The Great General (16)
อวิ๋นหนานมองคนที่คุกเข่าอยู่หน้าบังลังก์มังกร ใบหน้าขาวซีดปราศจากอารมณ์ ดวงตาไร้ประกาย แตกต่างจากเซียนน้อยที่เขาพบริมแม่น้ำเจียงหัวนัก เด็กคนนั้นตีหน้าเศร้า บรรยายความทุกข์ยากของด่านคุณธรรมจนเขายอมให้พรโชคดีสามชาติ ที่แท้แล้วเป็นคนดื้อรั้นและรักมั่น
ดวงจิตที่บริสุทธิ์และแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่มีทางแตกสลายอย่างที่กังวล
‘สมควรปล่อยไปได้แล้ว’ ความคิดที่ทำให้หัวใจบีบรัด ต่อต้าน ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนเคยเกิดขึ้นแล้วยามที่เขาใช้เหตุผลตัดสินใจรักษาระยะห่างกับอลัน แล้วเวลานี้เล่า...ยังสมควรใช้เหตุและผลเหมือนเช่นทุกครั้งหรือไม่
บรรยากาศในท้องพระโรงหนาวเย็นและกดดันยิ่ง บรรดาขุนนางไม่ว่าจะยศศักดิ์น้อยใหญ่ล้วนปิดปากเงียบ ไม่กล้ากระทั่งหายใจแรง เพียงแต่ข้ามองท่าน ท่านมองข้า ไม่ทราบสมควรช่วยรองเสนาบดีเฉินขอร้องฝ่าบาท หรือควรออกหน้าทัดทานขุนนางหนุ่มอนาคตไกลผู้นี้ดี
กระนั้นซื่อเสวี่ยนที่สมควรแบกรับแรงกดดันจากสายพระเนตรที่สุดกลับยังนิ่งเฉย ไม่ยินดียินร้าย ราวกับว่าแม้ถูกทหารลากไปตัดหัวตอนนี้ สีหน้าก็คงไม่เปลี่ยน
“ซือจง ต้องการไปจากเราหรือ”
สุรเสียงเนิบนาบแต่ทำให้หลายคนตัวสั่นด้วยรับรู้ถึงโทสะของเจ้าชีวิต แม้รับสั่งของหนานจงฮ่องเต้จะฟังดูพิกล คล้ายแฝงความหมายบางประการ แต่บรรยากาศที่แผ่ออกจากพระวรกายกลับทำให้พวกเขาไม่กล้าคิดเป็นอื่น นอกเสียจาก ‘ทรงกริ้วแล้ว’
ซื่อเสวี่ยนค้อมตัวลง หน้าผากจรดพื้น แสดงถึงความตั้งใจแน่วแน่ไม่เกรงกลัวของเขา เฉินตงมองบุตรชายด้วยสายตากังวล เรื่องที่ซื่อเสวี่ยนอยากออกจากราชการนั้นเขาไม่ทราบมาก่อน ดังนั้นคราแรกที่ได้ยินก็อดรู้สึกไม่เห็นด้วย และผิดหวังเสียใจไม่ได้ แต่ความผิดหวังของเขาเมื่อเทียบกับความสุขของซื่อเสวี่ยนนั้นถือว่าเล็กน้อย ตระกูลเฉินเวลานี้ยังมีเขาแบกไว้ เฉินตงก้าวออกมาคุกเข้าอยู่ข้างซื่อเสวี่ยน ขอร้องแทนบุตรชาย
“ฝ่าบาททรงเมตตา”
เมตตา เมตตาให้เขาจากไปน่ะหรือ
ดวงตาของอวิ๋นหนานเปลี่ยนเป็นสีทองเข้ม เดิมทีเขาไม่เคยมีสิ่งที่ต้องการ แม้แต่ตำแหน่งตงหวางก็ไม่ ทั้งหมดล้วนถูกกำหนดไว้ให้เป็นของเขา เขาต่างจากเทพตนอื่นด้วยเมื่อเกิดมาก็ทราบเจตจำนงค์ของสวรรค์แล้วว่าตนเองต้องทำสิ่งใด และต้องครอบครองอะไร ทราบกระทั่งว่าคู่ครองของเขาเป็นเทพชั้นสูงที่ยังไม่ถือกำเนิด เป็นผู้ครอบครองสมบัติล้ำค่าหนึ่งเดียวของสวรรค์ ไม่ใช่เซียนน้อยที่ยังไม่บรรลุเป็นเทพตนนี้
อวิ๋นหนานเคาะนิ้วกับบัลลังก์ ใบหน้ารูปสลักปรากฏรอยยิ้มบางเบา ขณะที่ดวงตาเป็นประกายกร้าว มิคล้ายตัวเขาในเวลาปกติ
ไม่ใช่ลิขิตฟ้าแล้วอย่างไร เขาต้องการคนผู้นี้!
ไม่ยินยอมตัดความสัมพันธ์ ไม่ยินยอมให้ด้ายแดงที่ปลายนิ้วขาดลง
“ให้เจ้าพักร้อนเท่าที่ต้องการ ถึงเวลาต้องกลับมาอยู่ข้างกายเรา”
หนานจงฮ่องเต้รับสั่งด้วยเสียงเนินนาบแต่ทรงพลัง จากนั้นก็ทรงลุกขึ้นจากบังลังก์มังกร สะบัดชายเสื้อจากไป ปล่อยให้ขุนนางทั้งหลายมองหน้ากันไปมา
เรื่องที่เฉินซื่อเสวี่ยนขอลาออกจากราชการแต่ฝ่าบาททรงไม่อนุญาติ และให้เขาพักร้อนไม่มีกำหนดแทน แม้แต่ตำแหน่งขุนนางและการทหารยังคงรักษาไว้ให้ เป็นที่เล่าลือไปทั้งเมืองหลวง ตำแหน่งรองเสนาบดีที่ว่างเว้นก็โปรดให้ผู้ช่วยของเขารักษาการแทน เห็นได้ชัดว่าทรงให้ความสำคัญกับเขาเพียงใด ตระกูลเฉินใช้สองมือประคองคืนอำนาจให้ ฝ่าบาทกลับทรงไม่รับ ทั้งยังรักษาไว้รอเขากลับมา สถานะของตระกูลเฉินในพระทัยหนักแน่นยากสั่นคลอนแน่แล้ว
หนึ่งปีต่อมา มณฑลซีเจาที่ยึดคืนมาจากตงหย่าดูคึกครื้นกว่าเดิม ชาวบ้านและพ่อค้าแม่ค้ายังดำรงชีวิตเหมือนที่ผ่านมาแม้เจ้าเมืองจะเปลี่ยนเป็นขุนนางต้าเสิน คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ เนื่องจากต้าเสินเก็บภาษีน้อยกว่าตงหย่า และยังช่วยจัดหาทหารคุ้มกันตามแนวพื้นที่เสี่ยงให้ด้วย ผู้คนจึงมั่นใจลงทุนทำการค้า ก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในพื้นที่มากขึ้น
ท่ามกลางบรรยากาศคึกคักของตลาดในอำเภอชายแดนของซีเจา เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งมีหมวกสานปิดบังใบหน้ากว่าครึ่ง เขาสวมชุดสีดำทำจากผ้าเนื้อหยาบ สะพายดาบยาวเล่มหนึ่ง จากท่วงท่าลึกลับและการแต่งกายเดาว่าเขาคงเป็นชาวยุทธ์
ชายหนุ่มผู้นั้นหยุดดูแผงขายของแผงหนึ่ง เขาหยิบมีดพับขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาพิจารณา แต่เพราะมองไม่เห็นใบหน้าของเขา จึงไม่อาจบอกได้ว่าเขาสนใจหรือไม่ กระนั้นพ่อค้าก็ยังยิ้มแย้มอวดสินค้าของตนเองอย่างคล่องแคล่ว
“ผู้กล้าตาแหลมยิ่ง มีดพับเล่มนี้ข้าได้มาจากเมืองหลวง เป็นช่างฝีมือดีหลอมเอง รับรองว่าทนทานคุ้มราคาแน่นอน”
ชายหนุ่มเล่นมีดพับกับปลายนิ้วเรียวด้วยท่าทางชำนาญ จากนั้นก็วางลง แล้วเดินจากไปโดยไม่พูดจา ทำให้คนขายบ่นกระปอดกระแปดว่าไม่มีเงินแล้วยังทำเป็นเลือกซื้อของตั้งนานสองนาน เสียเวลาค้าขายของเขา
เมืองออกจากตัวเมืองแล้ว ชายหนุ่มก็มุ่งหน้าไปยังภูเขาลูกหนึ่ง วิชาตัวเบาของเขาถือว่าไม่เลว ดังนั้นใช้เวลาไม่นานก็มาเกือบถึงยอดเขาแล้ว หน้าหนาวท้องฟ้ามืดเร็ว ประกอบกับอากาศที่เย็นลง ทำให้ตลอดทางไม่เห็นผู้อื่น เบื้องหน้าห่างออกไปเล็กน้อยเป็นอารามเก่าหลังเล็กที่ทรุดโทรมตามกาลเวลา ภายในมีรูปปั้นพระโพธิสัตว์ประทานพร ชาวบ้านที่มาเก็บของป่า นานๆ ครั้งก็จะนำผลไม้มาถวาย หรือไม่ก็ช่วยทำความสะอาดเล็กๆ น้อยๆ ดังนั้นภายในอารามจึงพออาศัยหลบลมหนาวได้
ชายหนุ่มถอดหมวกสาน วางดาบและห่อผ้าลง เผยใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่ดูคล้ำขึ้นเล็กน้อยของซื่อเสวี่ยน ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เขาออกเดินทางจากเมืองหลวง ท่องเที่ยวไปทั่วกระทั่งมาถึงซีเจา หัวใจที่รุ่นร้อนเจ็บปวดเวลานี้สงบลงมากแล้ว แม้ทุกๆ วันยังนึกถึงและเฝ้ารอเวลา หากบอกว่ารอเวลาตายก็ฟังดูเกินจริงไป เพียงแต่หัวใจรู้สึกวางเปล่า ไม่มีจุดหมายในชีวิต ดังนั้นแต่ละวันหมดไปกับการรอเวลา
ซื่อเสวี่ยนจุดไฟด้านหน้าอาราม มือล้วงผลไม้ออกจากห่อผ้าแล้วกัดกินช้าๆ เมื่อไม่มีจุดหมาย ชีวิตก็ไม่ต้องรีบเร่ง เขามองกองไฟที่วูบไหวตามลม ไม่ทราบคิดสิ่งใด
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังเดินเข้ามาทางนี้ ซื่อเสวี่ยนขมวดคิ้ว มือคว้าดาบไว้ด้วยเกรงว่าผู้มาจะไม่ใช่ชาวบ้านทั่วไป เมื่อเห็นอีกฝ่ายเข้ามาอย่างเปิดเผย คาดว่าคงไม่มีเจตนาร้าย อาจมาอาศัยค้างแรมที่อารามเท่านั้น หัวคิ้วจึงคลายออกเล็กน้อย
“นี่คือการพักร้อนของเจ้าหรือ”
น้ำเสียงคุ้นเคยที่ทำให้ซื่อเสวี่ยนตัวแข็ง ใบหน้าที่โผล่มาจากเงามืดประดับรอยยิ้มที่ไม่เหมือนรอยยิ้ม แม้ร่างสูงสง่าฉลองพระองค์ด้วยเสื้อผ้าธรรมดา ยังไม่อาจปิดบังรัศมีสูงศักดิ์ของเขาได้
“ฝ่า...บาท”
“หึ” หนานจงฮ่องเต้ส่งเสียงในลำคอซึ่งอาจตีความหมายได้ว่า ‘ยังจำเราได้หรอกหรือ’
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”
ซื่อเสวี่ยนทำความเคารพหนานจงฮ่องเต้ด้วยความลนลานอยู่บ้าง สีหน้าไม่อาจปิดบังความตกใจ และความสงสัย ฝ่าบาทเสด็จมาที่นี่ได้อย่างไร ทำไมมาถึงซีเจา องค์รักษ์ส่วนพระองค์อยู่ที่ไหน สุดท้ายคือทรงปรากฎตัวเบื้องหน้าเขาเพราะเหตุใด หนานจงฮ่องเต้เหมือนทราบความคิดของเขา จึงตรัสด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายว่า
“ข้ามารับ”
ซื่อเสวี่ยนตกใจจนเผลอเงยหน้าสบตากับพระเนตรลึกล้ำที่สะท้อนแสงจากกองไฟ ก่อนจะรีบก้มศีรษะลง
“ซือจง กลับไปกับเรา” สรรพนามที่ใช้เปลี่ยนไป บ่งบอกนี่คือคำสั่งที่ไม่ยินยอมให้ปฏิเสธ
ซื่อเสวี่ยนรู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะไปครู่หนึ่ง บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ราวกับว่าถูกพระมหากรุณาทำให้สมองพร่าเลือน เดิมทีเคยคิดเล่นๆ ว่าหากวันหนึ่งทางการส่งทหารมาเรียกให้เขากลับเมืองหลวง ตนเองจะตอบรับหรือปฏิเสธ จะยินยอมหรือหนีไปสุดหล้า แต่ไม่เคยคิดว่าพระองค์จะเสด็จมาด้วยตนเอง มารับคนอย่างเขาน่ะหรือ มีค่าให้ทรงเสด็จมาด้วยพระองค์เชียวหรือ เวลานี้เขาเริ่มไม่มั่นใจว่าตนเองเข้าใจเจ้าชีวิตเบื้องหน้าดีแค่ไหน ไม่แน่ใจว่าเขาและตระกูลเฉินยังเป็นเพียงโล่และดาบของพระองค์หรือไม่
หนานจงฮ่องเต้สืบเท้าเข้ามาใกล้ และโน้มพระวรกายสูงส่งลง ก่อนจะวางพระหัตถ์บนศีรษะของซื่อเสวี่ยนแผ่วเบา เพียงแค่แตะเส้นผมเหมือนแมลงปอแตะผิวน้ำเท่านั้น สุรเสียงทุ้มตรัสว่า
“เจ้าให้อภัยคนอื่นได้ เหตุใดจึงไม่ยอมให้อภัยตนเอง”
ซื่อเสวี่ยนเบิกตากว้าง รู้สึกราวกับว่าประโยคนี้ไม่ได้กล่าวกับเขาโดยตรง แต่กำลังบอกกับตัวเขาอีกคนหนึ่ง คนที่อยู่ลึกลงไปในจิตใต้สำนึก ถ้อยคำเหมือนแสงสว่างจ้าทะลุผ่านกรงขังที่อยู่ลึกและมืดมิด ทำให้ดวงจิตภายในนั้นสั่นสะท้าน บิดเบี้ยว ขัดขืน ดิ้นรน ก่อนจะค่อยๆ สงบลงและนิ่งไปในที่สุด
ให้อภัยตนเอง
ให้อภัยตนเอง
#วิถีเซียน3p
……………………………………..
เปิดพรีต้นปีหน้านะคะ
@คุณ Grey Twilight วิเคราะห์ละเอียดเหมือนเดิมเลย ฟังเพลงแล้ว ขอบคุณมากค่ะ