คำเตือน กรุณาย้อนกลับอ่านตอนก่อนๆ หน้าใหม่อีกครั้ง หากจำไม่ได้ (แง้)
ระเบียบที่ 20 : ห้าม...เลิกนะ ขอร้องงง
วิธีทำให้โลกเป็นสีอื่นในความคิดของคุณเป็นยังไงครับ กำลังจะตอบผมหรอ ไม่อยากรู้แระ (อ้าว อิเวง-ด่าตัวเองครับ) ของพวกคุณเป็นยังไงไม่รู้แหละ แต่วิธีที่ทำให้โลกเปลี่ยนเป็นสีอื่นฉบับพี่ตาณน่ะ
ฉบับพี่ตาณน่ะนะ....
มันจึ๊กกะดึ๋ยดุ่มดุ่ม จุ๊บๆ จั๊บๆ มะงึกมะงักกุ๊กๆ
ผมน่ะเห็นโลกสีชมพูมาสองวันแล้วล่ะครับ งู้ยยยย
ผลัวะ!
“เป็นไรไอ้เขา”
“เชี่ยหมู เจ็บนะเว้ย”
“เอ้า แล้วมึงเป็นอะไรยืนบิดเป็นเกงในอยู่ได้ แล้วทำตาเยิ้มมองคุณชายทำไม” มันส่ายหน้าแล้วก็พูดต่อ “ไอ้เขา มึงนี่นะรู้ตัวมั้ยว่าทำให้คุณชายตีนหนักแห่งอักษรกลายเป็นเบ๊มึงแล้วรู้ตัวเปล่า เอ้าๆ ยังจะมองตามอีก”
ผมลูบหัวที่โดนตบป้อยๆ แล้วมองไอ้ตัวการตาขวาง “กูไปหยิกตูดมึงหรอเชี่ยหมู ด่ากูซะยาวเงี้ย เอาตีนมาสะกิดหัวนมกูเลยมา”
“อาฮ้า มึงอย่าคิดว่ามีคุณชายมาด้วยแล้วกูจะไม่กล้านะ”
ไอ้หมูทิ้งไม้กลอง แล้วหันมาชี้นิ้วใส่ผมประหนึ่งเป็นลิเก ตอนนี้พวกเราพักครึ่งแรกอยู่ครับ ไม่ใช่มวยนะ แต่ซ้อมวงนี่แหละ ผมกับไอ้หมูเข้าไปนัวเนียกันเป็นยกที่สาม
“กูยังไม่ได้คิดบัญชีกับมึงเลยนะ หลอกกู ไอ้เรื่องโลกเปลี่ยนสีอะไรของมึงเนี่ย”
“ทำไมๆๆๆ ชอบล่ะสิ”
“มึงคิดจะจุดไฟร่านในตัวกูรึไอ้หมู”
“แล้วได้ผลมั้ยล่ะ ปากเจ่อมาซ้อมทุกวันเลยน้า”
“เชี่ย หุบตูดเบาๆ เลยนะ ย้าก วันนี้กูต้องล้างก้น เอ้ย ล้างแค้นมึงแน่”
“มาสิ๊!”
“เอิ่ม ไอ้แต้ง มึงว่า...วงเราจะรอดมั้ยวะ” ไอ้บาสเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะกระซิบกระซาบด้วยเสียงอันดัง เฮียดุกได้ยินดังนั้นก็เล่นทิ้งสายไฟที่เอามาอมเล่นลงกับพื้นอย่างแรง ก่อนจะวาดแขนกอดคอไอ้บาสและไอ้แต้งมาใกล้ๆ
“พวกมึงไม่ต้องเป็นห่วง ไอ้หมูกับไอ้เขามันชอบเล่นใหญ่ แบบใหญ่ๆ เรียกพลังก่อนจะขึ้นแสดงอะ มึงไม่เข้าใจไหปลาร้าม้าในคอกหรอว้า”
“อื้อหือออออออออ” ไอ้แต้งกับไอ้บาสพูดพร้อมกัน พวกมันหันมาหาเฮียดุกที่อยู่ตรงกลางพร้อมๆ กันอีกด้วย
“มึงเก็ตที่เฮียพูดละช้ะ”
“เปล่าเฮีย เหม็นหัวว่ะ ไปสระผมมั่งนะ”
ผ่ามพามมม
มันว่าพร้อมกัน ก่อนจะผละตัวไปเช็คเครื่องดนตรีคนละมุม การหน้าแตกครั้งนี้ของเฮียดุกทำให้ผมและไอ้หมู หยุดทำการแสดงและหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“ว่าแต่ ไอ้เขา มึงนี่ทำคุณชายเสียคาแรกเตอร์จริงๆ นะ”
เฮียดุกเปิดประเด็นหลังจากที่เราสามคนนั่งล้อมวงเช็ดถูคราบมันจากเหงื่อและผิวหนังที่เครื่องดนตรีประหนึ่งเป็นต้นกล้วยให้หวยประจำวัด
“ทำไมวะ” ผมถามด้วยควายสงสัย
“เอ้า ก็เลิกซ้อมท่านก็ต้องไปหาซื้ออาหารมาบูชาถวายมึงเนี่ย แทนที่มึงจะหาอะไรให้เค้ากิน ร้องเพลงคอแห้งซะขนาดนั้น”
ผมชะงักกึก เงยหน้าสบตาเพื่อนรักทั้งสอง แล้วคิดตาม “เฮ้ย จริงด้วยว่ะ พี่ตาณร้องเพลงใช้เสียงอยู่คนเดียว งั้นเดี๋ยวกูมานะ”
ไอ้เขา มึงนี่มันโง่จริงๆ พี่ตาณเหนื่อยขนาดนี้ ยังทำตัวโง่ๆ อีก
ก๊อกๆ
ผมทำท่าจะลุกแต่ประตูห้องซ้อมกลับมีเสียงเคาะมาซะก่อน ต้องเป็นพี่ชายตาณแน่เลย มารยามงามขนาดนี้ ไอ้เขารีบลุกขึ้นไปรับด้วยความรู้สึกผิด
“พี่ตาณ ผมกำลังจะลงไปหาพอ...”
แต่ทว่า พอเปิดประตูผมจึงได้พับกบ พบกับ!
“แหม อีเขาพอเห็นกูนี่หุบยิ้มเหมือนต้นไมยราพโดนตีนเลยนะ”
เสียงแบบนี้ ปากแบบนี้ ใช่ครับ อีแจ็คไม่ผิดตัวแน่ ผมไม่สนใจมันที่ทำท่ายิ้มค้าง ก่อนจะผลักหัวมันให้ห่างออกจากประตู แหมะ ท่าผมอย่างกันนางพญา
“หลีกไป อีแจ็ค คนไม่สังคัง”
“กรี๊ด อีเขา สังคังบนหัวมึงสิ อุตส่าห์มาให้กำลังใจนะอีบ้าบออออ เหี้ยดุกช่วยน้องด้วยค่ะ แต้งขาช่วยศรีด้วยค่ะ” ว่าแล้วก็บิน บิน บินถลาเล่นลมบินล่องบินลอยไปหาผู้ชายในห้องซ้อม
แต่ทว่าต้องชะงักอีกรอบ เพราะเมื่ออีแจ็คบินถลาไปแล้วก็ยังมีอีกคนที่ยืนอยู่หน้าประตู คนนั้นๆ ก็คือ...ไอ้ปั๊ม เดือนปีหนึ่งที่หายไปนาน #คนเขียนก็เช่นกัน
“อ้าว ไอ้ปั๊มมาทำไรแถวนี้วะเนี่ย อ๋อหรือว่ามาซ้อมเพลงประกวดช้ะ”
ผมร้องทัก แต่ตาก็ยังชะเง้อมองตรงไปที่บันได พี่ตาณไปนานจังง่า
“พี่เขา”
“เออว่าไง” เสียงมันเรียกสติผมอีกครั้ง น่าแปลกที่คราวนี้มันทำเสียงหงอยเหงา ไม่กวนตีนเหมือนที่ผ่านมา และนั่นทำเอาผมงงงวยเป็นปวยเล้ง
“เป็นไรวะ เข้ามานั่งข้างในก่อน”
ผมเชื้อเชิญทว่าไอ้ปั๊มที่สะพายกระเป๋ากีตาร์สีน้ำเงินเข้มกลับขืนตัวไม่ยอมเข้าไป แต่ก็ยังชะโงกหัวไปสวัสดีรุ่นพี่ในคณะ แถมยังขอบคุณอีแจ็คที่พามันขึ้นมาด้วย
“พี่เขาผมมีเรื่องจะคุยด้วยแป๊บนึง” ตอนแรกผมจะพูดปฏิเสธ แต่พอเห็นสายตาและความนิ่งเงียบไอ้เขาเลยได้แต่เกาหัวพร้อมกับหันหลังตามไอ้ปั๊มไป
“ไอ้หมู-ฝาก-บอก-คุณชาย-ว่า-เดี๋ยว-มา” ผมอ้าปากพะงาบๆ โดยไม่ออกเสียง ก่อนประตูจะปิดลงผมก็ได้ยินเสียงแว่วๆ ดังมาตามลม
“พวกมึงไอ้เขามันลมเข้าปอดหรอวะ”
ฮ่วย พึ่งพาไม่ได้ซักคน
ไอ้ปั๊มเดินนำผมมาที่บันไดหนีไฟ พอมันหันหลังกลับมาผมถึงได้รู้ว่าสีหน้ามันเศร้าสร้อย จนผมทำตัวไม่ถูก
“พี่เขา” จู่ๆ เสียงมันก็สั่นพร่าและตาเริ่มแดง
“เอ่อ...มึงเปงไรวะ ทำไมดูหน้าเครียดๆ”
สิ้นประโยคนั้น ไอ้ปั๊มก็แหกปากลั่น หมดสภาพเดือนคณะที่แสนจะหล่อเหลาและกวนตีน น้ำตาหนึ่งหยดของมันไหลลงที่หน้าต่าง เอ้ย แก้ม ส่วนในใจไอ้เขานั้นร้องเหี้ยดังมาก
“ผมเจ็บพี่ ฮือออ” ว่าแล้วมันก็ทุบอกดังปั๊กๆ
“เฮ้ยยย มึงเป็นไรไอ้น้อง ใครทำไรมึงบอกพี่มา เดี๋ยวกูไปกระทืบมันให้ เอาให้ไข่แม่งแตกเลยดีมั้ย แม่งมาทำงี้ได้ไง ไอ้สัด อย่าให้เจอนะ หัวนมมันใหญ่มั้ยกูจะไปบีบให้” ไอ้เขาเดือนพล่าน ไอ้ปั๊มมันถือว่าเป็นน้องรักของผมคนนึง ใครมาทำน้องผมเจ็บ ผมทนไม่ได้!
“พี่ ฮึก อย่าทำเลยพี่” มันสูดขี้มูก แล้วโผเข้ากอดเอวผมไว้แน่น เมื่อเห็นผมทำท่าจะเปิดประตูออกไปจากบันไดหนีไฟ
“ทำไมวะ ก็มึงเจ็บนะ!”
“ก็คนที่ทำให้ผมเจ็บคือพี่นั่นแหละ!!!” มันตะโกนพร้อมกับเสียงเอคโค่ที่สะท้อนก้อง
“หมายความว่าไงวะ” เมื่อผมหันกลับมา ไอ้ปั๊มจึงคลายมือที่รัดเอวผมลง
“ก็พี่นั่นแหละ หักอกผม ฟืด”
“เหี้ยยยยยย!”
“ฟังไม่ผิดหรอกพี่นั่นแหละ! ที่หักอกโผม”
“ไม่ใช่! ขี้มูกมึงเต็มหน้ากูเลยสลัดผัก”
“อ้าวหรอพี่ โทษๆ” ไอ้ปั๊มสะดุ้ง มันถอยหลังไปหนึ่งเซนติเมตร ก่อนจะยกหลังมือมาเช็ดขี้มูก
ส่วนผมยกมือปาดสิ่งสกปรก และร้อง...อี๋อยู่ในใจเป็นหมื่นล้านคำ แล้วก็กลับมาดึงซีนดราม่าต่อ
“มึงอำกูป้ะเนี่ย ซ่อนกล้องอ่อไอ้น้อง” ไอ้เขาไม่เชื่อครับ...ไอ้ปั๊มที่ทำตัวปีนเกลียวกวนตีนผมทุกครั้งที่เจอหน้าเนี่ยนะ แต่ยิ่งไปกว่านั้นไอ้เขามีผู้ชายมาบอกชอบเนี่ยนะ บร้าบอ
“ผมพูดจริง ผมชอบพี่...” ไอ้ปั๊มสบตาผม ในแววตาไม่มีความล้อเล่นแต่อย่างใด ไอ้เขาลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนึ่งเอื๊อก พวกเราปล่อยให้ความอึดอัดลอยผ่านอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะเอ่ยขึ้น
“แล้วมึงมาบอกทำไมตอนนี้วะไข่ย้อย”
“ดากานดา...ถรุ้ย! พี่แม่งไม่เคยจริงจังอะไรเลยว่ะ กูรู้สึกโชคดีแล้วที่อกหัก”
“เอ่อ...ตกลง...มึง...จริงจังจริงๆ ช้ะ”
“เอ้อ! กูไม่ดราม่าแม่งละ วันนี้อะ! ผมจะมาบอกพี่ว่าผมชอบพี่ และผมรู้ว่าพี่ชอบคนอื่นไปแล้ว ผมอกหัก! ผมเสียใจ! ผมอยากให้พี่รู้เอาไว้! เพราะถ้าผมไม่พูดวันนี้ ผมอึดอัด ผมเก็บมานานแล้วพี่ ถ้าผมไม่พูดออกไปวันนี้ เพลงที่ผมร้องในงานประกวดพรุ่งนี้ ผมคงทำใจร้องมันไม่ได้ ดังนั้นวันนี้ผมเลยมาหาพี่! ผมไม่อยากติดค้างอีกแล้ว!”
“...”
“ฟู่! โล่งอกละกู ไม่เสียแรงที่ทำใจมานาน อ้าวพี่ทำไมทำหน้ามันควายลืมเคี้ยวเอื้องซะงั้นอะ งงไร”
“บอกตรงๆ นะ กูมึนกับพรุ่งนี้ วันนี้ของมึงว่ะ”
ไอ้ปั๊มเท้าเอว พร้อมกับส่ายหน้าด้วยความเอ็นดู เดี๋ยวนะ กูรุ่นพี่มึงตั้งกี่ปี ทำไมมึงถึงเอ็นดูคนที่แก่กว่ามึงวะ
“เอ้า งงหนัก คุณชายไม่ปวดหัวบ้างหรอวะ” ไอ้ปั๊มดูเหมือนจะปรับตัวได้เร็ว มันยกมือหมายจะวางบนหัวผมแต่ก็ชะงักไป ก่อนจะทำหน้าตาเหมือนฉันไม่ได้เลือกตั้ง...อะไรนะไม่เก็ต ก็...ฉันมันคนไม่มีสิทธิ์ ถ้าคิดรัก....(เซ็นเซอร์)
“มึงว่าไงนะ”
“เอออออ ไม่มีไรโว้ย แต่บอกไปแล้วแต่แม่งก็เจ็บอยู่ดีว่ะใจกู”
“ไอ้ปั๊ม” ผมเรียกรุ่นน้องที่เหม่อมองไปด้านหลัง มึงคุยกับแม่ซื้อหรอวะ พอๆ กูต้องซีเครียดละ ดูเหมือนว่าไอ้ปั๊มมันจะพูดจริงๆ ถึงมันจะทำตัวตลกแต่สายตาที่มันดูหมองลงไปจริงๆ
“...”
“ไอ้ปั๊ม...”
“ว่าไงพี่”
“ที่มึงบอกว่าชอบกู กูขอบใจจริงๆ นะเว้ย กูก็ชอบมึงนะ มึงเป็นน้องที่น่ารักถึงแม้จะกวนตีน หลอกกูเลี้ยงข้าวโรงอาหาร ยืมตังค์กูสิบยี่สิบ หรือเล่นข้ามรุ่นไปหน่อยก็เถอะ”
“...กูดีจริงมั้ยเนี่ยชักงง”
“แต่มึงก็เป็นน้องที่น่ารัก เล่นกีตาร์ก็เก่ง แต่เราสองคนเป็นพี่น้องกัน และมันก็จะเป็นแบบนั้นต่อไปเว้ย กูนับถือใจมึงนะ...ที่บอกกับกู แต่ถึงยังไงคนที่กูตรงๆ ด้วยมีแค่คนเดียว”
“ผม...เข้าใจ เข้าใจพี่” ไอ้ปั๊มยิ้มอ่อน ผมจึงตบไหล่มันไปสองที แล้วเดินผ่านมันไป และก่อนที่ผมจะเปิดประตูออกไปนั้น...ไอ้เขาก็หันกลับมาอย่างเท่ๆ
“แต่...กูอยากมึงอย่างนึงเว้ยไอ้น้อง”
“....”
“อกหักก็เหมือนรอยสัก...”
“...?”
“....เพราะถึงยังรักแต่ก็ลบไม่ออก”
เซี้ยบ!
พวกเราซ้อมกันเสร็จแล้วครับ กำลังเตรียมตัวกลับบ้าน ส่วนอีแจ็คกลับไปแล้วตอนเราเล่นไปเพลงนึง ไม่รู้รีบหนีอะไรไปไม่หันหลังเลย แถมผมยังรู้สึกว่าหลังจากคุยกับไอ้ปั๊มแล้วมานั่งพิงพี่ตาณกินขนม ดื่มน้ำเสร็จ พลังมันมาแบบเยอะขึ้น แบบว่าพุ่งสูงทะลุเพดาน ผมดีดกีตาร์อย่างเมามันส์จนหัวเปียก แล้วก็ยังรู้สึกว่าเพื่อนในวงจะเล่นกันแบบไม่ผิดไม่เพี้ยน ความฝันของเด็กดุริยางค์ตัวน้อยๆ กำลังจะเป็นจริงแล้ว พวกเราจะได้ไปเล่นเปิดให้กับนักร้องดังๆ แล้วววพ่อจ๋า
“พี่ไปไหนครับ”
ไอ้เขารีบร้องทักเมื่อเห็นคุณชายตรงไปที่ประตูห้องซ้อม
“ห้องน้ำ”
“โอเชครับ” ผมพยักหน้าหงึกๆ สองทีก่อนจะก้มหน้าเก็บลูกรักเข้ากระเป๋า พอคล้อยหลังพี่ชายตาณไปเท่านั้นแหละ เสียงตั่งต่างก็ดังขึ้น
“ฟู่...”
“เชี่ยเหมือนกูจะตายเลยว่ะ หายใจไม่ออก”
ไอ้เขาที่ฮัมเพลงซ้อมถึงกับหยุดชะงัก “พวกมึงเป็นไรวะ แอร์เย็น ขนลุก ปวดอึ๊หรอ กริ้ว”
ผลัวะ!
“กริ้วพ่อง”
“เอ้าเชี่ยหมู เดินกะหร่องมาตบกู’ไมเนี่ย”
“ก็มึงนั่นแหละไปทำอะไรไว้ แล้วยังมาทำตลกอีก มึงรู้มั้ยตอนที่คุณชายกลับเข้ามาก่อนมึง หน้านิ่งเหมือนโดนปูนฉาบเส้นเลือด”
“เออ กูนี่โคตรเกร็งอะไอ้สัส” ไอ้บาสเสริมขึ้น เล่นเอาผมเกาหัวแกรกๆ
“แบบกูเกือบจะกดคีย์บอร์ดผิดแล้ว พอเห็นสายตาคุณชายเท่านั้นแหละ นิ้วกูกดถูกทันทีเลยอะ” ไอ้แต้งพูดต่อพร้อมกับทำท่าขนลุกขนชัน
เป็นอิหยังวะ
“ไอ้เขาเอ๊ย มึงรีบๆ คิดเลยว่ามึงทำอะไรไว้ รีบทำให้บรรยากาศวงเรากลับเป็นเหมือนเดิมด่วนๆ จะเล่นพรุ่งนี้แล้วนะเว้ย”
“เดี๋ยวพวกมึง กูไม่เห็นพี่ตาณจะเป็นอะไร...เลย” พี่ตาณยังป้อนน้ำส้มให้ผมอยู่เลย แต่ดูเหมือนว่าผมเอาแต่ดูดน้ำส้มไม่ได้สังเกตพี่ตาณซักเท่าไหร่ เอาล่ะสิเหมือนงานจะเข้า
“ไอ้เขา มึงรีบไปนั่งวิปัสสนาบัดนาวว่ามึงไปทำไรไว้ ใช้สมองอันน้อยนิดของมึงคิดเลยนะ”
“แต่กูไม่ได้ทำไร...นะเว้ย แล้วพวกมึงอะคิดมากไปเปล่า อีกอย่างพี่ตาณเค้าเป็นคนมีเหตุผลคงไม่โกรธอะไรง่ายๆ หรอก”
“แน่ใจ” ไอ้เฮียดุกรูดซิบกระเป๋าก่อนจะเงยหน้าสบตาผมนิ่ง
“อะ...เออ แน่ใจดิวะ” ชิบหัย เสียงสั่นเหมือนไข่
“ไอ้เขาที่กูบอกให้มีคิดดีๆ อะก็เพราะว่าบางทีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามองข้าม มันอาจจะไม่เล็กน้อยสำหรับใครบางคนนะเว้ย”
“เชี่ยยยยยยยยยย”
“เฮียดุกมึงอินไรเนี่ย” ในขณะที่ไอ้เขากำลังประมวลผลคำพวกเฮียดุก ไอ้หมูก็กระโดดกอดคอเฮียดุกพร้อมกับทำหน้าเหลือเชื่อ
“มึงไม่รู้หรอว่ากูน่ะ อิน....”
“....มึงจะพูดว่ามึงเป็นอิน สารินที่เป็นดาราป้ะ”
“เปล่า กูอะ อิน...ทผาลัม”
“ถุ้ย! อร่อยเลยสาส”
“ฮ่าๆ ไปๆ เก็บของๆ ดึกแล้วเว้ย ไปพวกมึง”
ว่าแล้วพวกมันก็ขำครืนๆ กับมุกไม่เต็มบาทเต็มหน่วยของเฮียดุก ปล่อยให้กู...ยืมซึมกะทืออยู่คนเดียว
พวกมึงวางระเบิดให้กูคิดมากแล้วก็จากไป
ด้วยเหตุนั้น ผม นายภูเขา บรรจงภักดี จึงเดินมึนๆ งงๆ มาขึ้นรถ แต่พอขึ้นรถปุ๊บผีปากมากของผมก็เข้าสิง เพราะปกติแล้วไอ้เขาจะจ้อไม่หยุด โดยเฉพาะตอนขับรถกลับบ้านค่ำมืดๆ กลัวพี่ตาณง่วงครับ มีบางครั้งที่ผมเผลอหลับตื่นมาคือพี่ตาณจะอุ้มเข้าบ้าน คือแบบไอ้เขารู้สึกผิดมาก พี่เหนื่อยแล้วต้องมาเหนื่อยกับผมอีก อุแง้ ดังนั้นผมจึงพับเรื่องที่พวกเพื่อนๆ พูดไปก่อน ไม่รู้ตัวเลยว่าไอ้เรื่องที่ผมจ้อเนี่ยจะเป็นหนึ่งในสาเหตุความหงุดหงิดของพี่ตาณ
“ไอ้ปั๊มมันร้องไห้โวยวายใหญ่เลย ตอนแรกผมนึกว่าน้องแม่งมีเรื่อง ผมจะเอาเรื่องใหญ่เลย ทำน้องผมร้องไห้ได้ไง แบบจะไปหยิกหัวนมคนที่มาทำน้องของผมเลยอะ เล่นใหญ่รัชดาลัยเลยอะ ไอ้ปั๊มมันรีบเบรกผมแถมน้ำตาไหลเป็นทางเลย มันบอกว่าผมเป็นคนหักอกมันล่ะพี่ตาณ... ตกใจมากแต่แอ๊บขำไปงั้น ใครจะไปคิดว่าไอ้ปั๊มเนี่ยนะจะมาชอบ เฮ้ยผมเป็นผู้ชายนะ....นึกว่าอำผมอะพี่....ตาณ”
“...”
“หึ น้องผม ของผม” พี่ตาณพึมพำขณะที่สายตามองตรงไปข้างหน้า เมื่อได้ยินไม่ชัดผมจึงเอียงหน้าไปหาคุณชายชัดๆ
อะเฮือก! ทำไมหน้าดุงั้นอะ
“พะ...พี่ตาณ?”
“พูดต่อสิ”
ใจแป้วแล้วพ่อ ผมก้มหน้าชิดคางเลยง่า ไม่กล้ามองพี่ตาณ ผม ผม...และแล้วสิ่งที่ไอ้เพื่อนผมพูดๆ ก็กลับมารีรันในสมองอีกครั้ง
"เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามองข้าม มันอาจจะไม่เล็กน้อยสำหรับใครบางคนนะเว้ย"
“พี่...”
“...”
“ผมพูด หรือทำอะไรไม่ดีไปใช่มั้ย” เงยหน้าถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วก็ต้องรีบก้มหน้าอีกครั้งเมื่อประสานสายตาคมกริบที่มองมาพอดี
“เล่าต่อสิ” พี่ตาณไม่ตอบคำถามทั้งยังย้ำคำสั่งอีกที ไอ้เขากลัวมากได้แต่ลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ
“อึก”
“...”
“คือ...”
“อย่าให้ตกหล่น”
“คระ...ครับ คือ แล้ว แล้ว.... แล้วไอ้ปั๊ม เอ่อ น้องคนนั้น” ชิบหายพอพูดชื่อไอ้ปั๊มแล้วเสียวสันหลังวาบๆ ผมเรียบเรียงคำพูดใหม่ และแอบตบแก้มเรียกสติตัวเองไปทีนึงแต่ดังเพี้ยะ พี่ตาณไม่ชอบเสียงดังใช่มั้ยถึงขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม
“น้องคนนั้นก็บอกว่าชะ....ชะ...”
“อะไร”
นั่นเสียงก็เข้มยิ่งกว่ากาแฟอะแรบิแก้
“ชะ...ชอบผมครับ!”
กึก
เชี่ย รถกระตุกไปวินึงเลยอะ
“แต่ๆๆ แต่มันไม่มีอะไรนะครับ ไอ้น้องคนนั้นมันก็รีบพูดพุ่งพรวดเหมือนอืออึ๊เลย เชี่ย กูพูดเรื่องขี้ไรตอนนี้วะ คือพี่ตาณครับ คือน้องมันก็บอกว่าผมอยากผม เอ๊ย อยากบอกผมให้มันโล่งใจเท่านั้นเอง มันรู้ว่าผมคิดกับมันแค่พี่น้อง มันอึดอัดถ้าไม่บอกวันนี้แล้วมันจะรู้สึกไม่ดีวันพรุ่งนี้มันไม่อยากบอก คือมันเป็นมะล็อกก๊อกแก๊กอะครับพี่ตาณ เข้าใจผมมั้ยๆๆแล้วผมก็บอกว่าผมมีคนที่ตรงๆ แล้วด้วย มีคนเดียว ไม่มีคนอื่น!”
“...”
นี่พูดจนไม่หายใจ ไม่รู้เป็นอะไร น้ำตาซึมหางตาแล้วนะ
“พี่ตาณ โกรธผมหรอ”
ในตอนที่ผมถามคำถาม รถเต่าประจำตัวพี่ตาณก็จอดที่หน้าบ้านผมพอดี ไม่คิดเลยว่าระยะทางไกลจะหดสั้นลงขนาดนี้
“ถึงบ้านแล้ว ไปพักเถอะ”
“พี่ตาณโกรธผมหรอ” ขนาดหน้ายังไม่มองเลย ไอ้เขาซึมยิ่งกว่าส้วม ในใจวูบโหวงเป็นรูโบ๋
“...”
“...”
ระหว่างนั้นผมนั่งนิ่ง ไม่กล้าขยับตัว กระทั่งผมได้ยินเสียงพี่ตาณถอนหายใจ
“นอกจากร้องไห้แล้ว ‘น้อง’ คนนั้นทำอะไรกับนายอีก”
ไม่ทันได้ตอบอะไรพี่ตาณก็ยื่นมือมาจับมือข้างหนึ่งของผมไว้พร้อมกับถามด้วยเสียงคาดคั้น
“จับมือ...?”
“ไม่ครับ”
“จับหน้า?” ไอ้เขาส่ายหน้าจนคอแทบหลุด เมื่อพี่ตาณเลื่อนมือมาจับแก้มผม ส่วนนิ้วโป้งก็ไล้ปากล่างเบาๆ พร้อมกับเริ่มพูด
“จู...?”
“แค่กอดครับ!”
ไม่ต้องปล่อยให้พี่ตาณคิดนาน ไอ้เขารีบพูดเสียงดังห้ามความคิดพี่ตาณทันที ผมใช้สองมือรวบมือพี่ตาณที่ทำท่าจะผละออก “แค่กอดเท่านั้นเอง...” พอได้ยินเสียงฮึในลำคอด้วยความหงุดหงิดปนเหนื่อย แถมยังทำท่าจะเปิดประตู ไอ้เขาก็รีบกอดพี่ตาณทันที ถึงแม้พุงจะติดเข็มขัดนิรภัยก็ตาม
“แค่กอดอ่าพี่ตาณณณณ” พี่ตาณเกร็งตัวจนผมใจแป้ว แต่สุดท้ายก็ยอมวางคางไว้ที่หัวผมเบาๆ เห็นดังนั้นผมจึงรีบพูดต่อทันที
“ผมบอกมันไปแล้วว่าผมมีคนที่ตรงๆ แล้วคนเดียวง่า”
เพราะประโยคนั้น พี่ตาณจึงเงียบไปเหมือนกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง แต่ไม่นานมือที่แสนอบอุ่นคู่นั้นค่อยๆ กอดตอบผม
“งอแงซะแล้ว”
“งือ...” ผมส่ายหน้ากับอกพี่ตาณไม่สนใจว่ามันจะเลอะเทอะหรือไม่ “พี่ตาณอย่าโกรธผมเลย”
“ไม่ได้โกรธ” ผมชะงักแล้วขืนตัวออกมาเพื่อมองหน้าพี่ตาณ
“แล้วทำไม...”
“...แค่หงุดหงิดตัวเอง”
“แง้” ผมหลับตาซุกตัวเข้าหาพี่ตาณมาขึ้น ผมจะเกาะติดเป็นโคอาล่าจนกว่าพี่ตาณจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ท่าไม้ตายที่ทำทีไรพี่ตาณก็กลับมายิ้มได้เหมือนเดิม และผมหวังว่าอย่างนั้น
พี่ตาณส่ายหน้าพร้อมกับเลื่อนฝ่ามือลูบหัวเบาๆ “ก็เป็นซะแบบนี้”
“ผม...ผมเป็นแบบไหน ฮือ ก็ผมโง่ ผมโง่มากๆ พี่ตาณต้องบอกผมนะผมขอร้อง เพราะผมโง่พี่ตาณอย่าโกรธผมเลยนะ” ผมโวยวายดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของพี่ ถึงจะอยากรู้คำตอบแต่อีกใจนึงก็กลัวว่าพี่ตาณจะเหนื่อยกับผมแล้วจริงๆ ผมน่ะไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลย
“....ใครว่านายโง่กัน ฉันกำลังคิด....ถ้าในอนาคตมีคนมาบอกชอบนายอีก กอดนายอีก...”
“พี่...”
“...หรือทำอะไรมากกว่านั้นแล้วจะทำยังไง เราจะแบบนี้ต่อไปจริงๆ น่ะหรอ”
ผมค่อยๆ ผละตัวออกมาจากพี่ตาณ บอกตรงๆ ว่านั่นเป็นครั้งแรกที่ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกไปเลย ผมที่โวยวายเมื่อครู่พูดอะไรไม่ออกแม้แต่นิดเดียว หรือว่าพี่...
“พี่กำลังจะพูดอะไร”
“...”
ผมบอกแล้วว่าผมเป็นคนโง่
“พี่กำลังจะ...”
“เราเลิกเป็นคนที่ตรงๆ กันเถอะ”
“...!”
สิ้นประโยคนั้นภายในรถเงียบจนน่าอึดอัด ในใจของผมรู้สึกเจ็บ มือที่จับเสื้อพี่ตาณคลายลงและเราสบตากัน แววตาของพี่ตาณนั้นคล้ายตัดสินใจอะไรบางอย่าง ในขณะที่ผมเริ่มมองอะไรไม่ชัด
“เราเลิกเป็นคนที่ตรงๆ กันแล้วมาเป็นแฟนกัน...ได้มั้ย?”
“....!?”
ภายในรถเงียบสนิทอีกครั้ง สมองผมพยายามประมวลผลแล้วผมก็....
อุแงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง้
ถลาตัวเข้าไปหาพี่ตาณเหมือนกระรอกบิน พี่ตาณขมวดคิ้วแต่ก็อ้าแขนรับ
“ร้องไห้ทำไม ไม่อยากเป็นแฟนฉันหรอ เอ้า ร้องหนักกว่าเดิม”
“ผมไม่อยากเลิกเป็นคนที่ตรงๆ กับพี่นี่!” รู้ไหมว่ามันพิเศษกับผมขนาดไหน ไม่ชอบคำว่าเลิกเลย
“เปลี่ยนสถานะไง” เสียงทุ้มนุ่มพูดข้างหู
“ไม่เอา ฮึก”
“ตัวมอมแมมเอ๊ย” พี่ตาณหัวเราะเบาๆ กอดผมแน่นขึ้นไปอีก “แล้วจะเอายังไง”
“อึก...ผมตรงๆ พี่ เราตรงๆ กันตลอดไป แล้วผมก็จะเป็น...นั่นด้วย!”
“เป็นอะไร...หึหึ เข้าใจแล้วๆ”
“...อึก ต่อไปนี้คำว่าเลิกเป็นคำต้องห้าม”
“หืม?”
“พี่ห้ามพูดว่าเลิกอีก!”
ผมพูดเสียงดัง แต่ทว่า จู่ๆ ก็มีเสียงบางอย่างดังกว่า แถมยังดังทะลุเข้ามาในรถอีกด้วย
“แล้วเมื่อไหร่มึงจะเลิกกอดกันซักที กูเหลาไม้เรียวยืนรอมึงแรดนานแล้วนะไอ้เขา!!”
“พ่อจ๋า!!!!!!!!!!!!!!!!!”
===========
หึงเค้าแล้วก็ทำดราม่าเนียนซะเล้ยพ่อ
ปล.วงวารชีวิตจะได้แสดงรึยัง ซ้อมมาตั้งแต่ปี2017แล้วนะ
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตอนนี้นะคะ
มันอาจจะไม่ดีมากพอแต่เอาไว้อ่านเล่นๆ คลายเครียดนะทุกคนน