“แหม ร้ายกาจจังนะ นึกว่าเก่งอยู่แต่ในครัว ไม่รู้ว่าจะสนใจเรื่องคนอื่นด้วย”
สันต์พูดยิ้มๆ หลังจากยืนเอ๋อไปชั่วครู่
“ แซ่บ เป็นเพื่อนของผมนี่ครับ แล้วเขาก็มักจะเล่าเรื่องของคุณสันต์ให้ฟังเสมอเลย ผมก็เลยพลอยรู้จักคุณไปด้วยอ่ะครับ”
คำพูดของเด็กหนุ่มเล่นเอาเจ้าสันต์ถึงกับตาโตด้วยความสนอกสนใจ
“จริงเหรอ แล้วเขาพูดถึงฉันยังไงบ้าง”
“เล่าตรงนี้ ตอนนี้จะดีหรือฮะ จะรบกวนเวลาทำงานหรือเปล่า คุณเรียวก็ยังไม่ได้ทานอะไรด้วย ให้คุณเรียวไปทานข้าวก่อนดีไหมครับ”
เด็กหนุ่มพูดยิ้มๆ เป็นเชิงตัดบท สันต์หันมามองหน้าผมและถุงอาหารที่อยู่ในมือ แล้วทำท่านึกขึ้นได้ มันขอโทษขอโพยผม ที่มาขัดจังหวะ แล้วไล่ให้ผมไปกินข้าว ก่อนจะหันมาบอกกับเด็กหนุ่มว่า จะคุยด้วยในเรื่องของแซ่บในวันหลัง เดียร์พยักหน้าแล้วก็พูดว่า เขาจะคุยเฉพาะเรื่องแซ่บเท่านั้นนะ ไม่คุยเรื่องอื่น สันต์สบตากับผม ท่าทางเหมือนมันจะรู้สึกทึ่งกับความฉลาดทันคนของเดียร์จนไม่ยอมหลงกลกับการหาทางเกี้ยวพาราสีเขาของตนเอง ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ รีบหิ้วถุงกับข้าวหันหลังกลับ ตรงไปยังแคนทีน หลีกเลี่ยงการสนทนากับเจ้าสันต์และเดียร์ ทั้งคู่ไม่ได้ตามผมมา และผมก็ไม่ได้หันหลังกลับไป ทำตัวเหมือนคนใจดำ แม้แต่คำพูดขอบคุณเด็กหนุ่มสักคำก็ไม่มี รู้สึกผิดในใจ แต่ก็ปล่อยปละละเลยให้เขาเข้าใจว่าผมเป็นคนอย่างนั้น ดีกว่าที่จะมาคอยทำดีให้เขาพอใจ จนเด็กหนุ่มถลำลึกไปมากกว่านี้ ผมไม่อยากทำร้ายเขาด้วยการทำให้เขาหลงเชื่อว่าผมพอใจสิ่งที่เขาทำ ยิ่งเด็กหนุ่มเข้าใจผมผิดมากเท่าไหร่ เขาจะได้ตัดใจเร็วเท่านั้น
ประมาณบ่ายสาม เดียร์ก็โทรศัพท์มาหาผม เขาส่งเสียงรื่นเริงตามสายมา ถามไถ่ผมว่าทานข้าวแล้วใช่ไหม อร่อยหรือเปล่า ตอนแรกผมคิดจะทำใจดำต่อ แต่เมื่อได้ยินเสียงอันสดใสของเขา ก็ทำให้ผมแกล้งเขาต่อไม่ลง หน้าซื่อๆไร้เดียงสาของเขาลอยผ่านเข้ามาในความคิด ดูเหมือนว่าเดียร์จะไม่เคยพยายามรับรู้ถึงสิ่งที่ผมทำกับเขาเลยแม้สักนิด ไม่ว่าผมจะเฉยชา มึนตึงใส่เท่าไหร่ เขาก็จะโต้ตอบผมกลับมาด้วยความรู้สึกดีๆ กับใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสทุกครั้ง หลายต่อหลายครั้งเขาเจ็บปวด สังเกตได้จากแววตาที่หม่นหมอง ความสะเทือนใจที่เขาปกปิดไม่มิด มันฉายให้เห็นแม้เพียงแว่บเดียว ผมก็รู้สึกได้ แต่นั่นแหละ เด็กหนุ่มจะกลบเกลื่อนความขมขื่นที่มีอยู่ด้วยรอยยิ้มที่สดใสร่าเริง เหมือนเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยเสียทุกครั้ง ถึงอย่างไร ผมก็รู้อยู่ดีว่าเขาเจ็บแค่ไหน
ผมตอบเขาไปว่าผมได้ทานอาหารเรียบร้อยแล้ว และขอบคุณเขาที่ทำอาหารมาให้ทาน เดียร์หัวเราะเสียงใส ตอบว่าไม่เป็นไรหรอก เป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้วที่จะดูแลให้ผมมีความสุข ผมทอดถอนใจรู้สึกตื้นตันกับคำพูดของเด็กหนุ่มอีกแล้ว เลยรีบตัดบทบอกว่าผมมีงานที่จะต้องทำ เพราะผมไม่อยากรู้สึกหวั่นไหวไปมากกว่านี้อีกแล้ว จึงต้องยุติการสนทนาโดยพลัน ก่อนที่หัวใจของผมจะแสดงความอ่อนแอออกมาให้เขาเห็น เดียร์รับคำอย่างว่าง่าย และขออนุญาตไปหาผมที่บ้านคืนนี้ ผมไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร เพราะคราวก่อนก็ไล่เขา จึงตอบตกลงไป
เด็กหนุ่มดีใจมาก บอกว่าเขาเตรียมเมนูสุดอร่อยไว้เพื่อทำให้ผมกินโดยเฉพาะ อยากให้ผมกลับมาบ้านเร็วๆจะได้มีเวลาทานด้วยกัน ผมตอบเขาไปว่า ผมไม่แน่ใจว่าผมจะกลับบ้านได้เร็วหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับงานที่คั่งค้างว่ามีปริมาณมากแค่ไหน หากไม่มีอะไร ผมก็คงจะถึงบ้านได้อย่างช้าไม่เกิน 1 ทุ่ม เดียร์บอกว่า เขาจะคอยผมที่หน้าประตูบ้าน เพราะเขาไม่มีกุญแจไขเข้าไป แล้วก็พูดอ้อนๆกับผมประมาณว่าอยากให้ผมให้กุญแจเขาสักดอก เขาจะได้ไขเข้าบ้านไปทำกับข้าว ทำความสะอาดให้ผมได้ แต่ผมปฏิเสธ โดยแสร้งพูดกับเขาขำขำว่า กลัวว่าเขาจะเป็นสายโจร มาลักขโมยข้าวของของผม เดียร์หัวเราะเสียงขื่นๆ บอกว่า เขาจะเป็นโจรปล้นสวาทได้เท่านั้น จะขโมยหัวใจของผม ข้าวของอื่นไม่สน ผมเลยแกล้งพูดว่า นั่นแหละที่น่ากลัวมากกว่าอย่างอื่น เพราะหัวใจของผมไม่สามารถจะให้ไปกับใครง่ายๆ อยากเก็บไว้กับตัวเองให้นานที่สุด เด็กหนุ่มถอนหายใจยืดยาว แล้วก็สรุปด้วยน้ำเสียงที่เด็ดเดี่ยวว่า เขาจะทำให้ผมยอมมอบหัวใจให้เขาให้ได้ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม ผมเลยนิ่งเงียบไม่โต้ตอบ
ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เดียร์เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตของผมมากขึ้น แล้วผมก็ดันมีความพึงพอใจกับสิ่งที่เด็กหนุ่มทำให้เรื่อยๆ พร้อมกันนั้นจิตใจที่แข็งแกร่งของผมก็เริ่มอ่อนแอลงทุกที ผมคิดถึงเดียร์มากขึ้นกว่าแต่ก่อน เวลาที่เขาอยู่ด้วยก็รู้สึกรำคาญน้อยลง ไม่หงุดหงิดที่เขามาคอยนัวเนียชิดใกล้ บางจังหวะอารมณ์ผมก็รู้สึกพึงพอใจด้วยซ้ำ ผมเริ่มมองเห็นด้านดีงามของเด็กหนุ่ม ความมุ่งมั่นตั้งใจจริง ความขยันขันแข็ง ไม่ย่อท้อต่องาน ไม่งอมืองอเท้า รอโชควาสนา หรือเงินทองที่ได้มาโดยไม่ต้องลงมือทำอะไร แม้จะมีรูปสมบัติเป็นทุนแต่เขาก็ไม่เคยใช้ความหน้าตาดีของตนเอง เป็นทางลัดที่จะให้ได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาเป็นของตนเองอย่างง่ายๆ
เดียร์เคยเล่าให้ผมฟังอยู่บ่อยๆว่า ที่ร้านกาแฟที่เขาไปทำงานอยู่นั้น เป็นร้านที่อยู่ในย่านที่มีเกย์พลุกพล่าน มีคนที่เข้ามานั่งในร้านติดใจในตัวเขา และทาบทามให้เขาไปอยู่ด้วย บอกจะเลี้ยงดูอย่างดี ให้บ้านให้รถ ให้เงินใช้ แต่เดียร์ปฏิเสธพวกเขาไป บอกว่า เขาสามารถหาสิ่งเหล่านั้นได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง อีกทั้งเขาก็มีแฟนอยู่แล้วด้วย แล้วเขาก็รักแฟนของเขามาก ถึงจะพูดออกไปอย่างนี้ แต่คนเหล่านั้นก็ยังไม่เลิกตื้อเสียที ซึ่งเดียร์ก็ไม่ยอมใจอ่อน ผมเสียอีกที่เป็นฝ่ายยุให้เขาคบกับคนพวกนั้น เขาจะได้ไม่ต้องมาเสียใจในเรื่องของผม
และเมื่อผมพูดแบบนี้ทีไร เดียร์ก็จะทำหน้าตาซีเรียสใส่ ย้อนถามผมว่า ถ้าเขาออกจากชีวิตผมไป ผมจะมีความสุขจริงๆเหรอ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนั้น ผมอาจจะตอบเขาอย่างทันควันเลยว่าใช่ แต่ไม่รู้ทำไมเดี๋ยวนี้ ผมถึงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ช้ามาก เอาเข้าจริงๆผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่เมื่อมีเขาอยู่ใกล้ เวลาที่เจ้าเด็กนี้ไม่อยู่ด้วย ผมกลับเริ่มรู้สึกเหงาอย่างแปลกประหลาด มันทำให้ผมเริ่มกลัวมากยิ่งขึ้น กลัวว่าผมจะหลงรักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น ผมเลยต้องพยายามที่จะออกห่างจากเขาให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้หัวใจตนเองถลำลึกไปมากกว่านั้น
นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่ยอมให้ในสิ่งที่เดียร์ต้องการ ผมกลัวว่า หากผมให้กุญแจบ้านกับเดียร์ไป และเขาเข้านอกออกในบ้านผมได้มากขึ้น ผมจะหนีเขาได้ลำบาก
“คุณเรียวคะ วันนี้ท่านผู้อำนวยการนัดประชุมด่วนตอนห้าโมงเย็นค่ะ เรื่องการพิจารณาเคสวงเงิน 100 ล้านของคุณสุริยะค่ะ”
จุ๋ม เลขาของผม โทรเข้ามาบอกเล่าเรื่องการนัดหมายเย็นนี้ ชื่อของนายสุริยะ ผู้บริหารที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับผม ทำให้ความคิดที่กำลังล่องลอยฟุ้งซ่านไปถึงเรื่องของเดียร์สะดุดหยุดลง ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน ได้กลิ่นความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นแล้ว
นายสุริยะ เพิ่งส่งงานเข้ามาเป็นเคสใหญ่วงเงิน 100 ล้าน ลูกค้าเป็นไฮโซตระกูลดัง เจ้าของร้านเพชร อายุอานามไม่ใช่น้อย แต่ยังเป็นโสดสนิท ไร้คนข้างกาย ข่าวซุบซิบบอกว่า เขาเป็นคนที่นิยมไม้ป่าเดียวกัน และเปลี่ยนคู่ควงบ่อยมาก
ผมต้องพิจารณาเคสทำนองนี้จากนายสุริยะค่อนข้างเยอะ เขาชอบจับลูกค้าเป็นเกย์มาทำประกัน ซึ่งน่าจะมาจากการที่ตัวเขาเองก็เป็นเกย์ด้วยเช่นกัน ลูกค้าส่วนใหญ่จึงเป็นคนกลุ่มนี้ คนที่เขารู้จักมักร่ำรวย บางคนก็เป็นผู้มีอิทธิพล กว้างขวางในแวดวงธุรกิจ พอผมปฏิเสธ หรือไม่ให้เขาผ่านการพิจารณา นายสุริยะจะไม่พอใจมาก ผมมักมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับเขาทุกครั้ง หากการตัดสินใจของผมทำให้เขาเสียประโยชน์ สูญเสียรายได้ที่ควรจะได้จากค่าคอมมิชชั่น และค่าตอบแทนต่างๆจากการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน โบนัส หรือคุณวุฒิรางวัลต่างๆ
ใช่ว่าผมจะกลั่นแกล้ง ไม่อยากพิจารณางานให้เขา แต่บางครั้งเป็นเพราะเขาชอบทำผิดเงื่อนไขกฎเกณฑ์ต่างหาก ตัวอย่างเช่น ไปขายประกันโดยเวนคืนกรมธรรม์เดิมของลูกค้าทำให้เขาเสียประโยชน์ เอาคนที่มีความเสี่ยงสูงเข้ามาทำ บางครั้งก็ซิกแซกหมกเม็ดปกปิดความจริงเกี่ยวกับตัวลูกค้า โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและหน้าที่การงาน ผู้ใหญ่ในบริษัทก็รู้ ซึ่งก็ได้หามาตรการต่างๆมาป้องกัน บางทีก็ต้องเชิญผู้บริหารท่านนี้มาพูดคุยให้เข้าใจถึงสิ่งที่บริษัทตัดสินใจ แต่บางครั้ง ก็มีนโยบายให้ผมผ่อนปรนกฎเกณฑ์อันเข้มงวดทางการพิจารณารับประกันลง เพื่อเห็นแก่หน้าผู้บริหารคนนี้ไว้ เพราะเขาเป็นผู้บริหารอันดับหนึ่งของบริษัท และกว่าครึ่งของตัวเลขผลผลิตรวม มาจากการทำงานของผู้บริหารท่านนี้และหน่วยงานของเขา อะไรที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็แกล้งทำเป็นเอาหูไปนา เอาตาไปไร่เสีย แต่ถ้ามันเกินกว่าที่จะรับประกันให้ได้ ก็อาจจะพิจารณาให้ทุนประกันที่ต่ำลง หรือไม่อนุมัติไปเลย
ผมเพิ่งส่งเคาน์เตอร์ออฟเฟอร์ลดวงเงินในการทำประกันลูกค้าร้านเพชรของนายสุริยะลง จาก 100 ล้าน เป็น 50 ล้าน และ ยอมให้เขาได้ ถึง 70 ล้าน เมื่อนายสุริยะมาเจรจากับผู้ใหญ่ขอต่อรองเป็น 100 ล้านตามเดิม โดยอ้างว่าลูกค้าของตนเป็นลูกค้าคุณภาพและมีฐานะการเงินมั่นคงเพียงพอที่จะทำประกันในวงเงินสูงได้ นอกจากนี้ แบบประกันที่นายสุริยะเลือกให้ลูกค้าทำก็เป็นแบบประกันระยะสั้น เน้นการออมทรัพย์ เบี้ยประกันที่ได้เข้ามาสามารถเพิ่มยอดให้บริษัทได้
เนื่องจากในประวัติของเขา ได้มีการทำประกันกับหลายบริษัทในวงเงินค่อนข้างสูงมาก เป็นการทำเกินกว่าความจำเป็น เมื่อเทียบกับรายได้ และทรัพย์สินที่เขามีอยู่ ในขณะที่ตัวเองก็อยู่ในภาวะความเสี่ยงจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตคู่ที่ไม่เหมือนคนปกติทั่วไป ผมจึงไม่อาจให้ได้ตามที่ขอ
การตัดสินใจของผม ทำให้นายสุริยะไม่พอใจ เขาแจ้งมาทางผู้ใหญ่ของผมว่าลูกค้ารู้สึกว่าเสียเกียรติที่ไปลดวงเงินของเขาอย่างนั้น และยืนกรานที่จะขอซื้อประกันในวงเงิน 100 ล้านตามเดิม มีการวิ่งเต้นเจรจาเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ ดังนั้น การที่เจ้านายของผมเรียกไปประชุมด่วนด้วยเรื่องนี้ มันทำให้ผมสังหรณ์ใจว่า ผมอาจจะถูกบีบบังคับจากเบื้องบนให้ดำเนินการพิจารณารับประกันลูกค้ารายนี้ตามวงเงินที่เขาขอร้องมาก็ได้
สิ่งที่ผมคิดไว้เป็นความจริง เจ้านายของผมเปิดฉากเจรจาทันทีที่ผมเข้าไปพบ เขาพูดถึงความจำเป็นของบริษัทในการที่จะรักษาตัวแทนที่มีฝีมือเอาไว้ โดยเฉพาะในช่วงที่ระยะเวลาใกล้จะปิดบัญชีประจำปี เพราะยอดผลผลิตยิ่งมากเท่าไหร่ ย่อมส่งผลถึงกำไรและความมั่นคงของบริษัท จากนั้นก็พูดถึงเคสของนายสุริยะ เจ้านายให้ผมเล่าให้ฟังถึงการตัดสินใจของตนเองว่าทำไมผมถึงได้ลดวงเงินลงจนเหลือแค่ 70 ล้าน ผมก็เลยเล่าให้ฟังจากข้อมูลต่างๆที่ผมได้รวบรวมมา ทั้งจากประวัติการรักษาตัวในโรงพยาบาลของเขา ข้อมูลการทำประกัน ข่าวซุบซิบในวงสังคมเกี่ยวกับตัวเขา และการใช้บริการนักสืบเพื่อดูว่าเขามีความเสี่ยงในการดำรงชีวิตแค่ไหน
เนื่องจากลูกค้าของนายสุริยะเป็นคนดัง มีข่าวลงคอลัมน์ซุบซิบไม่เว้นแต่ละวัน จากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ระบุว่าเขาเปลี่ยนคนข้างกายบ่อยมาก และ มักจะทำประกันโดยยกให้กับคู่ขาของเขาเหล่านั้น ซึ่งผิดหลักของการคุ้มครอง และเรื่องของส่วนได้เสียตามกฎหมาย แต่เขาก็เลี่ยงโดยการที่รับผู้ชายเหล่านั้นเป็นบุตรบุญธรรมเสมอ เพื่อให้สามารถโอนผลประโยชน์ให้กันได้
ผมเล่าข้อมูลที่ผมไปสืบทราบมาอีกหลายเรื่องที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงภัยที่มีอยู่ให้เจ้านายของผมรับฟัง ตลอดเวลาเหล่านั้นเขานั่งนิ่งเงียบฟังผมเล่า เมื่อผมพูดจบ แทนที่เขาจะช่วยแก้ปัญหาให้ เขากลับย้อนถามผมว่า ผมจะพิจารณาอย่างไร ผมเลยบอกว่า ผมยืนยันที่จะลดวงเงิน แต่เจ้านายของผมก็บอกว่า ผู้บริหารระดับสูง แทงเรื่องลงมา ขอให้ทบทวนการพิจารณาใหม่ ทำอย่างไรก็ได้ ที่จะทำให้นายสุริยะและลูกค้าพอใจ เขาจะได้สร้างผลงานอย่างต่อเรื่อง นำเบี้ยเข้าบริษัทเยอะๆ และทำอย่างไรจึงจะให้บริษัทเสียหายน้อยที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องคำนึงถึงตัวเลขผลผลิตสวยๆที่บริษัทจะโชว์ให้ผู้ถือหุ้นเห็น การเอาใจผู้บริหารท่านนี้ยังจะช่วยไม่ให้ตัวเขาและทีมงานของเขาย้ายไปที่บริษัทอื่นในช่วงเวลาที่บริษัทจะปิดยอดอีกด้วย
เจ้านายให้ผมไปคิดเป็นการบ้านมาว่าจะทำอย่างไร แล้วมาตอบในวันรุ่งขึ้น เขาคาดหวังว่าผมจะให้คำตอบที่น่าพอใจและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย เป็นแบบวิน วิน หรือให้แต่ละฝ่ายเสียประโยชน์น้อยที่สุด ผมรับปากว่าจะรีบคิดหาทางแก้ไขเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด เจ้านายของผมยิ้มด้วยความสมหวังที่เห็นผมยอมอ่อนข้อให้ ไม่ทำท่าทีแข็งกร้าวดึงดันในสิ่งที่ผมตัดสินใจลงไป เขาตบหลังตบไหล่ผม พลางชวนไปทานข้าว
ผมเหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือ สองทุ่มกว่าแล้ว เลยเวลาที่บอกกับเดียร์ว่าจะกลับบ้านไปตั้งหนึ่งชั่วโมง ป่านนี้เจ้าเด็กบ้านั่นคงนั่งรออยู่หน้าบ้านด้วยความกระวนกระวายใจว่าทำไมผมจึงยังไม่กลับมา จะโทรบอกก็ไม่ได้เพราะติดประชุมอยู่ มือถือก็วางไว้ในห้องทำงานไม่รู้ว่าเขาโทรมาหามั๊ย
“วันนี้คงต้องขอตัวก่อนนะครับ ผมรู้สึกเพลียน่ะ อยากกลับบ้านไปพักผ่อน”
ผมโกหกไปว่าเหนื่อย แต่ที่ไม่ได้โกหกคือผมอยากกลับบ้านจริงๆ ใจกังวลถึงเด็กหนุ่ม ที่ไม่รู้ว่าโดนยุงหามไปแล้วหรือยัง เจ้านายถามไถ่ว่าไม่หิวข้าวหรือ แต่ผมก็บอกว่า ผมยังอิ่มอยู่จากการทานข้าวเมื่อตอนกลางวัน เขาทำหน้าไม่เชื่อถือ แต่ด้วยความที่เป็นหัวหน้าคน เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิเสธ เขาก็ไม่เซ้าซี้ให้ผมรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังงอนง้อลูกน้องอีกต่อไป
“วันหลังต้องไปนะ เจ้านายเลี้ยงทั้งทีต้องให้เกียรติ ปฎิเสธแบบนี้ ระวังหัวหน้างานจะไม่พอใจ เดี๋ยวจะมีผลกระทบต่องานการที่ทำเปล่าๆ”
เขาแกล้งพูดอำผม ท่าทางไม่จริงจังนัก ผมยิ้ม และตอบกลับไปเบาแบบหยอกล้อเหมือนกันว่า คราวหน้าผมจะเสนอตัวเป็นคนแรกถ้าหากเขาจะเลี้ยงอีกครั้ง เจ้านายผมก็ตอบกลับมาว่า เขาขอคิดดูก่อนแล้วกัน อาจจะไม่เลี้ยงอีกแล้วก็ได้ ของฟรีมีไม่บ่อยนัก แล้วอารมณ์ดีก็ไม่ได้มีบ่อยๆ วันนี้ผมทำให้เขาอารมณ์เสีย เพราะไม่ยอมกินข้าวเป็นเพื่อนเขา ดังนั้นเขาไม่ยอมให้อภัยแน่ แต่ถ้าหากผมทำตัวดีๆ พิจารณางานไม่ให้มีปัญหากับบริษัท เขาอาจจะเปลี่ยนใจไปเลี้ยงผมอีกก็ได้ ผมไม่ตอบว่าอะไร ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆกลับไป
กว่าจะเก็บข้าวของเสร็จ และขับรถฝ่าการจราจรเข้ามาในหมู่บ้าน ก็ล่วงเข้าไปเกือบ 4 ทุ่มแล้ว เดียร์นั่งหลับคุดคู้อยู่หน้าบ้าน ข้างตัวมีข้าวของพะรุงพะรัง ผมรีบลงจากรถ เดินตรงไปหาเขา แล้วหยุดยืนมองเด็กหนุ่มอยู่ชั่วครู่ ความรู้สึกสงสารเข้าเกาะกุมจิตใจ
“เจ้าเด็กบ้าเอ๊ย มารอทำไมไม่รู้ บ้านช่องไม่ยอมกลับ ทีหลังถ้ารอนานขนาดนี้แล้วยังไม่มีวี่แววว่าฉันจะกลับมา นายก็ควรกลับบ้านได้แล้ว”
ผมต่อว่าเขา ทันทีที่ปลุกให้เขาลุกขึ้น เดียร์ยิ้มหวานให้ผม ดวงตาเป็นประกายสดใส ไม่มีร่องรอยความเหนื่อยล้า หรือง่วงงุนให้เห็น
“จะกลับได้ไงอะครับ ก็เรียวยังไม่ได้ทานข้าวเลย ผมสัญญาว่าจะมาทำอาหารให้เรียวทานยังไงละครับ ตอนนี้หิวแล้วหรือยังครับ รีบเข้าบ้านกันเถอะนะ เดี๋ยวผมจะทำอาหารอร่อยๆ ง่ายๆให้เรียวทาน รับรองเรียวอิ่มท้องแน่นอน”
เด็กหนุ่มอวดอ้างสรรพคุณเสียงแจ้ว ผมยิ้มให้เขา ความรู้สึกเหนื่อยล้าจากงานประจำที่แสนหนักรวมถึงการประชุมที่เคร่งเครียดเมื่อครู่มลายหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเห็นท่าทางกระตือรือร้นสดชื่นของเดียร์ เขาทำให้ผมรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาได้อย่างแปลกประหลาด
ในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กับข้าวหลายอย่างก็วางขึ้นโต๊ะ เขาทำอาหารง่ายๆที่ใช้เวลาทำไม่นานนักให้ผมทาน เช่นแกงจืด ผัดผัก ไข่เจียว และหมูทอดกระเทียมให้ผมทาน เขาบอกกับผมว่า ตอนแรกตั้งใจจะทำอาหารชนิดใหม่ที่เขาไปเรียนรู้และฝึกปรือฝีมือมาให้ผมได้ลองชิม แต่ว่าขั้นตอนการทำมันยุ่งยาก เกรงผมจะหิว ก็เลยขออนุญาตทำอาหารพื้นๆมาให้ผมทานก่อน ผมกล่าวขอบคุณเด็กหนุ่มและบอกว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เวลาหิวจัดๆผมทานอะไรก็ได้ เขายิ้มให้ผมและสัญญิงสัญญาว่าคราวต่อไปถ้าเขามีเวลามากกว่านี้ เขาจะทำอาหารอร่อยๆให้กินสุดฝีมือเลย
ขออภัยนะฮ่ะ