--แพ้ทาง-- แพ้ทาง 13 Up[2016/11/5]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง 13 Up[2016/11/5]  (อ่าน 25207 ครั้ง)

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
คนที่ฟินยิ่งกว่าคือคนอ่านนนนนน ขี้อ่อยทั้งคู่อ่ะ

ออฟไลน์ ChabaSri

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง8 [2016/06/27]
«ตอบ #61 เมื่อ27-06-2016 19:29:08 »

แพ้ทาง8





“แบงค์ อย่าพึ่งไปจีบมันไอ้บุ๊คอ่ะ มาช่วยดูน้องสาขาหน่อยให้ดิว่าใครหน่วยก้านพอใช้ได้มั่ง”


   “ไอ้เอิร์น!!!!”


   “ไม่อยากให้จีบก็ฝากบอกเพื่อนด้วยว่ารีบๆใจอ่อน” ผมตะโกนกลับไป


   “แบงค์!!!”



   “ฮิ้วววววววววววววววววววววววววววววววววววว”





ขอบคุณทุกคะแนนเสียงที่สนับสนุนผมครับ ผมหันไปมองหน้าแดงๆของคนที่ยืนข้างๆ



       “เดี๋ยวไปช่วยเอิร์นก่อนนะ”



   “รีบไปเลย”




ผมรีบลากไอ้หนึ่งออกมาจากตรงนั้นอย่างไวมายืนรวมกับพวกเพื่อนหลีด ปีสอง อืม...รวมผมด้วยตอนนี้ก็ห้าคนครับไม่นับไอ้หนึ่งที่ยืนหาวอยู่ข้างๆ




   “เออ หนึ่งมาด้วยก็ดี”



   “หือ?” ผม



   “ฮ้าวววววววววว” ไอ้หนึ่ง



ถ้ามึงหาวกว้างขนาดนี้..ไปนอนไหม



   “ก็เมื่อเย็นวานเราทักแชทไปขอให้หนึ่งมาเป็นหลีดให้สี แล้วหนึ่งก็ไม่อ่านไม่ตอบไม่อะไรเลย” เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงธรรมดานะครับแต่ผมสัมผัสไดถึงอำนาจแปลกๆในน้ำเสียง



   “หือ? เรา?” ไอ้หนึ่งชี้นิ้วหาตัวเองท่าทางยังเบลอๆ



   “ใช่ หนึ่งนั่นแหละ” เอิร์นยืนกอดอกมองผมสลับกับไอ้หนึ่ง



   “เอ่อ..” ไอ้หนึ่งดูเหมือนได้สติมานิดหน่อยยืนงงเกาหัวมองสาวสวยจิตสังหารตรงหน้า



   “แบงค์ก็ช่วยพูดด้วยสิ จะได้มีเพื่อนมาซ้อมไง หลีดที่เป็นผู้ชายจริงๆหายากจะตาย”



ผมพยักหน้าหงึกหงักแบบงงๆ  เอิร์นดูท่าทางพออกพอใจแต่ยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรกันต่อก็ถูกขัดจังหวะด้วยกลุ่มรุ่นพี่ปีสามที่เดินเข้ามาในลาน




พี่ๆเขาก็ถามว่าทำอะไรกันไปแล้วบ้าง พูดคุยนิดๆหน่อยๆก็ไป เออ...มาแค่นี้




ผมพยายามเดินเนียนๆไปแถวๆกลุ่มเด็กสังคมบ่อยๆ แต่เดินไปทีไรก็โดนแซวกลับมาทุกทีคนที่โดนแซวร่วมกับผมก็หน้ามุ่ยตลอด...โดนโกรธป่าววะเนี่ย




แม้จะรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อยแต่ก็ต้องทำหน้าที่ตรงหน้านี้ก่อน หลังจากที่เลือกน้องปีหนึ่งเป็นผู้ชายสามคนและน้องผู้หญิงสามคนรวมพวกปีสองด้วยตอนนี้สีเรามีหลีดทั้งหมดสิบสองคนซึ่งเอิร์นบอกว่ายังไม่พอ



   “เราต้องได้สิบหกคน ถึงจะครบตามเกณฑ์ของมหาลัย”



   “ทำไมต้องเกณฑ์มหาลัย เอาแค่ตามเกณฑ์คณะก็ได้มั๊ง” ผมว่า



   “ไม่ได้หรอก ถ้าเราชนะเข้าไปแข่งในรอบมหาลัยแล้วคนไม่ครบตามเกณฑ์ก็จะโดนตัดสิทธิ์ได้”



 เอิร์นให้พวกผมที่ไม่เคยเป็นหลีดมาก่อนมาขึ้นมือตั้งการ์ด...เป็นการยืนกางแขนที่ยาวนานที่สุดในชีวิตผม ไอ้หนึ่งที่โดนผมหว่านล้อมก็มายืนกางแขนอยู่ข้างๆกัน



   
         “กูว่านี่มันงี่เง่า” ไอ้หนึ่งเริ่ม



   “กูว่ามันออกจะปัญญาอ่อนนิดๆด้วย”



   “ไอ้สองตัวนั่นต้องล้อกูจนลูกบวชแน่”



วันนี้ไอ้นัทกับไอ้โก้ไม่ได้มาประชุม ไอ้นัทไปเดทกับแฟนส่วนไอ้โก้นอนอืดอยู่ห้อง



   
   “เอ้าๆ พอแล้วๆ เอาแขนลงได้”



เหมือนสวรรค์บัญชา



   
   “มารวมกันตรงนี้ๆ นั่งเป็นวงกลมนะ” เอิร์นเรียกสมาชิกเชียร์หลีดเดอร์ของสีที่คัดได้ทั้งหมดมารวมตัวกันที่มุมหนึ่งของลาน พวกผมนั่งรวมๆกับเพื่อนๆปีสองที่ดูเหมือนจะรู้จักผมกับไอ้หนึ่งดี ต่างที่เราทั้งสองคนไม่รู้จักใครเลยนอกจากสาวสวยที่ยืนอยู่




   “วันนี้เราได้สมาชิกมาเพิ่มตอนนี้รวมเป็นสิบสองคนแล้วเหลืออีกสี่คนก็ครบ ตอนนี้อยากให้ทุกคนแนะนำตัวกันก่อน บอกชื่อเล่น  ชั้นปีแล้วก็สาขานะ อ่า..เริ่มที่พี่ละกันนะคะ พี่ชื่อเอิร์น ปีสองสังคม...”





แล้วจากนั้นก็แนะนำตัวกัน ผมจำไม่ค่อยได้หรอกครับว่าใครชื่ออะไรบ้างแต่คิดว่าอยู่ๆไปสักพักก็คงจำได้เอง




   “ตอนนี้เราก็รู้จักกันหมดแล้วนะ ขอนัดหมายในวันพรุ่งนี้เรามาเจอกันที่นี่ก่อนแล้วก็รบกวนทุกคนวาดแผนที่จากบ้านหรือหอพักมาที่มหาลัยมาส่งพร้อมด้วยประวัติส่วนตัวคร่าวๆโรคประจำตัวแล้วก็ยาที่ต้องใช้ด้วยนะ ตอนนี้ปีหนึ่งก็แยกย้ายกลับได้จ้า”





ส่วนพวกปีสองยังต้องรอประชุมสรุปในตอนท้ายก่อนจะกลับครับ ไอ้หนึ่งพึมพำเบาเบาว่าจะไปซ้อมดนตรีมันเลยขอกลับก่อน สาขาพลศึกษาเลยเหลือแค่ผมกับแนน




ผมพยายามเนียนไปนั่งข้างๆบุ๊คแต่ก็โดนไอ้แนนที่ไม่อยากโดนทิ้งให้นั่งหัวเดียวกระเทียมลีบดึงไว้ให้นั่งข้างๆ ผมเลยได้แต่นั่งทำตาปรอยส่งไปให้คนที่นั่งอยู่อีกฝั่ง(เรานั่งเป็นวงกลมครับ) แต่ดูเหมือนผมจะโดนเมินโดยสมบูรณ์แบบครับ..ทำไงดี...ช่วยคิดหน่อยดิ จะหันไปปรึกษาแนนก็ไม่ได้ อีกฝั่งก็เป็นเพื่อนหลีดผู้ชายสาขาการศึกษาพิเศษฯจำได้ว่าชื่อต่อนี่ก็คงช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน ผมนั่งคอตกฟังเพื่อนคุยกันไปล่ะครับ




   “ทางพลศึกษาล่ะว่าไงบ้าง” จู่ๆไนท์ก็หันมาถามผมกับแนน คือนี่ไม่รู้เลยว่าเพื่อนคุยอะไรกัน




   “มึงว่าไงแบงค์” แนนหันมาถามผมทำเสียงจริงจังมาก



คือแล้วไอ้นี่ไม่ได้ฟังไง ทำไมผมเป็นแบบนี้ตลอดเลยวะ



มองซ้ายมองขวาทุกคนดูเหมือนคาดหวังคำตอบจากผม เอ่อ...



และใครบางคนคงจะรู้ว่าผมไม่ได้ฟังที่เพื่อนพูดกันเลย ก็เลยสงเคราะห์ถามคำถามเดิมซ้ำอีกรอบให้




   “คือเพื่อนถามว่า เรื่องนักกีฬาจะเอาของสาขาพลศึกษาหมดเลยไหมหรือว่าไงเพราะอาจมีพี่ปีอื่นของสาขาอื่นเขาก็อยากลงเล่นด้วย” บุ๊คถามสีหน้าจริงจังมาก




   “เอ่อ..คืองี้นะ” ผมเริ่ม



   “แข่งกีฬาภายในเสร็จก็จะไปกีฬามหาลัยใช่ไหม แล้วพอแข่งรอบมหาลัยคนชนะก็จะได้ไปแข่งยูนิตี้ต่ออีกแล้วมีโอกาสเป็นตัวแทนจังหวัดไปแข่งกีฬาแห่งชาติ คือนักกีฬาหลายคนเขาหวังตรงนี้ไงก็ไม่ใช่ว่าปิดโอกาสคนอื่นหรืออะไรแต่ว่ามันจำเป็นจริงๆ เพราะพอเอาจริงๆแล้วพอรอบมหาลัยทางคณะก็ให้นักศึกษาจากสาขาพลศึกษาเข้าไปแข่งอยู่ดี ถ้าถามความเห็นเราเราว่าให้ไปตั้งแต่รอบนี้เลยจะได้ประเมินฝีมือและเป็นการไม่เสียเปล่านะ”




พอผมพูดจบเพื่อนๆก็ออกความเห็นกัน หลังจากผ่านการโหวตไปผลออกมาก็คือ



   “ตกลงว่าฝ่ายกีฬาปีนี้พลศึกษารับไปเลยนะ เรื่องงบประมานค่อยมาว่ากันอีกที ฝากด้วยนะแนน” ไนท์สรุปการโหวตแล้วหันไปยิ้มแบบนางงามขนานแท้ให้แนน





หลังจากที่ได้ผลสรุปเรื่องปลีกย่อยต่างๆไปอีกสองสามเรื่อง ตอนนี้ตั้งใจฟังแล้วครับ ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ผมที่โดนเอิร์นกักตัวไว้เพราะจะปรึกษาเรื่องสถานที่ในการซ้อมหลีด นี่ผมกลายเป็นตัวหลักไปแล้ว?



ในตอนนั้นเองหูผมก็ได้ยินบทสนทนาของไนท์กับบุ๊คเข้า เอาจริงๆก็ตั้งใจฟังมากครับ




   “เมือเช้ามึงมาไง” ไนท์ถาม




   “เมื่อเช้าฝนตกเลยนั่งแท็กซี่มา”




   “แล้วทำไมมึงไม่เอามาสด้ามา แล้วนี่จะไปสอนยังไงฝนตกแบบนี้เรียกแท็กซ่คงทันหรอก”




   “เออน่า กูหาทางได้แหละ”




ผมที่ฟังประโยคสนทนาพวกนั้นอยู่ตลอดก็เกิดความคิดดีดีขึ้นมา เลยขอตัวจากการฟังเอิร์นพล่ามออกมาหาคนที่ง่วนอยู่กับการเก็บของและถอนหายใจกับการบ่นของเพื่อนตัวเอง




ไนท์เห็นผมเดินเข้าไปหาอีกคนก็เหล่ตาไปมองบุ๊คแล้วเบ้ปากให้แบบหมั่นไส้นิดๆแล้วเดินออกไปเงียบๆ




   “ไม่ได้เอารถมาหรอ” ผมถามออกไป อีกคนสะดุ้งน้อยๆแล้วก็หันมาทำตาโตใส่ผม..นี่ตกลงจะน่ารักหรือจะโกรธหรือจะตกใจเอาสักอย่างสิ มาทำหน้าแบบนี้มันไม่ดีต่อภาวการณ์เต้นของหัวใจเลย





   “อ้อ อืม” เขาพยักหน้าแล้วกลับไปเก็บของต่อ



   “เราเอารถมา เดี๋ยวไปส่ง”




พอผมพูดแบบนั้นอีกคนก็ยืดตัวขึ้นมาแล้วหันมามองผมเต็มๆตา




   “เราจะไปสอนพิเศษ..”




   “ก็นั่นแหละได้ยินแล้ว เดี๋ยวจะไปส่ง”




   “นี่บังคับ??”



   “เปล่าครับ อยากไปส่ง นะครับ”  โอ้โห!! ไอ้แบงค์เสียงงุ้งงิ้งแบบนี้ไปเอามาจากไหน



   “...”



 
   “นะครับ”




แล้วในที่สุดบุ๊คก็พยักหน้า ผมแอบเห็นว่าอีกคนแก้มแดงๆนิดๆด้วยโอ้ยยยยยยแพ้ทาง ให้ตายเถอะซุส!!





ผมคว้ากระเป๋าเอกสารของอีกคนมาถือไว้ เขาทำท่าจะเข้ามาแย่งคืนไปผมเลยส่งสายตาดุๆไปให้เขาเลยยอมปล่อย ผมเดินไปบอกเอิร์นว่าจะกลับก่อนมีอะไรให้โทร.ไป แล้วเดินนำเขามาที่ลานจอดรถ





   “ว่าแต่ สอนที่ไหนเนี่ย”  ผมถามบุ๊คหลังจากที่เราขึ้นรถแล้วขับออกมาจากคณะ



   “ที่...”




   “อ๋อ โอเคครับ”




พอออกมาพ้นรั้วมหาลัยได้ไม่เท่าไหร่ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก มันจะโรแมนติกมากถ้าเราไม่ได้รีบไปน่ะครับ =,.=




   “ถ้าไปไม่ทันจะเป็นไรไหม?” ผมหันไปถามอย่างเป็นห่วง



   “อ๋อ ไม่ต้องรีบหรอกที่จริงเราสอนทุ่มนึงนะวันนี้ นี่พึ่งห้าโมงครึ่งเอง” บุ๊คบอกแบบท่าทางสบายๆมาก



ผมเหลือบไปมองคนที่นั่งข้างๆกันแล้วขมวดคิ้ว นั่งเล่นโทร.ศัพท์เฉยเลยอ่ะ สนใจเราบ้างสิครับโถ่วว




   “ทำไรอ่ะ” ผมถามออกไประหว่างที่รถติดไฟแดง



ติดไกลมากแบบที่ว่าไฟเขียวอีกสามรอบถึงจะพ้นแยกนี้ไปอ่ะครับ



   “เพื่อนไลน์มาถามการบ้านวิชาเอก ที่จริงเราก็พึ่งรู้นะว่ามีการบ้านด้วย” บุ๊คพูดขำๆแล้วหันมายิ้มให้ผม 




ไอ้เรานี่เอ๋อไปเลยครับ สว่างไสวมาก ฮอลลลลลล ยูคิลมีเบบี๋





   “อ๋อ” ไม่ใช่ไม่มีอะไรจะพูดนะครับ มันพูดไม่ออก ไม่เคยอยู่ใกล้กันแล้วได้ยิ้มกว้างๆมาแอทแท็คขนาดนี้



   
มือไม้แม่งเกะกะไปหมด ไม่รู้จะทำอะไรเลยโอ้ยยย



   “เราเปิดเพลงนะ”




 ผมที่ไม่รู้จะแก้อาการขัดเขินนี้ยังไงก็เลยหันไปขออีกคนเปิดเพลงซึ่งนั่นเป็นการกระทำที่งี่เง่ามาก...ก็นี่มันรถผม โถ่วว




   “ไม่ต้องขอเราหรอก นี่รถแบงค์นะ” เอาอีกแล้วครับ พูดแบบท่าทางสบายๆแล้วเจือเสียงหัวเราะไปด้วยนี่




โอยยย ตายยยยหัวใจเต้นแรงมาก บ้าจริง!!




   
ผมเอื้อมมือไปเปิดวิทยุให้เสียงเพลงคลอเบาเบาไปกับเสียงฝนภายนอกที่ตกอย่างกับว่าทั้งปีนี้จะไม่ตกอีกแล้ว




เรานั่งกันไปเงียบๆ อีกคนก็ง่วนอยู่กับการตอบไลน์พื่อน ผมหยิบไอโฟนลูกรักออกมาแล้วแอบถ่ายภาพอีกคนจากด้านข้าง  ผมมองดูรูปนั้นแล้วคิดวิธีเรียกร้องความสนใจได้




ผมจัดการลงรูปเขาในอินสตาแกรมของตัวเองแล้วแท็กเขาไปด้วย พร้อมแคปชั่นง่ายๆอย่าง



รักจะเกิดขึ้นมันต้องมองตา ไม่ใช่มองจอ




ผลเหล่มองอีกคนตลอด นั่งรอสักพักเขาก็เปลี่ยนสีหน้าจากขมวดคิ้ว เป็นอ้าปากค้างแล้วก็หน้าแดง ฮู่ยยยยปริ่ม




   “ทำไรเนี่ยยยยย” น้ำเสียงโวยวายมากครับ เขินอ๊ะเด้ โด่วววว




   “ทำไร” ทำหน้าไขสือตอบไปครับ ยิ้มกับลมกับฝนไป



   “ก็เนี่ย รูปเราเนี่ย ในไอจีแบงค์แคปชั่นนี่อีก”



   “เอ้า ก็จริงอ่ะคุยกับเรามั่งดิ รักจะเกิดมันต้องมองตานะครับ” พูดจบผมก็หันไปมองตาอีกคนยื่นหน้าเข้าไปใกล้ด้วย




ทำเหมือนกล้านะแต่ที่จริงใจผมอย่างกับเต้นแทงโก้อยู่เลย แท่บแท่บ แท่บ แทแด่บ




   “มองตาไรล่ะ ขับรถไปเลย” หูยยยยมีเสียงดังกลบเกลื่อนด้วยนะครับบางคน




แล้วเหมือนโชคชะตาฟ้าจะเป็นใจ เพลงที่ดังขึ้นมาในวิทยุตอนนี้เป็นเพลงที่โคตรตรงกับความรู้สึกผมเลยอย่างกับนิยายแหนะ(ก็มันนิยาน่ะแบงค์)





   “ขอมือเธอหน่อย ไว้คอยกระชับให้ชื่นใจ
ขอมองตาหน่อย ไว้คอยให้เตือนเมื่อเหงาใจ…
ขอใจเธอหน่อย ไว้คอยเป็นแรงผลักดันฝันอันยิ่งใหญ่
หากมีหัวใจของเธอ ก็สุขเกินพอ…



อยากจะจับมือกับเธอ จับมือกับเธอสักครั้ง
จับมือให้ฉันไม่เคว้งไม่คว้าง
และไม่เปล่าเปลี่ยวเกินไป”






ผมร้องเพลงไปพร้อมกับเสียงในวิทยุแล้วมองหน้าอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆกันไปด้วย ถามว่าเขินไหม..เขินมากครับ แต่ใจมันสั่งล้วนๆเลย เพลงมันโดน



   “อะ อะไร”




ความสำเร็จของผมวัดได้จากหน้าแดงๆแล้วก็อาการหันหน้าออกไปทางหน้าต่างรถ อยากสะกิดบอกจังเลยว่าผิวกระจกมันสะท้อนนะ




   “เห็นนะว่ายิ้มอ่ะ” ผมแซว  ปล่อยให้เพลงดังต่อไปครับ



เหลือบตามองไฟแดงก็ยังนับถอยหลังต่อไป เออติดนานๆเลยนะเอ็ง




เขาหัยมามองผมตาโต ทำปากพะงาบๆเป็นปลาทองเลย โอ้ยยยน่ารักว่ะ




   “จีบกันไม่หยุดพักเลยนะ คิดบ้างป่ะว่าเราจะเขินอ่ะ” ตรงมากครับ ว่าที่แฟนใครเนี่ยทำไมน่ารักโอ้ยยย โดนใจ




   “ก็อยากให้เขินไง เป็นไงหวั่นไหวบ้างป่ะ?”




   “หวั่นไหวไรล่ะ ขับรถไปเลยนะไม่ต้องฟังเพลงแล้วด้วย” หูยยโวยวายๆ





   “เขินก็บอกกเขินนะครับ ไม่ใช่บอกให้ขับรถไป” ผมยงไม่เลิกแซว




   “ถ้ายังไม่เลิก เราจะตีแบงค์แล้วนะ บอกให้ขับไปไงไม่ต้องมามองเลย!!” 



แหนะ มีออพชั่นเสริมเป็นหน้าแดงๆกับแก้มตุ่ยๆอมยิ้ม น่ารักหน้าฟัดมาก แต่ยังก่อนผมต้องปล่อยหมัดเด็ดก่อน





   “ถ้าไม่อยากให้เราจีบบ่อยๆ ก็จีบเรากลับมั่งสินี่ไม่ถือนะนี่โอเคมากไม่เป็นไร”







ตู้มมมม







เหมือนได้ยินเอฟเฟคนี้ดังมากจากหน้าของอีกคนเลยครับ แล้วก็ตามมาด้วยหมัดหนักๆที่ทุบมาบนแขน เจ็บแฮะ




   “บอกให้ขับรถไปไง!!!”




   “ฮ่ะๆๆ ครับผมๆ”




ผมหันหน้าไปตั้งใจขับรถ ฮัมเพลงในคอมเป็นเพลงที่ร้องให้อีกคนฟังเมื่อครู่ คิดไปแล้วเขินว่ะ บ้าเนอะ ฮ่าๆๆๆๆ






เราติดอยู่บนถนนนานพอสมควรแต่ก็มาถึงโรงเรียนสอนพิเศษที่อีกคนทำงานอยู่ทันเวลาเหลือเฟือแบบที่เขาบอก



 ผมเดินถือกระเป๋าเอกสารเดินตามอีกคนเข้ามาภายในอาคาร





   “ขอบใจมากนะ แบงค์กลับเลยเปล่า?”



   “ถ้าเรากลับแล้วบุ๊คกลับไงอ่ะ”




   “ก็แท็กซี่มั๊ง”



อีกคนพูดด้วยท่าทางสบายๆในแบบของเจ้าตัว




   “งั้นเรานั่งรอละกัน เดี๋ยวไปส่ง”




   “เฮ้ย!! ไม่เป็นไร เรากลับเองได้”



   “ไม่เอาดิ เดี๋ยวเรารอ วันนี้ไม่ได้ไปไหนอยู่แล้ว” ผมพูดแล้วยิ้มให้อีกคน




   “งั้นก็ตามใจ ถ้านานอย่ามาบ่นนะ”




   “ครับผม”



แล้วเขาก็เดินเข้าไปด้านใน ผมเลยเลือกโซฟาที่ตั้งอยู่ในส่วนด้านหน้าประชาสัมพันธ์นั่งเล่นมือถือรออีกคน ผมเข้าไปเช็คคอมเม้นในไอจีที่พึ่งโพสต์ไปเมื่อครู่ใหญ่ๆ





Number_one นี่กูพลาดอะไรไปตอนไหนวะ


Nut_indy   น่ารักว่ะ จีบด้วยได้ไหม ฮ่าๆๆๆๆ


ไอ้นัท กวนตีนแล้วมึง


Sico_man   กูเริ่มหมั่นไส้มึงแล้วเนี่ยไอ้หล่อ



Money_nie  อรั๊ยยยยน่ารักอ่ะ สวัสดีค่ะว่าที่พี่สะใภ้


อืม มันนี่พูดดีเดี๋ยวเฮียให้ตังกินหนม





 และอื่นๆอีกมากมาย ผมตอบคอมเม้นไปบางคอมเม้นสำหรับคนที่ผมรู้จัก ไลน์ไปบอกมันนี่ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้วก็ให้เอาอาหารให้คุณดอลลาร์ด้วย ไอ้พวกนั้นก็ไลน์มาถามผมกันใหญ่ว่าอะไรยังไงในไลน์กลุ่ม




ยังไงครับไอ้หล่อยังไง


โมเม้นดี


อะไรของพวกมึง



ไม่ต้องมาเนียน มึงไปทำไงถึงได้เขามาเป็นตุ๊กตาหน้ารถ



=,.=



ขยายมา



วันนี้เขาไม่ได้เอารถมา กูเห็นฝนจะตกก็เลยมาส่งเขาที่ทำงาน



หูยยยยเนียนไปสิครับ



ให้กูเดานะมึงต้องรอเขาเลิกงานด้วยแน่ๆ



แล้วก็ชวนไปกินข้าวสิแหม



เดี๋ยวก็ขอไปส่งบ้าน



เออ





ผมตอบไปแค่นั้นแล้วก็เลิกสนใจพวกมันที่คงโวยวายแน่ๆที่ผมไม่ไปตอบอะไรอีก


ผมเดินไปซื้อชาไข่มุกจากร้านเฟรนชายชื่อดังที่ตั้งอยู่ภายในสถาบันกวดวิชาแห่งนี้แล้วก็นั่งรอเขาต่อไป





หยิบหนังสือที่มีอยู่มากมายมาอ่านรอ เห็นแบบนี้ก็ชอบอ่านหนังสือนะครับมันเล็กแล้วก็พกพาสะดวก...








   “อ่านไรอ่ะ”




ผมเงยหน้ามองคุณครูคนเก่งที่ผมมานั่งรอแล้วก็แปลกใจ เหมือนแค่แปปเดียวจริงๆ แต่เหลือบดูนาฬิกาแล้วก็ตกใจสามทุ่มกว่าไปแล้วครับ น้ำในแก้วชาก็ละลายหมดแล้ว




   “เชอร์ล็อก โฮล์มส์ สอนเสร็จแล้วหรอ?”




   “อื้อ เสร็จแล้วล่ะ”



   “กลับเลยไหม?”



   “อื้อ”



ผมเดินเอาหนังสือไปเก็บแล้วเดินกลับมาหาอีกคนที่ยืนรออยู่ที่เดิม



แย่งเอากระเป๋าเอกสารของอีกคนมาถือไว้แล้วเดินนำออกไป แอบเห็นว่าเขาหน้ามุ่ยด้วยครับ





   “หิวป่ะ” ผมหันไปถามหลังจากที่เขาคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้ว



   “หือ?? แบงค์หิวหรอ”




ที่จริงก็ไม่หิวหรอกครับ แค่อยากกินข้าวด้วย




   “ก็นิดหน่อย”



   “งั้นไปกินสเต๊กกัน เดี๋ยวเราเลี้ยงเอง”



   “โอเคครับ”




เรามาถึงร้านสเต๊กที่อีกคนบอกว่าอร่อยนักหนา สั่งอาหารเสร็จไม่นานก็มาเสิร์ฟ หน้าตาน่าทานมากครับเนื้อชิ้นใหญ่มากอ่ะ



แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทานบุ๊คก็เรียกผมไว้ก่อน และทันทีที่ผมเงยหน้าขึ้นเสียงชัตเตอร์จากกล้องไอโฟนก็ดังขึ้น





   “คึคึ หน้าเหวอมากอ่ะ” เขาหันจอไอโฟนที่เป็นรูปผมถือมีดกับส้อมแล้วเงยหน้ามองกล้องเขาพอดี



ผมว่า...ก็หล่อดีนะ ฮ่าๆๆๆ




   “เหวอที่ไหน หล่อจะตาย” ผมพูดลอยหน้าลอยตาเลยครับ  อีกคนเบ้ปากหมั่นไส้




แหมอยากเอื้อมมือไปหยิกปากยื่นๆนั่นจริงเชียว




   “เราอัพนะ”




   “อือ เอาดิ”



ใครก็อยากมีรูปตัวเองบนไอจีคนที่ชอบทั้งนั้นล่ะครับ ผมนั่งมองเขาที่ง่วนอยู่กับมือถือสักพักก็มีแจ้งเตือนดังเข้ามาที่มือถือผม ผมเลยกดเข้าไปดู





ปรากฏว่าเป็นรูปผมที่เขาถ่ายเมื่อครู่พร้อมกับแคปชั่นที่ทำเอาผมไปไม่เป็นเลย




อยู่อยู่ก็มาหวานใส่ เอาอกเอาใจกับฉัน มาออดมาอ้อนอย่างนั้น
         ฉันดูว่ามัน ยังไงยังไงอยู่นะ





“คิก”



เสียงหัวเราะที่ดังมาจากฝั่งตรงข้ามทำให้ผมเงยหน้ามามอง




   “อะไรนี่อ่อยเราหรอ”




   
“แล้วแบงค์ว่าไงล่ะ”





อีกคนพูดยิ้มๆแล้วเอามือท้าวคางสายตาที่มองมาที่ผมนั่นมันอะไรกัน!!!
   



-----------------------------------2bc-----------------------------------




สัมผัสได้ถึงพลังงานความอ่อย


ไม่แน่ใจว่าใครจีบใครแรงกว่ากันนะครับตอนนี้

ไม่รีบเนอะ ปล่อยให้เขาค่อยๆทำความรู้จักกับตัวตนของอีกฝ่ายไปเบาเบา จีบกันต่อไป

ขออภัยที่หายไปหลายวัน นะครับเอาตอนแปดมาง้อ อิอิ

ก็อยากมีโมเม้นแบบมาตอบเม้นคนอ่านไรงี้ แต่เอาตรงๆนะ เขิน ฮ่าๆๆๆๆ

เจอกันตอนหน้าครับผม  :katai4: :katai4:



ปล.รักคนอ่าน รักคนเม้นมากๆเลยครับ กำลังใจของคนเขียนคือพวกคุณทุกคนเลย


THE KING IN THE NORTH!!!  ปริ่มแรง


สปอยล์ตอนหน้า


"ถ้าไม่โอเคตรงไหนก็บอกนะ เราจีบบุ๊คไม่ใช่จะบังคับให้มาเป็นแฟนนะครับ"



ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง8 [2016/06/27]
«ตอบ #62 เมื่อ27-06-2016 19:46:17 »

น่ารัก เวลาบุ๊คอ่อยกลับมันได้ใจจริงๆ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง8 [2016/06/27]
«ตอบ #63 เมื่อ27-06-2016 19:50:10 »

อ่อยกันไปอ่อยกันมา เบาหวานขึ้นอ่ะ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง8 [2016/06/27]
«ตอบ #64 เมื่อ27-06-2016 20:32:43 »

ต่างคนต่างอ่อยเลยนะ  :-[

ออฟไลน์ lazysheep

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-2
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง8 [2016/06/27]
«ตอบ #65 เมื่อ27-06-2016 20:53:02 »

อ๊อยยยยย แก้มแตก

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง8 [2016/06/27]
«ตอบ #66 เมื่อ05-07-2016 21:25:13 »

อ่อยกันเข้าไป คนอ่านจะเขินแทนแล้วน่ะ อิอิ

ออฟไลน์ ChabaSri

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
--แพ้ทาง-- แพ้ทาง9 [2016/07/21]
«ตอบ #67 เมื่อ21-07-2016 22:11:54 »

แพ้ทาง9







อยู่อยู่ก็มาหวานใส่ เอาอกเอาใจกับฉัน มาออดมาอ้อนอย่างนั้น
ฉันดูว่ามัน ยังไงยังไงอยู่นะ




“คิก”



เสียงหัวเราะที่ดังมาจากฝั่งตรงข้ามทำให้ผมเงยหน้ามามอง


   “อะไรนี่อ่อยเราหรอ”



   “แล้วแบงค์ว่าไงล่ะ”





อีกคนพูดยิ้มๆแล้วเอามือท้าวคางสายตาที่มองมาที่ผมนั่นมันอะไรกัน!!!

   




       “ไม่รู้สิ” ผมทำท่าทางเดียวกับที่เขาทำอยู่ก่อนแล้ว



อีกคนเห็นผมทำท่าทางแบบนั้นก็ตาโตแล้วเบือนหน้าหนีออกไปนอกร้าน



   “ใครจะไปขี้อ่อยเหมือนแบงค์กัน รีบกินเลยเราง่วงแล้ว” โถ่ววสู้ไม่ได้ก็โวยวาย



   “ครับๆ” ผมกินไปยิ้มไป อีกคนก็กินไปค้อนไป เสมอกันละกันเนาะยกนี้




หลังจากที่ทานเสร็จผมบอกเขาว่าจะแชร์ด้วยแต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธและทำท่าจะโกรธเมื่อผมเอากระเป๋าเงินออกมา พอได้เห็นสายตาแบบนั้นผมเลยยอมแพ้




   “ก็แบงค์อุตส่าห์มาส่ง แล้วยังรอรับเรากลับอีกแค่นี้ก็เกรงใจแล้ว เราเลี้ยงอ่ะถูกแล้ว”



ผมเลยได้แต่จำยอมครับ




บุ๊คบอกทางที่จะไปอพาร์ตเมนท์ที่เจ้าตัวพักอยู่ ผมค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อยเพราะเป็นทางผ่านไปบ้านผมพอดี พอผมบอกไปว่าเป็นทางเดียวกันเจ้าตัวก็หรี่ตามองผมเหมือนจะจับผิดอ่านจากสายตาได้ว่า ’จะมาเนียนอะไรอีก’



   “เอ้า ไม่เชื่ออีก”



   “ก็จะให้เชื่อได้ไง ไอ้มุกเนียนไปส่งนี่หาได้ตามแผงนิยายทั่วไปเลยนะ”



   “โหย เราไม่ใช้มุกแบบนั้นหรอก มันไม่ฮิป”



   “ไอ้มุกร้องเพลจีบนี่ฮิปมากว่างั้น? ร้องเพลงจีบงี้คิดว่าตัวเองเป็นพี่คล้าวรึไง”



   “แหม อยากเป็นน้องทองกวาวแห่งทุ่งบางกะปิก็ไม่บอกนะจ๊ะ น้องบุ๊ค



   “น้องเนิ้งอะไรเล่า ไอ้ทุ่งบางกะปินั่นมันเรื่องแผลเก่า ขับรถไปเลยนะไฟเขียวแล้ว”



   “ครับ ครับ”



ผมรับคำแล้วหันไปยิ้มกับไฟท้ายรถคันข้างหน้า



   “บอกแล้วว่าเขินก็บอกว่าเขิน ไม่ใช่บอกให้ขับรถไป”



คนโดนจีบไม่ตอบอะไรกลับมาได้แต่ค้อนปะหลังปะเหลือกให้ลมให้ฟ้าไป


 

คนข้างๆที่นั่งครึ่งยิ้มครึ่งบึ้งไปตลอดทางจนมาถึงอพาร์ตเมนท์ที่เจ้าตัวพักอยู่ เป็นอพาร์ตเมนท์ค่อนข้างมีชื่อตั้งอยู่ในย่านห้างสรรพสินค้าชื่อดังของจังหวัด จนรถจอดสนิทผู้ร่วมทางจึงหันมาพูดกับผม




   “ขอบใจมากนะ สำหรับวันนี้”



   “ยินดีมากครับ”



ผมส่งยิ้มกว้างไปให้



   “ถึงบ้านแล้วไลน์มาบอกด้วยนะ ขับรถดีดีล่ะ บาย”




แล้วผู้โดยสารก็โดดลงจากรถไปยืนอยู่บนฟุตบาททางเข้าอพาร์ตเมนท์ เขาโบกมือให้ผมออกรถไป ผมเลยถอนสายตาจากอีกคนแล้วขับรถกลับบ้านตัวเอง










--หลายวันผ่านไป—





ผมกำลังรู้สึกเซ็งสุดขีด



อาการนั่งเขี่ยหน้าจอมือถือไปมาด้วยอารมณ์เลื่อนลอย ที่เป็นมาสองสามวันแล้ว



   ตอนนี้เรานั่งอยู่ในห้องเรียน หน้าห้องเพื่อนร่วมชั้นกำลังพรีเซนต์งานอย่างตั้งอกตั้งใจ ผมที่ควรจะตั้งใจฟังและเลกเชอร์ตามอย่างที่เคยทำกลับไม่ทำ เรียกความสนใจจากเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ




   “เป็นเหี้ยไรมึง กูเห็นมึงทำหน้าเหมือนแมวป่วยลอยๆเป็นซอมบี้อยู่หลายวันแล้ว”



ผมหันไปมองหน้าไอ้โก้ที่กระซิบถาม ผมไม่ตอบคำถามนั้นของเพื่อน เบือนสายตาไปมองสไลด์พรีเซนต์ของเพื่อนหน้าห้อง



   สาเหตุของอาการลอยๆของผมมาจากเจ้าของแอคเคาท์ไลน์ที่ผมเปิดค้างไว้ตอนนี้ หลังจากวันนั้นที่ผมไปส่งเขาที่หอผมก็ไม่ได้เจออีกคนเลย ไลน์ไปก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร ไม่เปิดอ่านด้วยซ้ำผมก็ไม่กล้าโทร.ไป ยังไม่ได้เป็นอะไรกันหรือสนิทจนถึงขั้นที่จะโทร.หาได้ ผมลองเลียบๆถามกับไนท์ดูเธอบอกว่าบุ๊คไม่มาเรียนสองวันแล้วแต่เขาโทร.มาบอกเพื่อนให้ลากิจให้ผมไม่ได้เซ้าซี้อะไร เลยได้แต่มานั่งเซ็งอยู่แบบนี้





   “กูว่าจนกว่าจะเลิกกีฬาสี กูจะลานแบบไม่มีกำหนดไม่งั้นกูได้ตายจริงๆแน่”



ไอ้หนึ่งเอ่ยขึ้นลอยๆสายตายังมองไปที่จอโปรเจคเตอร์หน้าห้องเรียน ที่มันบ่นออกมาแบบนั้นเพราะหลายวันมานี้เราเริ่มซ้อมกันจริงจังแล้วแต่ไอ้หนึ่งมันยังรับงานร้องเพลงอยู่ มันเลยมีสภาพย่ำแย่กว่าผมเสียอีก มันเหนื่อยกายแต่ผมนี่ขาดกำลังใจ




   “เออ กูว่าจะบอกมึงหลายทีแล้วให้เลือกเอาสักอย่าง” ไอ้นัทพูดขึ้นมาไม่มองหน้าใคร สายตาและมือยังเลกเชอร์ตามที่เพื่อนพรีเซนต์อย่างตั้งใจ



      เฮ้อออออออ



ผมถอนหายใจแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ




   ผมฟุบหลับไผจนกระทั่งรู้สึกถึงแรงเขย่าแขน เงยหน้าขึ้นมองปรากฏว่าคอนนี้เลิกคลาสแล้วและเพื่อนๆกำลังทยอยออกจากห้องเรียน



   “พวกกูจะไปทำการบ้านที่ห้องชมรม มึงไปป่าว” ไอ้นัทเอ่ยถาม



ผมลุกขึ้นแล้วส่ายหน้า



   “กูทำเสร็จแล้ว ว่าจะกลับไปนอนสักงีบแล้วหกโมงจะไปซ้อม” ผมตอบเนือยๆ



   “ก่อนไปซ้อมมึงมารับกูที่หอด้วยนะ กูขี้เกียจขับรถ” ไอ้หนึ่งบอกมาเสียงเนือยๆพอกัน ผมพยักหน้ารับแล้วเดินออกจากห้องไป





--หกโมงกว่า—





ผมกับไอ้หนึ่งที่ท่าทางยังไม่ตื่นดีมาถึงสวนสาธารณะกลางเมืองที่เปิดตลอด24 ชม. หลังเวลานัดเล็กน้อยเพราะกว่าผมจะงัดไอ้หนึ่งออกจากเตียงได้ก็ใช้เวลาพอสมควร แต่ก็ยังมาถึงเป็นคนแรกๆ




ตอนนี้เรามีสมาชิกครอบครัวหลีด(แบบที่เอิร์นเรียก)ทั้งหมด 16 คน การฝึกซ้อมก็เป็นแบบครอบครัวจริงๆ เพราะรุ่นพี่ปี3และ4เป็นคนซ้อมให้ การซ้อมในช่วงแรกเป็นการล็อคการ์ด ล็อคแขน ผมพยายามทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุดแม้สองสามวันมานี้จะมีใจลอยและแอบขี้เกียจบ้างก็ตาม




พอมาถึงผมกับไอ้หนึ่งก็แยกย้ายกันไปจับคู่กับน้องๆปีหนึ่งเพื่อวอร์มร่างกายกัน



   “อ้าว มาแล้วหรอพวกมึง”



   “มาก็เห็น” เสียงไอ้หนึ่งดังขึ้นกวนๆ ผมหันไปมองมันแต่ปรากฏว่ามันไม่ได้มองมาทางนี้ เมื่อกี้มันคุยกับพวกผมป่ะวะ



   “มึงมานานแล้ว?” ผมถามไอ้ต่อ



   “ก็วิ่งรอบสนามได้สองรอบละ”



เราคุยกันสัพเพเหระไปเรื่อยในระหว่างที่วอร์มร่างกาย




พอรุ่นพี่มาถึงเราเลยแยกย้ายไปซ้อม วันนี้ต้องลงท่าในเพลงประจำสถาบันในบางท่อน





   “มาแล้วจ้าๆๆ” เสียงแหลมๆนั่นดังมาแต่ไกล เอิร์นไงจะใครล่ะ แต่ที่ผมสนใจไม่ใช่ตัวหญิงสาวผู้เป็นเพื่อน ผมสนใจคนที่เดินหิ้วกระติกน้ำใบใหญ่ตามหลังเอิร์นมาต่างหาก พอได้เห็นแบบนี้แล้ว คิดถึงชะมัด




   “อ้าวๆ แบงค์อย่าอ้าปากกว้างมาก มาช่วยยกของที่ท้ายรถหน่อย”



อะไร ผมอ้าปากหรอ ไม่ม้างงงง




ผมเดินไปที่รถมาสด้าสองคุ้นตาสวนทางกับเจ้าของรถพอดี



   “เอาลงมาแค่ถังน้ำเปล่ากับน้ำแดงสองขวดนะ ตั้งอยู่ข้างๆกัน”




   “อื้อ”




ผมหิ้วของออกมาสมทบกับที่อีกคนเขายกมาก่อนแล้ว ผมช่วยบุ๊คจัดการข้าวของตรงหน้ามีทั้งขนมทั้งน้ำ เขาจัดการผสมน้ำแดงใส่กระติกน้ำพร้อมใส่น้ำแข็งเรียบร้อย ผมนั่งมองหน้าเขาอยู่แบบนั้น คนอะไรวะยิ่งมองก็ยิ่งดูดี มองไม่เบื่อเลย ดูเหมือนคนข้างๆเขาจะรู้แล้วว่าผมมองอยู่ แก้มขาวๆนั่นเป็นสีเรื่อขึ้นนิดๆอาการเม้มปากที่แสดงถึงความประหม่านั่นทำผมได้ใจ จากมองเฉยๆเป็นจ้องเลยทีเดียว




   “มองไรนักหนา” เขาบ่นพึมพำขึ้นมา




   “ก็ไม่เจอกันตั้งหลายวัน เลยมองให้หายคิดถึงไง”



   “...”



   “นี่?”



   “หือ?”



   “ถ้าเราถามอะไรหน่อยจะหาว่าเราเสือกป่ะ”



   “ก็ต้องลองถามดูอ่ะ”



   “หายไปไหนมาตั้งหลายวันหรอ? เราไลน์ไปก็ไม่อ่าน..ไม่ได้จะเซ้าซี้นะ คือมัน...”




ผมเริ่มคิดว่ามันควรจะถามหรือเปล่า ผมถามแบบนี้ได้ไหมนะ



แต่อีกคนกลับยิ้มนิดๆให้กับอาการเงอะๆนั้นของผม



   “เราไปงานแต่งงานญาติที่ต่างจังหวัดมา มันค่อนข้างอับสัญญานอ่ะเลยไม่ได้เปิดสี่จีใช้ ทำไม? นอยด์หรอ?”  ถามแล้วยิ้มล้อๆแบบนี้หมายความว่าไงเนี่ย




   “ก็นอยด์ได้ป่ะล่ะ เรานึกว่าบุ๊คอึดอัดไม่อยากคุยไรงี้ไปดิ”



   “ฮ่าๆๆ คิดมากว่ะ  เราเคยบอกหรอว่าไม่อยากคุยอ่ะ”



   “ก็ไม่ไง ถ้าให้บอกตรงๆก็คงไม่บอกใช่ป่ะล่ะ แต่คืองี้นะ ถ้าลำบากใจหรืออึดอัดที่เราทำอะไรก็บอกเลยนะ เคไหม? เราจีบบุ๊คนะไม่ได้มาบังคับให้มาเป็นแฟน”



   “อื้อ รู้แล้ว”



อีกคนตอบแล้วส่งยิ้มกว้างๆมาให้ผม ผมเลยเอื้อมมือไปดึงแก้มขาวๆนั่น



   “อื้ออออ อย่าดึงดิ”



อีกคนหน้ามุ่ยแต่ผมกลับยิ้มกว้าง รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก แค่ได้เห็นหน้าได้คุยกันแค่นี้มันก็ดีกับใจมากๆเลยว่ะ จริงๆ




   “เฮ้ย พวกมึงอ่ะ เลิกจีบกันแล้วมาซ้อมไหม”



เอิร์นร้องเรียกมาจากกลุ่มน้องปีหนึ่งที่กำลังซ้อมท่าใหม่กันอยู่ และเสียงของเพื่อนสาวคนนี้ก็ทำให้สมาชิกทั้งหมดหันมามองผมกับบุ๊คเป็นตาเดียว



   “คือไม่มีใครมาจีบมึงก็อย่าโวยวายดิวะเอิร์น” ผมแขวะอีกคนกลับไป



   “กูไม่ได้อิจฉา กูหมั่นไส้” เธอร้องตอบกลับมา เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้เป็นอย่างดี




อีกคนพึมพำบอกให้ผมไปซ้อม ผมเลยผละไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี




เราซ้อมกันไปก็เล่นกันบ้างจริงจังบ้างพอให้ไม่เครียด สนุกสนานกันตามประสาจนสองทุ่มกว่าๆ รุ่นพี่ก็ให้พักได้ บุ๊คเลยอาสารวบรวมเงินไปซื้อข้าวให้ทุกคนเพราะคนขยันคนนี้รับหน้าที่สวัสดิการของหลีด




   “เดี๋ยวเราไปเป็นเพื่อน”



ผมเดินไปบอกคนที่กำลังจะเดินไปซื้อข้าวที่ตลาดโต้รุ่งใกล้ๆกับสวนสาธารณะ



   “อื้อ”



   “ไปซื้อข้าวนะโว้ย ไม่ใช่ไปนั่งกินข้าวกันแล้วอัพรูปลงไอจี”




เสียงตะโกนที่ไล่หลังมาคราวนี้เป็นไอ้ต่อครับ  เรียกเสียงโห่ฮาจากเพื่อนๆรุ่นพี่รุ่นน้องได้เป็นอย่างดี




ผมหันมามองคนที่เดินข้างๆกันที่ตอนนี้แก้มขาวๆนั่นแดงเรื่อนิดๆ ขอบใจมากเว่ยไอ้ต่อ เดี๋ยวกูซื้อไวตามิลค์มาเซ่นนะมึง




เราเดินกันไปเงียบๆ สวนสาธารณะยามหัวค่ำแบบนี้ก็ยังมีคนมาใช้บริการอยู่ บรรยากาศจอแจเสียงรถรายังวิ่งขวักไขว่อยู่บนถนนภายนอก คนคุยกัน วิ่ง เล่นกีฬา เสียงจากรายละเอียดชีวิตในเมืองเล็กๆแห่งนี้กับคนที่เดินอยู่ข้างๆ นาทีนี้มีใครจะฟินกว่าผมไหมครับถามจริงๆ เพ้อจังเลยยยย ฮ่าๆๆๆ




จนไปถึงร้านข้าวบุ๊คยื่นใบรายการข้าวที่เพื่อนสั่งให้แม่ค้าไปแล้วเราก็มานั่งรอที่โต๊ะ


 
   “เราจะไปซื้อโรตี เอาไรป่าว?” คนที่นั่งตรงข้ามกันเอ่ยถามขึ้นมา



   “ไม่อ่ะ ให้ไปเป็นเพื่อนป่ะ?”



   “ไม่ๆ นั่งรอนี่แหละเดี๋ยวมา แปปเดียว”




   “ครับผม”




ระหว่างที่นั่งรอก็เอามือถือออกมาไลน์หาน้องสาวตัวแสบ ให้หาข้าวกินเองแล้วกำชับให้เอาอาหารให้คุณดอลลาร์ด้วย แล้วเข้าไปเช็คความเป็นไปของโลกในทวิตเตอร์ซะหน่อย




สัมผัสเย็นๆที่แขนทำผมสะดุ้งต้องเงยหน้าขึ้นมอง ก็เจอรอยยิ้มโลกสว่างของบุ๊คกับน้ำสีเหลืองอ่อนในแก้วที่อยู่ในมือของคนขี้แกล้ง



   “อ่ะ น้ำเก๊กฮวย ของคนขี้เก๊ก” พูดแล้ววางแก้วน้ำลงตรงหน้าผมแล้วทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกัน ผมมองแก้วน้ำสลับกับคนที่ซื้อมาให้



   “อะไร ไม่กินน้ำเก๊กฮวย?”



   “ป่าว แต่งงอยู่ ไหนบอกไปซื้อโรตีไง”



   “ก็นี่ไง” พูดแล้วก็แกะกล่องโฟมในมือ เอาไม้จิ้มขนมหวานๆนั่นเข้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย




ผมนั่งมองแก้วเก๊กฮวยด้วยความรู้สึกหวานๆแปลกๆ คือมันดีใจอ่ะครับ ผมเชื่อว่าทุกคนคงเข้าใจอารมณ์ที่คนที่เราชอบมาทำดีด้วยใช่ไหมครับ ที่จริงเขาก็ดีแบบนี้กับทุกคนแต่พอเขาดีกับเราเราก็ดีใจ อะไรแบบนั้น



   
ผมก้มลงดูดน้ำหวานๆเย็นๆนั่นเข้าไปอึกนึง มันหวานจริงๆแหละแต่กลิ่นหอมๆนี่ก็ช่วยได้เยอะนะรู้สึกหายเหนื่อย จะเพราะน้ำหรือเพราะคนให้อันนี้ยังตัดสินใจไม่ได้ชัด



   “นี่ยืมโรตีแปปนึงดิ”



   “ยืม?”



   “อื้อ”



   “เอาไปทำไม อยากกินก็กินดิยืมทำไมอ่ะ”




ผมไม่ตอบอะไรแต่เลื่อนถาดโฟมเข้ามาหาตัวให้อยู่ข้างๆแก้วเก๊กฮวย กดถ่ายภาพนั้นแล้วเลื่อนคืนให้เจ้าของขนมไป



   “ทำไรอ่ะ” อีกคนถามเสียงดุๆ



   “อัพไอจี”



   “เดี๋ยวพวกนั้นก็แซวอีก” บุ๊คบ่นหน้ามุ่ย



   “เราอัพได้ไหม?” ผมถามเพื่อความแน่ใจ กลัวว่าอีกคนจะอึดอัดที่ผมทำแบบนี้



   “เฮ้ย เราไม่ได้ว่าอะไรจะอัพก็ได้ แต่ไม่ต้องแท็กเรานะ”



   “ทำไมอ่ะ?”



   “...”



   “อึดอัดหรอ?”



   “ป่าว?”



   “แล้ว?”



   “...”



   “...”



   “ก็เราขี้เกียจเขินแล้ว พอพวกนั้นแซวมันก็รู้สึกเขินๆไง” เสียงแข็งเลยครับแต่แก้มแดงนะ น่ารักว่ะ




   “เขินบ้างก็ได้ คนจีบจะได้มีกำลังใจไง”



   “กำลังใจไรล่ะ” คนตรงข้ามบ่นอุบอิบ



   “ถ้าอยากเอาคืนบ้างก็ได้นะจริงๆ”



   “เอาคืน?”




   
“ก็บุ๊คก็จีบเราคืนไง เดี๋ยวเราเขินแทนเอง”


--------------------------2BC-------------------------


สวัสดีครับ

ไม่ได้มาอัพนานเลย แหะๆ

ตอนนี้ก็ยังเรื่อยๆนะครับยังคงจะเรื่อยๆไปสักพัก อย่างที่เคยบอกคือนิยายเรื่องนี้ได้เเรงบันดาลใจจากเพลงที่คนเขียนชอบ เพลงในเรื่องก็อาจจะเยอะหน่อยนะครับ

น้องที่อ่านเรื่องนี้มาบอกว่าบางคนที่เข้ามาอ่านในเว็ปนี้ก็ไม่ได้เป็นเมมเบอร์ แต่คนเขียนอยากอ่านเม้นเลยคิดว่าถ้าใครไม่สะดวกจะเม้นตรงนี้ พูดคุยถึงนิยายเรื่องนี้ผ่านแท็ก
 #แพ้ทาง2B
แทนนะครับ ^^ ตามทวงนิยายได้ตามแท็กนี้เลย ฮ่าๆๆ

เจอกันตอนหน้าครับผม

ปล.รักคนอ่านเหมือนเดิมครับผม ^.^
   




ออฟไลน์ maemix

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4403
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +299/-3
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง8 [2016/06/27]
«ตอบ #68 เมื่อ21-07-2016 22:27:23 »

แบงค์โรตีคงหวานสู้ไม่ได้ ฟิน

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง8 [2016/06/27]
«ตอบ #69 เมื่อ21-07-2016 22:38:05 »

ตอนนี้น่ารักมากกกกก
มาลงบ่อยๆ  นะครับ  รออ่านอยู่จ้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง8 [2016/06/27]
« ตอบ #69 เมื่อ: 21-07-2016 22:38:05 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง9 [2016/07/21]
«ตอบ #70 เมื่อ21-07-2016 23:07:18 »

มาครบเลยนะ ทั้งอ่อย ทั้งหยอด เล่นซะเบาหวานจะขึ้นแล้ว งานนี้ใครเก่งกว่ากัน ต้องดูล่ะ :hao3:

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง9 [2016/07/21]
«ตอบ #71 เมื่อ22-07-2016 00:59:02 »

เราไม่ไหวแล้ววน่ารักมากเลยยยยยยย :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ lazysheep

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +171/-2
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง9 [2016/07/21]
«ตอบ #72 เมื่อ22-07-2016 01:02:29 »

คิดถึงเลย ได้ยิ้มๆความมุ้งมิ้งสองคนนี่

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง9 [2016/07/21]
«ตอบ #73 เมื่อ22-07-2016 09:17:42 »

จีบมาจีบกลับไม่โกงไรงี้!?

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง9 [2016/07/21]
«ตอบ #74 เมื่อ22-07-2016 09:32:29 »

 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ chocolate_ness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง9 [2016/07/21]
«ตอบ #75 เมื่อ22-07-2016 14:12:13 »

โอ้ยยยน่าร๊ากกกก ฟินยอ้มแก้มแตกแล้ววว >////<

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง9 [2016/07/21]
«ตอบ #76 เมื่อ22-07-2016 23:15:24 »

อ่อยมาอ่อยกลับเนอะ ไม่โกงงงงง

แพ้ทาง2B ด้วยแล้วเนี่ย

ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง9 [2016/07/21]
«ตอบ #77 เมื่อ23-07-2016 06:49:38 »

โอ๊ยเขินน

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง9 [2016/07/21]
«ตอบ #78 เมื่อ24-07-2016 12:10:55 »

ผลัดกันอ่อยทั้งคู่เลยค่ะ
อ่อยแรงมาก แต่น่ารัก :-[

ออฟไลน์ ssipra

  • นักอ่านมืออาชีพ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง9 [2016/07/21]
«ตอบ #79 เมื่อ25-07-2016 16:11:30 »

ฟินๆๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง9 [2016/07/21]
« ตอบ #79 เมื่อ: 25-07-2016 16:11:30 »





ออฟไลน์ ChabaSri

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
--แพ้ทาง-- แพ้ทาง10 [2016/07/28]
«ตอบ #80 เมื่อ28-07-2016 03:19:33 »

แพ้ทาง10








       ในเย็นวันศุกร์แบบนี้ความยากลำบากของผู้ชายคนหนึ่งจะมีสักกี่อย่างกัน สำหรับผมมีอยู่ไม่กี่อย่างหรอกครับหลักๆเลยก็เป็นทาสแมวนี่แหละ แต่เป็นความยากลำบากที่เต็มใจล่ะครับ ยิ่งวันนี้ผมยิ่งเปรมเข้าไปใหญ่




   “คุณเพนนีค่ะ”



เสียงคุณพนักงานคนสวยที่อยู่หน้าเคาต์เตอร์เอ่ยเรียกชื่อคนไข้รายต่อไป



ตอนนี้ผมอยู่ที่โรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่งใกล้กับมหาวิทยาลัย วันนี้ถึงคิวตรวจสุขภาพของคุณดอลลาร์ผมเลยต้องพามาตรวจตามปกติแต่ที่แจ็คพ็อตมากๆก็คือดันมาเจอบุ๊คที่นี่ ถามกันคำสองคำก็ปรากฏว่าเจ้าเมนคูนตัวเบิ้มก็เป็นคนไข้ของโรงพยาบาลสัตว์แห่งนี้เช่นกัน




บุ๊คอุ้มแมวตัวใหญ่ลุกขึ้นเดินเข้าไปภายในห้องตรวจ ตอนนี้คุณดอลลาร์ตรวจเสร็จแล้วผมรอรับใบนัดอยู่เลยกะว่าจะนั่งรอแล้วชวนอีกคนไปหาไรกินซะหน่อย ไม่ได้หรอกครับมีโอกาสเราก็ต้องหาโมเม้น










PART BOOK





ผมว่านี่มันจะบังเอิญมากไปหน่อยนะครับ




วันนี้ผมพาคุณเพนนีมาตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีน ที่ครบรอบต้องฉีดอีกครั้งแล้วก็บังเอิญเจอใครบางคนที่พักนี้ออกจะบังเอิญเจอบ่อยมากไปหน่อย แต่ก็ไม่ซีเรียสเจอก็ดีครับ ^^




   “เสร็จยัง”  คนที่นั่งข้างๆกันตอนนี้เอ่ยถามขึ้น ในอ้อมแขนนั้นมีแมวเปอร์เซียสีเทาหม่นๆนอนหลับอย่างเป็นสุขอยู่ในนั้น มือใหญ่ๆก็เกาคางให้ไปพลาง สบายน่าดู



   “อื้อ เสร็จแล้ว”



   “กินไรยัง”



ผมขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย จะมาไม้ไหนอีก



   “ถ้าหมายถึงข้าวเย็นก็ยังไม่กิน”



   “งั้นกินข้าวกัน”



ว่าแล้วเชียว



   “แล้วแมวอ่ะ”



   “เอาไปด้วยไง คุณดอลลาร์ไม่ดื้อหรอก เนอะ”  คำสุดท้ายคนตรงหน้าผมก้มลงไปพยักเพยิดกับเจ้าขนฟูในอ้อมแขน




มีมุมแบบนี้ด้วยแฮะ





   “อื้อ ไปดิ” ผมตอบตกลง เพราะยังไงก็ยังไม่อยากกลับห้องตอนนี้หรอก นี่ก็กะว่าจะไปหาไรกินก่อนพอดี




   “คุณเพนนีโอเคนะครับ”



ผมถึงกับผงะไปนิดนึงเลยครับเมื่ออีกคนยื่นหน้าเข้ามาพูดกับแมวที่ผมอุ้มอยู่ ทำเสียงแบบนี้อีกแล้ว




เจ้าเมนคูนในอ้อมแขนก็ลืมตาขึ้นมามองหน้าครูพละหัวใจมิ๊ง แล้วครางครืดคราดเหมือนรับคำ ผมแปลกใจเล็กน้อยเพราะคุณเพนนีไม่ชินกับใครง่ายๆ




   “อ่ะ คุณเพนนีก็โอเคแล้ว”



   “ไปสนิทกันตอนไหนเนี่ย”



ผมบ่นออกมาเบาเบา




   “เมื่อกี้นี้แหละ” เขาพูดออกมาอย่างร่าเริงยิ้มกว้างไม่ห่วงลุคเลยทีเดียว สาวๆในโรงพยาบาลนี่เคลิ้มกันเป็นแถว




ผมมองอีกคนก้มลงพยายามเอาแมวเข้าไปในตระกร้าแต่เหมือนจะไม่ค่อยเป็นผลเท่าไหร่




   “มายังไง” ผมเอ่ยถามคนที่ก้มๆเงยๆอยู่ตรงหน้า



   “แว๊นซ์มา” อีกคนตอบทั้งๆที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาจากการสู้รบกับแมว




   “ไม่ต้องเอาเข้าก็ได้ เราเอารถยนต์มาเดี๋ยวให้นอนหลังรถ” ผมเสนอแนวทางให้อีกคน



   “หือ?” เขาเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม



   “เดี๋ยวไปรถเราไง ให้คุณดอลลาร์นั่งข้างหลังก็ได้”  มันก็เป็นคำพูดแสดงไมตรีจิตรแบบธรรมดาๆนะครับ ทำไมต้องหน้าร้อนๆด้วยเนี่ย



   
แบงค์มองหน้าผมแล้วยิ้มมุมปากนิดๆแบบที่เจ้าตัวชอบทำแล้วลุกขึ้น มือนึงก็อุ้มแมวตัวโตอีกมือก็หิ้วตระกร้าแมว




ผมเดินนำเขาออกมาที่ลานจอดรถหน้าโรงพยาบาล จัดการเปิดรถแล้วเอาคุณเพนนีวางที่เบาะหลังตามปกติ ผมหันมามองคนที่เดินตามหลังมาแบงค์ยืนทำหน้างงๆ ผมมองอาการนั้นแล้วขำออกมาเบาเบา



   “ขำไร”



   “เปล่า”



ผมตอบปฏิเสธไปเอื้อมมือไปรับเอาตระกร้าจากมืออีกคนมาวางไว้ที่เบาะหลัง เขาไม่ได้พูดอะไรได้แต่ยืนนิ่งๆมองการกระทำของผม




   “เชิญขึ้นรถเลยครับผม เดี๋ยววันนี้เราขับเอง”  ผมหันมายิ้มกว้างบอกอีกคนแบบนั้น แล้วเปิดประตูรถฝั่งคนขับแต่อีกคนกลับยืนนิ่งอยู่แบบนั้น




   “แบงค์”



   “ห๊ะ ครับ อะไรนะ?”



อ้าวเหม่อเฉยเลย



   “ขึ้นรถดิ หรือไม่ไปแล้ว?”



   “อะ อ๋อๆ ไปๆ”



แบงค์กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาขึ้นรถฝั่งข้างคนขับ แขนก็อุ้มแมวไปด้วยแอบสงสารแมวเบาเบา




   “เอาแมวไว้เบาะหลังไหม จะได้นั่งสบายๆ”



ผมเสนอขึ้นเมื่อเลี้ยวรถออกจากโรงพยาบาล แล้วมาติดไฟแดงเวลาแบบนี้รถติดชะมัดเลย




   “ไม่เป็นไร เราอุ้มได้ เดี๋ยวแมวทะเลาะกัน”



   “ไม่หรอกมั๊ง ดูคุณดอลลาร์ก็ไม่ดุนี่”



ผมพูดแล้วเหลือบมองกลุ่มขนสีเทาหม่นๆที่นอนอย่างสบายอารมณ์บนตักเจ้านายตัวเอง(หรือทาสนะ?)



   “ลองดูก็ได้ เผื่อจะได้เป็นเพื่อนกัน”



ว่าจบแบงค์จับคุณดอลลาร์เอื้อมไปเบาะหลังให้คุณดอลลาร์ดมๆ เจ้าเมนคูนตัวอ้วนของผมที่นอนตาปรืออยู่ คุณเพนนีเอาขาหน้ามาแตะๆที่จมูกเจ้าเปอร์เซียเบาๆแล้วนอนต่อ ผมมองการกระทำทั้งหมดนั้นผ่านกระจกมองหลัง




   “อื้อ เข้ากันได้นี่ งั้นอยู่ด้วยกันไปนะสนิทๆกันไว้แหละดี เดี๋ยวก็ได้ดองกันแล้ว”




ดองกัน?




ใครดองกับใคร?




   “ใครดองกับใคร?” ผมหลุดปากถามในสิ่งที่คิดออกไป



แต่ก็มาสำนึกได้ว่าไม่ควรถามให้คำตอบมันเข้าตัวเลยจริงๆ




   “ก็เราสองคน เดี๋ยวก็ได้เป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว”




   “ใครจะไปเป็นทองแผ่นเดียวกับแบงค์กัน”



   “อ้าว นี่ไม่รู้จริงๆหรอ”



   “...”




   “ก็บุ๊คไง เดี๋ยวเราจีบบุ๊คติดเราก็ดองกันเลย”




   “...”




เงิบ อึ้ง กินจุดไปครับ นึกไม่ถึงว่าจะมามุกขี้จริงๆ ผมไม่ตอบอะไรคนข้างๆที่นั่งยิ้มฮัมเพลงไปตลอดทาง





แล้วไอ้แก้มบ้านี่ทำไมต้องร้อนๆด้วยเนี่ย!!!!





   “เออ แล้วจะไปกินไหนอ่ะ”




ผมถามออกมาเพราะนึกได้ว่ายังไม่ได้คุยกันเรื่องที่กินข้าวเลย นี่ก็ขับรถมาทางกลับหอตัวเองเลยเนี่ย




   “ไหนๆก็มาทางนี้แล้วไปร้านแถวบ้านเราก็ได้ มีอยู่ร้านนึงเขาให้เอาสัตว์เข้าร้านได้”   ผมพยักหน้ารับ แล้วขับรถไปตามทางที่อีกคนบอก




ร้านข้าวที่แบงค์บอกทางมานั้นเป็นร้านอาหารไทย-อีสานที่บรรยากาศร่มรื่นค่อนข้างเป็นที่รู้จักพอสมควร ในระหว่างที่เราทานอาหารกันแมวอ้วนสองตัวก็ได้รับการดูแลอย่างดีจากทาสแมวดีกรีนักศึกษาครูพละในตระกร้าส่วนตัว ดูท่าเขาจะชอบแมวเอามากๆเลย เสียงงุ้งๆงิ้งๆนี่อยากจะอัดวีดิโอให้พวกแฟนคลับเจ้าตัวดูจริงๆ พี่แบงค์คนคูลหายไปแล้ว





ผมหยิบมือถือขึ้นมาตั้งท่าจะถ่ายภาพอีกคนแต่ก็มีสายเรียกเข้าซะก่อนจากเพื่อนสนิทผมเอง



   “เออ ว่าไงไนท์”



   [บุ๊ค มึงอยู่ไหนว่างป่ะ?] ไนท์ตอบกลับมาน้ำเสียงดูหงุดหงิดแต่ก็พยามระงับเอาไว้


   “กินข้าว มีไรมึงเสียงไม่ดีเลย”



   [มึงเข้ามาสะแตนหน่อยได้ป่ะ น้องเราไม่ตั้งใจเลยวันนี้กูไม่อยากดุน้อง]



   “เลยจะให้กูเข้าไปดุน้องว่างั้น?”



   [มึงเข้ามาดูช่วยกูหน่อย เพื่อนเราท้อกันหมดละมึงกูเริ่มมีอารมณ์แล้วเนี่ยไม่อยากระเบิดใส่น้อง]



   “ เออๆ เดี๋ยวกูเข้าไป”



   [รีบหน่อยนะมึง โทษทีแต่ช่วยหน่อยเหอะว่ะ]



   “เออ ไม่เป็นไรเดี๋ยวเจอกัน”



แล้วไนท์ก็วางสายไป ดูท่าทางวันนี้เพื่อนผมจะจนแต้มเอาจริงๆ ที่ไนท์โทร.มาขอให้ช่วยแบบนั้นเพราะเดิมทีผมเป็นพี่ระเบียบของสาขา ผมก็งงนะครับว่าแบบผมนี่หรอน้องจะเกรงพอไปทำจริงๆน้องก็เกรงผมพอสมควรนะครับ เพื่อนๆบอกว่าเพราะท่าทางผมดูใจดีพอทำท่าทาจริงจังน้องเลยเกรงมากกว่า




   “มีไรป่าว” คนที่นั่งตรงข้ามเอ่ยถามผม



   “ไนท์โทร.มาตามให้เข้าไปช่วยดูน้องสแตนอ่ะ บอกว่าวันนี้น้องไม่ตั้งใจเลย สงสัยวันศุกร์ด้วยล่ะมั๊ง”



   “งั้นเดี๋ยวเราไปด้วย?”



   “หืม?”



อีกคนไม่ตอบอะไรได้แต่พยักหน้าแล้วก้มหน้าทานข้าวต่อไป



   “เดี๋ยวแบงค์ ที่บอกจะไปด้วยนี่คือ?”



   “ก็ไปสแตนไง ยังไงน้องสาขาเราก็เป็นส่วนหนึ่งของสแตนสีเราด้วยอยู่แล้ว เผื่อช่วยอะไรได้บ้าง”



   “แล้วแมว?”



อีกคนมองไปที่เจ้าเปอร์เซียตัวอ้วนท่าทางครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วก็หยิบมือถืออกมากดๆอะไรสักพักก็วางลง



   “เราไลน์บอกน้องเราแล้ว เดี๋ยวน้องเรามาเอาคุณดอลลาร์กลับบ้าน”



   “อ่าๆ”



ผมที่ทำอะไรไม่ได้เพราะอีกคนเขายืนยันแบบนั้น จากนั้นเราก็สั่งเช็คบิลมื้อนี้หารกันครับ เรายังเด็กอยู่ถึงจะพอหาเงินเองได้แต่ก็ต้องรู้จักประหยัด




สักพักเด็กผู้หญิงท่าทางเฮ้วๆคนนึงก็เดินมานั่งลงตรงเก้าอี้ว่างข้างๆผม



   “สวัสดีค่ะพี่บุ๊ค  Hi!! Bro ” เธอยกมือไหว้ผม(รับไหว้แทบไม่ทัน) แล้วยกมือทักคนที่นั่งตรงข้ามผม



   “อือๆ บุ๊คนี่มันนี่นะน้องสาวเรา” เขาแนะนำเด็กสาวให้ผมรู้จัก



เด็กผู้หญิงที่นั่งข้างๆผมตอนนี้เป็นคนที่เรียกได้ว่าหน้าตาดีไม่ผิดกับพี่ชายของเธอเลยแต่ออกจะหวานกว่าตามเพศสภาพ แต่ท่าทางและบุคลิกออกจะตรงข้ามกับหน้าตาเล็กน้อย



   “พี่บุ๊คนี่ตัวจริงน่ารักกว่าในรูปอีกนะคะ”



   “Hey! Sister don’t be aggressive.” แบงค์เอ่ยเตือนน้องสาวตัวเอง



   “I don’t”



   “Remove the cat and then go home.”



   “Okay!!”



มันนี่ลุกไปคว้าตระกร้าแมวแล้วหันมาโบกมือลาผมแลบลิ้นใส่พี่ชายไปหนึ่งทีแล้วออกจากร้านไป หนุ่มๆในร้านหลายคนก็มองตามเธอไป




   “ไปกัน”  อีกคนเอ่ยพลางคว้าตระกร้าคุณเพนนีไปถือไว้ ผมเลยลุกตาม



   “เดี๋ยวเอาคุณเพนนีไปไว้หอก่อนนะ”



ผมเอ่ยบอกแบงค์หลังจากที่เราเลี้ยวรถออกมาจากร้านแล้วมุ่งหน้าไปตามถนนสายเล็กๆนั่น



   “ครับผม”




เสียงดังจากการร้องเพลงซ้อมทั้งจากรุ่นพี่รุ่นน้อง น้องปีหนึ่งนั่งอยู่บนสแตนเชียร์ส่วนรุ่นพี่ก็จับกลุ่มทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายของตัวเอง บางกลุ่มฝึกทำท่าทางโบกไม้โบกมือตามโค้ดที่ได้มาเพื่อจะไปสอนน้อง อีกกลุ่มก็สุมหัวแยกออกไปเล็กน้อยกางกระดาษเปิดแลปท็อปออกแบบโค้ด อีกกลุ่มก็ทำพร็อบซ่อมพร็อบไป ดูไม่มีปัญหาอะไร ผมเดินเข้าหาเพื่อนสนิทที่ยืนคุยกับเพื่อนอีกสาขาที่ผมไม่รู้จัก พอเห็นผมไนท์ก็ทำท่าเหมือนมีพระมาโปรด แต่พอเหลือบมองคนที่เดินตามผมมาสายตานั้นก็เปลี่ยนเป็นล้อเลียน




   “อ้าวแบงค์ ไม่ซ้อมหลีดหรอวันนี้” ไนท์ถามน้ำเสียงล้อๆ



   “ไม่อ่ะ วันนี้เขาไปดูชุดกันเลยไม่นัดซ้อม”



   “อ่ออออออออออ”



ถ้าน้ำเสียงมึงจะลากยาวขนาดนี้นะไนท์ =,.=



   “เรียกกูมามีไร” ผมเอ่ยเรียบๆ



   “โอ้ย คุยด้วยแค่นี้ทำเป็นดุนะมึง”



   =,.=



   “เออๆ ไม่ล้อแล้วก็เห็นมาด้วยกันนี่หว่า คืองี้ วันนี้น้องไม่ตั้งใจเลยอ่ะพวกกูว่าจะลงท่าใหม่แต่จะเก็บโค้ดที่เคยปล่อยไปก่อนแต่น้องไม่ตั้งใจเลย ดูไม่มีกะจิตกะใจจะทำเลย กูไม่อยากดุน้องเลยจะให้มึงมาช่วยเก็บท่าน้องให้หน่อย”





ไนท์เอ่ยเสียงเรียบๆท่าทางจริงจังขึ้นมา ผมเหลือบมองไปทางน้องๆบนสแตนเชียร์ที่ตอนนี้อยู่ในช่วงพักเบรก บางคนก็นั่งเล่นโทรศัพท์ บางคนก็จับกลุ่มคุยกัน ผมหันกลับไปมองกลุ่มเพื่อนๆที่ตั้งอกตั้งใจทำหน้าที่ตัวเองแล้วก็รู้สึกฉิวนิดๆ หันกลับมามองที่ไนท์ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนถึงโทร.ตามผมมา ไนท์คงไม่อยากดุน้อง ที่จริงแล้วไนท์เป็นเฮดระเบียบของสาขาผมแต่ด้วยเพราะชั้นปีของเราคนน้อยการทำหน้าที่หลายๆอย่างควบกันจึงเป็นความจำเป็น และยิ่งกับกิจกรรมที่ต้องร่วมกับสาขาอื่นๆแบบนี้เรายิ่งต้องตั้งใจ เพราะไม่ใช่แค่เราที่เหนื่อย เพื่อนเขาก็เหนื่อยเหมือนกัน




   “ช่วยหน่อยนะมึง น้องไม่ฟังกูเลยว่ะวันนี้”



   “แล้วทำไมไม่ดุไปเลย” แบงค์เอ่ยถามมานิ่งๆ ผมจับหงุดหงิดเล็กๆจากน้ำเสียงของเขาได้



   “ไม่อยากให้น้องใจเสีย เพราะเราต้องอยู่ตรงนี้ตลอดถ้าดุออกไปน้องก็จะกลัวไปเลยเราไม่อยากอยู่กับน้องด้วยความรู้สึกแบบนั้นไปตลอดเวลาสองเดือนที่เหลือ”



   “ไอ้กลุ่มเด็กผู้ชายสิบกว่าคนที่อยู่มุมข้างบนนั่นสาขาเราใช่ไหม?” แบงค์ถามมาอีกคราวนี้เหมือนจะหลุดเต็มที่แล้ว




ผมที่ไม่เคยเห็นอาการแบบนี้ของเจ้าตัวเลยก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ด้วยความที่กลัวว่าเขาจะทำอะไรหุนหันพลันแล่นไปก็เลยเอื้อมมือไปจับแขนอีกคนไว้



   “ใจเย็นนะแบงค์” ผมเอ่ยปรามออกไป




เขาหันมามองหน้าผมแล้วเหมือนได้สติยิ้มน้อยๆแล้วพยักหน้าให้ผม





ผมหันกลับมาทางไนท์ที่ตั้งท่าจะล้อเลียนผมแต่พอเจอสายตาพิฆาตของผมเข้าไปเธอก็ยิ้มแหยๆแล้วก็ทำท่าทางจริงจัง ผมตกลงจะช่วยเลยถามเรื่องท่าที่ไนท์กับโอ้ต(เพื่อนอีกคนที่เป็นตัวหลักเรื่องโค้ด)จะให้ผมช่วยเก็บให้ ผมเหลือบมองคนที่มาด้วยอยู่เป็นพักๆก็เห็นเขาไลน์คุยอะไรไม่รู้ท่าทางจริงจังเหมือนจะถ่ายรูปน้องที่สแตนเชียร์ส่งไปในไลน์นั้นด้วย




ในระหว่างที่พวกผมกำลังปรึกษากันนั้นแบงค์ก็เดินเข้ามาในวงสนทนาที่เคร่งเครียดของพวกผม เราสามคนเลยหันไปมองเดือนสาขาพลศึกษาที่ตอนนี้ใบหน้าเคร่งเครียดของเขาทำให้ดูดีไปอีกแบบ แล้วนี่ผมจะเพ้อหน้าเขาทำไมเนี่ย




   “ขอเวลาพักนึงได้ไหม คือเดี๋ยวอีกสักห้านาทีเพื่อนสาขาเราจะมานี่กันนะ พวกเราจะขอคุยกับน้องสาขาหน่อย” แบงค์พูดเรียบๆเป็นการเป็นงาน ผมไม่เคยเห็นเขาในมุมนี้เลย



   “เฮ้ยแบงค์ ที่จริงมันก็ไม่ขนาดต้องลงน้องหรอกเว่ย” โอ้ตพูดท้วงขึ้นมา




   “ไม่ใช่ว่ามันต้องขนาดไหนถึงจะต้องลงหรอก หน้าที่ก็คือหน้าที่ถ้าน้องเราเพิกเฉยต่อหน้าที่ตัวเองก็ต้องเป็นรุ่นพี่แบบพวกเราที่ต้องบอกน้องเตือนน้อง การปล่อยไปเฉยๆจะทำให้น้องไม่คิดถึงความยากลำบากของคนอื่น การแข่งขันเป็นทีมมันก็ต้องเกิดจากความร่วมมือของคนในทีมทุกคน ต้องไม่เอาเปรียบกันเพราะทุกคนก็เหนื่อยเท่ากัน ไม่เป็นไรหรอก” พูดเสร็จก็ผละออกไปยืนมองน้องบนสแตนเชียร์นิ่งๆ




   “กูไม่เคยรู้เลยว่าพลศึกษาเขามีระบบรับน้องแบบไหน” โอ้ตพูดขึ้นมาเบาเบา



   “มึงจะได้รู้ก็วันนี้แหละ หวังว่าจะไม่ดราม่านะกูกลัวน้องดราม่า” ไนท์พูดเสริมออกมา




ผมไม่พูดอะไรได้แต่มองเหตุการณ์ตรงหน้านิ่งๆ มันคือเรื่องจริงที่พวกผมแทบจะไม่เคยรู้เลยว่าระบบพี่น้องหรือระบบปกครองภายในสาขาพลศึกษาเป็นแบบไหน เพราะสาขานี้เขาจะเรียนกันที่ยิมเนเซี่ยมของมหาลัยซึ่งจะอยู่คนละฝั่งกับตึกคณะเลยจะเจอกันก็แค่มีการเรียกรวมเท่านั้น




เพื่อนๆสาขาพลศึกษาที่กำลังเดินเข้ามาภายในบริเวณสนามในตอนนี้เรียกความสนใจจากเพื่อนที่กำลังทำงานอย่างขมักเขม้นรวมไปถึงสแตนข้างเคียงจากสาขาอื่นๆด้วย ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกครับที่เราจะเห็นปีสองพละศึกษารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียงนอกเวลาเรียนแบบนี้




นักศึกษาสาขาพลศึกษาชั้นปีที่สองจำนวนประมานสามสิบกว่าคนเดินเข้ามาหาแบงค์ที่ยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว พูดคุยกันพึมพำๆสักพักแบงค์และแนนก็เดินแยกมาทางพวกผม




   “ไนท์เดี๋ยวพวกเราขอคุยกับน้องสาขาสักแปปนึงนะไม่นานหรอก ขอเวลาพักนึง” แนนพูดอย่างเป็นการเป็นงานหมดท่าทางเนือยๆเฉื่อยๆที่ชินตา




   “เฮ้ย!!มีไรวะไนท์” เพื่อนที่อยู่ทีมโค้ดคนนึงร้องถามมา



   “ไม่มีไรๆ พวกมึงทำงานไปเหอะ”



เพื่อนกลุ่มนั้นละความสนใจจากเหตุการณ์ตรงหน้า



   
   กลุ่มเพื่อนๆสาขาพลศึกษาเดินไปรวมตัวกันที่กลางสนามฟุตบอล ย้ำว่ากลางสนามฟุตบอลนะครับ มีเพื่อนคนนึงเดินไปที่สแตนเชียร์พูดอะไรกับน้องสองสามคำแล้วพวกปีหนึ่งพลศึกษาก็ตาโตกันเลย อะไรวะ





   “พลศึกษาปีหนึ่งฟังเรียกแถว พลศึกษาปีหนึ่งฟังเรียกแถว” เสียงห้าวๆเสียงหนึ่งดังมาจากกลางสนาม





เฮ้ย!!! เอางี้เลยหรอ






น้องปีหนึ่งพลศึกษาแทบจะกระโดดลงจากสแตนเลยอ่ะ





   “พลศึกษาปีหนึ่งฟังเรียกแถว พลศึกษาปีหนึ่งฟังเรียกแถว แถวตอนเรียงสี่ทั้งหมด จัดแถว!!!!”





   “เฮ้!!!!!”




พวกปีหนึ่งวิ่งแข่งกันไปรวมตัวกันตรงจุดที่เพื่อนๆปีสองยืนรวมๆกันอยู่ แล้วจากนั้นปีสองก็ยืนล้อมน้องเอาไว้ จนคนที่มองจากภายนอกแบบพวกผมมองไม่เห็นเลยว่าเกิดอะไรขึ้นตรงนั้นและเขาพูดอะไรกันบ้าง






ผมก็เก็บท่าให้น้องที่เหลือบนสแตนเชียร์รอ น้องก็ดูเนือยๆจริงๆครับ แต่พอผมทำท่าทางว่านี่เอาจริงน้องก็เริ่มจริงจังขึ้นมา



ผ่านไปราวๆสิบนาทีน้องๆพลศึกษาก็เดินเรียงแถวกันกลับมาขึ้นไปนั่งประจำที่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีอาการว่าโดนดุด่า ไม่มีใครร้องไห้หรือน้ำตาคลอทุกอย่างดูปกติ





กลุ่มปีสองพลศึกษาพากันกลับไปแล้วเหลือแค่แนนกับเดือนสาขาคนหล่อที่มากับผมเท่านั้นทำท่าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นยืนคุยกับไนท์มองน้องซ้อมอยู่ห่างๆ ผมสังเกตได้ว่าน้องพลศึกษาดูตั้งใจมากตั้งใจฟังที่ผมพูดและบางทีก็หันไปช่วยเพื่อนสาขาอื่นที่นั่งอยู่ข้างเคียง ภาพแบบนั้นทำให้คนเป็นรุ่นพี่ยิ้มออกมาได้เลยล่ะครับน้องตั้งใจน้องรักกันเราก็ชื่นใจ จุดมุ่งหมายจริงๆของกิจกรรมพวกนี้ไม่ใช่ชัยชนะแต่มันคือภาพตรงหน้าผมนี่ต่างหาก ความสามัคคีและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน





เมื่อน้องปฏิบัติได้เป็นที่น่าพอใจผมก็ปล่อยน้องพักอีกรอบเพื่อที่ช่วงต่อไปไนท์และโอ้ตจะได้มาซ้อมน้องต่อไป




   “น้องโอเคแล้วแหละ มึงก็ซ้อมต่อเลย” ผมบอกไนท์รับแก้วน้ำแดงจากเดือนพละมาดื่มไม่ได้คิดอะไร




 เหนื่อยไงยืนแหงนคออยู่ตั้งนานสองนาน ไม่ได้จะอ่อยใครเลยนะ จริงๆ




ไอ้ไนท์ก็มองมาอย่างล้อเลียนผมยักไหล่ใส่มันแบบไม่แคร์




   “โอ้ยหมั่นไส้ กูไปคุยกับน้องดีกว่าอยู่แถวนี้แม่งมดเยอะชิปหายเลย แบงค์มึงอย่าไปหลงมันมากอินี่มันขี้อ่อย”




แล้วไอ้เพื่อนสนิทตัวดีก็เดินไปหาน้องที่สแตนเชียร์ตรงนั้นเลยเหลือแค่ผมกับเจ้าของแก้วน้ำแดง




   “เหนื่อยป่ะ?” คนข้างๆมองหน้าผมแล้วถามออกมา



   “ก็นิดหน่อย แล้วนี่ไปสนิทกับไอ้ไนท์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงขั้นมึงกูกันแล้ว?”



   “ก็เมื่อกี้แหละ ไนท์ถามที่พวกเราคุยกับน้องเมื่อกี้ ทำไม? หึงหรอ?” พูดจบก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนผมต้องถอยห่างออกมานิดๆ



   “ใครหึง? ทำไมขี้มโนจัง เราแค่อยากรู้เฉยๆป่ะ”  วันนี้อากาศร้อนแปลกๆนะครับสงสัยฝนจะตกแน่ๆเลย



   “ครับๆ ไม่หึงก็ไม่หึง แล้วจะกลับยัง?”



   “รีบหรอ ไปดิๆ เดี๋ยวเราไปส่ง”



   “ไม่ได้รีบ แต่เป็นห่วงไงกลับดึกๆมืดๆ”



   “เราเอารถมา ไม่เป็นไรหรอกแบงค์ดิเดี๋ยวต้องไปเอารถมอไซค์ที่โรง’บาลอีกใช่ป่ะ กลับเลยไหม?”



   “ยังหรอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนไอ้แนนมันหน่อย”



พูดเสร็จเขาก็ดึงเอาแก้วเปล่าในมือผมไปวางไว้ในตะกร้าวางแก้วข้างๆกระติกน้ำใบใหญ่



   
   “เมื่อกี้บุ๊คทำเราอึ้งเลยว่ะ”



   “ทำไร?”



   “ก็ที่คุมน้องเมื่อกี้ไง ดูโหดไปเลยเห็นยิ้มเก่งๆดูใจดีแบบนี้พอจะบทจะเอาจริงก็แอบน่ากลัวนะ”



เขาพูดออกมาเรื่อยๆสายตามองไปที่น้องบนสแตนเชียร์ที่กำลังฟังไอ้ไนท์พูดอะไรก็ไม่รู้หัวเราะกันยกใหญ่




   “ก็พอกันป่ะ ไอ้ท่าทางจริงจังดูเป็นผู้ใหญ่เมื่อกี้แบงค์ทำเราตกใจนิดๆ”



   “อ้าว แล้วปกติมองเราเป็นคนแบบไหนเนี่ย” อีกคนพูดด้วยน้ำเสียงขำๆ



   “เป็นคนขี้อ่อย ท่าทางดูเล่นๆแล้วก็ขี้เก๊ก”



   “โหยยยยยยย นั่นคือข้อดีใช่ไหมเนี่ย”



   “ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็เอาเลย” ผมพูดแล้วก็ยิ้มกว้างๆให้อีกคนก่อนจะเดินผละมาทรุดตัวลงนั่งบนสนามหญ้า



กอดเข่ามองดูน้องบนสแตนเชียร์ อีกคนก็เดินตามมานั่งลงข้างๆกัน เรานั่งข้างกันก็จริงแต่ก็ไม่ได้นั่งติดกัน แบงค์นั่งห่างออกไปนิดๆอย่างเว้นระยะ การกระทำแบบนั้นของอีกคนทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่ตั้งใจ ทั้งๆที่บอกว่าจีบแล้วก็รุกหนักขนาดนั้นแต่อีกคนก็ไม่ได้พยายามจะล้ำเส้นเข้ามา ยังคงรักษาระยะห่างอย่างเหมาะสมซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกดี




   “แล้วจริงๆแล้วแบงค์เป็นคนแบบไหนล่ะ?” ผมถามขึ้นลอยๆไม่ได้หันไปมองเขา



   “หืม? แบบไหน?” อีกคนถามกลับมาหันมามองผมคิ้วขมวดน้อยๆ(นี่ขนาดไม่ได้หันมามองนะ)




   “ก็เป็นคนยังไง เงียบๆไม่เข้าสังคม ร่าเริงคุยเก่ง อะไรแบบนั้น”




   “...”



   “...”



อาการเงียบของอีกคนทำให้ผมหันกลับไปมองหน้าเขาแล้วก็พบกับสายตาคมกล้าคู่หนึ่งที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่ผมจะทันได้ทำอะไรใบหน้าหล่อเหลานั่นก็ยื่นเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่นๆสายหนึ่งเป่ารดข้างแก้มพร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วเบาทว่าได้ยินชัดเจน





   
“ถ้าอยากรู้ก็ลองมาคบกันดูไหม? ถ้าไม่แน่ใจลองไปสักร้อยปีเลยก็ได้”






ผมว่าวันนี้อากาศมันร้อนจริงๆนั่นแหละครับ





-------------------------------------2BC------------------------------------


แอบเอาตอนสิบมาหย่อนตอนดึกๆ แล้วเราจะแอบย่องออกไปเงียบๆ


อยากขยับเข้าไปใกล้เธอ
เพียงกระซิบบอก


คนละเพลงไหม ฮ่าๆๆๆ ตอนนี้ให้บุ๊คเป็นคนบรรยายบ้างให้เขาจีบกันเบาเบา ยอมรับว่าให้บุ๊คเป็นคนเล่าเรื่องนี่ออกจะยากอยู่สำหรับคนเขียนแต่เพื่อคนอ่านเราจะสู้!! เรื่องราวยังคงดำเนินต่อไปในบรรยากาศของกิจกรรมกีฬาสี คนเขียนชอบกิจกรรมช่วงนี้ที่สุดเห็นน้องรักกันมันชื่นใจพี่จริงๆครับ ^^

ใครอยากเม้นอยากกรีดร้องหรืออยากทวงนิยายแต่ไม่ได้เป็นเมมเบอร์ก็พูดถึงนิยายเรื่องนี้ผ่านแท็ก #แพ้ทาง2B ได้นะครับ

รักคนอ่านรักคนเม้นครับ เจอกันตอนหน้าครับ ^^






ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง10 [2016/07/28]
«ตอบ #81 เมื่อ28-07-2016 06:53:21 »

แบงค์หยอดทุกทีที่มีโอกาส
อ่านไปก็เขินตามบุ๊คไป

 :-[ :-[

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง10 [2016/07/28]
«ตอบ #82 เมื่อ28-07-2016 10:50:21 »

 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง10 [2016/07/28]
«ตอบ #83 เมื่อ28-07-2016 16:09:45 »

เขินนน~

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง10 [2016/07/28]
«ตอบ #84 เมื่อ28-07-2016 18:25:42 »

แบงค์นี่อ่อยเรี่ยราดตลอดเลยนะ

บุ๊คเขินจนไม่รู้จะเขินยังไงแล้วมั้งนั่น ฮาาาา

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง10 [2016/07/28]
«ตอบ #85 เมื่อ28-07-2016 21:44:20 »

จะมีสักตอนมั้ยที่เฮียแบงค์ไม่หยอด ไม่อ่อยเนี่ย :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ Shonteen

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 500
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง10 [2016/07/28]
«ตอบ #86 เมื่อ28-07-2016 23:13:51 »

นี้จิกฟูกที่นอนขาดเลยหมอนไปแล้วคะ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง10 [2016/07/28]
«ตอบ #87 เมื่อ29-07-2016 01:41:48 »

ชอบบบบบบบบ มาต่ออีกนะ  :impress2:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง10 [2016/07/28]
«ตอบ #88 เมื่อ29-07-2016 02:42:46 »

ยังน่ารักเหมือนเดิม

ออฟไลน์ ChabaSri

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
Re: --แพ้ทาง-- แพ้ทาง11 [2016/08/3]
«ตอบ #89 เมื่อ03-08-2016 17:37:19 »

แพ้ทาง11









ลมพัดเอากลิ่นฝนโชยมา กลิ่นไอดินช่างทำให้ใจเหงา
อากาศก็เริ่มเย็น กิ่งไม้กำลังไหวเอนเบาๆ



เสียงเพลงที่ดังมาจากวิทยุที่เปิดทิ้งไว้บวกกับบรรยากาศหม่นๆกับเสียงฝนที่พรำไม่หยุดมาตั้งแต่เมื่อคืน อากาศแบบนี้ในบ่ายวันอาทิตย์ถ้าเป็นคุณคนอ่านจะทำอะไรกันครับ




ผมนี่นอนเลยครับ






ไม่ได้นอนหลับหรืออะไรหรอกครับในวันว่างๆที่การบ้านและรายงานถูกเคลียร์หมดแล้วแบบนี้ ผมนอนไถไอแพดเช็คข่าวในเฟซในทวิตไปเรื่อย เห็นไอ้นัทเช็คอินโรงหนังพร้อมกับภาพถ่ายตั๋วหนังผีเรื่องดังสองใบ
แท็คแฟนตัวเอง




อยากมีโมเม้นแบบนี้บ้างเนอะ




ผมกดไลค์ภาพของเพื่อนสนิทแล้วเลื่อนไปเรื่อยๆก็สะดุดกับสเตตัสของเพื่อนอีกคน




คุณนาย สกุลอู๋ อยู่ที่ สำนักงานสโมสรนักศึกษา คณะครุศาสตร์ กับ Book Pratchaya และคนอื่นๆอีก 11 คน

เพื่อนทำการบ้าน เราทำงานกรรมกร




ผมกดไลค์โพสนั้นแล้วคอมเม้นกวนไปเบาเบา



เพื่อนบางคนก็ทำการบ้านเสร็จแล้ว




เม้นไปแล้วก็เลื่อนดูอย่างอื่นต่อ สักพักก็มีแจ้งเตือนว่ามีคนตอบคอมเม้นผม




คุณนาย สกุลอู๋    แต่ตอนนี้เพื่อนบางคนก็ง่วงนอนมาก  พร้อมกับแนบรูปใครบางคนที่ฟุบหน้าลงกับโต๊ะที่เต็มไปด้วยเอกสารเป็นตั้งๆ ไม่ต้องเห็นหน้าผมก็รู้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร





ผมอมยิ้มกับภาพนั้นจำได้ว่าอีกคนบอกมาในไลน์เมื่อคืนว่าวันนี้จะโดนเพื่อนลากไปทำงาน ทั้งที่เมื่อคืนกว่าจะขายของกลับถึงหอก็ดึกแล้ว จากภาพที่ไนท์ถ่ายมาให้ดูคงจะง่วงมากจริงๆ 





อยากเจอว่ะ




ผมชั่งใจอยู่สักครู่ก่อนจะหยิบมือถือออกมากดโทร.หาบุ๊ค รอสายสักพัก






[สวัสดีครับ]   เสียงตอบรับที่ลอดผ่านสัญญาณทำเอาผมใจสั่นแปลกๆ นี่ครั้งแรกเลยที่ผมโทร.หาอีกคน




[ฮัลโหล] เสียงเดิมตอบกลับมาย้ำอีกหนเมื่อผมไม่ได้ตอบ





“ฮัลโหลบุ๊ค นี่แบงค์นะ”




[ห๊ะ!!] เสียงที่ตอบมาดูตกใจแล้วผมก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างหล่นโครมครามแล้วก็เสียงด่าทอของไนท์ลอดสายมา





[เอ่อ แบงค์หรอ มีไรเปล่า?]  อีกคนพูดเสียงแผ่วเบาเหมือนจะป้องปากกระซิบ



ผมหัวเราะออกไปเบาเบา



“อยู่สโมฯหรอ?”



[อื้อ ใช่ มาทำงานช่วยเพื่อน]




“เห็นไนท์บอกว่าง่วงหรอ? เอากาแฟไหมเดี๋ยวซื้อไปให้”




[แบงค์จะเข้าคณะหรอ?] บุ๊คพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย




จากนั้นก็เป็นเสียงไนท์พูดอะไรสักอย่างต่อมาก็เป็นเสีงโห่แซวของคนอื่นๆ





[ หยุดหอนเลยพวกมึงอ่ะ....ตกลงคือยังไงแบงค์จะเข้าคณะหรอ?]





“ก็ไม่ได้มีธุระอะไรหรอก แค่อยากเจออ่ะ”




อีกฝ่ายเงียบเสียงไปอึดใจหนึ่งก่อนจะตอบมาเสียงแผ่ว




[อื้อ งั้นเอากาแฟก็ได้]




“โอเคครับ แล้วเพื่อนอ่ะเอา’ไรเปล่า”




[งั้นเดี๋ยวถามเพื่อนก่อนนะ เดี๋ยวส่งไปให้ในไลน์]




“ครับผม แล้วเจอกัน”




[อื้อ]






ผมกดตัดสาย เดินไปค้นตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อบอลทีมโปรดออกมาสวม เคาะห้องน้องสาวแล้วบอกว่าจะออกไปข้างนอกหยิบมือถือ กระเป๋าเงิน กุญแจรถแล้วออกจากบ้านมา











ผมจอดรถหน้าอาคารที่เป็นที่ตั้งของสำนักงานสโมสรนักศึกษาก่อนจะกดมือถือหาเจ้าของออเดอร์กาแฟ





   [โหลแบงค์]



   “อื้อ เรามาถึงล่ะนะอยู่หน้าตึก”




   [อ๋อ เคๆ รอแป๊ปนะเดี๋ยวเราออกไป]





สายถูกตัดไปผมนั่งรอสักพักก็เห็นร่างสูงโปร่งคุ้นตาเดินกางร่มคันใหญ่มาที่รถผม




ผมรวบถุงที่บรรจุแก้วกาแฟเฟรนชายชื่อดังหลายถุงเปิดประตูรถ บุ๊คเอื้อมมือมารับถุงกาแฟบางถุงไปจากมือผมกว่าจะมายืนในร่มคันเดียวกันได้ก็ทุลักทุเลพอสมควร กว่าจะเดินเข้ามาภายในอาคารได้ก็โดนฝนกันไปเล็กน้อย





บุ๊คเปิดประตูให้ผมเดินนำเข้าไปในสำนักงานสโมสรนักศึกษา ทุกสายตาจากบุคคลในห้องนั้นนมองมาที่ผมและคนที่เดินตามเข้ามาเป็นตาเดียว บุ๊คเดินชนไหล่ผมผ่านไปวางถุงบรรจุแก้วกาแฟลงบนโต๊ะตัวใหญ่กลางห้องที่เพื่อนๆนั่งล้อมกันอยู่ ผมส่งถุงที่เหลือในมือให้แต่ยังถือไว้เองอีกสองถุง




   “อ้าวแล้วอันนั้นไม่ใช่หรอ?” บุ๊คถาม




   “ไม่ใช่ๆ อันนี้ของเรา




   “อ่อๆ” บุ๊คหันไปแจกจ่ายกาแฟให้เพื่อนตามออเดอร์ที่สั่งพร้อมกับเก็บเงินไปด้วย




ผมยืนมองอีกคนทำแบบนั้นอย่างไม่รู้ตัวจนอีกคนเอ่ยทักขึ้น




   “แบงค์ซื้อมาไม่ครบนะ ขาด’เมกาโน่ของเรา”



 
   “อ๋อๆ อยู่นี่”





ผมหยิบเอาแก้วกาแฟของตัวเองออกมาจากถุงกระดาษนั้นก่อนจะยื่นที่เหลือให้อีกคนไป เขาทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะรับถุงนั้นไปเปิดดูก่อนจะเงยหน้ามองผม





   “เราไม่ได้สั่งขนมนะ ไม่มีตังค์จ่ายด้วย” แหนะ พูดแล้วทำปากยื่นๆด้วย น่ารักไปไหนคนเรา




   “ก็ไม่ได้สั่งไง เราซื้อให้ กลัวหิว”



เขาเลิกคิ้วมองหน้าผมก่อนจะส่งยิ้มกว้างมาให้




   “ใจดีอ่ะ ขอบใจนะ”




ด้วยความหมั่นเขี้ยวผมเลยยกแก้วกาแฟเย็นๆนั่นขึ้นไปแตะแก้มเขาเบาๆ




   “หูย!!เย็น เล่นไรเนี่ย” ยิ่งทำหน้ามุ่ยแบบนี้ยิ่งหมั่นเขี้ยวว่ะ


คนเราจะแพ้ทางใครมากๆได้แค่ไหนวะผมเหมือนจะแพ้อีกคนทุกทางเลย




   “เพื่อนบางคนก็ควรจะรู้ว่ามีเพื่อนอีกหลายคนอยู่ในห้องด้วยนะคะ”





เสียงของไนท์ดังขึ้นทำให้ผมรู้ตัวว่าบทสนทนาและการกระทำเมื่อสักครู่ตกอยู่ในสายตาของคนนับสิบ




เชี่ยมาก...โคตรเขิน





“มองไรพวกมึง ทำงานไปดิ๊” คนที่ยืนหน้าแดงอยู่ตรงหน้าผมหันไปแหวใส่เพื่อน




“มึงก็ต้องมาทำค่ะ อิสวย”  คนที่โดนเพื่อนเรียกว่าสวยทำได้แค่ค้อนปะหลับปะเหลือกใส่เพื่อนแถมยังเผื่อแผ่มาถึงผมด้วย





“แบงค์มึงมาก็ดี อย่าพึ่งกลับ” ไนท์พูดข้ามห้องมาอีกโบกมือเรียกผมไว้แล้วปราดเข้ามาลากแขนผมไปนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวนึง





 บุ๊คถอนหายใจเสียงดังแล้วนั่งลงข้างๆกัน ตรงหน้าอีกคนเป็นแมคแอร์ที่เปิดหน้าทำงานเอาไว้ ข้างๆก็เป็นเอกสารอะไรเยอะแยะไปหมด





“มีไรวะ” ผมถามไนท์




“พวกกูต้องขอคำแนะนำเรื่องการแบ่งตารางการแข่งขันหน่อยว่ะ”




แล้วต่อจากนั้นผมก็ได้รู้จักชาวสโมฯทุกคนที่อยู่ในห้องนั้น ผมอธิบายเรื่องการแบ่งตารางการแข่งขันในกีฬาประเภทต่างๆ จนกลายเป็นว่าจะมาหาคนที่นั่งทำงานอยู่ข้างๆเฉยๆก็เป็นมาช่วยงานเขาซะงั้น คุยงานกันไปเล่นกันไปก็สนุกดีครับ





ตอนนี้ข้างนอกฟ้ามืดลงแล้วฝนก็หยุดไปแล้วด้วย ผมเหลือบมองนาฬิกาบนผนังห้องปรากฏว่าหกโมงกว่าเข้าไปแล้ว





ผมแนบหน้าลงกับโต๊ะหันหน้าไปทางคนข้างๆที่นั่งพิมพ์รายชื่อนักกีฬาอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วก็ดูเหมือนว่าคนถูกมองจะรู้ตัวแล้วด้วย






   “มองอะไร” บุ๊คพูดขึ้นเบาๆ พอให้ได้ยินกันสองคน




   “อะไรใครมอง มโนไปเองป่าวเหอะ”




   “ก็เห็นอยู่เนี่ยว่ามองยังจะมารวนอีก”





   “มอง~~เธอสาวเธอสวยฉันจึงได้มอง~” ผมร้องออกมาเป็นเพลงเลยครับ...รู้สึกว่าตัวเองโคตรเสี่ยวเลย





อีกคนหลุดขำกิ๊กออกมาจากคำตอบของผม





   “คือ ที่จริงจะถามว่าไปดูหนังกันไหม” ผมเอ่ยชวนคนที่นั่งข้างกันตาก็ยังมองหน้าเขาอยู่




   “หนัง? เรื่องไรล่ะ” ปากก็ถามผมแต่สายตาและมือยังทำงานอยู่




   “The conjuring”




   “อ๋อ หนังผี”




   “อื้ม กลัวป่ะ?”





   “ไม่อ่ะ วันไหนล่ะ?”




   “วันนี้แหละเราเช็ครอบตะกี้ มีรอบสามทุ่มซาวน์แทร็ค”




   “อ่า เอาดิ หาไรกินก่อนพอดี”




   “เค...งั้นเราจองเลยนะ”




   “อื้อ”




ผมหยิบมือถือออกเพื่อที่จะจองที่นั่งแต่เมื่อเหลือบมองรอบข้างก็พบกับสายตาหลายคู่ที่มองมาที่ผมและคนข้างๆ บุ๊คไม่รู้หรอกครับว่าโดนมองเพราะยังตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์งานอยู่





   “มองไรพวกมึง” ผมถามเสียงเย็นๆ




   “เพื่อนบางคนก็ชวนกันไปดูหนัง” นกกาที่1




   “เพื่อนบางคนก็จีบกันต่อหน้าเพื่อน” นกกาที่2




   “แล้วเพื่อนหลายคนก็เริ่มหมั่นไส้เพื่อนบางคนแล้วด้วย”  นกกาที่3




ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไรเสียงจากคนข้างๆผมก็ดังขึ้นทั้งที่ดวงตากลมโตใต้กรอบแว่นนั่นยังจ้องมองหน้าจอคอมฯอยู่





   “เพื่อนหลายคนก็ขี้เสือก”




แล้วประโยคนั้นก็เรียกเสียงโห่จากทุกคนในห้องได้เป็นอย่างดี





   “หมั่นไส้” ไนท์พูดแล้วเบะปากใส่ทั้งผมและบุ๊ค ผมมองไปที่จำเลยร่วมเห็นเขาไม่สนใจเลยเฉยตาม




หยิบมือถือมากดจองตั๋วพร้อมชำระเงินผ่านบัตรเรียบร้อยก็มานั่งมองอีกคนเหมือนเดิม สักพักเพื่อนๆก็ทยอยกลับกัน จนกระทั่งเห็นบุ๊คทำงานในส่วนของตัวเองเสร็จเรียบร้อยเลยชวนกันออกมา





   “เมื่อเช้ามาไง?” ผมถามขึ้นในขณะที่เราเดินกันไปตามถนนมืดๆเพื่อไปที่บริเวณจอดรถ




   “ไอ้ไนท์ไปรับ” พูดจบก็หาวออกมา แล้วนั่นจะยีหัวตัวเองให้มันยุ่งทำไม ท่าทางแบบนั้นของเขาทำผมหลุดขำออกมา





   “ขำไรอ่ะ” แหนะ ยังจะมาทำตาใสถามแบบนี้อีก แถวนี้ยิ่งมืดๆอยู่ด้วย





   “ป่าวครับ” ตอบแบบนั้นแต่ก็ยังยิ้มกว้างอยู่



ท่าทางน่ารักๆนั่นทำให้ผมเผลอเอามือไปยีผมหน้าม้าของอีกคนให้มันยุ่งเข้าไปอีก แต่คนที่เดินข้างๆกันเหมือนจะตัวแข็งไปแล้ว ถ้าผมไม่เข้าข้างตัวเองเกินไปหรือไม่ได้ตาฝาดเพราะความสลัวรางของแสงไฟแล้วล่ะก็ผมว่าผมเห็นริ้วแดงๆบนแก้มขาวๆนั่นนะ





เรานิ่งกันไปแบบนั้นอยู่ราวอึดใจหนึ่งก็ถูกขัดขึ้นด้วยเสียงโทรศัพท์ของผม ผมละมือออกจากผมของคนข้างๆแล้วหยิบมือถือออกมา ปรากฏว่าเป็นไอ้นัทโทร.มา ถ้าเรื่องไร้สาระกูจะเผาบ้านมึง




       “เออว่า”






       [ไอ้หล่อ มึงอยู่ไหนวะ]






ผมเหลือบมองคนที่เดินข้างๆกันเล็กน้อยก่อนจะตอบเพื่อนไป





   “คณะ มีไร?”




   [ไปทำเหี้ยไรที่คณะวะ วันอาทิตย์]





   “เสือก มึงมีไรเนี่ย”





   [เออ กูจะบอกให้มึงเอาลูกเปตองไปให้ไอ้หนึ่งทีพรุ่งนี้มันจะไปอบรม กูลืมไว้บนรถมึงอ่ะ]




   “เออๆ พวกมึงนี่แม่งเห็นรถกูเป็นที่เก็บของรึไงวะ”




   [เอาน่า อย่าบ่นไปๆเอาไปให้มันด้วยมันอยู่หอนั่นแหละ] มันพูดแค่นั้นแล้วก็ตัดสายไป คือ...





   “บุ๊ค” ผมเรียกอีกคนหลังจากที่เรามาถึงรถแล้ว




   “หืม?” เขารับคำ




   “เดี๋ยวเอาของไปให้ไอ้หนึ่งที่หอในก่อนนะแล้วค่อยไปหาไรกินกัน”




   “อื้อ” เขาพยักหน้ารับแล้วยิ้มให้ก่อนจะอ้อมไปขึ้นรถ





ผมจอดรถที่ทางเข้าหอในชายก่อนจะเอี้ยวตัวไปด้านหลังเพื่อหาของที่เพื่อนลืมไว้ มันก็ซุกไว้ซะริมเลยไอ้หอกนี่




แต่ในตอนที่ผมกำลังจะเอี้ยวตัวกลับมานั่นเองผมถึงได้รู้ตัวว่าหน้าตัวเองอยู่ห่างจากแก้มใสใสของคนที่ก้มหน้าก้มตาเล่นทวิตอยู่ไม่กี่คืบ ขนาดแสงไม่ค่อยมียังเห็นเลยว่าใสขนาดไหน หอมด้วยเว่ย ถ้าได้กดจมูกลงไปนี่คงฟินน่าดูเลย แต่เสียงแจ้งเตือนไลน์จากมือถือของคนแก้มใสก็ดังขึ้นปลุกภวังค์ของผมก่อนที่เขาจะเสียแก้มหอมๆนั่นให้จมูกผม ใจเย็นไว้ไอ้หล่อ




   
ผมถอยออกมาสงบสติอารมณ์ตัวเองก่อนจะพึมพำบอกให้อีกคนรอในรถก่อนจะขึ้นไปหาเพื่อนข้างบน พอดีว่ามีคนจะเข้าข้างในพอดีผมเลยไม่ต้องโทร.บอกมันมาเปิดให้




ปึง ปึง ปึง





เงียบ




อะไรของมันวะ ไปอาบน้ำป่ะวะ




ผมยืนเคาะอยู่สองสามรอบก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากภายในห้องจนห้องข้างๆเปิดออกมาดู




   “เคาะไรนักหนาวะ”





ผมเพ่งมองเจ้าของห้องข้างๆที่หัวยุ่งออกมาด่า หน้าคุ้นๆ




   “อ้าว ไอ้แบงค์ มึงมายืนเคาะห่าไรเนี่ย”





ไอ้ต่อนั่นไงจะใครล่ะ




   “กูเอาของมาให้เชี่ยหนึ่ง เคาะนานละเนี่ยยังไม่โผล่ ตายไปยังไม่รู้”





   “มันไปหาไรแดกป่ะเหอะ”





ผมถอนหายใจกับความงี่เง่าของเพื่อนตัวเองก่อนจะตัดสินใจฝากของไว้ให้ไอ้ต่อเอาให้ไอ้หนึ่งมัน





   “ฝากให้มันด้วย พรุ่งนี้มันจะไปอบรม”





   “เออๆ”





ไอ้ต่อรับของไปก่อนจะผลุบเข้าห้องตัวเองตามเดิม






ผมกับบุ๊คเราตัดสินใจทานข้าวกันที่ร้านตามสั่งใกล้ๆห้างก่อนจะขึ้นไปดูหนังกัน




ผมไปติดต่อรับตั๋วที่จองไว้พอเดินกลับมาหาคนที่นั่งรออยู่อีกคนก็ยื่นธนบัตรสีแดงสองใบมาให้




   “อ่ะ ทอนด้วย”




ผมทำหน้างงก่อนจะตั้งใจเอ่ยปากปฏิเสธแต่ก็ถูกอีกคนดักไว้ก่อน




   “ไม่ต้องมาทำป๋าเลี้ยงเราเลยนะ! รู้หรอกว่าจีบไม่ต้องรีบเปย์” พูดจบก็ยัดเงินใส่มือผม




 ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้ คือเงินพวกนี้ก็เป็นเงินที่ผมหาได้จากงานตัดสินบ้างโบนัสที่แด๊ดให้เพราะเกรดดีบ้าง คือเลี้ยงได้ไม่ได้เดือดร้อนอะไรแต่เห็นอีกคนทำแบบนี้แล้วรู้สึกว่า นี่แหละแม่ของลูก อิอิ





   “ยังจะมายิ้มอีก ทอนเราด้วยแปดสิบ เร็วเลย”




   “ครับๆ”




ผมหยิบกระเป๋าเงินออกมาก่อนจะหยิบแบงค์ยี่สิบสี่ใบให้คนที่แบมือยิกๆอยู่ตรงหน้า หลังจากได้เงินทอนไปเขาก็ทำหน้าพออกพอใจ




   “เรารู้ว่าแค่นี้แบงค์จ่ายได้ แต่เราก็จะบอกว่าเราก็จ่ายได้..คือก็ยังเด็กทั้งคู่อ่ะถ้าแบงค์จะเคยชินกับการเทคแคร์คนที่คุยด้วยหรืออะไรแบบนี้เราเข้าใจแต่เราจะไม่สบายใจมากๆถ้าจะต้องให้แบงค์จ่ายให้ตลอดวันนี้ก็ซื้อขนมเลี้ยงเราแล้วด้วย เข้าใจไหม?”





   “เข้าใจแล้วครับผม”




พูดจบก็เอามือไปยีๆหน้าม้าของคนที่นั่งแหงนหน้าคุยกับผม ท่าทางจริงจังนั่นโคตรน่ามองเลย นี่ผมจะแพ้เขาไปทุกทางเลยใช่ไหม ขนาดโดนดุยังอารมณ์ดีอ่ะคิดดู





   “อย่ายีได้ไหมเล่า”




พูดพร้อมกับปัดๆมือผมออกก่อนจะจัดผมตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง





พอได้เวลาหนังฉายเราก็เข้าไปดูหนังกัน หนังเรื่องนี้เป็นหนังภาคต่อซึ่งภาคแรกนั้นผมชอบมากตัวหนังเน้นดราม่าแต่ก็มีจังหวะให้กระตุกเป็นระยะๆ บุ๊คก็ดูไปปิดตาไปตลกดีครับบางทีก็กลัวมากๆเข้าก็อุทานด่าออกมาเบาๆ 






พอหนังจบเดินออกมาจากโรงหนังจนกระทั่งขึ้นมาบนรถผมจึงเห็นว่าอีกคนหน้าซีดเล็กน้อย แน่ล่ะช่วงพีคของหนังนี่ค่อนข้างน่ากลัวแต่ก็น่าดูไปด้วยเหมือนเจ้าตัวจะอารมณ์ค้างๆจากตัวหนัง




   “เป็นไร หน้าซีดกลัวแม่ชีรึไง” ผมเอาศอกกระทุ้งเขาเบาๆพลางเอ่ยแซว




      “อย่าแซวดิ” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่เหมือนอีกคนจะยังไม่หายกลัว





   “นอนคนเดียวด้วยนี่นา...” ผมก็ยังแกล้งไม่เลิกเหมือนกัน คนที่เหมือนจะเก่งไปทุกเรื่องดันมาตกม้าตายเอากับหนังผี





   “งื้อออออ” ทำเสียงแบบนั้นพร้อมกับท่าทางเหมือนจะร้องไห้นี่มัน....น่าแกล้งชะมัด ผมเลยก้มไปกระซิบที่ข้างหูอีกคนว่า





   “วาเลค” เท่านั้นล่ะครับผมก็ได้รับกำปั้นหนักๆทุบมาที่อกดังปั่กใหญ่ๆ คือวาเลคนี่มันเป็นชื่อของปีศาจแม่ชีในหนังน่ะครับ แต่กำปั้นเมื่อกี้หนักชะมัดเลย




   “อย่าแกล้งดิ นี่กลัวจริงๆนะเว่ย”  พอกลัวนี่คำสบทต่างๆนานาก็หลุดออกมาหมดล่ะครับคนเรา





   “ให้ไปนอนเป็นเพื่อนป่ะ?” ผมเอ่ยถามขำๆ เพื่อปรับอารมณ์ให้คนข้างๆไม่อยากให้เขากลัวมากเดี๋ยวนอนไม่หลับ




   “เดี๋ยวนะ...เนียนละๆ”






         “เอ้า พูดจริงๆ”






   “ไม่เป็นไร เราเกรงใจ” พูดจบก็ทำหน้าบึ้งใส่ ปากยื่นๆนี่มัน ฮึ่ยยยย เย็นไว้ไอ้แบงค์





   “งั้นไปนอนบ้านเราไหมล่ะ”





   “ห๊ะ” แหม ห๊ะซะเสียงดังเลยนะครับ




ในจังหวะที่รถติดไฟแดงพอดีผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้หน้าใสใสนั่นก่อนจะบอกข้อดีของการไปนอนบ้านผม






   
“บ้านเรามีแอร์ ทีวี ฟรีwifi แถมคนนอนกอดด้วยหนึ่งอัตรา สนใจไหมครับ”







แหมผมว่าโปรฯนอนบ้านของผมนี่ได้ผลนะ วัดผลกำไรจากริ้วแดงๆบนแก้มใสใสนั่นไง ^^





-------------------------------------------------2BC------------------------------------------



มาแล้ววววเอาหนุ่มครูพละกับครูสังคมมาเสิร์ฟฮะ ^^


ตอนไปดู The Conjuring คนเขียนนี่ฟิลนี้เลยครับด่าผีทั้งเรื่อง ฮ่าๆๆ


ทำไมเรื่องนี้ฉากมันวนๆอยู่แค่นี้ไม่รู้ ไม่ค่อยได้ไปไหนหรอกชีวิตปีสอง


ให้เขาจีบกันไปเรื่อยๆ เราต่างก็มีช่วงเวลาที่ประทับใจคนคนหนึ่งแตกต่างกันจริงไหมครับ
ให้สองคนเขาค่อยๆประทับใจและปรับตัวในแง่มุมต่างๆของอีกคนไปเรื่อยๆ ไม่ปุบปับเนอะ ^^


รักคนอ่านรักคนเม้นครับ เจอกันตอนหน้า


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด