Act 8: เรา...กับสัญญาณไฟสีเขียว
“นี่ฉันมานั่งผิดที่รึเปล่าเนี่ย ทำไมมันอึมครึมแบบนี้” ชมพู่เอ่ยขึ้นระหว่างที่บรรยากาศเฮฮากำลังดำเนินไปอย่างสนุกสนาน อ่า...ยกเว้นตรงที่เรานั่งแล้วกัน มันอึมครึมอย่างที่ชมพู่ว่าจริงๆ นั่นแหละ เราหลบสายตาเขาที่นั่งตรงข้ามเราด้วยการตักอาหารมาใส่จานตัวเอง
...กินไปสิ จะมองเราทำไมกัน...
“เออนาย ว่าแต่แกหายไปตั้งนานดูตัวสูงขึ้นนะ อ้อ...นี่รู้จักไว้สิ นี่เพื่อนรักพี่ ข้าวปั้น ปั้นนี่นาย...”
ดูเหมือนตอนอยู่นอกสนามทุกคนจะพอรู้จักกันมาบ้าง พวกเขาพูดคุยกันอย่างไม่เคอะเขิน แต่เวลาอยู่ในสนามนี่คนละแบบกันเลยนะเนี่ย เรามัวแต่คิด พอชมพู่เอื้อมมือมาโอบไหล่ เราจึงเงยหน้าขึ้นมองคนที่ชมพู่แนะนำให้รู้จัก
“อ่า...”
เขาพยักหน้าลงเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย สายตาเขามองมาที่ไหล่เราก่อนจะเสมองอาหาร พึมพำอะไรคนเดียวเบาๆ
“นานไปแล้วครับ”
“ว่าไงนะ” ชมพู่เลิกคิ้ว แต่เขาส่ายหน้าก่อนจะมองมาที่กลางโต๊ะ
“พี่พู่ส่งทิชชู่มาให้หน่อยครับ”
“อ๋อ เออๆ อะนี่...” ชมพู่เอามือออกจากไหล่เราแล้วหยิบทิชชู่ส่งให้นาย ก่อนจะหันไปหาน้องๆ “แล้วนี่พวกแกเป็นอะไรกันนั่งเงียบเป็นเป่าสาก”
เพราะโต๊ะที่ร้านอาหารต่อกันยาว เราห้าหกคนก็เลยต้องมานั่งรวมกันอีกฝั่งของโต๊ะ และดูเหมือนเขาจะมานั่งผิดฝั่งด้วยเพราะด้านข้างของเขาคือฟุนกับเหน็ง เพื่อนๆ มธ.ของเขานั่งตรงกลางเยื้องไปทางหัวโต๊ะทางนู้นกันหมด นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้บรรยากาศมันกร่อยสนิทแบบนี้ เรามาทำอะไรที่นี่...ที่เรานั่งอยู่ท่ามกลางนักกีฬาบาสมหาลัยเหล่านี้ก็เพราะชมพู่และโค้ชบังคับเราให้มาด้วย พวกเขาอยากตอบแทนที่เราไปช่วยทีม
“ไม่มีอะไรคร้าบบบบบ” กี้ ฟุน เหน็ง ประสานเสียงตอบ โดยที่ชมพู่หรี่ตามองอย่างสงสัย
“พวกมึงกุ้งผัดผงหรี่อร่อยชิบเป๋ง เชี่ยเจ็มแดกๆ”
“หรี่หน้ามึงดิไอ้กี้”
“สาดดดด”
ถึงจะทำตัวเฮฮาแบบนั้นก็เถอะ เรารู้ว่าพวกเขาสงสัยแต่ก็ไม่กล้าถาม ก็พวกน้องๆ น่ะเหมือนมีเครื่องหมายคำถามแปะไว้บนหน้าผากซะขนาดนั้น เหตุการณ์ข้างสนามก่อนหน้านี้ไม่มีใครพูดถึงอีก โดยเฉพาะกี้ที่นั่งหัวโต๊ะก็ไม่ค่อยคุยกับเราเท่าไหร่ ตอนที่นายดึงมือเราไปกี้ดูหัวเสียไม่น้อย เราหันไปมองน้องๆ ไม่นานก็รู้สึกว่ามีใครจ้องอยู่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นนายแน่นอน
...บรรยากาศอึดอัดจนอยากกลับบ้านแล้ว...
“ปั้นแล้วแกจะขยุกขยิกทำไมเนี่ย อยากกลับบ้านหรอ”
...ใช่ๆ ชมพู่รู้ได้ไง... เรากำลังจะพยักหน้าแต่จู่ๆ ก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น เขาแก้มแดงปลั่ง เดินเซถลามากอดคอนาย และเป็นเวลาเดียวกับที่นายถามเราพอดี
“อยากกลับรึยังครับ?”
“ไอ้นายยยย กินหน่อยดิว้า โค้ชพี่กิมอนุญาตแล้วเนี่ยยยย” น้องคนที่มาใหม่ส่งเสียงยานคาง หยิบแก้วที่มีน้ำสีส้มจางๆ ที่ติดมือมาแนบริมฝีปากนาย
“งานนี้โนแอลกอฮอล์นะ เมาได้ไงเนี่ย” ชมพู่เอ่ยขึ้นบ้าง เมื่อจุดรวมตัวตรงนี้มีพวกโค้ชมองมาขำๆ พวกเจ็มก็มองอย่างสนใจอยากจะร่วมวงด้วย
“มันเมาโค้กพี่”
เพื่อนอีกคนตะโกนมา กี้เลยปาก้อนกระดาษทิชชู่ใส่พลางทำเสียงโห่ในลำคอ โห่เพราะเสียดายแหงๆ เพราะน้ำสีส้มนั่นคงเป็นโค้กที่ผสมน้ำเปล่า
“เสียดายเลยอะโค้ช โนแอลโนฟันนะคร้าบ” น้องเหน็งพูดเสียงดังจนทุกคนหัวเราะกันใหญ่ก่อนจะหันไปคุยกันตามเดิม
“เอ..คนนี้หน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเจอกันแถวๆ แถวไหนวะนาย ที่มึงไปบ่อยๆ อ่า...” จู่ๆ น้องผู้ชายหน้าตี๋ชะโงกตัวข้ามโต๊ะมาจ้องหน้าเรา จนนายต้องรีบดึงเอวเขาไว้ เรามองมือนายแล้วรู้สึกแปลกๆ ในใจ
...ทำไมต้องจับแน่นขนาดนั้นด้วย...
“ใช่ไหมมึง...แถวเซ็นนน...โอ๊ย บีบท้องกูทำไมเนี่ยยยย”
“ไอ้แดม เอาเอ็มเจไปเก็บดิ๊” ไม่รอให้พูดจบ นายรีบเรียกเพื่อนอีกคนทันที
“เอ็มเจนี่ลูกครึ่งอะไรวะ หน้ามันออกจะตี๋” เหน็งถามขึ้นบ้างหลังจากที่ยกแก้วโค้กขึ้นดื่ม เป็นคำพูดแรกที่เขาเอ่ยขึ้นกับนายหลังจากผ่านเหตุการณ์กระอักกระอ่วนหลังเกมจบ
“ไม่ใช่ลูกครึ่งหรอกเว้ย เอ็มย่อมาจากมะลิชื่อแม่มัน ส่วนเจมาจากจีรนันท์ชื่อพ่อ พวกกูเลยเรียกมันว่าเอ็มเจ เรียกทีมาทั้งพ่อทั้งแม่” น้องแดมตัวสูงเดินมารับตัวเพื่อนจากนายเป็นคำตอบแทน เขากลั้นหัวเราะจนหน้าแดง
“ไอ้สัด ฮ่าๆๆ” เจ็มสบถขำเป็นคนแรก ดูท่าเขาจะคลายความผิดหวังลงมามากแล้ว
“ฮ่าๆ”
“พวกมึงนี่ตลกว่ะ” กี้ส่ายหน้า ร่วมวงหัวเราะกับพวกน้องเจ็มและชมพู่ เราก็ยิ้มตามน้อยๆ ตัวใหญ่เหมือนกับยักษ์เมาโค้กหรอเนี่ย
“พี่พู่คร้าบบ นักบาสมธ.ทางนี้อยากรู้ว่าคนที่นั่งๆ ข้างพี่ชื่ออะไรอะคร้าบบบ” ตอนน้องแดมลากน้องเอ็มเจกลับที่นั่ง ก็มีเสียงล้งเล้งดังมาจากหัวโต๊ะอีกฝั่ง คำถามนั่นทำเอาชมพู่เกือบจะสำลักน้ำ
เราหันมองด้านขวาของชมพู่ก็เห็นเจ็มแล้วเราก็หันไปมองคนที่ถามอีกที
...อยากรู้ชื่อเจ็มทำไมไม่ถามเพื่อนล่ะ...
“ถามทำไมคะน้อง” ชมพู่ตะโกนถาม
“โค้ชศิลปากรบอกว่าอยากรู้ชื่อให้ถามพี่พู่อะครับ”
“ปั้นแกสลับที่ฉันมา” ว่าแล้วชมพู่ฉุดเราลุกขึ้น
...เฮ้ๆ ขอหยิบจานข้าวเราก่อน...
“แล้วนี่พวกแกไม่ปกป้องพี่ปั้นของพวกแกแล้วหรอ” ชมพู่ถามน้องๆ หลังจากที่สลับที่นั่งกับเรา
พวกเขาสี่คนมองหน้ากันเงียบๆ ก่อนที่กี้ยักไหล่กวนๆ ส่งไปให้ชมพู่
“พี่ปั้นเขามีคนปกป้องแล้วครับ” น้องฟุนป้องปากพูดขึ้นเบาๆ ส่วนเราก็ขมวดคิ้ว หมายความว่าไง เราสบตากับนายแวบนึงและพบว่าเขามองอยู่ก่อนแล้ว เอ่อ ...ต้มยำนี้ก็อร่อยเหมือนกัน...
“อะไรของพวกแกเนี่ย”
“แข่งบาสมาหลายที พึ่งรู้ว่าสตาฟศิลปากรนี่น่ารักไม่หยอกเลยนะครับ”
“เชี่ยกรพูดไรวะ” น้องแดมร้อง หันมามองทางฝั่งเราหวาดๆ ไม่รู้ว่ามองใครแต่คนๆ นั้นทำให้แดมรีบอุดปากเพื่อนทันที เขาโวยวายใหญ่ สะบัดมือแดมทิ้งแล้วพูดต่อ
“จริงๆ แล้ว อย่างพี่คนนี้เขาไม่เรียกน่ารักเว้ย ต้องงี้ๆ เดี๋ยวนี้เขามีคำเรียก อ้อๆๆ ผู้ชายสายละมุน”
“งั้นกูก็เป็นได้ดิ นี่ๆ กูโจ๋ นิปปอนบอย ผู้ชายสายละมุด” อีกคนก็ตะโกนขึ้นบ้าง พวกเขาหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
“ไอ้เชี่ย ได้กลิ่นมาเลย”
“ฮ่าๆๆๆ”
“ตกลงชื่ออะไรนะครับ”
“ทีมมศกไม่บอกหรอกเว้ย!!!” น้องเจ็มพูดเสียงดัง เพื่อนในทีมศิลปากรก็โห่กันใหญ่ บางคนไขว้แขนเป็นรูปกากบาท แล้วทางนั้นก็ทำเสียงเสียดาย สุดท้ายก็ยอมแพ้ในทีมเวิร์คไม่เซ้าซี้ถามอีก พอทุกคนจบประเด็นนี้ เราเลยหันมาถามเจ็มที่นั่งข้างเรา
“น้องเจ็ม เขาอยากรู้ชื่อทำไมไม่บอกเขาไปล่ะ”
เจ็มเลิกคิ้ว อ้าปากค้างน้อยๆ มองเราด้วยสายตาอึ้งๆ
“โอ๊ยพี่ปั้นนนน” น้องฟุนกับน้องเหน็งลากเสียงยาว
“อยากเอ็นดูแต่กลัวโดนต่อยอะ” ส่วนนี่น้องกี้
“ปั้นเอ๊ยยยยยย” แล้วนี่ชมพู่
ทำไมทุกคนต้องทำเสียงแบบนี้กันหมดนะ
...แล้วนายจะส่ายหน้าใส่เราทำไมเนี่ย...
เราออกมารับโทรศัพท์ที่ห้องน้ำด้านหลังร้านอาหาร นี่ก็เกือบจะทุ่มแล้วตั้งแต่ออกจากมหาลัยมา แม่เราโทรมาถามว่าจะกลับบ้านรึเปล่า เราไม่รู้ว่าจะเอายังไงดี จะกลับก่อนก็เกรงใจผู้ใหญ่ ดูแล้วคงไม่ได้กลับแหงๆ เฮ้อ อยากกลับบ้านเราต้องการกลับไปอยู่ในโซนปลอดภัยของเรา...
“พี่ปั้น”
“แม่เดี๋ยวปั้นโทรบอกอีกที ถ้าดึกก็ไม่กลับครับ ครับ ครับแม่ หวัดดีครับ”
“คุณน้าหรอครับ”
“อ๋อ อืม...”
เราว่าระหว่างเรากับเขามีอะไรแปลกๆ ก็ตั้งแต่ที่เขาลากเราออกมาไม่พูดไม่จาแถมยังต่อว่าเราเรื่องกี้จนเถียงไม่ทัน ทำเอาเรากลืนคำขอบคุณลงคอไปจนหมด ไม่ทันได้คุยอะไรกัน โค้ชมธ.ก็ตะโกนบอกให้นายรีบไปเปลี่ยนชุด เราก็เลยต้องจบบทสนทนาระหว่างกันด้วยบรรยากาศมืดครึ้มเหมือนฝนจะตกไว้แบบนั้น
“เอ่อ...มาเข้าห้องน้ำหรอ” เราชี้ไปด้านข้าง เขาปรายสายตามองตามเล็กน้อย เขาคงจะคิดว่าคำถามเราไม่เข้าท่าเอาซะเลย
“มาตามพี่ปั้นนั่นแหละ เดี๋ยวก็มีคนมาจับตัวพี่ปั้นอีก” เราขมวดคิ้วน้ำเสียงเจ้าเด็กนี่เหมือนประชดชอบกล แถมยังห้วนไม่น่าฟังอีกด้วย
“จับอะไร”
“ขนาดคนเยอะแยะมันยังจับ ที่มืดแบบนี้มีหวังโดนลากไปไหนต่อไหน” และเราพึ่งรู้ว่ามันไม่ได้แค่เหมือนพูดประชดหรอก
“นาย! นายดุเราตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ เราไปทำอะไรให้นายดุนักหนาหรอ”
“พี่ปั้นให้ไอ้กี้จับตัวได้ไง ไม่ระวังตัวเลย ดูท่าทางมันก็รู้ แล้วไหนบอกว่าจะนั่งดูเฉยๆ ไม่ใช่หรอครับ หันมาอีกทีพี่ปั้นก็มาเป็นสตาฟแถมให้มันเข้าใกล้ขนาดนั้น ถ้าผมไม่เข้าไปป่านนี้มันจับทั่วตัวพี่ปั้นแล้วใครจะรู้” ทำไมยิ่งเขาพูดเสียงเขายิ่งเพิ่มระดับขึ้น และเขายิ่งพูด เราก็เหมือนจะตัวเล็กลง...เล็กลง...
“ก็...นั่น น้องเขาเล่นเฉยๆ มั้ง” เราพูดอ้อมแอ้ม ไม่กล้าสบตาเขา เราคิดว่ากี้ไม่ได้คิดอะไรนี่ แถมน้องๆ ทีมบาสก็ดูเป็นขี้เล่นและ เอ่อ... เขาแทบจะถลึงตามองเราแล้ว
“มันไม่เล่นแน่นอนครับ เพราะที่ผมเห็นมันคือการลวนลาม มือมันวน...แม่ง...” เขาสบถในลำคอเสียงเบา
พอทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาบวกกับคำพูดของนาย เรายิ่งตัวเล็กลงไปอีก “...ตอนนั้นเราก็อึดอัดแต่ก็ไม่รู้จะบอกยังไง เราผิดเอง”
...นายจะกลายเป็นยักษ์แล้วนะ...
“งั้นรู้รึยังว่าทำไมผมต้องดุ”
เราเงยหน้ามองเขา มองแบบไม่กระพริบตาเลยด้วย
เขาถอนหายใจก่อนจะพูดเสียงอ่อนลง “ถ้าพี่ปั้นยังไม่ปฏิเสธคนแบบนี้พี่ปั้นจะแย่เอานะครับ”
“งั้นเราต้องปฏิเสธนายได้ด้วยใช่ไหม?
“ยกเว้นผมคนเดียว เพราะผมไม่เคยคิดร้ายกับพี่ปั้น”
เขายังเป็นจอมเผด็จการเหมือนเดิม
“นายน่ะตัวร้ายเลย”
“ว่าไงนะครับ”
“เปล่าๆ เออ แล้วเรื่องกลับบ้าน เราไม่รบกวนนายหรอก เราจะนอนที่หอ...”
“...” สายตาคมกริบส่งมาให้ เหมือนกับว่าเราพูดอะไรผิดนักหนา ทำไมวันนี้เขาไม่เหมือนนายคนเดิมเลยนะ กลับมาเร็วๆ เถอะ เราไม่ชิน
“เอ่อ...ก็...”
“ผมไปส่งพี่ปั้นเอง กว่าจะเลิก รถคงหมดแล้วล่ะ”
“แล้วนายจะส่งเราได้ยังไง”
“ผมยืมรถเอ็มเจมา มันเมาโค้กคงขับรถกลับไม่ได้ แล้วอีกอย่างเกมนี้ผมชนะ ผมขอรางวัลกับพี่ปั้นแล้วนี่”
“เราไม่เห็นรู้เรื่อง”
“เฉไฉเก่งจริงๆ เล้ยย คนอะไร” เขาย่นจมูกก่อนจะยื่นมือมาขยี้หัวเราแรงๆ
“เราพี่นายนะ! เราพี่!” เราป้องกันการโดนทำร้ายแต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ “ปล่อยหัวเรานะเว้ย”
“โอ๊ะ...พี่ปั้นพูดเว้ยได้ด้วยหรอ หึหึ”
“โอ๊ยยย พอแล้วยอมแล้วๆๆ ถ้านายไม่ลำบากเรากลับด้วยก็ได้ ปล่อยยย”
ขณะที่เรากำลังต่อสู้กับเขาอยู่นั้น เสียงชมพู่ก็ดังขึ้นจากด้านหลัง เราตกใจออกแรงผลักนายไป แต่แน่นอนว่าด้วยแรงเยอะๆ อย่างเราเนี่ยทำให้เขาถอยหลังไปครึ่งก้าวเท่านั้น
“ปั้น! เข้าห้องน้ำนานจัง”
“แม่พี่ปั้นมาตามแล้วน่ะ” นายพูดขำๆ ก่อนจะขยับตัวห่างจากเรา
...ดีมาก...
“ปั้น!”
“เราอยู่นี่”
“บอกแม่ว่าไง ตกลงนอนที่หอใช่ไหม อีกซักพักก็เลิกแล้วเดี๋ยวฉันไปส่ง อ้าว นายมาทำอะไรตรงนี้”
“อ๋อมาเข้าห้องน้ำครับ”
...เข้าตรงไหน นายยืนอยู่ตรงนี้ มั่ว!...
“แล้วแกมองน้องทำไมแบบนั้นปั้น”
“เปล่าๆ”
“ตกลงยังไง” ชมพู่ถามอีก เราเหลือบมองเขาที่ใช้มือจิ้มอกตัวเองสองสามที
“กลับกับผม” เขาพูดไม่ออกเสียง
...รู้แล้วน่า ย้ำอยู่ได้ อยากไปส่งมากใช่ไหม ด้ายย...
นั่นเราคิดแต่ที่เราตอบออกไปคือ “ชมพู่คือเราว่าจะกลับบ้าน...”
“ให้ฉันขับรถไปส่งที่บ้านใช่ไหม?”
“เอ่อ ไม่ๆ พอดีเราจะกลับกับเขาน่ะ”
“หือ เขาไหน?”
“นายน่ะ” เราชี้ไปทางเขา ชมพู่ขมวดคิ้วฉับ
“นาย?” เธอชี้ตามถามเสียงสูง “นาย มธ.คนนี้อะนะ?”
“ใช่ เขา...คือ...บนรถเมล์...” เราอ้ำอึ้งบอกแค่นั้น เเละชมพู่ก็เหมือนจะเข้าใจทุกอย่างในภายในสองวินาที
“เฮ้ย! นาย? นาย! นี่แกเป็นคนบนรถเมล์นั่นหรอ!!” ชมพู่ร้อง เราพยักหน้าหงึกหงัก เพื่อนเราเบิกตาคู่สวยขึ้นก่อนจะยิ้มเหี้ยม
“ปั้นแกเข้าไปข้างในก่อนฉันมีเรื่องจะคุยกับ ‘นาย’ นี่ซักหน่อย” ชมพู่ปราดสายตาไปมองนาย เราชักกลัวขึ้นมาตงิดๆ
เราเดินมาที่ทางเข้าร้านอาหารงงๆ แต่ก็ไม่วายหันไปถามเพื่อความแน่ใจอีกรอบ “เอ่อ คือ...ให้เราไป...ก่อน”
“เข้าไปเดี๋ยวนี้ ส่วนนาย มานี่เลย!” ชมพู่พูดเสียงดัง เราตกใจรีบเดินเข้ามาทันที ได้ยินเสียงแว่วๆ จากคนที่ขอความช่วยเหลือเบาๆ เท่านั้น
“โอ๊ย พี่พู่อย่าดึงหูผม...พี่ปั้นช่วยด้วยครับ”
“แกรู้ไหมว่าแกทำให้ปั้นของฉันคิดมาก เอ๊ะ ที่กลับมาเล่นบาส ไม่ใช่เพราะอยากเจอปั้นหรอกนะ ไม่คิดว่าเล้ย...คนที่มาจีบปั้นจะเป็นแก...ทำไมโลกมันกลมแบบนี้ แล้วนี่แกจะพาปั้นกลับอีกหรอ...”
“โอ๊ยๆๆ”
“ปั้น กลับถึงบ้านแล้วบอกฉันด้วยนะ ห้ามลืม เข้าใจมั้ย”
เราจะได้กลับบ้านแล้ววว หลังจากลาทุกคนเสร็จ นายก็พาเรามาที่รถ เขาบอกว่าเพื่อนๆ เขาจะกลับไปกลับรถของมหาลัย ส่วนเขาจะตามไปที่มอทีหลัง มีเพื่อนบางคนของเขาขอติดรถมาด้วย แต่นายปฏิเสธเสียงแข็ง ขนาดเอ็มเจที่เป็นเพื่อนเขายังไม่ใยดีเลย เขาหายไปคุยกับชมพู่ตั้งนานสองนาน กลับมาชมพู่ก็อนุญาตให้เรากลับกับนายได้ ชมพู่บนว่าโลกมันกลมจนชักอยากจะให้โลกแบน ชมพู่รู้จักกับนายมาก่อน เธอถึงยอมให้นายไปส่ง
ดังนั้นตอนนี้ชมพู่จึงมาส่งเราที่รถ นายประจำอยู่ที่คนขับ ส่วนเราก็นั่งในรถแล้วเพียงแต่เปิดกระจกคุยกับชมพู่ที่มองมาด้วยสายตาเป็นห่วง
“เข้าใจไหม?”
“โอเค ชมพู่บอกเราหลายทีแล้ว”
“เออ บอกหลายทีก็อย่าลืม แล้วแก...นาย อย่าลืมที่คุยกับฉันล่ะ” ชมพู่มองผ่านเราไป
“ไม่ลืมครับ”
“ลืมอะไรกันหรอ”
“ผู้ใหญ่คุยกันเด็กอยู่เงียบๆ”
...ก็อยากรู้มั่ง...
“ไม่ยุติธรรม” เราบ่นอยู่คนเดียว อีกอย่างนะ...นายต่างหากที่ไม่ใช่ผู้ใหญ่
“หึหึ”
“นาย แกหยุดมองเพื่อนฉันด้วยสายตาแบบนั้น สต็อป!” ชมพู่ยื่นมือเข้ามาบังหน้าเราไว้
“พี่พู่มืดขนาดนี้ยังเห็นอีก”
“ย่ะ ต่อให้มืดฉันก็เห็นสายตาแกชัดเจน...เออ แล้วก็...ขอบใจเรื่องไอ้กี้ ฉันจะเตือนมันเอง”
“ฝากด้วยครับ ไปแล้วนะครับ”
“อืม ขับรถระวัง”
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับเพราะพี่ปั้นอยู่ด้วย ผมขับระวังมากกว่าเดิมแน่นอน”
“รีบไปได้แล้ว”
“ชมพู่ถึงบ้านก็บอกเราด้วยนะ เจอกันวันจันทร์”
นายเลื่อนกระจกปิดชมพู่เลยถอยห่างจากรถ และรถของเอ็มเจที่ในรถไม่มีเอ็มเจก็เคลื่อนตัวออกจากร้านอาหาร ในรถเงียบกริบจนเราทำตัวไม่ถูก เราเหลือบมองหน้าคนขับเล็กน้อย เราว่าเราควรจะพูดอะไรทำลายบรรยากาศเกร็งนี้ลงซักหน่อย
“นาย”
“ครับ?”
“นายเหมือนพ่อเราเลย”
...ตุ๊ดตู่ นี่เราพูดอะไรออกไป...
“แค่กๆ อะไร...ว่าอะไรนะครับ”
“ไม่ใช่ๆๆ เราหมายถึงว่า เอ่อ...ก็ตอนที่เรามาเรียนที่นี่แรกๆ พ่อขับรถมารับ เราเหมือนได้เป็นเด็กอีกครั้งนึง มีพ่อมารับกลับบ้าน” เป็นเรื่องชวนคุยที่แย่ที่สุดเลยปั้นเอ๊ย
“แล้วผมก็เลยเหมือนพ่อพี่ปั้นที่พาพี่ปั้นกลับบ้านหรอครับ” เขาทอดสายตามองพร้อมกับยิ้มบางๆ คล้ายกับว่าเอ็นดูหรืออะไรบางอย่างที่เราอธิบายไม่ได้
“....”
“มองใหญ่เลย ถ้าผมเหมือนพ่อพี่ปั้น แสดงว่าพ่อพี่ปั้นมีซิกแพ็คแบบผมใช่ไหมครับ”
“จะบ้าหรอ พ่อเราไม่มีหรอก พ่อเรามีวันแพ็ค”
“ฮ่าๆ งั้นผมเป็นผู้ชายคนสองที่พาพี่ปั้นไปส่งที่บ้านใช่มั้ยครับ” เขายิ้ม สายตาดูคาดหวังกับคำตอบ เรานึกสนุกในใจ
“เปล่าหรอก นับจากพ่อแล้วก็มีคนขับรถตู้ กับคนขับรถเมล์ที่พาเราไปส่งที่บ้านอะ...อุ๊บ ฮ่าๆ ขอโทษ...เราขำหน้านาย”
“พี่ปั้นเนี่ย...จริงๆ เลย ไอ้คำพูดตัดเยื่อใยจนผมหมดมู้ดเนี่ย”
“ฮะๆๆ ไม่ไหว เราปวดท้อง” เขาปรายตามอง ขบเคี้ยวฟันอยู่คนเดียว เรากลั้นขำ แล้วหันไปมองข้างทางแทน ตอนนี้ท้องฟ้าเป็นสีดำสนิท มีแต่แสงไฟจากริมทางกับรถเท่านั้นที่พอจะทำให้รู้สึกไม่น่ากลัว
“เราไม่เคยกลับดึกขนาดนี้เลย”
“ดีแล้วครับ พี่ปั้นต้องกลับบ้านก่อนพระอาทิตย์ตกดิน”
“นายชอบพูดแบบนี้ แวมไพร์จะออกมาหรือไง”
เขาส่ายหน้าเบาๆ ไม่ตอบอะไรจนเราได้แต่สงสัยเงียบๆ เราพูดอะไรผิดรึเปล่า
และเพราะมันเงียบเกินไป เราเลยต้องกลายเป็นคนพูดมาก ซึ่งบอกเลยว่า...นั่นไม่ใช่เรานะ...
“นายหายโกรธเราแล้วใช่ไหม?” เราถามขึ้นเมื่อเขาชะลอรถรอสัญญาณไฟจราจร เรามองเห็นไฟแดงกับเลขวินาทีที่นับถอยหลังอยู่ไกลๆ แต่ที่เราถามน่ะ...อ่า...เชื่อเถอะเราแค่หาเรื่องคุย ไม่ได้ติดใจกับเรื่องนี้จริงๆ นะ
“โกรธอะไรครับ” เขาหันมองมอง ขมวดคิ้วเล็กน้อย แสงไฟจากบริเวณสี่แยกทำให้เห็นใบหน้าเขาชัดเจน
“ก็เรื่องเมื่อตอนบ่าย..” เราหลบตา เสมองเลขทะเบียนรถของคันข้างหน้า ใบหน้าบึ้งตึงในตอนนั้นไม่เหมาะกับเขาเลยซักนิด
“...พี่ปั้น”
“หือ?”
“จริงๆ แล้วจะว่าโกรธมันก็ไม่ถูกซะทีเดียวหรอกนะครับ”
“นายไม่ได้โกรธอย่างเดียวหรอ” เราเลิกคิ้ว หันกลับมามองอย่างสนใจ
“มันเป็นอารมณ์ที่ผสมปนเปกันไป...แบบว่า ถ้าจะเรียกให้ถูกก็...”
“...”
“...หึงหรือหวงอะไรทำนองนี้แหละครับ”
“อะ...”
...นี่มัน...
“พี่ปั้น...แก้มแดงจัง”
...ใครใช้ให้นายพูดพร้อมกับยิ้มแบบนั้นกัน...
เราทำเป็นไม่สนใจความร้อนตรงบริเวณแก้มหรือใจที่เต้นผิดจังหวะของตัวเอง เงยหน้ามองแสงสีเขียวที่สะท้อนเข้ามาในรถ และรีบเปลี่ยนเรื่องให้เร็วที่สุด
“เขียวแล้ว”
“หึหึ” เขาหัวเราะ ยื่นนิ้วชี้มาเคาะที่แก้มเราสองสามที “ไม่เห็นเขียวเลย...”
“...”
“ก็เห็นยังแดงเหมือนเดิม”
...เราหมายถึงไฟเขียวแล้วต่างหาก เจ้าเด็กบ้า...
___________
-ทำไมเเกรมาช้าเยี่ยงนี้-
ขออภัยทุกคนที่รอค่ะติดภารกิจเร่งด่วน
ปกติจะลงคุณชายก่อนเเต่ตอนนี้ไม่ทันล้าวว
คิดถึงทุกคนเเละคิดถึงพี่ปั้นด้วย
เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ
เข้าไปติดเเท็ก #เรากับเขา ได้ที่ทวิตเตอร์
เลิฟ ♡
ปล.ส่วนมากทุกคนเรียกพี่ปั้นว่าพี่ปั้น55 มีความเอ็นดู