ตอนที่ 12
“กูลืมเอกสารที่ต้องใช้ประชุมไว้ที่ห้อง มึงว่างไหม แวะเอามาให้หน่อย”
น้ำเสียงที่เอ่ยเจือความเกรงใจเอาไว้มากล้น แต่เนื่องจากเป็นเอกสารสำคัญจึงต้องวางความเกรงใจนั้นลงแล้วต่อสายหาอีกคน
“อืม เดี๋ยวกูแวะเอาไปให้ เอกสารอะไร” หินรับคำโดยง่ายยามละจากงานในมือแล้วผุดลุกขึ้นยืน
“แฟ้มสีน้ำเงินตรงโต๊ะข้างหัวเตียง มีอันเดียวแหละ”
ปลายเท้าของคนถูกไหว้วานมุ่งตรงไปทางห้องนอนกว้าง เสียงเปิดประตูดังเข้ามาในสายที่ยังคงถืออยู่แนบหู กระทั่งพบเข้ากับสิ่งที่อีกคนต้องใช้จึงตอบกลับ
“โอเค เดี๋ยวไปถึงแล้วกูโทรหา”
“อื้อ”
แฟนรับคำแล้วกดวางสาย นึกโทษความสะเพร่าขี้ลืมของตัวเองด้วยความขัดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการรอหินเอาเอกสารมาให้เนื่องจากต้องใช้ในอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า
ยี่สิบนาทีต่อมาร่างสูงในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ก็มาถึงบริษัท คนที่รออยู่ด้านหน้าจึงรีบปรี่เข้าไปหา ระยะเวลาการมาถึงซึ่งเร็วกว่าปกติบ่งบอกให้รู้ว่าอีกคนขับมาเร็วไม่น้อย
“บิดมาเท่าไหร่เนี่ย”
“หึ ก็มึงรีบ” รอยยิ้มมุมปากและคำตอบของคนตรงหน้าทำให้แฟนส่ายหัว
“มึงมีธุระรึเปล่า ขึ้นไปรอที่ห้องกูก่อน ตอนเที่ยงไปกินข้าวกัน”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นเมื่อได้ยินคำเอ่ยชวน ทว่ายังไม่ทันจะได้อ้าปากตอบคำถามฝ่ามือก็ถูกมือบางเอื้อมมาจับก่อนจะออกแรงรั้งให้ก้าวตาม
“กูยังไม่ตอบเลยนะ”
“ไม่ต้องตอบ กูเลือกให้”
คนเอาแต่ใจเอ่ยง่ายๆจนคนไม่มีทางเลือกได้แต่ก้าวตามแรกลากนั้นไปอย่างไม่อาจขัดขืน
ตลอดทางมีคนค้อมตัวทักทายประปรายแต่มากกว่านั้นคือสายตาใคร่รู้ถึงตัวตนของคนที่ลูกชายเจ้าของบริษัทจับมือถือแขน หินไม่ได้รู้สึกประหม่าแม้แต่น้อย แต่ก็รู้ดีว่าประเด็นของตัวเองคงต้องถูกพูดถึง
“พี่ไก่ครับ นี่พี่หิน เผื่อคราวหลังถ้ามาก็ให้เข้าไปได้เลย” หินกล่าวสวัสดียามที่อีกฝ่ายซึ่งมีอายุพอสมควรก็ยิ้มรับอย่างเป็นมิตร
“ค่ะคุณแฟน”
เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องด้วยกันสองต่อสองร่างบางก็หมุนตัวกลับมาหา คิ้วเข้มจึงเลิกขึ้นแทนการถามว่ามีอะไร
“ขอโทษที่ต้องรบกวนมึง” จากที่คิ้วเลิกขึ้นกลายเป็นขมวดมุ่น
“รบกวนอะไร เคยบอกแล้วว่าเล็กน้อย” เสียงที่เอ่ยเข้มขึ้นโดยอัตโนมัติ
“ยังไงก็เกรงใจอยู่ดี”
คนขี้เกรงใจถูกรั้งให้ขยับเข้าไปหา สันของแฟ้มในมือกระแทกเข้ากับแผ่นท้องแกร่งเล็กน้อยแต่หินไม่ได้สนใจเท่ากับการลงโทษคนตรงหน้า ริมฝีปากบางถูกขบกัดพร้อมทั้งถูกดูดดึงเต็มแรง นานจนพึงพอใจจึงค่อยๆผละออก
“กูไม่ใช่คนอื่น”
ประโยคสั้นๆที่อธิบายอะไรได้มากมายทำให้แฟนซบหน้าลงกับอกกว้าง ความร้อนวูบวาบบนริมฝีปากยังคงติดตรึงเนื่องจากการลงโทษเมื่อครู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้นึกโกรธ เกิดเป็นความพึงพอใจมากกว่า
เพราะหินเป็นอย่างนี้ เลยเสียไปไม่ได้แล้ว
“อื้อ รู้แล้ว...กูก็ไม่ใช่คนอื่น”
เพาะฉะนั้นเรื่องบางเรื่องจึงพูดออกมาได้...พร้อมจะรับฟัง
แฟนได้แต่เอ่ยกับตัวเองในใจ
“เป็นแฟนกู จะเป็นคนอื่นได้ยังไง”
ท่อนแขนแกร่งโอบรอบแผ่นหลังบางแล้วรัดรึงเข้ามาจนร่างกายแนบชิด จากการซบหน้าอยู่กับอกจึงแปรเปลี่ยนเป็นวางเกยบนไหล่ ขยับซุกจนได้ที่ แม้อยากจะอยู่แบบนี้นานอีกหน่อยแต่งานข้างหลังก็เรียกร้องให้ต้องผละออกห่าง
“มึงรอสักสองชั่วโมงเศษนะ กูไปประชุมก่อน”
หินพยักหน้ารับ ก่อนริมฝีปากจะทาบทับลงบนหน้าผากเนียนทิ้งท้ายแล้วขยับถอยห่าง
“ขอให้การประชุมผ่านไปได้ด้วยดี”
แฟนระบายยิ้มเมื่อได้ยินคำอวยพรก่อนจะออกจากห้องไปเพื่อทบทวนเอกสารและคุยงานกับผู้เป็นพ่อ
เมื่อเหลือเพียงตัวเองที่อยู่ในห้องหินจึงทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาตัวยาว ไม่นานนักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น จากนั้นผู้ช่วยของแฟนก็เดินเข้ามาพร้อมกับถาดขนมและน้ำส้มในมือ
“น้ำกับขนมค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
คนถูกขอบคุณยิ้มรับแล้วรีบปลีกตัวออกไปเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับคนของเจ้านาย
สองชั่วโมงครึ่งไม่ได้นานพอจะให้รู้สึกเบื่อ เสียงเปิดประตูดังขึ้นรั้งให้สายตาที่จมจ่อกับเกมในโทรศัพท์มือถือหันไปมอง ทว่ายังไม่ทันจะได้เอ่ยถามว่าเสร็จแล้วหรือก็ต้องรีบหยัดกายลุกขึ้น
คนที่เดินเข้ามาไม่ใช่แฟนแต่เป็นผู้ชายรูปร่างสมส่วนซึ่งดูดีและมีความภูมิฐานตามอายุ โดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายแนะนำขึ้นก่อน สัญชาตญาณในตัวก็ร้องเตือนว่าคนตรงหน้านี้เป็นใคร
“สวัสดีครับ”
“อืม ทำไมถึงมานั่งอยู่ในห้องทำงานของแฟนได้”
สายตาของผู้มีอายุมากกว่าทอความต้องการเอาคำตอบยามเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“ผมชื่อหินครับ เป็นแฟนของแฟน...พอดีน้องลืมเอกสารเลยแวะเอามาให้ครับ”
ท่าทางแสนสุภาพนั้นทำให้คนแก่แอบเลิกคิ้วในใจ ถึงจะเป็นเพียงการแนะนำตัวและเป็นคำตอบที่เรียบง่าย แต่กลับตรงประเด็น ไม่มีอ้อมค้อมให้เสียเวลา
“แฟนของแฟน?”
“ครับ” น้ำเสียงนั้นยังคงหนักแน่น
“คบกันมานานแค่ไหนแล้วล่ะ”
“ประมาณสามเดือนครับ”
“ยังต้องดูกันอีกนาน”
สายตาของคนพูดบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ได้หมายถึงหินกับแฟน แต่หมายถึงหินกับตัวเอง
ถึงจะถูกใจกับเด็กหนุ่มตรงหน้าแต่การจะยกลูกให้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย
ต้องดูกันไปอีกนาน
“ครับ” และคนที่เข้าใจความหมายนั้นก็ยังคงตอบรับอย่างมั่นคง
แกรก
“อ้าว พ่อเข้ามาทำอะไร”
คนเพิ่งเข้ามาใหม่ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้เป็นพ่อยืนประจันหน้ากับอีกคน
“เข้ามาทำความรู้จักกับแฟนของลูกสักหน่อย”
ยามหันไปตอบคนเป็นลูก ใบหน้าเรียบนิ่งดูสุขุมก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้น
“อ้อ นี่พี่หิน...ส่วนนี่พ่อของแฟน”
ร่างบางก้าวเข้ามาหาพร้อมทั้งเอ่ยแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน สรรพนามที่เหมาะสมกับกาลเทศะถูกหยิบยกขึ้นมาใช้ ถึงจะไม่คุ้นหูนักแต่หินก็พึงพอใจยามได้ยิน
“รู้จักกันแล้วล่ะ พ่อแค่เข้ามาทักทายเฉยๆ เชิญตามสบายเถอะ...ไว้มีโอกาสก็ไปพาไปทานข้าวที่บ้านบ้างนะ แม่กับน้องคงอยากรู้จัก”
เอ่ยกับลูกชายของตัวเองพลางปรายตามองบุคคลที่สามเล็กน้อย
“ครับ” แฟนรับคำขณะมองหน้าหินไปด้วย
“ไม่มีอะไรแล้ว พ่อไปล่ะ”
หินยกมือขึ้นไหว้พร้อมกล่าวคำอำลาตามมารยาท ก่อนคนเป็นลูกจะรับคำแล้วเดินออกไปส่ง กระทั่งประตูห้องทำงานปิดลง กั้นคนในห้องให้เหลือเพียงสองคนจึงรีบตรงเข้ามาถาม
“พ่อกูพูดอะไรกับมึงรึเปล่า”
“ไม่แทนตัวเองว่าแฟนแล้วเหรอ?”
หินไม่ตอบคำถามทั้งยังเอ่ยไปอีกเรื่องที่แทบไร้ซึ่งความจริงจังจนแฟนถอนหายใจ ขาเรียวก้าวเข้าไปใกล้ ใบหน้าสวยเงยขึ้นมองคนที่สูงกว่า
“ถ้าแฟนแทนตัวเองว่าแฟน
พี่หินจะยอมแทนตัวเองว่าพี่รึเปล่า?”
คำว่าพี่จากริมฝีปากบางที่ตัวเองชอบขบเม้มไล้เลียทำลายล้างใจที่คิดว่าแข็งแกร่งจนพังแทบไม่เป็นท่า เกิดความร้อนที่ไม่รู้ว่าเป็นอาการอะไรตรงข้างแก้มสาก สายตาก็ดูจะต้านไม่ไหวจนอยากเบือนหลบ
ทั้งการแทนชื่อตัวเอง และการถูกเรียกว่าพี่...แบบนี้ใครจะทนไหว
“ว่าไง” อีกคนถามย้ำเมื่อคนตรงหน้าเอาแต่นิ่งเงียบ
“แบบนี้ไม่คุ้นหูคุ้นปาก พูดแบบเดิมก็ดีแล้ว”
ไม่ใช่ไม่คุ้นแต่ไม่ดีต่อใจมากกว่า...เพียงแค่ได้ยินก็พลันอยากลากอีกฝ่ายขึ้นเตียงอยู่ร่ำไป
“แล้วสรุปว่าพ่อพูดอะไรบ้าง”
เมื่อได้ยินคำยืนยันว่าการพูดกันแบบเดิมดีกว่าก็ไม่คิดขัด จากนั้นจึงวกกลับมาถามเรื่องเดิมที่ยังคงค้างคาใจ แววตาของคนถามเต็มไปด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร ก็คุยกันปกติ”
“แน่นะ”
“จะโกหกทำไม แล้วไหนบอกจะไปกินข้าวข้างนอก”
ดวงตาคู่สวยหรี่ลงจับผิดหินอยู่ชั่วครู่ จนเมื่อพบว่าไม่มีความผิดปกติใดๆจึงเลิกเซ้าซี้
คนแบบหินถ้าไม่อยากพูดเค้นให้ตายก็ไม่เล่า
“มึงมีธุระตอนบ่ายต่อใช่ไหม งั้นไปร้านอาหารอิตาเลียนนะ กินได้รึเปล่า”
เพราะเป็นร้านที่อยู่ไม่ไกลบริษัทมากนักจึงเหมาะสำหรับมื้อเที่ยงเพื่อการไม่เสียเวลาเดินทาง
“ก็พอได้ เอาที่มึงอยากกินเถอะ”
“โอเค”
--
วันต่อมา “ขอบคุณมึงมากเลยนะเว้ย ทุกอย่างมันเพอร์เฟคได้เพราะมึง นี่กูรอวันปล่อยซิงเกิลไม่ไหวแล้ว”
ความตื่นเต้นของเพื่อนถูกถ่ายทอดผ่านทางสีหน้าและน้ำเสียงจนได้ยินไปทั่วห้องทำเพลงซึ่งมีเพียงสองคน หากแต่คนฟังกลับนิ่งเฉย ไม่มีความรู้สึกอะไรนอกจากโล่งใจที่งานเสร็จสิ้นเรียบร้อย
“อย่าลืมว่าไม่ต้องพูดถึงกู”
“โห่ มึงนี่นะ ทำไมถึงได้ชอบปกปิดตัวตนนักวะ แนวเพลงที่มีอะไรไม่เหมือนใครแบบนี้ยังไงก็โดนขุดชัวร์”
“งานของมึงที่ต้องตอบแทนกูคืออย่าให้ใครรู้ว่าเป็นกู ไม่อย่างนั้นก็เตรียมตัวไปหาคนช่วยอื่นได้เลย”
“คร้าบ รู้ครับท่านอาจารย์...แต่เห็นเพลงที่มึงทำแบบนี้แล้วคิดถึงปริมเลย น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสได้ร้องเพลงที่มึงทำ”
ชื่อของใครบางคนทำให้คนฟังชะงักกึก วันครบรอบสองปีของการจากลาราวกับเป็นสิ่งหลอกหลอนย้ำเตือนเรื่องในอดีตจนทั้งวันนี้ความคิดไม่อาจหยุดอยู่ยิ่ง
ความผิดพลาดในวันนั้น...
“โทษทีว่ะ กูหลุดปาก” เห็นท่าทางเพื่อนแล้วคนเผลอพูดก็รีบเอ่ยขอโทษด้วยความรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรเพราะเรื่องนั้นกูผิดเอง” หินเอ่ยเสียงแผ่ว
“อย่าว่าอย่างงั้นอย่างนี้เลยนะ มึงก็ได้เรียนรู้จากปริมแล้ว อะไรในใจก็พูดออกมาบ้าง เล่าให้ใครสักคนฟังบ้าง ความรู้สึกที่ว่าไม่เห็นความจำเป็นต้องพูดก็ลดลงบ้าง...บางครั้งเรื่องไร้สาระของมึงก็อาจมีคนอยากฟังอยู่ แค่เล่าว่าวันนี้กับข้าวที่กินไปไม่อร่อยเขาก็อาจดีใจแล้วที่มึงยอมเล่าให้ฟัง”
“...”
“ก้าวออกมาจากกำแพงของมึงบ้าง แฟนมึงเขาอาจรออยู่”
เพราะเป็นเพื่อนจึงเข้าใจแม้หินจะไม่พูดอะไร แต่เรื่องราวมากมายที่ยังไม่ถูกเปิดเผยอาจสำคัญสำหรับใครบางคน
เรื่องราวของแฟนเพื่อนพ้องทุกคนรับรู้เพียงแต่ไม่ก้าวก่าย สังเกตเห็นจากหลายอย่างจึงแน่ใจว่าหินยังคงไม่ยอมวางความเป็นตัวเองลง
ตัวตนส่วนลึกที่เข้าถึงได้ยาก
“กูตั้งใจจะบอกอยู่แล้ว”
เมื่อโดนเอ่ยเตือนหินจึงสารภาพถึงสิ่งที่เตรียมเอาไว้ ลมหายใจหนักอึ้งถูกพรูออกเมื่อในหัวคิดถึงเรื่องที่ต้องบอกใครบางคน
“ก็ดีแล้ว กูว่าน้องแฟนเข้าใจ”
“ก็หวังว่าจะอย่างนั้น”
“เอาเถอะ เรื่องที่มึงอยากบอกก็บอกไป ส่วนตรงนี้ที่อยากปิดกูก็จะช่วยปิดให้”
“อืม...ขอบใจ”
“กูสิต้องขอบใจมึง งานนี้เด็กกูดังเป็นพลุแตกจนต้องเตรียมตัวขยายบริษัทแน่”
สีหน้าและคำพูดมั่นอกมั่นใจนั้นทำให้หินปลงตก ถึงจะรู้ว่างานที่ตัวเองทำออกมาดีแต่ก็ไม่ได้มีความมั่นใจเต็มร้อยว่าคนอื่นจะชอบจนกลายเป็นที่นิยม
ลางเนื้อชอบลางยา
มีคนชอบคงมีคนไม่ชอบ แต่ถึงอย่างนั้นก็เกิดความคาดหวังว่าจะมีคนชอบมากกว่า
“เรียบร้อยแล้วก็เท่านี้ กูมีนัดต้องไปต่อ”
“แหนะ นัดกับน้องแฟนเหรอ”
“นัดกับงาน มันไปหาเพื่อนอยู่คงกลับค่ำๆ” เอ่ยตอบพร้อมทั้งหยิบเป้ของตัวเองขึ้นมาสะพาย เตรียมตัวกลับ
“งั้นกูไม่รั้งมึงไว้แล้วท่านอาจารย์คิวทอง ไว้เจอกัน”
“เจอกัน”
--
“ขี้อวด! อวดผัวคนอื่นได้อย่างน่าไม่อาย”
“ถึงจะให้เห็นแค่แขน แค่หัว แต่มึงคิดเหรอว่าเมียๆอย่างพวกกูจะจำไม่ได้”
มือบางตักเค้กเข้าปากไปเรื่อยๆ ไม่สนใจต่อถ้อยคำกระแหนะกระแหนนั้นเพราะทำใจเอาไว้ตั้งแต่นัดเพื่อนทั้งสองออกมาเจอ
เนื่องจากต้องออกมาพบลูกค้าแถวบริษัทของบี จึงถือโอกาสโทรเรียกมารวมตัวกันที่ร้านกาแฟไม่ใกล้ไม่ไกล และทันทีที่มาถึง ประโยคกล่าวทักทายยังไม่ทันจะได้เอ่ย เรื่องของหินก็ถูกพูดขึ้นเป็นอันดับแรก
“ดู มันไม่สนใจ มันทำเฉย”
“ตบเลยไหมมึง”
“นี่พวกมึงไร้สาระกันพอรึยัง”
สุดท้ายเมื่อทนไม่ไหวใบหน้าสวยก็เงยขึ้นมองเพื่อนตัวเองพร้อมทั้งส่งสายตาเบื่อหน่ายไปให้
“เรื่องพี่หินไม่เคยไร้สาระสำหรับพวกกู”
มือบางหยิบน้ำตาลก้อนเล็กสีสวยบนหน้าเค้กมาโยนใส่เพื่อนเนื่องจากยังไม่หยุดไร้สาระ เสียงกรีดร้องโวยวายจึงดังขึ้นตามมาจนลูกค้าโต๊ะอื่นหันมอง
“อีคนสกปรก มึงโยนใส่พวกกูทำไมเนี่ย”
“จะได้หยุดพูดสักที”
“หวงผัวอะไรเบอร์นั้นคะ”
“กูไม่ได้หวง แต่รำคาญพวกมึง”
“จ้ะ เออ ว่าแต่งานมึงเป็นไงบ้าง”
ยังดีที่ยังมีแก่ใจถามถึงเรื่องงาน บทสนทนาแปรเปลี่ยนไปฉับพลัน ความจริงจังเลยมีมากกว่าเมื่อครู่
“ก็โอเค แต่กูอยากได้ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ไฟแรง อยากได้อะไรที่ไม่เหมือนใคร มึงสองคนพอจะรู้จักใครบ้างไหม”
“ดีไซเนอร์รุ่นใหม่เหรอ...”
ใบหน้าของบีและนัทฉายแววครุ่นคิดเมื่อพยายามนึกถึงคนรอบตัวที่ตัวเองรู้จัก ราวกับเหมือนมีใครสักคนติดอยู่ในหัว แต่กลับนึกไม่ออก
“กูนึกไม่ออก”
“เดี๋ยวนะ เหมือนจะมีรุ่นน้องกู ดูเฟซแป๊บ”
นัทเอ่ยเมื่อรู้สึกคลับคล้ายคลับคลากับจะมีคนน่าสนใจ ก่อนโทรศัพท์ในมือจะถูกกดเข้าไปในแอพพลิเคชั่นรูปตัวเอฟชื่อดัง เลื่อนไถลเพื่อหารายชื่ออยู่ชั่วครู่กระทั่งพบเข้ากับคนที่ต้องการ
“นี่ๆ คนนี้ กูว่างานมันแปลกตาดี มึงลองเลื่อนดู”
แฟนรับโทรศัพท์ของเพื่อนมา ดวงตาจับจ้องอ่านชื่อแอคเคาท์จึงพบว่าเป็นผู้หญิง สไตล์ถูกบ่งบอกจากรูปในภาพโปรไฟล์อย่างชัดเจน ต่อมานิ้วเล็กจึงเลื่อนหน้าจอขึ้นเพื่อดูผลงาน
กึก
‘RIP. My Princess’
ภาพในความทรงจำเมื่อสองปีที่แล้วถูกแชร์อีกครั้งในวันนี้พร้อมกับแคปชั่นด้านบน หัวข้อข่าวการฆ่าตัวตายของนักร้องชื่อดังถูกแปะไว้เด่นหรา
ตะกอนในใจถูกกวนขึ้นมาจนมือสั่น แฟนนิ่งงันไปไม่แม้แต่จะเลื่อนดูอะไรต่อจนเพื่อนสังเกตเห็นอาการแล้วชะโงกหน้ามาดู
เหมือนที่เขาว่าไว้...พอเราได้รับรู้บางอย่าง สิ่งนั้นจะวนเวียนเข้ามาหาทั้งที่ก่อนหน้าไม่แม้แต่จะเฉียดใกล้
“อ้อ น้องกูคนนี้มันชอบปริมมาก ตอนรู้ข่าวมันถึงกับไม่กินข้าวกินปลาจนเข้าโรง’บาลเลยนะ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“ขนาดนั้นเลยแหละ ว่าแต่อีแฟนนิ่งไปทำไม”
“ปะ เปล่า”
น้ำลายก้อนเหนียวถูกกลืนลงคอจากนั้นนิ้วมือสั่นๆจึงเลื่อนผ่าน ปกปิดการรับรู้ด้วยการไม่กดเข้าไปในข่าว แต่สติกลับไม่อยู่กับภาพงานที่ได้เห็น
วันนี้ครบรอบสองปีงั้นเหรอ...
“เออ ว่าละก็ขอเม้าหน่อยเรื่องนี้ เพื่อนกูที่อยู่วงในบอกมาว่าตอนเขาฆ่าตัวตายนี่ท้องอยู่ด้วยนะ”
“เหี้ย จริงจัง”
แกร๊ง
“เอ่า อีแฟน มึงเป็นไรเนี่ย”
สิ่งที่ได้ยินทำให้ร่างกายไร้เรี่ยวแรงจนโทรศัพท์ในมือล่วงลงบนโต๊ะ หัวใจสั่นไหวจนส่งผลให้มือสั่นตาม ดวงตาคู่สวยวูบไหว เหมือนอากาศรอบตัวลดน้อยลงจนหายใจได้ลำบาก
ท้อง...ท้องลูกของใคร
“คะ ใครเป็นพ่อเด็ก” เสียงที่เอ่ยไม่มั่นคงนักแต่เพื่อนทั้งสองก็ยังคงไม่สังเกตเห็น นัทจึงเอ่ยต่อ
“ข่าวโคมลอยเขาว่าเป็นเพื่อนสนิทนั่นแหละ แต่ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าใคร”
“คงเครียดทั้งเรื่องงาน เรื่องท้อง เลยฆ่าตัวตายแน่เลยกูว่า”
บทสนทนาของเพื่อนดังเข้าหูแต่ไม่ทะลุไปถึงความคิดเมื่อคำว่าท้องยังคงวนเวียนอยู่ในหัว มือไม้เย็นเฉียบราวกับร่างกายถูกแช่อยู่ในน้ำแข็ง ชั่วขณะหนึ่งเมื่อคิดถึงใครอีกคนข้างในก็เกิดความสั่นไหวที่ไม่อาจควบคุม
ไม่ใช่มึงใช่ไหม
--
“ศุกร์นี้มึงลางานครึ่งวันได้ไหม”
ประโยคจากคนที่กำลังพรมจูบไปทั่วไหล่และหลังคอเรียกให้คนที่หมดแรงจากความเร่าร้อนพลิกตัวกลับมาหา
“มึงมีอะไรรึเปล่า”
จังหวะการหายใจเริ่มกลับมาเป็นปกติ น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปจึงไม่ติดขัดเช่นก่อนหน้า
หากแต่ข้างในกลับไม่ปกติเลยสักนิด...
“กูอยากจะพามึงไปทีๆนึง”
สีหน้าของคนพูดไม่มีแววเปลี่ยนไป ทุกอย่างดูเหมือนปกติ แต่ดวงตาคู่คมกลับไม่โกหก บ่งบอกชัดเจนว่ามีเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ
วันศุกร์นี้...แฟนจำได้ดีว่าครบรอบสองปีของวันที่ปรากฏอยู่ในรูปนั้น
“อืม ลาได้”
“เดี๋ยวกูไปรับที่บริษัท”
แฟนพยักหน้ารับพลางเบียดตัวเข้าหาอีกฝ่ายมากขึ้น หวังให้ความใกล้ชิดนี้ปัดเป่าความรู้สึกไม่สบายใจและความหวาดกลัวที่พยายามกดเก็บเอาไว้ตลอดมา ขณะที่คนถูกอ้อนด้วยภาษากายยกยิ้ม ประกายในดวงตาแปรเปลี่ยน เรื่องในอกถูกสลัดออกไปก่อนจะทาบทับริมฝีปากเข้าหาคนใต้ร่าง ปลายลิ้นเกี่ยวหระหวัดกันด้วยความอ่อนหวาน
“อย่าคิดมาก มันไม่มีอะไร”
น้ำสีใสเคลือบอยู่บนริมฝีปากบางจนวาววับ บางส่วนซึ่งเลอะออกมาทางมุมปากถูกเช็ดออกให้ด้วยข้อนิ้วแกร่ง ยามหินเอ่ยพูดด้วยเสียงปลอบประโลม
ความไม่สบายใจนั้น เขาเห็นมันจากดวงตาที่น่าหลงใหลคู่นี้
“หิน...”
เสียงเรียกนั้นดูล่องลอยเหมือนขนนกบนอากาศ ไร้น้ำหนัก ไร้ซึ่งความมั่นคง
“หืม”
“กอดหน่อย...กอดกู”
แม้จะเป็นฝ่ายอ้อนขอแต่แฟนกลับเป็นฝ่ายขยับตัวเข้าหาพร้อมทั้งรั้งคนบนร่างเข้ามาใกล้อีกครั้ง ท่าทางนี้ทำให้หินขมวดคิ้วขณะกอดตอบร่างเล็กจนอีกฝ่ายแทบจมหายไปกับอก
“เป็นอะไรรึเปล่า” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“กูเชื่อใจมึงได้ไหม”
“ได้สิ...แน่นอน”
ถึงจะไม่เข้าใจกับท่าทางนี้แต่หินก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอันมั่นคง ก่อนสัมผัสหนักๆจะกดลงบนหัวเล็ก ตระกองกอดแฟนเอาไว้ ตอกย้ำความเชื่อมั่นให้กับอีกฝ่าย
กูเชื่อใจมึง...แต่ไม่เชื่อใจอดีตของมึง
แฟนเอ่ยกับตัวเองในใจ กับสถานการณ์ตรงหน้าจึงมีเพียงความเงียบงัน ความรู้สึกและความคิดมากมายตีรวนอยู่ข้างใน
สุดท้ายค่ำคืนนี้จึงมีเพียงอ้อมกอดที่รัดรึงกันเป็นคำตอบ หินไม่เอ่ยอะไรมากกว่านั้นและแฟนก็ไม่คิดถาม ไม่แม้แต่จะลุกขึ้นไปอาบน้ำชะคราบไคลจากกิจกรรมร้อนแรงใดๆ
--
“ทำหน้าเครียดทำไม”
ยามเช้าวันศุกร์มาถึงแฟนยิ่งมีท่าทีนิ่งเงียบ ถึงแม้สองวันที่ผ่านมาเจ้าตัวจะพยายามทำตัวเป็นปกติแต่หินก็รู้ดีว่าข้างในในนั้นมีอะไรอยู่มากมาย
ด้านคนถูกถามทำเพียงแค่ส่ายหน้าตอบเบาๆ ทุกอย่างดูหนักอึ้งกว่าเคยในความรู้สึก
หวาดกลัว...ความรู้สึกนี้กำลังเกิดขึ้นแฟนยอมรับ กลัวความจริงที่จะได้รับรู้ทั้งที่พยายามค้นหาคำตอบมาตลอด
“มองหน้ากู”
มือหนาหยาบสากวางประกบลงบนสองข้างแก้ม เจ้าของมือออกแรงเพียงนิดบังคับให้แฟนหันมามองหน้า กระทั่งสายตาซึ่งเต็มไปด้วยความสั่นไหวหันมาสบ
“อย่าเป็นแบบนี้ อย่าคิดมากเรื่องของกู” หินไม่คิดว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะส่งผลต่ออีกคนขนาดนี้
ท่าทางเซื่องซึมกว่าปกติเขย่าใจคนมองจนวูบไหว เป็นไปได้หินอยากให้แฟนกลับมาเป็นคนเดิม อยากเห็นใบหน้าสวยที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่ก็รู้ดีกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
ไม่ว่ายังไงแฟนก็ต้องรู้เรื่องนี้...มันถึงเวลาแล้ว
“กูไม่ไปกับมึงได้ไหม”
“แฟน...”
“กูไม่อยากรู้แล้ว”
“รู้เถอะ ในเมื่อมึงพยายามหาคำตอบ กูก็จะบอกมึงด้วยตัวเอง”
ร่องรอยการเข้าไปในห้องทำงานนั้นไม่อาจรอดพ้นสายตา หินรู้ว่าแฟนกำลังอยากรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเองจึงตัดสินใจบอกวันนี้
วันที่ตราตรึงอยู่ในทุกห้วงวินาทีของชีวิต สิ่งที่พยายามไม่เอ่ยถึงตลอดมา
“มึงรู้”
แฟนเอ่ยเสียงแผ่ว ขณะที่ใบหน้าคมกดลงรับเชื่องช้า ก่อนมือหนาจะเลื่อนลงมากุมมือเล็ก หยิบกระเป๋าทำงานของอีกคนมาสะพายไว้บนไหล่แล้วพาเดินออกไปข้างนอก
มื้อเช้าของวันนี้ไม่อร่อยในความรู้สึกจนแฟนกลืนอาหารลงคอได้เพียงไม่กี่คำ แต่ถึงอย่างนั้นหินก็ไม่คิดบังคับ เมื่อเห็นคนตรงหน้าหยิบน้ำขึ้นมาจิบจึงวางมือลงเช่นกัน
“เดี๋ยวกูไปส่งที่บริษัท” ดวงตาแสนเหม่อลอยเลื่อนกลับมาสบ ริมฝีปากบางค่อยๆขยับตอบ
“แล้วมึงจะกลับยังไง”
“แท็กซี แล้วเดี๋ยวตอนเที่ยงไปรับอีกที” เอ่ยตอบพร้อมทั้งหยัดกายลุกขึ้นเก็บชามโจ๊กทั้งสองชามไปแช่ให้เรียบร้อย
ร่างเล็กที่คิดอะไรอยู่ตลอดเวลาถูกนำพาโดยร่างสูงกระทั่งไปถึงบริษัท แม้ยามคนมาส่งทาบทับริมฝีปากลงมาเป็นจูบอลึกซึ้งก่อนจากลาสติก็ยังคงเลื่อนลอยจนแทบไม่รู้ตัว
--
ป้ายชื้อหินอ่อนสลักด้วยตัวอักษรสวยงามสีทองระบุถึงวันเกิดและวันจากไปปรากฏอยู่ตรงหน้า ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเงียบงัน ไม่มีประโยคเอ่ยถาม ไม่มีประโยคคัดค้านใดๆ
แฟนมองคนที่วางดอกไม้หนึ่งดอกลงเป็นอย่างสุดท้ายและนิ่งงันอยู่อย่างนั้นต่อเกือบนาที ก่อนหินจะหันกลับมาหา
ดวงตาคมแดงก่ำ...ไม่ต่างจากดวงตาของแฟน
“มึงพร้อมจะรับรู้เรื่องของกูหรือยัง”
ใบหน้าส่ายตอบเป็นไปโดยไม่รู้ตัว การปฏิเสธนั้นทำให้หินชะงัก ทว่าต่อมาก็สูดลมหายใจเข้าลึก เตรียมบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองออกมาจากปาก
ถ้าจะเดินต่อไปด้วยกัน แฟนต้องรู้เรื่องนี้
“ปริม...”
“กูขอถามคำเดียว” เสียงหวานสั่นพร่าเอ่ยขึ้นขัดจนประโยคที่กำลังจะเอ่ยถูกหยุดนิ่ง
“...” หินเงียบเพื่อให้อีกคนพูดต่อ
“มึงเป็นพ่อของเด็กในท้องเขาหรือเปล่า” เปลือกตาคนถูกถามเบิกขึ้นบ่งบอกการตกใจ
ความสั่นไหวของหินมีมากกว่าครั้งไหนตลอดเวลาที่คบกัน เพียงเท่านั้นน้ำตาหยดใสก็กลิ้งลงรินรดแก้มเนียน แฟนเบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างไม่อาจทำใจ ริมฝีปากบางที่ถูกขบกัดสั่นระริก
ใครว่าอะไรที่ยังมาไม่ถึงคือสิ่งน่ากลัว...อะไรที่เกิดขึ้นแล้วต่างหากล่ะที่น่ากลัวกว่า
เพราะมันไม่อาจแก้ไขอะไรได้เลย
อดีตนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าอนาคตเสียอีก
TBC.
มาแล้วค่าาาา~ จะบอกไว้เผื่อใครงง วันที่ปริมฆ่าตัวตายกับวันบนรูปมันคนละวันกันนะคะ ฉะนั้นมันจะครบรอบสองปีวันที่ตายกับวันบนรูปน้า
หวานมาเยอะแล้ว กลัวคนเลี่ยนกันเลยเอาม่ามาขัดสักหน่อย><(กระพือพัดใส่หม้อต้มน้ำ)
ชีวิตทุกคนมีอดีต ชีวิตทุกคนมีบาดแผล พี่หินก็เช่นกันค่ะ...
ไม่ถนัดดราม่าเลย ไม่รู้ว่าแต่งเป็นยังไงบ้าง คอมเมนต์มาเล่าสู่กันฟังหน่อยนะคะะะะะ
แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ เยิฟ
แฟนเพจ : https://www.facebook.com/writerexsoull/
Twitter : https://twitter.com/exsoull_ ฝากติดแท็ก #พี่หินคนห่าม ด้วยนะคะ