กระดึ๊บๆ เข้ามาอัพต่อ เช่นเคยค่ะ หากมีคำผิดหรือข้อผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยด้วยนะคะ อ่านกันให้สนุกนะคะ
+++++++++++++++++++++
Holler…เรียกฉันสิที่รัก
ตอนที่ 4 Play the game.
Everything you want you will find in me.
ทุกสิ่งที่คุณต้องการ คุณจะพบในตัวฉัน
If you play my game.
ถ้าหากคุณเล่นเกมของฉัน
แก้วแล้วแก้วเล่าที่ถูกกระดกดื่มกลืนเข้าไป ผ่านมาหนึ่งชั่วโมงแล้วที่ไคและเก้ายังคงนั่งแข่งหน้าต่อหน้าเพื่อนๆของไคซึ่งต่างก็พากันส่งเสียงเชียร์อย่างเมามันเพราะไม่มีใครยอมใครเลยทีเดียว
“มึงยอมแพ้ไปเถอะ” เก้าหันไปพูดกับไคที่ตอนนี้ยังคงยิ้มอย่างเหนือกว่า
“อะไรกัน ไม่ไหวแล้วเหรอ?” ไคถาม ซึ่งตอนนี้เพื่อนอีกคนกำลังชงเหล้าให้อย่างว่องไว
“เสียหน้าต่อหน้าเพื่อนนี่จะน่าอายมากนะกูบอกเลย” เก้าว่าก่อนที่จะกระดกแก้วเข้าปากไปจนหมดหยดสุดท้ายจากนั้นก็ยื่นแก้วให้เพื่อนของไคชงเพิ่ม
“ใครแพ้เดี๋ยวก็รู้” ไคพูดก่อนที่จะกระดกแก้วต่อโดยไม่มีทีท่าว่าจะเมาเลยสักนิด
ผ่านไปได้เพียงไม่นาน ขวดเหล้าเปล่าๆเริ่มเกลื่อนกลาดบนโต๊ะ ทั้งสองดื่มเข้าไปจนนับจำนวนไม่หวาดไม่ไหวแล้วและยังมองไม่เห็นว่าใครจะแพ้ใครจะชนะในการแข่งครั้งนี้เสียด้วยซ้ำไป
“เมื่อไหร่มึงจะล้มวะ?” เก้าถามอย่างหน่ายๆเพราะตั้งแต่เริ่มออกเที่ยว ยังไม่เคยเจอใครที่คอแข็งสูสีตัวเองเลยสักคน เพิ่งจะเห็นคนตรงหน้านี่เป็นครั้งแรกที่ดื่มเหล้าเหมือนน้ำเปล่าไม่มีท่าทีจะอ่อนลงเลยสักนิด
“กินจนร้านปิดก็คงไม่รู้ผล...เปลี่ยนกติกาหน่อยดีไหม?” เพื่อนของไคพูดขึ้น
“จะเปลี่ยนยังไง?” เก้าถามพลางกระดกแก้วล่าสุดที่เพิ่งชงเข้าปากจนหมด
“เปลี่ยนเหล้าสิ เตกีล่าหน่อยเป็นไง ใครล้มก่อนก็แพ้”
“เอาอย่างนั้นเลย?” ไคถามพลางยิ้มมุมปาก
“ก็เอาสิ ยังไงก็ไม่หวั่นหรอก”
ตอนนี้ซากขวดเปล่าถูกเด็กเสิร์ฟเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว และถูกแทนที่ด้วยขวดเตกีล่าฝาเป็นรูปหมวกสีแดง ที่บรรจุของเหลวขาวใสราวกับน้ำเปล่าไว้พร้อมเครื่องเคียงอย่างเกลือและมะนาวผ่าซีกเล็กๆมาพร้อมกันด้วยแน่นอนว่าความแรงของเหล้าชนิดนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว
เก้าที่มั่นใจในความคอแข็งของตัวเองก็เริ่มคิดผิด เพียงแค่ช็อตเล็กๆที่ใส่เข้าปาก ความร้อนบาดไปทั้งลำคอ ร้อนวูบลงไปถึงช่องท้อง คติที่ว่าหากกินเหล้าหลายตัวปนกันแล้วจะเมาแน่นอนท่าจะเป็นเรื่องจริงเพราะตอนนี้เก้าเริ่มมึนหัวหลังจากที่แข่งกระดกเตกีล่ากับไคเพียงไม่กี่ช็อตเท่านั้น
“อะไร...ไม่กี่ช็อตก็หน้าแดงแล้ว” ไคเริ่มเยาะเย้ยทันทีที่เห็นเก้าเริ่มคอตกคอพับ
“หุบปาก...” เก้าตะคอกทันที ก่อนที่จะกระดกเข้าไปอีกช็อตและพบว่าทุกอย่างเลือนหายไปกับตา ดับวูบราวกับถูกปิดสวิทช์เก้าคิดผิดแล้วจริงๆที่ยอมท้าแข่งในครั้งนี้...
...
..
.
“อยากได้ตัวนายไง...”
สิ้นคำพูดนั้น พระพายได้แต่นั่งนิ่งเงียบงัน คนๆนี้ต้องการอะไร ทำไมถึงพูดประโยคนั้นออกมาได้ พระพายนิ่งไปคิดในใจอย่างรับรู้ความหายในคำพูดนั้น คำพูดที่ว่าต้องการตัวของพิธานนั้นหมายความว่าอะไร คงไม่พ้นต้องเป็นเครื่องบำบัดความใคร่อย่างแน่นอนและนั่นทำเอาพระพายตลกไม่ออก
“ไม่ตลก...มุกนี้ไม่ขำ” พระพายพูดออกมาเสียงเบา พิธานที่ได้ยินเช่นนั้นจึงหัวเราะเสียงแผ่วๆออก
“นี่คิดอะไรอยู่ เวลานี้ใครจะมาเล่นมุก...เอาจริงต่างหาก” พิธานว่าก่อนที่จะขยับตัวเข้าไปหาพระพายใกล้เข้าไปกว่าเดิม
“ไม่...ผมมาเพื่อจบเรื่องพวกนี้” พระพายกร้าวเสียงขึ้น
“ใจร้ายจัง ไม่คิดจะสานต่อกันจริงๆเหรอ?” พิธานยังคงคุมเกม ยิ่งทำให้พระพายรู้สึกถูกต้อนจนมุมเข้าไปกว่าเดิม
“ตอนนี้สถานะของนายไม่มีสิทธิ์มาต่อรองนะ รู้ตัวด้วย” พิธานเสียงเย็นชามาก มากเสียจนพระพายรู้สึกขนลุก
“แต่ผม...ไม่ต้องการแบบนั้น ปล่อยผมไปเถอะ” พระพายที่เริ่มรู้แล้วว่าไม้แข็งใช้กับคนๆนี้ไม่ได้ จึงเริ่มใช้ไม้อ่อนเข้าสู้บ้าง
“อะไรกัน ถึงกับอ้อนวอนกันเลยเหรอ?” พิธานว่าพลางหัวเราะแผ่วๆ ทั้งที่สีหน้ากำลังตึงเข้าไปทุกขณะ
“ผมไม่มีอะไรที่คุณต้องการหรอก ปล่อยผมไปดีกว่า สัญญาว่าจะไม่พูดเรื่องนี้กับใคร” พระพายแทบจะพนมมือขอร้องแล้วตอนนี้ อับจนหนทางที่จะให้พิธานยอมปล่อยตนไป ดูเหมือนพิธานเริ่มหมดความอดทนกับพระพายแล้ว
“พูดมาตกลงหรือไม่ตกลง ถ้าตกลงคลิปจะไม่หลุด แต่ถ้าไม่...ฉันจะทำให้นายไม่มีหน้ายืนอยู่ในสังคมได้เลยจะบอกให้” พิธานไม่ได้ใช้น้ำเสียงข่มขู่เลยสักนิด แค่เสียงเย็นยะเยือกบวกกับสีหน้านิ่งๆที่ดูก็รู้ว่าไม่ได้พูดเล่น ทำเอาพระพายน้ำตาแทบซึม
ความเงียบโรยตัวท่ามกลางคนทั้งสอง พิธานที่รอคำตอบจากพระพายด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกกับพระพายที่ต้องตอบคำถามที่ยากที่สุดในชีวิต จะต้องทำอย่างไรจะเลือกศักดิ์ศรีที่มีอยู่น้อยนิดหรือจะเลือกให้ตัวเองถูกกดขี่ข่มเหงจากคนที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน พระพายกำหมัดแน่น น้ำตาเอ่อซึมอย่างแค้นใจ ชาติที่แล้วทำกรรมอะไรไว้กับคนๆนี้ ชาตินี้ถึงต้องโดนจองเวรจองกรรมกันถึงขนาดนี้ แม้จะโมโหโกรธาขนาดไหนแต่พระพายก็ไม่ยอมให้น้ำตาไหลออกมาต่อหน้าคนๆนี้เป็นอันขาด รีบปาดน้ำตาที่ทำท่าจะซึมออกมาให้หมดไปเพื่อเผชิญหน้ากับชายที่มีดีแค่หน้าตาแต่จิตใจโสมมเหลือเกิน
“เราไม่เคยรู้จักกัน...ทำไมถึงต้องมาทำกับผมขนาดนี้ด้วย?” พระพายเค้นถามเสียงแผ่วเบารอดไรฟัน
“รู้อะไรไหม...ชีวิตคนเราก็เหมือนเกม ต้องลงมือเล่นถึงจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ตอนนี้ฉันกำลังยื่นเกมให้นายเล่น ไม่สิ...ต้องเรียกว่าบังคับดีกว่า” พิธานว่า พลางจับคางของพระพายให้หันมามองหน้าตน
“นายต้องเล่น เพราะถ้านายไม่เล่น นายก็จะแพ้ คนแพ้ไม่มีที่ยืนหรอกรู้ไว้ด้วย” พิธานพูดต่อ พลางจ้องเข้าไปในตาดวงตาที่ติดจะแดงนิดๆของพระพายอย่างผู้ที่เหนือกว่า
“ก็ได้...ผมจะยอมเล่นก็ได้ แต่ผมขอเวลาที่จำกัด คงไม่มีเกมไหนที่ต้องเล่นไปตลอดหรอก จริงไหม?” พระพายรู้ซึ้งทันทีว่าถ้าไม่ยอมตกลงจะต้องมีสิ่งเลวร้ายตามมา การตอบตกลงที่จะเอาตัวเองเข้าไปพัวพันเรื่องบ้าๆพวกนี้จึงเกิดขึ้น
“ต่อรองเก่งจังนะ เอาเท่าไหร่ดี สามเดือนเป็นไง?” พิธานเสนอ พระพายถอนหายใจออกมา
“เดือนเดียวเท่านั้นพอ” พระพายบอก
“มันน้อยไป ขอสองก็แล้วกัน ตกลงตามนี้” พิธานไม่เปิดโอกาสให้พระพายได้พูดอะไรต่อ เพราะเจ้าตัวจัดการปิดปากของพระพายเสียเสร็จสรรพ
พระพายนั้นไม่อาจจะจำรสจูบของพิธานในคืนนั้นได้ ถึงพระพายจะไม่เคยมีอะไรกับผู้หญิงมาก่อน แต่ใช่จะไม่เคยจูบใครมาก่อน ตอนมหาวิทยาลัยนั้นพระพายก็มีเรื่องกุ๊กกิ๊กตามวัยเหมือนคนทั่วไป เรื่องจูบอย่างน้อยๆก็สองสามครั้งแต่ครั้งนี้เป็นอะไรที่น่าตกใจ เพราะปกติแล้วพระพายจะเป็นฝ่ายนำผู้หญิงพวกนั้นเสียมากกว่าแต่สำหรับครั้งนี้พระพายกลายเป็นฝ่ายตาม
จูบนั้นราวกับจะฉกชิงทุกอย่างออกมาจากร่างกาย เป็นจูบที่พระพายไม่อยากโกหกตัวเองเลยว่ามันดีมากจริงๆ ริมฝีปากของพิธานนั้นบางเฉียบแต่กลับรู้สึกถึงความอ่อนนุ่มที่ไม่คิดว่าผู้ชายจะมี กอปรกับความรู้สึกหยุ่นของปลายลิ้นที่สอดลึกเข้ามายังภายในปาก ทำเอาพระพายเตลิดไปไม่น้อย ทั้งที่เกลียดการกระทำของคนตรงหน้าแต่กลับมีอะไรบางอย่างจุดประกายขึ้นมาในอกซึ่งพระพายไม่อาจจะรู้ได้ว่ามันคืออะไร
เสียงจูบจวบจาบดังเข้ามายังโสตประสาทการได้ยิน ทำพระพายรู้สึกอายขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งๆที่ไม่สมควรจะอายกับคนๆนี้ คนที่เผลอมีอะไรไปด้วยแล้วแต่พระพายกลับใจเต้นแปลกไปเสียได้ ไม่รอช้าพระพายรีบยกมืออันสั่นเทาเพราะเริ่มไร้เรี่ยวแรงผลักคนที่กำลังปล้นจูบจากตน ผลักให้ออกห่างพร้อมเบือนหน้าหนี
“พอ..แล้ว” พระพายพูดตะกุกตะกักออกมา เพียงแค่จูบทำเอาไปเสียไกลจนแทบจะรั้งตัวเองไม่อยู่ ปล่อยให้ตัวเองล่องลอยไปกับรสจูบของคนที่ได้ชื่อว่าผู้ที่กำลังข่มขู่ตนอยู่
“พออะไรกัน นี่แค่เพิ่งเริ่มต้น”
“แต่..แต่วันนี้ไม่พร้อม” พระพายพูดออกไป พลางคิดต่อว่าจะหาข้องอ้างอะไรดี
“ยังตกใจอยู่สินะ ก็ได้ ฉันให้โอกาสนายได้ทำใจก่อนสักวันสองวัน เดี๋ยวฉันจะติดต่อไป และเมื่อนั้นถ้านายไม่มาหรือคิดเล่นอะไรตุกติก รู้ใช่ไหมว่าต้องเจอกับอะไร” พิธานว่า พระพายพยักหน้าอย่างจำยอม
“กลับเองนะ ไม่ไปส่ง” พิธานบอก ก่อนที่จะลุกขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเองโดยที่ไม่หันกลับมามองพระพายแม้แต่นิดเดียว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้แสดงท่าทีว่าต้องการอะไรจากพระพายอยู่แท้ๆ แต่ตอนนี้กลับหันหลังกลับไปอย่างไม่สนใจอะไรเลย
“คนอะไรวะ แบบนี้ก็มีด้วย” พระพายยังคงงงๆและอึ้งกับท่าทีของพิธาน ดูอย่างไรก็เป็นคนแปลกๆ หรือจะเป็นโรคไบโพล่าร์ ที่ว่ากันว่าจะเป็นคนอารมณ์สองขั้ว เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย พระพายได้แต่ต่อว่าพิธานอยู่ในใจเพราะต่อหน้าไม่กล้าจะพูดจริงๆ หากทำเช่นนั้นน่ากลัวจะถูกซัดหน้าเอาได้
พระพายเดินออกมาจากห้องของพิธานลงไปยังชั้นล่าง เรียกหาแท็กซี่ที่วิ่งผ่านอยู่ตลอดทั้งคืนเพื่อกลับไปยังห้องพักของตัวเอง พลางนึกไปถึงเก้าว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรแล้ว คิดได้อย่างนั้นจึงรีบหยิบโทรศัพท์กดโทรหาเก้าทันที
โทรไปนานหลายนาทีแต่เก้าก็ไม่รับสายเสียทีจนพระพายเลิกโทร แม้จะร้อนใจบ้างที่เก้าหายไป แต่ใจหนึ่งก็รู้ดีว่าเก้าเอาตัวเองรอดได้อย่างสบายๆอยู่แล้ว พระพายจึงเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงพลางเอนหลังพิงเบาะรถพลางมองข้างทาง
รถแท็กซี่แล่นไปได้อย่างรวดเร็วเพราะดึกแล้วรถราจึงมีน้อย แสงไฟข้างทางสีนวลเหลือง เห็นแล้วรู้สึกสบายตาแต่ผิดกับข้างในใจที่ไม่สบายเลยสักนิด พรุ่งนี้และวันต่อไปจะเป็นอย่างไร เวลาสองเดือนที่ตกปากรับคำผู้ชายคนนั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง พระพายถอนหายใจออกมาไม่มีน้ำตาสักหยดเพราะรู้ดีว่าผู้ชายคนนั้นไม่มีค่าพอที่จะเสียน้ำตาให้ จะอย่างไรก็ต้องเข้มแข็งเพื่อยืนหยัดและก้าวต่อไป มองโลกให้สวยงามเข้าไว้ แม้ว่าเรื่องในวันนี้จะเลวร้ายก็ตาม พระพายได้แต่คิดเพียงเท่านั้นก่อนที่จะหลับตาลง เพื่อให้ความฟุ้งซ่านเบาบางจางไป...
...
..
.
ล่วงเลยเข้าวันใหม่ เก้าลืมตาตื่นขึ้นมาทั้งในสภาพที่งัวเงียและปวดหัวหนัก ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเมาค้างถึงขนาดนี้ เมามาจนเปลือกตาหนักห่วงแทบลืมไม่ขึ้น อีกทั้งวันนี้เป็นวันอังคาร วันทำงานปกติที่ไม่ใช่วันหยุดและสภาพนี้คงจะไปไหนไม่ได้จริงๆ
“ไอ้พาย...”
เก้าพึมพำออกมา พอตั้งสติได้ก็โฟกัสมองรอบข้างพบว่าเป็นห้องนอนของตัวเองไม่ใช่ห้องของพระพายแต่อย่างใด เก้าลุกขึ้นมาอย่างโงนเงน ศีรษะแทบจะปักลงบนหมอนอีกครั้ง เลวร้ายเหลือเกินกับอาการเมาค้างเช่นนี้ รอบๆตัวมีแค่เสียงเครื่องปรับอากาศที่บ่งบอกว่ากำลังทำงานอยู่ สิ่งแรกที่นึกถึงคือพระพาย เก้าควานหาโทรศัพท์พบว่ามีสายไม่ได้รับจะพระพายอยู่หลายสาย แบตเตอรี่ก็ใกล้หมดเต็มที เก้าจึงรีบชาร์จแบตเตอรี่และต่อสายโทรหาที่ทำงานเพื่อลางาน โดยบอกข้ออ้างคลาสสิคอย่างไม่สบายท้องเสีย จากนั้นก็รีบโทรหาพระพายพร้อมกับเอนตัวลงนอนพลางหลับตา
“ฮัลโหลไอ้พาย” เก้ากรอกเสียงอันแหบแห้งของตัวเองลงไปทั้งๆที่ยังคงหลับตาอยู่
“เก้า มึงอยู่ไหน เมื่อคืนโทรไปตั้งหลายสาย” พระพายพูดเสียงเบาๆ คาดว่าตอนนี้น่าจะอยู่ที่ทำงาน เก้าจึงดึงโทรศัพท์ออกจากหู ลืมตาดูเวลาบนหน้าจอพบว่าสิบเอ็ดโมงแล้ว
“อยู่ห้องกูเอง” เก้าบอก และพลางนึกคิด...ภาพล่าสุดคืออยู่ที่ผับและกำลังแข่งดื่มเหล้ากับเจ้าลูกครึ่งตัวสูงนั่นแล้วจู่ๆทำไมถึงตื่นมาแล้วมาอยู่ในห้องของตัวเองได้นั่นคือสิ่งที่เก้ากำลังสงสัย
“มึงเมาหรอ?” พระพายถาม
“เออ ว่าแต่เมื่อคืนมึงไปไหน ไอ้นั่นมันทำอะไรมึงรึเปล่า?” เก้าถาม นี่คือสิ่งที่เก้ากำลังเป็นห่วง
“เรื่องนั้นค่อยพูดกัน ทำงานก่อน” พระพายพูด ก่อนที่จะรีบวางสายไป เก้าจึงใช้โอกาสนี้ในการหลับเอาแรงต่อเพราะไม่พร้อมจะทำอะไรจริงๆในตอนนี้...
...
..
.
หลับไปนานแสนนานในความรู้สึกของเก้า พอลืมตาขึ้นมารอบนี้ค่อยรู้สึกดีขึ้นมากกว่าเดิม ปวดหัวนิดหน่อย อาการหนักๆค่อยลดลงแล้ว แต่เพียงรู้สึกคอแห้งเพียงเท่านั้น เก้าจึงลุกขึ้นขยี้ตาเบาๆ พลางเดินไปยังตู้เย็นอย่างคนชินทางทั้งที่ยังงัวเงีย หยิบขวดน้ำดื่มเย็นๆยกขึ้นดื่มดับกระหาย ก่อนที่จะกลับมายังเตียงนอน พบว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว เก้าจึงถอดเสื้อผ้าชุดเดิมที่ใส่ในเมื่อคืนออก แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเพื่อออกไปหาพระพายที่ป่านนี้น่าจะอยู่ที่ห้องแล้ว
เก้าจัดการตัวเองเรียบร้อยและเดินทางมายังห้องของพระพาย เคาะสองสามทีพระพายก็เปิดประตูต้อนรับแล้วซึ่งตอนนี้ยังคงสวมชุดทำงานคาดว่าน่าจะเพิ่งกลับมา
“เป็นไงบ้างมึง เมื่อคืนเป็นห่วงแทบแย่” พระพายเอ่ยประโยคแรกทันทีที่เห็นหน้าเก้า
“กูสิต้องเป็นห่วงมึง มันทำอะไรมึงบ้างรึเปล่า?” เก้าถามกลับ
“กูเหรอ...ไม่เป็นอะไรหรอก มันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น” พระพายตอบเสียงอ้อมแอ้ม
“มึงอย่าปิดกูนะพาย บอกกูมาตรงๆ” เก้าถามเสียงจริงจัง เมื่อเก้าเริ่มเป็นแบบนี้พระพายรู้ดีว่าคงต้องบอกความจริงไป
“คือ...มัน...จะแบล็คเมล์กู ถ้ากูไม่ตอบตกลงข้อเสนอ” พระพายบอก
“ข้อเสนออะไร อย่าบอกนะว่ามันจะเอามึงจนกว่าจะพอใจ” เก้ากลัวสิ่งที่ตัวเองคิดจะเป็นจริงเหลือเกิน และเป็นไปตามคาด...พระพายพยักหน้าเป็นคำตอบด้วยสีหน้าที่สุดแสนจะมืดมน
“เลวเอ้ย กูว่าแล้วว่าต้องมาไม้นี้”
“ช่างเถอะ ยังไงกูก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ให้ๆมันไปจนกว่ามันจะพอใจนั่นแหละ ไม่นานหรอก สองเดือนเอง” พระพายว่า ตอนนี้อยู่ในสภาวะยอมรับ ทำใจและจำยอมกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“มึงจะไหวเหรอวะ ให้ใครที่ไหนไม่รู้มาทำแบบนั้นกับมึง” เก้าถามอย่างเป็นห่วง
“สบายมาก กูพระพายซะอย่าง” พระพายพยายามยิ้มออกมา เก้าที่เห็นแบบนั้นจึงเดินเข้าไปกอดพระพายทันที
พระพายนิ่งเงียบไป น้ำตาที่คาดว่าน่าจะไหลแต่กลับไม่ไหลออกมา พระพายไม่ใช่คนร้องไห้พร่ำเพรื่อ เข็มแข็งและร่าเริงอยู่เสมอไม่ว่าจะเจอเรื่องเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม ขนาดตอนที่สูญเสียป้าผู้เป็นที่รักไป เวลาอยู่ต่อหน้าเพื่อนๆพระพายจะยิ้มเสมอแต่พอหลับหลังกลับไปนั่งร้องไห้ตลอดเวลา ซึ่งตอนนั้นเก้าก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย รู้ดีว่าพระพายพยายามทำตัวไม่ให้คนอื่นเป็นห่วงและไม่ยอมร้องไห้ต่อหน้าใครทั้งนั้น
“ถ้ามึงอยากร้อง ก็ร้องออกมา ยังไงกูก็จะอยู่ข้างมึง” เก้าตบหลังพระพายราวกับจะปลอบ พระพายยิ้มอ่อนๆพลางหลับตา ซบลงบนไหล่ของเก้าที่สูงกว่าตนเพียงนิดหน่อย
“ขอบใจ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวทุกอย่างก็จะผ่านไป แค่นี้กูสบายมาก...จริงๆนะ” พระพายว่า กอดตอบเก้าที่ดูจะเป็นห่วงพระพายมาก
“เออ อย่าทำเป็นแกร่งมาก เดี๋ยวจะอกแตกตาย” เก้าบอกก่อนจะผละออกมา
“เออน่า ว่าแต่มึงเหอะ เมื่อคืนคนที่ชื่อไคนั่นทำอะไรมึงบ้างเขาต่อยมึงรึเปล่า?” พระพายถาม
“ไม่หรอกมึง แข่งกินเหล้ากันว่ะแต่เมื่อคืนกูจำอะไรไม่ได้เลย สุดท้ายเหมือนวูบไป ไม่รู้ใครแพ้ใครชนะ” ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนั้นตนดื่มเหล้ากับไค หนุ่มลูกครึ่งที่มีเรื่องและหนีมาตลอดหลายเดือนอีกทั้งยังไม่รู้ผลแพ้ชนะเลย
“แข่งไปทำไม?” พระพายถามอย่างสงสัย
“ก็ถ้ากูชนะ มันจะไม่ยุ่งกู แล้วจะบอกที่อยู่ของไอ้คนที่ลากมึงไปไง แต่มันคอแข็งสุดๆ กูนี่ล้มมันยากมาก เลยล่อซะยาว”
“มึงนี่ระดับตัวพ่อแล้วนะ ยังมีคนเหมือนมึงอีกเหรอ?” พระพายตกใจสุดๆที่ยังมีคนคอแข็งสู้เก้าได้
“เออ กูเองยังตกใจเลย แต่นี่มันหายเงียบไป แล้วเมื่อคืนกูก็ไม่รู้ว่ากลับมาห้องได้ยังไง” เก้ายังคงงงๆกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เชื่อมั่นว่าตนต้องชนะแน่ๆ
“มึงนี่นะ สิ้นคิดจริงๆ ไปทำแบบนั้นมึงคิดว่าจะช่วยกูได้รึไง สุดท้ายมึงก็เมาไปช่วยกูไม่ได้อยู่ดี” พระพายส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจในตัวเก้า คนอะไรคิดจะช่วยเพื่อนแท้ๆแต่ใช้วิธีที่สิ้นคิดสุดๆ
“เอาน่า เลือดมันขึ้นหน้านี่หว่า แต่กูขอโทษมึงนะที่ไปช่วยมึงไม่ทัน” รู้สึกผิดไม่น้อยที่เรื่องราวกลับบานปลาย
“ช่างมันเถอะ ชะตากรรมกูเอง ใครจะมาช่วยได้ แล้วนี่มึงจะมาอยู่กับกูต่อไหม?”
“กูว่ากูกลับไปอยู่ห้องกูดีกว่า เพราะมันคงไม่มายุ่งกูแล้วล่ะ”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ ยังไงก็ติดต่อมาด้วยล่ะ อย่าหายไปเฉยๆอีก กูเป็นห่วง” พระพายบอก เก้าจึงเริ่มเก็บข้าวของ ก่อนที่จะบอกลาพระพายแล้วกลับไปยังห้องของตัวเอง
เก้าสะพายกระเป๋าของตัวเองนั่งรถแท็กซี่กลับมายังห้อง พบว่ามีใครคนหนึ่งยืนพิงหน้าประตูห้อง เก้าจดๆจ้องๆ ก่อนที่จะเบิกตาโตขึ้นอย่างตกใจ
“เฮ้ย!! มึง” เก้าร้องออกมาก ชายคนนั้นจึงหันมายังทิศทางเสียงที่เก้าเปล่งออกมา
“มาแล้วเหรอ รออยู่ตั้งนาน”
ชายคนนั้นเอ่ยขึ้นมา พลางส่งยิ้มมุมปากให้ ไม่ใช่ใครที่ไหน ชายผู้มีรูปร่างสูง หน้าตากระเดียดไปทางฝรั่งเช่นนี้คือไค คนที่แข่งดื่มเหล้าด้วยเมื่อคืนอีกทั้งยังพ่วงตำแหน่งเพื่อนของคนที่ทำเรื่องร้ายกาจกับพระพายเพื่อนของตนนั่นเอง...
++++++++++++++++++++++++++++
*Lyrics: Holler by Spice Girl.