คนนี้แหละใช่เลย 14 ณ โรงพยาบาล……
ชีวาสนอนพลิกตัวบนเตียงอย่างกระสับกระส่าย มือแข็งแรงเอื้อมไปคว้ารีโมทบนเตียงมากดปุ่มเปิดโทรทัศน์ หลังจากทนดูข่าวได้สักครู่ เจ้าตัวก็รีบคว้ารีโมทมาปิดทันที บ่นเสียงดัง
“โอ๊ย!!! ทำไมมันน่าเบื่อแบบนี้ มีแต่ข่าวการเมือง เซ็งสุดๆ”
ร่างสูงปรายตาไปยังนาฬิกาที่อยู่ปลายเตียง อีกห้านาทีจะหกโมงเย็น ชีวาสรีบตลบผ้าห่มคลุมตัวแล้วหลับตาพริ้ม รอคอยใครบางคนที่มักจะมาตรงเวลาเสมอ
ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดเบาๆ เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยดังใกล้เข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างเตียง ก่อนจะหายไปทางห้องน้ำแล้วกลับมาที่ข้างเตียงอีกครั้ง พร้อมกับเสียงกระซิบอ่อนๆที่ข้างหู
“ชีวาส ...ตื่นได้แล้ว นอนตอนเย็นไม่ดีนะ”
ร่างสูงยังคงหลับตานิ่ง คราวนี้นอกจากเสียงแล้วยังมีแรงน้อยๆมาเขย่าแขนเบาๆ
“ชีวาส....ตาขี้เซา ตื่นได้แล้ว”
ชีวาสแกล้งลืมตาขึ้นช้าๆ แถมบิดขี้เกียจอีกนิดหน่อย เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าขาวนวลลอยอยู่ตรงหน้า พร้อมกับน้ำเสียงอ่อนโยน
“เป็นไงบ้าง ยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่า”
นิ้วเรียวแตะๆตรงบริเวณใกล้ๆแผลอย่างเบามือ ชีวาสยิ้มกว้างอย่างนึกขัน เพราะร่างโปร่งถามคำถามนี้ทุกวันตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่ใกล้จะออกจากโรงพยาบาล
มือแข็งแรงรวบมือของอีกฝ่ายไว้หลวมๆ แล้วส่ายหน้า
“ไม่เจ็บแล้ว แผลหายไปแล้วนะ ไม่เชื่อดูสิ”
คนเจ็บเลิกชายเสื้อขึ้น เผยให้เห็นบริเวณท้อง ที่ชายโครงมีรอยแผลเป็นยาวประมาณสองนิ้วปรากฏอยู่
ชีวาสจับมือของอีกฝ่ายให้สัมผัสตรงรอยแผล เอ่ยย้ำว่า
“เห็นไหม ไม่เจ็บสักนิด ไม่ต้องห่วง”
คำสุดท้ายทำให้ร่างโปร่งชักมือกลับโดยเร็ว เจ้าตัวเมินมองไปทางอื่น เอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง
“ใคร เป็นห่วงนายกัน คราวหลังก็สู้ไปมั่งสิ ปล่อยให้หมอนั่นเอามีดจิ้มพุงกะทิของนายได้ไง”
“เอ แต่ว่าวันนั้นที่โดนแทงน่ะจำได้อยู่นาว่ามีคนบอกว่า อย่าเป็นอะไรไปน่ะ หรือว่าจะหูฝาด ”
ร่างสูงขยับตัวเพื่อจะลุกขึ้นนั่ง เกี๊ยวจึงช่วยประคองอีกฝ่ายแล้วจัดให้นั่งในท่าทีสบาย ชีวาสตบลงที่ข้างตัวเบาๆ เกี๊ยวจึงขยับขึ้นไปนั่งข้างๆ ดวงตากลมโตฉายแววสงสัย
“ตั้งแต่เกิดเรื่อง ยังไม่ได้ยินคำขอบใจเลยสักคำ ใจดำจริงน้อ คนเรา”
ร่างโปร่งหน้าบึ้ง เอ่ยประชด “พอหายดีทำเป็นทวงบุญคุณเลยเหรอไง”
ชีวาสส่ายหน้า พูดเสียงนุ่ม “เปล่าทวง แค่อยากรู้ว่าห่วงกันบ้างหรือเปล่า” ดวงตาคมฉายประกายจริงจังเสียจนอีกฝ่ายต้องเสมองไปทางอื่น ร่างสูงรั้งอีกฝ่ายให้เอนเข้ามาแล้วกอดไว้หลวมๆ
“ทะ ...ทำอะไรน่ะ ชีวาส ปล่อยนะ”
เกี๊ยวเอ่ยอย่างตกใจ ชีวาสกระซิบเบาๆที่หูของร่างโปร่ง
“ถ้าไม่ยอมตอบก็จะไม่ปล่อย จะกอดไว้อย่างนี้แหละ ให้มันรู้ไปว่าไม่ห่วงกันเลยสักนิด”
“หรือที่ผ่านมา.....มันไม่เคยมีความหมาย.....หืม?” น้ำเสียงตัดพ้อ ทำให้ร่างโปร่งได้แต่นิ่งฟังคำพร่ำพรรณาของอีกฝ่ายเงียบโดยไม่ตอบโต้
“หรือฉันคิดไปเองว่านายก็อาจจะมีใจให้บ้าง ฉันไม่เคยมีความหมายกับนายเลยหรือไง?”
“เอ่อ .... ฉันว่าเราอย่าพึ่งคุยเรื่องนี้เลยดีกว่านะ ไว้เราค่อยคุยกันทีหลังดีกว่านะ”
คำพูดบ่ายเบี่ยงทำให้ ชีวาสถอนหายใจยาว
“ที่ไม่ตอบเพราะตอบไม่ได้ หรือ เพราะไม่อยากตอบ นาย...ยิ่งปล่อยนาน ฉันเจ็บ .....เจ็บตรงนี้”
ชีวาสกุมมืออีกฝ่ายขึ้นมาวางไว้ตรงอกด้านซ้าย “ฉันรักนาย...แต่ไม่อยากทำร้ายตัวเอง หากนายไม่มีใจให้ ช่วยพูดให้ฉันรู้เท่านั้นพอ ถ้าเราไม่สามารถเป็นไปได้มากกว่า ‘เพื่อน’ ฉันจะได้ทำใจ”
เกี๊ยวก้มหน้าหลบสายตาอีกฝ่าย ได้ยินเพียงเสียงพูดแผ่วเบา
“ถะ.....ถ้า ฉันบอกว่า เราไม่มีทางเป็นไปได้มากกว่าเพื่อนล่ะ นายจะทำยังไง”
“ฉันก็คงจะต้องหลบไปทำใจที่ไหนไกลๆล่ะมั๊ง ตามสไตล์คนอกหักน่ะ กินเหล้าเมาหยำเปให้ดูเสียผู้เสียคนเสียหน่อย บางทีก็อาจจะต้องดร็อปเรียนไว้ก่อน”
ร่างโปร่งเบี่ยงตัวออกแล้วมองหน้าอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้
“นี่จะเวอร์ก็ให้มันน้อยๆหน่อย พูดจาไร้สาระ”
“อ้าว นี่ฉันพูดจริงๆนะ นายไม่รู้เหรอว่าฉันเป็นโรคหัวใจ” ชีวาสทำหน้าเศร้า เกี๊ยวตาโต
“อะไรนะ....โรคหัวใจอะไร ทำไมฉันไม่รู้เรื่องล่ะ หมอพึ่งมาบอกเหรอ นายหลอกฉันล่ะสิ ฉันไม่เชื่อหรอก”
น้ำเสียงร้อนรนของร่างโปร่งทำให้ชีวาสกลั้นยิ้ม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“จริงๆนะ พูดจริงๆ ฉันเป็นโรคหัวใจ.....หัวใจขาดคนดูแลน่ะ เป็นมานานแล้ว หมอบอกว่าจะหายก็ต่อเมื่อมีคนใจดีมาช่วยดูแล ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
ชีวาสหัวเราะเสียงดังที่สามารถหลอกอีกฝ่ายได้ ร่างโปร่งยกมือเตรียมจะทุบตีอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้แต่ชีวาสฉวยโอกาสโอบกอดอีกฝ่ายไว้เสียก่อน
“เอาน่า ฉันหยอกเล่นหรอก เวลาเห็นหน้านายแล้วมันอยากแกล้ง แต่ก่อนหน้านี้ฉันพูดจริงนะ นายล่ะให้คำตอบฉันได้หรือยัง”
เกี๊ยวมองหน้าจริงจังของชีวาสแล้วอดคิดไม่ได้ว่าจริงๆแล้วจะว่าไม่ได้คิดอะไรกับผู้ชายตรงหน้าเลย มันก็ไม่ใช่ เพราะในยามที่ร่างสูงปกป้องตัวเขาจนตัวเองบาดเจ็บ ความรู้สึกตอนที่ต้องรอคอยให้อีกฝ่ายฟื้นลืมตาขึ้นมานั้นก็สร้างความกระวนกระวายใจให้เขา จนกินไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ อย่างนี้แล้วจะเรียกว่าไม่คิดอะไรได้หรือ? แต่ครั้นจะให้บอกออกไปก็อายจนไม่กล้าพูด อุตส่าห์พยายามเลี่ยงมาจนถึงตอนนี้ วันนี้คงเลี่ยงไม่ได้แล้วกระมัง
ร่างโปร่งรู้สึกถึงแรงบีบเบาๆที่มือ ดวงตาคมที่ทอดมองมาทอประกายอ่อนโยนราวกับปลอบประโลม น่าแปลกที่เกี๊ยวรู้สึกถึงความรักเปี่ยมล้นในดวงคู่นั้น ชายหนุ่มจึงตัดสินใจได้ในวินาทีนั้นเอง ร่างโปร่งเอ่ยกระซิบเสียงแผ่วที่ข้างหูของอีกฝ่าย
“ฉันก็...........ชอบ.......นาย......เหมือนกัน”
ชีวาสดันตัวอีกฝ่ายออก มองอย่างไม่เชื่อสายตา
“ที่พูดเมื่อกี้ ..จริงหรือเปล่า”
เกี๊ยวพยักหน้าอย่างอายๆ ชีวาสทำตาโต ตะโกนเสียงดังลั่น
“ไชโย!!!!!! ไช...............อุ๊บ!!!”
เสียงขาดหายไปเนื่องจากร่างโปร่งรีบปิดปากของอีกฝ่ายไว้ก่อน “จะบ้าเหรอ นี่มันโรงพยาบาลนะ เกรงใจคนอื่นมั่งสิ”
เสียงดุๆของเกี๊ยวทำให้ชีวาสยิ้มแหย พอร่างโปร่งเอามือออกจึงพูดแบบไม่เต็มเสียง “ก็คนมันดีใจ เลยลืมตัวนี่ อย่าดุนักสิ เฮ้อดุจริงนะ แฟนเรา”
“บ้า!!” เกี๊ยวยกมือทุบอีกฝ่ายเต็มแรง จนร่างสูงสูดปากด้วยความเจ็บคนมือหนักตกใจรีบถาม
“เจ็บมากไหม โทษทีฉันลืมตัว”
“เจ็บมาก เจ็บมากๆเลยเนี่ย ขอหอมก่อน จะได้หายเจ็บ”
“มันเกี่ยวกันตรงไหน?”
ปากว่าอย่างนั้นแต่ร่างโปร่งกลับอมยิ้มเอียงแก้มให้อีกฝ่ายอย่างน่ารัก ชีวาสจรดปลายจมูกลงเบาๆบนพวงแก้มใส ความรู้สึกอิ่มเอมใจเกิดขึ้นในทันที ในที่สุดเขาก็ได้มาความรักของคนสองคนที่จะทำให้ชีวิตไม่เดียวดายเหมือนวันก่อนๆ
.
.
.
.
เจมินี่มองของเหลวสีเหลืองอ่อนที่อยู่ในแก้ว ก่อนจะเอ่ยถามเจ้าของมือที่ยื่นให้อย่างไม่ค่อยแน่ใจ
“ไอ้นี่ กินได้จริงๆเหรอ?”
คำถามนั้นทำให้อีกฝ่ายมองคนพูดแบบหมิ่นๆ เอ่ยเสียงสูง
“เหอะ ไม่รู้จักของดีเสียแล้ว ไอ้เนี่ยยยยยยยย ..” ร่างโปร่งแกว่งแก้วเบาๆ “ไม่ได้หากินกันง่ายๆหรอกนะ หึหึ หึ โดยเฉพาะแบบที่ทำเองน่ะ”
นายแบบหนุ่มยังมองแบบไม่ค่อยไว้ใจ ทำให้ก๋วยจั๊บรำคาญ ยัดแก้วใส่มือของอีกฝ่ายโดยเร็ว พร้อมกับโชว์ให้อีกฝ่ายมั่นใจด้วยการกระดกของเหลวสีเหลืองอ่อนในอีกมือหนึ่งลงคอไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ชายหนุ่มที่นั่งมองมาแต่แรกเริ่มจะกล้าๆลิ้มลองของในแก้วบ้าง
เมื่อร่างสูงชิมของในแก้วแล้ว ก๋วยจั๊บจึงเอ่ยถาม
“ไง รู้สึกยังไงบ้าง”
“อืม ก็หวานๆปนขมนิดๆ มีแอลกอฮอล์ด้วย แล้วก็ได้กลิ่นคล้ายๆข้าวหมัก มันคืออะไรน่ะ?”
“เค้าเรียกว่า สาโท เคยได้ยินไหม ไม่ได้หากินกันง่ายๆน้า ที่เมืองนอกไม่มีให้กินหรอก โดยเฉพาะไหเนี้ยะ หมักเองกะมือเชียว เหอ เหอ”
“หมักเองกะมือ? ไว้ใจได้เหรอหะ เกิดกินแล้วตายขึ้นมาทำไง”
“ถ้ากินแล้วตายจะมานั่งปากดีอย่างนี้ได้เหรอ ยัง...ยังเหลืออีกอย่าง อันนี้คือสุดยอดของสุดยอดเลยล่ะ”
พูดจบเจ้าตัวก็คว้าขวดสีน้ำตาลคล้ายๆขวดเบียร์มาแล้วก็เทลงแก้วอย่างรวดเร็ว เจมินี่มองแก้วน้ำที่บัดนี้มีน้ำใสๆอยู่ค่อนแก้ว ก่อนจะยกขึ้นดมแล้วทำหน้าเบ้เมื่อกลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนขึ้นมาปะทะจมูก เมื่อกลั้นหายใจจิบเข้าไปหนึ่งอึกก็รู้สึกร้อนวาบไปทั้งร่าง ร่างโปร่งรีบส่งขันน้ำเปล่าให้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ก๋วยจั๊บมองเจมินียกขันน้ำขึ้นจิบแล้วยิ้มขัน
“เป็นไงสุดยอดของสุดยอด แรงดีไหม?”
“นี่มันอะไรน่ะ ไม่เคยกินมาก่อน นี่กินของอย่างนี้เข้าไปได้ไงเนี่ย”
“เค้าเรียกว่าเหล้าขาว เรียกย่อๆว่า 40 ดีกรี ฮ่า ฮ่า นี่ก็กลั่นเองกะมือเหมือนกัน”
เจมินี่หรี่ตามองคนที่นั่งหัวเราะคิกคักอยู่อย่างประหลาดใจเล็กน้อย เสียงฝีเท้าดังขึ้นภายนอกศาลาริมน้ำ ก่อนเจ้าของเสียงฝีเท้าจะโผล่หน้าเข้ามา ปานยื่นถุงขนมในมือส่งให้เจมินี่ ก่อนจะพูดเปรยๆออกมา
“ไปซะแล้วคุณจั๊บ คุณเจ็มไม่ต้องให้กินแล้วนะครับ แค่นี้พรุ่งนี้ก็ลุกไม่ขึ้นแล้วมั๊ง”
“อะไรกัน เห็นกินไปแค่แก้ว สองแก้วเองนะ” เจมินี่แย้งเพราะไม่คิดว่าก๋วยจั๊บจะคออ่อนขนาดนั้น
“กับคุณน่ะแค่แก้วสองแก้วครับ แต่ตอนคุณไม่อยู่น่ะ คุณจั๊บนั่งกินกะผมตั้งแต่ตอนเย็นแล้วครับ สาโทนี่หมดไปสามไหแล้ว”
“ไม่น่าเชื่อ ก็เห็นคุยรู้เรื่องดีนี่” เจมินี่ปรายตามองไปยังร่างโปร่งที่ตอนนี้ฟุบหลับไปเรียบร้อยแล้ว
ปานทำหน้าเหมือนกับว่าเห็นไหมละ บอกแล้ว
“ก็เมาแบบพูดรู้เรื่องไงครับ คุณพาคุณจั๊บไปนอนเถอะ ตรงนี้ผมจัดการเอง รายนี้เมาเงียบครับ เหมือนไม่เมาแต่จริงๆเมาไปแล้ว”
เจมินี่จึงอุ้มร่างโปร่งกลับไปที่ห้อง เมื่อวางร่างของก๋วยจั๊บลงบนเตียงแล้ว ชายหนุ่มยังนั่งมองอยู่อีกพักใหญ่มือแข็งแรงเกลี่ยผมที่ปรกใบหน้านวลออกอย่างเบามือ แล้วถอนหายใจยาวออกมา เรื่องที่ตั้งใจจะบอกกับก๋วยจั๊บเป็นอันว่าคงต้องยกเลิกไปเสียแล้ว
“หวังว่าพรุ่งนี้ นายคงไม่โกรธฉันหรอกนะ จั๊บ ถ้าเป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากจะทำอย่างนั้นหรอก”
.
.
.
.
ก๋วยจั๊บตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนๆเหมือนมีใครเอาค้อนมาทุบที่หัว ชายหนุ่มสะบัดหน้าไปมาเพื่อไล่อาการมึนงง เมื่อมองไปที่มุมห้องเห็นที่นอนของเจมินี่ถูกพับเก็บไว้เป็นอย่างดี ร่างโปร่งลุกขึ้นเดินออกจากห้อง ทำไมวันนี้บ้านมันเงียบๆจังเลย เขาเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ก่อนจะเดินตรงไปที่ชานบ้านซึ่งก็เงียบเชียบ ราวกับไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว
“อะไรกันเนี่ย ไปไหนกันหมดนะ ทำไมบ้านเงียบอย่างนี้”
ชายหนุ่มพึมพำเสียงแผ่ว ขณะที่กำลังยืนหันรีหันขวางอยู่นั้น เสียงแหลมสูงของแป้นก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง
“อ้าวคุณจั๊บ มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้คะ?”
“มาก็ดีแล้วแป้น คนอื่นไปไหนกันหมด ทำไมมันเงียบๆอย่างนี้ล่ะ”
“อ๋ออออออออ........” แป้นลากเสียงยาว ก่อนจะตอบว่า “คุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายออกไปข้างนอกค่ะ คุณเกี๊ยวเห็นว่าจะไปรับคุณชีวาสออกจากโรงพยาบาล ส่วนคุณเจมินี่กลับไปแล้วค่ะ”
“อะไรนะ!! กลับไปไหน ทำไมฉันไม่รู้เรื่องล่ะ”
แป้นเอียงคอ มองอาการตกใจของคุณจั๊บอย่างนึกฉงน
“อ้าว คุณจั๊บไม่รู้หรอกรึคะ มิน่าเมื่อเช้าหนูถึงไม่เห็นคุณมาส่งคุณเจ็มเลย คุณเจ็มเธอไปแต่เช้ามืดแล้วค่ะ พวกคุณๆก็ออกมาส่ง หนูก็ออกมาส่งคุณเจ็มนะคะ”
ก๋วยจั๊บยืนนิ่ง นึกน้อยใจอย่างบอกไม่ถูก ที่อีกฝ่ายนึกจะไปก็ไป โดยไม่ได้ร่ำลาเลย อย่างน้อยก็น่าจะบอกเขาสักนิด
“คุณจั๊บ....คุณจั๊บคะ!!!!”
เสียงเรียกของแป้นทำให้ชายหนุ่มสะดุ้ง ร่างโปร่งหันไปมองหน้าเด็กสาว
“คุณจั๊บไม่สบายหรือเปล่าคะ ทำไมหน้าซีดๆ”
ก๋วยจั๊บส่ายหน้า ฝืนยิ้ม “เปล่าหรอก ฉันสบายดี แป้นไปทำงานต่อเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว”
“แล้วข้าวเช้า......”
“ฉันไม่รับหรอก ยังไม่หิว ไปเถอะ” ก๋วยจั๊บปฏิเสธก่อนจะไล่เด็กสาวให้ไปทำงานต่ออีกครั้ง
ร่างโปร่งเดินใจลอยกลับเข้าห้อง ภาพใบหน้าเปื้อนยิ้มของเจมินี่ผุดขึ้นในความคิด ชายหนุ่มพึมพำเสียงแผ่ว
“คนใจร้าย.......คอยดูนะ ฉันไม่ยกโทษให้นายหรอก”