(ต่อค่ะ)
อาทิตย์ทัศน์เปิดประตูเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย หวังว่าจะพบตฤณกรที่นี่แต่ก็ต้องผิดหวัง ในห้องมีเพียงนายแพทย์ธนดลซึ่งเป็นทั้งสามีของพิมพ์ทองและรุ่นพี่โรงเรียนเก่ากับอีกคน...
“สวัสดีครับพี่จ้า” หนุ่มผิวสีน้ำผึ้งกล่าวกับคนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา อาทิตย์ทัศน์ค้อมศีรษะรับไมตรีจากรุ่นน้องก่อนหันไปทักทายธนดลที่กำลังรับเด็กหญิงน้อย ๆ จากผู้เป็นแม่มาไว้ในอ้อมแขน สองสามีภรรยาดูจะแปลกใจไม่น้อยที่จู่ ๆ ก็พบอดีตสองเพื่อนซี้ที่มาด้วยกัน
“พี่คิดว่าจ้ากลับไปแล้วเสียอีก เห็นพิมพ์บอกว่าออกไปได้สักพักแล้ว”
“พอดีผมแวะไปคุยกับนนท์มาน่ะครับ”
ชื่อนั้นทำเอาดนุพงษ์ต้องละสายตาจากคนพูดมองไปยังร่างสูงที่ตามเข้ามาทีหลัง ทั้งที่เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมโรงเรียนตั้งสมัยมัธยมแต่กลับไม่มีคำทักทายหลุดจากปากของผู้อ่อนอาวุโสกว่า ดีที่สุดที่เขาทำก็เพียงค้อมศีรษะให้อดีตศูนย์หน้าดาวยิงพอเป็นพิธีเท่านั้น นี่ถือเป็นเรื่องปกติที่ณัฐนนท์รับรู้มาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นสมาชิกชมรมฟุตบอล แม้จะไม่ค่อยเข้าใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมอีกฝ่ายจึงแสดงทีท่าเมินเฉยกับตนเองเช่นนั้นทั้งที่ก่อนหน้าก็ไม่ได้มีเรื่องที่ทำให้ต้องบาดหมางใจกัน แต่คนอย่างณัฐนนท์ก็หาได้ใส่ใจถามไถ่ให้รู้เหตุผลไม่ ต่างคนต่างอยู่จึงเป็นคำระบุความสัมพันธ์ที่น่าจะเหมาะที่สุดระหว่างเขาทั้งสองคน
“ผมอยากมาดูหน้าหลานผมก็เลยขอให้จ้าช่วยพามาน่ะครับ” ณัฐนนท์เอ่ยขึ้น สีหน้าเคร่งขรึมของเขาทำให้พิมพ์ทองได้แต่ยิ้มบาง กล่าวขอบคุณเป็นการตอบแทนน้ำใจ อดถามถึงอาการของ ‘นที จิระตระกูล’ ด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ และนั่นก็ยิ่งเรียกความกังวลให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของวิศวกรหนุ่มอีกครั้ง กระนั้นแล้วในห้องสี่เหลี่ยมชวนอึดอัดก็กลับชื่นมื่นเพราะเจ้าตัวแดงที่กำลังขยับเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าอยู่ในอ้อมอกของผู้เป็นพ่อ เด็กแก้มหอมปรือตาคู่สวยให้คุณพ่อและบรรดาลุง ๆ อา ๆ ชื่นชมอยู่ได้ไม่นานก็ผล็อยหลับ และนายแพทย์ธนดลส่งลูกสาวคืนให้พยาบาลเพื่อนำกลับไปยังหออภิบาลทารกแรกเกิด บรรดารุ่นน้องจึงถือโอกาสกล่าวคำอำลาก่อนจะพากันออกมาจากห้อง
“พี่จ้ามายังไงครับ ให้ผมไปส่งไหม” ดนุพงษ์กล่าวกับหนึ่งในสองคนที่เดินนำหน้า รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่าตนเองยังคงพยายามทำตัวเป็นปกติแม้ว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาจะทำให้สู้หน้ากันแทบไม่ติดก็ตาม
อาทิตย์ทัศน์เองก็เช่นกัน ยังคงรักษาน้ำใจและรักษาระยะห่างเป็นปกติ “ขอบใจมากนะดิว แต่พี่เอารถมาน่ะ”
“จอดรถไว้ชั้นไหนครับ ผมจะได้เดินไปส่ง” คำพูดเอาใจใส่ของดนุพงษ์ทำเอาณัฐนนท์ถึงกับต้องหันกลับมามองคนพูด
“ไม่เป็นไร นายสองคนไปกันก่อนเถอะ” อาทิตย์ทัศน์กล่าวพลางกดลิฟต์ให้
“แล้วพี่จ้าจะ...” พูดยังไม่ทันจบอีกคนก็แทรกขึ้นเสียก่อน
“เขามาด้วยใช่ไหม” ณัฐนนท์กล่าวพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองตัวเลขดิจิทัลเหนือกรอบประตูที่ค่อย ๆ นับถอยหลังเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกัน ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบสัญญาณประตูเปิดก็ดังขึ้น
“เราไปก่อนนะ” เจ้าของดวงตาหม่นเศร้าหันมากล่าวอำลาก่อนจะก้าวเข้าไปในลิฟต์
บรรยากาศเช่นนั้นทำเอาดนุพงษ์ที่มองเหตการณ์อยู่ตลอดถึงกับพูดอะไรไม่ออก ที่แท้อาทิตย์ทัศน์ก็มากับใครอีกคน ได้แต่เดินตามรุ่นพี่โรงเรียนเก่าอย่างปลงตก
...
อาทิตย์ทัศน์เงยหน้าขึ้นมองป้ายที่ติดอยู่บนผนังสีขาวซึ่งชี้บอกทางไปยังแผนกอนุบาลทารก ขายาวก้าวไปตามทางเดินพร้อมกับมองหาจนกระทั่งสาตาสะสุดเข้ากับตะกร้าสานที่วางอยู่บนเก้าอี้ นั่นทำให้คิดแน่ใจว่าเขาเดาไม่มีผิดว่าคนที่กำลังตามหาน่าจะอยู่ที่นี่ ชายหนุ่มคว้าตะกร้าก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ ๆ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มพลางจ้องแผ่นหลังกว้างของคนที่กำลังยืนมองทารกแรกเกิดที่นอนอยู่ในเตียงผ่านผนังกระจกบานใหญ่
“มาอยู่นี่เอง นึกว่าหนีกลับไปคนเดียวแล้วเสียอีก”
“ผมจะกลับได้ยังไงกันในเมื่อคุณยังอยู่ที่นี่”
ดวงตาคมที่หันมาสบกันอีกครั้งกับคำพูดแฝงความหมายทำเอาอาทิตย์ทัศน์ต้องเสมองไปทางอื่น ตาคู่สวยค่อย ๆ ไล่มองเด็กใน้อยในแต่ละเตียงกระทั่งมาหยุดที่ ‘เด็กหญิงกำธรธนเกียรติ’ ที่กำลังนอนหลับตาพริ้ม
“น่ารักเนอะ”
“ผมหรือหลาน”
“ไม่น่าถาม ก็ต้องแก้มหอมสิ” อาทิตย์ทัศน์หันมายิ้มให้ก่อนจะกลับไปสนใจหนูน้อยแก้มแดงอีกครั้ง
“หอมจริงหรือเปล่าต้องพิสูจน์หน่อยแล้ว” พูดจบเจ้าของร่างสูงยกมือขึ้นโอบไหล่แกล้งรั้งคนตัวเตี้ยกว่าเข้ามาใกล้กระทั่งถูกปรามจึงหยุดหัวเราะชอบใจ จากนั้นดวงตาสองคู่ก็พร้อมใจกันทอดมองไปยังบรรดาหนู ๆ ที่กำลังพักผ่อนอยู่ภายในห้องกระจก ได้แต่เอาใจช่วยให้พวกเขาแข็งแรงและเติบโตขึ้นมาเป็นลูก ๆ ที่น่ารักให้พ่อแม่ได้ชื่นใจ
...
แววตาเศร้าสร้อยของชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของร้านกาแฟใต้ตึกโรงพยาบาลมองผ่านบานกระจกใสจับจ้องไปยังสองคนที่เดินเคียงคู่กันผ่านไป ใบหน้านั้นมีแต่รอยยิ้มราวกับความสุขกำลังโอบล้อมทั้งสองร่างเอาไว้ผิดกับตัวเขาในขณะนี้ที่แม้แต่หัวใจก็แทบอยากจะร้องไห้ ณัฐนนท์ถอนใจยาวพลางดึงสายตากลับมองเงาสะท้อนของใครคนหนึ่งที่เดินมาจากทางด้านหลัง เขาวางกาแฟสองถ้วยบนโต๊ะก่อนจะดึงเก้าอี้และนั่งลงข้าง ๆ
“กาแฟเสียหน่อยสิพี่ ผมเลี้ยง”
วิศกรหนุ่มมองถ้วยกาแฟร้อนที่ถูกเลื่อนมาไว้ตรงหน้า ทั้งที่เป็นกาแฟคั่วบดชั้นดี แต่เขากลับไม่รู้สึกว่ามันหอมละมุนเหมือนอย่างเคยเลยสักนิด นั่นคงเพราะอารมณ์ที่ไม่เป็นปกติรวมถึงไม่มีคนคุยถูกคอนั่งละเลียดลิ้มรสไปด้วยกัน ณัฐนนท์ละสายตาจากภาพตรงหน้าได้เพียงไม่นานก็จับจ้องไปยังร่างของอาทิตย์ทัศน์อีกครั้งก่อนจะที่ภาพนั้นค่อย ๆ ลับหายไป อดคิดไม่ได้ว่านี่อาจจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายแล้วกระมัง
“พี่รู้ไหม ผมลังเลหลือเกินตอนที่เด็กผู้หญิงจากชมรมถ่ายภาพมาขอให้ช่วยเอาบัตรละครเวทีของโรงเรียนไปให้พี่” ดนุพงษ์กล่าวพลางใช้ช้อนเล็ก ๆ คนของเหลวสีเข้มในถ้วย ไม่รู้เลยว่าคำพูดของตนเองกำลังฉุดรั้งภาพความทรงจำเก่า ๆ ที่จมดิ่งอยู่ในห้วงความคิดมานานแสนนานให้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“บัตรละคร...”
“ใช่ บัตรละครเวทีใบนั้น เธอบอกว่ามีคนฝากเธอมาอีกที และก็ขอร้องให้ผมเอามันไปให้พี่ให้ได้ จนในที่สุดผมก็ตกลงรับปาก” เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งกดมุมปากยิ้มกับตัวเองเมื่อนึกถึงวีรกรรมในวัยเด็ก “ผมไม่รู้ว่าบัตรอีกใบอยู่กับใครจนกระทั่งเห็นพี่กับพี่ตวงนั่งคู่กันในหอประชุม” พูดจบดนุพงษ์ก็ยกกาแฟขึ้นจิบ
“นี่นายเองเหรอที่เป็นคนเอาบัตรละครเวทีใบนั้นมาให้ฉัน” ณัฐนนท์กล่าวพลางหวนนึกถึงบัตรเข้าชมละครเวทีของโรงเรียนที่ใครก็ไม่รู้เอามาเสียบไว้ที่หน้าล็อกเกอร์ในห้องชมรม จำได้ว่าตอนนั้นพยายามคาดคั้นเอากับเพื่อน ๆ ทุกคนแต่ก็ไม่มีใครปริปากบอกว่าบัตรละครใบนั้นมาจากไหน ตาคู่หม่นทอดมองถ้วยกาแฟตรงหน้า ความร้อนที่ส่งผ่านเนื้อเซรามิคมายังอุ้งมือทั้งสองเตือนให้รู้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ไม่ใช่ความฝัน จู่ ๆ ปริศนาก็ถูกเฉลยทั้งที่เขาเลิกล้มความคิดที่จะหาคำตอบไปตั้งแต่เห็นผลลัพธ์ของการรับบัตรละครเอาไว้ บัตรละครประจำปีที่มีเงื่อนไขว่าคนถือบัตรจะต้องชวนกันมาเป็นคู่ ในตอนแรกคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระแต่ที่ยอมเสียเวลาไปดูละครก็เพียงเพราะใคร่จะรู้ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือเกิดจากการกลั่นแกล้งโดยฝีมือของใครบางคนกันแน่ และเมื่อพบว่าผู้ที่ถือบัตรอีกใบคือตวงสุดา ความตื่นเต้นเขินอายยามเมื่อได้นั่งใกล้ ๆ กันก็ทำให้ลืมความรู้สึกก่อนหน้าไปเสียสนิท ลืมแม้แต่จะนึกขอบคุณอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เกิดเรื่องบังเอิญนี้ขึ้น
คนอายุน้อยกว่าไม่ได้ตอบคำถามนั้นแต่กลับผ่อนลมหายใจยาว วางถ้วยกาแฟลงแล้วจึงกล่าวต่อ “หลังจากนั้นพี่กับพี่ตวงก็คบกัน ตอนนั้นใคร ๆ ก็พูดว่าเห็นณัฐนนท์ที่ไหนต้องเห็นตวงสุดาที่นั่น แทนที่จะเป็นเห็นพี่นนท์ที่ไหนต้องเห็นพี่จ้าอยู่แถวนั้น และนั่นก็คือสิ่งที่ทำให้ผมดีใจมาก แล้วผมก็พอจะเดาได้ว่าใครเป็นคนคิดแผนการนี้ขึ้นมา”
“แผนการ?” คนฟังมุ่นคิ้ว “แผนการอะไรกัน”
“ผมนับถือพี่จ้าจริง ๆ ที่ยอมเจ็บเพื่อให้เพื่อนได้มีความสุข”
“จ้า...” ชื่อนั้นทำเอาใจหาย ภาวนาให้ดนุพงษ์คาดการณ์ผิด ท่าทางไม่แยแสของเจ้าของชื่อเมื่อครั้งที่ถูกขอให้ช่วยเรื่องตวงสุดาทำให้ไม่เคยคิดเลยว่าอาทิตย์ทัศน์จะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุบังเอิญในครั้งนั้น
“ผมเคยบอกตัวเองว่าผมนี่แหละจะยืนแทนที่พี่ให้ได้ แต่สุดท้ายพี่จ้าก็ไม่เลือกผม เพราะอะไรรู้ไหม” ชายหนุ่มเว้นจังหวะเงยหน้าขึ้นสบตาคู่สนทนาที่ยังคงนิ่งเงียบ “เพราะพี่จ้าไม่เคยลืมพี่เลย แต่พี่กลับเป็นฝ่ายลบพี่จ้าออกจากชีวิต”
ณัฐนนท์ก้มหน้ายอมรับ ดนุพงษ์พูดถูกเรื่องที่ว่าเขาพยายามลืมภาพของอาทิตย์ทัศน์แล้วเริ่มต้นกับใครสักคนที่จะทำให้ชีวิตสมบูรณ์แบบ แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นคือเขาพยายามลืมแม้กระทั่งความรู้สึกและความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง
“สมัยเรียนผมเคยอิจฉาพี่ เพราะตอนนั้นสายตาของพี่จ้ามีแต่พี่คนเดียวเท่านั้น แต่ปัจจุบันมันไม่ใช่ พี่รู้ตัวไหมว่าพี่น่ะแทบจะไม่มีตัวตนอยู่ในสายตาของพี่จ้าอีกแล้ว ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าพี่น่าสงสารกว่าผมเสียอีก”
“เพราะแบบนี้ใช่ไหม นายถึงไม่ชอบหน้าฉัน” ริมฝีปากหยักฝืนยิ้มขื่น ๆ “ตอนนี้เราสองคนก็ไม่ต่างกันนักหรอก”
...มีตัวตนก็เหมือนไม่มี...
ตฤณกรเดินมาหยุดที่กรอบประตูมองแผ่นหลังที่ขยับไหวอยู่หน้าอ่างล้างจาน ร่างสูงเดินตรงเข้าไปก่อนจะสอดแขนทั้งสองเข้าข้างลำตัวทำเอาคนเผลอถึงกับสะดุ้ง เหลียวมองเจ้าของคางหนักที่วางพาดลงมาบนลาดไหล่จากนั้นจึงเอื้อมมือหมุนปิดน้ำก่อนจะวางจานใบสุดท้ายลงบนตะแกรงพัก รอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรกันแน่
“ขอกอดคนนี้ให้แน่น ๆ ได้ไหมนะ โทษฐานที่วันนี้ยอมให้คนอื่นกอดง่าย ๆ”
อาทิตย์ทัศน์ได้แต่ยืนนิ่งยอมให้เขาทำตามแบบที่ต้องการแต่โดยดี ยกริมฝีปากสีเรื่อขึ้นเป็นรอยยิ้มบางเบา
“แปลกจังทำไมวันนี้ยอมให้กอดง่าย ๆ ไม่เห็นบ่นสักคำ”
“ก็รู้ว่าทำผิด” คนพูดน้อยตอบเพียงสั้น ๆ
ตฤณกรยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะกดปากลงบนรอยบุ๋มที่ข้างแก้มของคนในอ้อมแขนจากนั้นจึงเลื่อนขึ้นมากระซิบชิดใบหู “รู้ตัวด้วยเหรอ”
“แสดงว่าแอบดู” คนพูดเอียงหน้าหนีเมื่อจมูกอยู่ไม่สุขเริ่มลากวนอยู่บนลำคอ
“ไม่ได้...แ...อบ...สัก...หน่อย” ความง่วงเหงาหาวนอนทำให้ท้ายประโยคฟังแทบไม่เป็นภาษา
“ง่วงก็ไปนอนไป เดี๋ยวผมรอเอาขนมออกจากเตาอบแล้วจะตามขึ้นไป”
“ยังไม่ง่วงสักหน่อย อยากทำอย่างอื่นก่อน”
เสียงกระซิบที่ข้างหูทำเอาสองแก้มร้อนผ่าว กระนั้นอาทิตย์ทัศน์ก็ยังฝืนต่อปากต่อคำ “ทะลึ่งแล้ว”
“ทะลึ่งอะไรกัน แค่จะอ่านหนังสือก่อนนอนเนี่ยนะ คนคิดทะลึ่งน่ะคุณมากกว่า” กล่าวพลางกระชับแขนแกร่งให้แน่นเข้า ลากปลายจมูกคลอเคลียซอกคอขาว “ตัวหอมจัง”
“ไปได้แล้วไป จะไปทำอะไรก็ไปเถอะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมขึ้นไปรอคุณข้างบนนะ ถ้าอยากทำอะไรก่อนนอนก็รีบตามมาล่ะ”
“หืม?” คนฟังหันขวับ
“อ่านหนังสือไง คุณนี่คิดอะไร” ตฤณกรหัวเราะพร้อมกับคลายวงแขนออก
“รีบไปเถอะ” พูดจบมือเรียวก็รั้งมีดที่เสียบอยู่ในกล่องไม้มาถือไว้
“เฮ้ย! คุณหยิบมีดทำไม”
อาทิตย์ทัศน์หันมองร่างสูงใหญ่ (เสียเปล่า) ที่จู่ ๆ ก็ถอยกรูดจนชิดขอบโต๊ะอาหาร ซ้ำยังยกมือขึ้นกุมท้องตัวเองราวกับกลัวว่าเขาจะนึกครึ้มขอยืมพุงมาเป็นที่เก็บมีด “จะปอกผลไม้ให้แม่” คนพูดส่ายหน้าน้อย ๆ อย่างอิดหนาระอาใจแต่กระนั้นบนใบหน้าก็ยังฉาบด้วยรอยยิ้ม
“ตกใจหมด”
“ตกใจทำไมกัน”
“ก็นึกว่าพูดไม่เข้าหูหน่อยเดียวจะฆ่ากันให้ตายเสียแล้ว”
คนฟังทำจมูกย่นวางมีดลง “คุณมันพวกตายยาก ทำยังไงก็ไม่ตาย เป็นวัชพืช”
ตฤณกรคลี่ยิ้ม มองคนตัวเล็กกว่าที่กำลังเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบถุงผลไม้มาวางบนโต๊ะ ไม่วายสาวเท้าเข้าไปยืนซ้อนหลังก่อนจะกระซิบ “วัชพืชอย่างผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีแสงจากดวงอาทิตย์นะ”
...เปิดตำนานความเสี่ยว...
“พูดจาเลอะเทอะใหญ่แล้ว” คนพูดเสมองไปทางอื่นเมื่อรู้สึกร้อนวาบไปทั้งสองแก้ม
“ที่เลอะเทอะน่ะหน้าคุณต่างหาก ดูสิแก้มแดงไปหมดแล้ว เขินเหรอ”
ตัวต้นเหตุทำหัวเราะชอบใจในขณะที่อาทิตย์ทัศน์ได้แต่ส่ายหัวดิก ทำอย่างไรก็ไม่ชินสักที ความรู้สึกนั้นช่างเหมือนวันแรกที่เริ่มเปิดใจทำความรู้จักกันไม่มีผิด ชายหนุ่มปรายตามองคนหน้าทะเล้นพลางยกมือข้างที่ว่างอยู่โบกออกนอกตัวเป็นเชิงว่า ‘จะไปทำอะไรก็รีบไปเถอะ (รีบไปเสียก่อนที่มีดจะบิน)’ รอกระทั่งร่างสูงลับตาไปจึงเทผลไม้ลงในกะละมังยกไปวางในอ่างเปิดน้ำล้างแล้วพักไว้ในตะกร้า หูก็ยังคงได้ยินเสียงตฤณกรพูดถึงความน่ารักของเด็กหญิงแก้มหอมให้แม่ฟังไม่หยุดปาก อดคิดไม่ได้ว่าท่าทางผู้ใหญ่ตัวโตจะหลงรักเจ้าหนูน้อยแก้มแดงเข้าให้แล้วกระมัง
...
ตฤณกรเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนตรงไปคว้าหนังสือจากโต๊ะทำงานเดินไปทิ้งตัวลงนอนคว่ำบนเตียงแล้วจึงเปิดหนังสือหน้าที่ขั้นไว้ด้วยแถบกระดาษออกอ่าน มือหนาขยับกรอบแว่นพลางไล่สายตาไปตามตัวอักษรทีละบรรทัดอย่างตั้งอกตั้งใจ กระดาษถูกพลิกเปลี่ยนหน้าแล้วหน้าเล่ากระทั่งเสียงเปิดประตูดังขึ้นจึงได้ละสายตาจากกระดาษอาร์ตมันที่เต็มไปด้วยรูปภาพมองร่างสูงที่กำลังเดินมานั่งลงยังข้างเตียง
อาทิตย์ทัศน์หยิบโทรศัพท์มือถือที่หัวเตียงมาเปิดอ่านข้อความรวมถึงตรวจดูสิ่งที่ต้องทำในวันรุ่งขึ้นจากปฏิทินก่อนจะกดปิดเครื่องแล้ววางเอาไว้ที่เดิม จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนโดยใช้แผ่นหลังของอีกคนแทนหมอนหนุน ตาคู่สวยทอดมองไปบนเพดานว่างเปล่า ฟังเสียงเสียดสีกันของแผ่นกระดาษที่นาน ๆ จะได้ยินสักครั้ง ลมหายใจอุ่นถูกผ่อนออกจากปลายจมูกก่อนที่จะขยับนอนตะแคง ริมฝีปากบางเม้มแน่นมุ่นคิ้วอย่างใช้ความคิด
“ตัง”
“หืม?”
“คุณอยากมีครอบครัวแบบคนอื่น ๆ ไหม”
คนฟังชะงักไปชั่วขณะก่อนจะพลิกกระดาษหน้าถัดไป “ทำไมถามแบบนี้ ผมก็มีคุณเป็นครอบครัวของผมแล้วไง”
“ไม่ใช่สิ ไม่ใช่อย่างนั้น ผมหมายถึงมีครอบครัวแบบคนทั่ว ๆ ไปแล้วก็มีลูก”
“แต่ผมอยากมีคุณมากกว่า” พูดจบก็ปิดหนังสือวางลงบนโต๊ะข้างเตียงพร้อมกับแว่นสายตาก่อนจะพลิกตัวนอนหงายรั้งคนช่างสงสัยขึ้นมาแนบอก ใช้มือลูบไปบนแผ่นหลังแบบที่เขาชอบ
“แต่คุณชอบเด็กไม่ใช่เหรอ”
“เปลี่ยนมาชอบผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วไม่รู้หรือไง”
“เลิกพูดเล่นก่อนได้ไหม ผมถามจริงจังนะ”
“ก็ผมไม่อยากให้คุณจริงจังนี่นา แค่อยากให้คุณสบายใจว่าเรื่องนั้นมันไม่ใช่ปัญหาเลย ถามผมแบบนี้แล้วคุณล่ะคิดอยากจะมีลูกบ้างหรือเปล่า”
อาทิตย์ทัศน์ส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตา “ไม่รู้สิ ก่อนหน้านี้คิดแต่จะอยู่กับแม่ ไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย”
“แล้วตอนนี้ละ”
หน้าหล่อแนบลงบนแผงอกอุ่นดังเดิม นอกจากหูจะได้ยินเสียงจากปากของคนที่ตนเองนอนก่ายกอดแล้วยังคงได้ยินเสียงก้อนเนื้อใต้อกเสื้อของเขาด้วย “แล้วแต่คุณก็แล้วกัน”
“ถ้าแล้วแต่ผม ผมก็จะบอกว่าผมอยากอยู่กับคุณไปแบบนี้ มีผมกับคุณแค่สองคน”
“ทำไมล่ะ”
“ผมอยากรักคุณแค่คนเดียว ไม่อยากเอาความรักไปแบ่งให้ใคร แล้วก็จะไม่ยอมให้คุณไปรักใครนอกจากผมด้วย”
“คุณนี่เอาแต่ใจตัวเองเป็นบ้า”
ตฤณกรหัวเราะในลำคอก่อนจะเลื่อนมือขึ้นมาวางบนศีรษะของคนที่นอนทาบอยู่บนร่าง ปล่อยให้ความเงียบโรยตัวลงโอบล้อม
“จ้า”
“หืม?”
“รักผมคนเดียวได้หรือเปล่า”
“ก็ถ้าคุณไม่ฝึกเคล็ดวิชานินจาแยกร่าง ผมก็รักคุณแค่คนเดียวนี่แหละ”
ประโยคกวนอารมณ์ทำเอาตฤณกรถอนหายใจเฮือก พลิกตัวกลับกดอีกฝ่ายลงกับเตียง “ผมควรจะทำยังไงกับคนไม่โรแมนติกเสมอต้นเสมอปลายคนนี้ดีนะ” พูดจบก็ใช้ปลายนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ขยี้เบา ๆ ที่ปลายจมูกของคนใต้ร่าง “แล้วแต่ผมอีกหรือเปล่า”
อาทิตย์ทัศน์สบตาคนพูด รู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นนับจากนี้หากตอบไปแบบนั้น ชายหนุ่มพยักหน้ายิ้ม ๆ พลันภาพตรงหน้าก็กลับพร่ามัวเมื่อหน้าคมเคลื่อนใกล้เข้ามาจากนั้นปากบางก็ถูกครอบครองด้วยริมฝีปากหยักที่ทาบทับบดเคล้าดูดดึงอย่างหยอกเย้า เนิบนาบ เนิ่นนานราวกับเวลาถูกหยุด กลีบปากสีเรื่อเผยอออกเมื่อความอดทนเริ่มหมด สุดท้ายก็ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายล่วงล้ำเข้ามาฉกชิมความหวานตามอำเภอใจ ไม่นานสัมผัสนุ่มนวลอ่อนโยนก็กลับแปรเปลี่ยนเป็นความหนักหน่วงเร่าร้อนชวนให้หัวใจหวามไหวจนแขนขาวต้องยกขึ้นเกี่ยวรั้งต้นคอหนาเป็นหลักยึด เปลือกตาบางปิดลงปล่อยให้มือหนาที่ลูบคลึงไปบนผิวกายฉุดรั้งร่างให้ดำดิ่งลงสู่กระแสแห่งความปรารถนาอันเชี่ยวกราก จะขอให้หยุดตอนนี้ก็คงสายไปเสียแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็...
‘แล้วแต่คุณก็แล้วกัน’
จบจ้ะ
สวัสดีค่ะ ลืม ดร.ณัฐนนท์กับอ.ดิวไปหรือคะ ส่วนเรา...ลืมแล้ว ต้องย้อนกลับไปอ่านในหนังสือใหม่ 555
สำหรับตอนพิเศษนี้ก็ยังดำเนินเรื่องต่อจากตอนพิเศษตอนสุดท้ายในหนังสือนะคะ สำหรับใครที่ไม่มีหนังสือก็ไม่ใช่ปัญหาค่ะ
เนื้อหาพยายามเท้าความอยู่แล้ว ยังไงก็ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ