[ 23 ]
“มันตายแล้ว”
“...”
“ผู้ช่วยพอแล้ว มันตายแล้ว”
“...”
“มันตายแล้วครับ”
ชายหนุ่มหลับตานิ่งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา บ่ากว้างที่เคยตั้งตรงด้วยท่าทางองอาจพร้อมเป็นที่พึ่งให้ใครต่อใครบัดนี้กลับลู่ลงเหนื่อยล้าไร้เรี่ยวแรง
เพลิงไม่เคยเป็นที่พึ่งให้ใครได้!
เขาคิดอย่างนั้นเพราะคิดว่าตัวเองเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่มีเพียงศรัทธาต่อผืนป่า รวมถึงภาระและหน้าที่อันหนักหนาซึ่งแบกเอาไว้ที่บ่ากว้างทั้งสอง เขาทำเพราะมันคือหน้าที่ที่ต้องกระทำ แต่วันนี้เพลิงกลับรู้สึกหมดเรี่ยวแรง ทุกอย่างรอบกายคล้ายกับว่ามันนิ่งสนิท ประสาทการรับรู้เหมือนจะหยุดทำงาน
มันชาไปหมด“มันตายแล้ว”
ใช่ มันตายแล้ว
เพลิงจำได้ไม่ลืมว่า เขารับรู้คำบอกเล่าของเกิ้งด้วยหัวใจเจ็บชาแค่ไหน เขาจำได้ว่าตัวเองยืนจ้องพ่อเฒ่าในสภาพดวงตาเบิกโพรงเพราะถูกกระสุนจากปลายกระบอกปืนของเพลิงที่รัวยิงใส่จนหมด
มันตายสนิท
เพลิงหลับตานิ่งก่อนจะรู้สึกว่าลำคอตัวเองตีบร้อนขึ้นมา ดวงตาทั้งสองข้างร้อนผ่าว ชายหนุ่มกำหมัดแน่น ในอกเขามันเจ็บจนชา
ความตายของมันแลกกับชีวิตคนของเขา เป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่คุ้มค่า
หนึ่งชีวิตของผู้พิทักษ์ป่ากับหนึ่งชีวิตของผู้ทำลายเพลิงรู้สึกเหมือนกำลังกลืนหนามลงคอ ความรู้สึกสากระคายคอทุกครั้งที่กลืนน้ำลายเหนียวๆ บ่งบอกว่าในอกเขากำลังเจ็บปวด ชายหนุ่มมองไปรอบกาย ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเข้ามาเคลียร์พื้นที่หลังจากยึดจับกุมการขนไม้ล็อตใหญ่ได้ที่ชายป่า ก่อนจะส่งกำลังเสริมมาช่วยเหลือกลุ่มเจ้าหน้าที่และจับกุมผู้กระทำผิดได้
ร่างสูงยืนนิ่งก้มมองกองเลือดตรงโคนต้นไม้ เลือดที่แลกด้วยชีวิตเพื่อปกป้องผืนป่า เพลิงนิ่งมองมันอยู่อย่างนั้น ในหัวเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย
“ผู้ช่วย”
“...”
“ปะ..”
เพลิงยกมือห้ามไม่ให้คนอื่นพูดต่อ เขาเหลือบตามองหน้าเจ้าหน้าที่แต่ละคนที่มีสีหน้าแบบเดียวกัน พลเบือนหน้าหนีก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตา เกิ้งก้มหน้ากำหมัดนิ่ง เต็งร้องไห้อย่างไม่อาจกลั้นเสียงเอาไว้ได้ และคนอื่นๆ ต่างพากันเงียบทั้งที่ดวงตาแดงก่ำ
เพลิงรู้และเข้าใจดีทุกอย่าง
ความรู้สึกที่เจ็บจนจุกในอกร้องไห้ไม่ออกมันเป็นยังไง
เขารู้แล้ว
“ผู้ช่วย”
“ผมจะพาเปลวกลับบ้าน”
ทุกย่างก้าวที่เหยียบย่างไปกับพื้นดินเต็มไปด้วยความยากลำบาก ไม่ใช่ยากเพราะความทุรกันดารแต่ยากเพราะเขาต้องทำอย่างไรให้ก้าวย่างนั้นมั่นคง ทั้งที่ก้าวขาแทบไม่ออก แต่เพลิงยังต้องแข็งใจ เขาเดินอย่างเชื่องช้าไปใกล้เด็กหนุ่มที่นอนหลับตานิ่งอยู่ใต้โคนต้นไม้ใหญ่
เพลิงทรุดตัวนั่งคุกเข่า มือหนาเลื่อนไปจับกุมมือของเด็กหนุ่มขึ้นมา ดวงตาปิดสนิท เนื้อตัวยังอุ่นๆ ทุกอย่างเป็นปกติ ยกเว้นเพียงแต่สัมผัสไม่ได้ถึงลมหายใจของเด็กหนุ่มแล้ว
“เปลว”
“...”
“กลับบ้านกับพี่นะ”
เจ้าหน้าที่คนอื่นเบือนหน้าหนี
“เรากลับบ้านกัน”
เสียงเพลิงสั่นไหว มือหนาลูบศีรษะเด็กหนุ่มเบาๆ ก่อนจะค่อยประคองร่างไร้วิญญาณนั้นขึ้นพาดบ่าตัวเอง คนในชุดลายพรางค่อยขยับก้าวย่างอย่างช้าๆ มือข้างหนึ่งประคองเอวเด็กหนุ่มเอาไว้ เขาทำทุกอย่างอย่างระมัดระวัง ไม่สนใจว่าร่างกายจะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด
“ผู้ช่วยพอแล้ว มันตายแล้ว”เพลิงกัดฟันแน่น เมื่อนึกถึงกระสุนที่แหวกอากาศจากปลายกระบอกปืนของพ่อเฒ่ามาปะทะร่างของเปลว เด็กหนุ่มที่ผวาขยับมาบังร่างเขาเอาไว้ ภาพที่เด็กหนุ่มค่อยๆ ทรุดลงทำให้เพลิงไร้สติจนยกปืนรัวใส่อีกฝ่ายจนตายสนิท
‘เปลว’
‘อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิพี่เพลิง’
‘อดทนไว้ ขอร้อง พี่ขอร้องเปลวอดทนนะ พี่จะพาเราไปหาหมอ’
‘ผมไม่ไหวหรอกพี่’
‘ไหวสิ เปลวต้องไหวนะเชื่อพี่’
‘พี่เคยบอกพวกผมว่า หากจวนตัวแล้วเสื้อผ้าที่สวมใส่จะติดกายไปอย่างภาคภูมิ’
‘...’
‘ผมภูมิใจนะพี่’เพลิงกระชับร่างของเด็กหนุ่มให้แน่นขึ้น ภาพที่เพลิงเดินแบกร่างไร้วิญญาณของเด็กหนุ่มในชุดลายพรางที่โชกไปด้วยสีแดงฉาน กลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทุกหย่อมหญ้า
ภาพนั้นให้ความรู้สึกสลดหดหู่และหนาวจับใจเจ็บปวด...อ้างว้าง...ทรมาน
ไม่รู้เลยว่าตอนนี้รู้สึกแบบไหนมากกว่ากัน แต่ที่รู้แน่ๆ คือความรู้สึกเหล่านั้นกำลังเกาะกินหัวใจของผู้ชายในชุดลายพรางที่เดินแบกร่างไร้วิญญาณไปอย่างเชื่องช้า
ไม่มีรู้ใครว่าเพลิงปล่อยน้ำตาให้ไหลเอื่อยๆ ออกมาโดยไม่คิดที่จะเช็ด
☘☘☘☘
รเณศเงยหน้ามองท้องฟ้าสีหม่นในวันนี้ เสียงรอบกายเงียบสงัด สายลมที่พัดมาผะแผ่วต้องกายให้รู้สึกหนาวสะท้าน แม้จะเป็นช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ แล้วก็ตาม แม้ยินเสียงฝีเท้าของผู้คนมากมายจะเดินวนเวียนอยู่รอบกาย แต่ในใจเขาเงียบงัน มองไปทางไหนเขาพบเห็นแต่ความเศร้าหมอง
เศร้าหมองเพราะ
‘สูญเสีย’คนเมืองหลับตานิ่งปล่อยให้น้ำตาไหลรินตอนที่ก้มมองเด็กน้อยที่หลับตาพริ้มในอ้อมกอด แก้มใสกินอิ่มแล้วก็นอนหลับตามปกติ แวบหนึ่งเขานึกอิจฉาเด็กน้อย เพราะตอนเป็นเด็กเจ็บมากที่สุดก็แค่ร้องไห้โยเยแล้วใครต่อใครก็วิ่งมาปลอบพร้อมกับชี้ชวนให้เบี่ยงเบนความสนใจ แล้วไม่นานก็ลืมเลือนความเจ็บปวดนั้นไปได้ แต่เมื่อโตขึ้น เขาถึงได้รู้ว่าความเจ็บปวดของผู้ใหญ่มันเจ็บนานและทรมานอย่างที่สุด
เพราะเป็นผู้ใหญ่เราถึงเจ็บเจียนตาย
เพราะเป็นผู้ใหญ่ถึงได้หายเจ็บช้า
เพราะเป็นผู้ใหญ่ความเจ็บปวดนั้นจึงฝังแน่นอยู่ในหัวใจยากจะลืมเลือน
เภสัชกรหนุ่มเลื่อนปลายนิ้วเกลี่ยแก้มขาวของเด็กน้อยเบาๆ สัมผัสนุ่มนวลนั่นพาให้เนื้อตัวเขาสั่นเทา
“หลับฝันดีเหรอลูก”
แก้มใสนอนหลับตาพริ้มยิ้มหวานเหมือนหลุดล่อยไปในห้วงฝันอันสวยงาม
“เด็กดี”
“...”
“อยากให้หนูหลับฝันดีอย่างนี้ตลอดไป ไม่อยากให้หนูตื่นมาโลกแห่งความเป็นจริงเลย”
“...”
“ความจริงมันโหดร้าย”
รเณศกลั้นเสียงสะอื้น
“ความจริงมันน่ากลัวสำหรับหนูเหลือเกินแก้มใส”
“...”
“มันมืดมาก มันน่ากลัวที่สุด แต่หนูไม่ต้องกลัวนะลูก” รเณศกดจูบที่แก้มขาว “พ่อจะปกป้องหนูเอง พ่อสัญญานะลูก”
‘
ถ้าวันหนึ่งผมไม่อยู่แล้ว พี่คงดูแลแก้มใสได้สบายเลย’รเณศปิดปากร้องไห้จนตัวสั่น
☘☘☘☘
กลุ่มพยาบาลวิชาชีพซึ่งยืนจับกลุ่มคุยกันสี่ห้าคนตรงหน้าวอร์ดทันตกรรมนั่นเรียกให้ใบหน้าคมคายมุ่นหัวคิ้ว ชายหนุ่มในชุดกาวน์เดินล้วงกระเป๋ามาหยุดอยู่หลังกลุ่มพยาบาลกลุ่มนั้น ก่อนจะมองตามสายตาของสาวๆ ซึ่งกำลังยืนวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่ปรากฏในจอโทรทัศน์ สีหน้าแต่ละคนดูไม่ดีเท่าไหร่จนเขานึกแปลกใจ
“มีอะไรกันหรือครับ”
เตวิชถามขึ้น
“กำลังดูข่าวกันอยู่ค่ะ”
ใครคนหนึ่งเอ่ยตอบเขา
“ข่าวอะไรงั้นหรือครับ”
“เจ้าหน้าที่ป่าไม้ถูกยิงเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่จับกุมพวกขนไม้เถื่อนค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะละความสนใจไป
“น่าสงสารนะ ข่าวว่าลูกยังเล็ก”
พยาบาลสาวหันไปคุยกันเอง
“สงสารผู้พิทักษ์ป่าจัง งานทั้งหนักทั้งเสี่ยง ดูสิมาเสียชีวิตแบบนี้แล้วจะมีอะไรตอบแทนครอบครัวพวกเขาบ้าง”
เตวิชฟังผ่านๆ และคงจะเตรียมผละออกไปในไม่ช้า หากเขาไม่บังเอิญเหลือบไปที่หน้าจอโทรทัศน์นั่นอีกครั้งแล้วเห็นร่างโปร่งบางคุ้นตาที่แทบจะพลิกแผ่นดินตามหากำลังเดินผ่านหลังผู้สื่อข่าวที่กำลังรายงานข่าวอยู่ตอนนี้
“เนตร”
เตวิชตาเป็นประกาย
.
.
“ป้าครับ”
รเณศขยับปลายเท้าเข้าไปประคองผู้สูงวัยทั้งสองซึ่งใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา โดยเฉพาะป้าสมัยที่ร้องไห้จนเป็นลมไปแล้วก่อนหน้านี้ ป้าอนงค์จึงนั่งกุมมือป้าสมัยอยู่อย่างนั้น สายตาที่เริ่มฝ้าฟางของป้าสมัยเหม่อมองไปไกลอย่างไร้จุดหมาย ดวงตาแดงก่ำคู่นั้นสะท้อนใจคนมองจนนึกเวทนา
คนเมืองถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ ศาลาวัด แต่มองหาเท่าไหร่ก็ยังไร้วี่แววของคนตัวโต เขาเห็นแต่เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีกำลังช่วยกันจัดเตรียมงานให้เปลวเป็นครั้งสุดท้าย
“ป้อ”
รเณศทำหน้าตื่นตอนที่เห็นเด็กน้อยคลานเข้าไปยังร่างกายของเด็กหนุ่มที่นอนนิ่งไม่ไหวติง เนื้อตัวสะอาดสะอ้านเพราะเจ้าหน้าที่ช่วยกันอาบน้ำแต่งตัวใหม่ให้ เปลวในชุดลายพรางนอนหลับตานิ่งอยู่ตรงนั้นเพื่อให้ญาติสนิทและพี่น้องร่วมวิชาชีพรดน้ำ
“ป้อ”
“...”
เสียงน้อยๆ เอ่ยเรียกพร้อมกับเขย่าตัวบิดาผู้หลับใหล ภาพนั้นทำให้ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นพากันเบือนหน้าหนีไปทางอื่น แก้มใสยิ้มหวานจ๋อยก่อนจะเอียงใบหน้าซบไปที่ตัวของเปลวแล้วนอนทับร่างนั้นก่อนจะขยับตัวยุกยิกไปมา
“ป้อ”
“พ่อหลับแล้วลูก”
รเณศเสียงสั่นตอนที่ขยับไปใกล้เด็กน้อยก่อนจะค่อยรั้งร่างน้อยๆ มาแนบอก แก้มใสทำหน้าไม่เข้าใจเด็กน้อยขืนตัวออกจากอ้อมแขนของเขาแล้วยื่นมือทั้งสองข้างออกไปหมายจะไขว่คว้าร่างของบิดา
“ป้อ”
“พ่อเปลวของหนูหลับแล้วแก้มใส”
รเณศสะอื้นเสียงสั่น
“พ่อเขาหลับแล้ว”
หลับใหลไปชั่วนิรันดร
“คนดี”
รเณศกดจูบที่หน้าผากเด็กน้อย
“ให้พ่อเขาพักผ่อนนะครับ”
“แอ๊ะ แอ๊ะ”
แก้มใสชี้มือไปยังบิดาอีกครั้ง
“แก้มใสครับ”
“...”
“หนูจำเอาไว้นะลูก ถึงแม้ดวงตาพ่อจะปิดสนิท ร่างกายพ่อจะขยับไม่ได้ หรือแม้กระทั่งลมหายใจจะสิ้นสุด แต่ความรักของพ่อยังคงอยู่ในตัวหนู”
“...”
“พ่อเขารักหนูมากที่สุดในโลก”
“อื้อ”
แก้มใสยิ้มหวานจ๋อยจนรเณศกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว ป้าอนงค์จึงขยับมารับร่างกลมป้อมนั่นไปดูแลแทน ขณะที่รเณศค่อยเดินกลับมาทรุดตัวนั่งใกล้ๆ กับคนในชุดลายพรางที่หลับใหลไปชั่วนิรันดร์
“เปลว”
“...”
“ไม่ต้องห่วงนะ พี่สัญญาว่าพี่จะดูแลแก้มใสให้ดีที่สุด ดูแลให้เหมือนลูกตัวเอง”
รเณศกุมมือซีดขาวของเปลวแล้วลูบเบาๆ
‘กลับไปนอนเถอะน่าพี่เนตร เดี๋ยวป่าไม้พวกนั้นผมจะดูแลเอง’ถ้อยคำของเด็กหนุ่มที่พูดกับเขาในวันนั้นดังขึ้นมาในหัว
เปลวทำตามที่เคยพูดเอาไว้แล้ว รเณศนิ่งมองใบหน้าเด็กหนุ่มอยู่อย่างนั้น เขามองเพื่อให้จำเด็กหนุ่มที่รักษาคำพูดนั้นจนถึงวินาทีสุดท้าย
ร่างที่นอนเหยียดยาวเหมือนคนที่นอนหลับใหล เพียงแต่มันคือการหลับใหลไปชั่วจนนิรันดร์
“หลับให้สบายนะ”
“...”
“ขอบคุณที่ดูแลป่าไม้ให้พวกเรา”.
.
แผ่นหลังของเพลิงอันดูกว้างใหญ่อยู่เสมอ แต่บัดนี้มันกลับชวนอ้างว้าง หัวไหล่ลู่ลงคล้ายคนหมดแรง เพลิงในตอนนี้เหมือนกำแพงเมืองที่แข็งแกร่งแต่โดนทำลายให้ยับเยิน กำแพงอันแข็งแกร่งกำลังค่อยๆ ปริแตกและไม่นานมันจะทลายลง เมื่อถึงตอนนั้นหัวใจของกำแพงคงจะสูญสลาย
รเณศยืนมองร่างสูงใหญ่ในชุดลายพรางที่ยืนพิงต้นไม้ใหญ่เงยหน้าเหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำ ทุกอย่างรอบกายเริ่มดำมืดคงเหมือนจิตใจของเขาในตอนนี้ คนเมืองค่อยสาวเท้าเดินไปยืนซ้อนร่างเพลิงแล้วโอบกอดชายหนุ่มจากด้านหลัง ศีรษะทุยซุกซบไปที่แผ่นกว้าง ฝ่ามือด้านหนึ่งลูบไล้หน้าอกด้านซ้ายของเพลิงเบาๆ
สัมผัสที่รู้สึกว่าหัวใจเต้นอย่างแผ่วเบานั้นบ่งบอกว่าคนตรงหน้าหวนคืนมาหาเขาอย่างปลอดภัย แต่ใครจะรู้ว่าในใจของเพลิงแหลกสลายแค่ไหน ไม่มีใครเห็นน้ำตาของเพลิง ไม่มีใครพูดถึงความอ่อนแอของเขา แต่ใครจะรู้ว่าผู้ชายที่แข็งแกร่งกำลังเจ็บเจียนตาย
รเณศเข้าใจดีว่าร้องไห้ไม่มีน้ำตามันเจ็บที่สุด เพราะความเสียใจนั้นมันยากเกินกว่าที่จะกลั่นออกมาเป็นน้ำตาได้
“เพลิง”
“...”
“เจ็บมากใช่มั้ย”
“...”
“แบ่งเบามันมาให้ผมได้มั้ย”
จบสิ้นประโยคนั้นมือข้างหนึ่งซึ่งลูบอกซ้ายของรเณศสัมผัสได้ถึงหยาดน้ำตาของคนในชุดลายพราง
เพลิงกำลังเจ็บปวด...นั่นทำให้รเณศเจ็บปวดไปด้วย
หัวใจที่เคยแข็งแกร่งดังหินผากำลังเจ็บปวดเหมือนใครกำลังบีบหัวใจเขาอยู่
“เป็นความผิดของผม”
รเณศส่ายหน้าหวือเพราะไม่เห็นด้วยกับความคิดนั้น
“ผมพาทุกคนกลับบ้านไม่ได้”
“ไม่จริงเลย”
รเณศกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้น
“คุณพาทุกคนกลับมาแล้ว”
“กลับมาแต่ร่างไร้วิญญาณอย่างนั้นเหรอ”
รเณศทำตาร่วงทันทีแวบหนึ่งเขานึกถึงบทกลอนที่เพลิงเคยเปรยให้เขาฟังก่อนหน้านี้
‘หนึ่งเปรี้ยง! ปืนลั่นสะท้านป่า
หนึ่งวูบไหวผวา ทั้งป่าลั่น
หนึ่งคืน นานยาวราวกัปกัลป์
หนึ่งฝัน ฟุบแล้วลับแนวไพร’
และอีกหนึ่งชีวิตแลกแล้วกับผืนป่าป่าไม้ที่คนกลุ่มหนึ่งใช้ทั้งชีวิตและลมหายใจเพื่อรักษา แต่กลับมีคนอีกกลุ่มที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ตักตวงเอาผลประโยชน์จากป่าอย่างไร้จิตสำนึก ซ้ำยังทำร้ายคนที่มีลมหายใจเพื่อป่าจนถึงแก่ชีวิต
ช่างน่าละอาย...ช่างน่าอัปยศอดสู
“คุณเจ็บเถอะนะ เพราะผมจะเจ็บปวดไปกับคุณเอง”
“เนตร”
“ครับ”
“ผมทรมานที่ตรงนี้”
เพลิงทุบหน้าอกตัวเองแรงๆ นัยน์ตาแดงก่ำดูเจ็บปวดจนน่าใจหาย
“เปลวตายเพราะผม”
“ไม่จริง” รเณศขยับไปเผชิญหน้าอีกฝ่าย
“เขาตายเพราะปกป้องคุณและผืนป่า ผมรู้ว่าเขาภูมิใจ คุณรู้ไว้เลยนะเพลิงว่าเพราะคุณคือฮีโร่ของเปลว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คุณคือแบบอย่างที่เขาเชิดชู”
เป็นความจริงทุกครั้งที่เอ่ยถึงเพลิง แววตาของเปลวมักเป็นประกายทุกครั้ง เด็กหนุ่มนั่นศรัทธาเพลิง รเณศทราบดี
“แก้มใสคือตัวแทนของเปลว”
“...”
“ผมสัญญากับน้องแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมจะดูแลลูกสาวของเราให้ดี”
‘ของเรา’คำนี้ทำให้เพลิงหลับตานิ่ง
‘ถ้าผมเป็นอะไรไปฝากพี่กับพี่เนตรดูแลลูกผมด้วยนะ’“สัญญา”
สัญญาไปจนถึงวันสุดท้ายที่ยังหายใจ
รเณศไปลูบบ่าทั้งสองข้างอย่างแผ่วเบาก่อนจะชะงักเมื่อเห็นรอยเลือดเปรอะเปื้อนเต็มชุดลายพราง แต่เจ้าตัวคงไม่ได้สนใจนักหรอก เพลิงทรุดตัวนั่งพิงโคนต้นไม้ก่อนจะเหม่อมองไปในความมืดอีกครั้ง
“เลือดนี่”
เพลิงกำหมัดแน่นส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่ใช่เลือดของผม”
รเณศเม้มปากก่อนจะนึกถึงบทสนทนาที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้
‘ผู้ช่วยแบกเปลวกลับมาโดยไม่ยอมให้ใครช่วยครับ ผู้ช่วยพาเปลวกลับมาบ้านตามสัญญา’“เปลวได้กลับบ้านแล้ว”
รเณศลูบบ่าเขา
‘ผมไม่เคยทิ้งใครไว้ข้างหลัง’เพลิงเป็นคนรักษาสัญญา รเณศภูมิใจที่สุดที่เลือกผู้ชายคนนี้ แม้ในตอนนี้บ่ากว้างๆ จะเกินรับไหว
ไม่เป็นไร
หัวไหล่ของรเณศจะแบกรับความรู้สึกเลวร้ายนั้นเอาไว้อีกแรงเอง เขาเอื้อมมือไปลูบไหล่หัวไหล่ด้านหนึ่งที่มีเลือดซึมออกมา สัมผัสนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนไม่นึกรังเกียจใดๆ
“คุณเป็นแผลนะ”
“ผมอยากให้มันเจ็บเยอะๆ เจ็บให้มากกว่าความทรมานในใจของผมตอนนี้”
“ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้คุณหายเจ็บเพลิง”
รเณศเสียงสั่นตอนที่แตะไปที่อกซ้าย
“แต่ผมอยู่ตรงนี้”
“...”
“สะพานแสงดาวของคุณจะส่องแสงให้คุณในความมืดมิดนี้”
รเณศกอดเพลิงให้แน่นขึ้น
“อย่ากลัวนะเพลิง เดินออกมาหาแสงสว่างเถอะ ผมยืนส่องแสงให้คุณอยู่ที่ปลายด้านหนึ่งของสะพาน เดินออกมาหาผมนะ”☘☘☘☘
ขอโทษที่ไม่ทำตามคำขอร้องของคนอ่านนะคะ ขอโทษจากใจจริงหากการดำเนินเรื่องด้วยการสูญเสียใครไปทำให้หลายคนผิดหวัง
ใช่ค่ะ มันเป็นตอนที่สะเทือนใจและหดหู่จริงๆ ขนาดที่ว่าเขียนเองก็ร้องไห้ออกมาเองอย่างง่ายดาย
แต่มันจำเป็นที่จะต้องดำเนินเรื่องไปเพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่างที่จะคลี่คลายในอีกสามตอนสุดท้าย
มันเจ็บปวด มันเศร้าใจมากๆ เรารู้ค่ะ เราเขียนเรื่องนี้โดยอิงเรื่องราวของผู้พิทักษ์ป่า
มันเป็นเรื่องจริงอันเจ็บปวดที่ฮีโร่เหล่านั้นอาจจะต้องเผชิญ ซึ่งความจริงที่ว่ามันพบได้ตามกรอบข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์กรอบเล็กๆ
เราถึงอยากเขียนเพื่อสดุดีคุณความดีของฮีโร่คนดีเหล่านั้น
เราเข้าใจว่ามันสะเทือนใจคนอ่านที่อินมากจนทนไม่ไหวถึงขนาดจะเลิกอ่านหรือเลิกติดตามเพราะทำใจไม่ได้ การสูญเสียไม่ใช่เรื่องสนุกเลย ฉะนั้นเราเคารพการตัดสินใจของคนอ่านทุกๆ คนนะคะ ขอบคุณมากๆ ที่เข้ามาติดตามและให้กำลังใจกัน เราไม่ดราม่านะคะดีใจด้วยซ้ำที่ผลงานเขียนของเราทำให้คนอ่านอินไปกับเนื้อเรื่องได้ขนาดนี้ แต่ขออนุญาตไม่แชทส่วนตัวเข้ามาแจ้งว่าจะเลิกอ่านหากมีการสูญเสียนะคะ เราเคารพพื้นที่ความคิดเห็นทุกคนค่ะ แต่บางข้อความมันค่อนข้างบั่นทอนกำลังใจเรานิดนึง (นิดเดียวเท่านั้นนะคะ แง)
เราต่างคนต่างเคารพสิทธิในการเขียนและพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็นกันน้า
ตอนนี้อ่านไม่ไหวไม่เป็นไร ไปบำรุงตับไตเยอะๆ
แล้วแวะมาอ่านมาให้กำลังใจกันใหม่นะคะ รักเหมือนเดิมแหละ เรารู้ ^^
สุดท้ายนี้คุณความดีใดๆ ที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้เราขอยกให้กับผู้พิทักษ์ป่าและผู้ที่เกี่ยวข้องในการดูแลป่าไม้และสัตว์ป่าทั้งหมด
ขอบคุณมากๆ ที่ดูแลและปกป้องป่าไม้ให้พวกเรา ❤❤❤
#ป่าห่มรัก