เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)บทที่42บทส่งท้าย(จบบริบูรณ์)(P.11วันที่ 8/8/59)  (อ่าน 187519 ครั้ง)

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่30เส้นผมบังภูเขา 2(P.7วันที่ 18/6/59)

            หลังจากย่างไก่ป่ากินจนอิ่มท้องและร่างกายเริ่มดีขึ้น ลั่วเหยียนเจิ้งก็เตรียมที่จะเดินทางอีกครั้ง ทว่าร่างโปร่งของฟางเทียนฟงกลับมายืนขวางทางเอาไว้ ใบหน้ายิ้มละมุนอย่างน่าหมั่นไส้ ยิ่งเห็นยิ่งรู้สึกขัดตา คนตรงหน้ายกกิ่งไม้ในมือโบกไปมาแต่แววตาเรียวคมนั้นกลับไม่มีทีท่าจะปล่อยเขาไป
    
            “ถอย” น้ำเสียงเย็นนิ่งไม่ได้ทำให้ฟางเทียนฟงหวาดหวั่นแม้แต่น้อย เพียงแค่หยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ
    
            “เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยเจ้าตามหาสิ่งใดแล้วอี้เอ๋อร์ข้าตอนนี้อยู่ที่ไหน”
   
            “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยตอบเสียงเย็น เขารู้สึกหงุดหงิดขณะเดียวกันก็ฉุกใจคิดขึ้นได้ว่าคนตรงหน้าเป็นถึงประมุขพรรคจิ้งจอกฟ้าที่มีอำนาจไม่น้อยไปกว่าผู้ใด หากเขาต้องการความช่วยเหลือคนผู้นี้อาจจะช่วยได้ แต่... เขาจะลดตัวลงไปขอร้องศัตรูหัวใจอย่างนั้นหรือ ทว่าชีวิตของคนที่รักก็แขวนอยู่บนเส้นด้ายเวลานี้เป็นตายเท่ากัน เหลือเวลาอีกสามสัปดาห์เขาจะทำสำเร็จไหม
    
          ฟางเทียนฟงเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าอย่างประหลาดใจ แม้ใบหน้าไม่เปลี่ยนไปทว่าดวงตากลับฉายแววสับสนยิ่งกระตุ้นให้เขาอยากรู้ว่าคนตรงหน้ามีสิ่งใดให้กังวลใจ ยิ่งเขาเอ่ยชื่อหลิ่วเหวินอี้ดวงตาคมคู่นี้กลับเจ็บปวดขึ้นมาแม้เพียงเสี้ยวแต่ไม่อาจหลุดพ้นสายตาตนไป
    
         “คงมิใช่หลิ่วเหวินอี้ตกอยู่ในอันตรายหรอกนะ” น้ำเสียงจริงจังและแววตาเรียวคมที่จ้องมองมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามนิ่งๆ อย่างชั่งใจ ระหว่างทิฐิที่มีกับคนที่รัก ใบหน้าคมคายฉายแววเคร่งเครียดอย่างมิอาจตัดสินใจได้
    
          “ข้าว่าเราต้องมีเรื่องต้องคุยกัน” ฟางเทียนฟงเอ่ยเสียงเรียบแต่แรงกดดันมิใช่เล่นๆ อีกต่อไป เพราะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับหลิ่วเหวินอี้คนที่ผิดก็คือตัวเองที่เป็นสาเหตุ หากเขาไม่อยากรับรู้เรื่องกระบี่หยกขาวคนอย่างหลิ่วเหวินอี้คงไม่ลงทุนติดตามเข้าไปในวังหลวง ขณะเดียวกันเขายังติดค้างข่าวสารเรื่องมารดาของหลิ่วเหวินอี้
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งจ้องมองคนตรงหน้าอย่างจริงจังประสบการณ์เลวร้ายหลายปีทำให้รู้ว่าคนตรงหน้าจริงใจกว่าที่เขาคิดไว้ ดวงตาห่วงใยคู่นั้นทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่าเขาไม่อาจปล่อยให้หลิ่วเหวินอี้ตายได้ต่อให้แลกสิ่งใดก็ตาม
    
            อี้เอ๋อร์หากเจ้ารู้ข้ายอมลดศักดิ์ศรีตัวเองเพื่อเจ้าขนาดนี้แล้ว โปรดอย่าทิ้งใจให้ผู้อื่น โปรดมอบมันให้ข้าแต่เพียงผู้เดียว...
    
            “อี้เอ๋อร์ถูกพิษโลหิตกลืนกิน”
    
            คำตอบเรียบง่ายทว่าคนฟังถึงกลับชะงักงัน พิษนี้มาจากกระบี่มารที่สูญหายไปกว่าห้าร้อยปีมันได้กลับมาแผลงฤทธิ์อีกครั้งอย่างนั้นหรือ? มันผู้ใดไปปลดผนึกมารชั่วขึ้นมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว ครานั้นผู้คนล้มตายมายมายจนแทบสูญสิ้นดินแดนมนุษย์ หากเขาไม่คิดถึงความเหงาที่กัดกร่อนกินหัวใจคงไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย การได้เห็นชีวิตมนุษย์ดำเนินไป เกิด แก่ รัก โลภ โกรธ หลง มันทำให้เขาได้รู้ว่าไม่ได้มีตัวเองผู้เดียวที่รู้สึกเช่นนั้น    

             “ยามนี้เป็นเช่นไร” ลั่วเหยียนเจิ้งมองหน้าคนตรงหน้าที่แววตาล้ำลึกจนยากจะคาดเดาได้ เป็นไปได้ไหมว่า คนตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์    
    
             “ข้ากำลังตามหายาแก้พิษ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยตอบความจริงซึ่งทำให้คนฟังหรี่ตามองคนพูดอย่างพิจารณา ทว่าดวงตาคมกริบมีแต่ความเชื่อมั่นว่าเขาต้องทำสำเร็จต่อให้ต้องแลกชีวิตก็ตาม
    
             “เจ้ารู้หรือว่ายาแก้พิษต้องใช้สิ่งใด” ฟางเทียนฟงเอ่ยถามเสียงเรียบ ความเชื่อมั่นในแววตาทำให้รู้สึกประหลาดใจ ยาแก้พิษชนิดนี้ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ ต่อให้ค้นหาทั่วโลกมนุษย์ก็มิอาจทำได้ และอะไรทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งมั่นใจขนาดวิ่งพร่านไปทั่วหุบเขาเช่นนี้
    
             “ข้ารู้ เพียงแต่...” ลั่วเหยียนเจิ้งตอบกลับอย่างหนักแน่นพร้อมดวงตาคมกริบมองศัตรูหัวใจอย่างชั่งใจว่าหากกล่าวออกไปจะเกิดผลอันใดตามมา แต่เมื่อตัดสินใจแล้วจึงพูดต่ออย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
    
              “ข้าตามหาหยกน้ำค้างพันปีในหุบเขาแห่งเซียน แต่ข้าไม่รู้ว่าจะขึ้นไปอย่างไรจึงคิดว่ามันต้องมีหนทางที่จะขึ้นไปได้”
    
               “อะไรทำให้เจ้ามั่นใจเช่นนั้น สิ่งที่พูดถึงใช่ว่าจะวิ่งไปแล้วจะเจอ หุบเขาแห่งเซียนลย สิ่งที่เจ้ากำลังตามหาอยู่กึ่งกลางสวรรค์ซึ่งมันมิได้อยู่ที่โลกมนุษย์” ฟางเทียนฟงโยนกิ่งไม้ในมือทิ้งพร้อมจับคางตัวเองเอียงคอมองลั่วเหยียนเจิ้งอย่างพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ดวงตาจิ้งจอกเหมือนจ้องมองให้ถึงสิ่งที่ปิดซ่อนเร้นในใจ แต่น่าแปลกแม้จะใช้ภาพมายากับคนตรงหน้าแต่เหมือนจะไร้ผล
    
              “ คนของสวรรค์อีกแล้วหรือ” ฟางเทียนฟงพึมพำเสียงเศร้าเมื่อเห็นดวงจิตได้อย่างชัดเจน ดวงตาคมกริบที่มองมาที่เขาไม่ได้คลายความหวาดระแวงแม้แต่น้อยในทางกลับกันหากไม่จำเป็นฮ่องเต้บุตรของสวรรค์ผู้นี้คงไม่เอ่ยปากร้องขอเขาแน่ๆ น่าอิจฉาหลิ่วเหวินอี้นักที่มีคนรักจนกระทั่งไม่ห่วงใยชีวิตตัวเองเช่นนี้
    
             “เปล่าประโยชน์ ที่แห่งนั้นใช่ว่าจะเข้าไปได้ง่ายๆ ต่อให้เจ้าเป็นบุตรสวรรค์ก็ตาม ยิ่งเวลานี้เจ้าเป็นมนุษย์ยิ่งแล้วใหญ่ แต่ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง เพียงแต่...” ฟางเทียนฟงเอ่ยตอบอย่างจริงจัง หางทั้งเก้าแกว่งไปมาอย่างช้าๆ อารมณ์ตอนนี้มันยากจะอธิบาย ของที่ตามหาอยู่นั้นมันมีความหมายกับเขามากมายยิ่งนักขณะเดียวกันมันเหมือนชีวิตอีกครึ่งหนึ่งของเขาด้วยซ้ำ
    
              ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่วหน้ามองคนตรงหน้าอย่างระวังขณะเดียวกันก็คิดตามคำพูดของอีกฝ่าย แม้จะฟังดูแปลกประหลาด แต่สิ่งที่มั่นใจคือคนตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์ พลันนั้นหวนคิดถึงคำทำนายช่วงท้าย “ถูกกักขังในหทัยจิ้งจอกมาร” อีกทั้งคนตรงหน้าสนใจกระบี่หยกขาวของเขาเป็นพิเศษ และยังมีคำกล่าวของอาจารย์ที่เคยบอกว่าความผิดที่หลงรักปีศาจ หรือว่า...
    
             “เจ้าเป็นจิ้งจอกมาร” น้ำเสียงและแววตาเหมือนจะไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายโป้ปดตนเป็นอันขาด ทำให้ฟางเทียนฟงยิ้มออกมาก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่มีคนเรียกเขาเช่นนั้น
    
              “เหตุใดเจ้าถึงได้คิดเช่นนั้น” คำถามและแววตารื่นเริงของคนตรงหน้าทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มที่มุมปากคล้ายได้รับรู้ว่าสิ่งที่ต้องการ และเขากำลังมีชัยที่เหนือกว่า
    
             “ข้อแรกเจ้าต้องการรู้ที่ไปที่มากระบี่หยกขาวของข้า ซึ่งคนที่ให้ข้ามิใช่มนุษย์” เพียงแค่เกริ่นนำฟางเทียนฟงก็ถลาวิ่งเข้ามาหาด้วยความตื่นเต้น หางทั้งเก้าที่อีกฝ่ายไม่เห็นส่ายไปมาอย่างรวดเร็ว มือเรียวจับมือลั่วเหยียนเจิ้งเขย่าไปมาอย่างอดทนเก็บซ่อนงำความดีใจไว้แทบไม่ไหว
    
           “ฝู่ซาน! เจ้าเห็นฝู่ซานใช่หรือไม่ ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน” ลั่วเหยียนเจิ้งยืนนิ่งอย่างอึ้งๆ เมื่อเห็นกิริยาเปลี่ยนไปของคนตรงหน้า ดวงตาสีฟ้ามีหยาดน้ำตาเอ่อล้นออกมาด้วยความดีใจจนทำให้คนที่ไม่เคยสนใจสิ่งใดอย่างเขาถึงกับไปไม่ถูก แต่คนตรงหน้าหาใช่คนที่เขาจะให้ความสำคัญจึงได้แกะมืออีกฝ่ายออก
    
             “ปล่อย”
    
            “ข้าขอโทษ แต่ได้โปรดบอกข้าทีว่าฝู่ซานอยู่ที่ไหน” ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างครุ่นคิดหากเขาจะเอาเปรียบฟางเทียนฟงเวลานี้จะเป็นการรังแกอีกฝ่ายเกินไปหรือไม่ แต่เขาใช่ว่าจะเป็นคนดี ต่อให้ทำผิดกับอาจารย์ก็ตามแต่หากมันช่วยคนที่เขารักหายได้ก็ขอต่อรองกับจิ้งจอกมารตัวนี้หน่อยแล้วกัน
    
            “หากข้าบอกเจ้าข้าจะได้หยกน้ำค้างพันปีหรือไม่” ฟางเทียนฟงชะงักงัน เพราะความดีใจที่มีเบาะแสของคนรักทำให้ลืมตัวจนถูกอีกฝ่ายอยู่เหนือกว่า แต่เรื่องนี้เขาก็มีความผิดที่เป็นต้นเหตุ ทว่ามันต้องแลกมาด้วยชีวิตครึ่งหนึ่งของเขาเหมือนกัน
    
            “เช่นนั้นข้าคงต้องแลกชีวิตข้ากับคำตอบแล้วละ”
    
            “หมายความว่าเช่นไร” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามเมื่อรู้สึกความไม่ชอบมาพากล ดวงตาคมกริบจ้องมองฟางเทียนฟงซึ่งถอยห่างจากเขาไปไกลกว่าหนึ่งเมตร ใบหน้างดงามเงยขึ้นมองฟ้าคล้ายตัดท้อสวรรค์ ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น
    
           “ข้ามีหยกน้ำค้างพันปีก็จริง เพียงแต่มันหลอมรวมกับหัวใจข้าเมื่อหนึ่งพันปีก่อน ยามนั้นข้าบาดเจ็บหนักจากแม่ทัพสวรรค์ซึ่งตามล่าข้า ในคืนที่เหน็บหนาวคนที่ช่วยเหลือข้ามีเพียงผู้เดียว หยกน้ำค้างพันปีที่รักษาได้ทุกอย่างถูกหล่อหลอมกับหยดโลหิตของเทพและถูกฝังอยู่ในหัวใจ คนที่มอบชีวิตใหม่ให้ข้า แต่กลับต้องมารับเคราะห์กรรมแทนข้าทุกอย่าง และเพื่อชีวิตใหม่ที่ถูกมอบให้ข้าจึงใช้ชีวิตที่เหลือให้คุ้มค่ามากที่สุด ในเมื่อสวรรค์พรากคนที่ข้ารักไป ลั่วเหยียนเจิ้งเจ้าช่วยตอบข้าได้หรือไม่ว่าข้าควรเลือกทางไหนระหว่างทิ้งชีวิตที่เหลือให้กับสหายที่รู้จักได้ไม่นานกับเก็บชีวิตเพื่อตามหาคนที่ข้ารักต่อไป”
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งอึ้งไปกับความจริงที่ได้รับ แสดงว่าหยกน้ำค้างพันปีมิใช่หาง่ายๆ แม้กระทั่งที่แดนเซียนเองก็ตาม ความเจ็บปวดทั้งแววตาและน้ำเสียงของฟางเทียนฟงในเวลานี้ทำให้เขารู้สึกเจ็บไม่แพ้กัน เขารู้แล้วเหตุใดอาจารย์ถึงชอบไปนอนเหม่อใต้ต้นดอกเหมยแดงทุกเช้า บ้างก็นอนอาบแดดจนตะวันลาลับขอบฟ้าไปก็ไม่ยอมลุกไปที่ใดจนกระทั่งเขาไปหา เขามองร่างโปร่งที่เหมือนแก้วใสที่ราวจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าทางเลือกไหนฟางเทียนฟงก็จะไม่ได้พบเจอคนที่รักอีกครั้ง
    
             “เจ้าอยากได้คำตอบแบบไหน จากหัวใจข้าหรือคุณธรรมที่แทบไม่หลงเหลือในใจข้าละฟางเทียนฟง”
    
             “จากใจเจ้า” น้ำเสียงเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ดวงตาสีฟ้าหันกลับมาอย่างเฝ้ารอคำตอบดวงตาคมกริบที่สะท้อนมานั้นดูว่างเปล่าเย็นชา เพียงแค่นี้เขาก็รู้คำตอบแล้ว
    
             “ข้าอยากให้เจ้ามอบหยกน้ำค้างพันปีให้ข้า” คำตอบที่ไม่เกินจากที่คิดไว้ไม่ได้ทำให้ฟางเทียนฟงแปลกใจแม้แต่น้อย จึงได้เอ่ยถามกลับอย่างใจเย็นเพราะเชื่อมั่นว่าคนอย่างลั่วเหยียนเจิ้งย่อมมีเหตุผลในการตัดสินใจมิเช่นนั้นคงจะเป็นฮ่องเต้มิได้
    
              ทว่าคำตอบนี้กลับทำให้ดวงจิตที่ไม่มีใครมองเห็นถึงกลับสั่นสะท้าน ดวงตาเรียวสวยมองทั้งคู่อย่างตื่นตะลึง มองคนเห็นแก่ตัวอย่างลั่วเหยียนเจิ้งที่ทำตัวโหดร้ายเพื่อให้เขามีชีวิต ขณะเดียวกันชีวิตของฟางเทียนฟงกลับดูเวทนาจนน่าใจหาย และยังถูกซ้ำเติมจากคนโหดเหี้ยมไร้ใจ
    
            “พอจะบอกเหตุผลให้ข้าฟังได้หรือไม่”
    
            “ประการแรกเพราะเจ้าใช้ชีวิตมานานมากแล้ว ประการที่สองเพราะเจ้าไม่มีทางได้พบเจออาจารย์อีกครั้งต่อให้ผ่านไปสักหมื่นปีก็ตาม และสุดท้ายหากจบชีวิตของเจ้าลงสวรรค์อาจปลดปล่อยอาจารย์ออกจากที่กักขังก็เป็นได้ แต่ก็เป็นการคาดเดาของข้าเท่านั้น”
    
             “หมายความว่าไง ฝู่ซานถูกสวรรค์กักขังไว้งั้นหรือ” ดวงตาสีฟ้าตวัดมองพร้อมแรงกดดันทับมาจนแทบทำให้ขยับไม่ได้ ทว่าลั่วเหยียนเจิ้งยังคงยืนนิ่งสีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ก่อนจะกล่าวตอบอย่างใจเย็น
    
             “จะว่าเช่นนั้นก็ได้ ที่แห่งนั้นไม่ได้มืดมิดเหมือนคุกมืดแต่กลับมีพรหมแดนไร้สิ้นสุด กาลเวลาที่หยุดนิ่งหนึ่งปีที่นั่นเท่ากับหนึ่งวันในโลกมนุษย์ ที่ที่ไม่มีผู้คนหรือสัตว์ชนิดใด เจ้าว่ามันทรมานหรือไม่กับความเว้งว้างเดียวดายไม่เห็นผู้ใด อาจจะลืมเลือนผู้คนหรือแม้กระทั่งตัวเองด้วยซ้ำไป อาจารย์ทรมานมามากแล้วฟางเทียนฟงเพราะเหตุใดเจ้าย่อมรู้ดีกว่าผู้ใด”
    
              “ผิดมากหรือที่ปีศาจอย่างข้าจะมีความรักให้เทพสวรรค์” ฟางเทียนฟงเอ่ยถามเสียงเรียบ ทว่าดวงตากลับฉายแววเครียดแค้นชิงชัง ความรู้สึกที่หายไปนานเริ่มกลับมาอีกครั้งราวกับถูกกระตุ้น
    
              ลั่วเหยียนเจิ้งมองตามอย่างเงียบๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยๆ สรุปที่เขากินน้ำส้มสายชูไปนี่โง่เขลาสิ้นดี คนผู้นี้ไม่ได้รักอี้เอ๋อร์ของเขาแม้แต่น้อย หากคนตรงหน้าไม่ใช่คนที่รักของอาจารย์เขาอาจจะลงทุนฆ่าฟันเพื่อแย่งมันมา
    
              “ข้ากับเจ้าไม่มีเรื่องต้องคุยกันอีก ความรักของเจ้าอย่าได้โทษสวรรค์เลย ทำไมไม่รู้จักโทษตัวเองหนึ่งพันปีที่ผ่านมาหากเจ้าบำเพ็ญเพียรไม่ออกมาแฝงตัวอยู่กับมนุษย์คงได้บรรลุเป็นเซียนไปแล้ว” ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวเสียงจริงจังคล้ายกับตำหนิฟางเทียนฟงที่เลือกทางเดินที่ไม่ถูกต้อง
    
               ร่างสูงทะยานจากไปพร้อมผู้ติดตามที่ทำตัวเหมือนไร้ตัวตนมาตั้งแต่แรก เหลือทิ้งเพียงจิ้งจอกมารผู้เดียวซึ่งได้แต่ยืนนิ่งเหม่อออกไปด้วยแววตาที่เจ็บปวด  คำพูดที่ทิ่มแทงหัวใจทำให้เขารู้สึกสูญเสียตัวตน ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวได้ถูกต้อง เขาเดินทางผิดเพราะความชิงชังสวรรค์จึงมิอาจเข้าสู่บำเพ็ญเพียรได้ หากตนปล่อยวางและเข้าฌานมาตั้งแต่แรก เขาอาจจะพบกับคนที่รัก แต่เวลานี้ทุกอย่างมันอาจจะสายเกินไปแล้ว
    
              ข้าจะเลือกหนทางไหนดี ...ฝู่ซาน
    
              สายลมพัดผ่านรอบตัวอย่างแผ่วเบาแต่กลับอบอุ่นในหัวใจ เสียงสายลมคล้ายจะบอกว่าข้าจะอยู่กับเจ้าเสมอ ทำให้ฟางเทียนฟงน้ำตาไหลริน ดวงตามองไปยังเงาร่างลั่วเหยียนเจิ้งที่เลือนหายไป ร่างโปร่งสีขาวเลือนหายไปจากที่เคยอยู่พร้อมการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของชีวิต...
    
              ลางสังหรณ์เลวร้ายย้ำเตือนให้หลิ่วเหวินอี้ติดตามฟางเทียนฟงไป ร่างโปร่งเลือนหายไปทว่าในใจร้องเตือนว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะเห็นฟางเทียนฟง เร็วเท่าความคิดร่างโปร่งใสดั่งดวงวิญญาณไล่ติดตามจิ้งจอกเก้าห่างไปอย่างกังวล เขากวาดมองรอบด้านที่มีอาคารน้อยใหญ่ตระการตาแล้วนิ่วหน้าครุ่นคิดนี่คงเป็นพรรคจิ้งจอกมาร แม้จะไม่เคยมาแต่ก็มีความเป็นไปได้สูง เขาติดตามฟางเทียนฟงไปอย่างใกล้ชิดและเหมือนเจ้าตัวจะรู้สึกว่ามีคนตามเพราะใช้สายตากวาดมองรอบกายแต่ก็ไม่สิ่งผิดปกติใดๆ จากนั้นจึงเดินเข้าสำนักไปอย่างรวดเร็ว
    
             หลิ่วเหวินอี้มองฟางเทียนฟงสั่งงานผู้อาวุโสสามท่านภายในห้องพักอย่างเรียบง่าย ทว่าชายชราทั้งสามตรงหน้ากลับมีสีหน้าเศร้าใจเหมือนลูกหมาโดนทิ้ง จากที่ฟังพวกเขาก็พอรู้ว่าฟางเทียนฟงไม่ใช่มนุษย์และยังเลี้ยงดูพวกมันมาตั้งแต่เด็ก ฟางเทียนฟงกล่าวสั่งลาและไม่ต้องตามหา บอกว่าจะเข้าฌานมุ่งหน้าการบำเพ็ญเพียรตัดขาดจากโลกมนุษย์ทั้งปวง แต่นั่นเป็นข้ออ้างเท่านั้นหัวใจที่ด้านชารู้สึกหน่วงในอก เขาไม่ต้องการให้ผู้ใดเอาชีวิตมาแลก อีกอย่างเขาเพิ่งรู้จักฟางเทียนฟงไม่นานเหตุใดต้องช่วยชีวิตเขาด้วย
    
             หลิ่วเหวินอี้มองฟางฟางเทียนฟงจัดการธุระภายในพรรคเป็นเวลาสามวัน ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงแคว้นลั่วหยาง ทว่าดวงจิตที่แอบติดตามฟางเทียนฟงมาหลายวันกลับไม่สามารถเข้าไปในวังหลวงลั่วหยางได้ แต่กลับมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายลั่วเหยียนเจิ้งเหมือนเดิม ดั่งทุกอย่างถูกลิขิตไว้ไม่ให้รับรู้มากไปกว่านี้  ในเมื่อสวรรค์ลิขิตมาเช่นนี้เขาจึงได้แต่ทำใจยอมรับแม้จะมีสิ่งที่ค้างคาใจว่าเพราะเหตุใดก็ตาม
    
             ดวงตาเรียวสวยมองลั่วเหยียนเจิ้งที่กำลังสู้อยู่กับนักฆ่าใบ้กลุ่มหนึ่งอย่างโหดเหี้ยม เวลานี้ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากตามดูเงียบๆ ทว่าเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ทำให้หัวใจที่เหน็บหนาวอบอุ่นขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ขณะเดียวกันมันกลับเปิดใจรับจิ้งจอกมากเล่ห์ผู้นี้เขามาในหัวใจทีละน้อยๆ จนกลัวว่าสักวันเขาจะหลงรักลั่วเหยียนเจิ้งจนหมดหัวใจ...



     เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อน๊าาา :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:

ออฟไลน์ SaJung13

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1057
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
รอเสมอจ้าไม่ต้องห่วงนะจะตามติด
ชนิดติดขอบจอโทรศัพท์เลย
อ่านแล้วติดมากๆเลยคะ อยากอ่านแบบ
ไม่หยุดพักอ่ะ มันค้างคาในใจมาก

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่31หยกน้ำค้างพันปี(P.7วันที่ 19/6/59)


             ร่างโปร่งในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ปรากฏตัวภายในห้องบรรทมลั่วเหยียนเจิ้งอย่างเงียบงัน ในยามวิกาลที่มืดมิดภายในห้องมีเพียงเชิงเทียนตั้งอยู่มุมห้องทำให้เห็นร่างโปร่งในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนนอนนิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเผือดไร้สีสันเหมือนดังเคย บนคานไม้มีองค์รักษ์หน้าหวานที่เรียกขานว่าหลวนซานเพียงแค่มนต์มายาร่างสีดำนั้นก็หลับนิ่งไป บัดนี้จึงเหลือเพียงแค่ฟางเทียนฟงกับหลิ่วเหวินอี้สองคนเท่านั้น
    
             ฟางเทียนฟงเดินเข้าไปหาร่างโปร่งพร้อมเปิดเสื้อดูบาดแผลน้อยใหญ่อย่างพิจารณา ดูเหมือนหนอนพิษแดงได้รักษาหายขาดเหลือเพียงพิษโลหิตกลืนกินที่วิ่งพล่านทั่วเส้นลมปราณ มันเหมือนมีสัญชาตญาณสัมผัสถึงสิ่งเลวร้ายสำหรับตัวมันถึงได้หดตัวเหลือเล็กเพียงเท่าเม็ดถั่วซ่อนเร้นทำตัวกลมกลืนไปกับสายโลหิต แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่อาจพ้นสายตาจิ้งจอกเก้าหางที่มีตบะสองพันปีไปได้
    
             นิ้วเรียวเขี่ยเส้นผมสีดำเงางามออกจากใบหน้าเผยให้เห็นใบหน้างดงามได้อย่างชัดเจน ดวงตาเรียวมองคนนอนไร้สติอย่างนิ่งงัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตนถึงไม่อยากให้หลิ่วเหวินอี้ตาย หรืออาจเป็นเพราะดวงตาล้ำลึกคู่นี้ที่ไม่แยแสต่อสิ่งใด มีชีวิตโดดเดี่ยวเช่นเดียวกับตนเอง คนที่ใครต่อใครเรียกว่าขยะไร้ค่า แต่กลับมีค่าเหนือกว่าผู้ใด หากหัวใจไม่ได้มีความรักที่ซื่อสัตย์ต่อเทพสวรรค์เขาคงรักคนตรงหน้าที่มีแรงดึงดูดไม่ต่างจากฝู่ซานจิตวิญญาณที่อ่อนโยนและเย็นเยือกคล้ายกันนั้นเป็นสิ่งดึงดูดใจตั้งแต่แรกเห็น
    
            “เหวินอี้ข้าขอโทษที่ไม่ได้บอกความจริงเรื่องมารดาของเจ้า สตรีผู้นั้นไม่เหมาะสมจะเป็นมารดาของเจ้าที่ข้าไม่บอกเจ้าเพราะนางขายจิตวิญญาณให้กับปีศาจไปแล้ว ต่อให้ยืนอยู่ตรงหน้านางก็ยังไร้ความรู้สึกหากเจ้าไม่รู้ในวันหนึ่งเจ้าจะได้สังหารนางอย่างไม่รู้สึกผิด แต่ข้าคิดผิดตั้งแต่แรกทำไมเจ้าถึงพิเศษกว่าผู้ใด ทำไมเจ้าถึงจดจำนางได้”
    
            ฟางเทียนฟงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า ความรู้สึกนี้เหมือนกับคนสำคัญกำลังหายไปอีกครั้ง ความทรงจำที่เขาดึงมาได้แม้เพียงน้อยนิดแต่ก็สามารถคาดเดาไปได้ หากในเวลาปกติเขาคงไม่สามารถดูความทรงจำของหลิ่วเหวินอี้ได้แน่
    
           ดวงตาเรียวเงยหน้าขึ้นจากร่างที่นอนนิ่งเหม่อมองออกยังหน้าต่าง ความมืดยามราตรีในค่ำคืนนี้ให้ความรู้สึกเหงาหว้าเหว้เหลือเกิน อาจเป็นค่ำคืนแห่งการลาจากของเขา หยกน้ำค้างพันปีที่หล่อหลอมกับโลหิตคนที่รักอีกทั้งรวมเป็นหนึ่งของตบะนับพันปีของตนเอง หากไม่มีมันเขาก็เป็นเพียงจิ้งจอกขาวธรรมดาตัวหนึ่งเท่านั้นและไร้ซึ่งสติปัญญาพร้อมความทรงจำใดๆ ทั้งสิ้น แต่คงเป็นทางเลือกที่ดีเพราะตอนนี้เขาเหนื่อยเหลือเกิน...
    
          พลันนั้นฟ้าที่มืดมิดเหนือน่านฟ้าของแคว้นลั่วหยางกลับเกิดปรากฏการณ์อันแปลกประหลาด ท้องฟ้าเกิดเป็นสีขาวสว่างจ้าไปทั่วทุกหนทุกแห่งกาลเวลาคล้ายจะหยุดนิ่ง มีเพียงร่างโปร่งสีขาวเท่านั้นที่ขยับเคลื่อนไหวกระอักสำรอกสิ่งสำคัญออกจากหัวใจ จากนั้นที่เบื้องหน้าของฟางเทียนฟงปรากฏหยกสีเขียวมรกตเป็นรูปหยดน้ำเรืองแสงสีเขียวอ่อนออกมาสว่างไปทั่วห้อง เผยให้เห็นใบหน้าซีดเผือดของผู้เป็นเจ้าของ
    
          “เหวินอี้จงมีชีวิตอยู่เพื่อคนที่รักเจ้า อย่าให้ความช่วยเหลือของข้าสูญเปล่า ตบะของข้าจะทำให้พลังลมปราณเจ้ากลับคืนมา”
    
          น้ำเสียงอ่อนล้าเอ่ยบอกเสียงสั่นพร่า หยาดน้ำตาไหลรินหยดลงบนใบหน้างดงามของผู้ไร้สติ เวลาเหลือเพียงน้อยนิดมิอาจทำสิ่งใดไปมากกว่านี้ ฟางเทียนฟงตวัดมือนำหยกน้ำค้างพันปีที่หล่อหลอมกับตบะของตนเองใส่ลงปากของหลิ่วเหวินอี้ด้วยรอยยิ้มบาง ไม่มีความเสียใจอยู่บนใบหน้า พลันนั้นร่างที่นอนนิ่งเหมือนผักปลาเปร่งแสงสีเขียวอ่อนทั่วทั้งร่างพิษมารโลหิตกลืนกินดิ้นพล่านก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่อยรอย
    
          ฟางเทียนฟงมองผลลัพธ์ที่ได้อย่างพึงพอใจ ร่างโปร่งลุกขึ้นโซเซอย่างอ่อนล้า เวลาเหลือน้อยเต็มทีพลันใดนั้นร่างสีขาวก็ทะยานออกนอกแคว้นลั่วหยางด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่พลังอันน้อยนิดจะเหลืออยู่มุมปากโลหิตไหลซึมออกมา
    
          ตุ๊บ!
    
          พอพ้นเขตเมืองหลวงร่างโปร่งสีขาวก็ร่วงหล่น แม้จะเจ็บเจียนตายทว่าเจ้าตัวกลับยิ้มออกมาคล้ายสมปรารถนาต่อไปนี้ไม่ต้องเฝ้าตามหา ไม่ต้องทุกทรมานกับการรอคอย ไม่ต้องเจ็บปวดกับความรักอีกแล้ว ดวงตาสีฟ้าใสมีหยาดน้ำตาไหลรินออกมาช้าๆ ก่อนจะหลับตาพริ้มอย่างสุขใจ
    
           ร่างโปร่งสีขาวค่อยๆ เปลี่ยนสภาพเป็นจิ้งจอกเก้าหางที่อาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน จากนั้นมันค่อยๆ หดเล็กลงๆ เหลือเพียงจิ้งจอกน้อยสีขาวธรรมดาตัวหนึ่งภายใต้หิมะที่ตกลงมาปกคลุมร่างเล็กที่หลับไหลไร้ความรู้สึกจนแทบเป็นหนึ่งเดียวกับสีหิมะ พลันนั้นแว่วเสียงเพลงไร้ที่มาดังสะท้อนทั่วหุบเขาเพื่อปลอบประโลมหัวใจที่เหน็บหนาวเดียวดาย
    
            ปลดปล่อยข้าจากการรอคอยที่ไม่มีวันสิ้นสุด
    แม้ดาวจะตกหรือพายุจะพัด
    ในที่สุดข้าก็จะกอดเจ้าไว้ในอ้อมแขนของข้า
    หัวใจสองดวงของเราจะเต้นไปพร้อมกัน
    เชื่อข้าเถอะว่าหัวใจของข้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
    ต่อให้รออีกหลายพันปี...
    เจ้าจะมีคำสัญญาของข้า
    แม้ลมหนาวจะเหน็บหนาวข้าจะไม่ยอมให้เจ้าจากไป...
    
           แว่วเสียงเพลงขับขานจบลงพลันใดนั้นสองเท้าเปล่าเปลือยของใครคนหนึ่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าจิ้งจอกน้อย อาภรณ์สีขาวขลิบทองดูสง่า สูงส่งดุจมิใช่มนุษย์ สองมืออุ้มจิ้งจอกน้อยขึ้นมาในอ้อมกอดอย่างถนุถนอมพร้อมรอยยิ้มที่งดงามคล้ายภาพลวงตา
    
           สิ้นสุดแล้วไซร้กับการรอคอยที่เนิ่นนาน...
    
           จิวชงหยวนเงยหน้ามองปรากฏการณ์บนท้องฟ้าด้วยสีหน้านิ่งเฉย ทว่าในใจกลับเต้นระรัวเมื่อรับรู้ความจริงว่านี่เป็นการมอบหยกน้ำค้างพันปีและตบะของตนเองให้กับหลิ่วเหวินอี้ แม้เขาไม่รู้จักจิ้งจอกมารตัวนี้แต่เมื่อรับรู้ความจริงใจและความโดดเดี่ยวของฟางเทียนฟงมันทำให้หัวใจปวดร้าวไม่ต่างไปจากผู้เป็นเจ้าของ แต่นี่เป็นชะตาของสวรรค์ซึ่งลิขิตไว้ทำให้ไม่อาจก้าวก่ายไปได้มากกว่านี้ จึงทำได้แค่ให้กำลังใจเท่านั้น
    
           มือใหญ่ลูบศีรษะอย่างแผ่วเบาจึงเงยหน้าไปมอง ดวงตาเย็นนิ่งของลู่เฟยในเวลานี้เขาไม่อาจรู้ว่าคิดการใดอยู่ หากเจ้าตัวไม่แสดงออกมา เขาที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคงอ่านไม่ออก
    
           “มันจบแล้ว” น้ำเสียงอ่อนนุ่มเหมือนปลอบประโลมความรู้สึกผิดในใจทำให้จิวชงหยวนยกยิ้มบางเบา ก่อนจะเหม่อมองแสงสว่างที่จางหายไปเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ในเวลาต่อมากลับมีหิมะแรกของฤดูโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย เหมือนมันกำลังชะล้างความรู้สึกเศร้าหมองให้หายไป
    
           “ลู่เฟยเหตุใดฟางเทียนฟงถึงยอมละทิ้งตบะและสิ่งสำคัญให้กับหลิ่วเหวินอี้” จิวชงหยวนเอ่ยถามลู่เฟยด้วยความสงสัย หากเป็นเพราะความเหนื่อยล้าหัวใจอย่างเดียวก็ไม่น่าจะทำให้ละทิ้งง่ายๆ เช่นนี้
    
           “หลิ่วเหวินอี้อดีตกาลเป็นน้องชายฝู่ซานจึงมีกลิ่นไอเหมือนกัน ฟางเทียนฟงเห็นยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บปวดอีกทั้งลั่วเหยียนเจิ้งไปพูดกระตุ้นความรู้สึก จึงได้เลือกเส้นทางนี้” จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เรื่องราวที่ซับซ้อนล้วนแล้วเป็นชะตากรรมของบุคคลที่ร่วมทำบุญและบาปมาร่วมกันทั้งสิ้น
    
          “พรุ่งนี้ข้าจะส่งข่าวไปบอกลั่วเหยียนเจิ้ง เพราะเราต้องไปแล้ว”  จิวชงหยวนพยักหน้ารับอีกครั้ง ก่อนจะหมุนกายเดินไปดูอาการหลิ่วเหวินอี้พร้อมกับลู่เฟยอีกครั้งก่อนจะออกเดินทาง เพราะพวกเขาเองก็ยังมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ หนทางการเป็นเซียนนั้นอีกยาวไกล
    
          เส้นทางของแต่ละคนไม่เหมือนกันล้วนแล้วว่าจะเลือกเดินไปในทางที่ถูกต้องหรือไม่  แต่ไม่ว่าจะเลือกทางใดชะตากรรมของแต่ละคนก็มิอาจหลุดพ้นไปได้ มีเพียงหัวใจที่เข้มแข็งและยึดมั่นเท่านั้นถึงจะให้ประสบสำเร็จกับสิ่งที่มุ่งหวัง แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ตาม...
    
           หลิ่วเหวินอี้รู้สึกเจ็บที่หน้าอกอย่างไม่มีสาเหตุ เสียงเศร้าหมองของฟางเทียนฟงกัดกร่อนภายในใจ ร่างโปร่งคล้ายวิญญาณเริ่มจางหาย ทว่าใบหน้าที่เย็นชากลับมีน้ำตาไหลออกมาเมื่อรับรู้การสูญเสียสหายคนสำคัญ คนที่เขาไม่เคยไว้ใจ แต่กลับละทิ้งชีวิตเพื่อเขา แม้จะไม่เข้าใจเหตุผลแต่ความจริงใจที่ถูกส่งมาทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก เขาได้ยินคำสั่งสุดท้ายของจิ้งจอกมาร “เหวินอี้จงมีชีวิตอยู่เพื่อคนที่รักเจ้า อย่าให้ความช่วยเหลือของข้าสูญเปล่า ตบะของข้าจะทำให้พลังลมปราณเจ้ากลับคืนมา” นั่นคือสิ่งที่ได้ยินก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมาในร่างของตัวเองในโลกแห่งความเป็นจริงและทำให้รู้ว่า ต่อไปนี้ ไม่มีสหายนามว่าฟางเทียนฟงอีกแล้ว    
    
           “เพราะอะไรเจ้าถึงทำเช่นนี้เทียนฟง” หลิ่วเหวินอี้ลุกขึ้นนั่งเหม่อมองออกยังท้องฟ้าในยามรัติติกาล หัวใจเขาตอนนี้กลับรู้สึกหนักอึ้งและเศร้าหมอง แต่เพื่อไม่ให้ความช่วยเหลือของสหายสูญเปล่าจึงนั่งเดินโคจรภายในร่างกายอีกครั้ง พลังลมปราณภายในร่างดูแปลกใหม่มันดูบริสุทธิ์กว่าครั้งไหนๆ และยังมีพลังวัตรมีมากกว่าร้อยปีอยู่ในร่างด้วย   
    
            ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เมื่อลืมตัวขึ้นมาอีกครั้งจึงได้เห็นจิวชงหยวนและลู่เฟยนั่งมองมาที่เขานิ่งๆ พวกเขาล้วนเป็นผู้มีพระคุณจนชาตินี้ก็คงชดใช้ไม่หมด พิษหนอนแดงเป็นของคุณไสยแต่หมอเทวดาผู้นี้กลับรักษามันได้ แม้กระทั่งคนรักขององค์ชายเก้าก็ยังหายขาด
    
            หลิ่วเหวินอี้ลุกขึ้นพร้อมคุกเข่าขอบคุณด้วยความรู้สึกแท้จริง หลังจากผ่านความเป็นความตายมาอีกครั้ง ทำให้รู้ว่าชีวิตเขามีค่ามากแค่ไหน ชีวิตที่ถูกมอบให้ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมให้ใครมาพรากไปง่ายๆ
    
             “เจ้าจะทำอะไร ลุกขึ้นๆ แม้จะมีคนมากราบข้าบ่อยๆ ข้าก็ไม่ถือแต่สำหรับเจ้าว่าที่ฮองเฮาข้าคงรับการคารวะจากเจ้าไม่ได้” จิวชงหยวนบอกอย่างร้อนรนพร้อมพุ่งมาประคองร่างโปร่งของคนที่เพิ่งฟื้นแต่ใบหน้าและร่างกายกลับแข็งแรงเหมือนที่ผ่านมาเป็นภาพลวงตาเท่านั้น
    
             หลิ่วเหวินอี้เงยหน้าลุกขึ้นตามอย่างว่าง่าย ใบหูแดงเล็กน้อยกลับคำพูดของจิวชงหยวน ดวงตาเรียวเหลือบมองหลวนซานที่ส่งสายตาห่วงใยมาให้ เขาพยักหน้ารับเหมือนจะบอกว่าเขาไม่เป็นไร
    
            “รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง” จิวชงหยวนเอ่ยถามพร้อมตรวจชีพจรไปด้วย ร่างกายที่มีพลังวัตรมากมายจนน่าอิจฉาเพราะการเสียสละของใครบางคน ดวงตาเรียวมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา ใบหน้างดงามไม่ได้สลักไว้ด้วยน้ำแข็งอีกแล้ว มันฉายไว้ด้วยความเศร้าหมองอย่างเปิดเผย
    
            “ข้าสบายดีทุกอย่าง ขอบคุณพวกท่านมาก” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบ พิจารณาทั้งคู่ที่ดูแตกต่างกันรัศมีสีทองที่แผ่ออกมาจากลู่เฟยทำให้มองตามอย่างครุ่นคิด สายตาเขามีปัญหาหรืออย่างไรถึงได้มองเห็นสิ่งที่คนอื่นเขาไม่เห็นกัน
    
           “ดีแล้วที่ไม่เป็นไร ว่าแต่ตอนที่เจ้าสลบเจ้าพอจะรู้อะไรบ้างไหม” จิวชงหยวนลองเอ่ยถามขณะยื่นน้ำชาให้อีกฝ่ายดื่มเพาะสลบไปหลายวันทำให้เสียงแหบแห้งไปบ้าง
    
            หลิ่วเหวินอี้รับมาดื่มอย่างว่าง่ายรอบมองคนถามอย่างครุ่นคิดก่อนจะเหม่อมองออกข้างนอก เขาไม่เคยรู้สึกสูญเสียคนสำคัญ ทำให้ความรู้สึกนี้ยากจะอธิบายตั้งแต่เกิดมาใหม่ในชาตินี้เขาไม่เคยคิดจะไว้ใจผู้ใด เหตุผลที่คบล้วนแล้วแต่ผลประโยชน์ทั้งสิ้น จนกระทั่งผ่านความเป็นความตายมาครั้งนี้ทำให้รู้ว่าแท้จริงแล้วโลกใบนี้ไม่ได้โหดร้ายเสมอไป
    
            “นี่ไม่ใช่จุดจบของฟางเทียนฟงแต่มันเป็นการเริ่มต้นในสิ่งที่เขาเลือกที่จะเดิน” หลิ่วเหวินอี้หันไปมองลู่เฟยที่เอ่ยออกมาเหมือนไปนั่งอยู่กลางใจ ความสูงส่งของอีกฝ่ายทำให้รู้ว่าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจขจัดความเศร้าหมองภายในใจได้แต่ขณะเดียวกันเขากลับรู้สึกยินดีที่ฟางเทียนฟงจะได้พบคนผู้นั้นเสียที
    
           “แสดงว่าเจ้ารู้ทุกอย่าง” จิวชงหยวนลูบคางตัวเองมองสหาย? อย่างพิจารณาก่อนจะพยักหน้ากับตัวเองเหมือนจะเข้าใจ
    
           หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีกและไม่จำเป็นต้องพูดเมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าล้วนไม่ใช่คนธรรมดา เมื่อทุกอย่างเป็นไปได้ดีจิวชงหยวนและลู่เฟยก็ขอตัวออกเดินทางและให้รอลั่วเหยียนเจิ้งที่นี่ซึ่งเขาเองก็ยังไม่คิดจะกลับไปตอนนี้ หลังจากที่ทั้งคู่ออกจากห้องไปหลวนซานก็พุ่งเข้ามาหาพร้อมสำรวจร่างวของเจ้านายอย่างมึนงงเพราะตอนหัวค่ำอาการยังหนักอยู่แต่ตอนฟ้าใกล้สางอาการกลับหายดีแล้ว
    
           “นายน้อยท่านไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหมขอรับ” หลวนซานเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงแต่เมื่อดูลมปราณของเจ้านายกลับต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พลังวัตรมากมายและแน่นหนาเช่นนี้มาจากที่ใด
    
          “ขอบใจเจ้ามาก ข้ายังสบายดี” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มซึ่งทำให้หลวนซานตกตะลึง คำขอบคุณที่ไม่ได้ยินมานานแสนนานยังทำให้ไม่ใจเต้นแรงเท่ารอยยิ้ม ทำให้ใบหน้าและใบหูแดงระเรื่ออย่างเก้อเขิน เพราะนี่อาจเป็นรอยยิ้มแรกที่นายยิ้มมอบให้ ทำให้มันรู้สึกปราบปลื้มยิ่งนัก
    
          หลิ่วเหวินอี้หัวเราะในลำคอเมื่อเห็นรอยยิ้มโง่งมของคนติดตาม ก่อนจะไล่ไปพักผ่อนเพราะขอบตาเจ้าซ้ำจนเป็นหมีแพนด้าแล้ว แต่เหมือนเจ้าตัวจะดื้อดึงพร้อมเอ่ยขึ้นมาอย่างจริงจัง
    
           “นายน้อยขอรับข้าว่าพวกเรากลับนิกายมารฟ้ากันเถอะขอรับที่นี่มันอันตรายเกินไป อีกอย่างอีกาดำเข้ามาช่วยนายน้อยได้ลำบาก” หลวนซานกล่าวอย่างอึกอักใจ เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้กลุ่มอีกาดำโมโหจนแทบจะลุกเป็นไฟ ทุกคนต่างวิ่งพล่านหายาแก้ให้นายน้อยแต่มิอาจทำได้สำเร็จ ทำให้พวกมันรู้สึกไม่อยากให้หลิ่วเหวินอี้อยู่ที่นี่อีกต่อไป
    
            หลิ่วเหวินอี้หรี่ตามองหลวนซานอย่างครุ่นคิด ก่อนที่เขาจะสลบไปนั้นกลุ่มอีกาได้เข้ามาช่วยเหลือด้วยและยังดีเขาไม่ได้สูญเสียพี่น้องไปมีบ้างที่บาดเจ็บสาหัสแต่จิวชงหยวนก็ช่วยรักษาจนหายดีแล้ว
    
         “ส่งข่าวไปบอกพวกเขาว่าข้าหายดีแล้วและไม่ต้องเข้ามาที่วังหลวงอีก แต่ให้สืบหาที่อยู่ขององค์ชายสิบหลิงเซียวกับผู้หญิงคนนั้น” หลิ่วเหวินอี้บอกด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ดวงตาวาวโรจน์ทำให้หลวนซานรอบมองอย่างตื่นตระหนก เพราะครั้งนี้นายน้อยคงคิดจะกวาดล้างพวกมันอย่างจริงจังแทนลั่วเหยียนเจิ้งแล้วสินะ

   “หากสตรีผู้นั้นเป็นมารดาท่านจริงๆ ท่านจะทำเช่นไรขอรับ” หลวนซานถามอย่างระวัง วันนั้นเขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแต่ไม่อาจไปช่วยได้ทันเพราะคืนนั้นไม่ได้ติดตามนายน้อยไปตั้งแต่แรก ครั้งที่โดนแทงหัวใจเขาแทบสลาย คนตรงหน้าเปรียบเหมือนทุกอย่างกับเขา น้องชาย เจ้านายและครอบครัวเพียงหนึ่งเดียว หากสูญเสียไปมันก็ไม่รู้ว่าชีวิตของมันจะเป็นเช่นไรต่อไป
    
          “จับเป็นมาหากทำไม่ได้ก็สังหารซะ” คำตอบที่โหดเหี้ยมและหนักแน่นทำให้หลวนซานกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก เพราะอย่างไรคนผู้นั้นก็เป็นมารดาจะสังหารโดยง่ายอย่างนั้นหรือ    
    
           “หลวนซานชีวิตข้าถูกนางมอบให้แต่นางก็พรากมันไปแล้ว ต่อไปนี้ข้ากับนางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันอีก” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยบอกเสียงเรียบเหมือนจะเข้าใจสีหน้าลำบากใจของผู้ติดตามคนสนิท แม้จะเอ่ยออกมาอย่างง่ายดายใครจะรู้ว่าหัวใจเขาเจ็บปวดมากแค่ไหน แต่ว่า... เขาได้ตายจากไปด้วยน้ำมือของนางแล้ว
    
           “เข้าใจแล้วขอรับ”
    
            หลวนซานรับคำหนักแน่นก่อนจะถอยห่างออกไปทำตามคำสั่ง ปล่อยเหลือไว้เพียงร่างโปร่งลุกขึ้นยืนเหม่อมองท้องฟ้าที่เงียบเหงา ต่อไปนี้เขาจะใช้ชีวิตที่เหลือให้คุ้มค่ากับที่พวกเขามอบให้ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่ร่างกายแต่กลับเป็นหัวใจที่ไม่ได้รู้สึกเดียวดายอีกต่อไป...




   ฝู่ซานค่าตัวแพงเจอกันตอนพิเศษในเล่มนะจ๊ะ อิอิ :hao3: :hao3: :hao3:

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 817
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
โอยยยยยมีพิเศษด้านพี่จิ้งเก้าหางมั้ยจ้ะ  แฟนๆพี่จิ้งปวดกระดองจายยยยยย :hao5:

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ SaJung13

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1057
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
สงสารฟางเทียนฟงมากเลยคะ
ขอให้เขาได้ไปเจอคนรักนะคะ

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
ผ่านวิกฤติรอดตายมาแล้ว  อี้เอ่อร์ดูแลตัวเองและรอทำหน้าที่ฮ่องเฮาเลย   สงสารฟางเทียนฟง แต่คิดว่าอย่างน้อยก็ได้อยู่กับคนที่รักเสียทีนะ   

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
รอเวลาที่เจิ้งกับอี้เอ๋อกลับมาเจอกัน

สภาพเจิ้งคงเหมือนศพเดินได้ หักโหมตั้งหลายวัน :hao5:

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่32เปิดใจ...(P.7วันที่ 22/6/59)


             หลิ่วเหวินอี้มองดูรองเท้าสีดำที่ถักทองดงามที่เคยถูกทิ้งและเขาเก็บมันไว้ เวลานี้เขาเลือกที่สวมใส่ การตัดสินใจที่จะลองเปิดใจพิจารณาลั่วเหยียนเจิ้งในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากการฝืนใจแต่อย่างไร หัวใจที่เคยสงบนิ่งกลับสั่นระรัวทุกครั้งเมื่อย้อนคิดไปถึงคนที่เร่งเดินทางกลับมาแคว้นลั่วหยาง คนที่ทำทุกอย่างเพื่อให้เขามีชีวิตรอดแม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากนักแต่ความรักที่บริสุทธิ์ของอีกฝ่ายทำให้ปฏิเสธไม่ลงจริงๆ
    
             “อี้เอ๋อร์” เสียงร้องเรียกพร้อมร่างสูงพุ่งเข้ามากอดหลิ่วเหวินอี้ไว้แน่นจนดิ้นไม่ได้ เวลานี้เขารู้ได้ทันทีว่าตัวเองมีรูปร่างสูสีกับคนตรงหน้าพอให้มีความหวังเล็กน้อยว่ายังสามารถกดลั่วเหยียนเจิ้งลงได้ ร่างโปร่งยืนแข็งค้างเมื่อคิดว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่พ้นผู้ชาย แต่หากเป็นฝ่ายเริ่มก่อนจะได้เปรียบกว่าไหม?
    
            “อี้เอ๋อร์เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ยังเจ็บตรงไหนอีกหรือไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งมองสำรวจร่างโปร่งอย่างพิจารณา มือหนากระชากเสื้ออีกฝ่ายออกเพื่อดูบาดแผลข้างใน หลิ่วเหวินอี้เบิกตากว้างคว้ามืออีกฝ่ายไว้แน่น เขาเพิ่งจะทำใจยอมรับเรื่องนี้แต่นี่มันเร็วเกินไปไหมที่จะ... ใบหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบแม้จะตื่นตระหนกแต่ยังไม่สูญเสียการเป็นตัวเอง
    
           “ข้าสบายดีท่านพี่กลับมาเหนื่อยๆ ควรพักก่อน” หลิ่วเหวินอี้บอกอย่างเป็นห่วงคนตรงหน้าสภาพดูไม่ได้เลยผมเผ้ารุงรังและยังมีหนาดเคราขึ้นจนเขี้ยวครึ้ม ที่สำคัญดวงตาอ่อนล้าของอีกฝ่ายทำให้อดที่จะห่วงใยไม่ได้    “ให้เจิ้นดูบาดแผลเจ้า” ลั่วเหยียนเจิ้งไม่ยอมแพ้จับมือออก สายตาดื้อรั้นและไม่ยอมเชื่อฟังจนกว่าจะเห็นด้วยตาตนเองทำให้หลิ่วเหวินอี้ยกมือออกอย่างยอมแพ้
    
          ลั่วเหยียนเจิ้งมองแผ่นอกขาวเนียนอย่างตะลึงงัน บาดแผลสาหัสหายไปไม่มีร่อยรอยให้เห็นแม้แต่น้อย และยังสัมผัสได้ถึงลมปราณอันล้ำลึกของอีกฝ่ายและรูปหยดน้ำสีเขียวอ่อนตรงตำแหน่งหัวใจ ดวงตาคมหรี่มองอย่างครุ่นคิดครู่หนึ่งเหมือนรับรู้ที่ไปที่มาของมัน นิ้วมือไล้ตามหน้าอกยาวลงมาจนถึงหน้าท้องซึ่งเจ้าของร่างเวลานี้ได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อจนน่ากลั่นแกล้ง มุมปากยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ขณะนิ้วสำรวจร่างขาวผ่องมีกล้ามเนื้อพองามอย่างหาผลกำไรเล็กๆน้อยๆ ความกังวลที่ผ่านมาคลายลงเมื่อเห็นว่าหลิ่วเหวินอี้ยังอยู่สบายดีและยังมีพลังลมปราณมากกว่าเขาตอนนี้เสียอีก
    
           “ท่านกำลังลวนลามข้า” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยบอกเสียงเรียบแม้ภายในใจตอนนี้กำลังเต้นระรัว ดวงตาคมเงยขึ้นจากอกมามองหน้าเขา แววตาเร่าร้อนของอีกฝ่ายทำให้ใบหน้าที่เรียบเฉยแดงระเรื่อ
    
           “อือ” เสียงที่ตอบรับกลับมาพร้อมสีหน้าไม่ได้สำนึกกับสิ่งที่กระทำอยู่ทำให้หลิ่วเหวินอี้ถอนหายใจอย่างระอาก่อนจะดึงเสื้อขึ้นกลับมาใส่ไว้เหมือนเดิม
    
            หมับ
    
            หลิ่วเหวินอี้สะดุ้งน้อยๆ เมื่อร่างตัวเองถูกรวบเข้าหาอกแกร่งของลั่วเหยียนเจิ้งอีกรอบ เขานิ่วหน้าน้อยๆ รู้สึกว่าช่วงนี้คนที่กอดเขาแน่นในเวลานี้เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ทั้งร่างกายและจิตใจ
    
           “หลิ่วเหวินอี้สัญญากับเจิ้นว่าชีวิตที่เหลือของเจ้าจะปกป้องมันไว้จนสุดความสามารถ จะไม่ให้ผู้ใดพรากมันไปอีก” น้ำเสียงที่สั่นพร่าและร่างที่สั่นเล็กน้อยทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่งไป ความรู้สึกห่วงใยของอีกฝ่ายเขารับรู้ดีอีกทั้งความพยายามทุกวิธีทางที่คนตรงหน้าพยายามที่จะช่วยเหลือตน ใบหน้างดงามยกยิ้มบางก่อนจะพูดหยอกเย้าด้วยน้ำเสียงอ่อนลงกว่าปกติ
    
            “ไม่ใช่ว่าท่านต้องบอกว่าจะปกป้องชีวิตที่เหลือของข้าหรอกหรือ”
    
            “นั่นเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่เวลานี้วรยุทธข้าด้อยกว่าเจ้ามากเห็นทีข้าต้องหมั่นฝึกฝนมากกว่าเดิม” ลั่วเหยียนเจิ้งปล่อยคนในอ้อมกอดพร้อมตอบกลับอย่างจริงจัง แต่ต้องนิ่วหน้าเมื่อรับรู้ว่าวรยุทธของเขามันด้อยกว่าอีกฝ่ายอย่างน้อยก็ตั้งสองขั้น เขาดูถูกพลังวัตรของฟางเทียนฟงไม่ได้จริงๆ หากเจ้าตัวคิดจะเก็บเขาจริงๆ คงได้ฝังอยู่ในสุสานไปนานแล้ว
    
             หลิ่วเหวินอี้ยกยิ้มบาง พลังวัตรของจิ้งจอกสองพันปีจะอ่อนด้อยได้อย่างไร หากเทียบกับมนุษย์ธรรมดามันก็เหนือกว่ามากแต่กับคนตรงหน้านับว่าความห่างชั้นไม่เยอะเท่าไหร่ เพราะเจ้าตัวมีไข่มุกพันปีอยู่ในร่างทำให้วรยุทธสูงส่งขึ้นมากกว่าคนปกติเป็นธรรมดา
    
            “ท่านไปอาบน้ำก่อนเถอะ ข้าทำของโปรดไว้ให้” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงเรียบแต่ความอ่อนโยนที่สัมผัสได้ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งใจสั่นระรัว ความรู้สึกอยากกอด อยากจูบคนตรงหน้าถาโถมเข้ามาในใจจนแทบสะกดกลั้นไม่ไหว ดวงตาเรียวสวยไม่ได้เย็นชาเหมือนที่ผ่านมาทำให้รู้สึกแปลกใจไม่น้อยว่า เพราะอะไรทำให้อีกฝ่ายลดความทิฐิลงมาได้มากถึงเพียงนี้ แต่ไม่ว่าสีหน้าแบบไหนมันก็ทำให้ไม่อยากละสายตาออกไป แต่คำว่าของโปรดทำให้ตาคมกริบวาวขึ้นมาทันที
    
            “ข้าทำเป็นแต่บัวลอยไข่หวานและก็พายองุ่น” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยดักคอ เขาทำอาหารฝรั่ง อาหารไทยและขนมหวานได้แต่อาหารจีนเขาทำไม่เป็น แม้จะมีโรงเตี๊ยมของวิหคดำแต่ก็ไม่ได้เก่งกาจไปเสียทุกเรื่อง
    
            “เดี๋ยวข้ามา” ลั่วเหยียนเจิ้งหายวับไปด้วยความเร็วทำให้หลิ่วเหวินอี้หัวเราะออกมาเบาๆ ไม่คิดว่าจะเห็นแก่ของหวานมากขนาดนี้ แต่เอาเถอะอีกฝ่ายผ่ายผอมไปมากเพราะมัวแต่วุ่นวายเรื่องของเขามานานสองสัปดาห์จนแทบไม่ได้หลับได้นอน ตอบแทนแค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้หนักหนาอะไร จากนั้นจึงสั่งให้ขันทีนำอาหารที่เตรียมไว้ให้มารอฮ่องเต้ ที่เขารู้วันมาถึงของลั่วเหยียนเจิ้งเพราะจิวชงหยวนกับลู่เฟยบอกเอาไว้จึงได้เตรียมข้าวปลาอาหารที่ชอบไว้รอได้
    
            ผ่านไปสองก้านธูปลั่วเหยียนเจิ้งก็กลับมาที่ห้องโถงภายในตำหนักมังกรอีกครั้ง ใบหน้าคมคายถูกทำความสะอาดอย่างดีกลับมาดูหล่อเหลาเหมือนเดิม เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่สง่างามไม่ต่างจากเมื่อก่อนเพียงแต่ตรงโหนกแก้มหายไปมากโขน้ำหนักคงหายไปหลายกิโล หลิ่วเหวินอี้ถอนหายใจเมื่อคิดว่าตนเป็นปัญหาจึงได้แต่เรียบเรียงอาหารวางลงจานคนตรงหน้าอย่างเอาใจ รอยยิ้มจริงใจของฮ่องเต้ในเวลานี้ทำให้หน้าร้อนผ่าว
   
           ทั้งคู่นั่งทานข้าวกันอย่างเงียบๆ เรื่องที่ผ่านมาไม่มีใครเอ่ยถามใครให้ลำบากใจ บรรยากาศรอบกายไม่ได้ดูอึดอัดทว่ามันกลับอบอวลไปด้วยสีชมพูจนองครักษ์ผู้ติดตามต่างหลบห่างไปอย่างรวดเร็วเพราะไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศเช่นนี้มาก่อน
    
            อาหารเลิศรสตรงหน้าทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งตั้งใจทานอย่างช้าๆ เพื่อรับรู้รสชาติของอาหารแม้มันจะเป็นของพ่อครัวคนเก่าๆ ภายในวังแต่คนที่ตักให้คือคนที่เขารักทำให้มื้อนี้เจริญอาหารมากกว่าครั้งไหน ตะเกียบคู่ในมือคีบกินได้เรื่อยๆ แม้จะถูกวางกับข้าวจนพูนจานเจ้าตัวก็ไม่ได้ปริปาก แต่ในที่สุดกระเพาะในท้องเหมือนจะมาสุดทางตัน แต่อาหารหวานยังไม่ได้แตะแม้แต่น้อยจึงได้วางตะเกียบลง
    
           “อิ่มแล้วหรือ” หลิ่วเหวินอี้เอ่ยถามอย่างกังวลเพราะแม้จะพร่องไปมากแต่เขาอยากให้อีกฝ่ายทานมากกว่านี้
    
           “เจิ้นอยากทานบัวลอยไข่หวานฝีมือเจ้า” หลิ่วเหวินอี้พยักหน้ารับก่อนจะเรียกขันทีนำของหวานมาตบท้ายรายการมื้อเที่ยง บัวลอยหลากสีดูงดงามน่าทานและยังสอดไส้ด้วยเผือก เขาตักใส่ถ้วยเล็กและยื่นให้อีกฝ่ายอย่างระวัง
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งรับมาพร้อมลองชิมช้าๆ ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเมื่อรสชาติอร่อยกลมกล่อมหอมหวานถูกปากและเริ่มลงมือทานอย่างจริงจัง นานมากแล้วที่เขาไม่ได้ทานบัวลอยไข่หวานแต่ก็ยังจดจำรสชาติได้เป็นอย่างดี แม้จะแตกต่างจิวชงหยวนเล็กน้อยแต่ก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน
    
             อาหารมื้อเที่ยงจบลงด้วยดี ลั่วเหยียนเจิ้งจึงออกมาเดินเล่นนอกตำหนักและเดินชมการก่อสร้างตำหนักเถาฮวาที่สร้างเสร็จเกินครึ่งแล้วเขามองตามอย่างพึงพอใจ ข้างกายมีหลิ่วเหวินอี้เดินเคียงข้างใบหน้างดงามนิ่งเฉยเหมือนทุกครั้งทว่ากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้เย็นชาไร้ใจอีกแล้ว ใบหูแดงเล็กน้อยเพราะเขาจับมือเอาไว้แน่นแม้จะพยายามดึงออกแต่ในเมื่อเขาไม่ยอมจึงได้ปล่อยเลยตามเลย มุมปากยกยิ้มเขารู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกจนอยากอยู่แบบนี้ตลอดไป
    
            “ท่านพี่องค์ชายเก้าท่านจะจัดการอย่างไร” ลั่วเหยียนเจิ้งหยุดเท้ามองคนที่เอ่ยถามขัดบรรยากาศอารมณ์ดีของตนเองแล้วถอนใจยาว ดวงตาคมจ้องมองใบหน้านิ่งเรียบอย่างครุ่นคิดอาจเพราะเรื่องของน้องเก้าเขายังไม่ได้จัดการอย่างจริงจังและกักขังอยู่ในห้องอาญารอรับโทษทัณฑ์
    
           “แล้วเจ้าคิดเช่นไร” ลั่วเหยียนเจิ้งลองเอ่ยถามคนงามตรงหน้าซึ่งคิ้วขมวดมุ่น เหมือนไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ คงจะมีใครขอร้องมาให้พูดกับเขา
    
           “ข้าเป็นคนนอกความจริงไม่อยากยุ่งเรื่องนี้ เพียงแต่ในความคิดของข้าองค์ชายเก้าไม่ได้เลวร้าย” หลิ่วเหวินอี้กล่าวออกมาอย่างเรียบง่าย สังเกตคนข้างกายไปด้วยก่อนจะถอนใจยาวแล้วกล่าวต่ออย่างยอมรับความจริงเพราะสายตาจ้องจับผิดของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้ไม่อยากโป้ปด
    
            “ความจริงองค์ชายสิบห้ามาขอร้องข้าให้ท่านปล่อยองค์ชายเก้าไป” ลั่วเหยียนเจิ้งเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าเพ่ยอวี้จะออกปากให้หลิ่วเหวินอี้ออกหน้าแทนองค์ชายเก้าและยังไม่เคยได้ยินว่าน้องเล็กจะมีความสัมพันธ์อันดีกับลั่วหลิ่งเห้อมาก่อน
    
            “เรื่องนี้เจิ้นตัดสินใจไปแล้วเพียงแต่ยังไม่มีเวลาจัดการเพราะยุ่งเรื่องของเจ้าอยู่” บอกพร้อมแตะมือลงใบหน้าหลิ่วเหวินอี้อย่างถนอมซึ่งเจ้าตัวก็ถอยหลบอย่างไม่ยินยอมให้จับโดยง่าย ดวงตาเรียวสวยมองมาที่เขาอย่างดุๆ ทำให้อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
    
            “ในเมื่อท่านพี่ตัดสินใจไปแล้วข้าคงพูดอันใดมากไม่ได้” น้ำเสียงราบเรียบและยอมรับการตัดสินใจของเขาทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าเขาจะกระทำสิ่งใดจึงอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ คนที่เข้าใจและยอมรับในสิ่งที่เขากระทำนั้นมีน้อยนัก แต่ส่วนมากที่เห็นด้วยล้วนแล้วแต่ทำเพราะความหวาดกลัวทั้งสิ้น
    
           “อี้เอ๋อร์เจ้าเป็นสนมรักของข้าหากเป็นเจ้าจะตัดสินใจอย่างไรดี กับคนที่คิดสังหารตนเองแม้จะไม่ได้เต็มใจแต่ก็ถือว่าเป็นความผิด มิหน้ำซ้ำยังมีกองกำลังลับไว้เป็นของตนเองย่อมถูกมองว่าคิดกบฏแม้จะเป็นพี่น้องร่วมสายโลหิตแต่ก็มิอาจหนีพ้นความผิดได้เจ้าคิดเห็นด้วยเช่นไร”
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งดึงร่างโปร่งมากอดพร้อมเกยคางไว้บ่นบ่าอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้เห็นสีหน้าที่แท้จริง แม้เขาจะเย็นชาโหดร้ายแต่อย่างไรก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น น้ำเสียงที่เอ่ยถามแม้จะราบเรียบแต่คนที่ความรู้สึกไวย่อมสัมผัสถึงความอ่อนไหวในคำกล่าวนั้นได้
    
           หลิ่วเหวินอี้ไม่ได้ผลักร่างสูงออก คำกล่าวของลั่วเหยียนเจิ้งเวลานี้แม้แต่ตัวเขายังรับรู้ความเจ็บปวดไปด้วย หากไม่ลงโทษกบฏขั้นเด็ดขาดก็เหมือนปล่อยให้เหล่าขุนนางได้ใจและจะมีคนทำตามเป็นเยี่ยงอย่าง การที่เป็นฮ่องเต้ต้องเด็ดขาดไม่เช่นนั้นชีวิตตนเองก็จะไม่เหลือ แม้เวลานี้เหล่าขุนนางกบฏจะถูกสังหารไปจนหมดสิ้นทว่ายังเหลือองค์ชายเก้าที่ยังรอรับโทษทัณฑ์และยังมีองค์ชายสิบที่หนีไปได้ซึ่งสักวันคงย้อนกลับมา
    
           “เรื่ององค์ชายเก้าข้ามีหนทางช่วยได้” หลิ่วเหวินอี้จุดประกายความหวังให้ฮ่องเต้ที่ไม่อยากสังหารพี่น้องของตัวเอง หากองค์ชายเก้าไม่ได้มีจิตใจเมตตามาตั้งแต่ต้นลั่วเหยียนเจิ้งคงไม่กังวลใจเช่นนี้
     
            ทันทีที่กล่าวจบลั่วเหยียนเจิ้งกลับยกยิ้มบาง แผนการเรียบง่ายทว่าหากไม่ใช่พลังลมปราณของฟางเทียนฟงคงจะกระทำไม่ได้ ภาพมายาความสามารถใหม่ที่หลิ่วเหวินอี้ทำได้ทำให้เขาตื่นตะลึง แผนการแยบยลในครั้งนี้ยากนักจะมีคนจับได้หากสองสามีนั่นไม่เปิดเผยตัวตน แต่นี่ถือว่าเป็นการกระทำครั้งสุดท้ายที่สามารถมอบให้น้องชายร่วมสายโลหิตได้ ลั่วหลิ่งเห้อหากมิใช่คนจิตใจดีมาตั้งแต่ต้น เขาคงสังหารอย่างไม่ลังเลแต่เพราะอีกฝ่ายไม่อยากมีอำนาจและทะเยอทะยานอยู่อย่างเงียบๆมาโดยตลอดถึงทำให้เขาคิดมากถึงเพียงนี้
    
           ผ่านไปสามวันข่าวการประหารองค์ชายเก้าดังไปทั่วแคว้นลั่วหยางในฐานะกบฏพร้อมกับป้ายประกาศจับตัวองค์ชายสิบดังไปทั่วทุกหัวเมืองกอปรกับเงินรางวัลล่อตาล่อใจให้เหล่าจอมยุทธทั้งหลาย ข่าวเล่าลือนี้ดังไปนานหลายเดือน ทว่าคนที่ทุกคนคิดว่าตายแล้วเวลานี้กำลังสร้างหลักปักฐานอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ในแคว้นจ้าวซึ่งห่างไกลแคว้นลั่วหยางมากกว่าหมื่นลี้ ทั้งคู่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ตกเบ็ดหาปลาอยู่กินฉันสามีภรรยาอย่างมีความสุขไม่มีตำแหน่งองค์ชายและองครักษ์อีกต่อไป มีเพียงเจี่ยงฉางกับเจี่ยงเห้อซึ่งคนในหมู่บ้านเรียกขานว่าสองพี่น้องตระกูลเจี่ยงเท่านั้น...



   ขอบคุณทุกกำลังใจมากค่าา  ใกล้จะหมดสต๊อกที่ฟางเขียนไว้แล้ว มาช้าไปบ้างต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่อย่าเพิ่งทิ้งกันไปนะคะ จุ๊บๆ :bye2: :bye2:


ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
รอเสมอค้าบบบบบ สู้ๆ :hao7:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ anawas

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1

ออฟไลน์ SaJung13

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1057
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
ไม่ทิ้งจ้า รอเสมอนะคะ
สู้ๆนะคะคนเขียน เป็นกำลังใจให้คะ

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
มาจิ้มก่อน เดี๋ยวมาอ่านค่า

ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0

ออฟไลน์ Apple_matinie

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1564
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
 :ling1:
เขิลลลลลลล
แค่กอดก้อฟินได้

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
รอเรื่อยๆ  ค่ะ ิไม่ต้องกังวลนะคะ   ไม่ทิ้งแน่นอน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่33ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว!(P.7วันที่ 23/6/59)


           หลังจากเรื่องวุ่นวายภายในราชสำนักจบลงด้วยดี ภายในวังหลวงยังดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายต่อไป เหล่านางสนมที่หลงเหลือไม่มากนักต่างอยู่กันอย่างสงบ ทว่าในหัวใจของพวกนางล้วนเจ็บปวดเพราะยามนี้ตนเองไม่ต่างจากไม้ประดับต้นหนึ่งของวังหลวงเท่านั้น ฮ่องเต้ไม่เคยเสด็จมาหาตั้งแต่แต่งตั้งพระสนมหวงกุ้ยเฟย ซึ่งเป็นบุรุษที่งดงามเกินกว่าสตรีนางใด เวลานี้พวกนางจึงเหมือนดอกไม้รอวันเหี่ยวเฉาเท่านั้น อีกทั้งไม่กล้าลงมือทำการใดเพราะความโหดเหี้ยมที่พระองค์กระทำให้หวาดกลัวไปจนถึงหัวใจ
    
           มีเพียงพระสนมกุ้ยเหรินหมู่ตานซึ่งเป็นธิดาของแคว้นโจวเท่านั้นที่ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องนี้ นางยังอยู่สุขสบายดีมีรอยยิ้มงดงามสดใสสมวัยสิบหกพรรษา แม้จะมีตำแหน่งสูงกว่าสนมนางในผู้อื่นแต่นางก็ไม่ไปกดขี่ข่มแหงพวกนางเพราะรู้ว่ากระทำไปก็ไร้ประโยชน์ สู้หาความสุขให้ตัวเองในแต่ละวันยังดีกว่า
    
            ร่างบอบบางงดงามในอาภรณ์สีชมพูเดินเล่นภายในอุทยานในตำหนักของตัวเอง ทว่าวันนี้นางเดินมาไกลกว่าทุกวันจึงได้เห็นพระสวามีเพียงในนามและพระสนมหวงกุ้ยเฟยกำลังเดินเล่นอยู่ในอุทยานส่วนพระองค์เช่นกัน สองมือที่จับจูงกันนั้นชวนให้อิจฉา ทว่าพระนางเพียงแค่ยกยิ้มดวงตาพราวระยับ ความเอียงอายบนใบหน้าที่เคยแสดงกลับไม่หลงเหลืออยู่
    
           “พระสนม” นางกำนัลคนใกล้ชิดเอ่ยเรียกอย่างห่วงใยกลัวว่าจะเจ็บปวดกับภาพที่เห็น หมู่ตานเอียงคอมองนางกำนัลด้วยรอยยิ้มสดใสไม่ได้มีทีท่าหึงหวงแต่อย่างไร
    
           “อย่าห่วงเลย แบบนี้ก็ดีแล้ว” หมู่ตานเอ่ยตอบพร้อมหลบมุมต้นไม้แอบมองทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มงาม นางไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรแต่เมื่อเห็นทั้งคู่แสดงความรักต่อกันนางไม่ได้รู้สึกหึงหวงหรือริษยาแต่กลับมีความสุขแบบแปลกๆ ครั้งแรกนางไม่แน่ใจยามที่เห็นเหล่าเสด็จพี่กำลังแสดงความรักให้เหล่าสนมชายในแคว้นโจว ยามนี้นางกลับรู้แล้วว่าตนเองมีความชอบแปลกประหลาด
    
            นางยืนบิดกายไปมาอย่างเขินอายรู้สึกเหมือนร่างจะแตกเป็นชิ้นๆ เมื่อเห็นทั้งคู่น้อมกายหอมแก้มกัน แทบทำให้นางกรีดร้องออกมาได้แต่ปิดปากตัวเองและรีบหลบกลับตำหนักเท่านั้น หากช้ากว่านี้คนทั้งคู่คงรู้ตัวว่ามีคนแอบมอง ร่างบอบบางเร่งรีบจากไปโดยมีสายตาเรียวคมคู่หนึ่งมองตามอย่างเงียบๆ
    
            หลิ่วเหวินอี้ผลักศีรษะคนขี้อ้อนออกจากบ่าตัวเองเหลือบมองตามเงาร่างเล็กที่จากไป ใบหน้าขมวดมุ่นอย่างไม่แน่ใจแต่กิริยาที่เห็นในเวลานี้บ่งบอกได้สตรีที่จากไปเมื่อครู่เป็นสาววายอย่างแน่นอน เพียงแต่เขาไม่คาดคิดว่าในโลกนี้จะมีสาววายอยู่ด้วย เขาส่ายหัวสลัดความคิดในอดีตชาติตัวเองออกเพราะคำว่าสาววายเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับบุรุษ ทว่ายามนี้ชักไม่แน่ใจแล้วว่าตนเองยังเป็นชายแท้หรือเปล่า
    
           “อี้เอ๋อร์เดือนหน้าไปประพาสป่ากับเจิ้นนะ” น้ำเสียงออดอ้อนของคนข้างตัวให้หลิ่วเหวินอี้ถอนหายใจ ความน่าเกรงขามของอีกฝ่ายหายไปหมดหลังจากรู้ใจตัวเอง แม้เขาไม่เคยบอกความรู้สึกให้ลั่วเหยียนเจิ้งรู้ทว่าการกระทำที่อ่อนลงยอมให้หลายส่วนก็น่าจะรู้ได้
    
           “ข้าหมดหน้าที่แล้วจะกลับนิกายมารฟ้า”
    
            หลิ่วเหวินอี้บอกความตั้งใจของตัวเอง แม้จะตกหลุมรักลั่วเหยียนเจิ้งไปแล้วแต่เขาก็ยังมีหน้าที่ของตัวเองไม่อาจอยู่กับอีกฝ่ายได้นานนัก ร่างสูงตัวแข็งทื่อจับข้อมือเขาแน่นมากขึ้นดวงตาคมกริบจ้องมองเขาอย่างจริงจังจนอดที่จะหวาดหวั่นไม่ได้ ทว่าใบหน้ายังคงเรียบนิ่งมองตอบด้วยสายตาเรียบเฉยจนทำให้คนมองมาหงุดหงิด
    
           “อี้เอ๋อร์เจ้าจะทิ้งเจิ้นเช่นนั้นหรือ” น้ำเสียงเคร่งขรึมและดวงตาคมที่มองมาทำให้หลิ่วเหวินอี้เบือนหน้าหนี แม้จะชอบลั่วเหยียนเจิ้งแต่ไม่อาจจะอยู่ที่นี่ได้ เขาไม่ใช่นกและไม่ชอบการถูกกักขังให้อยู่แต่ในกรงทองถึงจะสุขสบายแต่ก็ไร้อิสระ
    
            แต่หากเขารักคนตรงหน้ามากกว่านี้อาจทำให้ยอมอยู่ที่นี่ก็ได้ เพียงแต่เวลานี้เขายังไม่พร้อมที่จะละทิ้งทุกอย่างเพื่อลั่วเหยียนเจิ้ง เช่นเดียวกับฮ่องเต้ที่ไม่มีทางละทิ้งทุกอย่างเพื่อเขา เป็นถึงองค์จักรพรรดิของแคว้นลั่วหยางจำต้องมีผู้สืบทอดสกุล แต่เขามิได้ใจกว้างเป็นแม่พระที่จะให้คนที่รักไปมีหญิงอื่นเพื่อมีลูกสืบทอดบัลลังก์ สู้ออกไปยามนี้เสียยังดีกว่า
    
           “ท่านพี่เหยียนเจิ้งเวลานี้ข้อตกลงเราสิ้นสุดแล้ว อีกทั้งข้าไม่มีความจำเป็นต้องรู้เรื่องกระบี่หยกขาวอีกแล้ว” หลิ่วเหวินอี้บอกเสียงจริงจังทว่าประโยคสุดท้ายกลับเบาหวิวเมื่อนึกถึงคนที่มอบชีวิตใหม่ให้กับตนเอง
    
           ลั่วเยียนเจิ้งมองตามร่างโปร่งอย่างนิ่งงัน มือหนากำข้อมืออีกฝ่ายไว้แน่น เขาไม่อยากปลอยมือคู่นี้เด็ดขาดต่อให้แลกสิ่งใดก็ยอม ดวงตาคมมองคนเย็นชาด้วยหัวใจปวดร้าวความเย็นชาห่างเหินที่หลิ่วเหวินอี้มองมาทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก แต่เขาไม่อยากให้จบลงเช่นนี้
    
           “ที่ผ่านมาเจ้าไม่ได้รู้สึกเช่นเดียวกับเจิ้นบ้างหรือ” น้ำเสียงเจ็บปวดของคนตรงหน้าทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่งเงียบ หากเขายอมบอกความจริงไปอีกฝ่ายจะแก้ปัญหาเช่นไร แต่เขาอยากลองบอกดูสักครั้ง
    
           “แม้ข้ากับท่านจะรู้สึกเช่นเดียวกันแต่แล้วอย่างไรเพราะว่าข้ามิได้ใจกว้างให้คนที่ข้ารักมีสตรีหรือบุรุษอื่นอีก ที่สำคัญแม้ข้ากับท่านจะรู้สึกตรงกันแต่ข้ามิอาจมีบุตรให้ท่านได้สืบทอดบัลลังก์ หนทางดีที่สุดคือท่านกับข้าอย่าได้พบเจอกันอีกเลย”
    
            “ไม่” ลั่วเหยียนเจิ้งคว้าร่างโปร่งมากอดไว้แน่นพร้อมปฏิเสธการพบเจอกันอย่างจริงจัง แม้คำพูดของหลิ่วเหวินอี้จะมีมากมายแต่คำว่า “คนที่ข้ารัก” กลับฝั่งแน่นในใจจนไม่สามารถกระทำตามที่อีกฝ่ายต้องการได้
    
            “อี้เอ๋อร์เจิ้นปล่อยเจ้าไปไม่ได้ ได้โปรดอย่าทิ้งเจิ้นเช่นนี้” น้ำเสียงสั่นพร่าและร่างที่สั่นสะท้านออกมาทำให้หลิ่วเหวินอี้ยืนนิ่งอย่างคิดไม่ตก เขายังมีพี่น้องอีกาดำรออยู่และยังมีวิหคดำที่ไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนนานมากแล้วที่สำคัญปัญหาภายในนิกายมารฟ้าก็ยังไม่ได้แก้ไข
    
            “หากเจ้ายังดื้อรั้นเจิ้นจะหนีตามเจ้าไป!” น้ำเสียงจริงจังและดวงตาคมกริบแน่วแน่ทำให้หลิ่วเหวินอี้อึ้งไปครู่ใหญ่ เขามองคนตัวโตแต่ตัวแต่ไร้สมองอย่างปวดหัวคิดว่าตัวเองเป็นแค่สามัญชนหรืออย่างไร
    
            “ท่านเป็นฮ่องเต้อย่ากระทำอันใดไร้เหตุผลเช่นนี้สิ” หลิ่วเหวินอี้บอกอย่างเหนื่อยใจ รู้สึกว่าตัวเองเป็นตาแก่ขึ้นทุกวันขณะอยู่กับคนเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการ ไม่รู้ว่าในใจคิดการใดอยู่ถึงกล่าวออกมาเช่นนี้
    
           “แต่เจิ้นรักเจ้าจริงๆ นะอี้เอ๋อร์ เจิ้นไม่เคยมีความสึกเช่นนี้กับใครมาก่อน หากไม่มีเจ้าเจิ้นคงอยู่ไม่ได้”       คำบอกรักอย่างไร้ความหวานแต่กลับทำให้ใบหน้างดงามแดงระเรื่ออย่างเก้อเขิน ตอนนี้หลิ่วเหวินอี้จนคำพูดไม่รู้จะหาข้ออ้างใดมาสลัดคนตรงหน้าทิ้ง ความรู้สึกตอนนี้เขายังไม่ได้ลึกซึ้งจึงยังสามารถตัดใจได้แต่หากนานไปกว่านี้เขากลัวว่าจะถอนตัวไม่ขึ้นและสุดท้ายคนที่เจ็บปวดก็เป็นเขาเอง
    
            “อี้เอ๋อร์หากเจ้ากังวลเรื่องบุตร ข้าสัญญาว่าจะมีบุตรกับเจ้าเพียงผู้เดียว” น้ำเสียงและรอยยิ้มอ่อนโยนทำให้หลิ่วเหวินอี้ทำหน้าไม่ถูก ลั่วเหยียนเจิ้งสติไม่ดีแล้วหรืออย่างไรผู้ชายที่ไหนจะมีบุตรได้ ยิ่งพูดไปเขายิ่งรู้สึกมึนงงเหมือนโดนหลอกล่อให้ตกหลุมพรางของอีกฝ่ายอย่างมึนๆ และไม่รู้ว่าตกปากรับคำอย่างไรเขาถึงได้ยังอยู่ภายในวังหลวงและที่สำคัญยังอยู่ห้องเดียวกับฮ่องเต้ผู้มากไปด้วยเล่ห์กล

    
           ลั่วเหยียนเจิ้งเหลือบมองคนงามขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ใบหน้าเคร่งเครียดจนอดที่จะขำออกมาได้ สองวันก่อนเขาหลอกล่อคนงามให้ตกลงปลงใจอยู่ในวังหลวงด้วยโดยใช้ความใจอ่อนอีกฝ่ายทั้งหลอกล่อให้เห็นใจทั้งข่มขู่สารพัดจนยอมตกลง “พอได้แล้ว ตกลงข้าจะอยู่กับท่านเลิกทำให้ข้าปวดหัวเสียที” ทันทีที่อีกฝ่ายกล่าวมาเช่นนั้นเขาก็รีบให้อีกฝ่ายเอ่ยปากสัญญาจนประสบผลสำเร็จ
    
            มือหนาตวัดพู่กันขีดเขียนราชโองการและราชกิจอย่างอารมณ์ดี เขาได้หอบงานมาทำในห้องบรรทมซึ่งมีคนงามมานอนด้วย เพียงแค่มีคนนอนกอดในยามค่ำคืนก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาหลายส่วน ทว่าคนโดนกอดจะดูไม่ชอบใจนักเพราะขอบตาดำช้ำอาจเพราะนอนไม่เต็มอิ่มมาสองวันแล้ว
    
            “อี้เอ๋อร์มาฝนหมึกให้เจิ้นหน่อยสิ” ลั่วเหยียนเจิ้งเรียกคนงามที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงไม่ห่าง แม้จะง่วงนอนแต่กลับไม่หลับ ขณะที่เขานอนหลับฝันดีเมื่อมีร่างอุ่นๆ ของคนรักในอ้อมกอด ใบหน้าคมคายยกยิ้มอ่อนโยนเหลือบมองร่างโปร่งมองมาที่เขาเงียบๆ ก่อนจะลุกมาฝนหมึกให้อย่างไม่เต็มใจนัก
    
            “อี้เอ๋อร์อีกสองวันมีการสอบจอหงวน เจิ้นได้ยินข่าวว่าสหายเจ้าก็มาร่วมสอบด้วยหลังจากเลื่อนงานออกไปเมื่อคราวที่แล้ว” ลั่วเหยียนเจิ้งชวนคุยและนึกได้ว่าในรายชื่อมีถังต้าหลี่ร่วมอยู่ด้วย ร่างโปร่งมีกิริยาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับรู้ ทำให้ยกยิ้มบางมือหนาตวัดอักษรงดงามอ่อนช้อยซึ่งทำให้คนมองแอบทึ่งเล็กน้อย
    
            “เจ้าไม่ขอร้องเจิ้นหน่อยหรือ” เอ่ยถามโดยไม่ได้มองหน้าคนงาน หลิ่วเหวินอี้ส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบ
    
            “เหล่าขุนนางต้องการคนมีความสามารถไม่ใช่เส้นสาย” คำตอบไม่เกินจากที่คิดไว้ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งรู้สึกมีความสุขเพราะเขาไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใดให้มาก แต่หลิ่วเหวินอี้กลับรู้อะไรควรไม่ควร กิริยาบางครั้งดูล้ำลึกยากจะคาดเดา เขายังเคยคิดว่าคนข้างกายเวลานี้แท้จริงแล้วอายุเพียงแค่สิบเก้าจริงๆ หรือ
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งมองคนหน้านิ่งแต่นั่งหาวจนน้ำตาเล็ด ทำให้อดที่จะขำออกมาไม่ได้ ร่างโปร่งในอาภรณ์สีขาวเหมือนทุกวันทว่า ที่แตกต่างคือความหนาหากเดาไม่ผิดคงใส่ซ้อนไม่ต่ำกว่าหกชั้น แม้อากาศจะหนาวเย็นแต่มันคงจะมากไปในเวลาจะเข้านอนเช่นนี้
    
           “สองวันนี้เจ้าไม่ได้นอนหรือไง” ดวงตาเรียวตวัดมองไปอย่างดุๆ จะว่านอนหลิ่วเหวินอี้ก็ได้นอนทั้งคืนนั่นแหละเพียงแต่ไม่ได้หลับเพราะกลัวว่าจะหลับไปแล้วมีคนคิดไม่ดีถอดเสื้อผ้าเขาขึ้นมาจะทำอย่างไร หรือว่าเขาจะเป็นฝ่ายชิงลงมือก่อนดีถึงจะได้เปรียบ?
    
            ดวงตาเรียวคมวาววับชั่วครู่ทว่าคนถูกมองกลับรู้สึกหนาวแบบแปลกๆ ลั่วเหยียนเจิ้งหันกลับมามองคนงามอย่างพิจารณาอีกครั้งก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ
    
          “ไม่ใช่เจ้ากำลังคิดไม่ดีกับเจิ้นอยู่หรอกใช่ไหมอี้เอ๋อร์” หลิ่วเหวินอี้สำลักน้ำลายตัวเองเหมือนโดนรู้ทัน มองค้อนคนตรงหน้าแล้วกล่าวตอบเสียงแข็ง
    
            แค่กๆ ๆ
    
            “ท่านพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ”
    
            “ดีแล้วที่ไม่คิดเพราะหากเจ้าเริ่มก่อนเจิ้นก็คงอดใจไม่ไหวที่จะตอบสนอง” ใบหน้างดงามแดงระเรื่อพร้อมเบือนหน้าหนีคนรู้มากที่ยังหัวเราะในลำคออย่างน่าหมั่นไส้ จากนั้นฮ่องเต้ผู้มากเล่ห์ก็ลงมือทำงานต่ออย่างอารมณ์ดีผ่านไปหนึ่งชั่วยามคนข้างกายที่ฝนน้ำหมึกให้กลับนั่งหลับอย่างน่าขัน
    
            ลั่วเหยียนเจิ้งวางมือจากงาน เลือบมองคนนั่งหลับแต่พิงไหล่ตัวเองอย่างรักใคร่ เขาประคองร่างโปร่งพร้อมอุ้มขึ้นไปนอนแท่นบรรทมอย่างเบามือ ลมหายใจที่สม่ำเสมอของหลิ่วเหวินอี้ทำให้รู้ว่าเจ้าตัวหลับลึกแค่ไหน สองวันมานี้เห็นนอนตัวแข็งทื่ออย่างน่าสงสาร นิ้วเรียวเกลี่ยเส้นผมออกจากใบหน้าอย่างถนอมก่อนจะก้มลงจูบริมฝีปากบางอย่างรักใคร่ ความจริงเขาอยากทำมากกว่านี้แต่ว่าหลิ่วเหวินอี้ยังไม่พร้อมจึงต้องให้เวลาคนรักมากกว่านี้ ดวงตาคมกริบมองเสื้อผ้าหนาหลายชั้นอย่างอ่อนใจไม่นึกว่าจะกลัวเขามากขนาดนี้
    
            ใบหน้าคมคายยกยิ้มบางก่อนจะค่อยๆ ปลดเสื้อผ้าหนาตาและน่าหงุดหงิดใจออกจากตัวหลิ่วเหวินอี้อย่างเบามือ ตอนนี้เหลือเพียงชุดขาวเบาบางตัวในเพียงตัวเดียวจึงยกยิ้มออกมาอย่างยินดี หากไม่หลับลึกเขาคงทำไม่ได้มากขนาดนี้ กลิ่นหอมดอกท้อที่ติดกายไม่จางหายทำให้หัวใจเริ่มติดขัดมองคนรักหลับตาพริ้มแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ร่างโปร่งงดงามภายใต้เชิงเทียนทำให้เขายกมือนวดระหว่างคิ้ว คิดผิดเสียแล้วที่เปลืองเสื้อผ้าอีกฝ่ายออก นี่เป็นการทรมานตัวเองชัดๆ ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัวโดยแท้ เหงื่อเย็นเยือบเต็มแผ่นหลังมือหนาตวัดผ้าห่มมาคลุมกายอีกฝ่ายเอาไว้
    
            “หนาว...” เสียงพึมพำเบาๆ พร้อมร่างโปร่งขยับมากอดร่างเขาไว้แน่นทำให้รู้สึกตัวแข็งทื่อยิ่งกว่าเดิม ยั่ว? นั่นคือความคิดที่ก่อขึ้นในใจเมื่อร่างโปร่งขยับชิดกายพร้อมกอดลั่วเหยียนเจิ้งไว้แน่น
    
             อดทนไว้ลูก อดทน อดทน...
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งนอนแข็งทื่อและพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเองเอาไว้ ทว่าแสงสว่างจากเชิงเทียนทำให้เห็นคนในอ้อมกอดชัดเจนยิ่งทำให้ลมหายติดขัดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ปกตินอนกอดมาสองคืนเขาก็ไม่ได้เกิดอารมณ์มากมายเช่นนี้เพราะยังควบคุมตัวเองได้ ทว่ายามนี้เขารู้สึกว่ามันยากมาก ยากยิ่งกว่าอาจารย์ให้เขายกก้อนหินยืนขาเดียวบนลานหน้าบ้านเสียอีก
    
             แกะตัวหนึ่ง อดทนไว้ลูก... แกะตัวที่สอง อดทนไว้ลูก... แกะตัวที่สาม...
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งรู้สึกอยากร้องไห้แม้เวลานี้จะนับแกะถึงหนึ่งพันแต่ว่าเขาไม่ง่วงเลยสักนิด กลับกันเขาอยากรังแกคนข้างกายและกอดรัดฟัดเหวี่ยงให้สมกับทำให้เขาทรมานเสียจริง...
    
             เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่อากาศดีและทำให้หลิ่วเหวินอี้รู้สึกสดชื้นกว่าสองวันที่ผ่านมา แม้ร่างกายจะเหลือเสื้อผ้าบางๆ ตัวเดียวแต่เขาก็ไม่ได้ไร้เดียงสาจนตกหลุมพรางว่าเสียตัวไปแล้ว เพราะเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรร่างกายยังรู้สึกปกติดีทุกอย่าง ทว่าคนข้างกายเขาเวลานี้กลับเหมือนผีดิบตายซากขอบตาดำเป็นหมีแพนด้าเหมือนอดหลับอดนอนเหมือนเขาเมื่อสองวันก่อน หากเดาไม่ผิดคงคิดจะแกล้งเขาแต่กลับเป็นตัวเองที่นอนไม่หลับ น่าตลกจริงๆ
    
             “ท่านพี่ไม่ได้นอนหรอกหรือเมื่อคืน ข้าหลับสบายดีมากเลยนะ” กล่าวหยอกล้อด้วยน้ำเสียงเรียบ ทว่ามุมปากกลับยกยิ้มอย่างขำขัน ดวงตาคมตวัดมองค้อนมาจนทำให้หลุดหัวเราะออกมาพร้อมเอ่ยถามอีกครั้ง
    
            “เมื่อคืนนี้นับแกะไปกี่ตัวละท่านพี่” น้ำเสียงราบเรียบและดวงตาวาววับมองมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งอยากจับฟัดจูบเสียให้พูดไม่ออก แต่ว่าตอนนี้ได้แต่คิดหากหลิ่วเหวินอี้ไม่ยอมจริงๆ มีหรือพลังลมปราณเขาจะสู้อีกฝ่ายได้ เขาต้องเก็บตัวฝึกมากกว่านี้!
    
             ลั่วเหยียนเจิ้งบอกตัวเองอย่างแน่วแน่ ก่อนจะรีบออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วดุจสายลมทำให้หลิ่วเหวินอี้มองตามอย่างงขำขัน เมื่อคืนนี้เขารู้สึกตัวเพียงแต่ง่วงจนไม่อยากพูดออกมาเท่านั้น  สุภาษิตบอกว่า ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว คงไม่เกินจริงนัก ใบหน้างดงามยกยิ้มบางก่อนจะลุกไปอาบน้ำเตรียมทานอาหารเช้าเหมือนทุกวัน...




    หวานวันละนิดจิตแจ่มใส >< ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากค่าาาา :bye2: :bye2: :bye2:




ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ natsikijang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 540
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-4
น่ารักจังเลยอ่ะ หวานมากๆ   เจิ้นนอนไม่หลับ ส่วนอี้เอ๋อร์นอนหลบสบายเลย  ฟินเบาๆกับสนนสายวาย

ออฟไลน์ Minty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
เจิ้งใจเย็นๆนะ อย่าเพิ่งทำอะไรอี้เอ๋อ เดี๋ยวก็โดนโกรธหรอก

รอให้อี้เอ๋อใจอ่อนกว่านี้อีกนิดนึงก่อน :hao7:

ออฟไลน์ entirom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1010
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-2
รอวันเข้าหอ
และองชายน้อยในอนาคต

ว่าแต่

ผู้ใดจะเป็นคนท้อง???

ออฟไลน์ SaJung13

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1057
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-1
เจิ่นใจเย็นเจิ้น อี๋เออไม่ไปไหนหรอก
อดทนไว้ ช้าๆได้พร้าเล่มงามนะ

ออฟไลน์ sanri

  • เวลาไม่ใช่ตัวพิสูจน์ทุกสิ่งเสมอไป
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-9
แหมๆ เจิ้นจ๊ะ รออีกซักนิดเถอะนะ เดะอี้เอ๋อร์ก็ใจอ่อนเองแหละ  :impress2:

ออฟไลน์ chouxcream59

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 38
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โถ่ เหวินอี้น้อยยยยยยย ช่างน่ารักขึ้นทุกวัน ความยั่วก็เพิ่มขึ้นนะ
แบบนี้ฮ่องเต้จะอดทนได้นานแค่ไหนกันเชียว
คงต้องเก็บตัวไปฝึกฝนวรยุทธกับพลังลมปราณให้เหนือกว่าซะแล้ว อี้เอ๋อร์จะได้สู้ไม่ได้  :laugh3:  :hao7:
ยังติดตามอยู่นะจ้ะ สู้ๆค่ะ  :a1:

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่34การสอบจอหงวน(P.7วันที่ 27/6/59)




           ผ่านไปหนึ่งวันภายนอกในเขตราชฐานซึ่งจัดงานรับสมัครผู้เข้าร่วมสอบจอหงวนในปีนี้จะคึกคักกว่าทุกปีเพราะขุนนางน้อยใหญ่ตายตกเนื่องจากก่อกบฏมากมายทำให้ช่วงนี้ขาดขุนนางที่ซื่อสัตย์เหล่าบัณทิตจากทั่วทุกสารทิศต่างเข้ามาทดสอบความสามารถของตนเองเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นมีถังต้าหลี่บุตรหลานของตระกูลถังซึ่งเป็นสายรองทำให้คนในตระกูลใหญ่ไม่สนใจมากนัก หลังจากอ่านตำรับตำรามานานหลายเดือนวันนี้ก็ได้มาถึง
    
          สูงโปร่งในอาภรณ์สีเขียวอ่อนดูสะอาดสะอ้านกำลังยืนรอเพื่อรับการสอบร่วมกับคนอื่นๆ อีกในครึ่งชั่วยามหลังจากมาสมัครสอบไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ดวงตาเรียวคมมองคู่แข่งตัวเองด้วยความเฉยเมยไม่ใช่มั่นใจในฝีมือตัวเองเพียงแต่คิดว่าทำให้ดีที่สุดสำหรับวันนี้เท่านั้น
     
          “ฮ่าๆ นั่นมันต้าหลี่จากเมืองหยางเซานี่ไม่คิดว่าขยะอย่างเจ้าจะมาสอบขุนนาง” น้ำเสียงรื่นเริงปนดูถูกดูแคลนมาจากชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนเนื้อผ้าดีบ่งบอกว่ามีฐานะดี ถังต้าหลี่หันไปมองครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงนึกออกว่ามันคือถังไป๋หยุนจากตระกูลหลัก เขาเลิกสนใจหยิบหนังสือมาอ่านฆ่าเวลา
    
          “ฮึ อ่านให้ตายยังไงเจ้าก็เป็นได้แค่ขยะ” น้ำเสียงดูแคลนนั้นส่งเสียงดังไปทั่วห้องเริ่มทำให้ผู้คนหันมาสนใจ ถังต้าหลี่เดินหนีไปนั่งบนเก้าอี้รับรองเหล่านักศึกษาและอ่านต่ออย่างสงบก่อนจะชะงักเมื่อหนังสือในมือถูกกระชากออกจากมือพร้อมดวงตาเย้ยหยันของถังไป๋หยุนที่ตามตอแยไม่เลิกลา
    
           “เอาคืนมา” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ทำให้ถังไป๋หยุนฉีกยิ้มกว้างพร้อมฉีกหนังสือในมือตัวเองอย่างยั่วโมโหคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ซึ่งทำหน้าไร้อารมณ์จนน่าหมั่นไส้ การกระทำนี้ทำให้เหล่านักศึกษาที่มาเข้าสอบหันไปมองอย่างสนอกสนใจ
    
          ถังต้าหลี่มองตามอย่างระอากับการกระทำแบบเด็กๆ แม้อยากจะเอาคืนแต่เขาไม่อยากถูกตัดสิทธิ์จึงไม่ก่อเรื่อง เขาปรายตามองอย่างเย็นชาไม่ได้โต้ตอบแต่กลับเดินหนีอย่างไม่ใส่ใจทว่าถังไป๋หยุนที่ถูกตามใจมาอย่างเคยตัวกลับไม่ยอมปล่อยไป
    
           “เจ้าจะไปไหนไม่ได้ ขยะไร้ค่าเช่นเจ้าคงทำให้เสียชื่อตระกูลทางที่ดีเจ้าสละตัวเองออกจากการแข่งขันนี้ซะ” น้ำเสียงจริงจังและแววตาเอาเรื่องของอีกฝ่ายทำให้ถังต้าหลี่เลิกคิ้วพยายามสะกดอารมณ์โกรธเกรี้ยวตัวเองเอาไว้
    
           “ข้าไม่ไป”
    
           “เจ้า” ถังไป๋หยุนกัดฟันกรอดอย่างโมโห ไม่เคยมีใครขัดใจมันมาก่อนร่างโปร่งกระชากร่างสูงมาใกล้แต่ว่าร่างกายนักศึกษาธรรมดาหรือจะสู้คนที่ฝึกวรยุทธเป็นเป็นประจำได้ ถังต้าหลี่ยังยืนนิ่งไม่ไหวติงขณะที่คนหาเรื่องล้มก้นกระแทกพื้นพรหมอย่างแรง
    
            “โอ้ย! เจ้า...”
    
            “ช่วยข้าด้วยมีคนรังแกข้า” เสียงร้องตะโกนดังก้องทำให้เหล่าขันทีที่คุมสอบเข้ามาไกล่เกลี่ย คนที่มองเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นได้แต่เอามือปิดปากด้วยความคาดไม่ถึงกับความหน้าด้านไร้ยางอายของถังไป๋หยุน
    
            “อะไรกัน วันแรกพวกเจ้าก็ทะเลาะกันแล้วหรือ” เสียงแหบออกจะแหลมของขันทีที่รับผิดชอบเดินเข้ามามองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างโมโหที่มาสร้างความวุ่นวายให้กับตนเองอีก ทว่าเมื่อเห็นใครล้มลงกองกับพื้นก็รีบเข้าไปประคองให้ลุกขึ้นและกวาดตามองถังต้าหลี่อย่างเย็นชา
    
            “เจ้าทำผิดกฎเพราะฉะนั้นเจ้าหมดสิทธิ์สอบในครั้งนี้” น้ำเสียงแหบแหลมของขันทีและดวงตาเรียวเล็กเชิดหน้าขึ้นเหมือนเป็นการตัดสินใจถูกต้องทำให้ถังต้าหลี่หรี่ตามองอย่างไม่พอใจ
    
            “ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเหตุใดต้องโดนตัดสิทธิ์ คนในนี้เป็นพยานให้ข้าได้” ทันทีที่ถังต้าหลี่เอ่ยเช่นนั้นผู้คนก็ถอยห่างจากเขาไปเหมือนไม่ออยากยุ่งเกี่ยวด้วย เหลือเพียงบุรุษชุดขาวจากที่อยู่ด้านหลังสุดกลับเป็นว่ายืนอยู่หน้าสุด ใบหน้าแสนธรรมดาร่างกายที่ยังเยาว์วัยกอดอกยืนมองนิ่งๆ ดวงตาเรียวคมเหมือนมีอำนาจปรายตามองขันทีและคนที่ยืนอยู่ข้างกายก่อนจะเงยหน้าไปมองคนที่ถูกหาเรื่องแล้วถอนหายใจยาว
    
             “เจ้าเป็นพยานให้เจ้านี่รึ” น้ำเสียงกดดันของขันทีมองมายังหนุ่มน้อยหน้าตาธรรมดาจนออกขี้เหล่ ดวงตาข่มขู่ไม่ได้ทำให้ร่างโปร่งในอาภรณ์สีขาวเนื้อดีสะทกสะท้านแม้แต่น้อย
    
           “ใช่เราเป็นพยานให้นักศึกษาผู้นี้” นิ้วเรียวชี้ไปยังถังต้าหลี่อย่างใจเย็นไม่ได้สนใจสายตาของนักศึกษารอบข้างที่มองมายังตนเหมือนคนโง่งม หาเรื่องไม่ดูคน
    
           “เช่นนั้นเจ้าก็รู้เห็นเป็นใจกับนักศึกษาผู้นี้สินะ ทหารนำตัวสองคนนี่ออกจากห้องตัดสิทธิ์คนทั้งคู่ไม่ให้เข้ามาร่วมสอบอีก” น้ำเสียงแหบแหลมและเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดีในอำนาจของตนเอง ทหารกรู่เข้ามาหาทั้งคู่อย่างรวดเร็ว
    
            “จะไล่ข้าก็ไล่ข้าเพียงคนเดียว คนผู้นั้นไม่เกี่ยวข้องกับข้า” ถังต้าหลี่เอ่ยออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว และรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรงที่ในวังหลวงลั่วหยางไร้ความยุติธรรมสิ้นดี
    
           คำพูดของถังต้าหลี่ทำให้บุรุษชุดขาวยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยอย่างยินดี แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไรร่างสูงโปร่งของพระสนมหวงกุ้ยเฟยก็เดินเข้ามา บรรยากาศภายในห้องเหมือนเย็นลงจนผู้คนเริ่มเกร็งยืนนิ่งมองคนใหม่อย่างพิจารณา เหล่าขันทีที่จำได้ก็คำนับถวายพระพรก้มหน้าต่ำอย่างนอบน้อมซึ่งทำให้คนอื่นทำตามเช่นกันไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเอง
    
           ดวงตาเรียวคมกวาดตามองอย่างเฉยเมยแต่กลับทำให้ผู้ถูกมองเย็นวาบทั่วแผ่นหลังได้ สายตาคู่นั้นมาหยุดอยู่ที่ร่างสีขาวที่ค้อมศีรษะลงต่ำ แต่ไม่ได้ต่ำมากเหมือนผู้อื่นใบหน้างดงามขมวดคิ้วลึกพร้อมเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้า
    
            “ท่านมาทำอะไรที่นี่องค์ชายเพ่ยอวี้” น้ำเสียงแผ่วเบาของคนตรงหน้าทำให้ร่างโปร่งในอาภรณ์สีขาวสะดุ้งสุดตัว เขาว่าปลอมตัวมาดีแล้วเหตุใดถึงไม่พ้นสายตาของพระสนมอีก ใบหน้าแสนธรรมดาก้มลงต่ำยิ่งกว่าเดิม เขาไม่ได้ตอบคำถามแต่เหมือนพระสนมหวงกุ้ยเฟยไม่ได้ใส่ใจเอาคำตอบนักก่อนจะเดินไปมองเหล่าขันทีพร้อมมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายร่างสูงในอาภรณ์สีเขียวอ่อนซึ่งถูกหาเรื่องในวันนี้
    
            “แยกย้ายเตรียมตัวสอบกันได้แล้ว ไม่มีใครในนี้ถูกตัดสิทธิ์หรือว่ามีคนคัดค้านข้า” ดวงตาเรียวมาหยุดที่ขันทีที่ถูกยัดเงินมาไม่น้อยถึงได้เห็นผิดเป็นถูกเช่นนี้
    
            “ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้นั้นตอบกลับเสียงสั่นก้มต่ำมากกว่าเดิม ทำให้ผู้คนแอบเหลือบขึ้นมามองอย่างแปลกใจ
    
           “ดี” กล่าวจบแค่นั้นก่อนจะผละจากไป ทำให้ผู้คนกลับมาหายใจได้โล่งกว่าปกติ แม้กระทั่งเพ่ยอวี้ซึ่งเป็นองค์ชายเองยังรู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ เมื่อถูกมอง
    
           “นั่นผู้ใดหรือท่านขันที” ถังไป๋หยุนเอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองจึงได้เห็นแต่แผ่นหลังงามสง่าที่เดินจากไปเท่านั้น
    
           “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ เรื่องนี้ถือว่าพวกเจ้าโชคดีไป แยกย้ายกันไปได้แล้ว” ทันทีกล่าวจบทุกคนก็เริ่มไปตรียมสอบให้ห้องโถงใหญ่ ถังต้าหลี่มองตามเงาร่างสีขาวที่คุ้นตาอย่างครุ่นคิด ทำไมรู้สึกคล้ายสหายเขาจังหรือว่าคิดไปเอง?
    
            “ขอบคุณท่านมาก” ถังต้าหลี่เลิกสนใจคนที่ยื่นมือมาช่วยเหลือตนเองก่อนจะหันไปบอกร่างโปร่งที่ยืนอยู่ไม่ห่าง แม้ไม่รู้ว่าคนผู้นี้คือใครแต่กิริยาและการวางตัวคงมิใช่สามัญชนทั่วไป
    
            “ไม่เป็นไร ข้าแค่ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไปสอบเถอะขอให้ท่านโชคดี” ถังต้าหลี่ชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้ารับแล้วตอบกลับด้วยความจริงใจ
    
             “ท่านก็เช่นกัน หากจบงานนี้ข้าขอเลี้ยงอาหารท่านสักมื้อเป็นการตอบแทนได้หรือไม่” เพ่ยอวี้นิ่งงันไปชั่วครู่ก่อนยกยิ้มบาง
    
             “อืม ร้านวิหคดำนอกวังหลวงตกลงหรือไม่” ถังต้าหลี่ครุ่นคิดถึงร้านชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้ารับ แล้วเดินตรงไปยังห้องสอบพร้อมกับคนอื่นๆ
    
             “ฝ่าบาทไม่ควรรับปากพ่ะย่ะค่ะ” ร่างสูงในอาภรณ์สีน้ำตาลอ่อนและใบหน้าแสนธรรมดาดูกลมกลืนกับทุกสิ่งมายืนอยู่เบื้องหลังแล้วเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา
    
             “ท่านพี่กล่าวไว้ว่าอย่าตัดรอนน้ำใจผู้อื่น เดี๋ยวเขาจะเสียใจ” บอกเสียงรื่นเริงก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างเนียนๆ โดยไม่มีใครสังเกตได้ องครักษ์ที่พ่วงด้วยตำแหน่งอาจารย์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ความเจ้าเล่ห์ถอดแบบผู้เป็นพี่ชายมาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
    
             ภายในห้องโถงใหญ่ซึ่งมีโต๊ะเล็กๆ วางเรียงพอเพียงสำหรับนักศึกษาที่สอบผ่านมาถึงรอบสามจากจำนวนที่เข้ามาสมัครมากกว่าพันคนตอนนี้เหลือเพียงห้าสิบคนเท่านั้น บ่งบอกว่าผู้ที่นั่งประจำที่ของตนเวลานี้มีความสามารถพอสมควรแต่หากต้องการตำแหน่งที่สูงกว่านี้จึงต้องผ่านการทดสอบจนไปถึงด่านสุดท้าย พรรคพวกที่ใช้เงินยัดใต้โต๊ะกับเหล่าผู้คุมสอบต่างถูกคัดออกอย่างไร้ความปราณี ทว่ายังมีคนหนึ่งที่หลงเหลืออยู่คือถังไป๋หยุนซึ่งบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวมีดีอยู่ไม่น้อย แม้จะดื้อรั้นเอาแต่ใจทว่าคำตอบและลายมือกลับอ้อนช้อยงดงามและตรงตามคำถามเกือบทุกข้อ สร้างความแปลกใจให้กับถังต้าหลี่ซึ่งผ่านเข้ารอบมาได้เช่นกัน
    
             ผ่านไปหนึ่งชั่วยามการสอบจึงเสร็จสิ้น ถังต้าหลี่ผ่านเข้ารอบสองง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปาก อาจเพราะศึกษาตำรามามากจึงทำให้ตอบคำถามได้ง่ายยิ่งขึ้น ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกในครั้งเหลือเพียงสิบคน ทว่าตำแหน่งที่ปรึกษาส่วนพระองค์นั้นรับเพียงแค่สองคนเท่านั้น การแข่งขันครั้งนี้จึงเพิ่มความกดดันมากยิ่งขึ้นเมื่อฮ่องเต้เสด็จมาด้วยพระองค์เองติดตามมาด้วยพระสนมหวงกุ้ยเฟยซึ่งเขายังไม่ทราบว่าพระนามว่าอะไรเพียงแต่ข่าวที่ได้ยินมาในช่วงสองวันนี้คือพระสนมเป็นบุรุษที่งดงามมาก บางครั้งถังต้าหลี่ยังอดคิดไม่ได้ว่าในโลกหล้านี้ยังจะมีชายใดงดงามกว่าสหายตนอีกหรือ แม้จะอยากรู้แต่เขาก็ยังไม่อยากหัวหลุดจากบ่าจึงได้แต่ก้มหน้าน้อมตัวต่ำไม่กล้าสบพระพักต์
    
           ลั่วเหยียนเจิ้งกวาดสายตามองนักศึกษาเบื้องหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเป็นเอกลักษณ์เหมือนที่ผ่านมาทว่าดวงตาคู่คมกลับสร้างแรงกดดันให้กับผู้อยู่เบื้องหน้าจนแผ่นหลังเย็นเบือกเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อของตัวเอง ร่างสูงงดงามในอาภรณ์สีเหลืองทองลายมังกรน่าเกรงขาม สวมมาลาห้อยด้วยมุกสีเงินบดบังใบหน้าทำให้เห็นใบหน้าไม่ชัดเจนนักพระองค์ทรงนั่งอยู่บนบัลลังก์สีทองงดงามข้างกายมีพระสนมคนโปรดซึ่งใบหน้านิ่งเฉยดั่งรูปปั้นน้ำแข็งกับบรรยากาศเย็นเยือกในรอบกาย
    
           “ลุกขึ้น” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยออกคำสั่งคำแรกเมื่อพิจารณาผู้เข้าสอบเพียงพอแล้ว ดวงตาคมกริบจ้องมองร่างสูงในอาภรณ์สีเขียวอ่อนเป็นพิเศษ ไม่คิดว่าถังต้าหลี่มาไกลได้ถึงเพียงนี้และคนที่ทำให้ประหลาดใจคือถังไป๋หยุนซึ่งฝ่าฝันมาไกลถึงเพียงนี้ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเป็นคนยัดเงินเหล่าผู้คุมสอบตั้งแต่วันแรก ทว่ากลับใช้ความสามารถตัวเองเข้ามาได้ ช่างน่าสนใจ นิสัยที่แสดงออกคล้ายเด็กเรียกร้องความสนใจทว่าความตั้งใจอันแน่วแน่และว่าความรู้ของอีกฝ่ายบอกได้ว่าอ่านตำรับตำรามามากนัก แต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่เป็นวรยุทธเลยสักนิด
    
             “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ทั้งสิบกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกันแม้จะลุกขึ้นแต่ไม่มีใครกล้าเงยหน้ามองพระพักต์พระองค์เพราะมันเป็นกฏของราชสำนักหากไม่ได้รับอนุญาติไม่อาจสบพระพักต์เจ้าเหนือหัวได้
    
             “การทดสอบรอบสุดท้ายมีไม่มากนักพวกเจ้าผ่านมาถึงด่านนี้ได้นับว่าเป็นขุนนางของแคว้นลั่วหยางแล้ว เพียงแต่ข้าต้องการที่ปรึกษาสองคน” น้ำเสียงอ่อนโยนชวนให้ผ่อนคลายทว่ารูปแบบประโยคทำให้ขุนนางหน้าใหม่ต่างรู้สึกกดดัน ตอนนี้เทียบขั้นได้เพียงขุนนางชั้นผู้น้อยเท่านั้น หากประสบความสำเร็จนั่นหมายถึงเขาจะเลื่อนเป็นขุนนางขันที่หนึ่งทันที
    
            “ข้าต้องการคำปรัชญาจากใจคนละหนึ่งบทความภายในหนึ่งก้านธูป บทความผู้ใดทำให้ข้าชื่นชอบได้ข้าจะแต่งตั้งผู้นั้นเป็นขุนนางที่ปรึกษาส่วนตัวข้า” ทันทีที่ฮ่องเต้กล่าวจบเหล่าขันทีก็เตรียมอุปกรณ์และโต๊ะนั่งให้ผู้เข้าสอบสิบคนอย่างรวดเร็ว ที่นั่งห่างกันไกลไม่อาจมองเห็นได้ว่าเขียนสิ่งใดอยู่ แม้โจทย์ที่ได้มานั้นดูแสนง่ายทว่าใครเล่าจะรู้ว่าฮ่องเต้ผู้มากความสามารถผู้นี้จะชื่นชอบบทความแบบไหนกัน ทว่าพวกเขาไม่มีเวลามาคิดถึงข้อนี้เพราะก้านธูปเดียวนับว่าน้อยนิด
    
            หลิ่วเหวินอี้ที่นั่งเงียบเป็นรูปปั้นน้ำแข็งมานานมองดูสหายนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนโต๊ะเตี้ยของตัวเอง ผู้อื่นเริ่มลงมือเขียนแล้วทว่าเจ้าตัวเพียงแค่หยิบพู่กันขึ้นมาเท่านั้น
    
            “อี้เอ๋อร์เจ้าว่าสหายเจ้าจะเขียนบทดความแบบใดกัน” คำถามของคนที่นั่งสูงกว่าตนนิดหน่อยทำให้หลิ่วเหวินอี้เหลือบตาขึ้นไปมอง ก่อนจะหันศีรษะกลับไปมองสหายอีกครั้งซึ่งกำลังลงมือเขียนลายมือของเจ้าตัวเขายอมรับว่างดงามอ่อนช้อยแต่ก็หนักแน่นน้ำหนักของตัวอักษร
    
            “ข้าเป็นสหายไม่ใช่ผู้รู้ใจ” คำตอบเรียบนิ่งแผ่วเบาให้ได้ยินเพียงสองคนทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งก้มหน้ามามองพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น
    
            “นั่นสินะ เจ้ารู้ใจข้าผู้เดียวก็เพียงพอแล้ว” หลิ่วเหวินอี้เหลือบมองคนตอบกลับมาอย่างระอามีโอกาสไม่ได้เลยหยอดได้หยอดดี วันไหนไม่ได้เกี้ยวพาราสีเขานี่คงนอนไม่หลับ
    
             “หมดเวลา” เมื่อธูปไหม้หมดดอกหัวหน้าขันทีก็ตะโกนก้องพร้อมผู้เข้าสอบวางมือและส่งกระดาษให้เหล่าขันทีซึ่งเดินไปรับพร้อมเดินกลับมาถวายฮ่องเต้ที่อยู่บนบัลลังก์ ขณะนั้นถังต้าหลี่เผลอเงยหน้าไปทางฮ่องเต้กลับต้องตะลึงงันเมื่อเห็นสหายของตนนั่งอยู่บนนั้นด้วย เวลานี้พวกเขาลุกจากโต๊ะเตี้ยที่เตรียมสอบก่อนหน้านี้มารวมตัวกันตรงหน้าฮ่องเต้อีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ถังต้าหลี่กลับมองสหายไม่วางตาจนลืมแม้กระทั่งมารยาทก่อนจะสะดุ้งเมื่อถังไป๋หยุนบิดที่เอวจนสะดุ้ง
    
            “อยากตายหรือไงเจ้าโง่” เสียงกระซิบพร้อมดวงตาเรียวเล็กถลึงมองมาทำให้ถังต้าหลี่มองตามอย่างแปลกใจที่อีกฝ่ายห่วงใยตน ไม่คิดว่าจะเป็นคนใจดีเหมือนกัน
    
             “อย่าคิดว่าข้าห่วงใยเจ้า ข้าแค่กลัวว่าจะเสียชื่อเสียงวงค์ตระกูล” ถังไป๋หยุนกระซิบตอบพร้อมหันหน้าหนีด้วยใบหูแดงก่ำ ทำให้ถังต้าหลี่ชะงักงันอย่างมึนงง ทว่าในใจกลับคิดว่าคนข้างกายเขาเวลานี้ทำไมดูน่ารักไปได้ เขาเลิกสนใจคนข้างตัวก่อนจะแอบเหลือบมองดวงตาเย็นชาของสหายที่มองมาเช่นกันมุมปากยกยิ้มขึ้นมาเพียงนิดเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัวทำให้แน่ใจว่าผู้ที่นั่งอยู่ตรงนั้นคือ หลิ่วเหวินอี้คุณชายสี่นิกายมารฟ้าไม่ผิดตัวแน่ ไม่ได้เจอกันสองเดือนไยเจ้าตัวมาเป็นพระสนมของฮ่องเต้ได้ ความคิดมากมายต้องหยุดลงเมื่อเสียงนุ่มอ่อนโยนแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจของฮ่องเต้ดังขึ้น
    
           “บทความของแต่ละคนน่าสนใจ เพียงแต่ข้าชื่นชอบมีเพียงสอง ข้าอ่านบทความของผู้ใดจงก้าวออกมา” คำกล่าวนั้นทำให้หัวใจของผู้ที่รับฟังใจสั่นเต้นระรัวเพราะการสอบครั้งนี้เหมือนการตัดสินอนาคตตัวเองเลยก็ว่าได้ ทว่าคนที่สงบนิ่งที่สุดกลับเป็นบุรุษในอาภรณ์สีขาวเรียบง่ายคนเดียวกับที่เคยยื่นมือมาช่วยเหลือถังต้าหลี่ในวันนั้น
    
             “แต่ก่อนอื่นข้าขอตัดสิทธิ์ผู้เข้าสอบออกหนึ่งคน” ทันทีที่ลั่วเหยียนเจิ้งกล่าวจบทำให้เหล่าขุนนางหน้าใหม่เงยหน้าขึ้นมามองอย่างลืมตัว น้ำเสียงแม้จะอ่อนโยนแต่รูปแบบประโยคที่กล่าวออกมาสร้างความกดดันให้ผู้เข้าสอบจนหายใจไม่ทั่วท้อง แม้จะกระทำอย่างไร้มารยาททว่าพระองค์มิได้กล่าวติเตือนอันใดพวกเขาจึงก้มหน้าลงตามมารยาทที่พึงมีของตน
    
            “เพ่ยอวี้มิใช่เจิ้นให้เจ้าศึกษาวรยุทธและหมั่นศึกษาตำราในตำหนักหรอกหรือ” น้ำเสียงอ่อนโยนแต่กดดันทำให้เจ้าของชื่อก้าวขึ้นมาข้างหน้ายกมือคารวะอย่างนอบน้อมเมื่อมิอาจหลบสายตาได้พ้น
    
             “ทูลฝ่าบาทกระหม่อมเพียงแค่อยากทดสอบความสามารถของตนเอง มิได้เจตนาก่อความวุ่นวายให้พระองค์ ฝ่าบาทโปรดยกโทษให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่นอบน้อมด้วยใจทำให้ผู้ที่อยู่บนบัลลังก์นั่งนิ่งครุ่นคิดแล้วกล่าวตอบอย่างเชื่องช้า
    
           “เวลานี้เจ้าผ่านการทดสอบของนักศึกษาแล้วเพ่ยอวี้ หากวรยุทธเจ้ายังต่ำต้อยเห็นทีเจิ้นต้องฝึกเจ้าด้วยตัวเอง”
    
            “เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมให้ฉีเห้อหลันฝึกให้เหมือนเดิมดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงหวาดหวั่นที่แสดงออกมาทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม ทว่าคนที่คุ้นเคยกันดีกลับรู้สึกหนาวเยือกจนรู้สึกยืนไม่ติด ส่งสายตาอ้อนวอนไปยังหลิ่วเหวินอี้อย่างขอความช่วยเหลือ
    
            “หากฝ่าบาทต้องการผู้ฝึกซ้อมกระหม่อมจะช่วยให้ฝ่าบาทฝึกเองพ่ะย่ะค่ะ มิต้องเดือนร้อนไปถึงองค์ชายเพ่ยอวี้” น้ำเสียงเย็นนิ่งฟังแล้วรู้สึกสบายใจ ทว่าลั่วเหยียนเจิ้งกลับหันศีรษะมามองคนรักที่ออกตัวช่วยเหลือองค์ชายสิบห้าอย่างไม่อยากเชื่อ และเกิดความสงสัยว่าสองคนนี่ไปสร้างความสัมพันธ์อันดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
    
            “อะแฮ่ม! เรื่องนั้นช่างเถอะ เพ่ยอวี้เจ้ากลับตำหนักได้แล้ว” เพ่ยอวี้มองตามอย่างลังเลก่อนจะถอยกลับตำหนักอย่างไม่มีทางเลือก
    
             แต่คนที่ตกใจมากที่สุดคือถังต้าหลี่วันนี้เขารู้สึกว่าตัวเองโง่เขลานัก จึงได้ก้มหน้าต่ำลงยิ่งกว่าเดิมยามนี้เขาไม่กล้าสบตากับใครทั้งสิ้น ยิ่งรู้สึกว่าตำแหน่งสูงเท่าไหร่ความมากเล่ห์ภายในวังหลวงยิ่งเห็นได้ชัดเจน แต่หากทำให้บิดามารดามีฐานะที่ดีขึ้นเขาก็ยินดีที่จะก้าวเข้าไป แม้ต้องพบเจอกับอะไรเขาก็ยังจะเป็นถังต้าหลี่ที่สัตย์ซื่อคนเดิมตลอดไป...



         ขอบคุณมากค่าา แล้วพบกันใหม่นะคะ :hao3: :hao3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด