1
Boy's love story / ReLove3 : Reinterpreted Love - รัก...ความหมายใหม่ (ตอนที่ 10 - 21 พ.ค. 67)
« กระทู้ล่าสุด โดย sarawit เมื่อ 21-05-2024 03:04:10 »อีกฝากหนึ่งภายในห้างสรรพสินค้าเดียวกัน ชายหนุ่มสามคนกำลังเดินไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้มีจุดหมายแน่นอน ระหว่างที่ชวนพูดคุยกันก็เดินจากแผนกสินค้าหนึ่งต่อไปอีกแผนกสินค้าหนึ่ง นานเข้าก็เริ่มรู้สึกหิวจึงชวนกันเดินไปบริเวณร้านอาหาร
“แดกอะไรกันดีวะ” พุทธชาติถามเพื่อนทั้งสองคน
“แล้วแต่พวกมึงดิ กูยังไงก็ได้” วีส์ตอบแล้วมองดูรอบๆแบบไม่ได้ใส่ใจอะไรเป็นพิเศษ
“คือ... มึงกินครบทุกร้านจนเบื่อแล้ว ก็เลยให้พวกกูเป็นคนเลือกเองว่างั้น” พุทธชาติถามกลับ
“มันแทบจะนับร้านที่มันเคยเข้าไปกินได้ไม่เกินนิ้วมือมั้ง” กฤษณะตอบกลับให้แทน
“ไรวะ ของบ้านตัวเองแท้ๆ ถ้าเป็นกูนะ จะเดินทุกวันให้ทั่วทุกซอกเหลือบมุมตึกเลย” พุทธชาติมองดูวีส์ที่ยังคงมีท่าทางไม่ค่อยสนใจอะไร
“บ้านกูทำเรียลเอสเตทไม่ได้บริหารห้างเว้ย แล้วกูก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ห้างนี่ถ้าไม่ได้มีธุระจำเป็นจริงๆก็แทบจะไม่ได้มาเดินเลยด้วยซ้ำ”
“ตอนที่พวกมึงอยู่ประจำกันกูก็พอจะเข้าใจว่าทำไมไม่ค่อยได้กลับ แต่ตอนที่มึงย้ายมาแล้วเนี่ย กูก็ยังงงอยู่ว่าทำไมมึงไม่ค่อยกลับบ้านบ้างวะ” พุทธชาติถาม
“ก็อยู่ที่อพาร์ทเมนต์มันสะดวกดี ใกล้สนามซ้อม เลิกสามสี่ทุ่มเสร็จแล้วก็เดินขึ้นห้องได้เลย”
“แถมยังไม่เคยชวนกูขึ้นห้องเลยสักครั้งเดียว” พุทธชาติส่ายหน้าเบาๆกับเรื่องความหลัง “แต่เสียดายว่ะที่มึงไม่แข่งต่อ แต่ก็นะ...กูก็เลยขี้เกียจแข่งไปด้วย” พุทธชาติไม่ใช่บ่นเพราะเสียดายโอกาส แต่เพราะไม่มีเพื่อนชวนกันฝึกซ้อมก็เลยไม่ได้คิดจะลงแข่งขันต่อไปอีก “เออๆ ไอ้คนที่มึงบอกว่ายังเอาชนะไม่ได้ มึงยังได้เจอกันอีกมั้ยวะ กูอยากรู้ว่าผลเป็นไง”
วีส์วางสีหน้าเรียบเฉย เรื่องราวเก่าๆที่ฝังลงไปลึกมากแล้วกลับถูกดึงกลับขึ้นมาบนพื้นผิวอีกครั้ง เขาไม่ได้โกรธอะไรพุทธชาติ เพราะรู้จักกันดีว่าไม่ได้คิดอะไรในแง่ร้าย
“เปล่า ไม่ได้เจอกันแล้ว” วีส์ตอบสั้น
“วะ เสียดายว่ะ เห็นมึงเคยซ้อมเอาจริงเอาจังขนาดนั้น ยังสู้ไม่ได้อีกเหรอวะ”
“ถึงเขาจะยังแข่งอยู่ กูก็คงไม่มีทางชนะอยู่ดี”
“เอาเหอะมึง ไปหาอะไรกันกันดีกว่า” กฤษณะที่รู้เรื่องราวเบื้องลึกพยายามดึงบรรยากาศไม่ให้อึมครึมไปมากกว่านี้ และเขาก็เริ่มรู้สึกหิวจริงจังขึ้นมาแล้วด้วย
ทั้งสามหนุ่มเดินเลือกร้านอาหารจนกว่าจะได้ตามที่ต้องการ คือรอคิวไม่นานหรือมีโต๊ะว่างที่สามารถเข้าไปนั่งไปเลยทันทีก็ยิ่งดี แต่ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ก็ยากที่จะได้ร้านแบบนั้น จำต้องรอต่อคิวยาวไปเสียหมด นอกเสียจากว่าจะได้เจอคนรู้จักที่มีโต๊ะนั่งอยู่ภายในร้านแล้ว
“มึงๆ ดูในร้าน” พุทธชาติรั้งตัววีส์และกฤษณะไว้ก่อนที่จะเดินผ่านไป
วีส์และกฤษณะมองตามสายตาพุทธชาติเข้าไปด้านในของร้าน ก็เห็นเด็กหนุ่มกลุ่มใหญ่พอสมควรกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสานาน บนโต๊ะมีเพียงแก้วน้ำและจามพร้อมช้อนส้อมวางอยู่ตรงหน้าแต่ละคน
“ไปหาร้านอื่นกินเอาก็ได้” วีส์เสนอพร้อมเตรียมตัวจะออกเดินแล้ว
“ไม่ทันแล้วมึง น้องมึงเห็นแล้ว” กฤษณะแอบกระซิบบอก แล้วก็บุ้ยหน้าไปทางด้านในของร้านอาหารที่วิธูกำลังโบกไม้โบกมือมาให้พวกเขา แล้วก็ลุกเดินออกมาหา
“สวัสดีครับพี่ๆ” วิธูทักทายรุ่นพี่ทุกคน “มาทำอะไรกัน”
“พวกกูกำลังเดินหาร้านอยู่ แต่คนเยอะชิบหาย แน่นไปทุกร้านเลย” พุทธชาติออกปากแทนเพื่อนๆ
“เหรอ... งั้นมากินด้วยกันเลยมั้ย พอมีที่ว่างอยู่” วิธูชี้นิ้วเข้าด้านในของร้านอาหารที่เขาเพิ่งจะเดินออกมา
“มีที่ว่างเหรอ งั้น...” พุทธชาติกำลังจะตอบรับแต่ก็โดนขัดเสียก่อน
“ไม่ต้อง เดี๋ยวพวกกูไปหาร้านอื่นเอาเอง” วีส์บอกปัดขณะกำลังชำเลืองมองอาการของคนที่นั่งอยู่ด้านในไปด้วย วิธูเองก็หันมองตามกลับเข้าไปข้างในร้าน ถึงแม้ว่าวีร์จะไม่ได้หันมาสนใจอะไรพวกเขาที่ยืนอยู่ด้านนอก ที่บรรยากาศรอบตัวเหมือนแสงมัวๆส่องออกมา
“งั้นก็... ผมกลับเข้าไปข้างในก่อนนะ” วิธูบอกลาแล้วก็หันกลับไป
“ทำไมวะ โอกาสทองเลยไม่ใช่เหรอวะ” พุทธชาติไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนของเขาถึงไม่อยากร่วมโต๊ะอาหารด้วย
“มันคงกลัวว่าน้องยังโกรธที่มันเผลอไปจูงมือเดินลากข้ามห้องเมื่อวันก่อน รูปเต็มฟีดไปหมด” กฤษณะอธิบายให้ฟัง
“เรื่องแค่นั้นเองเนี่ยอะนะ” พุทธชาติยังคงตามไม่ทัน
“ก็เรื่องแค่นั้นทำเพื่อนมึงไม่สมหวังสักทีไง”
วีส์ไม่ได้โต้ตอบอะไร เขามองเข้าไปข้างในร้านอาหารอีกครั้งก่อนที่จะเดินนำเพื่อนๆไปหาร้านอื่น
เวลายามบ่ายแก่ๆผู้คนภายในห้างสรรพสินค้ายิ่งหนาตามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนหวังก็พึ่งอากาศเย็นๆเพื่อคลายความร้อนจากสภาพแวดล้อมด้านนอก และเข้ามาหากิจกรรมเพื่อความบันเทิงในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นโรงภาพยนตร์ ห้องคาราโอเกะ ลานโบว์ลิ่ง ร้านตู้เกมส์
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นทั้งสามหนุ่มไม่ได้แวะเข้าไปที่ไหนเลย ได้แต่เดินวนไปเรื่อยๆหลังจากที่รับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว เดินไปด้วยพูดคุยเรื่องสัพเพเหระไปด้วย
“มึงยังจำไอ้ฟีฟ่าได้มั้ยวะ” พุทธชาติถามเปลี่ยนเรื่องคุย
วีส์ขมวดคิ้วคิดอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ปรากฏภาพใดเข้ามาในความคิดของเขาเลย
“ก็ไอ้น้องที่เคยพยายามมาตีซี้กับมึงไง” กฤษณะก็ช่วยไขความ แต่ก็ไม่ทำให้วีส์นึกอะไรออก
“มึงต้องบอกว่าไอ้น้องที่เคยพยายามตามจีบมัน แต่มันไม่สนใจ”
“ก็นึกไม่ออกอยู่ดี” วีส์ยังไม่สามารถรื้อฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้ และเขาก็ไม่ได้ใส่ใจที่อยากจะนึกออกด้วยอยู่แล้ว
“ทำไมวะ” กฤษณะหันไปถามคนที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา
“กูได้ข่าวว่าตอนนี้มันได้เป็นเดือนคณะวิศวะ” พุทธชาติเล่าออกอาการ
“แล้วยังไงวะ หรือมึงจะบอกว่า น้องมันได้ตำแหน่งแล้วมันคงคิดจะเอามาใช้เรียกร้องความสนจากมันรึยังไง” กษฤณะถามต่อ
“มึงคร๊าบ เห็นเขาพูดกันว่ามันพูดกลางเวทีเลยว่ามีพี่วีส์ เนื้อนาดี เป็นไอดอลตั้งแต่ตอนอยู่โรงเรียน ทั้งเรียนดีกีฬาเด่น น่าชื่นชมม๊ากมาก มีคนจับจิ้นกันเต็มไปหมด”
วีส์ยังคงเงียบอยู่เหมือนเดิมไม่ได้แสดงความเห็นอะไร ทำเหมือนไม่ใช่เรื่องสาระสำคัญอะไรในชีวิตที่จะต้องไปรับรู้ ส่วนกฤษณะก็มองเพื่อนของเขาอย่างสงสัยขึ้น
“เดี๋ยวนะ...” พุทธชาติก็เหมือนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ “ไอ้วันก่อนที่มึงไปจูงมือลากน้องเขาเดินผ่ากลางลานท่ามกลางผู้คนเป็นร้อยๆ นี่คือมึงจงใจทำเพื่อสยบข่าวลือใช่มั้ย”
วีส์ยังคงตีหน้าตาย เขาไม่ได้ยอมรับและก็ไม่ได้ปฏิเสธใดๆทั้งสิ้น
“แต่... ถ้าจะสยบข่าว แล้วมึงจะไปฟาดงวงฟาดงาให้ลบรูปทำไมวะ” กฤษณะถามด้วยความสงสัยไปถึงข้อความที่เพื่อนของเขาลงไว้ในสื่อสังคมออนไลน์
“กูแค่จะบอกให้ลบรูปที่ถ่ายตอนนอนอยู่บนเตียงบริจาค แต่มันดันหายไปทั้งยวงเอง” วีส์ยักไหล่แบบมันช่วยอะไรไม่ได้ มันนอกเหนือไปจากที่เขาต้องการ
“แต่ก็ทำให้คนในด้อมมึงใจฟูขึ้นตาเห็น” พุทธชาติกล่าวสรุปปิดท้าย
“มึงคิดว่าน้องเขาจะทันเห็นมั้ยวะ” กฤษณะนึกสงสัย ด้วยรู้อยู่แล้วว่าปกติวีร์จะไม่ค่อยเล่นแอพลิเคชั่นสื่อสังคมออนไลน์สักเท่าไหร่
“เดี๋ยงก็ลองถามดูสิวะ โน้น... เดินมาแล้ว” พุทธชาติบุ้ยหน้าส่งสัญญาณให้เพื่อนๆของเขารับรู้ว่ามีกลุ่มเด็กหนุ่มหลายคนกำลังเดินผ่านมาทางพวกเขา
กลุ่มของเด็กหนุ่มที่กำลังพูดคุยกันสนุกสนานก็กลับเบาเสียงลงเมื่อเห็นว่ามีใครกำลังอยู่ตรงหน้าพวกเขา ถึงจะไม่คุ้นเคยกันแม้ว่าจะเป็นญาติกันอย่างนพชัยและชัยทิศก็ตาม แต่ทุกคนล้วนรับรู้ความสัมพันธ์พี่น้องระหว่างวีส์และวิธู เลยมีก็แต่วิธูเท่านั้นที่คุ้นเคยกับกลุ่มชายหนุ่มรุ่นพี่
“อ้าว ยังอยู่กันเหรอครับ นึกว่าจะกลับกันไปแล้ว” วิธูร้องทัก ส่วนวีส์แค่พยักหน้าตอบกลับ
แต่ละคนเหมือนจะร่วมมือร่วมใจเข้ายืนในตำแหน่งที่ทำให้วีร์ไปยืนอยู่ข้างๆวีส์แบบไม่ได้ตั้งใจ แต่แค่มองเห็นชัดๆว่าเป็นการจงใจ
“ก็อยู่รอถามน้องวีร์นี่แหละ” พุทธชาติเริ่มเปิดประเด็นขึ้นมา อย่างน้อยก็เรียกความสนใจได้จากทั้งสองคน คนน้องมองเขาด้วยความแปลกใจ ส่วนคนพี่สังสายตาดุดันกลับมา “ว่า... น้องวีร์... เป็นน้องแท้ๆอาจารย์ภูมิเลยใช่มั้ย”
คนที่รอลุ้นอยู่ก็หายใจคล่องขึ้นมาในทันที
“ก็... ประมาณนั้นมั้งครับ” วีร์ตอบโดยที่ยังสงสัยอยู่ว่าพุทธชาติจะถามเขาทำไม
“คือไม่ยังไง พี่แค่อยากรู้ว่าปกติอาจารย์ภูมิเป็นคนยังไง ดุมั้ยหรือว่าใจดี แบบเข้มงวดหน่อยหรือว่าสบายๆ”
“ถามทำไมเหรอครับ” วีร์อยากรู้ให้แน่ใจที่จุดประสงค์ที่แท้จริงก่อนที่จะตอบ
“ก็เอาไว้ตัดสินใจไงว่าจะลงวิชาของอาจารย์ดีมั้ย เคยได้ยินมาว่าตอนอาจารย์เกื้อเป็นคนสอนได้คะแนนยากมาก ก็เผื่อว่าอาจารย์ภูมิจะไม่เคี่ยวเท่า พี่ก็อาจจะวางแผนไปลงเรียน”
“อืม... ถ้าเรื่องสอนผมว่าพี่ภูมิน่าจะง่ายๆสบายๆ แต่เรื่องสอบนี่ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน” วีร์ตอบไปตามความเป็นจริง เพราะเขาก็ไม่เคยอยู่ในฐานะลูกศิษย์ของภูมิ จึงบอกอะไรไม่ได้มากนัก
“อ๋อ โอเค ไม่เป็นไร” พุทธชาติหัวเราะแหะเพราะว่าตัวเขาแถจนมาสุดทางแล้ว ไม่รู้ว่าจะไปต่ออย่างไรดี รวมถึงคนอื่นๆด้วยเช่นกันที่ไม่รู้จะต่อเรื่องราวอย่างไรดีและไม่รู้จะเริ่มชวนคุยเรื่องไหนกันดี
ปัง
มีเสียงดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงหวีดร้องมาจากที่ไกลๆ เริ่มมีผู้คนขยับตัวบางคนเริ่มวิ่ง บางคนก็ยังยืนชะโงกมองดูว่าเกิดอะไรขึ้น จากทิศทางที่แต่ละคนวิ่งหนีออกไปทำให้พอจะคาดการณ์จุดที่เกิดเหตุได้
ปัง
ผู้คนเริ่มแตกตื่นมากขึ้น เสียงร้องดังขึ้นมาเป็นระยะและคนจำนวนมากก็วิ่งผ่านพวกเขาไป สวนทางกับกลุ่มผู้รักษาความปลอดภัยที่วิ่งไปยังที่เกิดเหตุอย่างระมัดระวังตัว เมื่อเห็นคนต่างพากันวิ่งหนี วีส์จึงบอกให้เพื่อนๆและน้องๆรีบออกไปจากบริเวณนี้
ปัง
กระจกหน้าร้านที่อยู่ห่างไปไม่ไกลพวกเขามากนักแตกกระจาย เสียงกรี๊ดร้องดังตามมาติดๆ ความอลม่านเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ วีส์รีบคว้าตัววีร์มากอดไว้เลี่ยงแนววิถีกระสุน แล้วก็พากันวิ่งหลบหนีโดยเอาตัวของเขาบังด้านหลังไว้ ส่วนคนอื่นๆนั้นเขาไม่รู้ว่าวิ่งหลบไปทางไหนบ้าง
ปัง
เสียงกระสุนดังใกล้กับพวกเขามาก พร้อมกันนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งล้มลงนอนห่างจากพวกเขาไม่ไกลนัก น้ำสีแดงเข้มไหลออกมาจากใต้ลำตัวนองไปบนพื้น วีส์รีบดึงตัววีร์ก้มลงมาหลบข้างเสาต้นใหญ่ และคอยลอบมองมือปืนว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน
ปัง
เสียงดังอีกครั้งและมีผู้ชายอีกคนล้มลงใกล้ๆปลายเท้า วีส์หันกลับไปมองก็คนชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเล็งปืนไปที่ผู้ชายที่ล้มลงนอน วีส์จ้องไปที่นัยน์ตาของมือปืนก็เห็นความอาฆาต ความโกรธ และความกลัว มือที่กำลังถือปืนถือมีอาการสั่น นิ้วมือยังคงสอดอยู่ที่ไกปืนอยู่ ปลายกระบอกปืนค่อยๆเลื่อนมาที่พวกเขา
วีส์รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว เรื่องร้อยแปดพันประการที่อยากจะทำผุดขึ้นมาในหัวสมอง ใจเริ่มคิดไปต่างๆนานาว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง เขากอดเด็กหนุ่มไว้แน่นและพยายามเอาตัวบังไว้ให้มิด ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ขอให้โดนแต่ตัวเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
นิ้วมือเหนี่ยวไกปืนครั้งที่หนึ่ง ไม่เกิดอะไรขึ้น ครั้งที่สอง ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น มือปืนเริ่มเหนี่ยวไกปืนถี่ๆจนแน่ชัดแล้วว่าไม่มีกระสุนอีกแล้ว หน่วยรักษาความปลอดภัยเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปใกล้เพื่อจะจับตัว แต่มือปืนรีบวิ่งหนีไป และเมื่อเห็นคงจะไม่มีทางหนีพ้นแล้ว ก็ตัดสินใจกระโดดข้ามกำแพงระเบียงนำพาเอาร่างของตัวเขาเองร่วงลงไปชั้นล่าง
เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย มีหน่วยรักษาความปลอดภัยเข้าไปตรวจดูร่างที่นอนอยู่ เมื่อเห็นว่าไม่พบสัญญาณชีพแล้วทั้งสองคนก็เริ่มกันคนออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ รอจนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้ามาดำเนินการ และเริ่มตรวจตรวจบริเวณโดยรอบเพื่อเข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ
“เป็นอะไรมั้ยครับ” มีเจ้าหน้าที่เข้ามาถามวีส์ที่ยังกอดวีร์ไว้แน่น
“ไม่เป็นไรครับ” วีส์ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นไม่ต่างไปจากร่างกายของเขา
“แต่เลือดนี่...” เจ้าหน้าที่เข้าตรวจดูใกล้ๆหากเกิดว่ามีบาดแผล
วีร์ได้ยินดังนั้นก็รีบขยับตัวดูก็เห็นว่าที่แขนเสื้อข้างหนึ่งนั้นเปื้อนรอยสีแดงเข้ม
“พี่โดนยิงเหรอ” วีร์จะตรวจดูแผลแต่ก็โดยชายหนุ่มรุ่นพี่คว้ามือเขาไว้เสียก่อน
“พี่ไม่เป็นอะไร นี่เลือดคนตายกระเด็นมาโดน” วีส์รู้สึกโล่งใจขึ้นหน่อยที่ยั้งมือของเด็กหนุ่มไว้ได้ทัน เพราะไม่รู้ว่าคนที่เสียชีวิตไปแล้วนั้นจะมีโรคติดต่ออะไรอยู่บ้าง ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ขอให้เขาเป็นคนเดียวก็พอแล้ว
“โอเค ถ้าไม่เป็นอะไรทั้งคู่ เดี๋ยวช่วยขยับไปที่จุดปฐมพยาบาลก่อนนะครับ จะมีเจ้าหน้าที่อำนวยการคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ ตรงนี้จะได้กันเป็นพื้นที่ควบคุมรอเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดำเนินการต่อนะครับ”
“ได้ครับ” วีส์ตอบรับแล้วก็ช่วยเด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วรวมตัวกับคนอื่นๆ
ตรงจุดบริการที่ตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะมีเจ้าหน้าที่กำลังปฐมพยาบาลให้กับคนที่ได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่บางคนก็สอบถามข้อมูลเพื่อติดต่อสำหรับการชดเชยภายหลัง เจ้าหน้าที่คนอื่นๆที่เหลือก็กันบริเวณโดยรอบตั้งแต่จุดเริ่มเกิดเหตุไปจนถึงบริเวณที่คนร้ายกระโดดจาดระเบียงลงไป รวมถึงพื้นที่รอบศพคนร้ายที่ชั้นล่างด้วย
“ได้รับบาดเจ็บตรงไหนมั้ยคะ” เจ้าหน้าที่หญิงสอบถามเมื่อทั้งสองคนเดินมาถึง
“ไม่มีครับ” วีส์เป็นคนตอบคนแรก
เจ้าหน้าที่จึงหันไปหาวีร์ ซึ่งวีร์ก็ส่ายหน้าตอบว่าไม่เป็นอะไร อย่างน้อยก็ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น เขาแค่รู้สึกเจ็บที่หน้าอกเพราะอ้อมแขนของชายหนุ่มร่างสูงที่กอดเข้าไว้แน่น ไปกดทับแหวนหยกสีแดงที่เขาใส่คล้องคอไว้ หากเปิดเสื้อดูตอนนี้ก็คงจะเห็นเป็นรอยรูปวงกลมอยู่เป็นแน่
“งั้น เดี๋ยวช่วยกรอกข้อมูลให้หน่อยนะคะ ทางห้างของเราจะได้ดำเนินการติดต่อไปในภายหลัง” เจ้าหน้าที่หญิงยื่นแผ่นกระดาษและปากกาให้ทั้งสองคน
“ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” วีส์บอกปฏิเสธทั้งของตัวเขาและของเด็กหนุ่มด้วย
“ไม่ได้คะ ทางผู้บริหารมีคำสั่งให้เข้าช่วยเหลือผู้ประสบเหตุทุกคนคะ” เจ้าหน้าที่หญิงยังคงยืนยัน
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” วีส์ยังคงยืนยัน ด้วยฐานะของเขาการชดเชยจากผู้บริหารห้างสรรพสินค้าแห่งนี้กับการช่วยเหลือจากครอบครัวก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ “ผมขอเสื้อมาเปลี่ยนก็พอแล้วครับ”
เจ้าหน้าที่หญิงไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจจากกรณีนี้อย่างไรดี แต่ก็ไปหาเสื้อตัวใหม่มาให้เปลี่ยนตามคำขอแล้วเธอก็ไปปรึกษาหัวหน้างานของเธอ
วีร์เห็นว่ามีรอบเลือดเปื้อนไปที่ท่อนแขนตอนที่วีส์ถอดเสื้อออก เขาจึงไปขออุปกรณ์จากเจ้าที่ปฐมพยาบาลเพื่อมาเช็ดเลือดออกให้ แต่เพราะว่าไม่ได้สวมถุงมือ วีส์จึงห้ามไว้และให้เจ้าหน้าที่เป็นคนจัดการแทน แล้ววีส์ก็สวมเสื้อใหม่ที่ได้รับมา
หลังจากที่รอจนเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงและได้ให้ข้อมูลไปครบถ้วนแล้ว วีส์ก็มองหาเพื่อนๆและน้องๆว่าอยู่ที่ไหนกัน จนไปเห็นวิธูที่โบกไม้โบกมืออยู่ด้านนอกบริเวณที่ถูกกันเป็นพื้นที่ควบคุมไว้ วีส์จึงชวนวีร์เดินออกไปหาทุกคน
“พี่เป็นอะไรมั้ย ไอ้อ้วนมึงยังอยู่ดีนะ” วิธูถามทั้งสองคน
“กูไม่เป็นอะไร” วีส์ตอบน้องชายของเขา
“เฮ้อ โล่งอก ก็ตอนแรกเห็นติดอยู่ข้างในนึกว่าจะเป็นอะไรกัน” วิธูรู้สึกสบายใจมากขึ้น
“ตำรวจเขาขอให้อยู่เพื่อถามข้อมูลเพื่อว่าเป็นจะพยานอะไรได้บ้าง พอไม่มีอะไรแล้วเขาก็ปล่อย” วีร์อธิบายเพิ่มเติมให้เพื่อนเข้าฟัง
“กูน่ะใจหายวาบตอนหันไปเห็นพี่กับมึงนอนอยู่บนพื้น ไอ้เหี้ย กูคิดอะไรไม่ออกเลย ไม่รู้จะโทรหาใครก่อนดี” วิธูยังคงมีอาการตื่นตระหนกอยู่บ้าง
วีร์นั้นไม่ได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตัวเขาถูกชายหนุ่มร่างสูงคล่อมบังไว้แนบกับตัวเสา ได้ยินแต่เสียงดัง แกร๊ก อยู่สองสามครั้ง ก่อนที่จะได้ยินเสียงหน่วยรักษาความปลอดภัยวิ่งไล่คนร้ายไป
“กูไม่เป็นอะไรแล้ว” วีร์ยืนยันคำตอบกับเพื่อนของเขา
“ดีแล้ว” วิธูหายใจลึกอีกครั้ง “เนี่ยไอ้ปันก็โทรมา เห็นว่าออกข่าวไปทั่วประเทศแล้ว มันรู้ว่าพวกเรามาห้างกันมันก็เลยรีบโทรมาถามว่ามีใครเป็นอะไรมั้ย”
“แล้วมึงตอบไว้ว่ายังไง” วีส์ถามน้องชายของเขา
“จำไม่ได้แล้วว่าพูดอะไรไปบ้าง แต่มันเพิ่งโทรมาอีกรอบว่าตอนนี้แม่พี่กำลังซิ่งรถกลับมา อีกสักสองชั่วโมงคงจะมาถึง”
วีส์ถอนหายใจแล้วก็ส่ายหน้า ตัวเขาก็พอจะรู้ระดับความเร็วของรถยนต์ที่แม่ของเขาเป็นคนขับ เดินทางไกลข้ามจังหวัดปกติก็รวดเร็วอยู่แล้ว คิดว่ากรณีนี้ก็คงจะยิ่งเร็วมากขึ้นไปอีก
“แล้วนี่คนอื่นๆไปไหนกันหมด” วีส์ถามแล้วก็มองดูรอบๆ
ส่วนวีร์ก็ถูกกระชากจนตัวหมุนไปตามแรง ศศิทัศน์จับตัววีร์หันซ้ายขวา จับแขนแต่ละข้างขึ้นดู แล้วเอามือลูบตั้งหัวลงไปตลอดลำตัว
“ไอ้ตี๋เล็ก กูไม่เป็นอะไร” วีร์บอกให้เพื่อนได้สบายใจ
“ไอ้เหี้ย กูนึกว่ามึงจะเป็นอะไรไปแล้ว ถ้าพวกนี้ไม่ดึงกูไว้ กูคงวิ่งไปหามึงแล้วตอนที่มือปืนเล็งปืนมาที่มึง” ศศิทัศน์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกอยู่ ซึ่งก็ทำให้วีร์ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงถูกบังตัวไว้แบบนั้น แล้วศศิทัศน์ก็โผเข้ากอดวีร์ไว้แน่น
“ไอ้กิ่งไอ้ก้านมันใช้เส้นสายไปคุยกับเจ้าหน้าที่มา เห็นเขาบอกว่าปืนที่คนร้ายใช้น่ะ ว่าจริงๆแล้วยังเหลือลูกกระสุนคิดติดอยู่ในซองลูกนึง” สุรศักดิ์อธิบายเพิ่มเติมว่าทำไมพวกเขาถึงรู้สึกตกใจกลัวกัน
วีร์ไปหาคู่แฝดนพชัยและชัยทิศซึ่งต่างก็พยักหน้ายืนยันว่าเป็นความจริง แล้ววีร์ก็หันมองชายหนุ่มรุ่นพี่ คิดถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ว่าวันนี้พวกเขาอาจจะไม่มีชีวิตอยู่รอดแล้วก็เป็นไปได้
เป็นเพราะตัวเขาเองหรือเปล่า
“แดกอะไรกันดีวะ” พุทธชาติถามเพื่อนทั้งสองคน
“แล้วแต่พวกมึงดิ กูยังไงก็ได้” วีส์ตอบแล้วมองดูรอบๆแบบไม่ได้ใส่ใจอะไรเป็นพิเศษ
“คือ... มึงกินครบทุกร้านจนเบื่อแล้ว ก็เลยให้พวกกูเป็นคนเลือกเองว่างั้น” พุทธชาติถามกลับ
“มันแทบจะนับร้านที่มันเคยเข้าไปกินได้ไม่เกินนิ้วมือมั้ง” กฤษณะตอบกลับให้แทน
“ไรวะ ของบ้านตัวเองแท้ๆ ถ้าเป็นกูนะ จะเดินทุกวันให้ทั่วทุกซอกเหลือบมุมตึกเลย” พุทธชาติมองดูวีส์ที่ยังคงมีท่าทางไม่ค่อยสนใจอะไร
“บ้านกูทำเรียลเอสเตทไม่ได้บริหารห้างเว้ย แล้วกูก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ห้างนี่ถ้าไม่ได้มีธุระจำเป็นจริงๆก็แทบจะไม่ได้มาเดินเลยด้วยซ้ำ”
“ตอนที่พวกมึงอยู่ประจำกันกูก็พอจะเข้าใจว่าทำไมไม่ค่อยได้กลับ แต่ตอนที่มึงย้ายมาแล้วเนี่ย กูก็ยังงงอยู่ว่าทำไมมึงไม่ค่อยกลับบ้านบ้างวะ” พุทธชาติถาม
“ก็อยู่ที่อพาร์ทเมนต์มันสะดวกดี ใกล้สนามซ้อม เลิกสามสี่ทุ่มเสร็จแล้วก็เดินขึ้นห้องได้เลย”
“แถมยังไม่เคยชวนกูขึ้นห้องเลยสักครั้งเดียว” พุทธชาติส่ายหน้าเบาๆกับเรื่องความหลัง “แต่เสียดายว่ะที่มึงไม่แข่งต่อ แต่ก็นะ...กูก็เลยขี้เกียจแข่งไปด้วย” พุทธชาติไม่ใช่บ่นเพราะเสียดายโอกาส แต่เพราะไม่มีเพื่อนชวนกันฝึกซ้อมก็เลยไม่ได้คิดจะลงแข่งขันต่อไปอีก “เออๆ ไอ้คนที่มึงบอกว่ายังเอาชนะไม่ได้ มึงยังได้เจอกันอีกมั้ยวะ กูอยากรู้ว่าผลเป็นไง”
วีส์วางสีหน้าเรียบเฉย เรื่องราวเก่าๆที่ฝังลงไปลึกมากแล้วกลับถูกดึงกลับขึ้นมาบนพื้นผิวอีกครั้ง เขาไม่ได้โกรธอะไรพุทธชาติ เพราะรู้จักกันดีว่าไม่ได้คิดอะไรในแง่ร้าย
“เปล่า ไม่ได้เจอกันแล้ว” วีส์ตอบสั้น
“วะ เสียดายว่ะ เห็นมึงเคยซ้อมเอาจริงเอาจังขนาดนั้น ยังสู้ไม่ได้อีกเหรอวะ”
“ถึงเขาจะยังแข่งอยู่ กูก็คงไม่มีทางชนะอยู่ดี”
“เอาเหอะมึง ไปหาอะไรกันกันดีกว่า” กฤษณะที่รู้เรื่องราวเบื้องลึกพยายามดึงบรรยากาศไม่ให้อึมครึมไปมากกว่านี้ และเขาก็เริ่มรู้สึกหิวจริงจังขึ้นมาแล้วด้วย
ทั้งสามหนุ่มเดินเลือกร้านอาหารจนกว่าจะได้ตามที่ต้องการ คือรอคิวไม่นานหรือมีโต๊ะว่างที่สามารถเข้าไปนั่งไปเลยทันทีก็ยิ่งดี แต่ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ก็ยากที่จะได้ร้านแบบนั้น จำต้องรอต่อคิวยาวไปเสียหมด นอกเสียจากว่าจะได้เจอคนรู้จักที่มีโต๊ะนั่งอยู่ภายในร้านแล้ว
“มึงๆ ดูในร้าน” พุทธชาติรั้งตัววีส์และกฤษณะไว้ก่อนที่จะเดินผ่านไป
วีส์และกฤษณะมองตามสายตาพุทธชาติเข้าไปด้านในของร้าน ก็เห็นเด็กหนุ่มกลุ่มใหญ่พอสมควรกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสานาน บนโต๊ะมีเพียงแก้วน้ำและจามพร้อมช้อนส้อมวางอยู่ตรงหน้าแต่ละคน
“ไปหาร้านอื่นกินเอาก็ได้” วีส์เสนอพร้อมเตรียมตัวจะออกเดินแล้ว
“ไม่ทันแล้วมึง น้องมึงเห็นแล้ว” กฤษณะแอบกระซิบบอก แล้วก็บุ้ยหน้าไปทางด้านในของร้านอาหารที่วิธูกำลังโบกไม้โบกมือมาให้พวกเขา แล้วก็ลุกเดินออกมาหา
“สวัสดีครับพี่ๆ” วิธูทักทายรุ่นพี่ทุกคน “มาทำอะไรกัน”
“พวกกูกำลังเดินหาร้านอยู่ แต่คนเยอะชิบหาย แน่นไปทุกร้านเลย” พุทธชาติออกปากแทนเพื่อนๆ
“เหรอ... งั้นมากินด้วยกันเลยมั้ย พอมีที่ว่างอยู่” วิธูชี้นิ้วเข้าด้านในของร้านอาหารที่เขาเพิ่งจะเดินออกมา
“มีที่ว่างเหรอ งั้น...” พุทธชาติกำลังจะตอบรับแต่ก็โดนขัดเสียก่อน
“ไม่ต้อง เดี๋ยวพวกกูไปหาร้านอื่นเอาเอง” วีส์บอกปัดขณะกำลังชำเลืองมองอาการของคนที่นั่งอยู่ด้านในไปด้วย วิธูเองก็หันมองตามกลับเข้าไปข้างในร้าน ถึงแม้ว่าวีร์จะไม่ได้หันมาสนใจอะไรพวกเขาที่ยืนอยู่ด้านนอก ที่บรรยากาศรอบตัวเหมือนแสงมัวๆส่องออกมา
“งั้นก็... ผมกลับเข้าไปข้างในก่อนนะ” วิธูบอกลาแล้วก็หันกลับไป
“ทำไมวะ โอกาสทองเลยไม่ใช่เหรอวะ” พุทธชาติไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนของเขาถึงไม่อยากร่วมโต๊ะอาหารด้วย
“มันคงกลัวว่าน้องยังโกรธที่มันเผลอไปจูงมือเดินลากข้ามห้องเมื่อวันก่อน รูปเต็มฟีดไปหมด” กฤษณะอธิบายให้ฟัง
“เรื่องแค่นั้นเองเนี่ยอะนะ” พุทธชาติยังคงตามไม่ทัน
“ก็เรื่องแค่นั้นทำเพื่อนมึงไม่สมหวังสักทีไง”
วีส์ไม่ได้โต้ตอบอะไร เขามองเข้าไปข้างในร้านอาหารอีกครั้งก่อนที่จะเดินนำเพื่อนๆไปหาร้านอื่น
*****
เวลายามบ่ายแก่ๆผู้คนภายในห้างสรรพสินค้ายิ่งหนาตามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนหวังก็พึ่งอากาศเย็นๆเพื่อคลายความร้อนจากสภาพแวดล้อมด้านนอก และเข้ามาหากิจกรรมเพื่อความบันเทิงในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็นโรงภาพยนตร์ ห้องคาราโอเกะ ลานโบว์ลิ่ง ร้านตู้เกมส์
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นทั้งสามหนุ่มไม่ได้แวะเข้าไปที่ไหนเลย ได้แต่เดินวนไปเรื่อยๆหลังจากที่รับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว เดินไปด้วยพูดคุยเรื่องสัพเพเหระไปด้วย
“มึงยังจำไอ้ฟีฟ่าได้มั้ยวะ” พุทธชาติถามเปลี่ยนเรื่องคุย
วีส์ขมวดคิ้วคิดอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ปรากฏภาพใดเข้ามาในความคิดของเขาเลย
“ก็ไอ้น้องที่เคยพยายามมาตีซี้กับมึงไง” กฤษณะก็ช่วยไขความ แต่ก็ไม่ทำให้วีส์นึกอะไรออก
“มึงต้องบอกว่าไอ้น้องที่เคยพยายามตามจีบมัน แต่มันไม่สนใจ”
“ก็นึกไม่ออกอยู่ดี” วีส์ยังไม่สามารถรื้อฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้ และเขาก็ไม่ได้ใส่ใจที่อยากจะนึกออกด้วยอยู่แล้ว
“ทำไมวะ” กฤษณะหันไปถามคนที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา
“กูได้ข่าวว่าตอนนี้มันได้เป็นเดือนคณะวิศวะ” พุทธชาติเล่าออกอาการ
“แล้วยังไงวะ หรือมึงจะบอกว่า น้องมันได้ตำแหน่งแล้วมันคงคิดจะเอามาใช้เรียกร้องความสนจากมันรึยังไง” กษฤณะถามต่อ
“มึงคร๊าบ เห็นเขาพูดกันว่ามันพูดกลางเวทีเลยว่ามีพี่วีส์ เนื้อนาดี เป็นไอดอลตั้งแต่ตอนอยู่โรงเรียน ทั้งเรียนดีกีฬาเด่น น่าชื่นชมม๊ากมาก มีคนจับจิ้นกันเต็มไปหมด”
วีส์ยังคงเงียบอยู่เหมือนเดิมไม่ได้แสดงความเห็นอะไร ทำเหมือนไม่ใช่เรื่องสาระสำคัญอะไรในชีวิตที่จะต้องไปรับรู้ ส่วนกฤษณะก็มองเพื่อนของเขาอย่างสงสัยขึ้น
“เดี๋ยวนะ...” พุทธชาติก็เหมือนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ “ไอ้วันก่อนที่มึงไปจูงมือลากน้องเขาเดินผ่ากลางลานท่ามกลางผู้คนเป็นร้อยๆ นี่คือมึงจงใจทำเพื่อสยบข่าวลือใช่มั้ย”
วีส์ยังคงตีหน้าตาย เขาไม่ได้ยอมรับและก็ไม่ได้ปฏิเสธใดๆทั้งสิ้น
“แต่... ถ้าจะสยบข่าว แล้วมึงจะไปฟาดงวงฟาดงาให้ลบรูปทำไมวะ” กฤษณะถามด้วยความสงสัยไปถึงข้อความที่เพื่อนของเขาลงไว้ในสื่อสังคมออนไลน์
“กูแค่จะบอกให้ลบรูปที่ถ่ายตอนนอนอยู่บนเตียงบริจาค แต่มันดันหายไปทั้งยวงเอง” วีส์ยักไหล่แบบมันช่วยอะไรไม่ได้ มันนอกเหนือไปจากที่เขาต้องการ
“แต่ก็ทำให้คนในด้อมมึงใจฟูขึ้นตาเห็น” พุทธชาติกล่าวสรุปปิดท้าย
“มึงคิดว่าน้องเขาจะทันเห็นมั้ยวะ” กฤษณะนึกสงสัย ด้วยรู้อยู่แล้วว่าปกติวีร์จะไม่ค่อยเล่นแอพลิเคชั่นสื่อสังคมออนไลน์สักเท่าไหร่
“เดี๋ยงก็ลองถามดูสิวะ โน้น... เดินมาแล้ว” พุทธชาติบุ้ยหน้าส่งสัญญาณให้เพื่อนๆของเขารับรู้ว่ามีกลุ่มเด็กหนุ่มหลายคนกำลังเดินผ่านมาทางพวกเขา
กลุ่มของเด็กหนุ่มที่กำลังพูดคุยกันสนุกสนานก็กลับเบาเสียงลงเมื่อเห็นว่ามีใครกำลังอยู่ตรงหน้าพวกเขา ถึงจะไม่คุ้นเคยกันแม้ว่าจะเป็นญาติกันอย่างนพชัยและชัยทิศก็ตาม แต่ทุกคนล้วนรับรู้ความสัมพันธ์พี่น้องระหว่างวีส์และวิธู เลยมีก็แต่วิธูเท่านั้นที่คุ้นเคยกับกลุ่มชายหนุ่มรุ่นพี่
“อ้าว ยังอยู่กันเหรอครับ นึกว่าจะกลับกันไปแล้ว” วิธูร้องทัก ส่วนวีส์แค่พยักหน้าตอบกลับ
แต่ละคนเหมือนจะร่วมมือร่วมใจเข้ายืนในตำแหน่งที่ทำให้วีร์ไปยืนอยู่ข้างๆวีส์แบบไม่ได้ตั้งใจ แต่แค่มองเห็นชัดๆว่าเป็นการจงใจ
“ก็อยู่รอถามน้องวีร์นี่แหละ” พุทธชาติเริ่มเปิดประเด็นขึ้นมา อย่างน้อยก็เรียกความสนใจได้จากทั้งสองคน คนน้องมองเขาด้วยความแปลกใจ ส่วนคนพี่สังสายตาดุดันกลับมา “ว่า... น้องวีร์... เป็นน้องแท้ๆอาจารย์ภูมิเลยใช่มั้ย”
คนที่รอลุ้นอยู่ก็หายใจคล่องขึ้นมาในทันที
“ก็... ประมาณนั้นมั้งครับ” วีร์ตอบโดยที่ยังสงสัยอยู่ว่าพุทธชาติจะถามเขาทำไม
“คือไม่ยังไง พี่แค่อยากรู้ว่าปกติอาจารย์ภูมิเป็นคนยังไง ดุมั้ยหรือว่าใจดี แบบเข้มงวดหน่อยหรือว่าสบายๆ”
“ถามทำไมเหรอครับ” วีร์อยากรู้ให้แน่ใจที่จุดประสงค์ที่แท้จริงก่อนที่จะตอบ
“ก็เอาไว้ตัดสินใจไงว่าจะลงวิชาของอาจารย์ดีมั้ย เคยได้ยินมาว่าตอนอาจารย์เกื้อเป็นคนสอนได้คะแนนยากมาก ก็เผื่อว่าอาจารย์ภูมิจะไม่เคี่ยวเท่า พี่ก็อาจจะวางแผนไปลงเรียน”
“อืม... ถ้าเรื่องสอนผมว่าพี่ภูมิน่าจะง่ายๆสบายๆ แต่เรื่องสอบนี่ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน” วีร์ตอบไปตามความเป็นจริง เพราะเขาก็ไม่เคยอยู่ในฐานะลูกศิษย์ของภูมิ จึงบอกอะไรไม่ได้มากนัก
“อ๋อ โอเค ไม่เป็นไร” พุทธชาติหัวเราะแหะเพราะว่าตัวเขาแถจนมาสุดทางแล้ว ไม่รู้ว่าจะไปต่ออย่างไรดี รวมถึงคนอื่นๆด้วยเช่นกันที่ไม่รู้จะต่อเรื่องราวอย่างไรดีและไม่รู้จะเริ่มชวนคุยเรื่องไหนกันดี
ปัง
มีเสียงดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงหวีดร้องมาจากที่ไกลๆ เริ่มมีผู้คนขยับตัวบางคนเริ่มวิ่ง บางคนก็ยังยืนชะโงกมองดูว่าเกิดอะไรขึ้น จากทิศทางที่แต่ละคนวิ่งหนีออกไปทำให้พอจะคาดการณ์จุดที่เกิดเหตุได้
ปัง
ผู้คนเริ่มแตกตื่นมากขึ้น เสียงร้องดังขึ้นมาเป็นระยะและคนจำนวนมากก็วิ่งผ่านพวกเขาไป สวนทางกับกลุ่มผู้รักษาความปลอดภัยที่วิ่งไปยังที่เกิดเหตุอย่างระมัดระวังตัว เมื่อเห็นคนต่างพากันวิ่งหนี วีส์จึงบอกให้เพื่อนๆและน้องๆรีบออกไปจากบริเวณนี้
ปัง
กระจกหน้าร้านที่อยู่ห่างไปไม่ไกลพวกเขามากนักแตกกระจาย เสียงกรี๊ดร้องดังตามมาติดๆ ความอลม่านเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ วีส์รีบคว้าตัววีร์มากอดไว้เลี่ยงแนววิถีกระสุน แล้วก็พากันวิ่งหลบหนีโดยเอาตัวของเขาบังด้านหลังไว้ ส่วนคนอื่นๆนั้นเขาไม่รู้ว่าวิ่งหลบไปทางไหนบ้าง
ปัง
เสียงกระสุนดังใกล้กับพวกเขามาก พร้อมกันนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งล้มลงนอนห่างจากพวกเขาไม่ไกลนัก น้ำสีแดงเข้มไหลออกมาจากใต้ลำตัวนองไปบนพื้น วีส์รีบดึงตัววีร์ก้มลงมาหลบข้างเสาต้นใหญ่ และคอยลอบมองมือปืนว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน
ปัง
เสียงดังอีกครั้งและมีผู้ชายอีกคนล้มลงใกล้ๆปลายเท้า วีส์หันกลับไปมองก็คนชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเล็งปืนไปที่ผู้ชายที่ล้มลงนอน วีส์จ้องไปที่นัยน์ตาของมือปืนก็เห็นความอาฆาต ความโกรธ และความกลัว มือที่กำลังถือปืนถือมีอาการสั่น นิ้วมือยังคงสอดอยู่ที่ไกปืนอยู่ ปลายกระบอกปืนค่อยๆเลื่อนมาที่พวกเขา
วีส์รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว เรื่องร้อยแปดพันประการที่อยากจะทำผุดขึ้นมาในหัวสมอง ใจเริ่มคิดไปต่างๆนานาว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง เขากอดเด็กหนุ่มไว้แน่นและพยายามเอาตัวบังไว้ให้มิด ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ขอให้โดนแต่ตัวเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
นิ้วมือเหนี่ยวไกปืนครั้งที่หนึ่ง ไม่เกิดอะไรขึ้น ครั้งที่สอง ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น มือปืนเริ่มเหนี่ยวไกปืนถี่ๆจนแน่ชัดแล้วว่าไม่มีกระสุนอีกแล้ว หน่วยรักษาความปลอดภัยเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปใกล้เพื่อจะจับตัว แต่มือปืนรีบวิ่งหนีไป และเมื่อเห็นคงจะไม่มีทางหนีพ้นแล้ว ก็ตัดสินใจกระโดดข้ามกำแพงระเบียงนำพาเอาร่างของตัวเขาเองร่วงลงไปชั้นล่าง
เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย มีหน่วยรักษาความปลอดภัยเข้าไปตรวจดูร่างที่นอนอยู่ เมื่อเห็นว่าไม่พบสัญญาณชีพแล้วทั้งสองคนก็เริ่มกันคนออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ รอจนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้ามาดำเนินการ และเริ่มตรวจตรวจบริเวณโดยรอบเพื่อเข้าช่วยเหลือผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ
“เป็นอะไรมั้ยครับ” มีเจ้าหน้าที่เข้ามาถามวีส์ที่ยังกอดวีร์ไว้แน่น
“ไม่เป็นไรครับ” วีส์ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นไม่ต่างไปจากร่างกายของเขา
“แต่เลือดนี่...” เจ้าหน้าที่เข้าตรวจดูใกล้ๆหากเกิดว่ามีบาดแผล
วีร์ได้ยินดังนั้นก็รีบขยับตัวดูก็เห็นว่าที่แขนเสื้อข้างหนึ่งนั้นเปื้อนรอยสีแดงเข้ม
“พี่โดนยิงเหรอ” วีร์จะตรวจดูแผลแต่ก็โดยชายหนุ่มรุ่นพี่คว้ามือเขาไว้เสียก่อน
“พี่ไม่เป็นอะไร นี่เลือดคนตายกระเด็นมาโดน” วีส์รู้สึกโล่งใจขึ้นหน่อยที่ยั้งมือของเด็กหนุ่มไว้ได้ทัน เพราะไม่รู้ว่าคนที่เสียชีวิตไปแล้วนั้นจะมีโรคติดต่ออะไรอยู่บ้าง ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ขอให้เขาเป็นคนเดียวก็พอแล้ว
“โอเค ถ้าไม่เป็นอะไรทั้งคู่ เดี๋ยวช่วยขยับไปที่จุดปฐมพยาบาลก่อนนะครับ จะมีเจ้าหน้าที่อำนวยการคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ ตรงนี้จะได้กันเป็นพื้นที่ควบคุมรอเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดำเนินการต่อนะครับ”
“ได้ครับ” วีส์ตอบรับแล้วก็ช่วยเด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้วรวมตัวกับคนอื่นๆ
ตรงจุดบริการที่ตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะมีเจ้าหน้าที่กำลังปฐมพยาบาลให้กับคนที่ได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่บางคนก็สอบถามข้อมูลเพื่อติดต่อสำหรับการชดเชยภายหลัง เจ้าหน้าที่คนอื่นๆที่เหลือก็กันบริเวณโดยรอบตั้งแต่จุดเริ่มเกิดเหตุไปจนถึงบริเวณที่คนร้ายกระโดดจาดระเบียงลงไป รวมถึงพื้นที่รอบศพคนร้ายที่ชั้นล่างด้วย
“ได้รับบาดเจ็บตรงไหนมั้ยคะ” เจ้าหน้าที่หญิงสอบถามเมื่อทั้งสองคนเดินมาถึง
“ไม่มีครับ” วีส์เป็นคนตอบคนแรก
เจ้าหน้าที่จึงหันไปหาวีร์ ซึ่งวีร์ก็ส่ายหน้าตอบว่าไม่เป็นอะไร อย่างน้อยก็ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น เขาแค่รู้สึกเจ็บที่หน้าอกเพราะอ้อมแขนของชายหนุ่มร่างสูงที่กอดเข้าไว้แน่น ไปกดทับแหวนหยกสีแดงที่เขาใส่คล้องคอไว้ หากเปิดเสื้อดูตอนนี้ก็คงจะเห็นเป็นรอยรูปวงกลมอยู่เป็นแน่
“งั้น เดี๋ยวช่วยกรอกข้อมูลให้หน่อยนะคะ ทางห้างของเราจะได้ดำเนินการติดต่อไปในภายหลัง” เจ้าหน้าที่หญิงยื่นแผ่นกระดาษและปากกาให้ทั้งสองคน
“ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” วีส์บอกปฏิเสธทั้งของตัวเขาและของเด็กหนุ่มด้วย
“ไม่ได้คะ ทางผู้บริหารมีคำสั่งให้เข้าช่วยเหลือผู้ประสบเหตุทุกคนคะ” เจ้าหน้าที่หญิงยังคงยืนยัน
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง” วีส์ยังคงยืนยัน ด้วยฐานะของเขาการชดเชยจากผู้บริหารห้างสรรพสินค้าแห่งนี้กับการช่วยเหลือจากครอบครัวก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ “ผมขอเสื้อมาเปลี่ยนก็พอแล้วครับ”
เจ้าหน้าที่หญิงไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจจากกรณีนี้อย่างไรดี แต่ก็ไปหาเสื้อตัวใหม่มาให้เปลี่ยนตามคำขอแล้วเธอก็ไปปรึกษาหัวหน้างานของเธอ
วีร์เห็นว่ามีรอบเลือดเปื้อนไปที่ท่อนแขนตอนที่วีส์ถอดเสื้อออก เขาจึงไปขออุปกรณ์จากเจ้าที่ปฐมพยาบาลเพื่อมาเช็ดเลือดออกให้ แต่เพราะว่าไม่ได้สวมถุงมือ วีส์จึงห้ามไว้และให้เจ้าหน้าที่เป็นคนจัดการแทน แล้ววีส์ก็สวมเสื้อใหม่ที่ได้รับมา
*****
หลังจากที่รอจนเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงและได้ให้ข้อมูลไปครบถ้วนแล้ว วีส์ก็มองหาเพื่อนๆและน้องๆว่าอยู่ที่ไหนกัน จนไปเห็นวิธูที่โบกไม้โบกมืออยู่ด้านนอกบริเวณที่ถูกกันเป็นพื้นที่ควบคุมไว้ วีส์จึงชวนวีร์เดินออกไปหาทุกคน
“พี่เป็นอะไรมั้ย ไอ้อ้วนมึงยังอยู่ดีนะ” วิธูถามทั้งสองคน
“กูไม่เป็นอะไร” วีส์ตอบน้องชายของเขา
“เฮ้อ โล่งอก ก็ตอนแรกเห็นติดอยู่ข้างในนึกว่าจะเป็นอะไรกัน” วิธูรู้สึกสบายใจมากขึ้น
“ตำรวจเขาขอให้อยู่เพื่อถามข้อมูลเพื่อว่าเป็นจะพยานอะไรได้บ้าง พอไม่มีอะไรแล้วเขาก็ปล่อย” วีร์อธิบายเพิ่มเติมให้เพื่อนเข้าฟัง
“กูน่ะใจหายวาบตอนหันไปเห็นพี่กับมึงนอนอยู่บนพื้น ไอ้เหี้ย กูคิดอะไรไม่ออกเลย ไม่รู้จะโทรหาใครก่อนดี” วิธูยังคงมีอาการตื่นตระหนกอยู่บ้าง
วีร์นั้นไม่ได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตัวเขาถูกชายหนุ่มร่างสูงคล่อมบังไว้แนบกับตัวเสา ได้ยินแต่เสียงดัง แกร๊ก อยู่สองสามครั้ง ก่อนที่จะได้ยินเสียงหน่วยรักษาความปลอดภัยวิ่งไล่คนร้ายไป
“กูไม่เป็นอะไรแล้ว” วีร์ยืนยันคำตอบกับเพื่อนของเขา
“ดีแล้ว” วิธูหายใจลึกอีกครั้ง “เนี่ยไอ้ปันก็โทรมา เห็นว่าออกข่าวไปทั่วประเทศแล้ว มันรู้ว่าพวกเรามาห้างกันมันก็เลยรีบโทรมาถามว่ามีใครเป็นอะไรมั้ย”
“แล้วมึงตอบไว้ว่ายังไง” วีส์ถามน้องชายของเขา
“จำไม่ได้แล้วว่าพูดอะไรไปบ้าง แต่มันเพิ่งโทรมาอีกรอบว่าตอนนี้แม่พี่กำลังซิ่งรถกลับมา อีกสักสองชั่วโมงคงจะมาถึง”
วีส์ถอนหายใจแล้วก็ส่ายหน้า ตัวเขาก็พอจะรู้ระดับความเร็วของรถยนต์ที่แม่ของเขาเป็นคนขับ เดินทางไกลข้ามจังหวัดปกติก็รวดเร็วอยู่แล้ว คิดว่ากรณีนี้ก็คงจะยิ่งเร็วมากขึ้นไปอีก
“แล้วนี่คนอื่นๆไปไหนกันหมด” วีส์ถามแล้วก็มองดูรอบๆ
ส่วนวีร์ก็ถูกกระชากจนตัวหมุนไปตามแรง ศศิทัศน์จับตัววีร์หันซ้ายขวา จับแขนแต่ละข้างขึ้นดู แล้วเอามือลูบตั้งหัวลงไปตลอดลำตัว
“ไอ้ตี๋เล็ก กูไม่เป็นอะไร” วีร์บอกให้เพื่อนได้สบายใจ
“ไอ้เหี้ย กูนึกว่ามึงจะเป็นอะไรไปแล้ว ถ้าพวกนี้ไม่ดึงกูไว้ กูคงวิ่งไปหามึงแล้วตอนที่มือปืนเล็งปืนมาที่มึง” ศศิทัศน์พูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกอยู่ ซึ่งก็ทำให้วีร์ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงถูกบังตัวไว้แบบนั้น แล้วศศิทัศน์ก็โผเข้ากอดวีร์ไว้แน่น
“ไอ้กิ่งไอ้ก้านมันใช้เส้นสายไปคุยกับเจ้าหน้าที่มา เห็นเขาบอกว่าปืนที่คนร้ายใช้น่ะ ว่าจริงๆแล้วยังเหลือลูกกระสุนคิดติดอยู่ในซองลูกนึง” สุรศักดิ์อธิบายเพิ่มเติมว่าทำไมพวกเขาถึงรู้สึกตกใจกลัวกัน
วีร์ไปหาคู่แฝดนพชัยและชัยทิศซึ่งต่างก็พยักหน้ายืนยันว่าเป็นความจริง แล้ววีร์ก็หันมองชายหนุ่มรุ่นพี่ คิดถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ว่าวันนี้พวกเขาอาจจะไม่มีชีวิตอยู่รอดแล้วก็เป็นไปได้
เป็นเพราะตัวเขาเองหรือเปล่า
*****
#VVGo4Launch
[โปรดติดตามตอนต่อไป]
#VVGo4Launch
[โปรดติดตามตอนต่อไป]