(ต่อ)
ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ผมทอดสายตาจากมุมสูงของโรงแรมติดชายหาดสถานที่แห่งความทรงจำไปหยุดที่ขอบน้ำสีส้มสด ภาพบนผืนน้ำสะท้อนกับพระอาทิตย์สีไข่แดงกลมดิกน่ากิน มีสายลมอ่อน ๆ โชยเข้ามาให้ต้องห่อไหล่เข้าหากัน
หัวหินเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เดี๋ยวนี้อะไร ๆ ก็สะดวกมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน เดินไปไม่กี่ก้าวก็เจอร้านสะดวกซื้อเกือบทุกช่วงถนน โรงแรมของเฮียอี้กับคุณนภทีป์อยู่ห่างออกไปอีกแต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าจะได้ไปเยี่ยมจริง ๆ อย่างที่แสร้งชวน
เนิ่นนานมาแล้วที่แห่งนี้คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมรู้ว่ารัก เคยคิดว่ามันจะต้องจบลงวันหนึ่งตามประสาเด็ก ๆ แต่ไม่เคยคาดหวังมาก่อนว่าจะยืดยาวกันมาจนป่านนี้ ทุกครั้งที่มาที่นี่ ผมจะนึกถึงจูบอันเร่าร้อนและอ่อนหวาน การประสานรวมเป็นหนึ่งเดียวของผมกับมันในครั้งวัยเยาว์เหมือนคนแก่ ๆ
มิ่งฟ้ายืนอยู่ข้าง ๆ กันที่ระเบียงห้อง ทอดสายตาออกไปไกล สีหน้าเหม่อลอยคล้ายกับกำลังคิดอะไรเมื่อเรามาอยู่ในจุดเดิมของเมื่อหลายปีก่อน
“คิดอะไรอยู่”
“หืม?”
เฟยยืดตัวขึ้นนิดหนึ่ง ตอบคำถามโดยที่ไม่มองผม “คิดว่า โชคดีจังที่ได้มายืนตรงนี้กับมึงอีกครั้ง”
ผมชะงักไป แก้มเริ่มร้อนขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
“คง...คล้าย ๆ กันล่ะมั้ง”
เราต่างเงียบเสียงไปอีกราวกับคิดคำพูดไม่ออกแต่กลับอุ่นขึ้นมาเมื่อปลายนิ้วที่จับระเบียงอยู่ถูกสัมผัส เหลือบตาขึ้นมองเจ้าของร่างสูงโปร่งที่ทำหน้าทำตาเหมือนทองไม่รู้ร้อนแล้วก็หมั่นไส้ระคนอุ่นใจ สิ่งที่อุ่นมากกว่าฝ่ามือนั้นคือแก้มทั้งสองข้าง ผมรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นสีระเรื่อเมื่ออีกฝ่ายเหลียวหน้ามาสบตา
“...............”
ริมฝีปากที่แนบลงมาบนกลีบปากอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบาเกิดขึ้นด้วยความทะนุถนอม จมูกเป็นสันคลอเคลียอยู่ระหว่างปีกจมูกผมซ้ายทีขวาที ละเลียดชิมรสหวานของริมฝีปากด้วยริมฝีปาก ผมยกมือขึ้นแตะอกกว้างใต้เสื้อกล้ามสีตุ่นของเจ้าตัวเพื่อบอกให้พอเมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเสียที เฟยผละออกมาแต่สายตายังคงมองมาด้วยความรักและเสียดาย
ลมทะเลพัดกลิ่นเค็มให้ลอยมา แต่น่าแปลกที่ความมันวาวบนริมฝีปากผมกลับให้รสชาติหวานซาบซ่าเหมือนครั้งนั้นเมื่อหกปีก่อน
ผมเบือนหน้าหนี ทำทีเป็นมองทะเลที่ซัดคลื่นเข้าหาฝั่ง คนจำนวนมากเดินอยู่ริมชายหาด แม่ค้า นักท่องเที่ยว คนทำงาน เหลือบหางตาไปทางซ้ายอีกหน่อยจะเห็นใครบางคนที่คุ้นตา
“นั่นใช่พี่เชนทร์หรือเปล่านะ”
“กับคุณโน้ตฝ่ายวิศวะ?”
ผมพยักหน้า เจ้าของร่างสูงใหญ่เดินจูงมือคนตัวเล็กกว่าที่ทำหน้ามุ่ยมาด้วย พี่โน้ตพยายามบิดข้อมือหนี พี่เชนทร์เลยปล่อยในที่สุด หากแต่เมื่อเจ้าของร่างผอมบางหมุนตัวกลับเท่านั้นแขนกำยำสีเข้มก็โอบรอบเอวช้อนคนรักขึ้นในท่าเจ้าสาว พี่โน้ตทุบหลัง ดิ้นอยู่ในอ้อมแขนพักใหญ่จนผมเกรงว่าจะพากันไปไม่รอด แต่เพียงพักเดียวเท่านั้น แขนเล็กก็โอบรอบคอ วิศวกรออกแบบยอมตกอยู่ในอ้อมกอดของวิศวกรควบคุมงานแต่โดยดี
บางทีที่พี่โน้ตเคยบอกว่าคนเราหนีพรหมลิขิตไม่พ้นนั่นผมก็ไม่อยากจะเชื่อ
ถ้าบอกว่าคนเรามักจะหนีหัวใจตัวเองไม่รอด ยังจะดูเป็นไปได้มากกว่า
“ตัดไปได้สักที ไอ้พวกแมงหวี่แมงวัน”
ผมหัวเราะเห็นไอ้เฟยทำหน้าหยัน ๆ แล้วหมั่นไส้
“พี่เชนทร์เขาไม่มีอะไรหรอกน่า คนที่น่ากลัวน่ะญาติมึงต่างหาก”
“เดือนหน้าก็จะแต่งอยู่แล้ว ไม่มาวุ่นวายหรอก ปอดแหกเสียขนาดนั้น ไอ้พวกท่าดีทีเหลวอย่างมันจะทำอะไรได้”
“ไม่ยักจะรู้ว่ามึงเกลียดเฮียอี้ขนาดนั้น”
นึกถึงตอนที่มันพาผมไปแนะนำให้รู้จักก็ดูเป็นพี่น้องที่รักกันพอสมควร อาจไม่ได้ดูสนิทกันมากนักแต่อย่างน้อยก็ปั้นหน้ายิ้มใส่กันไหว
“เรื่องที่มันทำน่ารักนักนี่”
“ปากคอเราะร้าย”
“เลิกพูดเถอะว่ะ นึกแล้วอยากจะเด็ดหัวคน”
“มึงไม่ทำหรอก” ผมพูด เท้าแขนกับระเบียงไปด้วย เส้นผมถูกพัดปลิวไปด้านหลัง คนผมยาวข้าง ๆ ก็เช่นกัน “มึงรับปากแล้วว่าจะใจเย็น”
“เล่นดักทางกูทุกเรื่อง”
“ยอมหรือเปล่าล่ะ”
“ก็รู้คำตอบ” ไอ้เฟยหัวเราะในลำคอ ผมเลยหันไปยิ้มให้ตาปิด ลักยิ้มข้างแก้มของมันเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุด ดังนั้นผมจะไม่ทำให้มันเสียใจอีก ที่ละเล่นกับใบหน้าขาวของมันอีกอย่างคือเส้นผม มันค่อนข้างรุงรังและยุ่งเหยิงเมื่อสายลมพัดผ่าน
“ที่ตลาดโต้รุ่งจะมีกรรไกรขายไหมนะ”
“ที่ไหนก็มี ถามทำไม”
“ตัดผมให้ไหม” ถ้าย้อนกลับไปเหมือนตอนนั้น นับหนึ่งที่ความรักแบบไม่มีรอยด่างพร้อยอีกครั้ง รักด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ นี่เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ผมกับมันมักทำร่วมกัน
“ไปนั่งวาดรูปในตลาดหาเงินซื้อกรรไกรแล้วกลับมาตัดผมให้กูด้วยแล้วกัน”
ผมพยักหน้า เมื่อหันกลับมาอีกทีพระอาทิตย์ดวงนั้นก็ลอยลับขอบฟ้าไปเสียแล้ว
อาจเป็นจุดสิ้นสุดของวัน หากแต่อะไรบางอย่างกลับเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง และไม่มีใครคำนึงถึงตอนจบ
“เราจะทะเลาะกันอีกไหม” ผมถาม ไอ้เฟยยิ้มพลางยักคิ้วกวน “ไม่เหลือ”
“แล้วถึงตอนนั้นจะทำยังไง”
มิ่งฟ้าดึงผมมาใกล้ ซ้อนตัวยืนจากด้านหลัง โอบกอดผมไว้ ปลายนิ้วเกี่ยวพันและบีบเข้าหากันประกอบคำตอบ
“ถ้าใครทำผิดกับอีกฝ่าย แล้วยอมสารภาพจะได้รับการยกโทษกึ่งหนึ่งดีไหม”
“ห้ามมีเรื่องชู้สาว”
“เรื่องนั้นกูเลิกมานานแล้ว”
“ถ้าเลิกนานแล้วเด็กนั่นมันอะไร”
“ไม่เอาน่า เราจะไม่พูดถึงเรื่องอดีตอีกดีไหม หรือถ้ามึงคาใจ กูจะตอบทุกคำถามมึงวันนี้เลย”
“มึงเคยรักน้องมันหรือเปล่า”
“ไม่เลย” มิ่งฟ้าตอบเสียงเรียบ ขยายความในประโยคถัดมา “ตอนแรกเมทไม่ใช่เกย์ด้วยซ้ำ กูเอ็นดูมันเหมือนน้องคนหนึ่ง เหมือนที่กูดูแลยู แต่กูดัน...ไปนอนกับมัน”
“เพราะคิดว่าเป็นกู?”
“กูไม่อยากใช้คำว่าพลาด มันโหดร้ายกับไอ้เมทเกินไป...แต่ก็นั่นแหละ” มิ่งฟ้าไหวไหล่ ยังมีความรู้สึกผิดอยู่ในแววตา “กูเมาว่ะ...พอตื่นมาอีกทีก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว ทั้ง ๆ ที่เมื่อสมัยเรียนกูเฉย ๆ กับการนอนกับคนอื่นนอกจากมึง แต่คราวนี้กูกลับกลัวไปทุกอย่าง กลัวน้องมันเสียคน กลัวมันวิ่งโร่มาฟ้องมึง กลัวมึงจะทิ้งกู ทุกอย่างระหว่างเรากำลังไปได้ดี กูกลัวมันพัง อีกอย่าง...ช่วงนั้นเฮียอี้ไปวอแวกับมัน กูก็ยิ่งห่วง กูทำอะไรไม่ถูกเลยด้วยซ้ำ ที่กูทำกับมันแย่มาก ๆ กูทำให้มันเป็นเกย์ แถมยังไปเอามันอีก ถึงจะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ”
ผมพยักหน้ารับรู้ เฟยเป็นคนเก็บเรื่องไม่สบายใจไว้กับตัวตั้งแต่ไหนแต่ไร ดูมันเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ ใคร ๆ ก็อยากพึ่งพาดังนั้นไม่แปลกเลยที่เด็กคนนั้นจะชอบมันเข้าจริง ๆ
ผมเอนตัวทิ้งน้ำหนักลงกับแผ่นอกกว้างอันแสนอบอุ่นก่อนเฟยจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม
“มึงไม่รู้หรอกว่ากูกลัวการอยู่โดยไม่มีมึงมากขนาดไหน ตี่ตี๋ สาบานเลยก็ได้ ไม่ทำอีกแล้ว แค่มองก็จะไม่มอง”
ผมหัวเราะ ครางรับคำในลำคอ “ถ้ามีอีกครั้งกูไปนะ ไม่ฟังเหตุผลอะไรแล้วด้วย”
“กูขอโอกาสครั้งสุดท้ายมึงมาแล้ว สำหรับเรื่องนั้น” ผมพยักหน้ารับรู้ มันเองก็กระชับแขนโอบกอดผมเอาไว้แน่น
“โอเค งั้นเราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีก ไม่มีการขุดมาเป็นประเด็นเวลาทะเลาะกัน” ผมตอบ และไอ้เฟยก็พยักหน้า ผมรู้สึกว่ามันดีใจเพราะพันธนาการสุดท้ายถูกปลดออกแล้ว
“ส่วนเรื่องอื่น ๆ เราจะผ่านทุกอย่างไปด้วยกัน”
มิ่งฟ้าครางรับคำในลำคอก้มตัวลงมาใช้แก้มแนบกับผม
“...เราจะผ่านไปด้วยกัน”
ดวงดาวยามค่ำคืนส่องแสงจรัสฟ้า สายลมแห่งความรัก พัดหมุนรอบตัวเราให้ชื่นฉ่ำหัวใจ
ตราบใดที่ยังรัก แน่นอน...เราต่างพร้อมให้อภัยมันไหว
…because true love doesn't mean we will never break up, it means we will always get back together.ENDสงสารแต่แม่ปลาบู่ อาศัยอยู่ในบึงใหญ่...
/ไม่เกี่ยว
จบแล้วค่ะสำหรับเรื่องนี้ ธีมของเราสำหรับเรื่องนี้คือการให้อภัย เราไม่ได้ตั้งใจจะหลอกทุกคนนะ ตั้งแต่แรกที่บอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ คือเราอยากให้เป็นแบบนั้นจริง ๆ แต่บทมันพาไป (กรีดร้อง) เลยกลายเป็นเรื่องที่ดราม่าที่สุดที่เคยเขียนมาเลย
เรื่องนี้ได้มุมมองมาจากเพื่อนหลาย ๆ คนที่คบ ๆ เลิก ๆ กับแฟนค่ะ เคยถามไปเหมือนกันว่าทำไมเจอแบบนั้นแบบนี้แล้วไม่เลิกวะ ร้องห่มร้องไห้เสียใจอยู่ได้ เจ็บแล้วทำไมไม่จำ โดนตอกกลับมาคำเดียว "เข็ดกับรักก็ขึ้นคานเหมือนมึงสิ" แสบไปถึงทรวง
จริง ๆ คนรักกันมีปัญหาด้วยกันหมดค่ะ จะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ตาม แต่เขาผ่านมันไปด้วยกันได้เพราะการปรับความเข้าใจแท้ ๆ (เริ่มปลงหลังจากเห็นพวกที่เรายุเลิกไปหลายคู่เข้าสู่พิธีวิวาห์และมีลูกตัวเล็ก ๆ กัน) พี่วินกับพี่เฟยก็แก่แล้ว การชิงชังฝังใจเลยกลายเป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างไม่อยากเก็บมาคิดในเมื่อยังรักกันอยู่ เราไม่รู้ว่าที่เขียนมาทั้งหมดพอจะสื่อให้เข้าใจตรงกันได้ไหม แต่พยายามอย่างสุดซึ้งเลยกับเรื่องนี้ หากยังเขียนไม่ดี หรือเจ็บแค่้นเคืองโกรธตัวละครตัวใดข้าน้อยขอรับผิดไว้เพียงผู้เดียว
ก่อนหน้านี้แซว ๆ ไว้ในเพจว่าเดี๋ยวจะเลิกเขียนนิยายไปวาดปกขายแทนแล้ว อันนั้นล้อเล่นนะคะ กลัวรวย ยังไม่อยากลาออกจากงานประจำมาเป็นปิกัสโซ่ เรื่องต่อไป(ซึ่งน่าจะเว้นระยะยาวพอสมควร) อยากเขียนเป็นเรื่องเบา ๆ บ้างค่ะ (ไม่หลอกแล้ว TvT) ยังไงก็ฝากติดตามผลงานกันด้วยนะคะ ^^
สุดท้าย ขายของค่ะ
เปิดจองแล้ว สามารถอ่านรายละเอียดได้ตามลิงค์ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=45284.0
หรือเข้าไปในเฟสบุ๊กแฟนเพจ(มีตอนพิเศษสั้น ๆ ในพาร์ทของพี่เฟยสองสามตอนค่ะ)
แล้วเจอกันในตอนพิเศษนะคะ
ขอบคุณที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้ค่ะ ขอบคุณมากจริง ๆ