คนนี้แหละใช่เลย 13 เกี๊ยวกำลังวิ่งขึ้นบันไดอย่างรีบร้อน ในใจนึกด่าตัวเองที่เผลอลืมรายงานเล่มสำคัญที่ต้องเอากลับไปแก้ที่บ้าน ปากก็บ่นพึมพำไปตลอดทาง
“หนอย ลืมที่ไหนไม่ลืม ดันไปลืมไว้ชั้นบนสุด ลิฟท์ก็ดันเสียซะนี่” ร่างโปร่งบนพึมพำ พยายามก้าวขาให้กว้างขึ้นอีกนิดเผื่อมันจะทำให้ถึงเร็วขึ้น
พอถึงชั้นห้าชายหนุ่มก็หมดแรงวิ่งไปแล้ว ได้แต่พยายามลากขาทั้งสองข้างที่หนักอึ้งราวกับหินให้เคลื่อนไปข้างหน้า ท้ายสุดก็แทบจะคลานขึ้นบันไดต่อไปถึงชั้นแปด
พอถึงปุ๊บ ร่างโปร่งก็ทรุดตัวลงนั่ง เอนหลังพิงกำแพง พยายามสูดหายใจลึกๆเพื่อบรรเทาอาการเหนื่อย เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น เกี๊ยวควานมือเข้าไปล้วงโทรศัพท์ออกมารับ
“ฮัลโหล”
“เฮ้ย เอ็งใกล้จะถึงข้างล่างหรือยังวะ รีบๆลงมาเร็ว ลุงแจ้งแกจะปิดตึกอยู่แล้ว นี่ไอ้ป๊อกมันไปถ่วงเวลาไว้ให้ ขืนชักช้าลุงแกตีหัวมันแบะแน่”
“ข้างล่างกะผีอะไรล่ะ!! พึ่งจะถึงชั้นแปดนี่แหละ ซี่โครงข้าแทบจะบานเป็นกระด้งอยู่แล้ว เอ็งให้ลุงแกปิดไปเลย เดี๋ยวข้าลงไปทางตึกบี พวกเอ็งจะกลับไปก่อนก็ได้นะ ไม่ต้องรอหรอก” ชายหนุ่มตอบ
ตึกบีที่ว่าคืออาคารแฝดที่อยู่ใกล้ๆกับอาคารเอ โดยมีทางเชื่อมถึงกันที่ชั้นสอง ตามปกติพอถึงห้าโมงเย็น ภารโรงจะปิดทางเข้าใต้อาคารเอ และให้ไปใช้ทางเข้าที่อาคารบีแทน
“พวกข้าไม่ได้รีบนี่หว่า เอ็งหายเหนื่อยเมื่อไหร่ก็รีบๆลงมาแล้วกัน เดี๋ยวจะรออยู่ข้างล่างนี่แหละ แต่อย่าช้านะโว๊ย เอ็งคงเคยได้ยินเรื่องของห้องแล็บตึกบีใช่ไหมวะ” พูดได้แค่นั้นสายก็ตัดไป
เกี๊ยวเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า มองไปตามระเบียงทางเดินหน้าห้องเรียนทั้งๆที่เป็นเวลาตอนเย็นเท่านั้น แต่พอไร้เงาผู้คน มันก็ดูน่ากลัวอยู่เหมือนกัน
ร่างโปร่งตัดสินใจลุกขึ้น พอออกกำลังเข้าหน่อย เหงื่อก็ไหลออกมายังกะอาบน้ำ มือเรียวได้รูปปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาออกทั้งแถว เผยให้เห็นแผ่นอกขาวนวล
เกี๊ยวเดินไปหยุดหน้าห้องเรียน เปิดประตูแล้วตรงไปที่เคาท์เตอร์ริมหน้าต่าง สมุดรายงานเล่มน้อยวางอยู่บนนั้น เกี๊ยวเก็บรายงานเข้ากระเป๋า แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างไม่รีบร้อน
ชายหนุ่มลงบันไดมาเรื่อยๆจนถึงชั้นสอง สมองเจ้ากรรมก็ดันคิดถึงคำพูดของทศขึ้นมา
‘เอ็งคงเคยได้ยินเรื่องของห้องแล็บตึกบีใช่ไหมมมมมมมมม’ มีเรื่องเล่ากันว่าสมัยก่อนมีนักศึกษาหนุ่มไม่สมหวังในรัก จึงตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยการผูกคอตายภายในห้องแล็บของตึกบี วันดีคืนดี ก็จะมีคนได้ยินเสียงกุกกักๆ อยู่ในห้อง พอเปิดเข้าไปดูก็เจอคนห้อยต่องแต่งอยู่บนเพดาน
“แล้วทำไมต้องมานึกถึงเรื่องแบบนั้นตอนนี้ด้วยวะเนี่ย”
ร่างโปร่งรีบเดินให้เร็วขึ้น ถัดหัวมุมทางเดินไปก็จะเจอทางเชื่อมแล้ว ทันใดนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงคนเดินตามมาจากข้างหลัง พอหันกลับไปดูก็ไม่เจอใคร เกี๊ยวจึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีกนิดเพื่อจะไปให้พ้นตรงนี้เร็วๆ ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งกระโดดออกมาพร้อมกับส่งเสียงดัง
“แฮ่!!!”
“ว๊ากกกกกกกกก!!!!! ไอ้....ไอ้บ้าเตย เล่นอะไรของเอ็งวะ ตกใจหมด” ร่างโปร่งร้องเสียงหลง ก่อนจะตะโกนอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นหน้าร่างนั้นชัดๆ
เตยยิ้มกว้าง เอ่ยอย่างอารมณ์ดี “ข้าก็แกล้งเอ็งเล่นนิดหน่อย แหม เสียงดีไม่เบานะ ได้ยินไปถึงตึกอธิการนู่นแน่ะ ข้าว่า”
“คราวหลังอย่าเล่นอย่างนี้อีกนะ ว่าแต่เอ็งมาทำอะไรวะ เย็นป่านนี้แล้ว” เกี๊ยวด่าแล้วย้อนถามอย่างสงสัย
“ข้ามาทำแล็บน่ะสิ ว่าแต่เอ็งเถอะไอ้ชีวาสไปไหนล่ะ ทำไมมันปล่อยให้เอ็งมาเดินที่เปลี่ยวๆได้วะ”
“ข้าจะไปรู้ได้ไง ตัวไม่ได้ติดกันนี่” น้ำเสียงเริ่มขุ่นลงเล็กน้อย พร้อมกับที่ใบหน้านวลนั้นงอง้ำลงอย่างเห็นได้ชัด
“ตัวไม่ได้ติด แต่ใจมันติดกันใช่ไหม อ๊ะ ๆ อย่าพึ่งด่าน่า ข้าแค่เตือนเฉยๆ เอ็งมาเที่ยวเดินปลดกระดุมโชว์อกอย่างนี้ เดี๋ยวก็โดนฉุดหรอก ไม่รู้จักระวังตัวซะบ้าง” เตยบ่น ก่อนจะแยกออกไป
เกี๊ยวส่ายหน้านึกบ่นกับความปากเสียของเพื่อน ชายหนุ่มเดินลัดหัวมุม ไปตามทางเชื่อม จนใกล้จะถึงห้องแล็บที่เป็นที่กล่าวขวัญ สองขาที่กำลังก้าวเดินหยุดชะงักลง เมื่อจู่ๆประตูห้องแล็บก็เปิดออกช้าๆ
แอ๊ด...........
ร่างโปร่งกลืนน้ำลายแล้วตัดสินใจขยับเข้าไปใกล้ๆ ประตูแล้วชะเง้อเข้าไปมองในห้อง ภายในห้องค่อนข้างมืดไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต เกี๊ยวถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันหลังเพื่อไปต่อ ยังไม่ทันขยับตัวเจ้าตัวก็ถูกกระชากอย่างแรงเข้าไปในห้อง อุ้งมือหนาตะปบปิดปากที่ส่งเสียงร้องอุทานออกมา
ชินปิดประตูห้องแล็บพร้อมกดล็อคลูกบิดแล้วลากร่างโปร่งที่ดิ้นรนขัดขืนให้เข้าไปในห้องกระจกเล็กด้านใน ชายหนุ่มตรึงร่างที่กำลังดิ้นรนขัดขืนไว้ด้วยการทาบทับร่างของตนเองลงไป พร้อมกับจุ๊ปากเบาๆ
“ชู่.....อย่าดิ้นสิเกี๊ยว ทำตัวดีๆน่า ดิ้นไปนายก็เหนื่อยเปล่า” ชินปล่อยมือที่ปิดปากได้รูปแล้วเปลี่ยนไปตรึงข้อมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายไว้แทน แล้วก้มลงไปกระซิบที่ข้างหูของอีกฝ่าย
“ไอ้บ้าชิน ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ เอ็งเป็นบ้าอะไรเนี่ย” เกี๊ยวตะโกนใส่หน้าอีกฝ่าย พยายามบิดข้อมือให้พ้นจากการเกาะกุมแต่ก็ไม่เป็นผล
ชินหัวเราะเสียงต่ำๆในลำคอ แล้วใช้มืออีกข้างตรึงคางอีกฝ่ายไว้ก้มลงบดขยี้เรียวปากอิ่มอย่างแรง จนร่างโปร่งรู้สึกถึงรสคาวเลือดจากปากของตน ผู้รุกรานถอนริมฝีปากออกช้าๆพร้อมกดจมูกเข้าคลอเคลียบนพวงแก้มเนียน
“ชินรักเกี๊ยวขนาดนี้ ยังมาหาว่าชินบ้าอีก นิสัยไม่ดีเลยนะ เด็กไม่ดีน่ะ ต้องถูกลงโทษรู้ไหม”
มือร้อนผ่าวเริ่มลากไล้ไปบนแผ่นอกเรียบเนียนยังผลให้ร่างโปร่งสะท้านเยือก พยายามใช้มือทั้งสองข้างที่ถูกเสื้อเชิ้ตของตนเองมัดไว้อย่างแน่นหนาทุบตีไปบนร่างกายของอีกฝ่าย ดวงตาคู่สวยทอประกายโกรธเกรี้ยว
“ชิน ไอ้บ้าปล่อยเดี๋ยวนี้นะ เอ็งทำอย่างนี้ไม่ได้ เราเป็นเพื่อนกันนะ”
มือที่ลูบไล้ไปทั่วร่างอย่างย่ามใจหยุดชะงัก ชินเงยหน้าจ้องเขม็งเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย
“เพื่อนเหรอ ยังเป็นเพื่อนเหรอ แล้วใครล่ะที่บอกว่าจะตัดขาดกับชิน แม้แต่หน้าชิน เกี๊ยวยังไม่มองเลย”
“นั่นมันก็เป็นเพราะเอ็งทำตัวเองไม่ใช่หรือไง ถ้าเอ็งไม่ทำอย่างนั้นกับข้าที่ทะเล ข้าก็ไม่อยากตัดเพื่อนตัดฝูงกับเอ็งหรอก” เกี๊ยวตวาด
ชินเงียบไปพักใหญ่ ดวงตาสงบนิ่งจนน่ากลัว ชายหนุ่มพูดเสียงเรียบๆ
“เป็นชินไม่ได้ แต่เป็นชีวาสได้งั้นสิ”
เกี๊ยวอึ้งไปเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทางของชิน เขาไม่แน่ใจว่าเพื่อนของเขายังพอจะพูดกันรู้เรื่องหรือเปล่า ร่างโปร่งได้แต่ภาวนาในใจให้ใครก็ได้ช่วยโผล่เข้ามาตอนนี้ที่เถอะ แต่เขาต้องถ่วงเวลาเอาไว้ให้นานที่สุดก่อน คิดได้ดังนั้นเกี๊ยวจึงตอบออกไป
“มันไม่เกี่ยวว่าใครได้ ใครไม่ได้หรอกนะ แล้วก็ไม่เกี่ยวกับชีวาสด้วย”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว!!! เพราะมันนั่นแหละ ถ้ามันไม่เข้ามาเกี่ยว เรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก”
ชินพูดเสียงกร้าว กระชากเข็มขัดออกจากกางเกงของอีกฝ่าย ก่อนจะรูดซิปแล้วดึงรั้งลงมาอย่างแรง เสียงอุทานอย่างตกใจของเกี๊ยวดังก้องไปทั่วห้อง
“อย่า......ไม่นะ.!!!!!! ช่วยด้วย!!!”
.
.
.
.
หลังจากที่เตยแยกกับเกี๊ยวแล้ว ขณะที่เดินอยู่บนระเบียงทางเดินชั้นแปด ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวก ดังมาจากข้างล่าง
“วู้!!!!! ไอ้เกี๊ยว ได้ยินหรือเปล่า!!!”
เตยชะโงกหน้าไปมองตะโกนตอบลงไปว่า
“ไอ้ทศไม่ต้องตะโกนแล้ว เกี๊ยวมันลงไปตั้งนานแล้ว”
“ข้ารอมันตั้งนานแล้วเนี่ย เอ็งเห็นมันบ้างหรือเปล่า ทำไมมันลงมาช้าจัง”
เตยขมวดคิ้ว นึกแปลกใจที่เกี๊ยวยังลงไปไม่ถึงซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ ชายหนุ่มตะโกนตอบ
“ข้าสวนกับมันที่ชั้นสอง สักสิบนาทีได้แล้วล่ะ มันยังไม่เจอเอ็งอีกเหรอ”
“ยังว่ะ ฉิบหายแล้ว!!!เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าวะ”
ทศตะโกนตอบด้วยน้ำเสียงร้อนรน เตยจึงตัดสินใจบอกไปว่า
“ทศ ป๊อก เอ็งรีบขึ้นไปตึกบีชั้นสองเลยนะ เดี๋ยวข้าจะรีบลงไปด้วย” พูดจบเตยก็รีบวิ่งลงไปทันที ทศกับป๊อกรีบวิ่งไปที่ใต้อาคารบีสวนกับชีวาสที่กำลังเดินออกมาพอดี
“เฮ้ย จะรีบวิ่งไปไหนกันวะ ทำยังกะใครจะตาย”
ทศหยุดวิ่ง พูดด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบ “เออ ถ้าไม่รีบน่ะ สุดที่รักของเอ็งตายแน่”
ชีวาสขมวดคิ้ว ย้อนถามอย่างสงสัย “ใครวะ สุดที่รักของข้า พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง”
“ปั๊ดโธ่!!! ไอ้โง่!!! เอ็งมีสุดที่รักหลายคนหรือไงเล่า ข้าหมายถึงไอ้เกี๊ยวน่ะ มันหายไปแถวๆชั้นสอง กำลังจะไปดู” ทศด่าอย่างหงุดหงิด
“แล้วทำไมพึ่งมาบอกเล่า มัวแต่อืดอาดอยู่นั่นแหละ” ชีวาสพูดจบก็วิ่งขึ้นบันไดไปชั้นสองทันที โดยมีทศและป๊อกวิ่งตามหลังไป
ทั้งสามคนช่วยกันเปิดดูตามห้องต่างๆจนมาถึงห้องแล็บเจ้าปัญหา โดยมีเตยวิ่งมาสมทบในตอนหลัง ชีวาสเปิดประตูแล้ววิ่งเข้าไปข้างใน ภาพที่ชายหนุ่มร่างใหญ่กำลังทาบทับเรือนร่างขาวนวลเนียนที่กำลังดิ้นรนอย่างเต็มกำลัง ทำให้เลือดในกายเดือดพล่าน
ชีวาสวิ่งเข้าไปกระชากชินอย่างแรงพร้อมกับปล่อยกำปั้นลุ่นๆเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างจัง จนชินล้มลงกับพื้น คนอื่นๆรีบวิ่งเข้ามาประคองเกี๊ยวพร้อมกับแก้มัดให้ ทศเอ่ยถามอย่างห่วงใย
“เกี๊ยวเจ็บตรงไหนหรือเปล่า มันยังไม่ทันทำอะไรเอ็งใช่ไหม?”
ชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ น้ำตาไหลอาบแก้ม ส่วนหนึ่งเพราะความโล่งใจ อีกส่วนหนึ่งคือความตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ร่างโปร่งปาดน้ำตาทิ้งแล้วจัดการกับเสื้อผ้าของตนให้อยู่ในสภาพที่พอดูได้ ดวงตาแดงก่ำจับจ้องไปที่ผู้ชายสองคนที่ยืนประจันหน้ากันอยู่กลางห้อง
ชีวาสหันมาสบตากับเกี๊ยว ความห่วงใยลึกซึ้งฉายชัดอยู่ในดวงตาทั้งคู่ ชายหนุ่มหันกลับไปพูดเสียงกร้าว
“ชิน เอ็งรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่”
“ทำไมข้าจะไม่รู้ ข้ากำลังจะทำให้เกี๊ยวเป็นของข้า แล้วก็เป็นเอ็ง!! ที่ชอบเข้ามาแส่ข้าทุกเรื่อง” ชินกระชากเสียง มองอีกฝ่ายด้วยแววตาเกลียดชัง “ข้าสุดที่จะทนแล้ว ชีวาส วันนี้ข้าไม่ปล่อยให้เอ็งลอยนวลแน่ ตายซะเถอะ!!” พูดจบชินก็เอื้อมมือไปคว้ามีดเล่มเล็กที่มีคนลืมทิ้งไว้ในห้องแล็บขึ้นมาถือแล้วแสยะยิ้มอย่างเหียมเกรียมแล้วพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายเต็มแรง
ฉึก!!
“ชีวาส!!”
เกี๊ยวอุทานอย่างตกใจเมื่อเห็นใบมีดจมหายเข้าไปในท้องของชายหนุ่ม ชินถอนมีดออกก่อนจะทิ้งลงข้างตัว มองชีวาสที่ทรุดตัวล้มลงกับพื้นอย่างเย็นชาแล้วหันมายิ้มเยาะให้ร่างโปร่ง
“ถ้าชินไม่ได้ มันก็ต้องไม่ได้ คนอย่างมัน ตายไปซะก็ดี อย่านึกนะว่ามันจะจบแค่นี้เกี๊ยว ตราบใดที่ชินยังมีชีวิตอยู่ ชินจะตามเกี๊ยวไปทุกแห่ง ฮ่า ฮ่า ฮ่า” พูดจบชายหนุ่มก็วิ่งหนีออกไปจากห้อง เกี๊ยวรีบวิ่งเข้าไปประคองชีวาส
“ชีวาส!! นายอย่าเป็นอะไรนะ ชั้นจะพานายไปโรงพยาบาล”
เสียงสั่นๆของร่างโปร่งเรียกรอยยิ้มบางๆจากคนเจ็บที่ยังมีแก่ใจเอ่ยกระเซ้า
“แหม ชื่นใจ มีคนเป็นห่วง”
ชีวาสพูดจบก็เอามือกุมท้อง ตัวงอด้วยความเจ็บ สติเริ่มลางเลือน ได้ยินเสียงเจือความตกใจของเพื่อนๆดังมาแว่วๆ
“ชีวาส!!!!! อดทนไว้นะ นายต้องไม่เป็นอะไรนะ!!!......”
.
.
.
.
เจมินี่ยืนเท้าสะเอวมองหน้าคนที่ยึดโซฟาตัวยาวเป็นทำเลในการทำสมรภูมิรบอย่างหงุดหงิดหน่อยๆ ร่างสูงพูดเสียงเข้ม
“จะยอมให้ทำดีๆไหม?”
ก๋วยจั๊บเชิดหน้าขึ้น เอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่!!”
“ไม่ต้องกลัวน่า รับรองฉันจะอ่อนโยนกับนายที่สุด ไม่ทำแรงหรอก แป๊บเดียวเอง เดี๋ยวก็เสร็จ”
เจมินี่พูดปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ร่างโปร่งหันขวับทันที แผดเสียงออกมาทันควัน
“ไม่ก็บอกว่าไม่สิ พูดไม่รู้เรื่องหรือไง!!”
“อย่าให้ต้องใช้กำลังนะ”
“ลองเข้ามาสิ พ่อจะอัดให้เดี้ยงเลย” ร่างโปร่งขู่ฟ่อ เจมินี่ส่ายหน้า เอ่ยอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
“ไม่ทายาแล้วมันจะหายได้ยังไงเล่า นี่ก็เดินแทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว ยังจะทำเป็นเก่ง”
“นั่นมันก็เรื่องของฉัน เดี๋ยวฉันก็ทำของฉันเองแหละ นายไม่ต้องยุ่งเลย ว่าก็ว่าเถอะทั้งหมดน่ะมันเป็นความผิดของนายคนเดียว”
“อ้าว ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ ฉันไม่ได้ให้นายมากระโดดขึ้นเตียงจนเตียงหักสักกะหน่อย ฉันก็จะบอกนายอยู่แล้วว่าเตียงมันไม่ดี”
ร่างสูงแก้ตัว นึกถึงคืนวันสุดท้ายที่นอนพักแรมอยู่ที่กระท่อมริมทะเลสาบซึ่งตัดสินใจเข้าไปนอนในห้อง เจมินี่พอล้มตัวลงนอนก็รู้สึกว่าเตียงมันโยกหน่อยๆ ยังไม่ทันจะพูดอะไร ร่างเล็กก็กระโดดขึ้นมาบนเตียงเต็มรัก ผลก็คือ
ขาเตียงหัก!!
แถมก๋วยจั๊บยังกลิ้งตกจากเตียงก้นกระแทกพื้นเข้าเต็มรักจนเจ้าตัวถึงกับน้ำตาซึม พอกลับมาถึงห้องจะทายาให้ยังไม่ยอมอีก
“นั่นแหละ ยังไงนายก็ผิด!! ผิด เข้าใจไหม” ก๋วยจั๊บสำทับ ยกให้อีกฝ่ายผิดเต็มประตู
“เอ้า ผิดก็ผิด งั้นก็ให้ฉันทายาให้ได้แล้ว นายมองเห็นซะเมื่อไหร่ว่ามันช้ำตรงไหน”
เมื่อเห็นร่างโปร่งยังทำเฉย ร่างสูงจึงถามต่อ
“หรือว่านายอาย?
ร่างโปร่งหน้าแดงเรื่อขึ้นนิดนึง พูดกระแทกเสียงใส่
“ใช่!! ฉันอาย ถามจริงๆเถอะ นายไม่อายหรือไงที่จะต้องมาเปิดก้นให้คนอื่นดูน่ะ”
“ไม่ เพราะมันก็แค่ส่วนหนึ่งของร่างกายเท่านั้น นายจะไปคิดมากทำไม”
“เอาเป็นว่าฉันทำไม่ได้อย่างนายแล้วกัน ส่วนยาฉันจะทาเองนายไม่ต้องยุ่ง”
ก๋วยจั๊บเอ่ยเสียงแข็ง พอดีกับที่โทรศัพท์ดังขึ้นมา ชายหนุ่มจึงคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ
“ฮัลโหล ...... อ้าวเกี๊ยวเหรอ ว่าไง........เฮ้ย ค่อยๆพูดสิ...ไม่ต้องร้อง ฟังไม่รู้เรื่อง ....อะไรนะ!!...อือๆ จะรีบกลับเดี๋ยวนี้ล่ะ”
เจมินี่รอจนร่างโปร่งวางสายแล้วเอ่ยถาม
“มีอะไรเหรอ?”
ใบหน้าก๋วยจั๊บเผือดไปเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบา
“ที่บ้านเกิดเรื่อง!!!”
.
.
.
.
เกี๊ยวมองชีวาสที่ยังนอนสลบไม่ได้สติอยู่บนเตียงด้วยความรู้สึกหลากหลาย
หลายครั้งที่ชายหนุ่มมักจะชอบมาแหย่ให้อารมณ์เสีย บางครั้งก็ชอบทำอะไรให้ใจเต้นตึกตัก แต่ไม่มีครั้งไหนที่ทำให้เขารู้สึกห่วงใยได้มากเท่านี้ ร่างโปร่งเลื่อนมือไปเกาะกุมมือใหญ่ของอีกฝ่าย มองสายน้ำเกลือที่ข้อมือของร่างสูงแล้วรู้สึกใจหาย ดวงตาที่ชอบมองอย่างห่วงใยลึกซึ้งยังคงปิดสนิท
เกี๊ยวหายใจขัด น้ำตารื้นขึ้นมาทันที ร่างโปร่งกระซิบเสียงแผ่ว
“นายรีบฟื้นขึ้นมาเสียทีสิ.........นอนนิ่งอย่างนี้ฉันใจไม่ดีเลยนะ”
เสียงเปิดประตูดังขึ้นข้างหลัง เกี๊ยวกระพริบตาเพื่อไล่ละอองน้ำให้หายไป ก่อนจะหันกลับไปมอง เมื่อเห็นผู้ที่เข้ามา เจ้าตัวจึงเรียกอย่างดีใจ
“พี่จั๊บ พี่เจ็ม”
ร่างโปร่งลุกจากเก้าอี้ แล้ววิ่งเข้ามากอดพี่ชายทันที น้ำตาที่กักเก็บไว้ รินไหลลงมาเป็นทาง
“พี่จั๊บ .....ฮือๆ”
ก๋วยจั๊บลูบหลังน้องชายอย่างปลอบประโลม เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่ต้องร้องนะ ...... ไหนเล่าให้ฟังสิว่าเรื่องเป็นยังไง”
เกี๊ยวสะอึกสะอื้น เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังอย่างกระท่อนกระแท่น พอฟังจบก๋วยจั๊บถึงกับสบถด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“เลวที่สุด!! แล้วนี่พ่อกับแม่ว่ายังไง”
“ผมกับพ่อแม่คิดว่าจะไม่แจ้งความ เพราะยังไงเราก็เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่พ่อกับแม่ชีวาสผมไม่รู้ ท่านบอกว่าจะไปจัดการเอง ขอให้ผมดูแลชีวาสก่อน”
“แล้วฟื้นหรือยังล่ะ” ร่างโปร่งเอ่ยถาม ปรายตาไปยังร่างที่นอนอยู่บนเตียง
เกี๊ยวส่ายหน้า เอ่ยช้าๆ “ยังไม่รู้สึกตัวเลย.......ถ้า.....ถ้า.....” พูดไม่ทันจบประโยค น้ำตาก็ร่วงพรูลงมาอีกครั้ง
เจมินี่ก้าวเข้ามาปาดน้ำตาออกอย่างแผ่วเบา
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก หมอก็บอกว่าปลอดภัยแล้วนี่นา อีกสักพักก็คงฟื้น อย่างร้องไห้เลยนะ”
ก๋วยจั๊บก้าวไปที่เตียง แล้วก็ชะงักเมื่อสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เจ้าตัวเขม้นมองเพื่อให้แน่ใจแล้วจึงยิ้มแสยะออกมา
“แล้วนี่กินอะไรหรือยัง ไปหาอะไรกินกับพี่ก่อนไป เดี๋ยวให้พยาบาลมาดูแลต่อดีกว่า”
“ยังเลย ......แต่ผมกินอะไรไม่ลงหรอก พี่จั๊บไปกินเถอะ”
ก๋วยจั๊บแกล้งพูดดังๆ “คนเจ็บไม่ยอมฟื้นสักที ถ้าไม่ยอมฟื้นจะเอาคนดูแลกลับแล้วนะ” แล้วหันไปคว้าข้อมือเกี๊ยวเอาไว้แน่น “โธ่ ไม่ต้องสนใจหรอก เดี๋ยวก็ฟื้นขึ้นมาเองแหละ ฟื้นแล้วค่อยมาดูก็ได้”
ร่างโปร่งลังเล ยังไม่ทันไปไหน คนเจ็บที่นอนนิ่งมาตั้งแต่ต้นก็เริ่มขยับเขยื้อน เสียงคราวแผ่วๆดังมาจากริมฝีปากได้รูป เกี๊ยวตาโต รีบวิ่งเข้าไปดูทันที
“ชีวาส!! นายได้ยินฉันไหม เป็นยังไงบ้าง เจ็บแผลหรือเปล่า?”
“อืม...”
เปลือกตาบางกระพริบนิดๆ ก่อนจะเปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงตาคม เจ้าตัวเอ่ยเสียงแผ่ว
“นี่ฉันฝันไปหรือเปล่า? นี่นายจริงๆใช่ไหม เกี๊ยว....โอ๊ย!!” ชีวาสอุทานออกมา
เกี๊ยวรีบถามอย่างห่วงใย “เจ็บแผลเหรอ เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว”
ชีวาสยิ้มบางๆ จริงๆ แล้วไม่ได้เจ็บแผลหรอก แต่เพราะพี่ของร่างโปร่งแอบหยิกเขาเบาๆนั่นแหละ คนอะไร โหดชะมัด อุตส่าห์แกล้งทำเป็นหมดสติแล้ว ยังอุตส่าห์รู้อีก บ้าชะมัดทำแผนพังหมด