สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นเลยต้องขออภัยนะคะที่มาอัพช้าไปหนึ่งวัน เพราะเมื่อวาน AIS Fiber แถวนี้มีปัญหาเรื่องสายขาดสองรอบเลยค่ะ อินเตอร์เน็ตเลยอืดมากเข้ายากเข้าเย็นจึงต้องปล่อยเลยตามเลยและมาอัพเอาวันนี้ค่ะ เอาล่ะ ไปอ่านกันเลยดีกว่าค่ะ ถ้ามีข้อผิดพลาดใดๆก็ขออภัยไว้ล่วงหน้านะคะ หายไปหนึ่งสัปดาห์ทุกคนสบายดีใช่ไหมคะ? หวังว่าจะรักษาสุขภาพกันนะคะ ขอบคุณที่ติดตามและให้กำลังใจ ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ +++++++++++++
Holler…เรียกฉันสิที่รัก
ตอนที่ 46 Jealousy.
Don’t tell me what I wanna hear
อย่าบอกฉันถึงสิ่งที่ฉันอยากฟัง
Afraid of never knowing fear
กลัวที่จะไม่รู้จักความหวาดกลัวนี้
Experience anything you need
ประสบการณ์ทั้งหมดที่เธอต้องการ
I’ll keep fighting jealousy
ฉันจะเก็บความหึงหวงนี้ไว้
Until it’s fucking gone
จนกว่ามันจะหายไป
สัปดาห์แห่งการทำงานก็เริ่มต้นอีกครั้ง พระพายที่ลางานไปเมื่อวันเสาร์ก็พบว่ามีงานงอกขึ้นอย่างน่าตกใจทั้งๆที่หยุดไปแค่หนึ่งวันเท่านั้น จึงต้องนั่งทำงานงกๆอยู่อย่างนี้มาทั้งสัปดาห์แล้ว โดยที่มีพี่กล้วยนั่งหัวเราะเยาะเย้ยเป็นกำลังใจในการทำงานโดยที่พระพายไม่ต้องการเลยสักนิด
แต่เพราะงานเยอะแยะเหล่านี้ทำให้พระพายไม่มีเวลาคิดเรื่องในวันเสาร์ที่ผ่านมาเลย เรื่องของธนิตถูกวางเอาไว้นอกความคิด ตอนนี้คิดแต่เรื่องงานเท่านั้น ทำให้พระพายลืมเรื่องนั้นไปชั่วคราว ไม่คิดมากและหนักใจเท่ากับวันก่อนๆ
“พวกมึง คืนพรุ่งนี้บ้านกูมีปิ้งย่าง ต้องไปทุกคน” พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์วันสุดท้ายของการทำงาน พี่กล้วยพูดขึ้นมาหลังจากที่ทุกคนกลับมาจากทานมื้อเที่ยง ทุกคนได้แต่ส่ายหน้ากับการใช้อำนาจมืดของพี่กล้วย
“พักตับพักไตบ้างก็ดีนะ” พี่ปีว่า
“ใช่พี่ เพิ่งกินไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเอง” มีคนเห็นด้วยกับความคิดของพี่ปี
“มึงไม่รู้สึกแปลกๆเหรอ ว่ามันไม่ครบองค์ประชุมสักที โดยเฉพาะมึงเลยน้องพาย...มึงน่ะไม่ไปเลย มีสาวรึไงวะ” พี่กล้วยหันไปว่าพระพายที่ก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่
“สาวที่ไหน ว่าไปนั่น” พระพายปฏิเสธทันที เขาไม่ได้มีสาวเสียหน่อย...มีแต่ชายหนุ่มต่างหาก
“ไม่รู้แหละ มึงต้องไปและต้องไปค้างด้วย” พี่กล้วยว่า
“ไม่เอาไม่ค้าง” พระพายส่ายหน้า
“ไม่ค้างก็ได้แต่มึงต้องไป ถ้าไม่ไปมึงได้เจอด้านมืดกูแน่” พี่กล้วยว่าพลางวางท่าเป็นตัวร้ายในละครทีวี เรียกเสียงหัวเราะจากคนในแผนกได้ดีเลยทีเดียว
“ไม่รับปาก เดี๋ยวพรุ่งนี้มาบอกล่ะกัน” พระพายแบ่งรับแบ่งสู้
“ทำไม ต้องไปขอเมียก่อนเหรอวะ?” พี่กล้วยว่าพลางหัวเราะถูกใจ
“เรื่องของผมน่า” พระพายพูดปัดแล้วรีบทำงานต่อ
ก็จริงที่หลังๆมานี้พระพายไม่ได้ไปสังสรรค์นอกเวลางานกับพี่ๆในแผนกเลย เพราะเอาแต่กลับไปขลุกตัวอยู่ในห้องกับพิธานเสียมากกว่า ดูท่ากลับไปคืนนี้คงต้องบอกพิธานว่าจะต้องไปกินปิ้งย่างบ้านพี่กล้วยบ้าง ไม่รู้ว่าพิธานจะตอบตกลงหรือไม่ คิดๆไปพระพายเหมือนมีเมียอย่างที่พี่กล้วยว่าเหมือนกัน คิดได้เช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา ใช่แล้วเป็นเมียที่ดุเสียด้วย
พระพายทำงานจนในที่สุดก็ถึงเวลากลับบ้าน รีบเก็บข้าวของและบอกลาพี่ๆในแผนก รีบกลับห้องเพราะพิธานเพิ่งส่งข้อความมาว่าวันนี้ไม่ยุ่งและจะกลับห้องเร็ว พระพายไม่รอช้ารีบเดินทางกลับห้องด้วยความรวดเร็ว
พระพายลงจากรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างเพราะวิธีนี้เร็วที่สุดแล้ว เมื่อพระพายเดินจะเข้าไปยังคอนโด ก็เห็นพิธานยืนคุยอยู่กับใครคนหนึ่งที่หน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับ เห็นจากมุมนี้ไม่ค่อยชัดนัก พระพายจึงเดินไปแอบตรงกระถางต้นไม้ต้นสูงที่ตั้งอยู่หน้าคอนโด คราวนี้จึงเห็นได้ชัดว่าพิธานยืนคุยอยู่กับใคร
เป็นผู้ชายร่างเล็กแต่สูงกว่าพระพายนิดหน่อย ใบหน้านิ่งๆที่ดูแล้วรู้สึกว่าดูดี สุขุมทุกท่วงท่า พระพายมองอย่างรู้สึกหลุดเข้าไปในภวังค์ ในสายตาของพระพายผู้ชายคนนี้ช่างน่ามองแม้กระทั่งตอนพูดตอนขยับปากแบบปกติก็ตาม
“ใครกัน?”
พระพายมองอย่างสงสัยและเพียงครู่เดียวผู้ชายคนนั้นก็ยกมือไหว้พิธาน พิธานตบไหล่นั้นเบาๆ หลังจากนั้นก็เดินขึ้นลิฟต์ไป ด้านผู้ชายคนนั้นก็เดินออกมายังประตูทางเข้า พระพายรีบหันหลังหลบ ก่อนที่จะหันมองตามไปจนสุดสายตา ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงต้องมาแอบหลบตรงนี้แทนที่จะเดินเข้าไปหาพิธานตรงๆแต่เมื่อเห็นทั้งสองคนคุยก็รู้สึกแค่ว่าไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะเพียงเท่านั้น..เท่านั้นจริงๆ
พิธานขึ้นห้องแล้วไปแล้วและส่งข้อความมาหาพระพายด้วยความรวดเร็วว่าตอนนี้อยู่ในห้องแล้ว พระพายจึงเดินขึ้นลิฟต์ไปด้วยความรู้สึกแปลกๆนิดหน่อย ทำไมถึงคันยุบยิบในอกเมื่อเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นและเขาเป็นใครกัน
พระพายไขกุญแจเข้าไปในห้อง ถอดรองเท้าเก็บเข้าตู้เป็นที่เรียบร้อย เมื่อเดินเข้าไปก็พบว่าพิธานเพิ่งถอดสูทออก พิธานหันมาเห็นพระพายที่เข้ามาพอดี
“มาเร็วนะ” พิธานว่าพลางเดินเข้ามากอดพระพาย
“เป็นอะไร?” พระพายถามอย่างแปลกใจที่พิธานเข้ามากอดแบบไม่ทันตั้งตัว
“เหนื่อย” พิธานตอบเท่านั้น
“จะอ้อน?” พระพายถาม
“เปล่าเสียหน่อย” พิธานพูดเช่นนั้นก็จริงแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยพระพาย
“วันนี้งานยุ่งอีกแล้วเหรอ?”
“ยุ่งอย่างนี้ทุกวัน”
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหม?”
“อืม”
พิธานจึงปล่อยแล้วเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พระพายมองแผ่นหลังกว้างที่เดินไปพร้อมกับนึกถึงภาพเมื่อครู่...ทำไมถึงยังรู้สึกสงสัยว่าคนๆนั้นเป็นใคร ถ้าหากไม่ถามก็จะรู้สึกค้างคาใจไปตลอดวันแน่ แค่คิดเรื่องของธนิตก็มากพอแล้ว
พระพายหยุดคิดทุกอย่างลงและเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยเช่นกัน วันนี้พระพายไม่ได้หอบงานกลับมาทำด้วยเพราะสะสางจนเหลือแค่เพียงนิดหน่อยและคิดว่าจะไปทำต่อในวันพรุ่งนี้ วันนี้จึงคิดจะนั่งดูหนังหรือหาอะไรทำแบบสบายๆแต่ช่างแย้งกับความคิดในหัวที่คิดวกวนจนตียุ่งกันไปหมด
“เป็นอะไร?” พิธานเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นพระพายที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วแต่กลับยืนนิ่งเหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดอะไรสักอย่าง
“หืม? อ๋อ เปล่า” พระพายปฏิเสธทันที
“บอกมา” น้ำเสียงไม่ได้บังคับแต่อยากให้บอกตรงๆ
“ทำไมต้องรู้ทันตลอด แบบนี้ก็โกหกอะไรไม่ได้เลยสิ” พระพายส่ายหน้า
“ไม่เคยบอกรึไง ว่าหน้านายบอกหมดทุกอย่างหมดแล้ว” พิธานว่าและลากพระพายมานั่งยังโซฟาหน้าทีวี
“ไม่จริง คุณนั่นแหละที่รู้ทันเกินไป” พระพายเถียง พิธานยิ้มมุมปาก
“เพราะเป็นนาย ฉันเลยรู้” พิธานว่า พระพายยิ้มออกมาก่อนที่จะซบไหล่พิธาน ซึ่งไม่บ่อยนักที่พะพายจะเป็นเช่นนี้
“ผมอยากรู้..เรื่องคุณกับพ่อ” พระพายเอ่ยมันออกมาในที่สุด
“ฉันรู้อยู่แล้วว่านายจะถามเรื่องนี้”
“ใช่ ผมกำลังรอจังหวะจะถามคุณอยู่ เรื่องนี้มันกวนใจผมมากจนตอนนี้ก็ยังคิดอยู่เลย”
“เครียดเหรอ?”
“ถ้าบอกว่าไม่ก็จะกลายเป็นโกหก แต่ผมก็ไม่อยากให้คุณหนักใจมากไปกว่านี้เหมือนกัน”
“ฉันเองคิดจะบอกนายเหมือนกัน”
“ตกลงคุณมีเรื่องอะไรกับพ่อคุณ ทำไมถึงไม่ลงรอยกันขนาดนี้” พระพายถามถึงสิ่งที่อยากรู้มาตั้งแต่วันนั้นแล้ว
“จะเล่าให้นายฟัง” พิธานว่า พระพายผละออกจากไหล่ของพิธานและหันไปมองพิธานที่นิ่งเงียบไปเพียงครู่ก่อนจะเปิดปากเล่า
“คุณพ่อ...ทำคุณแม่เสียใจ คุณพ่อนอกใจคุณแม่”
พิธานบอกถึงเรื่องที่ไม่เคยบอกผู้ใดมาก่อนนอกจากเพื่อนสนิทเท่านั้นที่รู้หากไม่นับเพลงขวัญผู้เป็นพี่สาวที่รู้ทุกอย่างดีอยู่แล้ว พระพายถึงกับชะงักเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ตอนนั้นฉันเพิ่งอยู่ม.ปลาย เห็นคุณพ่อกำลังนัวเนียกับผู้หญิงคนหนึ่งในบ้าน ตอนนั้นคุณแม่ไปเยี่ยมคุณยายเลยไม่ได้อยู่บ้าน...ฉัน...โกรธมาก”
“และผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ใคร คือเลขาที่ทำงานกับคุณพ่อมาโดยตลอด ไม่มีใครเอะใจเลยสักนิด เพราะผู้หญิงคนนั้นเธอใจดีและเป็นคนดีเสมอเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นๆ...ฉัน...เกลียดผู้หญิงแบบนั้นที่สุด” พิธานยังคงเล่าต่อไปด้วยแววตาว่างเปล่า
“ฉันไม่บอกคุณแม่ แต่ฉันเลือกที่จะพูดกับคุณพ่อตรงๆ คุณพ่อไม่ยอมรับและบอกว่าฉันเข้าใจผิดไปเอง”
“นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็น เห็นมันหลายครั้งและบ่อยๆ จนเริ่มเข้ามหาลัย ฉันก็ยิ่งพบว่าฉันไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นจนลามไปถึงผู้หญิงคนอื่นๆ ยิ่งทุกครั้งที่เห็นเลขาคนนั้นแสร้งเป็นคนดี ฉันก็ยิ่งขนลุก”
“ฉันพยายามถามตัวเอง ว่าสรุปไม่ชอบผู้หญิงจริงๆแล้วรึเปล่า สุดท้ายวิธีที่ฉันเลือกคือ พาเด็กผู้ชายรุ่นน้องที่อยู่สถาบันกวดวิชาเดียวกันที่ประกาศตัวว่าชอบเพศเดียวกันมาที่บ้าน”
“ฉันตั้งใจจะทำเรื่องแบบนั้น ทำได้ไม่ถึงครึ่งทางคุณพ่อเปิดประตูห้องนอนฉันและมาเห็นเข้าพอดี”
“เข้าไปได้ยังไง?” พระพายสงสัยทันที เพราะห้องนอนเป็นห้องส่วนตัว
“เด็กรับใช้บอกว่าฉันชวนเพื่อนมาบ้าน เป็นเพื่อนที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน คุณพ่อเลยให้เอากุญแจมาเปิด”
“แล้วจากนั้น คุณพ่อคุณ...ทำยังไง?” พระพายถามขึ้น
“เห็นฉากเด็ดเข้าพอดี โมโหเลือดขึ้นหน้า แล้วก็ตบหน้าฉันจนเลือดกบปาก” พิธานยังคงเล่าด้วยแววตาว่างเปล่าเหมือนเดิม
“ด่าว่าสารพัด ฉันเลยด่ากลับไปถึงเรื่องนั้นบ้าง สุดท้ายคุณแม่มาได้ยินพอดี”
“คุณแม่คุณว่ายังไงบ้าง” มาถึงตรงนี้พระพายยิ่งรู้สึกเรื่องมันเริ่มจะบานปลายมากขึ้น
“คุณแม่ร้องไห้ ตกใจที่เห็นเลือด”
“ฉันไม่เคยเห็นคุณแม่ร้องไห้มาก่อน คุณแม่ที่ร่าเริงมาตลอดกลับร้องไห้..ฉันทำอะไรไม่ถูก ฉันไม่รู้ว่าจะต้องช่วยคุณแม่ยังไง” จนถึงตอนนี้แววตาของพิธานเริ่มเปลี่ยนเหมือนจะมีประกายไฟปะทุขึ้นมา
“ฉันรู้แค่ว่าตอนนั้นฉันหน้ามืดไปหมด รู้ตัวอีกทีตอนฉันเข้าไปผลักคุณพ่อ คนในบ้านรีบห้ามกันวุ่น...ฉันเกือบจะทำร้ายคุณพ่อไปแล้ว” ตอนเล่าพิธานดูเหมือนจะรู้สึกผิดแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้รู้สึกผิดเท่าที่ควร ดูขัดแย้งมากในสายตาของพระพาย
“คุณแม่ออกจากบ้านโดยที่ชวนฉันกับพี่เพลงไปด้วย ไปอยู่บ้านคุณยายและเหมือนจะขอห่างกับคุณพ่อเพื่อทบทวนทุกอย่างที่เกิดขึ้น”
“คุณพ่อคุณทำไงต่อเหรอ?” พระพายถาม
“ไปง้อทุกวันที่บ้านคุณยายและที่ฉันเพิ่งรู้จากนั้นไม่นานคือ..คุณแม่รู้เรื่องเลขามาโดยตลอด ท่านแค่ทำเหมือนไม่รู้แต่ที่ท่านเสียใจเพราะลูกๆดันมารู้เข้า”
“สุดท้ายคนที่เห็นแก่ตัวที่สุดคือคุณพ่อ พ่อที่อยากให้คุณแม่กลับไป พ่อที่เอาแต่ได้ ไม่เคยนึกถึงความรู้สึกคนในครอบครัว นี่ล่ะคนเห็นแก่ตัว”
“ถ้าดูจากตอนนี้ทั้งสองกลับมาคืนดีกันแล้วใช่ไหม?”
“ใช่ หลังจากเกิดเรื่อง คุณแม่ก็เปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่งตัวเปรี้ยว ทำตัวสวยๆ ออกเที่ยวกับเพื่อนๆ จนกลายเป็นคุณพ่อที่เอาแต่ตามติดคุณแม่และไม่ยุ่งกับเลขาอีก แม้ว่าคุณแม่จะให้อภัยแล้วแต่ฉันไม่ให้อภัยคุณพ่อที่เป็นแบบนั้นได้”
“หลังจากที่ทั้งสองคืนดีกัน คุณยายก็ซื้อคอนโดนี้ให้ฉันอยู่ จากนั้นฉันก็ไม่กลับไปบ้านหลังนั้นอีกเลย พี่เพลงก็ด้วย เพราะเราสองคนเสียใจกับสิ่งที่คุณพ่อทำลงไปในครั้งนั้น”
“และคุณไม่คุยกับคุณพ่อคุณเลยใช่ไหม?”
“ใช่ ฉันรับช่วงต่อดูแลเพราะคุณแม่ขอ แต่ฉันไม่ยุ่งกับคุณพ่ออีกเลย จะทำอะไรก็บอกผ่านคนอื่น ฉันจะไม่พูดโดยตรง”
“แปลว่าวันนั้นที่กลับบ้านไป คือครั้งแรกหลังจากที่ออกมาจากบ้านใช่ไหมที่คุณคุยกับพ่อ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
มาถึงตรงนี้พระพายรู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก เป็นเพราะเขาขอร้องให้พิธานกลับไปบ้านหลังนั้น บ้านที่มีความทรงจำที่พิธานไม่อยากกลับไป ธนิตคนเป็นพ่อที่สร้างบาดแผลและความทรงจำไม่ดีให้กับทุกคนในบ้าน รู้สึกผิดไม่น้อยเลยทีเดียวที่ทำให้พิธานต้องกลับไปเผชิญหน้ากับธนิตแบบนั้นอีกครั้ง อีกทั้งยังลงเอยด้วยการสร้างบาดแผลเพิ่มเติมให้อีกคือการที่ธนิตไม่ยอมรับในสิ่งที่พิธานเป็น
“ผมขอโทษ” พระพายพูดขึ้นพลางบีบมือพิธาน
“ขอโทษทำไม?”
“เพราะผม..เพราะผมทำให้คุณต้องไปที่นั่นอีกทั้งๆที่คุณไม่อยากไป” ความรู้สึกผิดนี้ทำเอาหนักอึ้งในใจอยู่เหมือนกัน
“จะขอโทษทำไม...ดีเหมือนกันที่ไป ฉันหนีมานานเกินไปแล้ว ถึงเวลาที่ต้องกลับไปเผชิญหน้าสักที”
“มันจะดีเหรอ ทั้งๆที่คุณเจ็บปวดกับสิ่งที่พ่อคุณทำ”
“ดีสิ แค่มีนาย..ต่อให้เจออะไรฉันก็พร้อม” พิธานว่า พลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของพระพาย
“คุณคิดว่าเราจะผ่านมันไปได้ไหม?” พระพายถามขึ้นมา
“นายว่ายังไงล่ะ?”
“ผมว่า..มันยาก..แต่ผมจะไม่ยอมแพ้หรอก ผมจะอยู่ข้างคุณ” พระพายยืนยันหนักแน่น
“เป็นพระพายที่เข้มแข็งดี” พิธานว่า
“แน่นอนสิ พระพายเสียอย่างบอกแล้วไงว่าผมจะอยู่ข้างๆคุณเอง”
“พูดจาน่ารักเชียว อยู่ข้างๆแน่ใช่ไหม?”
“อ่า แน่นอน...แต่ข้างซ้ายข้างขวาค่อยว่ากันนะ” พระพายว่าพลางหัวเราะ พิธานบีบจมูกพระพายด้วยความหมั่นเขี้ยว
“มีเรื่องอื่นอีกรึเปล่า?” พิธานถาม พระพายรีบหรุบตาทันที
“ไม่มี” พระพายส่ายหน้าทั้งที่หลบตาอยู่เช่นนั้น
“พระพาย....” พิธานเรียกชื่อราวกับย้ำคำถาม ไม่บ่อยที่พิธานจะเรียกชื่อเขาเช่นนี้
“ผมเห็น..คุณยืนคุยกับใครก็ไม่รู้ก่อนจะขึ้นมา” พระพายว่า พิธานจ้องหน้านั้นพลางนึกคิด
“หน้าตาดีมากเลย” พระพายยังคงจำใบหน้านั้นได้ดี
“ทำไม หึงเหรอ?” พิธานถาม พระพายหันขวับมองพิธานทันที
“อะไร ใครหึง เปล่า” ปฏิเสธทันควันจนคนได้ยินเห็นเป็นเรื่องตลกทันที
“ทำไมต้องปากแข็ง?” พิธานถามพลางเหล่มองราวกับจับผิด
“คุณพูดอะไร ใครหึงที่ไหนกัน แค่สงสัย” พระพายว่าขมวดคิ้วหน้ายุ่งทันที
“สงสัยยังไง?” พิธานถามพลางปรายตามองพระพายที่ทำตาหลุกหลิกเพราะกำลังหาคำอธิบาย
“ก็...ผมไม่คุ้นหน้า เพื่อนๆของคุณไม่มีคนหน้าตาแบบนั้นนี่” พระพายว่า เพื่อนๆของพิธานพระพายก็เคยเห็นหน้ามาบ้าง ถึงจะไม่ได้เจอบ่อยแต่พระพายพอจะจำหน้าทุกคนได้
“ทำไมไม่คิดว่าเป็นเพื่อนใหม่ล่ะ”
“เพื่อนใหม่คุณเหรอ เจอกันที่ไหน?” พระพายถามทันทีด้วยสีหน้ายุ่งๆ
“หึงชัดๆ” ยิ้มมุมปากของพิธานนั้นขัดลูกตาของพระพายที่สุด
“คุณพิธาน!” พระพายพูดเสียงดัง ยิ่งเห็นพิธานสนุกกับท่าทีของเขา พระพายยิ่งหงุดหงิดเข้าไปอีก
“ก็ได้ ไม่แกล้งแล้ว นั่นเลขาต่างหาก” พิธานว่า
“หืม...อย่าบอกนะว่าคนนั้นคือเลขาปอ?” พระพายถามขึ้น
“ใช่ เลขาปอคนนั้นแหละ” พิธานยืนยันความคิดของพระพาย
“เขามีธุระแถวนี้ ฉันเลยให้เขาติดรถมา” พิธานบอก
“แต่..มาส่งคุณถึงข้างในเลย” พระพายขัดเสียงเบาๆแต่พิธานยังคงได้ยิน
“เขาลืมแจ้งเรื่องงาน เลยตามเข้ามา”
“อย่างนั้นเหรอ” พระพายพยักหน้านิดๆ ดูเลื่อนลอยไปหน่อยเพราะยังนึกถึงใบหน้าของเลขาปอ
“รู้ตัวใช่ไหม ว่ากำลังหึง” พิธานว่า
“หึงเหรอ ไม่ใช่เสียหน่อย ผมแค่...แค่” อีกครั้งที่ไม่รู้จะหาคำไหนมาอธิบาย
“แค่อะไร?”
“ไม่ได้เรียกว่าหึง แค่อยากรู้เฉยๆ” พระพายเลือกจะตอบเช่นนั้น พิธานขยับตัวเข้าหาพระพายก่อนที่จะจูบริมฝีปากนั้นและผละออก
“ปากก็นุ่มเหมือนเดิม แล้วทำเมื่อกี้มันถึงแข็งได้ล่ะ?”
พิธานใช้สายตาวิบวับจ้องมองพระพายที่รู้สึกหน้าเห่อร้อนขึ้นมาเมื่อถูกมองอย่างนั้น แม้จะอยู่ด้วยกันมานานพอสมควรแล้วแต่ยากที่จะชินหากถูกพิธานใช้สายตาแบบนี้จ้องมอง ยังคงรู้สึกเหมือนถูกมองอย่างทะลุปรุโปร่งอยู่เสมอ
“ผมไม่ได้ปากแข็ง อย่าพูดอย่างนั้นสิ” พระพายว่าพลางเสมองไปข้างๆ
“ปากไม่แข็งแล้วอย่างอื่นล่ะ?” พิธานถาม พระพายทำตาโตขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปมามองพิธาน
“อย่างอื่นจะไปรู้ได้ไง” พระพายแหวใส่
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องขอดูหน่อยว่าเป็นยังไง”
“ยังไม่ได้อาบน้ำเลย” พระพายร้องขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปอาบด้วยกันเลย”
“คุณพิธาน พรุ่งนี้ผมต้องทำงานนะ!” พระพายปรามขึ้น กลัวว่าพิธานยั้งความต้องการของตัวเองไม่ได้และไม่ใช่แค่ของพิธานแต่ของตัวพระพายเองก็เช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้นคืนพรุ่งนี้ก็ได้” พิธานไม่อยากให้พระพายไปทำงานในสภาพไม่ดีเสียเท่าไหร่
“อ่า ใช่ พูดถึงคืนพรุ่งนี้....พี่ๆที่ออฟฟิศเขาชวนผมไปกินปิ้งย่าง” พระพายนึกเรื่องนี้ขึ้นได้พอดี
“พี่คนไหน?” ถึงคราวที่พิธานขมวดคิ้วใส่พระพายบ้าง
“พี่กล้วย ที่เสียงดังกว่าคนอื่นเขาไง”
พิธานไม่เคยเห็นพี่ๆในออฟฟิศพระพายแบบชัดๆ แต่ก็พอจำได้ลางๆว่ามีอยู่คนหนึ่งที่ชอบแหกปากและเป็นเสมือนผู้นำกลุ่มตอนไปเที่ยวกันและพระพายเองก็เคยไปกินปิ้งย่างกับเขาแต่โดนพิธานเรียกตัวกลับเสียก่อนในช่วงแรกๆที่เจอกัน
“คนนั้นน่ะเหรอ?”
“ก็มีคนเดียวนั่นแหละ”
“ถ้าไม่ให้ไปล่ะ?” พิธานมองพระพายที่แสดงสีหน้าลำบากใจนิดๆ
“จริงๆก็ขี้เกียจไปนะ แต่พี่เขาบ่นว่าผมไม่ไปเลย ครั้งนี้เลยไม่ยอม” พระพายบอก พิธานคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ
“ไปได้ แต่..ห้ามดื่มหนัก” พิธานยอมให้ไปได้
“สัญญา จะไม่ให้เมา” พระพายยิ้มแฉ่งออกมาอย่างดีใจ
“และฉันจะไปรับเอง” พิธานเสริมอีกข้อ
“ไม่ต้องหรอก เกรงใจ” พระพายว่า
“ไปรับแฟนกลับห้อง ทำไมต้องเกรงใจ”
“ครับ...” พระพายขานรับเสียงยาว
การที่ให้พระพายไปได้เที่ยวกับเพื่อนฝูงซึ่งนอกจากเก้าและตัวเขาเองก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยพระพายที่คิดมากในหลายวันนี้จะได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง ให้โอกาสคนรักได้ปลดปล่อยบ้างก็ดี...
Lyrics: Lounge act by Nirvana.