Episode 06: Lollipop[2]
ริชาร์ดไม่ได้กลับมาในห้านาทีให้หลังอย่างที่บอก ผมเพิ่งเข้าใจตอนนี้ว่าที่หมอนั่นยกมือขึ้นอย่างนั้น ไม่ได้หมายความว่าห้านาที แต่เป็นห้าสิบนาทีต่างหาก หมอนั่นคงจะคิดว่าหลังจากผมกินโลลิป๊อปเสร็จแล้ว ผมคงจะเปิดสตูดิโอถ่ายหนังผู้ใหญ่ต่อล่ะมั้งถึงได้มาช้าขนาดนี้ และพอหมอนั่นกลับเข้ามาพร้อมกับพรรคพวก ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์สุดอัปยศก็ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที ผมเองก็เช่นกัน
ก็จะให้ไปบอกพวกมันยังไงว่าไม่ได้ทำอะไรอย่างที่พวกมันคิดในเมื่อท่าทางมันให้ซะขนาดนั้นน่ะ!
โชคดีที่เจ้าพวกลูกมือของริชาร์ดเป็นผู้ชายและสนิทกับผมพอสมควร ผมเลยมั่นใจได้ว่าพวกนั้นคงจะไม่เอาเรื่องที่เห็นไปบอกใคร ยิ่งมีริชาร์ดคอยกำชับแกมขู่ว่าจะไล่ออกจากชมรมหากแพร่งพรายความลับด้วยแล้ว ผมก็เบาใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่กระนั้นก็กระอักกระอวลอยู่ดีที่ต้องทำทีวางเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่มันมีบางอย่างเกิดขึ้นน่ะ จะมีก็แต่ริชาร์ดกับคีธนี่แหละที่ปรับตัวได้เร็ว สำหรับคีธน่ะ มันไม่เคยรู้สึกรู้สากับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่แล้ว แต่สำหรับริชาร์ด หมอนั่นคงพยายามทำให้ผมไม่อึดอัดล่ะมั้ง
พวกนั้นใช้เวลาไม่นานในการถ่ายฟิตติ้ง ผมก็นั่งตัวลีบ มองคีธกับนักแสดงคนอื่นๆ ถ่ายรูปกันไป ทั้งๆ ที่ในใจโคตรอยากจะหนีกลับ ไม่ก็มุดดินหนีไปที่ไหนสักที่แทบแย่ เพราะถึงลูกมือของริชาร์ดจะไม่พูด แต่สายตาที่มองมายังผมเป็นระยะๆ ก็ทำให้ผมอยากเข้าไปตบกะโหลกคีธสักป้าบสองป้าบ โทษฐานทำชาวบ้านชาวเมืองเข้าใจผิด
เข้าใจผิดว่าเป็นโฮโมฯ นี่ยังไม่เจ็บเท่าถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโฮโมฯ ฝ่ายรับนะ รู้สึกเสียศักดิ์ศรีชะมัด
นานพอดูกว่าการถ่ายภาพฟิตติ้งสำหรับทำโปสเตอร์จะสิ้นสุดลง ริชาร์ดสั่งให้นักแสดงทุกคนแยกย้ายกันกลับได้ ขณะที่หมอนั่นเรียกทีมงานบางคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเขียนบทมาประชุมต่อในสตูดิโอนั้น
“ฉันกลับก่อนนะ” พอเห็นว่ากลับได้แล้วก็ไม่รอช้า ไปบอกลาริชาร์ดที่กำลังกางบทไว้บนโต๊ะตัวหนึ่งทันที
“เฮ้ย กลับแล้วเหรอ ฉันยังไม่ได้คุยกับนายเลย” หมอนั่นทำหน้าตกใจเล็กน้อยที่ผมไม่อยู่รอคุยด้วย
ใครมันจะไปอยู่คุยด้วยไหววะ โดนเห็นในสภาพแบบนั้นคงจะมีอารมณ์อยู่เสวนาด้วยหรอก
“ฉันไม่ค่อยสบาย จะกลับไปนอน” ผมว่าส่งๆ ก่อนที่ริชาร์ดจะหรี่ตาลงอย่างเจ้าเล่ห์
“กลับไปนอน หรือว่าจะกลับไปต่อ”
“ต่อบ้านมึงเถอะไอ้เจ๊ก” ผมสวนเป็นภาษาไทยกลับไปทันที ก็ไอ้ต่อที่หมอนั่นว่ามันหมายถึงเรื่องใต้สะดือน่ะสิ
ริชาร์ดหัวเราะในลำคอน้อยๆ ไม่รู้หรอกว่าผมพูดว่าอะไร แล้วก็ไม่สนใจด้วย ก่อนหันไปให้ความสนใจกับคนอื่น คนอื่นที่ว่าก็คือลูกทีมของหมอนั่นที่มาเห็นผมกับคีธนั่นแหละ พวกนั้นก็ดูท่าไม่อยากจะให้ผมอยู่ต่อสักเท่าไหร่นัก คงจะทำตัวไม่ถูกเหมือนกันที่จู่ๆ เห็นรุ่นพี่ที่ได้ชื่อว่าเป็นเพลย์บอยก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าเป้าพระเอกหนังของพวกมันน่ะ
“เอาเป็นว่าฉันกลับก่อนแล้วกัน” ผมตัดบทเอาดื้อๆ ไม่สนใจริชาร์ดแต่อย่างใด หากแต่ริชาร์ดก็คว้าแขนผมเอาไว้ ก่อนจะว่าขึ้น
“ขอห้านาที ฉันอยากปรึกษาเรื่องบทกับคีธสักหน่อย”
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับกูวะ!
ผมเกือบจะตะโกนใส่หน้ามันแล้ว ถ้าหากว่าคนที่หมอนั่นอยากคุยด้วยไม่เดินผ่าเข้ามากลางวงเสียก่อน ริชาร์ดเลยผละจากผมไปให้ความสนใจคีธทันที
“เออคีธ ว่าจะถามความเห็นหน่อยน่ะ”
“ความเห็น?”
“เรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าชายต่างดาว” ริชาร์ดว่า
คีธเลิกคิ้วข้างหนึ่งเล็กน้อยเป็นเชิงให้หมอนั่นถาม ก่อนที่ริชาร์ดจะคว้ากระดาษที่จดข้อมูลต่างๆ ออกมาร่ายยาว
“ฉันเขียนว่าเจ้าชายต่างดาวเนี่ยมาจากดาวที่มีวิทยาการสูงที่สุดในจักรวาล ดาวของเจ้าชายอยู่ห่างจากโลกไปประมาณพันล้านปีแสง เดินทางมาที่โลกด้วยยานอวกาศที่มีความเร็วเหนือแสง ความเร็วในการเดินทางในห้วงอวกาศของยานอยู่ที่ประมาณหนึ่งปีแสงต่อวัน นายว่าเป็นไงบ้าง”
คีธนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะว่าเสียงเรียบ “ความเร็วยานเหนือแสงที่เดินทางได้แค่หนึ่งปีแสงต่อวันช้ามากนะเจ้ามนุษย์ หากเจ้าท่องอยู่ในอวกาศด้วยยานความเร็วเท่านั้น จากดาวดวงนั้นกว่าจะมาถึงดาวของเจ้า มีหวังคงได้สิ้นอายุขัยก่อนจะมาถึงแน่”
“งั้นเหรอ แต่ฉันว่ามันเร็วแล้วนะ” ริชาร์ดทำท่าคิด ให้คีธได้ว่าขึ้นมาอีก
“เร็วสำหรับพวกเจ้าที่วิทยาการยังไม่ก้าวหน้า ข้าพอรู้ว่ามายานของพวกเจ้าที่เรียกว่าจรวดสามารถเดินทางในอวกาศด้วยความเร็วประมาณ 27,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งนั่นหมายความว่าการเดินทางต่อวัน พวกเจ้าสามารถเดินทางด้วยความเร็วแค่ 648,000 กิโลเมตรเท่านั้น การเดินทางด้วยความไวแสงเพียงหนึ่งปีแสง หากเทียบกับยานจากดาวที่มีวิทยาการสูงที่สุดในจักรวาล เรียกได้ว่าวิทยาการนั่นเชื่องช้ากว่าการเคลื่อนไหวของปรสิตอวกาศเสียอีก ความเร็วระดับนั้น เชื่อได้เลยว่าเจ้าคงหนีแรงดึงดูดจากหลุมดำไม่พ้น อย่าว่าแต่หลุมดำเลย แม้แต่ปรสิตอวกาศก็อาจจะหนีไม่พ้นด้วยซ้ำ”
“ก็จริงแฮะ คิดไปคิดมาก็คงจะช้าอย่างที่นายพูด” ริชาร์ดทำท่าเหมือนจะคิดได้ “แล้วนายคิดว่าฉันควรจะเปลี่ยนแปลงยังไงดี เอาแบบที่คนดูดูแล้วรู้สึกเชื่อว่าเจ้าชายมาจากดาวที่มีวิทยาการสูงที่สุดในจักรวาลจริงๆ น่ะ”
พอเปิดทางให้แบบนี้ คีธก็ได้ทีร่ายยาวออกมาเป็นมหากาพย์พลัน
“จริงๆ แล้ว ดาวยูนิกม่าของข้าได้ชื่อว่าเป็นดาวที่มีวิทยาการสูงที่สุดในจักรวาล ดังนั้น ยานของดาวข้าจะมีความเร็วอยู่ที่หนึ่งพันปีแสงต่อวัน ขณะที่ยานขนาดเล็กจะมีความเร็วอยู่ที่หนึ่งร้อยปีแสงต่อวัน ส่วนความไกลของดาวข้าและดาวของเจ้าห่างกันอยู่สิบห้าพันล้านปีแสง กระนั้นการเดินทางมาดาวของเจ้า ความเร็วเหนือแสงขนาดนั้นก็ไม่อาจมาถึงดาวของเจ้าในเร็ววันได้ พวกข้าจำต้องใช้รูหนอนในการเดินทาง กว่าข้าจะมาถึงดาวของเจ้าได้ ข้าต้องเดินทางในรูหนอนเพื่อย่นระยะเวลา รูหนอนที่มีพิกัดอยู่ใกล้ดาวของเจ้าที่สุดอยู่ห่างไปสี่หมื่นปีแสง ฟังดูเหมือนจะไม่ไกล แต่ข้าก็ต้องใช้เวลาถึงปีครึ่งในการมาถึงที่นี่ หากไม่รวมระยะเวลาที่ร่อนเร่อยู่ในอวกาศอีกสองปีครึ่ง รวมทั้งสิ้น ข้าเดินทางในอวกาศมายังดาวของเจ้าเป็นเวลาสี่ปี สรุปได้ว่า ต่อให้มีวิทยาการสูงเพียงใด การเดินทางในอวกาศก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก หากเจ้าต้องการจะใช้ข้อมูลของดาวที่มีวิทยาการสูงสุดในจักรวาลแล้ว ข้อมูลจากดาวข้านับเป็นข้อมูลที่ดีและสมจริงที่สุด เสียดายนักที่ข้าไม่รู้ข้อมูลของพวกเซนไทน์ ไม่อย่างนั้นคงจะแนะนำเจ้าได้มากกว่านี้เพราะพวกนั้นก็มีวิทยาการสูงไม่ต่างจากพวกข้าเช่นกัน”
สิ้นเสียง ทั้งริชาร์ด ทั้งผมและลูกทีมที่ฟังอยู่ก็อ้าปากค้างไปทันที
สำหรับผม บอกได้เลยคำเดียวว่าอ้วกแตก! พูดอะไรของมันวะ ไม่เห็นจะเข้าใจสักนิด!
แต่สำหรับกูรูเอเลี่ยนอย่างริชาร์ดแล้ว หมอนั่นก็อึ้งได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้นแหละ ก่อนจะยิ้มร่าแล้วตบบ่าคีธเป็นการใหญ่
“เจ๋งว่ะเฮ้ย คำนวณเป๊ะแบบนี้เอาใจไปเลย ขอยืมข้อมูลมาใช้เลยนะ”
คีธพยักหน้ารับพลางหยักยิ้มขึ้นน้อยๆ ก่อนจะอธิบายสิ่งที่พูดไปเมื่อกี้ซ้ำอีกรอบ ให้ริชาร์ดกับพรรคพวกจดตามเป็นพัลวัน
ผมยืนรออยู่พักใหญ่ ริชาร์ดก็ยอมปล่อยตัวคีธออกมาได้ แถมยังมีหน้ามากำชับผมอีกว่าให้ดูแลคีธให้ดีๆ เพราะหมอนั่นเป็นผู้มีพระคุณอย่างใหญ่หลวงต่อหนังสั้นเรื่องนี้ โดยเฉพาะการตอบสนองเรื่องอย่างว่า
“บริการให้ดีๆ ล่ะคืนนี้น่ะ เดี๋ยวฉันออกค่าถุงยางให้” ริชาร์ดว่าไล่หลังขณะที่ผมกำลังจะออกจากสตูดิโอ
ผมหันไปมองหน้ามันอย่างเอาเรื่อง พลันชูนิ้วกลางให้
“เก็บเงินไว้เป็นค่าทำแผลปากนายเหอะ” ผมว่าเสียงขุ่น
ริชาร์ดไม่ถือสา นอกจากหัวเราะร่วนแล้วหันกลับไปสนใจกับงานของตัวเองต่อ ผมเลยเดินออกจากห้องมา ปล่อยให้คีธเดินตามหลังต้อยๆ
“เดี๋ยวนายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องชมรมนะ ฉันจะรออยู่ข้างนอก” ผมว่าส่งๆ ขณะที่คีธหยุดเดินให้ผมหันกลับไปมอง
“อะไร” ผมถามเสียงขุ่นพลัน
“เจ้าไม่คิดจะถามข้าหน่อยรึว่าสิ่งที่ข้าพูดไปมันคืออะไร”
“จำเป็นต้องรู้มั้ย”
“ก็ไม่จำเป็น เพียงแต่ข้าอยากจะตอบแทนที่เจ้าสอนให้ข้ารู้ศัพท์ใหม่ของมนุษย์โลกก็เท่านั้น”
หัวผมประมวลผมทันทีว่าผมไปสอนศัพท์ใหม่ให้หมอนั่นตอนไหน ก่อนที่จะนึกขึ้นได้เมื่อหมอนั่นพูดขึ้น
“ข้าเพิ่งจะรู้ว่ามนุษย์โลกเรียกสิ่งนี้ว่าโลลิป๊อป” ว่าแล้วก็ชี้ไปที่เป้ากางเกงตัวเอง
ผมรีบเข้าไปตะครุบมือหมอนั่นแล้วดึงออกห่างกลางลำตัวทันทีด้วยเห็นว่ารอบข้างมีคนเดินผ่านไปผ่านมาพลุกพล่านพอสมควร
“ไม่ต้องระบุพิกัด” ผมกัดฟันว่า หมอนั่นเลยยอมลดมือลง
“ตกลงเจ้าอยากจะถามอะไรข้าหรือไม่”
“ไม่” ผมปฏิเสธแทบจะในทันที ใจนี่อยากจะกลับห้องเต็มแก่แล้ว หากแต่คีธก็พูดขึ้นมาอีก
“ไม่ถามรึว่าเหตุใดข้าต้องดูดนิ้วอีกฝ่ายยามทักทายกัน”
ผมชะงักขึ้นมาในตอนนี้ จะว่าไปผมก็สงสัยมาพักหนึ่งแล้วเหมือนกัน ก็เลยยกมือขึ้นกอดอก เชิดหน้าถามกลับ
“แล้วดูดนิ้วทำไม”
“การทักทายโดยการดูดนิ้วอีกฝ่ายถือว่าเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุดของชาวยูนิกม่า เพราะการดูดนิ้วนั้นถือว่าเป็นการสร้างชาวเราขึ้นมาให้เติบใหญ่ การแสดงความเคารพเช่นนี้มีต้นกำเนิดมาจากการเจริญเติบโตของทารกชาวยูนิกม่าที่ล้วนได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อและแม่ผ่านทางสารอาหารจากปลายนิ้ว”
ผมพยักหน้าเข้าใจ มิน่าล่ะ ทำไมหมอนี่ถึงได้ขยันดูดนิ้วชาวบ้านไปทั่วเหลือเกิน
“อยากจะถามอะไรต่อหรือไม่” พออธิบายเรื่องแรกจบ ก็ถามขึ้นมาอีก
ผมส่ายหน้าดิก “ไม่ล่ะ ไม่อยากรู้”
“เรื่องอายุข้าก็ไม่อยากรู้รึ”
พอถูกถามแบบนี้ จากที่ไม่อยากรู้ก็อยากรู้ขึ้นมาทันควัน
“เออ แล้วนายอายุเท่าไหร่”
“สี่สิบสี่”
ผมอ้าปากค้าง “สี่สิบสี่เนี่ยนะ ทำไมดูอย่างกับรุ่นราวคราวเดียวกับฉันเลยวะ”
“สี่สิบสี่ปียูนิกม่า เท่ากับยี่สิบสองปีของมนุษย์โลก ชาวยูนิกม่ามีอายุมากกว่ามนุษย์โลกสองเท่า”
ผมร้องอ๋อทันใด “งั้นก็อายุเท่ากันกับฉัน ฉันก็ยี่สิบสอง”
คีธพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร ใจจริงผมก็มีเรื่องอยากจะถามต่อล่ะนะ แต่ดันได้ยินเสียงเรียกของผู้หญิงที่เป็นลูกมือของริชาร์ดที่ดูแลด้านเสื้อผ้าดังขึ้นเรียกให้คีธไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน ผมก็เลยเก็บคำถามนั้นไว้ในใจ แล้วโบกมือไล่หมอนั่นแทน
“รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าไป ฉันจะได้กลับไปนอน”
คีธไม่ตอบรับ นอกจากหมุนตัวไปยังห้องชมรม หากแต่ก็ชะงักขา แล้วเดินวนกลับมาหาผมอีกครั้ง
“เมื่อกลับถึงที่พักของเจ้า ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้อง”
“อะไร” ผมมุ่นคิ้วแทบผูกกันเป็นโบว์ ก่อนหมอนั่นจะพูดขึ้น
“ข้าสงสัยนักว่าโลลิป๊อปของมนุษย์โลกจะเหมือนกับของชาวยูนิกม่ามั้ย เมื่อกลับไปถึงที่พักแล้ว ข้าอยากจะขอดูโลลิป๊อปของเจ้าสักหน่อย”
“คะ...ใครเค้ามาขอดูกันหน้าด้านๆ แบบนี้บ้างวะ!” หน้าผมร้อนฉ่าขึ้นมาทันที
จะสองแง่สองง่ามมากเกินไปแล้ว!
“หากเจ้าให้ข้าดู ข้าจะให้ดูของข้าเป็นการตอบแทน”
ยังๆ มันยังไม่หยุดอีก!
“ไม่ดูเว้ย! รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยไป๊!” ผมรีบโบกมือไล่หมอนั่นเป็นพัลวันขณะที่ความร้อนไม่ได้แล่นพล่านแค่ที่หน้า แต่ดันแล่นไปทั่วทั้งกายพร้อมกับก้อนเนื้อข้างซ้ายที่เต้นระทึกขึ้นมาเมื่อนึกถึงครั้งแรกที่คลอดหมอนั่นในสภาพเปล่าเปลือย
จะว่าไปตอนนั้นผมก็เห็นโลลิป๊อปของหมอนั่นนี่หว่า... มะ...แม่ง! นี่ผมคิดอะไรอยู่เนี่ย!
สิ้นเสียงผม คีธก็เลิกคิ้วเล็กน้อย ทำท่าราวกับว่าไม่รู้สึกรู้สาว่าพูดอะไรออกไป ทว่าในจังหวะที่หมอนั่นหมุนตัวกลับไปยังห้องชมรม ผมดันแอบเห็นเสี้ยวหน้าของหมอนั่นมีรอยยิ้มแต่งแต้มขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย เท่านั้นผมก็รู้เลยว่าถูกหมอนั่นแกล้งเข้าให้แล้ว
หน็อย... อีแบบนี้มันแกล้งโง่นี่หว่า! ไอ้มนุษย์ต่างดาวโฮโมฯ นี่ชักจะลามปามมากเกินไปแล้ว!
-----------------------------------------------
ยิ่งเขียนยิ่งรู้สึกว่าคู่นี้ไม่ได้เกรียนอย่างเดียว แต่ยังหื่นแบบมึนๆ ด้วย 555 อันนี้ตัวละครยังมาไม่ครบนะ มาครบเมื่อไหร่ ทั้งเกรียนทั้งหื่นหนักกว่าเก่า ฮาาา
หนูแดงยังงงๆ ระบบของเล้าเป็ดอยู่นะคะ อาจจะเมาๆมึนๆไปบ้าง ใช้งานยังไม่ค่อยคล่องมือ ต้องขออภัยด้วยค่ะ