10 : ทิฐิของจอมกษัตริย์
รสชาติของการจมน้ำทะเลอัสธาราธเคยทดลองแล้ว แต่กับคลื่นแรงขนาดนี้เขาเพิ่งเคยเผชิญเป็นครั้งแรก เกลียวคลื่นยักษ์พัดม้วนทุกอย่างเข้าไปในตัวของมัน ราวกับจะบดขยี้ อย่าว่าแต่หยัดยืนอยู่กับที่ ตอนนี้ร่างกายใหญ่โตหมุนวนอยู่ในห้วงน้ำอย่างไร้ทิศทาง ถูกเกลียวคลื่นหฤโหดกระแทกซัดจนวิงเวียนไปหมด น้ำทะเลเค็มเฝื่อนทะลักเข้าปากเข้าจมูก ในความพร่าเลือนของฟองอากาศสีขาว นัยน์ตาสีเขียวมรกตพลันปรากฏขึ้น อัสธาราธเหมือนได้ยินเสียงตัวเองพึมพำ
“พระองค์มาแล้ว...”
“ดื่มโลหิตเราเสีย” น้ำเสียงราวปรายฟองดังสะท้อนก้อง ร่างสีดำเลื่อมน้ำเงินขนาดโตจนไม่อาจจินตนาการพาดเข้ามา อัสธาราธอ้าปากขย้ำลงไปบนเกล็ดขนาดใหญ่นั้นเต็มแรง เลือดสีน้ำเงินพราวกระจายฟุ้งไปทั่วผืนน้ำที่ม้วนวนเกิดเป็นวงประหลาด คล้ายร่างมโหฬารนั้นสะดุ้งด้วยความเจ็บปวด กระนั้นมังกรไฟหนุ่มซึ่งอยู่ในห้วงภาวะคับขันมิได้นำพา สัญชาตญาณแห่งการรักษาชีวิตเหนี่ยวนำให้บดซี่ฟันลงไปลึกขึ้น ดื่มกินโลหิตจากร่างใหญ่โตนั้นอย่างบ้าคลั่ง จวบจนหายใจในน้ำได้คล่อง จึงค่อยดึงสติกลับมาได้
“เด็กน้อยเจ้าคิดจะกินเรา?”
น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยคล้ายติดตลก ร่างมโหฬารพลันเลอะเลือนกลายเป็นเกลียวคลื่นสีน้ำเงิน ก่อนจะกลับมารวมกันอีกครั้ง รอยยิ้มพริ้มพรายปรากฏขึ้นบนใบหน้างาม
“แลดูเด็กน้อยเจ้าดูตัวใหญ่ขึ้นมากว่าครั้งนั้นเล็กน้อย”
อัสธาราธรู้สึกตกประหม่าทันที โดยปกติหากคืนร่างมังกรแล้วย่อมไม่อยากกลับไปสู่ร่างกลางง่ายๆ แต่ตอนนี้ไม่รู้เพราะเหตุใด รู้สึกหากต้องเผชิญหน้ากับองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำ สู้ลงไปเผชิญกันในร่างกลางจะดีกว่า อย่างน้อยส่วนสูงยังเหนือกว่ากันบ้างเล็กน้อย เกล็ดสีแดงค่อยๆ เคลื่อนสลับตำแหน่ง ไม่นานร่างสูงใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าองค์กษัตริย์ ทันใดนั้นผู้มีเรือนผมสีแดงก็เอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง
“บาดแผลนั่น...?”
แม้ถูกเรือนผมสีน้ำเงินบดบัง แต่บาดแผลฉกรรจ์บนเนินไหล่ขาวก็มิอาจถูกปิดได้หมด กษัตริย์แห่งสายน้ำหัวร่อเบาๆ
“บาดแผลเล็กน้อย เจ้าอย่าได้กังวล”
แม้จะกล่าววาจาเช่นนั้น แต่ขนาดบาดแผลไม่เล็กน้อยดั่งคำพูดเลย อัสธาราธเหม่อมองอย่างรู้สึกผิด ท้ายที่สุดองค์กษัตริย์จึงดึงคอเสื้อขึ้นปิดมันเสีย ก่อนจะกล่าวสืบต่อ
“เราไม่คาดเลยว่าผืนดินจะแปรเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้”
เจ้าชายแห่งคอนเชียร์เพิ่งรู้สึกตัวว่าสายน้ำรอบตัวหยุดลงแล้ว ยามนี้ทั้งเขาและองค์กษัตริย์ลอยอยู่เหนือผืนดินเน่าเฟะ โดยมีห้วงน้ำกว้างช่วยพยุง
“พระองค์บันดาลให้น้ำท่วม?”
อัสธาราธถามขึ้นอย่างตื่นตระหนก เมื่อเห็นองค์กษัตริย์พยักพระพักตร์ก็พลันตระหนักถึงอำนาจยิ่งใหญ่ของพระองค์ขึ้นมาได้ หากต้องถูกน้ำท่วมเช่นนี้ ดินแดนแห่งคอนเชียร์คงไม่เหลือซากแน่ๆ เจ้าชายหนุ่มรู้สึกการเสียสละของตนคุ้มค่าที่สุดแล้ว มองเห็นจ้าวแห่งสายน้ำแย้มยิ้ม
“เจ้าว่าเราโหดร้ายหรือไม่?”
อัสธาราธเหลียวมองไปรอบกาย พลทหารแห่งบาดาลในรูปร่างต่างๆ ทะยานผ่านผืนน้ำเข้ากลุ้มรุมศัตรูที่อยู่ในสภาพมิอาจต่อต้านอะไรได้อีก สีเลือดสาดกระจายไปทั่วคุ้งน้ำ พาให้รู้สึกสยดสยอง เพราะตนเองก็เคยเผชิญสภาพเช่นนี้มาก่อน พอเห็นอีกฝ่ายมิตอบคำถาม องค์กษัตริย์จึงทรงทอดถอนใจจนเป็นฟองพราว
“เราทราบ ความจริงเราเป็นผู้โหดร้าย”
“หามิได้!”
อัสธาราธรีบกล่าว ก่อนจะพูดต่อเร็วปรื๋อ
“ข้าพเจ้ายอมรับ เคยพบพานเรื่องน่ากลัวในสายน้ำของพระองค์ ยอมรับว่าภาพตรงหน้าสยดสยอง แต่นี่เป็นการทำศึก ผู้ใดเลยจะหลีกเลี่ยงความโหดร้ายได้ ในฐานะที่พระองค์เป็นกษัตริย์ ข้าพเจ้าทราบว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องสมควรเป็นที่สุดแล้ว”
“แต่เราทำเด็กเจ้าเกือบตาย ใช่หรือไม่?”
คนถูกถามสั่นศีรษะ
“ข้าพเจ้ายังไม่ตาย ท่านอย่าได้รู้สึกผิดกับเรื่องนี้”
“อืม...” จ้าวแห่งสายน้ำพึมพำในลำคอ ก่อนจะแหงนพระพักตร์ขึ้น กล่าวถ้อยคำ
“คล้ายยังเหลือตัวเสนียดใหญ่รอดอยู่อีกตัวหนึ่ง”
พูดจบพลันทะยานร่างขึ้นไปอย่างรวดเร็ว มังกรหนุ่มว่ายตามขึ้นไปทันที
รุซซาร์คลอยตัวอยู่เหนือฝืนน้ำด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น น้ำจากมหาสมุทรไหลท่วมสูงมิดยอดไม้ อำนาจใดเลยจะยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ แม้รอดจากสายน้ำ แต่มองไปทิศใดก็พบเห็นแต่ห้วงนทีกว้าง ขณะพยายามหาหนทางหนี เกลียวน้ำสายหนึ่งก็พุ่งทะยานขึ้นมา
ละอองน้ำต้องแสงแดดเป็นประกายพราวระยับ กระนั้นเรือนผมสีน้ำเงินและดวงหน้าผุดผาดที่ปรากฏขึ้นหลังม่านละอองน้ำนั้น ยิ่งดูระยิบระยับยิ่งกว่า จอมเวทย์พลันชะงักสายตา ด้วยมิคาดในโลกจะมีสิ่งสวยงามถึงเพียงนี้ ใช้ชีวิตมายาวนานหลายร้อยปี ยังไม่เคยพบเห็นสิ่งใดงดงามเช่นนี้มาก่อน ร่างกายนั้นมิได้ตกแต่งอัญมณีใดเป็นพิเศษ มิได้สวมใส่เครื่องประดับหรือเสื้อผ้าสวยหรูใด แต่กลับดูงามสง่าจนมิอาจบรรยายได้
ในความสวยงาม น้ำเสียงราวฟองคลื่นเอ่ยขึ้นช้าๆ ชัดๆ
“ผู้ล่วงละเมิดดินแดนแห่งอิลห์ลาริน จักต้องได้รับโทษทัณฑ์”
อัสธาราธว่ายขึ้นไปยังไม่ทันถึงผิวน้ำ ก็พบบางสิ่งบางอย่างร่วงหล่นลงมา เสื้อผ้าสีดำขลิบทองแบบนั้น ย่อมเป็นจอมเวทย์ผู้นั้นไม่ผิดแน่ แต่เหตุไฉนถึงได้ร่วงหล่นลงมาในน้ำด้วยสีหน้าหวาดกลัวเช่นนั้นเล่า ยังมิทันได้คิดหาคำตอบ มือเรียวก็ยื่นมาจับไหล่เขาเอาไว้
“คิดจะติดตามเราขึ้นไปบนผิวน้ำ? หรือเด็กเจ้ายังดื่มเลือดมิพอ?”
ใบหน้าสวยงามขององค์กษัตริย์พลันเปลี่ยนเป็นจริงจังจนคนถูกถามเกิดอาการหวั่นเกรง รีบสั่นศีรษะ
“มิได้ ข้าพเจ้ามิปรารถนาทำร้ายพระองค์อีก”
“เช่นนั้นอย่าได้ขึ้นไปเหนือผิวน้ำ เราคาดคงเหลือเลือดไม่มากพอให้เด็กเจ้าดื่มเล่น”
เจ้าชายหนุ่มได้แต่พยักหน้า ยอมรับว่าเมื่อครู่หน้ามืดเพราะกลัวตายจริงๆ ไม่รู้ว่าดื่มกินไปเท่าไร แต่คงมากเสียจนอีกฝ่ายต้องเอ่ยปากบอก คิดแล้วช่างน่าอับอายเป็นยิ่งนัก
องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำพิศดูสีหน้ามังกรหนุ่มพลันหัวร่อเบาๆ
“สีหน้าเด็กเจ้าไฉนทำเราขบขันอีกแล้ว อืม...เจ้าสร้างผลงานน่าประทับใจ ไว้กลับถึงอัลโดรธ์เมื่อไหร่ เราจะให้รางวัลเจ้าอย่างงาม”
อัสธาราธเงยหน้ามององค์กษัตริย์ก่อนเอ่ยถามอย่างนึกขึ้นได้
“จอมเวทย์นั่น!”
ยังไม่ทันจะหันกลับไปมอง เงาร่างสีดำสนิทก็ว่ายเฉี่ยวศีรษะไป แค่แวบเดียวร่างกายของเจ้าชายหนุ่มพลันสั่นกระตุกอย่างไม่อาจควบคุม
“ผู้พิทักษ์แห่งเรา เหมือนเจ้าเคยพบแล้ว..”
น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ย อัสธาราธพยักหน้า เขาเคยพบผู้พิทักษ์ที่ว่า และแทบเอาชีวิตไม่รอด ไม่นึกเลยแค่ได้พบอีกเพียงเสี้ยววินาที อาการหวาดกลัวก็ผุดพุ่งออกมาเสียแล้ว องค์กษัตริย์ลูบศีรษะอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
“เรารับรองจะไม่ให้เด็กเจ้าพบเจออีก”
เจ้าชายหนุ่มพลันสั่นศีรษะ
“มิได้ ข้าพเจ้าหวาดกลัวจริง แต่ข้าพเจ้ามิปรารถนาจะหวาดกลัวไปโดยตลอด ดังนั้น.....”
มังกรแห่งคอนเชียร์พลันเบือนหน้าไปด้านหลังช้าๆ แทบจะหยุดหายใจ ผู้พิทักษ์แห่งอิลห์ลารินรูปร่างแปลกประหลาด จะเป็นปลาก็ไม่ใช่ จะเป็นคนก็ไม่เชิง คล้ายเป็นหลายสิ่งหลายอย่างปะปนกัน เกล็ดสีดำคล้ำออกเลื่อมพรายสีใดนั้นยากจะบอก แถมมิได้ปกคลุมไปตลอดตัว แต่ปกคลุมอยู่บางส่วน หูยาวเป็นครีบมีเดือยแหลมงอกยื่นสั้นบ้างยาวบ้างอย่างไร้รูปแบบ นัยน์ตาสามคู่ที่เรียงลำดับจากส่วนที่ดูจะเป็นใบหน้ายาวไปจนถึงบนศีรษะ สีเหลืองปูดโปน ฟันยาวยื่นสีขาวออกคล้ำ ร่างกายใหญ่โต สภาพน่าเกลียดน่ากลัวเกินจะบรรยาย
ผู้พิทักษ์ที่ปรากฏตรงหน้า มิใช่มีเพียงหนึ่งตน แต่มีราวๆ ห้าตน ทั้งห้าตนกำลังว่ายล้อมจอมเวทย์ซึ่งพยายามจะดิ้นรนหนีห้วงความตายสุดชีวิต พวกมันไม่ได้เข้าโจมตีในทีเดียว ต่างตนต่างโฉบทึ้งส่วนต่างๆ จากร่างเล็กนั่นราวกับต้องการสร้างความทุกข์ทรมานให้เหยื่อ อัสธาราธเบิ่งนัยน์ตากว้าง ยามนี้ไม่หลงเหลือความเคียดแค้นชิงชังต่อจอมเวทย์อีก ในหัวมีความคิดเพียงแต่ต่อสู้กับความหวาดกลัวที่ผุดพุ่งขึ้นในจิตใจ
เหตุการณ์เช่นนี้เขาเองก็เคยเผชิญมาก่อน
องค์กษัตริย์แห่งสายน้ำทอดพระเนตรดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเงียบๆ ทรงทราบเป็นเวลานานแล้วว่าผู้พิทักษ์ของพระองค์มีนิสัยโหดร้าย และแม้แต่พระองค์เองยังมิอาจทนดูผู้พิทักษ์เหล่านี้จัดการกับเหยื่อ แต่อาคันตุกะซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกพวกบรรดานั้นทำร้าย กลับพยายามจะเผชิญหน้ากับสิ่งดังกล่าว
เผชิญหน้ากับสิ่งที่ตนหวาดกลัว
ฉับพลันภาพของใครคนหนึ่งพลันซ้อนขึ้นมาในห้วงความคิด ใครคนนั้นที่ประทับอยู่ในดวงใจของพระองค์มาเนิ่นนาน ความกล้าหาญที่มีช่างคล้ายคลึงกันเหลือเกิน
องค์กษัตริย์พลันสืบเท้าไปตรงหน้าอย่างลืมตัว เอื้อมมือจะคว้าร่างตรงหน้าไว้ แต่ก็พลันระลึกรู้สึกตัว
นี่มิใช่นางผู้นั้น....
ความปวดแปลบแล่นสะท้านจากขั้วหัวใจไปตลอดเส้นประสาท ตั้งแต่ดำรงพระชนม์มายังไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้มาก่อน องค์กษัตริย์ถึงกับผงะร่าง คราแรกคิดว่าหัวใจของพระองค์อาจจะกระทบกระเทือนจากเหตุการณ์ครั้งอดีต แต่พอสำรวจร่างกายอีกที จึงพบว่าบาดแผลบริเวณเนินไหล่ขยายตัวลุกลามมากขึ้นเรื่อยๆ ความร้อนแผ่พุ่งออกมาตามรอยพุพองบนบาดแผล ระลึกได้ทันทีว่าไม่เคยถูกสิ่งมีชีวิตที่อัดแน่นไปด้วยความร้อนแห่งเพลิงกาฬทำร้ายมาก่อน ความร้อนระอุทำร้ายพระวรกายจากภายใน คล้ายดั่งพิษร้ายที่เริ่มลามไปทั่ว เรเธียร์เงยหน้าขึ้นมองมังกรไฟหนุ่มตรงหน้า คาดไม่ถึงเลยว่านี่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต บาดแผลเช่นนี้ปล่อยให้ลุกลามย่อมไม่เป็นการดีแน่ แต่จะแก้ไขอย่างไรเล่า....
ขณะที่กำลังตรึกถึงเรื่องบาดแผลอย่างจริงจัง อัสธาราธก็เบือนหน้ากลับมา องค์กษัตริย์พยายามปั้นสีหน้าให้เรียบเฉยที่สุด พลางเอ่ยปากถาม
“หายหวาดกลัวแล้ว?”
คนถูกถามไม่สั่นศีรษะ ทั้งไม่พยักหน้า ได้แต่ยืนกะพริบตา สักพักใหญ่จึงเอ่ยปาก
“ท่านบาดเจ็บ?!”
---------------------------------------------------
อัสธาราธพูดอะไรไม่ออกตลอดทาง ระหว่างพยายามต่อสู้กับความกลัวในจิตใจของตนเอง ก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปรของสายน้ำเบื้องหลัง คล้ายองค์กษัตริย์ที่มีท่าร่างมันคงในฝืนน้ำมาโดยตลอด ซวดเซไปเล็กน้อย สมองของมังกรหนุ่มพลันฉุกคิด เรื่องใดเล่าทำพระองค์ยังกายไว้ไม่อยู่ได้ ครั้นพอหันกลับไปจึงได้พบเห็นบาดแผลที่กำลังลุกลามกว้าง ผู้สร้างบาดแผลฉกรรจ์นั้นย่อมมิใช่ใครอื่น แต่เป็นตัวเขาเอง ดูคล้ายแม้ร่างกายขององค์กษัตริย์จะสมานตัวเองได้รวดเร็ว แต่กับบาดแผลที่เกิดจากปากของมังกรไฟแล้ว การสมานนั้นคงไม่เกิดขึ้นง่ายๆ กระนั้นองค์กษัตริย์เองยังยืนยันหนักแน่น ว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องน่ากังวล ทั้งยังฝืนพระวรกายคืนร่างเดิมเพื่อดำเนินกลับสู่อัลโดรธ์ ตลอดทางในห้วงน้ำลึกล้ำ เลือดสีน้ำเงินพรายไหลซึมออกจากปากแผลโดยตลอด
ระหว่างที่นั่งอยู่บนหลังจ้าวแห่งสายน้ำ อัสธาราธลืมความหวาดกลัวในตัวของพระองค์จนหมดสิ้น เหลือเพียงความรู้สึกผิดจับขั้วหัวใจ มือกว้างแนบลงไปบนแผ่นเกล็ดหนา คล้ายต้องการถ่ายทอดความรู้สึกของตนให้พระองค์ได้รับรู้
หากโอบกอดสรีระนี้แล้วพาดำเนินลงไปเองได้ ตัวเขาเองก็พร้อมที่จะทำ....
-----------------------------------
องค์กษัตริย์ทรงพระประชวนทันทีที่เสด็จถึงอัลโดรธ์ หรือจะพูดให้ถูกคือเพิ่งได้พักการตรากตรำพระวรกายที่บาดเจ็บ บาดแผลนั้นฉกาจฉกรรจ์เพียงใดมิมีผู้ใดมีโอกาสพบเห็น นอกเสียจากแพทย์หลวงและผู้รับใช้ใกล้ชิดนามอูห์รูน ตอนแรกอัสธาราธยังมีความหวังว่าหลังจากผ่านการร่วมรบด้วยกัน ข้ารับใช้ผู้นี้จะรู้สึกดีกับเขาขึ้นมาบ้าง แต่พอเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ความไม่พอใจที่มีอยู่ก่อนหน้าคล้ายถูกถมเพิ่มเข้าไปอีก เจ้าชายหนุ่มไม่กล้าอยู่สู้หน้าผู้รับใช้ กระนั้นก็อยากจะฟังความคืบหน้าของพระอาการ วันหนึ่งจึงรวบรวมความกล้าไปถาม
“องค์กษัตริย์ มีพระอาการเช่นไร?”
อูห์รูนมีสีหน้าดั่งรูปปั้นเช่นเคย กระนั้นก็ยังเอ่ยปากตอบคำถาม
“ไม่ดีเท่าไหร่”
อัสธาราธสีหน้าสลดลงทันที ขณะที่คิดหาคำพูดต่อ เสียงของอูห์รูนก็ดังขึ้น
“เราทราบ ท่านมิได้ตั้งใจจะทำร้ายพระองค์ พระองค์ไม่ถือโทษท่าน เราก็ไม่ถือโทษท่าน ทรงมีพระดำรัสมา ว่าหากท่านปรารถนาสิ่งใดให้จัดหาให้ท่าน แม้พระองค์จะไม่อาจเสด็จไปส่งท่านได้ในยามนี้ แต่จะเขียนพระราชสาส์นให้ท่านเป็นการส่วนพระองค์ และฝากมอบถึงองค์กษัตริย์แห่งคอนเชียร์ด้วย”
เจ้าชายหนุ่มนิ่งงันไปพักใหญ่ มองดูผู้รับใช้อยู่นาน ก่อนสั่นศีรษะ
“ข้าพเจ้ามิต้องการจะไปในตอนนี้”
สีหน้าของอูห์รูนปรากฎแววสนเท่ห์อย่างเห็นได้ชัด ไม่รอให้ทางนั้นเอ่ยปาก อัสธาราธรีบพูดต่อ
“ให้ข้าพเจ้าเข้าไปดูอาการของพระองค์ได้หรือไม่?”
“ทรงไม่ต้องการพบผู้ใด” ผู้รับใช้ตอบคำในทันที อัสธาราธมองหน้าเขาอีกพักหนึ่ง จึงเอ่ยสั้นๆ
“ข้าพเจ้ามีความปรารถนาจะเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์”
------------------------------------------
อูห์รูนนำอัสธาราธมาจนถึงหน้าห้องบรรทม หลังจากหยุดยืนอยู่พักหนึ่ง จึงเปิดประตูเข้าไปในห้อง โดยสั่งให้เจ้าชายหนุ่มยืนรอก่อน
ยืนรออยู่พักหนึ่ง ผู้รับใช้จึงเปิดประตู
“เข้ามา”
อัสธาราธเพิ่งมีโอกาสได้เข้ามาเยือนห้องบรรทมขององค์กษัตริย์แห่งสายน้ำเป็นครั้งแรก สิ่งที่สะดุดตาดุจะเป็นรูปสลักหญิงสาวที่อยู่ตรงผนังห้อง แต่เจ้าชายหนุ่มไม่มีแก่ใจจะชมความงามของรูปสลักมากนัก นัยน์ตาสีแดงเพลิงกวาดสำรวจไปรอบห้อง ก่อนจะพบแท่นบรรทมอยู่ถัดออกไป หน้าแท่นมีฟองอากาศสีขาวผุดพรายขึ้นราวกับม่านกั้น อัสธาราธก้าวเท้าไปช้าๆ นอกจากตัวเขาและอูห์รูนแล้ว ในห้องไม่มีผู้ใดอยู่อีก
“มีเรื่องใด?” น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้น แม้ไม่เห็นหน้า แต่น้ำเสียงนั้นไม่แจ่มใสเหมือนทุกที หัวใจของมังกรหนุ่มหวิววูบ
“ข้าพเจ้าต้องการมาดูพระอาการของพระองค์”
“เรามิเป็นอะไรมาก เด็กเจ้ามิต้องวิตก”
“เช่นนั้นข้าพเจ้าขอพบพระพักตร์?”
เสียงราวฟองคลื่นเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะตอบออกมา
“เรื่องนั้นคล้ายไม่จำเป็นเท่าใดนัก”
“เรเธียร์!” การเอ่ยชื่อเฉยๆ ยังความไม่พอใจให้แก่ผู้รับใช้เป็นอันมาก แต่ที่หนักข้อกว่านั้นคือพฤติกรรมของเจ้าชายหนุ่ม มิใช่เพียงแต่เรียกชื่อองค์กษัตริย์ห้วนๆ กระทั่งยังพยายามจะแหวกม่านฟองเข้าไปหาพระองค์ถึงแท่นบรรทมอีกด้วย พบเหตุเช่นนี้มีหรืออูห์รูนจะไม่โกรธจนเลือดขึ้นหน้า ผู้รับใช้ปราดเข้าไปหมายจะคว้าตัวเจ้าชายเอาไว้ด้วยอารมณ์โทสะ แต่ดูจะช้าไปเพียงครู่ เมื่อผู้มาจากเบื้องบนหายเข้าไปในม่านฟอง
“องค์กษัตริย์!!”
อูห์รูนได้แต่ส่งเสียงเรียกอย่างเป็นห่วง เขามิอาจฝ่าฝืนคำสั่งห้ามเข้าไปหลังม่านฟองนี้ได้ แต่ผู้นั้นได้บุกรุกเข้าไปแล้ว จะให้เขาทำอย่างไรดีเล่า ได้ยินเสียงของผู้เป็นที่เคารพตอบกลับ
“เรา..ไม่เป็นไร”
อัสธาราธยืนเผชิญหน้าอยู่กับองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำที่ทอดพระกายอยู่บนแท่นบรรทม สีหน้าที่เคยแย้มยิ้มพริ้มพรายดูซูบซีดไปถนัด บาดแผลพุพองลุกลามมาจนแทบจะถึงใบหน้า ดูได้เพียงครู่เดียวก็ต้องหลับตาลงด้วยความสลด
“ข้าพเจ้า.....”
มังกรหนุ่มกล่าวได้แค่นั้นก็พลันคุกเข่าลง ซบใบหน้าลงกับขอบหินซึ่งเป็นแท่นบรรทมด้วยความรู้สึกปวดร้าวที่มิอาจอธิบายได้ ได้ยินเสียงตรัสอ่อนโยน
“เราไม่ต้องการให้เจ้าเห็นเราในสภาพนี้เลย เด็กเอย”
มือเรียวเลื่อนมาลูบศีรษะของผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่เบาๆ ก่อนจะเอ่ยปากต่อ
“นี่ไม่ใช่ความผิดเจ้า เป็นเราที่ประเมินพลาดเอง อืม...ชีวิตหนึ่งย่อมต้องมีเรื่องพลาดพลั้งกันบ้าง”
“แต่นี่เป็นเรื่องใหญ่!” เจ้าชายหนุ่มโพล่ง เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ซูบซีดขององค์กษัตริย์ ผู้ถูกมองยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“เรื่องใหญ่ใดเล่า แม้เราสิ้นชีวิตไปยามนี้ รับรองได้ไม่มีผู้ใดถือโทษเจ้า และไม่มีผู้ใดเดือดร้อน แม้จะโศกเศร้าอยู่บ้าง แต่ก็เป็นธรรมดาของชีวิต อีกอย่าง เรามีชีวิตในร่างนี้มาเนิ่นนานแล้ว การตายสำหรับเราคล้ายการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เท่านั้นเอง”
อัสธาราธเงยหน้าขึ้นมองอย่างตระหนก
“ความทรงจำของท่านเล่า? เมื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ท่านยังจดจำชุดเก่าได้อยู่หรือ? หากไม่มีความทรงจำ จะถือเป็นตัวท่านได้อีกหรือ หากพบกันในร่างใหม่ ท่านจะยังรู้จักข้าพเจ้าหรือ? ข้าพเจ้ายังมิอยากให้ท่านจากไป ข้าพเจ้า...ข้าพเจ้ายังไม่ได้ตอบแทนสิ่งใดแก่ท่านเลย”
มือเรียวยังคงลูบศีรษะที่มีเรือนผมสีแดงนั้นอย่างเอ็นดู พลางกล่าวตอบคำ
“ถึงเรามิสิ้นในยามนี้ อีกไม่นานเราก็สิ้นอายุขัยอยู่ดี ถึงอย่างไรเจ้ามิอาจรั้งชีวิตเราเอาไว้ได้หรอก”
“เช่นนั้น พระองค์อยู่ต่อไปอีกไม่ได้หรือ อยู่ต่อไปจนสิ้นอายุขัยของพระองค์ อย่าได้สิ้นเพราะตัวข้าพเจ้าเลย”
“เรื่องนี้ไม่อาจแก้ไขได้แล้ว บาดแผลไม่อาจรักษา ความร้อนของเจ้าเป็นภัยกับร่างเราจนเกินไป นับเป็นความผิดพลาดของเราทั้งหมด”
“ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าไม่มีทางรักษา” อัสธาราธกล่าวออกมา องค์กษัตริย์เพ่งนัยน์ตามองเขาอย่างงุนงง
“เจ้ามีความรู้?”
ผู้ถูกถามพลันสั่นศีรษะ กล่าวต่อ “ข้าพเจ้าไม่มีความรู้ด้านการรักษา เผ่าพันธุ์ของข้าพเจ้าไม่เคยนิยมการรักษา กระนั้นเรื่องราวเกี่ยวกับวิชาแพทย์ของเผ่าพันธุ์ท่านกลับเป็นที่ร่ำลือในดินแดนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยากเรียนถามพระองค์สักเรื่องหนึ่ง ครั้งก่อนตอนพระองค์ช่วยข้าพเจ้าไว้ ทรงใช้วิธีใดเยียวยาบาดแผลข้าพเจ้าเล่า?”
“เรื่องนั้น.....” น้ำเสียงราวฟองคลื่นเอ่ยค้างได้แค่นั้น ก่อนจะเบือนหน้าไปทิศอื่น
“วิธีนั้นย่อมไม่อาจใช้กับเราได้”
“เพราะเหตุใด?”
“เนื่องเพราะมีเพียงเราเท่านั้นที่มีความสามารถเช่นนั้น ผู้อื่นไม่อาจทำได้”
“ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ” อัสธาราธตอบ มองดูองค์กษัตริย์อย่างงุนงง ผู้นอนอยู่บนเตียงดูมีสีหน้าอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าใจ ขอเพียงรับรู้ หากเราสิ้นมิใช่ความผิดของเจ้า”
“ข้าพเจ้าต้องการรับรู้ ท่านรักษาข้าพเจ้าด้วยวิธีใด”
“เจ้าจะรู้ไปเพื่อเหตุใด?”
“เพราะข้าพเจ้าจะใช้วิธีนั้นรักษาให้ท่าน”
“ไม่ได้!”
เรเธียร์กล่าวเสียงหนักแน่น มังกรหนุ่มถามต่อ
“ทำไมเล่า? บอกแก่ข้าพเจ้าเถิด มิเช่นนั้นข้าพเจ้าจำต้องเดาเอาเอง”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเดา เราบอกไม่มีคือไม่มี ไม่ได้คือไม่ได้!”
น้ำเสียงขององค์กษัตริย์ดูขุ่นเคืองขึ้นมาทันใด อัสธาราธมองดูร่างที่นอนอยู่พักใหญ่ ก่อนจะถอดถอนใจ
“ข้าพเจ้าเพิ่งทราบ คนสูงวัยเช่นท่านบางทีกลับถือทิฐิไม่เข้าท่า แม้ท่านตัดสินใจจะสิ้นไปแบบนี้แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านไป”
“เจ้า!”
องค์กษัตริย์ตวาดด้วยโทสะ ยังไม่ทันจะสิ้นเสียง มังกรหนุ่มก็ทะลึ่งตัวเข้ามา แนบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากของพระองค์ เรียวลิ้นร้อนฉ่าชำแรกเข้าไปอย่างไม่กลัวตาย เรเธียร์ตกตะลึงจนลืมขยับตัว นอนนิ่งให้อีกฝ่ายคว้านปลายลิ้นไปจนทั่วโพรงปาก อัสธาราธถอนริมฝีปากออกหลังจากนั้น ดึงอาภรณ์ที่ปกปิดเรือนร่างขององค์กษัตริย์ออก และแนบริมฝีปากลงไป
ความเย็นซ่านผสมกับความอุ่นร้อนแผ่กระจายไปทั่วสรรพางกายอย่างรวดเร็ว อัสธาราธแนบจูบประโลมไปทั่วบาดแผล ได้สักครู่หนึ่งก็โน้มตัวลงจูบองค์กษัตริย์ใหม่ ครั้งนี้ผู้มีวัยสูงกว่ามีท่าทีฮึดฮัดขึ้นมานิดหน่อย แต่พอริมฝีปากแตะถูกบาดแผล เสียงถอนหายใจอย่างผ่อนคลายก็ตามมา
บาดแผลฉกรรจ์สร้างความทุกข์ทรมานให้กับองค์กษัตริย์แห่งสายน้ำมานานหลายเวลาแล้ว พอได้ประสบกับความเย็นซ่านแบบแปลกๆ เช่นนี้ แม้ขุ่นเคืองอยู่ในพระทัย แต่ก็ยินยอมให้มังกรหนุ่มดำเนินการกระทำต่อ อัสธาราธแนบริมฝีปากสลับกันไปเช่นนี้เป็นระยะเวลาหนึ่ง จึงพบว่าบาดแผลค่อยๆ สมานตัวอย่างช้าๆ สีหน้าของมังกรหนุ่มดีขึ้นในบัดดล
“ข้าพเจ้าคาดถูก น้ำลายท่านที่แท้มีฤทธิ์รักษาได้”
มือเรียวรีบยื่นมาปิดปากนั้นไว้ ก่อนจะเอ่ยเสียงดุ
“ผู้ใดใช้ให้เจ้าพูดเสียงดัง นี้เป็นเรื่องที่เราไม่ต้องการให้ผู้ใดรับรู้มาก่อน”
“ทำไมเล่า?” เจ้าชายหนุ่มถาม หลังจากอีกฝ่ายยอมยกมือออกไปแล้ว องค์กษัตริย์เบือนหน้าไปทางอื่น
“หากผู้อื่นรู้ มิถ่อมาให้เราเลียทั้งวันหรือ”
“แต่ท่านเคยเลียข้าพเจ้า”
มือเรียวยื่นมาปิดปากเขาเอาไว้อีกรอบ ครั้งนี้อัสธาราธดึงออก
“ครั้งนั้นข้าพเจ้าเข้าใจ ท่านหมายจะรับประทานข้าพเจ้าเป็นอาหาร เพิ่งมานึกได้ว่าบาดแผลของข้าพเจ้าหายขาดหลังจากนั้นไม่นาน”
“ตอนนั้นเราเพียงอยากทดลองชิมเลือดมังกรไฟดูหรอก”
องค์กษัตริย์ตรัสเสียงค่อย ยังคงเบือนพระพักตร์ไปในทิศอื่น ได้ยินเสียงมังกรหนุ่มหัวร่อเบาๆ
“ชิมแล้วเป็นอย่างไร ถูกปากท่านหรือไม่?”
“หากถูกปาก ไหนเลยเราจะปล่อยเจ้าไว้”
“เช่นนั้นเป็นโชคดีที่เลือดข้าพเจ้าไม่อร่อย”
อัสธาราธกล่าว และยิ้มกว้าง
“บาดแผลท่านรักษาได้ ข้าพเจ้าจะรักษาให้ท่าน”
เรเธียร์ยังไม่ทันกล่าววาจาใด ริมฝีปากร้อนฉ่าก็แนบมาอีกคราหนึ่ง
--------------------------------------------
(จบตอน)