หมากับหมอก็เหมือนกัน
“ไอ้เบ็ก นั่งนิ่งเลยมึง” หมอกำลังจะไขประตูเข้าบ้านตัวเองในตอนเกือบทุ่มของวันหันไปทักเพื่อนบ้านตัวโตตัวที่นั่งคอตั้งอยู่ตรงหน้าประตูเหมือนเมื่อเช้า หมาที่ดูน่าจะฉลาดเกินหมาทั่วไปเหลือบมามองมนุษย์หมอตัวซีดแต่ใต้ตาดำ ก่อนจะวิ่งมาหาที่ข้างรั้วพอให้เขาลูบหัวลูบหางให้
“ยุงไม่กัดเหรอวะ” โจ้พูดพลางขยำขนยาวๆนั่นอย่างมันเขี้ยว ดีที่ตอนนี้เป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว อากาศกำลังเย็นสบาย ไอ้เบ็กเลยดูจะไม่ทรมานกับความหนาของขนมันนัก
“มองก็ไม่มีอะไรให้กินหรอก” โจ้บอกหมาพันธุ์อะไรสักอย่างที่ตัวใหญ่มาก ใหญ่กว่าโกลเด้นที่เคยเห็น หมอว่าจะถามคนข้างบ้านเรื่องเบ็กอยู่หลายรอบ
แต่คิดไปคิดมาไม่เอาดีกว่า…เพราะหมอขี้เกียจเสวนาเรื่องอื่นต่อ
“โฮ่ง” เพื่อนบ้านตัวใหญ่ตอบหมออย่างกับว่ารับรู้สิ่งที่บอกแล้ว ก่อนจะเดินกลับไปนั่งนิ่งๆรอเจ้านายอยู่เหมือนเดิม โจ้เห็นลักษณะแข็งขันเหมือนทหารของเบ็กครั้งแรกถึงกับทึ่งกับความภักดีของมัน และโจ้ก็แอบไม่พอใจอยู่หลายครั้งที่เจ้าของเพื่อนบ้านตัวใหญ่ ดูเหมือนจะกลับบ้านไม่ตรงเวลาเสียเท่าไหร่ ถึงจะบอกว่าการนั่งรออยู่นิ่งๆเป็นลักษณะนิสัยของสุนัขเองก็ตามที
หมอกำลังนั่งหาวไปพลางดูทีวีไปพลาง เหลือบไปเห็นหมาตัวใหญ่สีขาวนั่งนิ่งๆอยู่ตรงหลอดไฟสีส้มข้างๆบ้านตั้งแต่เมื่อเย็นแล้วรู้สึกหงุดหงิดแปลกๆ มีคนสนิทหลายคนบอกว่าหมอโจ้เป็นคนที่ค่อนข้างอ่อนโยนและใส่ใจคนอื่นมากพอสมควร แต่กลับเป็นตัวเขาเองที่ต้องค้านอยู่ร่ำไป เพราะโจ้รู้ตัวดีว่าตัวเองก็ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไป เพียงแต่การที่หมอเป็นคนละเอียดในเรื่องเล็กน้อยขัดกับความหยาบคายภายนอกที่มีต่างหาก เลยทำให้ดูขัดแย้งกันในบางที
“ไอ้เบ็ก พ่อมึงไปไหนวะ” หมอถามหมาที่กำลังลุกแล้ววิ่งมาหา เพราะตอนนี้ดึกมากแล้วแต่ยังไร้วี่แววของพ่อไอ้เบ็กมัน อาหารเม็ดบนถาดพร่องลงไปเล็กน้อยเหมือนหมาจะไม่ค่อยหิว แต่ดูลักษณะท่าทางที่นั่งอยู่ท่าเดิมมานานคงเมื่อยมากพอดู
หมอผู้คิดแทนหมาไปเรื่อยหยิบไส้กรอกมาฝาก ไอ้เบ็กหมาที่ตัวใหญ่เท่าหมอหรืออาจจะใหญ่กว่าหมองับไส้กรอกอันยาวแค่ครั้งเดียวก็หมด ทำเอาหมอแทบหยุดหายใจเพราะถูกหมาอมมือตัวเองเข้าไป ด้วยืนช็อคอยู่พักนึงก่อนจะบอกลาหมาแล้วไปนอนด้วยความเป็นห่วง
.
.
.
เช้าวันหยุดโจ้ตื่นมาด้วยความสดชื่นลืมเรื่องเมื่อคืนไปเสียสนิท เพราะวันนี้เป็นวันแรกของเดือนที่หมอได้หยุดพักจึงรู้สึกว่าตัวเองได้นอนเต็มอิ่มเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาเสียที หมอมองห้องนอนตัวเองที่แม้จะไม่สกปรกแต่รกเหมือนห้องเก็บของก่อนจะถอนหายใจพรืดแล้วลุกขึ้นเก็บของเหล่านั้น
หมอมีโอกาสทำความสะอาดบ้านแค่ไม่กี่ครั้งในหนึ่งเดือนก้มๆ เงยๆ ทำอะไรไม่รู้จนเกือบบ่าย จึงเดินลงมาหาอะไรกิน หมอกำลังจะเอนตัวลงบนโซฟาพร้อมกับข้าวกล่องสำเร็จรูปเหลือบไปเห็นเพื่อนบ้านตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ท่าเดิมเหมือนเมื่อคืนเป๊ะ โรงจอดรถที่ว่างและหลอดไปหน้าบ้านนั่นบ่งบอกว่าเจ้าของบ้านยังไม่ได้กลับมาแต่อย่างใด
โจ้ที่อารมณ์นิ่งมาตั้งแต่เช้าเริ่มหงุดหงิดอีกรอบ หมอลุกขึ้นแล้วหยิบไส้กรอกในตู้เย็นไปทั้งถุงก่อนจะเดินออกไปข้างบ้านแล้วเรียกเพื่อนบ้านตัวใหญ่ด้วยเสียงที่ดังพอสมควร
“เบ็ก!” เพื่อนบ้านตัวใหญ่ที่ไม่รู้ว่านั่งแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กระดิกหางก่อนจะวิ่งมาหาทาทางดีใจ โจ้ยื่นไส้กรอกข้ามรั้วเตี้ยๆประมาณเอว แต่เบ็กกลับปฏิเสธโดยการเอาหัวมาดุนที่มือของหมอแทน นับเป็นลักษณะนิสัยของสัตว์เลี้ยงที่แปลกพอสมควร
โจ้ยืนงงอยู่สักพักก่อนจะยิ้มออกมา เขาเก็บไส้กรอกเข้าไว้ในถุงดังเดิมก่อนจะลูบหัวแบบที่เพื่อนบ้านตัวใหญ่คงอยากได้
“โฮ่ง” คำตอบรับเสียงดังนั่นยืนยันสิ่งที่โจ้คิดไว้เป็นอย่างดี หมอหันรีหันขวาง แล้วกระโดดข้ามรั้วบ้านเขาไปอย่างไม่คิดอะไรมาก เพราะไหนๆอีกคนก็บอกว่าสนิทกันแล้ว แค่ข้ามรั้วนี่คงไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก
“เบ็กนั่งลง” คุณหมอผู้ปีนข้ามรั้วบ้านชาวบ้านชาวช่องอย่างถือวิสาสะพยายามสั่งหมาตัวใหญ่ให้นั่งลง
“โฮ่ง” โจ้ได้คำตอบมาแค่พยางค์เดียวยืนกระพริบตาปริบๆ มองเพื่อนบ้านตัวใหญ่ที่นอกจากไม่ทำตามคำสั่ง ยังมีหน้าเอาลิ้นมาเลียที่มือหมออีกต่างหาก
น้ำลายนี่เหนียวเชียว…
เอาเป็นว่าที่บอกว่าไอ้เบ็กฉลาดหมอขอคืนคำก็แล้วกัน
“ถ้าจะเลียขนาดนั้นมึงกินนี่เถอะ” หมอหยิบไส้กรอกอันเดิมให้ คราวนี้ไอ้หมาตัวใหญ่ก็ยอมกิน กินโดยการอมเอามือหมอเข้าไปเกือบครึ่งเหมือนเดิม
เอาเถอะ…โจ้ว่าเดี๋ยวค่อยล้างก็ได้
“ถ้าจะอมแบบนั้นมึงแดกเข้าไปเลยก็ได้นะ” หมอยืนบ่นหมาที่ทำมือตัวเองเปียกไปด้วยน้ำลาย ส่วนหมาตัวใหญ่ทำหน้างงอยู่ครู่เดียวก่อนจะบอกออกมาด้วยคำเดียวเช่นเคย
“โฮ่ง!!”
โจ้พึ่งรู้ว่าตัวเองเหมือนคนบ้าหัวเราะเสียงดังเมื่อคุณเพื่อนบ้านตัวใหญ่เอาหัวที่ใหญ่กว่าหัวโจ้มามุดตรงสีข้าง อย่างกับอยากจะให้เล่นด้วย ด้วยท่าทางน่ารักอย่างที่มนุษย์ทำไม่ได้
พักนี้หมออยู่คนเดียวมากเกินไปเลยมักจะฟุ้งซ่านด้วยเรื่องของแฟนเก่า เลยคิดว่าบางทีก็อยากจะมีสัตว์เลี้ยงไว้สักตัวเหมือนกัน แต่คิดอีกทีหมอว่าไม่แฟร์เท่าไหร่ถ้าตัวเองจะอยู่กับสัตว์เลี้ยงเฉพาะเวลาที่ว่างแล้วปล่อยให้มันต้องมานั่งรอแบบนี้ เพราะหมอเองก็ไม่ได้มีเวลามากนักด้วย
“ไอ้เบ็ก หยุดเลียยยยย” หมอทะเลาะกับหมาหัวเราะไปพลางหลบหมาไปพลาง ระหว่างที่กำลังสนุกกับการหลบมือจากไอ้เบ็ก เสียงแตรของรถตรงหน้ารั้วบ้านก็ดังขึ้น ก่อนที่คนขับรถคันนั้นจะลดกระจกแล้วตะโกนเข้ามาข้างใน
“พอดีเลยหมอ เปิดประตูให้หน่อยครับ” โจ้ผู้บังอาจกระโดดข้ามรั้วบ้านคนอื่นเข้ามาทำตัวเยี่ยงบ้านตัวเอง จะทำอะไรได้นอกจากเดินทำหน้านิ่งๆ ไปเปิดประตูรั้วให้เจ้าของบ้านตัวจริง ในตอนที่กำลังจะเดินอ้อมออกทางหน้าบ้านเข้าบ้านตัวเอง คนที่พึ่งมาใหม่ก็ตะโกนบอกอีกรอบ
“อย่าพึ่งกลับนะหมอ รอเอาของลงจากรถก่อน”
หมอยืนงงกับปฏิกิริยาของคนที่กำลังเอารถเข้าบ้าน กำลังคิดว่านี่พวกเขาสนิทกันแล้วจริงๆใช่ไหม…สนิทถึงกับสามารถใช้ขนของได้?
หรือไม่...คุณพ.คงมั่วและเนียนมาก...
หลังจากที่โจ้รู้ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนของเพื่อนหรืออะไรสักอย่าง ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ได้สนิทใจมากขึ้น พายก็ยังเป็นฝ่ายชวนคุยฝ่ายเดียว หมอก็อยากจะเป็นมิตรด้วย...หากอีกฝ่ายไม่มีท่าทางว่าอยากจะงาบหมออยู่ตลอดเวลา
วันนี้โจ้รู้ตัวเองว่าทำเกินไปหน่อยเหมือนกันที่กระโดดข้ามรั้วมา หมอมองคนตัวใหญ่ที่ก้าวลงมาจากรถพร้อมยิ้มกว้างให้
“โทษที ที่ข้ามมา”
อีกคนโบกมือเหมือนไม่ได้ใส่ใจนักก่อนจะยืนมาหยุดตรงหน้า เป็นเวลาเดียวกับที่ไอ้หมาตัวใหญ่วิ่งสุดฝีเท้ามาหา โจ้รู้ดีว่าปฏิกิริยาของเพื่อนบ้านตัวใหญ่นั่นเวลาอยู่กับเจ้าของต่างจากตอนที่เล่นกับหมอมากพอควร แม้จะเป็นสัตว์เลี้ยงแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะให้ใครเลี้ยงหรืออยู่กับใครก็ได้ เพราะที่สุดแล้วไอ้เบ็กมันก็คงอยากจะอยู่กับคนที่มันรักมากกว่า
“หมอมาเล่นกับใบตองเหรอครับ”
โจ้นึกอยู่พักหนึ่งว่าใบตองนี่ใคร…ก่อนจะถึงบางอ้อ เพราะพี่แกตั้งชื่อหมาคนอื่นตามใจชอบ เลยลืมไปว่ามันไม่ได้ชื่อเบ็ก
“อืม เห็นเบ็กมันนั่งนิ่งๆตั้งแต่เมื่อวาน” หมอทำเนียนเปลี่ยนชื่อหมาคนอื่น
“มันไม่ขยับเลยนะ รอมึงอย่างเดียว” เพราะไม่รู้ว่าเจ้าของไอ้เบ็กมันรู้รึเปล่าว่าหมาตัวเองนั่งรออยู่นานเท่าไหร่ หมออยากให้เจ้าของบ้านหลังนี้รู้บ้าง
พายมองหน้าตาบูดบึ้งของหมอเมื่อพูดประโยคนั้นจบด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
“รอพ่อเหรอใบตอง” คุณเจ้าของบ้านก้มลงไปถามหมาตัวใหญ่ที่พยายามยกมือสวัสดีอย่างสุดความสามารถก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบ
“หมาก็เป็นอย่างนี้แหละครับ”
หมอมองคนที่ตอบโดยไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร และหมอก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะหงุดหงิดไปทำไมเหมือนกัน แต่รู้สึกคันไม้คันมือแปลกๆ
“เอาเถอะ คนแม่งก็เป็นแบบนี้แหละ เนอะเบ็ก” ปลายประโยคโจ้หันไปบอกไอ้ตัวสีขาวปุกปุยอย่างปลงในชีวิต
“โฮ่ง” และมันก็ตอบกลับมาเสียด้วย
“ฉลาดนะมึง” โจ้ยิ้มกว้างก่อนจะก้มลงไปขยำขนสีขาวอย่างสนุกมือ และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอคนตัวใหญ่ยืนจ้องท่าทางกรุ้มกริ่มอยู่เหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมา หมอก็หุบยิ้มแล้วก็ถามเรื่องอื่นออกไปแทน
“ไหนล่ะของที่จะขน” โจ้หันไปมองที่รถสปอร์ตสีดำคันงาม กำลังนึกถึงภาพของชิ้นใหญ่ที่ผู้ชายตัวโตๆต้องช่วยกันยก ยังนึกได้ไม่เท่าไหร่อีกคนก็ตอบออกมาด้วยหน้าตากวนตีนเช่นเดิม
“มีถุงกับข้าวสองถุงครับ อยากให้หมอกินข้าวด้วยกัน”
โจ้บอกไปรึยังว่าวันนี้รู้สึกคันมืออยากจะกระโดดต่อยคน?
“เอาที่มึงสบายใจ” หมอมองหน้าพ่อไอ้เบ็กอย่างเซ็งจิต ส่วนอีกคนก็เอาแต่ขำ ไม่รู้สนุกอะไรกันนักกันหนากับการได้กวนตีนคนอื่น
“ผมไปหาน้องสาวมาจะให้ขนอะไรครับ”
โจ้ไม่ได้ถือนักหรอกเรื่องที่ไอ้คนข้างบ้านจะไปทำอะไรกับใครที่ไหน จะเปิดเผยหรือปิดไว้ สันดานจะกวนตีนยังไง เพราะไม่ใช่ธุระกงการอะไรของหมอ แต่มีหนึ่งเรื่องที่โจ้ไม่อยากปล่อยไป
หมอมองหน้าไอ้ตัวสีขาวที่จ้องตาแป๋ว
“มีคนที่รักรออยู่ที่บ้านทั้งคนแล้วยังจะไปหาที่อื่นอีก” หมอพูดถึงหมา เผื่ออีกคนจะคิดอะไรได้บ้าง
“หมอรักผมเหรอครับ” แต่เจ้าของหมาพูดถึงหมอ
โจ้ถอนหายใจออกมาด้วยความเซ็ง
“หมาโง่ๆของมึงนู่น!!!” หมอว่าแล้วเดินไปข้างบ้านกระโดดข้ามรั้วเข้าบ้านตัวเองเช่นเคย โดยไม่หันหลังมามองเจ้าของหมาที่กำลังหัวเราะเสียงดัง
.
.
.