บทที่ ๑๓
ความจริงที่ได้รับรู้
ช่วงเช้ามืดสมพงษ์ตื่นนอนมาเพื่อเอากระเป๋าของคุณ ๆ ทั้งหลายใส่รถให้ รวมถึงคนรับใช้คนอื่น ๆ ที่จัดเตรียมอาหารและอุปกรณ์ครบครัน ปภารัชนึกอยากเอ็ดพี่แตงที่บอกคนอื่นว่าพวกเขาจะไปทะเลในวันนี้เลยปลุกคนอื่นมาให้ช่วยจัดของให้
เขาน่ะเกรงใจทุกคนยิ่งกว่าเสียกระไร
“อ้าวต้นสน ไปด้วยเหรอ” แตงถามไถ่ใครบางคนที่เดินแบกกระเป๋ามาทางนี้ ปราชญ์หันไปมองทันที ดวงตาของเราสบกันชั่วครู่ก่อนจะเป็นปราชญ์ที่หันไปคุยกับคนรับใช้คนหนึ่งเรื่องความพร้อมของรถ
“ครับพี่แตง”
“งั้นมา ๆ เดี๋ยวพี่เอาไว้ในรถให้”
“ไม่ต้องพี่” ต้นสนรีบเบี่ยงหลบแต่พี่แตงก็ยื้อดึงเอาไปใส่ให้จนได้เลยได้แต่จำยอมตามไป
“ไงน้องชาย” ชายกรณ์เดินมาเอาแขนพาดไหล่ทันทีเมื่อเห็นใคร
“เหมือนไม่เจอกันนานเลยนะครับพี่กรณ์”
หนุ่มทหารพยักหน้า “ใช่ แทบไม่ได้เจอกันเลยนะ ต่างคนต่างงานยุ่ง”
ต้นสนยิ้มบาง “แล้วพี่กรณ์เป็นอย่างไรบ้างครับ งานที่กองทัพล้นมือเลยใช่ไหมครับ”
“พูดแล้วก็อยากกลับไปเป็นเด็กอีกสักรอบ” ชายกรณ์หัวเราะทั้งคู่คุยกันอย่างสนิทสนมอย่างเคย ถึงแม้ว่าดวงตาของต้นสนจะจดจ้องไปที่ใครอีกคน แต่ก็ไม่ได้รับสายตาตอบกลับมา
ชายธันที่ยืนอยู่ห่าง ๆ มองเพื่อนกับพี่คนโตสลับกันไปมา อีกคนเฝ้ามองหาส่วนอีกคนทำเมินเฉยแม้ใจจะไม่อยากทำอย่างนั้น ความสัมพันธ์ช่างแปลกสิ้นดี แล้วถ้าเกิดพี่ปราชญ์รู้ว่าต้นสนคิดอย่างไร จะทำยังไงนะ
เรื่องนี้เขาคงไม่ได้บอกหรอก เพราะหากเพื่อนเขารักข้างเดียว บอกไปจะหนักข้อขึ้นเปล่า ๆ พี่ปราชญ์คงไม่ได้คิดอะไรกับต้นสน...
แล้วถ้าคิดล่ะ
ชายธันรีบสะบัดหัวกับความคิดมากของตัวเอง ถ้าเป็นแต่ก่อนเขาคงไม่มีวันจะยอมรับได้แน่และคงไม่นิ่งเฉย สิ่งที่ทำอย่างแรกคือกันต้นสนออกจากพี่ปราชญ์ให้ได้ ตอนนี้ถ้าเกิดทั้งคู่คิดเกินเลยกันจริง เขาคงต้องปล่อยไป เขารู้ว่าพี่ปราชญ์เหนื่อยมามากเกินพอแล้วและเขาก็ไม่อยากทำให้เหนื่อยเพิ่มอีก
เขาเป็นคนในครอบครัว เป็นน้องชายที่จะคอยอยู่ข้าง ๆ ไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิต ทางที่ดีก็ให้คุยกันเองเสียกว่า...
“ยังไม่ทันรู้จริงเลยคิดไปถึงไหนเนี่ยเรา” ชายธันบ่นเสียงเบาพลางนวดขมับตัวเอง
เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมเสร็จเรียบร้อยทุกคนก็ต่างขึ้นรถ เป็นชายปราชญ์ที่ขับให้ก่อน ส่วนคนนั่งข้างกายก็เป็นน้องคนกลาง ส่วนด้านหลังเป็นน้องคนเล็กและต้นสนที่นั่งหลังปราชญ์
“ฝากดูแลหม่อมย่ากับคุณน้าให้ด้วยนะครับ”
“ได้เลยค่ะคุณชายใหญ่ ขอให้เดินทางปลอดภัยนะคะ” แตงยิ้มและโบกไม้โบกมือ
ปภารัชตีรถออกจากวัง ระหว่างทางชายกรณ์พูดเยอะเป็นพิเศษ คงเพราะชายกรณ์แทบไม่ได้กลับมาทานข้าวหรือกลับมาเจอพวกเขาเลย ไม่แปลกที่จะมีเรื่องพูดคุยเยอะ ถึงอย่างนั้นก็เป็นสีสันได้ดี ไม่ทำให้ในรถเงียบจนเกินไปด้วย
“ว่าแต่เราจะไปส่วนไหนของพังงา” ปราชญ์ถามขึ้น
“ไปที่ตะกั่วทุ่งครับ ใช่ไหม” ชายธันหันไปถามเพื่อนสนิท
“อืมอำเภอตะกั่วทุ่ง ตำบลโคกกลอย ศศิมันอยู่ที่นั่น”
“ที่นั่นแหละครับ เห็นเพื่อนผมบอกว่าเดินเรือไปคงถึงภูเก็ตได้เลย”
“งั้นวันที่สองเราไปภูเก็ตกันดีไหม” ชายกรณ์เสนอ
“ก็ดีนะ แล้วออกเรือได้ไหม” ปราชญ์มองสองคนด้านหลังผ่านกระจก
“คงต้องรอไปถามศศิน่ะครับ”
ปภารัชพยักหน้าตอบรับน้องคนเล็ก ตลอดทางนั้นมีแวะทานอาหารและพักรถด้วย แล้วก็เปลี่ยนเป็นชายกรณ์ที่ขับบ้าง เพราะถ้าเข้าจังหวัดไปแล้วจะให้ต้นสนขับเพราะรู้ทางดี เนื่องจากเคยมาเยี่ยมเยียนเพื่อนอยู่
จนเปลี่ยนมาเป็นชายธันที่ขับจนใกล้จะถึงก็เปลี่ยนไปให้ต้นสนแทน ปภารัชที่หลับพักไปครู่ลืมตาตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงปิดประตูรถ พอมองคนข้างกายที่ไม่ใช่น้องคนเล็กแล้วจึงขยับนั่งดี ๆ แทน
“ชายธันหลับไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวถึงแล้วพี่จะเรียก” ปราชญ์บอกน้องเพราะชายธันกลับดึกมากเนื่องจากต้องสะสางงาน ส่วนชายกรณ์หลับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ชายธันพยักหน้าตอนนี้ตนล้าเกินทน เพียงครู่เดียวก็หลับตามชายกรณ์ไป ในรถจึงเงียบมาตลอดทาง
“พี่ปราชญ์จะหลับต่อก็ได้นะครับ”คนถูกพูดถึงตกใจเล็กน้อย ดวงใจกลางอกสั่นไหว พี่ปราชญ์หรือ?
“ไม่เป็นไร พี่อยู่เป็นเพื่อนได้ แถมหลับมาตลอดทางเลย”
ต้นสนพยักหน้าจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่ออีก ปภารัชเพิ่งจะได้สังเกตในมุมนี้ของอีกฝ่าย ดวงตาจดจ้องไปที่ถนนด้านหน้า มือจับพวงมาลัย เสื้อเชิ้ตแขนสั้นนั้นดูเหมาะกับต้นสนเสียจริง
เด็กคนนี้โตขนาดนี้แล้วหรือ
จำได้ว่าหลังจากกลับไทยได้ไม่นานคุณน้าก็เอารูปที่เขาเคยได้ถ่ายเด็ก ๆ ไว้มาให้ ตอนนี้เขายังคงเอาติดกระเป๋าไว้อยู่ ในรูปนั้นเห็นเด็กสองคนนั่งข้างกันที่คนหนึ่งอมยิ้มหวานและอีกคนที่หน้านิ่งแลดูหงุดหงิด มุมปากบางยกยิ้มเมื่อนึกถึงสมัยก่อน ยังไม่ได้ให้รูปนี้แก่ทั้งสองเลย นึกขึ้นได้ว่ายังมีรูปที่เขาได้ถ่ายกับต้นสนตอนยังเป็นเด็ก
ในรูปนั้นเขากำลังอุ้มน้องอยู่ในอ้อมกอด ไม่คิดเลยนะ ว่าเด็กในวันนั้นจะโตมาเป็นคนที่พึ่งพาได้ดีขนาดนี้ ตัวที่สูงกว่า มือหนาและใหญ่พอจะกุมมือปราชญ์ได้ทั้งหมด แผ่นหลังกว้างไหล่ตึง ใบหน้าที่จิ้มลิ้มดูคมเข้มขึ้น แววตาเปี่ยมไปด้วยความจริงจัง สุขุมและอ่อนโยน ยกเว้นตอนที่ใช้ดวงตาเย็นชานั่นมองเขา คงจะเป็นเขาเพียงคนเดียวที่อยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น
ไม่รู้ว่ามองคนข้างกายนานเท่าใดอีกฝ่ายจึงหันมาหาเมื่อรอรถอีกคันข้างหน้าออกไปก่อน
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
ปราชญ์หันหลบ รู้สึกอากาศร้อนขึ้นมาทันตา “เปล่าหรอก”
“ที่จริงผมมีเรื่องจะคุยกับพี่ปราชญ์ด้วย”
“เรื่องอะไรหรือ”
“ไว้ก่อนครับ หากถึงที่หมายและจัดของเสร็จแล้วรวมถึงเที่ยววันนี้เสร็จผมอยากให้เราไปคุยกันแค่สองคน”
ปภารัชพยักหน้า “ได้สิ”
“ขอบคุณครับ”
ไม่รู้เหมือนกันว่ามีเรื่องอะไรที่จะคุยกัน แต่ก็คงไม่พ้นเรื่องเมื่อวันนั้น... ก่อนจะได้คิดอะไรมากกว่านี้กลิ่นไอเกลือก็ลอยเด่นขึ้นมา ทางด้านข้างเห็นทะเลเด่นอยู่ในสายตา ปราชญ์คลี่ยิ้มกว้าง สูดอากาศเข้าเต็มปอด แดดอ่อน ๆ กระทบกับผิวน้ำ ภาพตรงหน้าสะท้อนในดวงตา
ถ้าหันไปหาคนข้างกายคงจะได้เห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า...
“ถึงแล้วเหรอ” ปราชญ์ถามเมื่อต้นสนขับมาจอดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งที่ติดกับชายหาดเพียงถนนกั้น
“ครับ หลังนี้แหละ” ต้นสนว่าก่อนจะลงรถเป็นคนแรกเพื่อเข้าไปเรียกเพื่อนอย่างศศิที่มาประจำที่ภาคใต้
“ชายธัน ชายกรณ์ตื่นได้แล้วถึงแล้ว” ปราชญ์หันไปสะกิดน้องชายทั้งสองจึงจะลงรถไปเพื่อทักทายเพื่อนของน้องชาย
“นี่คุณชายปราชญ์” ต้นสนผายมือให้เพื่อน
“สวัสดีครับคุณชาย” ศศิคลี่ยิ้มยกมือไหว้ทันที เห็นอย่างนั้นปราชญ์จึงยกมือรับตอบ
“สวัสดีครับคุณ...?”
“ผมศศิครับเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของต้นสนกับคุณชายธัน”
“อ่อครับ ธันพูดถึงอยู่เหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ แล้วก็เรียกผมพี่เฉย ๆ ก็ได้นะ”
“ครับพี่ปราชญ์” ศศิผงกหัวแล้วช่วยหยิบสัมภาระเข้าบ้านและแนะนำตัวกันอีกครั้ง ก็ได้รู้จักกันหมด
“ไอเหนือ แล้วไอโทนล่ะวะ” ต้นสนถามเพื่อนในกลุ่มอีกคนที่มาถึงก่อนใครตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
“เดี๋ยวก็คงถึงแหละมั้ง อยู่ตั้งแพร่ให้ลงใต้มาคงจะนานเลย”
“บ้านนี้มีแค่สองห้องนอนเอง ต้องขอโทษจริง ๆ นะครับ” ศศิยิ้มแหย
“ไม่เป็นไรครับ เรานอนเบียดกันได้”
เหนือกอดอกมองสามคุณชายที่ขนของเข้าไปในห้องและดูไม่เกี่ยงกับห้องนอนเล็ก ๆ อย่างนี้ และความเป็นมิตร สุภาพที่แผ่ออกมาจากคุณชายปราชญ์ก็ทำให้เหนือนึกถึงเพื่อนธันในสมัยเรียน จึงเผลอขำออกมา
“อะไรของมึงเนี่ย อยู่ ๆ ก็ขำ” ต้นสนหันมอง
“กูเห็นพี่ชายของไอธันแล้วนึกถึงมันสมัยเรียนว่ะ พี่ชายออกจะนิสัยดีขนาดนี้ทำไมตอนนั้นมันดูแย่วะ”
“กูก็ไม่รู้หรอก”
“เออ แต่ว่าพี่ปราชญ์เนี่ยเขาหน้าไม่ค่อยเหมือนสองคนนั้นเลยนะ”
มือที่กำลังคลี่เอาของออกชะงักไปทันตา “จะไปยุ่งกับเขาทำไมล่ะ”
“เอ้า” เหนือเกาหัว ก่อนจะไปช่วยทั้งสามคุณชายยกของเข้าไปอีกห้อง ต้นสนอาสานอนกลางบ้านเพราะว่าจะให้โทนและเหนือนอนด้วยกันในห้องของศศิเอง ส่วนสามคุณชายก็นอนด้วยกันอีกห้องหนึ่ง
“มีมุ้งไหม”
“มี ๆ แต่มึงจะนอนนี่จริงดิ” ศศิถามอย่างเกรงใจ
“เออดิ กูไม่อยากนอนเบียดกับพวกมึง เดี๋ยวแดกเหล้ากลับมาเหม็นหึ่งหมด”
“เออ ๆ ตามใจ”
“ไอโทนมาแล้วโว้ย” เหนือตะโกนบอกหลังจากออกไปตามเสียงเรียกหน้าบ้าน
“ห่าร้อน” โทนรีบเข้าบ้าน เหงื่อไหลตามขมับ ก่อนจะยกมือสวัสดีคนหน้าใหม่ที่ไม่เคยเห็นแต่พอจะเดาได้ว่าเป็นพี่ชายของไอธัน
“นี่โทนครับ” ธันแนะนำเพื่อนให้รู้จักถึงจะแนะนำฝ่ายพี่ของตนบ้าง “ส่วนนี่พี่กรณ์กับพี่ปราชญ์”
“ยินดีที่ได้พบครับคุณชายกรณ์ คุณชายปราชญ์”
“เรียกพี่ก็พอนะ ไม่ต้องเกรงใจ” ปราชญ์ยิ้มให้
“ได้ครับพี่ปราชญ์”
แขกหน้าใหม่ทั้งห้าจัดของกันเสร็จเรียบร้อย ศศิก็พาไปร้านอาหารที่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก ซึ่งเดินไปเอาก็ได้ แถวนี้มีบ้านอยู่ไม่เยอะ ถนนก็โล่งพอตัว ถ้าเทียบกับพระนครคงบอกได้เลยว่าต่างกันลิบลับ
“ไอศศิกับพี่ปราชญ์ดูเข้ากันดีเนาะ” เหนือพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าศศิกับพี่ปราชญ์ที่เดินนำต่างคุยกันไม่หยุด แลดูสนิทกันมานานนม
“มันก็เข้ากับคนอื่นง่ายมาแต่ไหนแต่ไรแล้วหนิ ไอศศิน่ะ” ต้นสนพูดตอบ
“แต่สามคุณชายนี่หน้าตาดีกันทั้งบ้านเลยว่ะ” โทนว่าอย่างนึกอิจฉา
“แบบนี้เรียกสาวใต้ได้เยอะแน่เลยว่ะ” เหนือกระยิ้มกระย่อง โทนก็เห็นด้วยอย่างทันที
ต้นสนถึงกับถอนหายใจ “พวกมึงก็คิดแต่เรื่องแบบนี้”
“ปัดโธ่ ให้กูคลายเครียดบ้างเถ๊อะ งานจะถมกูตายอยู่แล้ว” เหนือบ่น
“เออมึงก็ไปผ่อนคลายกับพวกกูด้วยดิ” โทนยกแขนสะกิด
“ไม่เอา”
“โธ่ ไรวะ”
“มีสาวในใจอยู่แล้วหรือเปล่าครับคุณผู้หมวดชลัน” ได้ทีเหนือก็อดชี้หน้าล้อไม่ได้
“เสือก”
“ไอห่านี่”
หนุ่ม ๆ ทั้งเจ็ดคนเดินเข้าร้านอาหารไปก็มีแต่คนมอง บ้างก็กระซิบกระซาบ แต่ทุกคนล้วนชื่นชมทั้งนั้น
“ดีจริงที่กูมาอยู่ตรงนี้ด้วย” เหนือเท้าเอวหัวเราะ
ชลันไม่ได้สนใจเพื่อนอย่างไอเหนือแล้วไปนั่งข้างศศิแทน ส่วนทั้งสามคุณชายก็นั่งอยู่ตรงข้าม ทุกคนสั่งอาหารที่ตัวเองชอบคนละไม่กี่อย่าง นอกนั้นก็เป็นศศิที่แนะนำให้ สั่งได้ไม่นานอาหารก็มาวางเกือบหมด
“พี่ปราชญ์ พี่กรณ์ผมแนะนำจอแหร้ง นี่คืออาหารพื้นเมืองของพังงาเลยนะครับ” ศศิเขยิบถ้วยไปใกล้ทั้งสามคุณชาย น้ำกะทิสีอ่อนมีเนื้อกุ้งตัวใหญ่หลายตัว กลิ่นหอมโชยเข้าจมูก
“น่าทานมากเลย” ชายกรณ์ยิ้มก่อนจะตักขึ้นมาชิมแล้วก็อร่อยไม่ต่างจากที่คิดเลย
ศศิยิ้มอย่างดีใจที่ทั้งสามคนดูชอบอาหารใต้ บางอย่างก็เผ็ดมากแต่คนที่ชอบเผ็ด ๆ น่าจะเป็นพี่ปราชญ์ที่ดูสนอกสนใจอาหารเผ็ด ๆ เป็นพิเศษ ศศิเลยโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
“แล้วบ่ายนี้ไปไหนกันดี” ชายกรณ์ถามขึ้น
“เล่นน้ำสิครับ”
“หื้อ?” ชายกรณ์ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองที่น้องชายพูดออกมา
“มาถึงทะเลแล้วก็ต้องเล่นน้ำ ส่วนเรื่องเที่ยวค่อยไปวันอื่น”
“อยากเล่นล่ะสิ” ปราชญ์หยอกล้อ
“อยากแข่งว่ายน้ำกับเหนือและต้นสนครับ พอดีเคยคุยกันว่าใครแพ้ต้องตามใจคนชนะ”
เหนือถึงกับสำลักน้ำ “สมัยไหนวะนะ”
“ยังไม่ลืมอีกเหรอวะ” ชลันขมวดคิ้ว
“ตั้งแต่ปีสองเลยใช่ไหม” ศศิถามขึ้น
“เออ ๆ ใช่ ไอธันว่ายน้ำเก่งกว่าใครไอเหนือกับไอต้นสนแม่งก็แพ้ตลอด” โทนพูดพลางหัวเราะ
“ต้นสนน่ะหรือว่ายน้ำแพ้ธัน” ชายกรณ์ถามอย่างตกใจ
“พี่กรณ์พูดเหมือนผมดูอ่อนปวกเปียกเลยนะครับ”
“ไม่ใช่... ก็พี่...” อิตธิกรณ์ถึงกับพูดไม่ออกเมื่อน้องคนเล็กพูดมาอย่างนั้น
“ถ้าให้เดาถ้าแข่งกันห้าคน พี่ว่าศศิกับโทนชนะ” ปภารัชพูดขึ้นแล้วนั่นก็ทำให้ทุกคนพยักหน้าทันที
“ใช่เลยครับพี่ปราชญ์ ผมถึงไม่ให้มันสองคนลงมาแข่งด้วยไง” เหนือว่า
“เสียดาย ถ้าแข่งอีกรอบกูน่าจะสั่งให้มึงเลี้ยงข้าวกูสักสามเดือน” โทนส่ายหน้า คำตอบที่ได้รับจากปากเหนือแบบไม่มีเสียงคือพ่อมึง...
“ว่าแต่ทำไมศศิมาประจำที่นี่ล่ะ” ปภารัชถามขึ้น
“ที่จริงบ้านนี้เป็นบ้านเก่าของพ่อผมน่ะครับ ก็เลยมาที่นี่เพราะจะได้ไม่ต้องเสียค่าพักเพิ่มอีก” ศศิว่าอย่างคนประหยัด
“ที่จริงพี่ก็อยากมีบ้านสักหลังอยู่ใกล้ทะเลนะ กำลังวางแผนในอนาคตอยู่เหมือนกันว่าอาจจะย้ายมาอยู่ทางใต้” ปราชญ์พูดเพียงเท่านั้นน้องทั้งสามคนถึงกับตกใจ
“ทำไมล่ะครับ” ชายกรณ์ท้วงขึ้นส่วนชายธันทำหน้าหงุดหงิดไปเสียแล้ว ส่วนอีกคนที่ไม่คิดว่าจะสนใจนั้นกำลังดูตกใจไม่แพ้กัน
“ใจเย็น แค่คิดไว้น่ะไม่รู้จะได้ซื้อที่ไหม”
“เพราะอะไรหรือครับถึงคิดจะย้าย” ชายกรณ์ถาม
“อากาศมันดีน่ะ พี่ชอบกลิ่นไอเกลือด้วย”
“ไม่ใช่เพราะใครหรอกนะครับ” ชายธันพูดเสียงเรียบแล้วมองหน้าเพื่อน ต้นสนเห็นอย่างนั้นก็หันหนี ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาอีก
“คิดอะไรน่ะ พอเลย... อาจจะซื้อไว้เวลามาเที่ยวใต้ก็ได้” ปราชญ์รีบปรามน้อง ๆ
“บ้านนี้เขาติดพี่ชายกันจังเลยนะครับ” โทนว่าพลางหัวเราะเล็กน้อย
“ติดมาตั้งแต่เด็กแล้ว” ปภารัชว่าทุกคนจึงหัวเราะออกมา ชายกรณ์รีบแก้ตัวทันที ส่วนอีกสองคนได้แต่นั่งเงียบ
ศศิกะพริบตาปริบ ๆ ไม่รู้ว่าใครสังเกตเห็นอีกไหมแต่เขาสังเกตเพื่อนสองคนนี้อยู่ว่ามีอะไรแปลก ๆ มีเรื่องอะไรกันหรือไงนะ
พอกินข้าวกันเรียบร้อยศศิก็พาเดินทัวร์ไปทั่วเพื่อจะได้ย่อยกันก่อนจะไปเล่นน้ำ แวะนู่นแวะนี่กันเพลินทีเดียวเชียว
“พวกมึงทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า” หลังจากมาเดินดูของกันศศิก็เอ่ยถามเพื่อนทั้งสองคนอย่างต้นสนกับธันที่เดินอยู่ด้วยกัน
“เปล่าหนิ” ธันเอ่ยตอบแทน
“แน่หรือ”
“ไม่ได้ทะเลาะกันจริง ๆ” ต้นสนว่า
“เออ ๆ เชื่อก็เชื่อ แต่มึงนี่ก็ติดพี่ปราชญ์เหมือนกันนะ ตอนเขาบอกจะย้ายมาใต้มึงก็ตกใจไปกับเขาด้วย ฮ่า ๆ” ศศิหัวเราะชอบใจก่อนจะเดินไปหาคุณชายทั้งสองโดยไม่รู้เลยว่าทิ้งระเบิดไว้กับเพื่อนตัวเอง
ชลันสบถเสียงเบา ผันไปมองเพื่อนข้างกายที่มองอยู่ก่อนแล้วจึงเลิกคิ้วถาม “อะไร”
“นายคิดยังไงกับพี่ปราชญ์”
คนถูกถามเบิกตาเล็กน้อย ใจเต้นระรัว “ถามอะไรวะ”
“ตกใจอะไร ดูแปลก ๆ นะถามแค่นี้เอง”
“นายน่ะถามฉันแปลก ๆ”
“แปลกยังไง นายคิดไปไหนไกลอย่างนั้นหรือ ก็แค่ถามเรื่องที่พี่ปราชญ์บอกจะย้ายมาทะเล นายคิดยังไง”
คนร้อนตัวไปก่อนไข้ถึงกับหน้าหมอง “ไม่รู้”
“เกี่ยวกับนายด้วยหรือเปล่านะ” ธันทำเป็นคิด
แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้ต้นสนเงียบไปเหมือนกัน
“เรามาตกลงอะไรกันดีไหม”
ต้นสนขมวดคิ้วเมื่อเพื่อนพูดอย่างนั้น “อะไร”
“วันนี้ถ้านายแข่งว่ายน้ำชนะ ฉันจะบอกเรื่องเกี่ยวกับคนรักของพี่ปราชญ์ให้ฟัง”
คำเสนอนั้นทำต้นสนเบิกตา “หมายความว่าไง คนรักของพี่ปราชญ์ทำไมอย่างนั้นหรือ”
“ถ้านายชนะฉันจะบอก” ธันยิ้มบาง แม้ต่อให้ชนะหรือแพ้เขาก็บอกอยู่ดี ก็แค่อยากรู้ว่าเพื่อนเขาจะมีท่าทียังไงก็เท่านั้น
“ได้”
“อืม ตามนั้น”
“อ้อ” ธันรีบหันกลับ “แต่ถ้าฉันชนะ นายต้องบอกความจริงกับฉัน”
“ความจริงหรือ? ความจริงอะไร”
“รอฉันถามแล้วกัน” พูดเพียงเท่านั้นชายธันก็เดินออกไปร่วมวงกับพวกเหนือและโทนที่กำลังดูพวกของเครื่องใช้ที่คนละแวกนี้ทำกับมือ
ปล่อยให้ต้นสนยืนคิดอยู่คนเดียว
เฝ้าคำนึง
“พร้อมยัง ๆ!” โทนตะโกนบอกเพื่อนทั้งสามคนที่กำลังวอร์มร่างกาย โดยมีเหนือกับธันที่อยู่ซ้ายขวา ต้นสนอยู่ตรงกลาง ห่างจากฝั่งอยู่ประมาณแปดสิบเมตรได้ ตรงนั้นมีแพลอยน้ำที่ชาวบ้านทำเอาไว้ละเล่นกัน ให้ว่ายแข่งประมาณหกสิบเมตร มีไม้ยาวปักไว้ให้ก่อนถึงฝั่ง
“อย่าลืมนะ” ต้นสนกระซิบธันที่อยู่ฝั่งซ้ายตนเอง
“ไม่ลืมหรอก”
“หนึ่ง! สอง! เริ่ม!!” สิ้นเสียงของโทน ทั้งสามคนก็กระโดดลงน้ำอย่างทันที ชายธันว่ายตีขึ้นมาห่างเล็กน้อยตามด้วยต้นสนและเหนือ
ปภารัชที่นั่งอยู่กับศศิและชายกรณ์ต่างตะโกนเรียกชื่อ มุมปากบางคลี่ยิ้มอย่างสนุกสนาน แม้ใจจะเชียร์ทั้งสามคน แต่ดวงตากลับจดจ้องแต่เพียงต้นสนที่ดูจริงจังเอามาก ๆ กับการแข่งครั้งนี้
“เฮ้ย ๆ ไอต้นสนมันนำแล้วโว้ย” โทนตะโกนเสียงดัง
ต้นสนขึ้นนำได้ไม่เท่าไรก็ต้องตีคู่มากับชายธันที่ว่ายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เหนืออยู่ไม่ห่างมากแต่ก็พอจะรู้ชะตาเลยหยุดตรงนั้นแล้วโวยวายอยู่คนเดียว
“ไอเหนือ! มึงยอมเร็วไปแล้ว!” โทนหัวเราะชอบใจ
“แม่ง! เหนื่อยฉิบหาย!” ไม่ว่าเปล่ายังนอนตัวหงายลอยอยู่ในทะเล
โทนได้แต่ส่ายหัวแล้วรีบดูว่าใครจะมาถึงไม้ยาวที่ปักไว้ก่อน ทั้งคู่ผลัดกันนำผลัดกันตามก่อนจะเป็นชายธันที่ว่ายเข้าไปแตะไม้ได้ก่อน
“โธ่เว้ย!” ต้นสนกำหมัดชกกับผิวน้ำจนกระเพื่อมดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด และนั่นก็ทำให้ชายธันได้แต่ถอนหายใจอย่างระอา
“ใจเย็น ๆ แค่แข่งเล่น ๆ” โทนรีบปลอบเพื่อน
ศศิวิ่งเอาผ้าไปให้เหนือที่กำลังลอยกลับมาตามคลื่น ก่อนจะถูกเพื่อนดึงลงไปจนหน้าคะมำโทนเลยเข้าไปร่วมวงด้วย ส่วนชายกรณ์ก็ยื่นผ้าให้น้องชายที่เดินกลับมาที่โต๊ะนั่ง ปภารัชหันซ้ายหันขวาก่อนจะหยิบผ้าอีกผืนลุกออกไปให้ใครบางคนที่ดูจะหงุดหงิดเสียเต็มประดา
“ผ้าครับ”
ต้นสนหันมอง ความหงุดหงิดเริ่มบรรเทา แต่ก็ยังเจ็บใจที่ไม่ชนะ “ขอบคุณครับ”
ร่างกายที่ปกปิดด้วยเพียงกางเกงสามส่วนธรรมดาจึงเผยกล้ามเนื้อที่พอดีกับตัว น้ำเกาะตามบ่าตามแขนล่ำ ทุกครั้งที่ยกแขนเช็ดหน้าเส้นเลือดนั้นจะเด่นอยู่ในสายตา ผมสีเข้มที่เปียกลู่ถูกขยี้จนฟูฟ่อง
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ใบหน้าที่แสนจะดุนั้นกำลังหลับตาพริ้ม มือหนาขยี้เส้นผมจนปราชญ์อยากจะจับแขนปราม ทว่า เพียงดวงตาสีนิลเปิดขึ้น คนที่เอาแต่มองเลยจำใจถอยห่าง เม็ดน้ำไหลร่วงจากผมผ่านเปลือกตา ทำคนมองหายใจติดขัดเล็กน้อย
“คือพี่...” แต่ก่อนที่จะพูดอะไรกันมากกว่านี้ชายธันที่มองอยู่นานรีบเดินเข้ามาหา
“ไปคุยกับฉันเลยแล้วกัน คนแพ้ต้องทำตาม”
“เออ” ต้นสนตอบรับแล้วเดินออกไปก่อน
“นี่ ไปคุยอะไรกันจนทำให้ต้นสนต้องจริงจังขนาดนั้นน่ะ หื้อ”
ชายธันถอนหายใจ “พี่ชายใหญ่เป็นห่วงต้นสนมากไปหรือเปล่าครับ”
“พี่แค่—”
“เอาเป็นว่าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงหรอกครับ ไว้ใจได้”
ปภารัชก็อยากจะพูดว่าเพราะเป็นชายธันน่ะสิถึงไว้ใจไม่ได้...
เมื่อธันเดินออกมาพ้นสายตาคนอื่นแล้วต้นสนก็ถามทันที “มีอะไรจะถามก็ว่ามา”
“หงุดหงิดอะไรขนาดนั้น อยากรู้เรื่องคนรักพี่ปราชญ์มากเลยหรือไง”
ชลันพรูลมหายใจ “ช่างมันเถอะ นายอยากถามอะไรก็ว่ามา”
ธันไม่มากความอะไรจึงเอ่ยถามตามจริงที่อยากถาม “นายคิดยังไงกับพี่ปราชญ์”
“ฉันบอกแล้วว่าไม่รู้ ถ้าเกิดว่าเขาจะย้ายมาฉันก็คงห้ามไม่ได้—“
“ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น” ชายธันคิ้วมุ่น ใบหน้านั้นจริงจังอย่างเห็นได้ชัด “นายชอบพี่ปราชญ์หรือ”
คนถูกถามถึงกับนิ่งไปทันตา “ชอบอะไร ทำไมถามอย่างนั้น”
“ต้นสน” ธันเรียกเสียงเรียบ “ตอบให้ตรงคำถามด้วย ฉันว่านายน่าจะเข้าใจในสิ่งที่ฉันจะถามนะ”
ชลันกัดฟันกรอด มือหนากำหมัดแน่นจนปวดไปหมด รู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์นี้จนปากแทบไม่ขยับ
“ไม่บอกไม่เป็นไรนะ แต่ฉันจะบอกว่าเมื่อหลายวันก่อนฉันไปได้ยินนายคุยโทรศัพท์กับลุงสิงห์และลุงไฟ” ชายธันถอนหายใจ “ฉันไม่ได้จะแอบฟังหรอกนะ แต่พอดีได้ยินอะไรที่ไม่ควรได้ยินเข้าน่ะ”
“ฉัน...” ต้นสนยกมือกุมขมับ ใบหน้าถอดสี ก่อนจะนั่งลงยอง ๆ พร้อมกับไหล่ที่สั่นกระเพื่อมจนคนมองถึงกับตกใจ
“ต้นสน...”
“ขอโทษ..” น้ำเสียงนั้นทั้งสั่นแลดูเจ็บปวด
“จะขอโทษทำไม”
“ขอโทษ... ขอโทษที่ฉันคิดไม่ซื่อกับพี่ชายนาย ทั้ง ๆ ที่นายเป็นเพื่อนฉันแท้ ๆ แล้วก็ที่ฉันทำนิสัยแย่ ๆ ใส่พี่ปราชญ์ไป มันเพราะความไร้เหตุผลของตัวฉันเอง ขอร้องนะธันอย่าบอกพี่ปราชญ์เลยนะ” ดวงตาของต้นสนเริ่มแดงก่ำ นี่คงเป็นอีกครั้งในรอบหลายปีที่เขาร้องไห้อย่างหนักมาต่อเนื่อง ครั้งสมัยเด็กก็เพราะเรื่องพี่ปราชญ์ ตอนนี้ก็เรื่องพี่ปราชญ์อีกแล้ว
“นายไม่จำเป็นต้องขอโทษฉัน คนที่ควรขอโทษคือพี่ปราชญ์” ธันเอ่ยเสียงเบาเมื่อเห็นเพื่อนไม่พูดอะไรจึงตบหลังเป็นการปลอบ “ฉันเข้าใจนายแล้วต้นสนว่าทำไมนายถึงเป็นอย่างนี้ ฉันไม่ได้โกรธไม่ได้เกลียดอะไรนายเลย ฉันเข้าใจมันดี...”
นอกจากเสียงสะอึกสะอื้นแล้วต้นสนก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก คงเพราะกลัวความลับที่เปิดเผยมานี้ กลัวว่าเพื่อนจะมองหน้ากันไม่ติดเพราะเขาดันไปชอบพี่ชายตนเองและกลัวว่าหากธันเอาไปบอกพี่ปราชญ์ มันจะยิ่งหนักเข้าไปอีก
ทั้งคู่นั่งกันอยู่ตรงนี้นานจนฟ้าเริ่มมืด ต้นสนหยุดร้องไปแล้วแต่ตายังคงแดง อีกคนที่นั่งข้างกายนั้นมองออกไปทางทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตา ท้องฟ้าเป็นสีส้ม เสียงคลื่น เสียงลมลอยเข้าหูอยู่ตลอด
“นายทำให้ฉันไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นเลย” ธันเอ่ยขึ้น ว่าจะให้บทเรียนกลับสงสารขึ้นมาเสียอย่างนั้น อย่างน้อยคนข้าง ๆ นี่ก็เพื่อนล่ะนะ เพื่อนที่ยอมรับในตัวเขา เพื่อนที่เปิดใจให้ เพื่อนที่คอยเตือนสติแม้ว่าเขาจะทำนิสัยแย่ใส่มาโดยตลอด ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคนที่ทำให้เขามาอยู่จุดนี้ได้ก็คือต้นสน
“เรื่องอะไร” ชลันถามแม้ตาจะมองแต่ทะเลด้านหน้า “เรื่องคนรักของพี่ปราชญ์เหรอ... ไม่ต้องก็ได้นะ ถึงอยากจะรู้แต่ถ้านายพูดขึ้นมาฉันก็คงทนรับฟังไม่ได้อยู่ดี”
“เฮ้อ” กลายเป็นฝ่ายธันที่พูดอะไรไม่ออกบ้าง
“วันนี้ฉันจะคุยกับพี่ปราชญ์ ฉันจะโกหกว่าสิ่งที่ฉันเป็นนั้นเพราะน้อยใจว่าทำไมพี่ปราชญ์จำฉันไม่ได้ก็เท่านั้น ฉันจะกลับไปเป็นน้องชายที่ขี้เล่น เป็นน้องชายที่ไม่ได้คิดอะไรกับพี่ปราชญ์ กลับไปเป็นต้นสนคนเดิมที่เป็นเพียงแค่น้องชายเท่านั้น” เสียงของต้นสนแหบไปบ้างเพราะผ่านการร้องไห้มา ถึงอย่างนั้นก็ดูเจ็บปวดเป็นอย่างมากในเวลาที่เอื้อนเอ่ยในแต่ละคำออกมา
ชายธันมองสีหน้าด้านข้างของเพื่อน เห็นน้ำสีใสไหลลงมาทั้ง ๆ ที่ใบหน้านั้นเหม่อลอยเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองน้ำตาไหลอยู่
“ขอโทษนะที่ไปย้ำเตือนบาดแผลในใจของนาย”
“ไม่เป็นไร มันก็ดีแล้วเพราะอย่างน้อยฉันก็ดีใจที่นายไม่ได้เกลียดฉัน”
ธันถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ของวัน หันมองไปทางท้องทะเล “ต้นสน”
“ว่า”
“ที่จริงแล้ว...” เหมือนมีอะไรมาจุกในลำคอ ได้แต่คิดว่าถ้าเกิดพูดออกไปแล้ว ต้นสนจะรู้สึกผิดมากกว่าเดิมหรือเปล่า
ชลันหันมองเพื่อนเมื่อเห็นสีหน้าหนักใจเลยตบเข่าเบา ๆ “บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร ถ้าจะพูดเรื่องคุณภวัตนั่นก็... ไม่ต้องพูดหรอก สองคนนี้คงรักกันมากสินะ หรือที่พี่ปราชญ์บอกจะย้ายมาทะเลเพราะจะมากับคุณภวัตหรือเปล่า” ปากยิ้มทว่าดวงตาคลอด้วยน้ำ
ยิ้มทั้งน้ำตาเป็นอย่างไรก็เพิ่งจะรู้วันนี้
“ฟังฉันนะ” ธันมองเพื่อนอย่างจริงจังก่อนจะยกมือขึ้นจับบ่า “พี่ปราชญ์น่ะ...”
“เลิกกับคุณภวัตแล้ว”
จบบทที่ ๑๓
----------------------------------------------------------------------
ขอโทษนะคะที่ไม่ได้อัพนานเลยเพราะติดขัดอะไรหลายอย่าง
ถ้าใครสงสัยเรื่องรูปที่พี่ปราชญ์ถ่ายกับต้นสนในวัยแบเบาะว่ามีตอนไหน
ตอนนั้นเป็นตอนพิเศษของเรื่องพ่ายโลกันตร์นะคะ บอกไว้สำหรับใครที่ไม่ได้อ่านเรื่องนั้นมาก่อน
ยังไงก็อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนน้าาา ❤