวกับประตูทรุดนั่งอย่างหมดแรง ปล่อยให้น้ำตาของคนอกหักไหลเป็นทางจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมจึงได้ซมซานไปคว้ามันและเมื่อเห็นว่าใครโทรมามันยิ่งทำให้น้ำตาไหลอย่างกับก๊อกแตก “แม่”
ผมสะอื้นไปกับคลื่นโทรศัพท์จนปลายทางที่ตกใจเมื่อได้ยินเสียงของผม “ชิน ร้องไห้อยู่เหรอลูก เกิดอะไรขึ้นบอกแม่มาเดี๋ยวนี้” ผมเล่าให้แม่ฟังอย่างไม่ปิดบังว่าถูกผู้หญิงทิ้งและถูกเจ้านายตำหนิ เมื่อแม่ฟังจนจบแม่ก็อุทานด้วยความขัดเคือง “ช่างมันเถอะ” แม่ปลอบผม
“ถ้าทำงานทางนั้นแล้วเหนื่อยมากก็กลับบ้านเรา อย่าลืมว่าแม่ก็รอชินอยู่ จริงๆแล้วแม่ก็ไม่ได้อยากให้ชินไปทำงานไกลหูไกลตาแม่ ส่วนเรื่องผู้หญิงที่มันเห็นกงจักรเป็นดอกบัวก็อย่าไปสนใจ ดีแล้วที่ชินจะได้รู้นิสัยก่อนจะตกลงปลงใจกันไปมากกว่านี้ เฮอะ แถวนี้มีสาวตั้งเยอะแยะที่พร้อมจะวิ่งมาหาลูกชายของแม่”
แม่ก็คือแม่ แม่เป็นผู้หญิงเข้มแข็งที่เลี้ยงผมเพียงคนเดียวตั้งแต่พ่อประสบอุบัติเหตุจากไปตอนที่ผมยังเด็ก แม่ทำงานเก่งและใจเด็ดที่จะไม่หาพ่อใหม่มาให้ผมทั้งที่ก็มีหลายคนเป่าหูว่าผู้หญิงคนเดียวเลี้ยงลูกเองจะลำบาก และแม่ก็ทำให้คนที่เคยดูถูกไว้ได้รู้ว่าแม่ทำได้ในทุกๆเรื่อง คำพูดของแม่ทำให้ผมตัดสินใจยื่นใบลาออก ระหว่างรอการอนุมัติผมก็ทำการจำหน่ายจ่ายแจกข้าวของในหอพักอย่างรวดเร็ว มันมีทั้งของส่วนตัวของผมและของที่น้ำเคยใช้ตอนที่มาอยู่กับผมที่หอ ผมทำทุกอย่างโดยไม่ลังเลเพื่อวันนี้ วันที่ผมจะเดินทางกลับบ้าน ผมหยิบตั๋วรถโดยสารขึ้นมาดู ระยอง-เชียงราย ผมถอนหายใจกับชีวิตที่ผ่านมา หวังว่าการเดินทาง 14 ชั่วโมงเพื่อกลับบ้านของผมจะเป็นไปโดยสวัสดิภาพและจะมีความหวังใหม่รอผมอยู่ผมหวังเช่นนั้น รอจนกระทั่งถึงนาทีสุดท้ายผมจึงเดินขึ้นบันไดรถเพราะรู้ว่ามันเป็นการเดินทางที่ยาวนาน ผมขี้เกียจไปนั่งงอขาห่อตัวอยู่บนนั้น แต่จะว่าไปก็ไม่เคยขึ้นรถวีไอพีเหมือนกันนะ เคยขึ้นแต่ปรับอากาศธรรมดาเพราะผมอยากประหยัดเงินไว้เพื่อการแต่งงานของผมกับน้ำ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมยอมเสียเงินแพงขึ้นและเมื่อขึ้นไปถึงชั้นที่นั่งจึงได้รู้ว่ามันดูดีกว่ารถปรับอากาศธรรมดาจริงๆเคยเห็นแต่ภาพเก้าอี้แออัดคุ้นตาแต่กับรถคันนี้มันโล่งกว่าเบาะนั่งสวยกว่า ก็แหงล่ะมันรถวีไอพีนี่ ส่งตั๋วให้พนักงานรับไปฉีกแล้วเดินก้าวเข้าไปด้านใน ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงแถวสุดท้ายขวามือที่มีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่กำลังนั่งอ่านนิตยสารการเมืองอยู่บนเบาะริมทางเดิน ฝั่งเดียวกับที่นั่งของผม “ขอโทษครับผมได้ที่นั่งด้านใน”
ผมเอ่ยออกไปเพื่อให้เขาหลีกให้ผมเข้าไปนั่ง ชายคนนั้นเงยหน้าจากนิตยสารขึ้นมามองผม เราชะงักเมื่อสบตากันครั้งแรก และวินาทีหลังจากนั้นเขาก็คลี่ยิ้มส่งมา น่าแปลกที่รอยยิ้มของเขาทำให้หน้าเข้มๆนั้นสว่างขึ้นมาทันที ผู้ชายคนนั้นลุกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว เขาสูงกว่าผมเป็นคืบเมื่อได้ยืนเต็มตัวแถมร่างกายยังแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อที่แทบจะทะลุเสื้อยืดสีดำที่ใส่อยู่ออกมา ต้นแขนแน่นปั๋งอย่างคนที่ชอบเล่นเวทออกกำลังกาย ผมกลายเป็นไอ้แห้งไปเลยเมื่ออยู่ใกล้ “เชิญเลยครับน้องชาย มา พี่ช่วยเอากระเป๋าเก็บด้านบน”
ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรออกมาเขาก็คว้าเป้ไปจากมือแล้วยกใส่ที่ว่างเหนือหัวอย่างสบายๆผมพึมพำขอบคุณแล้วก้าวเข้าไปนั่งเก้าอี้ติดหน้าต่างพลางทอดสายตามองไปด้านนอก รถกำลังเคลื่อนออกจากชานชาลา การเดินทางกลับบ้านของผมเริ่มต้นขึ้นแล้ว “พี่ชื่อวัน แล้วน้องล่ะ”
คำแนะนำตัวอย่างง่ายๆดังขึ้นจากด้านข้างเรียกสติให้ผมหันหน้ากลับไปหาเขา ผมฝืนยิ้มตามมารยาทก่อนจะตอบกลับไป “ผมชื่อชินครับ”
เขาพยักหน้าทำนองว่ารับรู้แล้วจึงถามต่อ น้ำเสียงของเขามันทุ้มและนุ่มเหมือนดีเจจัดรายการวิทยุที่แม่ชอบเปิดฟังตอนที่ผมยังเด็ก “ลงที่ไหนล่ะ ปลายทางเชียงรายเลยหรือเปล่า”
ผมเป็นฝ่ายพยักหน้าบ้าง พี่วันยิ้มกว้างขวางอวดฟันขาวเป็นระเบียบของเขา “ดีเลยที่ลงพร้อมกัน พี่ก็ลงที่เชียงราย แล้วชินไปเชียงรายทำไม ไปเที่ยวหรือ”
ผมว่าพี่วันจะเป็นคนอัธยาศัยดีเกินไปแล้วไหมครับกับการชวนคนแปลกหน้าคุย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้โดยสารที่นั่งติดกันจะชวนพูดคุย หากอยู่ในภาวะปกติผมก็คงไม่คิดอะไรมากเพราะผมเองก็เป็นพวกพูดมากอยู่แล้ว แต่กับช่วงเวลาของการอกหักแม้แต่กับใจตัวเองผมยังไม่อยากคุยด้วยเลย “กลับบ้านครับ ผมเป็นคนเชียงรายแต่มาทำงานที่ระยอง”
“เฮ้ย จริงดิ สลับกับพี่เลยนะพี่เป็นคนระยองแต่ไปทำงานที่เชียงราย นี่กลับบ้านมาพักผ่อนได้ไม่กี่วันก็ต้องกลับไปทำงานแล้ว”
ชักเยอะแล้วพี่ ผมเริ่มมองเขาด้วยสีหน้ารำคาญพลางหันหน้าเข้าหากระจก ยอมรับว่าเสียมารยาทแต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะคุยกับใครจริงๆ ไม่ทันเห็นใบหน้าเจื่อนของเขาหรอก เพราะผมหลับตาลงปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับความบอบช้ำที่ยังกลืนกินความรู้สึกจนกระทั่งแขนถูกสะกิดยิกๆ “ชิน ชิน”
อะไรอีกล่ะวะ ยุ่งกับกูจริง ผมลืมตาขึ้นมาพบกับสายตาอาทรของพี่วัน มันทำให้ผมไม่กล้าจะชักสีหน้าใส่เขาอย่างที่นึกอยากทำ “อะไรครับพี่วัน”
“ก่อนขึ้นรถกินข้าวมาหรือยัง โฮสเตสเขาแจกข้าวแล้วกินเสียก่อนกำลังอุ่นๆเลย”
ผมนึกเสียใจอยู่เหมือนกันที่ทำท่าหงุดหงิดใส่พี่เขาก็เลยฝืนยิ้มและรับกล่องข้าวมาถือไว้ กลิ่นอาหารเรียกน้ำย่อยจนกระเพาะลั่นดังโครก ผมอายจนหน้าแดงเมื่อเห็นพี่วันกลั้นยิ้มยกใหญ่ ไอ้กระเพาะบ้า ไม่รักษาหน้ากูบ้างเลย TBC
มาแล้วตามคำเรียกร้องฮะ แม่ยกพี่วันกับน้องชินอย่าลืมมาเป็นแรงใจด้วยนะเจรี๊ยะ