แพ้ทาง10
ในเย็นวันศุกร์แบบนี้ความยากลำบากของผู้ชายคนหนึ่งจะมีสักกี่อย่างกัน สำหรับผมมีอยู่ไม่กี่อย่างหรอกครับหลักๆเลยก็เป็นทาสแมวนี่แหละ แต่เป็นความยากลำบากที่เต็มใจล่ะครับ ยิ่งวันนี้ผมยิ่งเปรมเข้าไปใหญ่
“คุณเพนนีค่ะ”
เสียงคุณพนักงานคนสวยที่อยู่หน้าเคาต์เตอร์เอ่ยเรียกชื่อคนไข้รายต่อไป
ตอนนี้ผมอยู่ที่โรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่งใกล้กับมหาวิทยาลัย วันนี้ถึงคิวตรวจสุขภาพของคุณดอลลาร์ผมเลยต้องพามาตรวจตามปกติแต่ที่แจ็คพ็อตมากๆก็คือดันมาเจอบุ๊คที่นี่ ถามกันคำสองคำก็ปรากฏว่าเจ้าเมนคูนตัวเบิ้มก็เป็นคนไข้ของโรงพยาบาลสัตว์แห่งนี้เช่นกัน
บุ๊คอุ้มแมวตัวใหญ่ลุกขึ้นเดินเข้าไปภายในห้องตรวจ ตอนนี้คุณดอลลาร์ตรวจเสร็จแล้วผมรอรับใบนัดอยู่เลยกะว่าจะนั่งรอแล้วชวนอีกคนไปหาไรกินซะหน่อย ไม่ได้หรอกครับมีโอกาสเราก็ต้องหาโมเม้น
PART BOOKผมว่านี่มันจะบังเอิญมากไปหน่อยนะครับ
วันนี้ผมพาคุณเพนนีมาตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีน ที่ครบรอบต้องฉีดอีกครั้งแล้วก็บังเอิญเจอใครบางคนที่พักนี้ออกจะบังเอิญเจอบ่อยมากไปหน่อย แต่ก็ไม่ซีเรียสเจอก็ดีครับ ^^
“เสร็จยัง” คนที่นั่งข้างๆกันตอนนี้เอ่ยถามขึ้น ในอ้อมแขนนั้นมีแมวเปอร์เซียสีเทาหม่นๆนอนหลับอย่างเป็นสุขอยู่ในนั้น มือใหญ่ๆก็เกาคางให้ไปพลาง สบายน่าดู
“อื้อ เสร็จแล้ว”
“กินไรยัง”
ผมขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย จะมาไม้ไหนอีก
“ถ้าหมายถึงข้าวเย็นก็ยังไม่กิน”
“งั้นกินข้าวกัน”
ว่าแล้วเชียว
“แล้วแมวอ่ะ”
“เอาไปด้วยไง คุณดอลลาร์ไม่ดื้อหรอก เนอะ” คำสุดท้ายคนตรงหน้าผมก้มลงไปพยักเพยิดกับเจ้าขนฟูในอ้อมแขน
มีมุมแบบนี้ด้วยแฮะ
“อื้อ ไปดิ” ผมตอบตกลง เพราะยังไงก็ยังไม่อยากกลับห้องตอนนี้หรอก นี่ก็กะว่าจะไปหาไรกินก่อนพอดี
“คุณเพนนีโอเคนะครับ”
ผมถึงกับผงะไปนิดนึงเลยครับเมื่ออีกคนยื่นหน้าเข้ามาพูดกับแมวที่ผมอุ้มอยู่
ทำเสียงแบบนี้อีกแล้วเจ้าเมนคูนในอ้อมแขนก็ลืมตาขึ้นมามองหน้าครูพละหัวใจมิ๊ง แล้วครางครืดคราดเหมือนรับคำ ผมแปลกใจเล็กน้อยเพราะคุณเพนนีไม่ชินกับใครง่ายๆ
“อ่ะ คุณเพนนีก็โอเคแล้ว”
“ไปสนิทกันตอนไหนเนี่ย”
ผมบ่นออกมาเบาเบา
“เมื่อกี้นี้แหละ” เขาพูดออกมาอย่างร่าเริงยิ้มกว้างไม่ห่วงลุคเลยทีเดียว สาวๆในโรงพยาบาลนี่เคลิ้มกันเป็นแถว
ผมมองอีกคนก้มลงพยายามเอาแมวเข้าไปในตระกร้าแต่เหมือนจะไม่ค่อยเป็นผลเท่าไหร่
“มายังไง” ผมเอ่ยถามคนที่ก้มๆเงยๆอยู่ตรงหน้า
“แว๊นซ์มา” อีกคนตอบทั้งๆที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาจากการสู้รบกับแมว
“ไม่ต้องเอาเข้าก็ได้ เราเอารถยนต์มาเดี๋ยวให้นอนหลังรถ” ผมเสนอแนวทางให้อีกคน
“หือ?” เขาเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“เดี๋ยวไปรถเราไง ให้คุณดอลลาร์นั่งข้างหลังก็ได้” มันก็เป็นคำพูดแสดงไมตรีจิตรแบบธรรมดาๆนะครับ ทำไมต้องหน้าร้อนๆด้วยเนี่ย
แบงค์มองหน้าผมแล้วยิ้มมุมปากนิดๆแบบที่เจ้าตัวชอบทำแล้วลุกขึ้น มือนึงก็อุ้มแมวตัวโตอีกมือก็หิ้วตระกร้าแมว
ผมเดินนำเขาออกมาที่ลานจอดรถหน้าโรงพยาบาล จัดการเปิดรถแล้วเอาคุณเพนนีวางที่เบาะหลังตามปกติ ผมหันมามองคนที่เดินตามหลังมาแบงค์ยืนทำหน้างงๆ ผมมองอาการนั้นแล้วขำออกมาเบาเบา
“ขำไร”
“เปล่า”
ผมตอบปฏิเสธไปเอื้อมมือไปรับเอาตระกร้าจากมืออีกคนมาวางไว้ที่เบาะหลัง เขาไม่ได้พูดอะไรได้แต่ยืนนิ่งๆมองการกระทำของผม
“เชิญขึ้นรถเลยครับผม เดี๋ยววันนี้เราขับเอง” ผมหันมายิ้มกว้างบอกอีกคนแบบนั้น แล้วเปิดประตูรถฝั่งคนขับแต่อีกคนกลับยืนนิ่งอยู่แบบนั้น
“แบงค์”
“ห๊ะ ครับ อะไรนะ?”
อ้าวเหม่อเฉยเลย
“ขึ้นรถดิ หรือไม่ไปแล้ว?”
“อะ อ๋อๆ ไปๆ”
แบงค์กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาขึ้นรถฝั่งข้างคนขับ แขนก็อุ้มแมวไปด้วยแอบสงสารแมวเบาเบา
“เอาแมวไว้เบาะหลังไหม จะได้นั่งสบายๆ”
ผมเสนอขึ้นเมื่อเลี้ยวรถออกจากโรงพยาบาล แล้วมาติดไฟแดงเวลาแบบนี้รถติดชะมัดเลย
“ไม่เป็นไร เราอุ้มได้ เดี๋ยวแมวทะเลาะกัน”
“ไม่หรอกมั๊ง ดูคุณดอลลาร์ก็ไม่ดุนี่”
ผมพูดแล้วเหลือบมองกลุ่มขนสีเทาหม่นๆที่นอนอย่างสบายอารมณ์บนตักเจ้านายตัวเอง(หรือทาสนะ?)
“ลองดูก็ได้ เผื่อจะได้เป็นเพื่อนกัน”
ว่าจบแบงค์จับคุณดอลลาร์เอื้อมไปเบาะหลังให้คุณดอลลาร์ดมๆ เจ้าเมนคูนตัวอ้วนของผมที่นอนตาปรืออยู่ คุณเพนนีเอาขาหน้ามาแตะๆที่จมูกเจ้าเปอร์เซียเบาๆแล้วนอนต่อ ผมมองการกระทำทั้งหมดนั้นผ่านกระจกมองหลัง
“อื้อ เข้ากันได้นี่ งั้นอยู่ด้วยกันไปนะสนิทๆกันไว้แหละดี เดี๋ยวก็ได้ดองกันแล้ว”
ดองกัน?
ใครดองกับใคร?
“ใครดองกับใคร?” ผมหลุดปากถามในสิ่งที่คิดออกไป
แต่ก็มาสำนึกได้ว่าไม่ควรถามให้คำตอบมันเข้าตัวเลยจริงๆ
“ก็เราสองคน เดี๋ยวก็ได้เป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว”
“ใครจะไปเป็นทองแผ่นเดียวกับแบงค์กัน”
“อ้าว นี่ไม่รู้จริงๆหรอ”
“...”
“ก็บุ๊คไง เดี๋ยวเราจีบบุ๊คติดเราก็ดองกันเลย”
“...”
เงิบ อึ้ง กินจุดไปครับ นึกไม่ถึงว่าจะมามุกขี้จริงๆ ผมไม่ตอบอะไรคนข้างๆที่นั่งยิ้มฮัมเพลงไปตลอดทาง
แล้วไอ้แก้มบ้านี่ทำไมต้องร้อนๆด้วยเนี่ย!!!!
“เออ แล้วจะไปกินไหนอ่ะ”
ผมถามออกมาเพราะนึกได้ว่ายังไม่ได้คุยกันเรื่องที่กินข้าวเลย นี่ก็ขับรถมาทางกลับหอตัวเองเลยเนี่ย
“ไหนๆก็มาทางนี้แล้วไปร้านแถวบ้านเราก็ได้ มีอยู่ร้านนึงเขาให้เอาสัตว์เข้าร้านได้” ผมพยักหน้ารับ แล้วขับรถไปตามทางที่อีกคนบอก
ร้านข้าวที่แบงค์บอกทางมานั้นเป็นร้านอาหารไทย-อีสานที่บรรยากาศร่มรื่นค่อนข้างเป็นที่รู้จักพอสมควร ในระหว่างที่เราทานอาหารกันแมวอ้วนสองตัวก็ได้รับการดูแลอย่างดีจากทาสแมวดีกรีนักศึกษาครูพละในตระกร้าส่วนตัว ดูท่าเขาจะชอบแมวเอามากๆเลย เสียงงุ้งๆงิ้งๆนี่อยากจะอัดวีดิโอให้พวกแฟนคลับเจ้าตัวดูจริงๆ พี่แบงค์คนคูลหายไปแล้ว
ผมหยิบมือถือขึ้นมาตั้งท่าจะถ่ายภาพอีกคนแต่ก็มีสายเรียกเข้าซะก่อนจากเพื่อนสนิทผมเอง
“เออ ว่าไงไนท์”
[บุ๊ค มึงอยู่ไหนว่างป่ะ?] ไนท์ตอบกลับมาน้ำเสียงดูหงุดหงิดแต่ก็พยามระงับเอาไว้
“กินข้าว มีไรมึงเสียงไม่ดีเลย”
[มึงเข้ามาสะแตนหน่อยได้ป่ะ น้องเราไม่ตั้งใจเลยวันนี้กูไม่อยากดุน้อง]
“เลยจะให้กูเข้าไปดุน้องว่างั้น?”
[มึงเข้ามาดูช่วยกูหน่อย เพื่อนเราท้อกันหมดละมึงกูเริ่มมีอารมณ์แล้วเนี่ยไม่อยากระเบิดใส่น้อง]
“ เออๆ เดี๋ยวกูเข้าไป”
[รีบหน่อยนะมึง โทษทีแต่ช่วยหน่อยเหอะว่ะ]
“เออ ไม่เป็นไรเดี๋ยวเจอกัน”
แล้วไนท์ก็วางสายไป ดูท่าทางวันนี้เพื่อนผมจะจนแต้มเอาจริงๆ ที่ไนท์โทร.มาขอให้ช่วยแบบนั้นเพราะเดิมทีผมเป็นพี่ระเบียบของสาขา ผมก็งงนะครับว่าแบบผมนี่หรอน้องจะเกรงพอไปทำจริงๆน้องก็เกรงผมพอสมควรนะครับ เพื่อนๆบอกว่าเพราะท่าทางผมดูใจดีพอทำท่าทาจริงจังน้องเลยเกรงมากกว่า
“มีไรป่าว” คนที่นั่งตรงข้ามเอ่ยถามผม
“ไนท์โทร.มาตามให้เข้าไปช่วยดูน้องสแตนอ่ะ บอกว่าวันนี้น้องไม่ตั้งใจเลย สงสัยวันศุกร์ด้วยล่ะมั๊ง”
“งั้นเดี๋ยวเราไปด้วย?”
“หืม?”
อีกคนไม่ตอบอะไรได้แต่พยักหน้าแล้วก้มหน้าทานข้าวต่อไป
“เดี๋ยวแบงค์ ที่บอกจะไปด้วยนี่คือ?”
“ก็ไปสแตนไง ยังไงน้องสาขาเราก็เป็นส่วนหนึ่งของสแตนสีเราด้วยอยู่แล้ว เผื่อช่วยอะไรได้บ้าง”
“แล้วแมว?”
อีกคนมองไปที่เจ้าเปอร์เซียตัวอ้วนท่าทางครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วก็หยิบมือถืออกมากดๆอะไรสักพักก็วางลง
“เราไลน์บอกน้องเราแล้ว เดี๋ยวน้องเรามาเอาคุณดอลลาร์กลับบ้าน”
“อ่าๆ”
ผมที่ทำอะไรไม่ได้เพราะอีกคนเขายืนยันแบบนั้น จากนั้นเราก็สั่งเช็คบิลมื้อนี้หารกันครับ เรายังเด็กอยู่ถึงจะพอหาเงินเองได้แต่ก็ต้องรู้จักประหยัด
สักพักเด็กผู้หญิงท่าทางเฮ้วๆคนนึงก็เดินมานั่งลงตรงเก้าอี้ว่างข้างๆผม
“สวัสดีค่ะพี่บุ๊ค Hi!! Bro ” เธอยกมือไหว้ผม(รับไหว้แทบไม่ทัน) แล้วยกมือทักคนที่นั่งตรงข้ามผม
“อือๆ บุ๊คนี่
มันนี่นะน้องสาวเรา” เขาแนะนำเด็กสาวให้ผมรู้จัก
เด็กผู้หญิงที่นั่งข้างๆผมตอนนี้เป็นคนที่เรียกได้ว่าหน้าตาดีไม่ผิดกับพี่ชายของเธอเลยแต่ออกจะหวานกว่าตามเพศสภาพ แต่ท่าทางและบุคลิกออกจะตรงข้ามกับหน้าตาเล็กน้อย
“พี่บุ๊คนี่ตัวจริงน่ารักกว่าในรูปอีกนะคะ”
“Hey! Sister don’t be aggressive.” แบงค์เอ่ยเตือนน้องสาวตัวเอง
“I don’t”
“Remove the cat and then go home.”
“Okay!!”
มันนี่ลุกไปคว้าตระกร้าแมวแล้วหันมาโบกมือลาผมแลบลิ้นใส่พี่ชายไปหนึ่งทีแล้วออกจากร้านไป หนุ่มๆในร้านหลายคนก็มองตามเธอไป
“ไปกัน” อีกคนเอ่ยพลางคว้าตระกร้าคุณเพนนีไปถือไว้ ผมเลยลุกตาม
“เดี๋ยวเอาคุณเพนนีไปไว้หอก่อนนะ”
ผมเอ่ยบอกแบงค์หลังจากที่เราเลี้ยวรถออกมาจากร้านแล้วมุ่งหน้าไปตามถนนสายเล็กๆนั่น
“ครับผม”
เสียงดังจากการร้องเพลงซ้อมทั้งจากรุ่นพี่รุ่นน้อง น้องปีหนึ่งนั่งอยู่บนสแตนเชียร์ส่วนรุ่นพี่ก็จับกลุ่มทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายของตัวเอง บางกลุ่มฝึกทำท่าทางโบกไม้โบกมือตามโค้ดที่ได้มาเพื่อจะไปสอนน้อง อีกกลุ่มก็สุมหัวแยกออกไปเล็กน้อยกางกระดาษเปิดแลปท็อปออกแบบโค้ด อีกกลุ่มก็ทำพร็อบซ่อมพร็อบไป ดูไม่มีปัญหาอะไร ผมเดินเข้าหาเพื่อนสนิทที่ยืนคุยกับเพื่อนอีกสาขาที่ผมไม่รู้จัก พอเห็นผมไนท์ก็ทำท่าเหมือนมีพระมาโปรด แต่พอเหลือบมองคนที่เดินตามผมมาสายตานั้นก็เปลี่ยนเป็นล้อเลียน
“อ้าวแบงค์ ไม่ซ้อมหลีดหรอวันนี้” ไนท์ถามน้ำเสียงล้อๆ
“ไม่อ่ะ วันนี้เขาไปดูชุดกันเลยไม่นัดซ้อม”
“อ่ออออออออออ”
ถ้าน้ำเสียงมึงจะลากยาวขนาดนี้นะไนท์ =,.=
“เรียกกูมามีไร” ผมเอ่ยเรียบๆ
“โอ้ย คุยด้วยแค่นี้ทำเป็นดุนะมึง”
=,.=
“เออๆ ไม่ล้อแล้วก็เห็นมาด้วยกันนี่หว่า คืองี้ วันนี้น้องไม่ตั้งใจเลยอ่ะพวกกูว่าจะลงท่าใหม่แต่จะเก็บโค้ดที่เคยปล่อยไปก่อนแต่น้องไม่ตั้งใจเลย ดูไม่มีกะจิตกะใจจะทำเลย กูไม่อยากดุน้องเลยจะให้มึงมาช่วยเก็บท่าน้องให้หน่อย”
ไนท์เอ่ยเสียงเรียบๆท่าทางจริงจังขึ้นมา ผมเหลือบมองไปทางน้องๆบนสแตนเชียร์ที่ตอนนี้อยู่ในช่วงพักเบรก บางคนก็นั่งเล่นโทรศัพท์ บางคนก็จับกลุ่มคุยกัน ผมหันกลับไปมองกลุ่มเพื่อนๆที่ตั้งอกตั้งใจทำหน้าที่ตัวเองแล้วก็รู้สึกฉิวนิดๆ หันกลับมามองที่ไนท์ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนถึงโทร.ตามผมมา ไนท์คงไม่อยากดุน้อง ที่จริงแล้วไนท์เป็นเฮดระเบียบของสาขาผมแต่ด้วยเพราะชั้นปีของเราคนน้อยการทำหน้าที่หลายๆอย่างควบกันจึงเป็นความจำเป็น และยิ่งกับกิจกรรมที่ต้องร่วมกับสาขาอื่นๆแบบนี้เรายิ่งต้องตั้งใจ เพราะไม่ใช่แค่เราที่เหนื่อย เพื่อนเขาก็เหนื่อยเหมือนกัน
“ช่วยหน่อยนะมึง น้องไม่ฟังกูเลยว่ะวันนี้”
“แล้วทำไมไม่ดุไปเลย” แบงค์เอ่ยถามมานิ่งๆ ผมจับหงุดหงิดเล็กๆจากน้ำเสียงของเขาได้
“ไม่อยากให้น้องใจเสีย เพราะเราต้องอยู่ตรงนี้ตลอดถ้าดุออกไปน้องก็จะกลัวไปเลยเราไม่อยากอยู่กับน้องด้วยความรู้สึกแบบนั้นไปตลอดเวลาสองเดือนที่เหลือ”
“ไอ้กลุ่มเด็กผู้ชายสิบกว่าคนที่อยู่มุมข้างบนนั่นสาขาเราใช่ไหม?” แบงค์ถามมาอีกคราวนี้เหมือนจะหลุดเต็มที่แล้ว
ผมที่ไม่เคยเห็นอาการแบบนี้ของเจ้าตัวเลยก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ด้วยความที่กลัวว่าเขาจะทำอะไรหุนหันพลันแล่นไปก็เลยเอื้อมมือไปจับแขนอีกคนไว้
“ใจเย็นนะแบงค์” ผมเอ่ยปรามออกไป
เขาหันมามองหน้าผมแล้วเหมือนได้สติยิ้มน้อยๆแล้วพยักหน้าให้ผม
ผมหันกลับมาทางไนท์ที่ตั้งท่าจะล้อเลียนผมแต่พอเจอสายตาพิฆาตของผมเข้าไปเธอก็ยิ้มแหยๆแล้วก็ทำท่าทางจริงจัง ผมตกลงจะช่วยเลยถามเรื่องท่าที่ไนท์กับโอ้ต(เพื่อนอีกคนที่เป็นตัวหลักเรื่องโค้ด)จะให้ผมช่วยเก็บให้ ผมเหลือบมองคนที่มาด้วยอยู่เป็นพักๆก็เห็นเขาไลน์คุยอะไรไม่รู้ท่าทางจริงจังเหมือนจะถ่ายรูปน้องที่สแตนเชียร์ส่งไปในไลน์นั้นด้วย
ในระหว่างที่พวกผมกำลังปรึกษากันนั้นแบงค์ก็เดินเข้ามาในวงสนทนาที่เคร่งเครียดของพวกผม เราสามคนเลยหันไปมองเดือนสาขาพลศึกษาที่ตอนนี้ใบหน้าเคร่งเครียดของเขาทำให้ดูดีไปอีกแบบ
แล้วนี่ผมจะเพ้อหน้าเขาทำไมเนี่ย “ขอเวลาพักนึงได้ไหม คือเดี๋ยวอีกสักห้านาทีเพื่อนสาขาเราจะมานี่กันนะ พวกเราจะขอคุยกับน้องสาขาหน่อย” แบงค์พูดเรียบๆเป็นการเป็นงาน ผมไม่เคยเห็นเขาในมุมนี้เลย
“เฮ้ยแบงค์ ที่จริงมันก็ไม่ขนาดต้องลงน้องหรอกเว่ย” โอ้ตพูดท้วงขึ้นมา
“ไม่ใช่ว่ามันต้องขนาดไหนถึงจะต้องลงหรอก หน้าที่ก็คือหน้าที่ถ้าน้องเราเพิกเฉยต่อหน้าที่ตัวเองก็ต้องเป็นรุ่นพี่แบบพวกเราที่ต้องบอกน้องเตือนน้อง การปล่อยไปเฉยๆจะทำให้น้องไม่คิดถึงความยากลำบากของคนอื่น การแข่งขันเป็นทีมมันก็ต้องเกิดจากความร่วมมือของคนในทีมทุกคน ต้องไม่เอาเปรียบกันเพราะทุกคนก็เหนื่อยเท่ากัน ไม่เป็นไรหรอก” พูดเสร็จก็ผละออกไปยืนมองน้องบนสแตนเชียร์นิ่งๆ
“กูไม่เคยรู้เลยว่าพลศึกษาเขามีระบบรับน้องแบบไหน” โอ้ตพูดขึ้นมาเบาเบา
“มึงจะได้รู้ก็วันนี้แหละ หวังว่าจะไม่ดราม่านะกูกลัวน้องดราม่า” ไนท์พูดเสริมออกมา
ผมไม่พูดอะไรได้แต่มองเหตุการณ์ตรงหน้านิ่งๆ มันคือเรื่องจริงที่พวกผมแทบจะไม่เคยรู้เลยว่าระบบพี่น้องหรือระบบปกครองภายในสาขาพลศึกษาเป็นแบบไหน เพราะสาขานี้เขาจะเรียนกันที่ยิมเนเซี่ยมของมหาลัยซึ่งจะอยู่คนละฝั่งกับตึกคณะเลยจะเจอกันก็แค่มีการเรียกรวมเท่านั้น
เพื่อนๆสาขาพลศึกษาที่กำลังเดินเข้ามาภายในบริเวณสนามในตอนนี้เรียกความสนใจจากเพื่อนที่กำลังทำงานอย่างขมักเขม้นรวมไปถึงสแตนข้างเคียงจากสาขาอื่นๆด้วย ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกครับที่เราจะเห็นปีสองพละศึกษารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียงนอกเวลาเรียนแบบนี้
นักศึกษาสาขาพลศึกษาชั้นปีที่สองจำนวนประมานสามสิบกว่าคนเดินเข้ามาหาแบงค์ที่ยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว พูดคุยกันพึมพำๆสักพักแบงค์และแนนก็เดินแยกมาทางพวกผม
“ไนท์เดี๋ยวพวกเราขอคุยกับน้องสาขาสักแปปนึงนะไม่นานหรอก ขอเวลาพักนึง” แนนพูดอย่างเป็นการเป็นงานหมดท่าทางเนือยๆเฉื่อยๆที่ชินตา
“เฮ้ย!!มีไรวะไนท์” เพื่อนที่อยู่ทีมโค้ดคนนึงร้องถามมา
“ไม่มีไรๆ พวกมึงทำงานไปเหอะ”
เพื่อนกลุ่มนั้นละความสนใจจากเหตุการณ์ตรงหน้า
กลุ่มเพื่อนๆสาขาพลศึกษาเดินไปรวมตัวกันที่กลางสนามฟุตบอล ย้ำว่ากลางสนามฟุตบอลนะครับ มีเพื่อนคนนึงเดินไปที่สแตนเชียร์พูดอะไรกับน้องสองสามคำแล้วพวกปีหนึ่งพลศึกษาก็ตาโตกันเลย
อะไรวะ “พลศึกษาปีหนึ่งฟังเรียกแถว พลศึกษาปีหนึ่งฟังเรียกแถว” เสียงห้าวๆเสียงหนึ่งดังมาจากกลางสนาม
เฮ้ย!!! เอางี้เลยหรอ
น้องปีหนึ่งพลศึกษาแทบจะกระโดดลงจากสแตนเลยอ่ะ
“พลศึกษาปีหนึ่งฟังเรียกแถว พลศึกษาปีหนึ่งฟังเรียกแถว แถวตอนเรียงสี่ทั้งหมด จัดแถว!!!!” “เฮ้!!!!!” พวกปีหนึ่งวิ่งแข่งกันไปรวมตัวกันตรงจุดที่เพื่อนๆปีสองยืนรวมๆกันอยู่ แล้วจากนั้นปีสองก็ยืนล้อมน้องเอาไว้ จนคนที่มองจากภายนอกแบบพวกผมมองไม่เห็นเลยว่าเกิดอะไรขึ้นตรงนั้นและเขาพูดอะไรกันบ้าง
ผมก็เก็บท่าให้น้องที่เหลือบนสแตนเชียร์รอ น้องก็ดูเนือยๆจริงๆครับ แต่พอผมทำท่าทางว่านี่เอาจริงน้องก็เริ่มจริงจังขึ้นมา
ผ่านไปราวๆสิบนาทีน้องๆพลศึกษาก็เดินเรียงแถวกันกลับมาขึ้นไปนั่งประจำที่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีอาการว่าโดนดุด่า ไม่มีใครร้องไห้หรือน้ำตาคลอทุกอย่างดูปกติ
กลุ่มปีสองพลศึกษาพากันกลับไปแล้วเหลือแค่แนนกับเดือนสาขาคนหล่อที่มากับผมเท่านั้นทำท่าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นยืนคุยกับไนท์มองน้องซ้อมอยู่ห่างๆ ผมสังเกตได้ว่าน้องพลศึกษาดูตั้งใจมากตั้งใจฟังที่ผมพูดและบางทีก็หันไปช่วยเพื่อนสาขาอื่นที่นั่งอยู่ข้างเคียง ภาพแบบนั้นทำให้คนเป็นรุ่นพี่ยิ้มออกมาได้เลยล่ะครับน้องตั้งใจน้องรักกันเราก็ชื่นใจ จุดมุ่งหมายจริงๆของกิจกรรมพวกนี้ไม่ใช่ชัยชนะแต่มันคือภาพตรงหน้าผมนี่ต่างหาก ความสามัคคีและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
เมื่อน้องปฏิบัติได้เป็นที่น่าพอใจผมก็ปล่อยน้องพักอีกรอบเพื่อที่ช่วงต่อไปไนท์และโอ้ตจะได้มาซ้อมน้องต่อไป
“น้องโอเคแล้วแหละ มึงก็ซ้อมต่อเลย” ผมบอกไนท์รับแก้วน้ำแดงจากเดือนพละมาดื่มไม่ได้คิดอะไร
เหนื่อยไงยืนแหงนคออยู่ตั้งนานสองนาน ไม่ได้จะอ่อยใครเลยนะ จริงๆ
ไอ้ไนท์ก็มองมาอย่างล้อเลียนผมยักไหล่ใส่มันแบบไม่แคร์
“โอ้ยหมั่นไส้ กูไปคุยกับน้องดีกว่าอยู่แถวนี้แม่งมดเยอะชิปหายเลย แบงค์มึงอย่าไปหลงมันมากอินี่มันขี้อ่อย”
แล้วไอ้เพื่อนสนิทตัวดีก็เดินไปหาน้องที่สแตนเชียร์ตรงนั้นเลยเหลือแค่ผมกับเจ้าของแก้วน้ำแดง
“เหนื่อยป่ะ?” คนข้างๆมองหน้าผมแล้วถามออกมา
“ก็นิดหน่อย แล้วนี่ไปสนิทกับไอ้ไนท์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงขั้นมึงกูกันแล้ว?”
“ก็เมื่อกี้แหละ ไนท์ถามที่พวกเราคุยกับน้องเมื่อกี้ ทำไม? หึงหรอ?” พูดจบก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนผมต้องถอยห่างออกมานิดๆ
“ใครหึง? ทำไมขี้มโนจัง เราแค่อยากรู้เฉยๆป่ะ” วันนี้อากาศร้อนแปลกๆนะครับสงสัยฝนจะตกแน่ๆเลย
“ครับๆ ไม่หึงก็ไม่หึง แล้วจะกลับยัง?”
“รีบหรอ ไปดิๆ เดี๋ยวเราไปส่ง”
“ไม่ได้รีบ แต่เป็นห่วงไงกลับดึกๆมืดๆ”
“เราเอารถมา ไม่เป็นไรหรอกแบงค์ดิเดี๋ยวต้องไปเอารถมอไซค์ที่โรง’บาลอีกใช่ป่ะ กลับเลยไหม?”
“ยังหรอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนไอ้แนนมันหน่อย”
พูดเสร็จเขาก็ดึงเอาแก้วเปล่าในมือผมไปวางไว้ในตะกร้าวางแก้วข้างๆกระติกน้ำใบใหญ่
“เมื่อกี้บุ๊คทำเราอึ้งเลยว่ะ”
“ทำไร?”
“ก็ที่คุมน้องเมื่อกี้ไง ดูโหดไปเลยเห็นยิ้มเก่งๆดูใจดีแบบนี้พอจะบทจะเอาจริงก็แอบน่ากลัวนะ”
เขาพูดออกมาเรื่อยๆสายตามองไปที่น้องบนสแตนเชียร์ที่กำลังฟังไอ้ไนท์พูดอะไรก็ไม่รู้หัวเราะกันยกใหญ่
“ก็พอกันป่ะ ไอ้ท่าทางจริงจังดูเป็นผู้ใหญ่เมื่อกี้แบงค์ทำเราตกใจนิดๆ”
“อ้าว แล้วปกติมองเราเป็นคนแบบไหนเนี่ย” อีกคนพูดด้วยน้ำเสียงขำๆ
“เป็นคนขี้อ่อย ท่าทางดูเล่นๆแล้วก็ขี้เก๊ก”
“โหยยยยยยย นั่นคือข้อดีใช่ไหมเนี่ย”
“ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็เอาเลย” ผมพูดแล้วก็ยิ้มกว้างๆให้อีกคนก่อนจะเดินผละมาทรุดตัวลงนั่งบนสนามหญ้า
กอดเข่ามองดูน้องบนสแตนเชียร์ อีกคนก็เดินตามมานั่งลงข้างๆกัน เรานั่งข้างกันก็จริงแต่ก็ไม่ได้นั่งติดกัน แบงค์นั่งห่างออกไปนิดๆอย่างเว้นระยะ การกระทำแบบนั้นของอีกคนทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่ตั้งใจ ทั้งๆที่บอกว่าจีบแล้วก็รุกหนักขนาดนั้นแต่อีกคนก็ไม่ได้พยายามจะล้ำเส้นเข้ามา ยังคงรักษาระยะห่างอย่างเหมาะสมซึ่งนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกดี
“แล้วจริงๆแล้วแบงค์เป็นคนแบบไหนล่ะ?” ผมถามขึ้นลอยๆไม่ได้หันไปมองเขา
“หืม? แบบไหน?” อีกคนถามกลับมาหันมามองผมคิ้วขมวดน้อยๆ(นี่ขนาดไม่ได้หันมามองนะ)
“ก็เป็นคนยังไง เงียบๆไม่เข้าสังคม ร่าเริงคุยเก่ง อะไรแบบนั้น”
“...”
“...”
อาการเงียบของอีกคนทำให้ผมหันกลับไปมองหน้าเขาแล้วก็พบกับสายตาคมกล้าคู่หนึ่งที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว ก่อนที่ผมจะทันได้ทำอะไรใบหน้าหล่อเหลานั่นก็ยื่นเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่นๆสายหนึ่งเป่ารดข้างแก้มพร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วเบาทว่าได้ยินชัดเจน
“ถ้าอยากรู้ก็ลองมาคบกันดูไหม? ถ้าไม่แน่ใจลองไปสักร้อยปีเลยก็ได้”
ผมว่าวันนี้อากาศมันร้อนจริงๆนั่นแหละครับ
-------------------------------------2BC------------------------------------
แอบเอาตอนสิบมาหย่อนตอนดึกๆ แล้วเราจะแอบย่องออกไปเงียบๆ
อยากขยับเข้าไปใกล้เธอ
เพียงกระซิบบอก
คนละเพลงไหม ฮ่าๆๆๆ ตอนนี้ให้บุ๊คเป็นคนบรรยายบ้างให้เขาจีบกันเบาเบา ยอมรับว่าให้บุ๊คเป็นคนเล่าเรื่องนี่ออกจะยากอยู่สำหรับคนเขียนแต่เพื่อคนอ่านเราจะสู้!! เรื่องราวยังคงดำเนินต่อไปในบรรยากาศของกิจกรรมกีฬาสี คนเขียนชอบกิจกรรมช่วงนี้ที่สุดเห็นน้องรักกันมันชื่นใจพี่จริงๆครับ ^^
ใครอยากเม้นอยากกรีดร้องหรืออยากทวงนิยายแต่ไม่ได้เป็นเมมเบอร์ก็พูดถึงนิยายเรื่องนี้ผ่านแท็ก #แพ้ทาง2B ได้นะครับ
รักคนอ่านรักคนเม้นครับ เจอกันตอนหน้าครับ ^^