เทพหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นเมื่อยามรุ่งเช้า เช้ากว่าปรกติที่เคยตื่นหลายชั่วโมงอยู่ เขามองไปรอบๆตัวด้วยความรู้สึกเหนื่อยประหลาดและสัมผัสเปียกลื่นมีอยู่ที่หว่างขา บัดนี้เขาเข้าใจดีแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเขา คงเพราะด้วยฝันประหลาดนั่นแหละที่ทำให้เขาร้อนรุ่มมาตลอดคืน
ใช่ฝัน พวงแก้มพลันแดงซ่านขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องในฝัน เขาฝันถึงฟารันแต่นั่นไม่แปลกหรอกที่แปลกคือสิ่งที่อีกฝ่ายทำกับเขาในฝัน ในฝันนั้นเขาอยู่ที่ใดก็ไม่ทราบได้ แต่มันขาวโพลนและเวิ้งว้างไปสุดลูกหูลูกตา ร่างสองร่างกำลังแนบชิดอยู่ ณ ที่นั้น ไม่รู้กาลไม่รู้เวลา เขารู้แต่ว่าหนึ่งในนั้นคือเขาและอีกหนึ่งคือกษัตริย์หนุ่ม ที่สัมผัสแก่นกายส่วนร้อนของเขาอย่างไม่บันยะบันยัง ความรู้สึกนั้นชัดเจนจนเหมือนไม่ได้ฝัน เขารู้สึกได้มาจนถึงตอนนี้ในยามที่ตื่นมันยังเหมือนรอยประทับนั้นยังตรงสถิตยือยู่ที่หว่างขา
แต่ที่น่าอายไปกว่านั้นในห้วงฝันเขากลับไม่ได้ต่อต้านอะไรอีกฝ่ายเลย กลับปล่อยให้ตนถูกกระทำอย่างง่ายดายทั้งยังรู้สึกเหมือนจะเต็มใจให้ทุกอย่างเป็นไป เขาจำได้ น่าอายแต่ก็....น่าสนใจ
กอดก่ายกันอย่างเร่าร้อน ลมหายใจ สัมผัส เสียงของฟารัน ในฝัน เหมือนจริงจนมิอาจแยกแยะ ยังจำได้ด้วยซ้ำความรู้สึกเมื่อยามกอดแผ่นหลังกว้างนั้นไว้และริมฝีปากที่ประทับไปทุกส่วน เขาเห็นไม่เพียงใบหน้าแต่ทุกส่วนสัดอันกำยำของอีกฝ่ายประหลาดมากและชัดเจนมาก เขามั่นใจว่าเท่าที่จำได้เขายังไม่เคยเห็นเรือนร่างใต้ร่มผ้าของฟารันเลยแม้แต่ครั้งเดียว เหตุใดกันภาพในฝันถึงชัดเจนคุ้นเคยและเหมือนเห็นด้วยตาถึงเพียงนั้น
ร่ายกายพลันร้อนผะผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง เลือดลมสูบฉีดแรงเมื่อนึกย้อนถึงภาพฝัน เขาเม็มปากแน่นพยายามข่มอารมณ์ตน เกรงว่าส่วนอ่อนไหวนั้นจะแข็งขืนขึ้นมาอีกทั้งที่ไม่ต้องการ ตอนนี้เขาควรมีสติและจัดการกับร่างกันอันเปรอะเปื้อนนี่เสีย
โรเรเนสเลิกผ้าห่มออกอย่างเบื่อหน่าย เขาหมายว่าจะพบคราบใสที่ขับออกจากร่างเหมือนคราวก่อน ทว่าสิ่งที่ได้เห็นกลับทำให้ผิวแก้มแดงเรื่อแปรเป็นซีดเผือด
คราบเปียกลื่นที่สร้างรอยเปรอะอยู่ที่เนื้อหว่างขาและผ้าปูที่นอนมีสีขาวขุ่นดั่งน้ำนมหาใช่หวานใสดั่งน้ำเชื่อม
เป็นไปไม่ได้!เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย สับสนจนไม่อาจคิดอะไรออก เขาไม่รู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นด้วยเพราะเหตุอันใด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนโดนอะไร รู้เพียงแต่ว่าต้องจัดการคราบนี้ก่อนที่คนอื่นจะมาพบ
ก๊อก ก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูดังขึ้นเขายิ่งต้องรีบลงมือ ในขณะที่จัดการกับหลักฐานพลางก็ตะโกณออกไปให้หญิงรับใช้ได้รออยู่ก่อน
“ประเดี๋ยวก่อนชาช่า อย่าเพิ่งเข้ามา”
“เปิดประตูเดี่ยวนี้!”
ทว่าเสียงที่ตอบกลับมากลับเป็นเสียงแหบห้าวของผู้ชายแทนจะเป็นหญิงสาว เด็กหนุ่มตระหนกและร้อนรนเขารีบจัดแจงคราบบนผ้าอย่างเร็วๆ ด้วยวิธีเท่าที่คิดออก
“ไปเรียกนางต้นห้องให้เอากุญแจมาไข!”
เขาขึงผ้าปูที่นอนใหม่ให้ตึงก่อนจะสอดมุมของมันให้เหมือนก่อนจะถูกรื้อ พอดีกับการที่ประตูถูกเปิดออกเหล่าทหารสามสี่นายเดินเข้ามาพร้อมกับขุนนางสองคน เขาจำได้ทั้งสองคนแต่จำชื่อได้เพียงคนเดียวนั่นคือคนทางซ้ายที่มีนามว่าโยเฮน ส่วนอีกคนเคยเห็นอยู่กับฟารันแต่นึกชื่อไม่ออก
“พวกท่านมีธุระอะไร ไม่จำเป็นต้องเอะอะในยามเช้าเช่นนี้”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยที่พยายามทำให้ดูเป็นปรกติที่สุดขณะที่นั่งนิ่งๆอยู่บนเตียงเหมือนเพิ่งตื่นมาไม่นาน
“ธุระของพวกข้านั้นสำคัญนักด้วยวันนี้ข้าจำต้องเปิดโปงคนลวงที่โกหกปั่นหัวองค์ราห์โอมานาน นั่นก็คือท่าน”
ขุนนางวัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย้ยหยัน ก่อนจะปรายตาของเขาหัวจรดเท้า
ประจวบเหมาะอะไรแบบนี้นะ
โรเรเนสคิดในใจด้วยสงสัย มันช่างบังเอิญเสียเหลือเกินที่จู่ๆน้ำวิสุทธิ์ของเขาก็กลายเป็นสีขุ่นแทนที่จะเป็นใส ในวันที่จู่ๆคนพวกนี้ก็จะมาตรวจตรา
“ข้าไม่มีอะไรต้องปิดบัง แต่พวกท่านเถอดเขามาแบบนี้ได้รับการอนุญาติจากองค์เหนือหัวแล้วหรือกระไร”
“แน่นอน ด้วยก่อนหน้าข้าแอบรู้มาจากนางในบางคนได้กล่าวว่า หลายครั้งหลายคราผ้าปูที่นอนของท่านนั้นมักมีคราบที่คาดเดากันได้ปรากฎอยู่”
“แล้วอย่างไร”
“ก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจสำหรับพวกนางขี้ข้า ด้วยนางนั้นไม่รู้ว่าเจ้าคือผู้แอบอ้างเป็นเทพที่ควรจะขับน้ำคาวหวานออกมาเป็นสีใส ทว่าการที่คราบนั้นเป็นรอยของน้ำสีขุ่นพวกนางจึงนึกเห็นว่าไม่แปลกอะไรสำหรับคนหนุ่ม หากแต่แน่นอนนั่นไม่ใช่ข่าวดีเลยสำหรับคนที่รุ้อะไรเป็นอะไร เช่นนี้ข้าจึงนำความขึ้นทูลเกล้าฝ่าบาทและก็ทรงอนุญาติให้ข้ามาตรวจดูในวันนี้”
โกหกทั้งเพ เรื่องทั้งหมดที่ขุนนางผู้นี้พูดนั้นไม่มีความจริงเลยแม้แต่น้อย วันนี้เป็นวันแรกที่แก่นกายของเขาขับน้ำที่มิใช่สีใสออกมาเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีนางรับใช้ผู้ทำความสะอาดคนใดจะเคยเห็นคราบน้ำที่เป็นสีขุ่นของเขามาก่อน อีกทั้งเรื่องแบบนี้ถ้าฟารันรู้เข้าเขาจะต้องเป็นผู้มาพิสูจน์ด้วยตนเองมิใช่ส่งคนอื่นมาเช่นนี้
หากแต่ดื้นรั้นไปก็ไม่ช่วยอะไร เพราะเขาคงไม่อาจห้ามการกระทำของคนเหล่านี้ได้อยู่แล้ว
“กังวลอะไรรึท่านสีหน้าไม่ค่อยดี” ขุนนางอีกคนที่มากับโยเฮนเอ่ยถามด้วยลักษณะที่ไม่ได้ถามเพราะเป็นห่วงเขาแม้แต่น้อย
“นั่นสิ หึ หน้าซีดด้วยร้อนตัวสินะ” โยเฮนเหยียดยิ้มให้ก่อนจะหันไปสั่งการทหารที่ยทนล้อมรอบ
“รื้อให้หมด!”
เหล่าทหารกรูกันเข้าไปทึ้งรื้อและตรวจที่นอนเสียถ้วนถี่ บ้างก็ดูที่ผ้าปู บ้างดูที่ฟูกหรือกระทั่งผ้าห่ม หลังจากก้มๆเงยๆหาจุดที่เด่นเป็นคราบอยู่ซักพัก หนึ่งในนั้นก็ดึงเอาผ้าปูที่นอนผืนใหญ่มาทั้งผืนแล้วตรงมาทางขุนนางนายตน
“มีคราบที่ระบุไม่ได้อยู่ในจุดนี้ครับ”
ขุนนางทั้งสองดึงผ้าผืนนั้นไปสำรวจ แต่ก็พบเพียงรอยคราบอย่างที่บอกซึ่งในตอนนี้ด้วยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นคราบอะไรและเกิดจากอะไร หากแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ยัดเยียดแลกล่าวหาขึ้นมาเสียดื้อๆ
“นี่มันต้องเป็นคราบสกปรกของน้ำวิสุทธิ์ของเจ้าเป็นแน่”
“แล้วมันใช่สีขุ่นไหมเล่า” เด็กหนุ่มย้อนกลับไปด้วยใบหน้าที่เริ่มตึงเล็กน้อย
“เจ้าคิดว่าการที่เจ้าเช็ดคราบมันออกไปจะทำให้เจ้าพ้นผิดงั้นรึ หน้าโง่ทำเป็นนี้ยิ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าเจ้าร้อนตัวถึงต้องทำลายหลักฐานแบบนี้”
“สิ่งที่ท่านพูดนั้นยืนยันไม่ได้”
“ความเป็นเทพของเจ้าก็ยืนยันไม่ได้เช่นกัน ทหาร!หาผ้าที่มันใช้เช็ดคราบผ้าปูที่นอนนี้ให้เจอมันต้องซ่อนอยู่ที่ไหนซักแห่ง รื้อให้หมด!”
ครานี้โรเรเนสกลับร้อนร้อยรนอย่างเห็นได้ชัด แน่ล่ะว่าคราบเปียกลื่นนั้นไม่ได้หายไปด้วยอันตราธาน แต่เป็นเขาเองที่เช็ดถูมันให้หาย ให้จางลงไป ด้วยสิ่งที่ใกล้ตัวเท่าที่จะหาได้และผ้าผืนนั้นที่ถูกนำมาใช้ก็แน่นอนว่ายังมีคราบขุ่นๆที่ถูกเช็ดออกติดอยู่ด้วย
สองขุนนางเห็นใบหน้าที่กลับซีดเผือดลงของเด็กหนุ่มจึงหันมายิ้มเย้ยให้กันอย่างมีชัย อีกฝ่ายที่รู้สึกถึงการหยามเหยียดเช่นนั้นก็ค้อนมองตอบก่อนจะขบริมฝีปากลงอย่างอึดอัดใจ
เขาพยามก้มมองต่ำไม่สนการร้นค้นของเหล่าทหารด้วยไม่ต้องการจะชี้โพรงให้กระรอก ไม่ต้องการให้ฝ่ายที่มาบุกรุกรู้หรือจับสังเกตุได้ว่าเขาซ่อนผ้าผืนนั้นไว้ที่ไหน ซึ่งก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้นเมื่อผ่านไปนานสองนานก็ไม่มีทีท่าว่าจะเจอของชิ้นนั้นขุนนางทั้งสองก็เริ่มหงุดหงิด จนท้ายแล้วจึงสั่งให้ทหารหยุด แล้วจึงหันมามองหนุ่มเกศม่วงด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
“ซ่อนของเก่งนักนะ คิดว่าเจ้าจะรอดตัวไปได้โดยง่ายงั้นรึ”
โยเฮนมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาประสงค์ร้ายขณะที่พยายามคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี แต่ก็กลายเป็นสหายของเขาที่มาด้วยกันกลับคิดขึ้นมาได้ก่อน
“จับมันเปลื้องผ้าเสีย บนตัวมันต้องยังมีร่องรอยอยู่เป็นแน่!”
เจ้าของห้องแตกตื่นกับความคิดนั้นเป็นอย่างมาก เขาจับกระชับเสื้อตนทันทีแล้วถอยหนีอย่างตระหนก
“ทำแบบนั้นไม่ได้นะ!”
หากแต่หนีไปไม่ได้กี่ก้าวพวกทหารก็กรูกันเขามาจับแขนทั้งสองข้างเขาไว้ แม้นจะพยายามดิ้นเท่าไรก็ไม่หลุด
“กลัวอะไรเล่า เจ้าไม่มีอะไรต้องปิดบังมิใช่รึ”
“ยะ หยุดนะ ปล่อยข้า!”
มือสกปรกเอื้อมตรงไปที่ชายชุดเด็กหนุ่มหมายจะจับเลิกเสียให้เห็นเนื้อ ในขณะที่เหยื่อรูปงามพยายามคิดหาทางแก้ทั้งใบหน้าเปียกเหงื่อ
“ราห์โอสั่งห้ามทุกคนแตะตัวข้าท่านจำไม่ได้รึ!”
“อย่าเอาคำพระองค์มาอ้างให้แปดเปื้อนเหลวไหล ข้าก็บอกแล้วอย่างไรว่าได้รับคำสั่งมา”
“ทรงสั่งให้ตรวจสอบห้องข้าได้แต่ไม่ได้บอกให้แตะตัวข้าได้นี่ ถ้าเขายอมเช่นนั้นจริงก็ให้เขามายืนยันเองหากแต่มิใช่ ไม่ว่าท่านจะมีเหตุผลอันชอบธรรมเพียงใดในการกระทำเยี่ยงนี้ ก็เท่ากับท่านขัดคำสั่งราห์โออยู่ดี ด้วยราห์โอเคยประกาศไว้ในห้องชุมนุมคราก่อนโน่นแล้วว่าใครก็ห้ามแตะตัวข้าเว้นแต่หมอหลวงเพียงเท่านั้น!”
ฝ่ามือที่หมายจะจับทึ้งกลับหยุดค้างกลางอากาศก่อนจะหดกลับไปอย่างขัดใจ
ทั้งหมดเงียบไปด้วยคิดคำนึง ใบหน้าของสองขุนนางออกอาการชัดว่าหนักใจระคนโกรธ แต่ก็ครุ่นคิดเป็นอันมากเพราะถึงแม้เขาจะพิสูจน์ได้ว่าชายผู้นี้ไม่ใช่เทพแต่นั้นก็ไม่ได้แปลว่าพระองค์จะทรงยอมหรือยินดีที่ให้เขา เห็น หรือ สัมผัสชายคนนี้ ด้วยเพราะไม่อาจคาดเดาได้ว่าราห์โอทรงจะตัดสินพระทัยเช่นไรกับบุรุษรูปงามผู้นี้ แล้วอันที่จริงก็ทรงแสดงให้เห็นอยู่ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาว่า เด็กหนุ่มเกศม่วงเป็นสมบัติของพระองค์
โยเฮนกัดฟันกรอดด้วยมิอาจทำได้ดั่งใจ
“ปล่อย!”
เขาสั่งด้วยเสียงกร้าว พวกทหารจึงยอมปล่อยและผละตัวออกอย่างง่ายดาย ขุนนางอีกคนออกอาการตกใจละลำละลักเมื่อด้วยเห็นเป็นดังนั้น
“แต่ท่านโยเฮน ถ้าไม่ทำแบบนี้เราก็ไม่อาจพิสูจน์ได้นะท่าน”
“ไอเด็กนี่มันพูดถูก คำสั่งของกษัตริย์เป็นวาจาศักดิ์สิทธิ์มิอาจละเมิดได้ ทรงห้ามไว้แล้วว่าไม่มีใครนอกจากพระองค์และหมอหลวงที่จะสัมผัสตัวชายผู้นี้ได้”
เขาเอ่ยโดยไม่ได้มองสหายตนแต่แววตาดุดันอาฆาตยังประสบมองกับแววตาอีกฝ่ายที่ยังหอบเหนื่อยด้วยตกใจและโกรธอยู่ เทพหนุ่มจ้องตอบอย่างไม่ลดละเขาไม่คิดจะหลุบตาหนีจนกว่าอีกฝ่ายจะยอมก่อน
“วันนี้เจ้ารอดไปได้แต่ไม่ได้แปลว่าอื่นๆเจ้าจะรอดได้ อย่าชะล่าใจไปนักเลย”
จบคำเขาก็ตวัดตากลับแล้วเดินรี่ออกจากห้องไปพร้อมพรรคพวกของตน ทิ้งเจ้าของห้องให้อยู่กับเศษซากเละเทะของการรื้อค้น
เขาทรุดนั่งแทบจะในทันทีเมื่อเสียงปิดประตูปังดังขึ้นตามหลังการจากลาของเหล่าทหาร ไม่แน่ใจว่าจะรู้สึกอย่างไร มันจุกๆที่คอ รื้นๆที่ตาเหมือนอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก ทั้งเหนื่อย ตระหนกและหนักใจ หนักอึ้งในใจอึดอันจวนจะอาเจียน ปากคอแห้งผากและปวดหัว เขามองไปรอบๆห้องอย่างสับสน
คิดไม่ออก มีหลายอย่างในหัวตอนนี้ที่สงสัยเต็มไปหมด ทั้งว่าทำไมน้ำที่ขับออกมาจึงเป็นสีขุ่น? ทำนางต้นห้องจึงหายไปหมด? ชาช่าไปไหม? คนใช้ไปไหน? ทำไมมันต้องไม่มีใครอยู่เลยเวลาที่เขาต้องการ? เกิดอะไรขึ้น? ฟารันต้องการแบบนี้จริงๆหรือ?
ไม่รู้ รู้แต่แค่อยากอาบน้ำ...........
*****************
โรเรเนสเดินออกมาจากห้องนอนแล้วตรงไปที่ห้องอาบน้ำที่ใกล้ที่สุดและเป็นห้องอาบน้ำที่เขาใช้ประจำ มันเงียบอย่างผิดปรกติและไม่มีใครอยู่ซักคน ทั้งที่น่าจะเริ่มได้ยินเสียงจอแจของเหล่าคนรับใช้ดังแว่วๆตามมุมต่างๆอย่างที่ควรจะเป็นแต่กลับไม่มีเลย ไม่มีใครเฝ้าอยู่หน้าห้องเขาเหมือนเคย ตามทางเดินก็ไม่เจอผู้ใด เรื่อยไปจนถึงห้องอาบน้ำก็ไม่มีใครเตรียมของไว้ให้ หากแต่ยังดีที่ตามปรกติจะมีผ้าเช็ดตัวและเสื้อคลุมจัดเป็นชุดสำรองไว้ในห้องอาบน้ำอยู่แล้วเขาจึงสามารถชำระล้างเนื้อตัวของตนเองได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งการบริการจัดแจงเสื้อผ้าและอุปกรณ์อาบน้ำจากใคร
ห้องอาบน้ำห้องนี้ถือว่าไม่เล็กไม่ใหญ่ กึ่งๆเป็นห้องอาบน้ำรวมเสียด้วยซ้ำเพราะมันมีไว้ให้บรรดาแขกคนสำคัญของกษัตริย์มาใช้บริการยามพักพิง หากแต่ขณะนี้ไม่มีอาคันตุกะใดๆ เขาจึงเป็นคนเดียวที่ใช้ที่นี่เป็นประจำ มันเป็นฆ้องน้ำที่สร้างจากหินเนื้อดีที่จะไม่เป็นคราบและตะไคร่เมื่ออยู่กับน้ำนานๆ ผนังรอบด้านมีรูปสลักนูนต่ำทาสีสวยอย่างวิจิตร กลางห้องเป็นสระน้ำรูปผืนผ้าที่รอบด้วยเสาหินและมีบันไดให้เดินลงไปยังสระ ที่ผนังด้านหนึ่งเป็นส่วนที่ติดกับสระน้ำและไม่มีพื้นที่ให้เดินเหมือนสามทิศที่เหลือ รูปสลักหัวสิงโตยื่นออกมาจากผนัง มันเป็นแหล่งน้ำแหล่งเดียวในสระนี้ ด้วยน้ำใสเย็นสะอาดไหลซู่ออกจากปากของมันอย่างสม่ำเสมอและตลอดเวลา หากแต่น้ำนั้นไม่เคยเอ่อท่วมด้วยระบบระบายและทำความสะอาดอย่างสร้างไว้อย่างดีตามจุดต่างๆทั่วก้นสระ
โรเรเนสเปิดตู้ไม้ที่ตั้งอยู่ในบริเวณแล้วหยิบผ้าออกมาสองพับพร้อมปิ่นปักผม วางทั้งหมดลงที่ขอบสระก่อนจะถอดผ้าตนแล้วใช้ปิ่นปักมวยผมที่ม้วนไว้ จากนั้นก็ลงไปในน้ำ เขาล้างเนื้อล้างตัวอย่างถ้วนถี่ด้วยไม่คิดจะอยากเหลือร่องรอยอะไรไว้กับตัว ตั้งแต่ปลายเท้ายันหน้าตาที่เขาตั้งใจชโลมน้ำให้สดชื่น
เมื่อขัดถูกทั่วตัวไประยะหนึ่งจึงเริ่มว่ายออกไปยังกลางสระซึ่งใต้น้ำที่หากดูแต่ผิวก็เข้าใจว่าเหมือนกันหมด ทว่าจุดกึ่งกลางสระกลับก่อสร้างพื้นให้สูงขึ้นมาเหมือนเป็นที่นั่งในหย่อนใจแช่น้ำอย่างไม่ต้องสนใจใครได้ เขานั่งลงที่จุดนั้นปล่อยหลังให้พิงกับพนักพิงที่อยู่ใต้น้ำเช่นกัน ปล่อยให้ร่างทั้งร่างไร้แรงแรงการควบคุมให้มันผ่อนคลายจากความเครียดเมื่อครู่
แล้วเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
ให้ตายสิ ข้าจะทำอย่างไรดีจู่ๆเหมือนทุกอย่างที่กำลังไปได้ดีก็ล้มครืนลงมาเฉยๆด้วยเพราะเจ้าน้ำสีขุ่นที่ออกมาจากร่างกายเขา....ได้อย่างไรก็ไม่ทราบทั้งที่ก็เคยเห็นเป็นสีใสๆมาก่อนแท้ๆ แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เขาสะกิดใจได้ว่าพวกขุนนาง ซึ่งไม่รู้มีกันกี่คนแต่ที่แน่ๆต้องมีโยเฮน จงใจทำบางอย่างกับร่างกายเขาให้เป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร โกรธแค้นกันมาจากปางไหน เหตุใดถึงอยากให้เขาตายและไม่รู้ว่าอย่างไรหรือวิธใด ด้วยเวทย์มนต์ของเหล่ามนุษย์นั้นในตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง อาจมีการทำพิธีบางอย่างจากพ่อมดบางคนทำให้เป็นเช่นนี้ หรือเปล่า? ไม่ทราบ
หรือกระทั่งมันอาจเป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อยามที่เทพที่ลงมาเป็นมนุษย์อยู่บนโลกไปได้ซักพักน้ำวิสทุธิ์ก็จะพลันกลายเป็นสีขาวเหมือนเช่นมนุษย์ปุถุชนงั้นรึ? เขาก็ไม่รู้ ก็มันยังไม่เคยมีใครกลายเป็นเทพด้วยวิธีอันเชิญแบบที่เขาเจอนี่นา แลถึงแม้ตัวเขาจะได้กลับไปเป็นเทพก็คงตอบไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากรณีเทพที่แปรสภาพจากเทวรูปองค์ปฐมนั้นควรมีลักษณะเช่นใดกันแน่ ด้วยกรณีการกลายเป็นมนุษย์ของเขานั้นมีพบได้น้อย มีองค์ความรู้ที่น้อยมากในหมู่มนุษย์และไม่มากไปกว่ากันในแดนเทพ
สำหรับอะไรที่นานๆเกิดทีแถมยังเป็นเหตุสุวิสัย(เพราะแต่เดิมผู้ที่ต้องลงมานั้นเป็นเทพีอนามอเฟียมิใช่ตัวเขา) ยิ่งยากแก่การคาดเดาไปใหญ่ว่าอะไรจะเป็นอะไรไปในทิศทางไหน คงเพราะเช่นนี้กระมังที่เขาไม่ได้รับสัญญาณการติดต่อหรือช่วยเหลือใดๆจากทางสวรรค์เลย คงเพราะทางนั้นก็อาจติดขัดอะไรบางอย่างที่ไม่อาจฝ่าผืนได้ก็เป็นได้ ในกรณีที่มีคนรู้น้อยเช่นนี้การจะตัดสินใจกระทำการใดๆลงไปของเหล่าเทพก็ต้องรอบครอบยิ่งขึ้นกว่าที่เคย
เอื้อมมือขึ้นจับท้ายทอยของตนก่อนจะนวดช้าๆอย่างเหนื่อยล้า คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันสีหน้านั้นเห็นชัดถึงการครุ่นคิดอย่างหนัก
“จะรอดไปได้กี่วันล่ะเนี่ย”
เขารำพึงกับตัวเองขณะเริ่มคิดถึงทางแก้ เขาเชื่อว่าน้ำวิสุทธิ์ที่แก่นกายเขาขับมาต้องกลับไปเป็นสีใสได้แน่ แต่ไม่รู้ว่าอย่างไร ซึ่งเรื่องนั้นเขาต้องให้ท่านหมอช่วยจัดการ ไม่ว่าจะวิธีไหน มันอาจมียาบางตัวที่ช่วยได้หรือหากเป็นเวทย์มนต์ก็ต้องให้ท่านหมอช่วยหาคนจัดการเรื่องนี้ แต่ในระหว่างนี้จะยังให้ฟารันรู้ไม่ได้ไม่ใช่แค่ไม่อยากโดนลงโทษ....แต่ก็ไม่อยากให้ฟารันเสียความรู้สึกเสียมากกว่า
เขาคงต้องบ่ายเบี่ยงไปเสียทุกทางเพื่อไม่เปิดเผยเรื่องนี้ หรือร้ายที่สุดคือหนีไปเลยก็เป็นได้ จนเมื่อความทรงจำของเขากลับมาได้หมด น้ำวุสิทธิ์นั้นมีสีใส ครบถ้วนกระบวนความคุณสมบัติความเป็นเทพ เมื่อนั้นค่อยกลับมาพบฟารันใหม่จะดีกว่าไหม ถึงแม้จะต้องทรมาณใจที่จะไม่ได้เจอหน้ากันอีกแต่ถ้าฟารันจับได้ถึงเรื่องน้ำสีขุ่นนี้ มันคงเป็นทรมาณที่แสนสาหัสยิ่งกว่าที่ต้องกลายเป็นคนโกหกในสายตาของอีกฝ่าย สู้หายไปเลยยังจะดีกว่า
ไว้ก่อนแล้วกัน!พลางปล่อยร่างกายให้แผ่ทิ้งไปกับน้ำ ให้ละลอกคลื่นน้อยๆกระเพื่อนผ่านตัวไปแล้วปล่อยใจให้ไม่คิดสิ่งใด ยามนี้ขอพักก่อน แล้วค่อยว่ากันใหม่ ไม่ต้องสนอะไรโรเรเนส ไม่ต้องสนอะไร ช่างมันไปเสียก่อน ช่างพวกขุนนาง ช่างพวกนักบวช ช่างฟารันไปด้วยประไรโรเรเนส....
ทว่า........
“รู้ไหมว่าข้าคาดหวังอะไร”
เสียงคุ้นเคยที่ทุ้มเย็นเยียบไร้อารมณ์ดังขึ้นแทรกระหว่างความเงียบและเสียงน้ำ
เทพหนุ่มลุกขึ้นนั่งแบบไม่เชื่อหูตัวเอง ก่อนจะหันไปมองด้านหลังช้าๆ ใจนึงยังหวังให้ตัวเองหูฝาดไป วูบหนึ่งเขาหวังให้หันไปแล้วไม่เจอใคร ทว่าหูเขาไม่ได้ฝาดและที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็เป็นตัวเป็นตนชัดเจน
ใบหน้าไร้เลือดซีดเผือดเหมือนคนตาย จับจ้องอยูที่ชาย ณ ขอบสระในมือเขาผู้นั้นถือชุดที่เขาเพิ่งถอดวางไว้เมื่อครู่ ปลายนิ้วมืออีกข้างที่ว่างเปล่ากลับปรากฎเห็นเป็นเหมือนหยาดน้ำสีขุนข้นลื่นซึ่งเพิ่งปัดป้ายออกมาจากชุด ด้วยโรเรเนสนั้นไม่ทันสังเกตุว่าบางส่วนของน้ำสีขุ่นข้นของเขายังมีเหลือติดเป็นคราบอยู่บนชุดนอน
ซึ่งส่วนสุดท้ายที่เผลอเรอนั้นตอนนี้กลับอยู่บนปลายนิ้วของผู้มาเยือน ใช่เห็นได้อย่างชัดเจนมันมีสีขาวขุ่นหาใช่สีใสดั่งควรจะเป็นไม่ ใช่เขาเห็นแล้วและมองมาที่ผู้ที่อยู่กลางสระด้วยสายตาเย็นชายะเยียบเยือกปนอยู่กับอารมณ์มากมายที่ยังไม่สามารถอ่านได้ในตอนนี้
เหมือนหัวใจแลวิญญาณหล่นร่วงหายไปจากร่าง แต่ปากบางๆที่สั่นนั้นก็ยังฝืนเอ่ยนามของผู้มาเยือนอย่างแผ่นเบา ด้วยไม่อาจเหลือแรงให้เปล่งเสียงมากเท่าใดนัก เอ่ยขึ้นเหมือนพูดกับตัวเองเสียมากกว่าจะพูดกับใครในห้องนี้....
“ฟารัน...”
มาลงเพิ่มแล้วเย่ ในที่สุดก็ผ่านพ้นวันวาเลนไทไปด้วยการเขียนฟิคจนได้เย่ๆ ดีใจจัง อยู่คนเดียวในวันวาเลนไทนี่ดีนะคะได้มีเวลาเป็นของตัวเองในขณะที่คนมีคู่เค้าทำไม่ได้เนอะ มีความสุขที่สุดเลย
ขอบคุณที่มาอ่านค่ะ