#ชอกะเชร์คู่กันต์
ตอนที่ 22
วันสิ้นปี
ไม่มีคนสร้างความวุ่นวายในสถานีตำรวจอีกแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างโดยรอบมันเงียบจนเหลือเพียงเสียงความคิดที่ไม่รู้จะทำอย่างไรถึงจะหยุดลงได้ ก่อนสามีภรรยาโลกแตกจะกลับไปตำรวจก็เข้ามาไถ่ถามว่าจะเอาเรื่องที่ถูกชกปากหรือไม่ เขาโอเคที่อีกฝ่ายนึกขึ้นได้ว่าควรถาม แต่สุดท้ายการประนีประนอมก็ยังเป็นทางเลือกที่แหลมสนใจ
ไม่ใช่เพราะสงสารแม่ไอ้ธูปที่เอาแต่ร้องไห้ แต่เป็นเพราะเขากลัวทนมองหน้าไอ้เลวนั่นไม่ไหวจนต้องเข้าไปซัดหมัดคืนจนกว่ามือจะหัก
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในห้องน้ำ หยุดยืนอยู่หน้าอ่างล้างมือพลางเงยหน้าขึ้นมองกระจกบานเล็ก คำพูดของเทียนมากมายที่เคยคิดว่าปกติธรรมดากลายเป็นคำบอกใบ้ ทำไมเขาถึงไม่เอะใจ แหลมได้แต่กล่าวโทษตัวเอง
นึกย้อนไปตอนที่เธอถูกนินทาว่าร้ายหลังจากตายไปแล้วก็ยิ่งโกรธ ไม่มีใครรู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร คนเหล่านั้นดีแต่พูดตามสิ่งที่คาดเดาแล้วเอามายำให้สนุกปากในวงสนทนา คนตายจะเสียเกียรติเสียศักดิ์ศรีเท่าไหร่ไม่มีใครสน แทบจะทุกคนที่เชื่อว่าเทียนฆ่าตัวตายเพราะหนีปัญหาท้องกับเสี่ย
พยายามยัดเยียดให้เทียนเป็นผู้หญิงขายตัวถึงขั้นไม่สนใจเรื่องที่ถูกข่มขืนจนช่องคลอดฉีกขาด คนบางคนก็โง่เกินกว่าจะคิดเรื่องดี ๆ ได้
บรรยากาศงานศพ บทสวด และเสียงตะโกนต่อว่าของแม่เทียน สายตาผู้คนที่มองมานั้นไม่สำคัญเท่าความรู้สึกตอนต้องถือป้ายรูปศพถ่ายรูปรวมรุ่น แหลมจำได้ว่าช่วงนั้นเขาเป็นอย่างไร เสียหลักจนนึกไม่ออกว่าจะกลับมาเป็นคนร่าเริงได้อีกไหม แผลนี้มันใหญ่เกินไปสำหรับเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ยังไม่ประสีประสา
‘ไปเรียนกรุงเทพฯ ไหม?’
‘...’
‘ไปอยู่กับพวกพี่ธีร์ เล่นเกมกับพี่ ๆ แล้วก็เรียนให้จบนะลูกนะ’
พยายามอดทนไม่แสดงความอ่อนแอแล้ว แต่พอถูกแม่ลูบหัวน้ำตามันก็ไหลออกมาราวกับว่าสวิตซ์มันถูกเปิด แม่รั้งเด็กโง่คนนั้นเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ แหลมสะอึกสะอื้นร้องไห้กับความจริงที่ไม่อยากยอมรับว่าเขาช่วยอะไรเทียนไม่ได้เลย
กวักน้ำล้างหน้าแล้วบ้วนปากเอาเลือดจาง ๆ ออก เด็กหนุ่มมองกระจกอีกครั้งเพื่อบอกตัวเองว่าให้ตั้งสติก่อน เขายังคงสะเทือนใจเรื่องเทียน แต่สิ่งสำคัญตอนนี้คือเรื่องไอ้ธูปที่ต้องจัดการ แต่ก่อนจะเอาตัวเองไปจมอยู่กับความยุ่งยากก็ขอโทรบอกใครอีกคนที่มีนัดกันในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เขาควรบอกบอสว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นและเดทวันนี้คงต้องยกเลิกอย่างไม่ตั้งใจ
( ...ครับ )
“พี่นอนอยู่เหรอ?” เสียงบอสเหมือนเพิ่งตื่น แต่ก็ดูเหนื่อย ๆ เพลีย ๆ อย่างบอกไม่ถูก
( เปล่าครับ เราตื่นแล้วเหรอ? )
“เรื่องนั้น...” เด็กลูกครึ่งแตะรอยแผลตรงมุมปากพลางลดระดับสายตาลง “พี่ วันนี้ผมคงไปไม่ได้แล้ว”
( ทำไมครับ เกิดอะไรขึ้น? )
“คือ...” ไม่รู้จะเริ่มอธิบายอย่างไร พอมองออกไปก็เห็นว่าเริ่มมีคนเดินเข้าโรงพักแล้ว อาจจะเป็นญาติเด็กที่อยู่ในห้องขังเดียวกับไอ้ธูป ไม่ก็คนที่เข้ามาติดต่อธุระส่วนตัว แต่ไม่ว่าอย่างไรผู้คนเหล่านั้นก็ทำให้เขาลนอย่างบอกไม่ถูก แหลมรู้สึกเหมือนไอ้ธูปจะถูกจับเข้าคุกอยู่ตลอดเวลา และเขาควรรีบทำตามขั้นตอนทุกอย่างเพื่อช่วยเด็กนั่น “ไอ้ธูปโดนจับเรื่องยาเสพติด ผมต้องช่วยมัน”
( ยาเสพติด? )
“ขอโทษนะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะพังวันสำคัญของเราเลย แต่ผมก็ปล่อยให้น้องมันอยู่ในห้องขังนาน ๆ ไม่ได้ พี่เข้าใจผมใช่ไหม?”
( ตอนนี้เราอยู่ไหนครับ สถานีตำรวจเหรอ? )
“อือ ผมกำลังจะทำเรื่องประกันตัว พี่พอจะมีอะไรแนะนำไหม พี่น่าจะรู้เรื่องกฎหมายมากกว่าผม”
อยากโทรหาเหล่าขี้ซุยฯ แต่ก็กลัวว่าจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้วันดี ๆ ของทุกคนพังลง พี่ตั้บควรได้ฉลองกับลูกเมียอย่างมีความสุข พี่ธีร์กับไอ้โซ่ก็คงมีแพลนเคาท์ดาวน์หรือไม่ก็ทำอะไรสักอย่างที่เป็นความทรงจำดี ๆ ร่วมกันกับปีใหม่ครั้งที่สอง ส่วนพี่แจ็คยิ่งไม่ควรเลย รายนั้นเป็นพวกชอบเก็บเรื่องคนอื่นไปคิดแทน กลัวจะเครียดจนต้องพึ่งยาช่วยหลับอีก
( ถ้าเป็นเรื่องยาน่าจะหลุดยาก เขาเสพหรือว่าขายครับ? )
“ไม่ทั้งสองอย่างเลย มันแค่อยู่ตรงนั้นแล้วโดนหางเลขไปด้วย” บอสเงียบไป คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่เชื่อที่พูดแต่ก็เลือกเก็บไว้ในใจมากกว่าจะพ่นความคิดเหล่านั้นออกมาทำร้ายความรู้สึกเด็กกะโหลกอย่างเขาที่อยู่ในสภาวะอ่อนไหว
( เดี๋ยวพี่ไปหา )
“ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ถึงไอ้ธูปจะเป็นเด็กปากหมาแต่ผมก็ไม่อยากให้มันต้องไปเจอเรื่องในคุก”
( พ่อแม่เขาล่ะครับ? )
“มาแล้ว กลับไปแล้ว”
( ว่าไงนะ? )
“อือ แม่งโคตรเหี้ยเลยพี่ ผมมีเรื่องอยากเล่าให้พี่ฟังเยอะแยะเต็มไปหมดแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อน ผมเหมือนจะอ้วกมันออกมาแล้ว” เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ ซบหน้ากับเข่าตนเอง เขาอยากให้บอสอยู่ตรงนี้แล้วกอดเขาไว้แน่น ๆ จนกว่าเรื่องเหล่านี้จะผ่านไปได้
( เชร์ฟังพี่นะ หายใจเข้าลึก ๆ )
“ผมทำอยู่...”
( ดีครับ คราวนี้เราก็ออกไปซื้อน้ำหวานดื่มแล้วก็นั่งรอจนกว่าพี่จะไปถึงนะ )
“พี่จะช่วยผมใช่ไหม ผมขอโทษนะ”
( อย่าเพิ่งคิดเรื่องอื่น ตอนนี้พี่กำลังจะลงลิฟต์แล้ว ทุกอย่างจะต้องดีขึ้นเราเชื่อใจพี่หรือเปล่า? )
“อือ แต่ผมไม่ได้ขอให้พี่ช่วยเรื่องเงินประกันนะ ผมจะจ่ายให้มันเอง พี่อย่ารู้สึกแย่นะ” ก็รู้ว่าบอสไม่ชอบไอ้ธูป แค่ขอให้มาช่วยก็ถือว่าฝืนใจมากพอแล้ว แหลมไม่ได้เคยชินกับความใจดีจนลืมไปว่าอีกฝ่ายเคยเป็นอย่างไร
( เชร์ครับ ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าถ้าเป็นเรื่องเราแล้วพี่ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อย )
“ไม่รู้สิ ผมแคร์พี่นะ ถึงปากจะบอกว่าไม่ได้ตื่นเต้นกับวันปีใหม่ แต่พอพี่บอกว่ารอวันนี้ผมก็อยากให้มันออกมาดี ๆ แต่ผมกลับทำพังหนำซ้ำยังเอาความเดือดร้อนไปให้ด้วย”
( พี่ไม่ได้รู้สึกติดลบอะไรทั้งนั้น กลับกันแล้วพี่รู้สึกดีด้วยซ้ำที่เราไว้ใจพี่ )
“มากกว่าที่พี่คิด”
( ได้ยินแค่นี้ก็ดีใจแล้ว ตอนนี้เรามาคิดเรื่องช่วยธูปดีกว่านะครับ ส่วนฉลองปีใหม่มันไม่เป็นไรจริง ๆ )
“พี่รีบมานะ ผมจะไปซื้อโค้กกินรอ”
( ก็รู้ไม่ใช่เหรอครับ ว่าพี่ไม่เคยปล่อยให้เราต้องรอนาน ๆ )
คนฟังอบอุ่นใจจนได้รอยยิ้มแรกของวัน แม้จะไม่เห็นปลายทาง แต่เขากลับรู้สึกว่าทุกอย่างจะดีขึ้นหากมีบอสอยู่ข้าง ๆ
*
เด็กหนุ่มวางถุงเซเว่นลงข้าง ๆ แล้วนั่งบนขั้นบันไดด้านหน้าสถานีตำรวจ ตอนนี้ไอ้ธูปน่าจะหลับอยู่หรือไม่ก็นั่งเหม่อไปกับความหวังที่ริบหรี่ แต่ไม่ว่าจะเครียดจนกินไม่ลงแค่ไหน แหลมก็จะยัดขนมปังเข้าไปแล้วดื่มน้ำตาม หลังจากนั้นก็อัดพาราสักสองเม็ดคลายอาการปวดศีรษะ น้องจะเหนื่อยแค่ไหนแต่พี่มันต้องเก็บแรงไว้สู้คดี
สายตาทอดมองตรงประตูทางเข้าอยู่ทุกนาที ผ่านไปชั่วโมงครึ่งแล้วแต่คนที่อยู่สาทรก็ยังไม่มาถึง ระหว่างนั้นก็คิดว่าคงรถติด แต่เขาไม่อยากโทรเร่งเพราะกลัวอีกฝ่ายเสียสมาธิระหว่างอยู่บนถนน
ตอนนี้ข้างในโรงพักดูวุ่นวายหลังจากใครคนหนึ่งเดินเข้าไป ดูจากภายนอกแล้วน่าจะเป็นตำรวจยศใหญ่เข้าไปสั่งการอะไรสักอย่าง เพราะอยู่ ๆ ตำรวจก็พร้อมใจกันลุกไปยืนเรียงกัน แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องสน บางที แหลมยังคงนั่งอยู่บนขั้นบันไดมองปากทางเข้าตาละห้อยเหมือนหมารอเจ้านายกลับบ้าน
RRRrrrrr!!!เพียงชั่วอึดใจเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เด็กที่ใช้เวลาไปกับการรอเป็นชั่วโมงจึงคว้าขึ้นมาดูเบอร์ แต่ที่โทรมากลับไม่ใช่คนที่รออยู่แต่เป็นแม่บอสเสียอย่างนั้น เธอมักจะโทรมาปรึกษาเรื่องสูตรอาหาร หรือชวนไปกินข้าวที่บ้าน บางทีแม่อาจจะอยากให้เขาชวนบอสไปฉลองปีใหม่ด้วยกันพรุ่งนี้
“ครับแม่?”
( อยู่ไหนลูก? )
“เอ่อ เชร์อยู่ข้างนอก แม่มีอะไรเหรอครับ?”
( อยู่ไหน เดี๋ยวแม่ให้คนไปรับ )
“เดี๋ยวนะครับ แม่มีอะไรหรือเปล่า?” อยู่ ๆ ก็กังวลขึ้นมาเพราะคนปลายสายส่งความเครียดมาทางเสียงอย่างเห็นได้ชัด
( ตอนนี้แม่อยู่โรงพยาบาลเพราะพี่กันต์ขับรถชนเสาไฟ เชร์ว่างไหมลูก มาหาพี่เค้าหน่อย )
“...”
สมองตายไปแล้ว เด็กหนุ่มนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นพร้อมเสียงบอกเล่าของคนในสายที่เริ่มจับใจความไม่ได้ หน้าอกข้างซ้ายมันเต้นเร็วแรงเหลือเกิน สองมือที่เคยวางนิ่งอยู่บนหน้าขากำลังสั่นเพราะความกลัวที่ไม่สามารถจินตนาการได้ว่าตอนนี้บอสจะเป็นอย่างไร
ทันทีที่ได้สติก็รีบวิ่งไปหน้าสถานีตำรวจแล้วหยุดตรงฟุตปาธ ลนลานหันซ้ายขวามองถนนโล่ง ๆ ในวันสุดท้ายของปีพร้อมโบกแท็กซี่คันแรกที่มาถึง แต่พระเจ้าคงอยากเล่นตลกกับเด็กอย่างเขา เพราะหลังจากบอกชื่อโรงพยาบาลที่อยู่ไกลจากตรงนี้จึงถูกคนขับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย
“พี่ไปส่งผมเถอะนะ ผมรีบจริง ๆ”
“ไปคันหลังแล้วกันน้อง พี่ต้องส่งรถ” เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดกำหมัดแน่น ปิดประตูกระแทกเสียงดัง แล้วหันไปหายใจลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์
เรื่องร้อนใจที่มีบอสเป็นตัวประกันก็ทำให้เขาอยากวิ่งไปโรงพยาบาลเอง แหลมยังคงยืนสู้กับแดดร้อนในกรุงเทพฯ พร้อมโบกมือเรียกแท็กซี่แต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายก็ตัดสินใจวิ่งหาวินมอเตอร์ไซค์ซึ่งความโชคร้ายก็ยังไม่ไปไหนเมื่อทันทีที่ไปถึงก็พบเพียงความว่างเปล่า
“รอแป๊บนะน้อง เดี๋ยวก็มา”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับพลางชะเง้อหน้ามอง ระหว่างที่ยืนอยู่ตรงนั้นเกือบห้านาทีก็ร้อนใจจนไม่สามารถทิ้งตัวนั่งลงได้ ป่านนี้บอสจะเป็นอย่างไร แขนขาเจ็บมากไหม ไม่มีทางไหนเลยที่จะทำให้เด็กคนนี้สบายใจลงได้จนกว่าจะเห็นเองกับตา
มอเตอร์ไซค์มาถึงแล้ว แหลมรีบก้าวขาขึ้นคาบพร้อมบอกที่หมายซึ่งพี่วินก็ยื่นหมวกกันน็อกให้พร้อมหันมาพูดบางอย่างที่ทำให้น้ำตาแทบไหลออกมาอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรนะ พี่จะไปส่งน้องเอง”
*
“แม่ครับ!”
“เชร์” เจ้าของชื่อรีบวิ่งเข้าไปหาคนที่ยืนอยู่หน้าเคาท์เตอร์ซึ่งเธอก็สวมกอดเขาทันทีที่ไปถึง “ทำไมมอมแมมแบบนี้ลูก แล้วปากไปโดนอะไรมา?”
“ทะเลาะกับเพื่อนนิดหน่อยครับ เคลียร์กันเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้พี่กันต์เป็นยังไงบ้างครับ?”
“พี่เค้าไม่เป็นไรแล้วจ้ะ ใจเย็น ๆ นะ” แฟนลูกก็มีอาการเดียวกับเธอตอนเพิ่งรู้เรื่องไม่มีผิด ผู้เป็นแม่เปิดกระเป๋าเอาทิชชู่ออกมาซับหน้าให้เด็กหนุ่มที่นับเป็นลูกชายอีกคน
เธอกุมมืออีกฝ่ายหวังช่วยดับความกังวล แต่สีหน้าของเชร์ก็ไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย แน่ล่ะ ถ้าไม่ได้เห็นกับตาว่าลูกชายยังสบายดีเธอก็คงไม่วางใจเหมือนกัน
“พักเหนื่อยอยู่กับแม่ตรงนี้ก่อน ตอนนี้พยาบาลกำลังดูแลพี่กันต์อยู่ เดี๋ยวพอจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายเสร็จแล้วเราค่อยเข้าไปหาพี่เค้าพร้อมกันนะ”
“พี่กันต์เจ็บมากไหมครับ...?” คนถูกถามส่ายศีรษะเป็นคำตอบ เธอลูบศีรษะเจ้าของจมูกแดง ๆ เหมือนอยากจะร้องไห้ออกมาอย่างไรอย่างนั้น
“ดีที่คาดเข็มขัดกับได้ถุงลมช่วยไม่งั้นอาจจะเจ็บหนักกว่านี้ จำไว้นะเชร์ ถ้าจะซื้อรถให้ซื้อคันที่ระบบถุงลมนิรภัยดี ๆ แบบนี้ ถึงมันจะแพงแต่ก็ช่วยเวลาเกิดเรื่องไม่คาดคิดได้ ดีนะที่เป็นวันสิ้นปีรถก็เลยน้อย จากที่จะชนคนอื่นเลยกลายเป็นชนเสาแทน”
“ทำไมเป็นแบบนั้น พี่กันต์ขับรถเร็วเหรอครับ?” ถ้าใช่คงโกรธตัวเองจนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะให้อภัยได้ เพราะเร่งให้บอสรีบไปสถานีตำรวจแท้ ๆ ไม่งั้นเรื่องคงไม่เกิดขึ้น
“เปล่าเลย พี่เค้าหลับในน่ะ”
“หลับใน?”
“จ้ะ” แม่เซ็นเอกสารแล้วยกมือไหว้ตอบพยาบาลหน้าเคาท์เตอร์ “หมอบอกว่าร่างกายอ่อนเพลียเพราะพักผ่อนไม่พอ ไม่รู้อดนอนอะไรขนาดนั้น”
“พักหลังพี่กันต์ก็ไม่ได้งานยุ่งมากนี่ครับ แต่ทำไมถึงกลายเป็นพักผ่อนไม่พอล่ะ?”
“นั่นน่ะสิ”
เขาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจแล้วปล่อยให้แม่เดินควงแขนไป หรือที่ขึ้นเตียงนอนพร้อมกันก็เพราะอยากให้เขาสบายใจแต่ความจริงแล้วบอสลุกไปทำงานต่อ พยายามทำทุกอย่างให้เสร็จเพราะอยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันในช่วงปีใหม่จนไม่ค่อยได้พักเหรอ หรือว่ามีเรื่องเครียดจนทำให้กลับไปนอนไม่หลับเหมือนเดิมอีก
แหลมมองอีกคนที่นอนหลับไม่ได้สติผ่านช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ หน้าประตู ก่อนจะหันไปสบตากับแม่ที่ยิ้มบาง ๆ พลางลูบหลังปลอบใจ “เข้าไปอยู่กับพี่เค้าก่อนนะ แม่ขอโทรบอกพ่อก่อน”
“ครับ”
ตลอดเวลาที่คบกัน สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดอย่างหนึ่งคือการเห็นบอสหลับนาน ๆ โดยไม่ต้องสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงสิ่งรอบข้าง ดังนั้นวันนี้ก็เช่นกัน แหลมค่อย ๆ ดันประตูเข้าไปพร้อมก้าวเข้าหาเตียงคนไข้โดยให้เกิดเสียงน้อยที่สุด
เด็กหนุ่มสังเกตร่างกายอีกฝ่ายด้วยตา ไม่มีรอยแผล ไม่มีส่วนไหนต้องใส่เฝือก แต่นั่นก็ไม่ได้ทุเลาความเป็นห่วงลงไปแม้แต่น้อย เขายกเก้าอี้มาตั้งข้างเตียงแล้วนั่งลง อยากจับมือ อยากแตะต้องตัวอุ่น ๆ แต่ก็ทำได้แค่มองเพราะไม่อยากให้ตื่นเวลานี้
บอสควรได้พักผ่อน จะนอนยาวถึงเช้าเลยก็ได้ เขายังพอมีเวลาจัดการเรื่องไอ้ธูปอยู่ พอเห็นว่าดีขึ้นแล้วค่อยนั่งแท็กซี่กลับไปสถานีตำรวจอีกครั้งมันก็ยังไม่สายเกินไป
“มานานหรือยังครับ...”
“...”
เด็กหนุ่มละสายตาจากมือแกร่งพลางมองใบหน้าซีดเซียวที่ยังคงยิ้มให้แม้จะเพิ่งเจอเรื่องเฉียดตายมา อยู่ ๆ บรรยากาศก็กลับเข้าสู่ความเงียบทั้งที่มีเรื่องอยากพูดมากมาย บอสปลอดภัยแล้วใช่ไหม นั่นคือสิ่งที่เขาถามย้ำกับตัวเองจนกว่าจะแน่ใจ
“เชร์” รอยยิ้มจางหายไปหลังจากถูกแทนที่ด้วยความกังวลเมื่ออยู่ ๆ เจ้าของชื่อก็เอื้อมมาประคองมือ ทุกอย่างเบาเสียจนกันต์คิดว่าน้องคงกลัวเขาเจ็บ “บอกพี่หน่อยได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับรอยแผลตรงปากเรา?”
เชร์ไม่ตอบคำถาม เด็กคนนี้เอาแต่ลูบหลังมือเขาเบา ๆ จนน้ำตาไหลอาบแก้ม
“เจ็บไหม...”
“นิดหน่อยครับ จริง ๆ นะ” กันต์ยิ้มยืนยันคำพูด แต่สายตาอีกฝ่ายที่มองมากลับไม่คิดอย่างนั้น “ขอโทษที่ทำให้เครียดกว่าเดิมนะครับ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น...” เชร์เม้มริมฝีปากพยายามกักเก็บความรู้สึกเอาไว้ มีไม่กี่ครั้งที่ทำให้เด็กคนนี้ยอมเงียบไม่ตอบคำถามได้ ครั้งแรกที่เห็นตอนนั่งดื่มเบียร์อยู่ริมหาด
กันต์พาร่างกายที่บอบช้ำให้ลุกขึ้นนั่งพร้อมอ้าแขนออก เขายังคงยิ้มพร้อมพยักหน้าเรียกซึ่งน้องก็เข้ามาสวมกอดหลวม ๆ ราวกับกลัวว่าเขาจะเจ็บกับสัมผัสนี้ “ตรงนี้เจ็บไหม...?”
“ไม่ครับ”
“แล้วตรงนี้ล่ะ?” ชายหนุ่มส่ายศีรษะปฏิเสธ ซิมบ้าน้อยถึงได้วางใจยอมทิ้งน้ำหนักลงมา
“เดี๋ยวไปช่วยธูปกันนะครับ”
“ตัวเองเจ็บอยู่ยังจะห่วงคนอื่นอีกเหรอ... ทำไมพี่ทำแบบนี้?”
“ขอโทษครับ พี่ประมาทเอง”
“ถ้าพี่เป็นอะไรไปแล้วผมจะทำยังไง พี่คิดว่าตัวเองมีร้อยชีวิตเหรอ?” ชายหนุ่มนิ่วหน้ากับการกระชับกอดให้แน่นขึ้น เขายอมเจ็บอีกหน่อยถ้ามันแลกกับความอบอุ่นที่เด็กคนนี้จะได้รับ “อย่าทำให้ผมรู้สึกเหมือนสักวันจะต้องเสียพี่ไปได้ไหม... พี่มีแค่คนเดียวนะ”
คนฟังรู้สึกผิดแต่ก็อบอุ่นใจไปพร้อม ๆ กัน ชายหนุ่มพยักหน้าพร้อมลูบศีรษะปลอบเด็กน้อยที่เคยซนเป็นลูกลิง แต่ตอนนี้กลับร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะโกรธที่เขาพาตัวเองเข้าใกล้ความตาย
“ตอนแรกพี่กะจะนอนสักงีบแล้วค่อยออกไปหาเราตอนช่วงบ่าย”
“แต่ผมก็ทำให้พี่ต้องออกมาตอนเก้าโมง”
“ไม่หาคนผิดได้ไหมครับ เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นบทเรียนของพี่นะ พี่จะไม่ประมาทอีกแล้ว”
“ผมกลัวอะ... ตอนรู้ว่าพี่อยู่โรงพยาบาลผมก็ทำอะไรไม่ถูกเลย” กันต์ไม่เคยคิดว่าจะดึงมุมนี้ของเชร์ออกมาได้ เขาไม่รู้ว่าควรดีใจหรือไม่กับการพิสูจน์ความรักที่แลกมากับน้ำตาน้อง
ชายหนุ่มจูบขมับแฟนเด็กค้างไว้แล้วผละออกมาสบตากัน เขาไล้น้ำตาออกจากแก้มอีกฝ่ายอย่างใคร่รัก พร้อมคิดไปว่าถ้าหากวันนี้ไม่ใช่เสาแต่กลับเป็นรถคันอื่น ป่านนี้เรื่องราวมันคงบานปลายจนอาจทำให้คนตายได้
“พักผ่อนไม่พอเหรอ?”
“นิดหน่อยครับ คือพี่มัวแต่ทำบางอย่างจนไม่ได้นอน”
“ทำอะไร บอกได้ไหม?”
“ขอไม่บอกตอนนี้ได้ไหมครับ ช่วยธูปเสร็จก่อนแล้วจะบอกว่ามันคืออะไร” แฟนเด็กไม่ได้ทำตัวทะโมนคาดคั้นเอาคำตอบเหมือนอย่างเคยแล้ว เชร์เพียงจ้องตากันแล้วพยักหน้าอย่างว่าง่าย ราวกับว่านาทีนี้ยอมให้เขาทุกอย่างแล้วขอแค่หายไว ๆ ก็พอ
“แม่พี่ออกไปคุยโทรศัพท์เดี๋ยวก็คงมา ตอนนี้พี่นอนพักก่อนนะ ผมจะนั่งเฝ้าเอง” แหลมลุกขึ้นนั่ง ปาดน้ำหูน้ำตาลวก ๆ พยายามไม่แสดงความอ่อนแอมากไปกว่านี้ บอสโอเคแล้วก็เห็น ๆ กันอยู่
“ตรงนี้เหรอครับ?” กันต์ก้มลงมองเก้าอี้ตัวนั้น ก่อนจะกลับมาให้ความสนใจเจ้าของจมูกแดง ๆ อีกครั้ง
“อือ”
“เราก็ยังไม่ได้นอนไม่ใช่เหรอ?”
“ผมอดนอนบ่อยแล้ว ทนได้”
เห็นคนเก่งแสดงความต้องการชัดเจนว่าอยากดูแลแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ กันต์ขยับตัวเข้าไปชิดกับเตียงคนป่วยฝั่งซ้ายพร้อมตบท่อนแขนตนเองเบา ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็มองมาพร้อมส่ายศีรษะปฏิเสธ
“ไม่เอา พี่เจ็บอยู่”
“ข้างนี้ไม่เจ็บครับ ไม่เชื่อลองจับดูสิ” เขาโกหกคำโต แต่ถ้ายอมอดทนสักนิดเพื่อแลกมากับความสบายใจของแฟนเด็กมันก็น่าสนใจไม่น้อย
เชร์กวาดสายตามองเหมือนพยายามเช็กด้วยตัวเองว่าประโยคเมื่อครู่มีความจริงมากแค่ไหน ผ่านไปชั่วอึดใจซิมบ้าน้อยก็ค่อย ๆ พาตัวเองขึ้นมาบนเตียงคนไข้พร้อมบดเบียดเข้าหาอ้อมกอดช้ำ ๆ ของเขา
“ได้แค่แป๊บเดียวนะเดี๋ยวแม่พี่มา...”
“โอเค ถ้าแม่มาแล้วเดี๋ยวพี่รีบกระโดดลงไปนั่งเก้าอี้เลย -- โอ๊ย!”
“มันต้องผมดิ!”
“เมื่อกี้เจ็บนะครับ” เขามองเด็กน้อยที่นอนซบอกทำเหมือนไม่สนใจ แต่สุดท้ายก็แอบลูบจุดที่ฟาดมือลงไปราวกับจะโอ๋ย้อนหลังอย่างไรอย่างนั้น
“ห้ามตายนะ”
“ยังไม่ได้สร้างบ้านอยู่ด้วยกันเลย พี่คงไม่ยอมตายง่าย ๆ หรอกครับ”
“ผมรักพี่” กันต์เลิกคิ้วกับคำบอกรักที่ใช่ว่าอีกฝ่ายจะพูดมันให้ได้ยินบ่อย ๆ ไหนจะจับมือเขาไปจูบซ้ำ ๆ อย่างออดอ้อนเอาใจ คนเจ็บที่มองทุกการกระทำอยู่จึงก้มลงไปจูบศีรษะทุยเบา ๆ
“วันนี้อ้อนผิดปกติหรือเปล่าครับ?”
“ผมพูดจริง ๆ นะ วันนึงเราอาจจะเลิกกันแต่ผมก็ยังอยากให้พี่กินอิ่มนอนสบายอะ อย่าเจ็บอย่าป่วยได้ไหม พี่ต้องดูแลตัวเองให้ดีดิ”
“แต่ถ้าเชร์อยากให้พี่ดูแลตัวเอง อยากให้ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง พี่จะทำตามนะครับ แต่อย่าพูดเรื่องเลิกกันเลยนะ ใจพี่ไม่ได้เผื่อไว้เพื่อเรื่องนั้นหรอก”
“อือ ไม่พูดแล้ว เพราะผมก็ไม่ได้เผื่อเหมือนกัน” เด็กหนุ่มเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อยืนยันกับตัวเองว่าบอสยังสบายดี
“พี่ไม่ได้เป็นอะไรมาก เราไม่ต้องกังวลแล้วนะครับ พอแม่กลับมาแล้วเดี๋ยวเราจะไปช่วยธูปกัน เราว่าไงครับ?”
แหลมพยักหน้าแล้วซบลงกับอกกว้างของคนเจ็บเพื่อหยุดพักกายและใจ ‘บอสไม่เป็นอะไรแล้ว’ เขายังคงปลอบใจตัวเองด้วยคำนั้น เด็กหนุ่มขอเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ หลังจากนั้นค่อยลุกขึ้นมาหาวิธีช่วยไอ้ธูปอีกที ซึ่งหวังว่าจะทำอะไรได้มากกว่าตอนเรื่องของเทียน
*
ไม่ได้คิดจะเล่า... แต่ระหว่างทางที่คนขับรถแม่บอสมาส่งก็โดนถามว่าพ่อเลี้ยงกับแม่ไอ้ธูปไปถึงสถานีตำรวจเพื่ออะไรถ้าเจตนาไม่ใช่เพื่อช่วยลูก เขากะจะเกริ่นให้ฟังคร่าว ๆ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นหมดเปลือกเสียได้ แถมด่าไอ้เชี่ยลุงนั่นไปเยอะด้วย
“พี่ศักดิ์กลับเลยนะครับไม่ต้องรอ”
“ครับคุณกันต์” คนขับรถขานรับว่าพลางโค้งศีรษะให้ลูกเจ้านาย ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองอีกคนที่ยื่นมือมา พร้อมพูดเบา ๆ ว่า ‘จับไว้เดี๋ยวล้ม’ ซึ่งคนรักแฟนเก่งอย่างเขาก็คงโง่เกินไปถ้าจะปฏิเสธความหวังดีของซิมบ้าน้อยที่อยากช่วยให้เขาเดินได้สะดวกขึ้น
“พี่น่าจะนอนต่ออีกสักคืน”
“นอนเฉย ๆ ก็ไม่หายหรอกครับ สู้ออกมาจัดการธุระให้เสร็จแล้วกลับไปนอนทีเดียวเลยคงดีกว่าเป็นไหน ๆ” แหลมไม่เถียงเพราะถ้าเป็นเขาก็คงค้างคาใจ ถึงจะพูดไปอย่างนั้นแต่ลึก ๆ ก็อยากให้บอสรีบเข้าไปช่วยคุยว่าจะเอาไงกับไอ้ธูปดี
CEO โรงแรมใหญ่ขนาดนี้ต้องรู้เรื่องกฎหมายเยอะอยู่แล้ว เขาไว้ใจบอสได้ ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีเหมือนที่อีกฝ่ายบอกไว้ เลิกแพนิกได้แล้ว คิดได้อย่างนั้นก็หายใจเข้าลึก ๆ จนเข้าไปถึงด้านในเขาจึงปล่อยมือออก ก่อนจะพบว่าตำรวจทั้งสน.ลุกขึ้นมายกมือไหว้บอสอย่างพร้อมเพรียง
เดี๋ยว...
“สวัสดีครับคุณกันต์ กำลังรออยู่พอดีเลย”
อะไร?
ผู้ชายคนนี้ที่ขับรถเข้ามาตอนสาย ๆ แล้วก็สั่งให้ตำรวจไปทำอะไรสักอย่างอะ เขาจำได้
“ขอโทษที่ให้รอนานนะครับ พอดีผมเจออุบัติเหตุก็เลยมาช้า” บอสยกมือไหว้พร้อมอธิบายด้วยการชี้แขนตนเองที่ต้องใส่ตาข่ายคล้องแขนเพราะแม่บังคับ
“ไม่เป็นไรเลยครับ เอาเป็นว่าเชิญทางนี้ดีกว่านะ ทนายจิระวัฒน์รออยู่ข้างในแล้ว”
เฮ้ย... มันชักจะไปกันใหญ่แล้วไหม... แหลมขมวดคิ้วมองเจ้าของแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินเข้าไปด้านใน ตำรวจนายหนึ่งตรงเข้ามายื่นน้ำดื่มให้ซึ่งบอสก็แสดงความนอบน้อมจนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเป็นกันต์กวินทร์เวอร์ชั่นแรกจะมีความก้มขนาดนั้นไหม
กวาดสายตามองชายในเครื่องแบบทั้งสถานีตำรวจ เหมือนเซ็ทเมื่อคืนจะเปลี่ยนกะไปแล้วถึงได้มีหน้าใหม่ยืนทำหน้าอึน ๆ เรียงรายอยู่โดยรอบ แหลมเดินตรงเข้าไปหาไอ้ธูปขณะที่บอสกำลังคุยกับผู้ชายคนนั้นและคนที่บอกว่าเป็นทนาย
“พี่เชร์!” เจ้าของชื่อหันไปตามเสียง ก่อนจะตรงเข้าไปหาไอ้เด็กกะโหลกในกรงเหล็กที่ดูเหมือนจะตกใจไม่แพ้กัน
“อย่าถามกูนะ เพราะกูก็งง” จนถึงตอนนี้ตำรวจทั้งสน.ก็ยังไม่ยอมนั่ง ทั้งคู่สบตากันก่อนแหลมจะขยับไปถามนายตำรวจที่อยู่ใกล้ตัว “พี่ ๆ ทำไมต้องยืนเหรอครับ?”
“ผู้กำกับสั่งมาน่ะสิ...” ชายในเครื่องแบบหันมาพูดเบา ๆ เหมือนกลัวสามคนนั้นได้ยิน
“สั่งอะไรอะครับ?”
“ให้ต้อนรับหลานท่านผู้การ... คนนั้นที่มากับน้องไง” พูดจบก็ชี้ไปทางบอส เดี๋ยวอีกครั้ง... คือรู้ว่ามีแฟนเป็นคนรวย บ้านมีฐานะแต่ก็... หลานท่านผู้การเลยเหรอวะ?
“ได้ทนายคนดังมาช่วยงี้สบายแล้วน้องเอ๊ย” นายตำรวจอีกคนว่า เขาจึงหันไปมองหน้าไอ้ธูปที่คงเหวอหนักกว่าเดิมอีกกับคำว่า ‘ทนายคนดัง’ นอกจากจะมีลุงแล้วยังมีทีมกฎหมายเบอร์ใหญ่อีก
“คือ --” ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เหมือนทุกอย่างตอนนี้มันกระโดดถีบความกังวลในใจไปหมดเพราะความใหญ่โตที่ไม่เคยรู้มาก่อน
บอสตอนยืนคุยกับตำรวจและทนายประหนึ่งดีลธุรกิจ แหลมรู้สึกเหมือนตัวเขาเล็กนิดเดียวในโลกใบใหญ่ที่ยังไม่รู้อะไรอีกมาก ชั่วขณะหนึ่งก็ได้แต่คิดว่าถ้าไม่มีบอสตอนนี้เขาจะจัดการปัญหาอย่างไร จะนั่งปวดหัวแล้วฝืนใจติดต่อพี่ ๆ ไปหรือไม่ สุดท้ายเขาก็คงต้องพังวันดี ๆ ของทุกคนสินะ
แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น โชคดีเหลือเกินที่เด็กกะโหลกอย่างเขามีบอสอยู่ในชีวิต
ตำรวจนายหนึ่งถูกเรียกให้ไปคุย ผู้ชายคนนั้นพยักหน้ารับแล้วตรงมาทางนี้พร้อมเปิดประตูห้องขัง
“อะไรครับ?”
“ระหว่างรอศาลตีราคาเดี๋ยวย้ายไปอยู่ห้องรับรองก่อนนะครับ” แหลมกับธูปมองหน้ากันอีกครั้ง และการเข้าไปในห้องนั้นเหมือนจะดีกว่านั่งดมกลิ่นไม่พึงประสงค์ในกรงเหล็ก เพราะผู้กำกับหันมาบอกให้หาข้าวหาน้ำให้ไอ้ธูปกินด้วย แถมยังถามอีกว่าต้องการหมอนกับผ้าห่มหรือไม่