บทที่ 6 ฤดูกาลไม่อาจคาดเดา“พอลยอมรับกับฉันแล้วนะว่าแอบคบกันกับรัณมาเกือบปีก่อนเกิดเรื่อง ส่วนกับกูรเขาก็ยอมรับอีกแหละว่าไม่ถูกกันแต่ไหนแต่ไร เห็นว่าท่าทางของกูรเหมือนกำลังหวงรัณ แถมมองด้วยสายตาประหลาดแทบทุกครั้งที่เจอกัน ประกอบกับพักหลังเขาสังเกตว่ารัณมักหายไปกับกูรโดยไม่ให้รู้บ่อย ๆ ก็เลยคิดเอาเองว่ารัณน่าจะมีความสัมพันธ์กับกูรเหมือนกัน… เห้อ นี่กำลังหาวิธีเกลี้ยกล่อมให้ยอมให้การเรื่องนี้กับพนักงานสอบสวนอยู่ ส่วนเรื่องที่บุกไปห้องกูรวันนี้คงฟิวส์ขาดจริง ๆ คืนนี้ฉันว่าจะพาไปส่งแล้วก็อยู่เฝ้าก่อน เผื่อจะคุมตัวเองไว้ไม่อยู่อีก นายเองก็ลองคุยกับกูรดูแล้วกัน ถ้าสองคนนี้ยอมพูดความจริงทั้งคู่คดีนี้อาจจะจบง่ายขึ้นก็ได้… เพราะบางทีดารัณอาจจะฆ่าตัวตายเองจริง ๆ เพราะท้อแท้กับเรื่องความรักสิ้นคิดแบบนี้”วัสสะปล่อยให้กลุ่มลมเย็นพัดผ่านใบหน้า เขามองออกไปจากบริเวณระเบียงห้องของธารางกูรพร้อมกับคิดถึงคำพูดของปองภพที่จบบทสนทนากันไปนับชั่วโมง เวลาตอนนี้นั้นเกือบจะรุ่งสาง อีกไม่ถึงสามชั่วโมงแสงสว่างคงจะเริ่มโผล่ขึ้นมาบนท้องฟ้ากว้าง ทว่าวัสสะยังไม่ได้หลับตาลงเลยแม้แต่วินาทีเดียว ซ้ำร้ายกว่านั้นคือเขายืนต่อสู้กับอากาศเย็นสะท้านกลางดึกสงัดมาตั้งแต่วางสายจากปองภพ ถ้าถามว่าเพราะอะไรเขาถึงไม่เดินกลับเข้าไปในตัวห้อง คงเป็นเพราะประโยคหนึ่งจากปากปองภพทำให้เขาคาใจอยู่ไม่หยุดล่ะมั้ง
“แต่พอลยืนยันกับฉันนะ ว่าคนที่แอบมองห้องกูรเมื่อวานไม่ใช่เขา”แม้จะยังคิดไม่ตก แต่เมื่อวัสสะมองนาฬิกาข้อมือแล้วพบว่าเวลากำลังหมุนเดินหน้าไปเรื่อย ๆ อย่างไร้ประโยชน์ เขาจึงตัดสินใจเดินกลับเข้ามาในห้องของธารางกูรที่มีเพียงแสงไฟสลัวอยู่อีกครั้ง เพราะความหนาวที่จี๊ดลงข้อกระดูก เขาจึงเลื่อนบานประตูกระจกปิดกั้นสายลมโดยไม่ได้เอ่ยขออนุญาตเจ้าของห้อง ครั้งนี้ธารางกูรไม่ได้เอ่ยปากห้าม ไม่ใช่เพราะว่าเขากำลังหลับใหล แต่เป็นเพราะตอนนี้ร่างบางไม่มีจิตใจจะมาสนเรื่องนี้
“อ้าว ผมคิดว่าคุณหลับไปนานแล้วซะอีก” วัสสะร้องทักเมื่อเห็นว่าธารางกูรนั่งกอดเข่าพิงหัวเตียงด้วยดวงตากลมใส ร่างบางส่ายหน้าพร้อมกับทิ้งศีรษะไปด้านหลังคล้ายคนหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต แสงไฟสีส้มนวลทอดผ่านร่างกายและใบหน้าของธารางกูรจนเน้นสัดส่วนเส้นคมร่างกายให้ชัดเจนขึ้นมาอีก วัสสะเดินเข้ามาใกล้เขาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ โดยไม่คิดจะเอ่ยปากขอ
“ผมนอนไม่หลับ”
“คิดอะไรอยู่” วัสสะขัดสมาธิขาขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะหันมองธารางกูรเต็ม ๆ ตา ใบหน้าของร่างบางหมองหม่น ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่ต่างอะไรกับคนที่นอนซมมานานนับเดือน เรียวคิ้วที่กระตุกไม่เป็นจังหวะบ่งบอกชัดเจนว่าธารางกูรคงมีบางเรื่องอยู่ในหัว อีกอย่าง คงไม่มีเหตุผลอะไรที่คนมีไข้อ่อน ๆ จะยังตื่นอยู่ในช่วงเวลาเช่นนี้
“ผมเหรอครับ”
“ใช่สิ ก็มีแค่ผมอยู่กับคุณนี่กูร”
“ผมเปล่าคิดอะไร”
“รู้มั้ยว่าถ้าคุณโกหกตำรวจ คุณจะมีความผิดนะครับ” แม้จะฟังเหมือนเป็นคำขู่ แต่น้ำเสียงอ่อนโยนของวัสสะกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่ทำให้ธารางกูรโอนอ่อนลงอย่างไม่มีทางเลือก
“ผมคิดถึงคำพูดของพอล”
“คำพูดของพอล...”
“ใช่ครับ ผมข่มตาหลับลงไม่ได้จริง ๆ ”
“เรื่องนั้นคุณช่างมันก่อนก็ได้ เลิกคิดกังวลแล้วนอนเถอะ ตอนเช้าค่อยว่ากัน คืนนี้ผมจะอยู่เฝ้าคุณเอง ที่โซฟาอนุญาตให้ผมนอนได้ใช่มั้ย” วัสสะไม่ได้ถามว่าธารางกูรติดใจประโยคไหนของพอลถึงได้ไม่ยอมหลับยอมนอนแบบนี้ อีกอย่างเขาก็พอจะเข้าใจว่าคนที่เจอเรื่องไม่คาดคิดคงไม่สามารถหลับลงได้ง่าย ๆ ขนาดตัวเขาเองยังรู้สึกว่าเวลาในคืนนี้ผ่านไปรวดเร็วจนแทบไม่เหลือเวลาเอาไว้พักผ่อนกายใจ
“คุณวัส” ธารางกูรก้มลดระดับใบหน้าลงมาในระนาบปกติ เขาคลายกอดตัวเองออกและทิ้งขาลงให้นั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ วัสสะเห็นเสื้อยืดตัวโคร่งแสนบางและกางเกงขาสั้นที่ไม่อาจป้องกันความหนาวใดได้แล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา คงเพราะแบบนี้อากาศเย็นจึงได้โอกาสเข้ามาทำร้ายจนป่วยไข้
“หืม”
“คุณได้ยินที่พอลพูดกับผมใช่มั้ย”
“ใช่ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด”
“พอลไม่เชื่อผมว่าผมไม่ได้ฆ่าคุณรัณ” สายตาเสียใจตัดพ้อของธารางกูรนั้นวัสสะสามารถรับรู้มันได้ทั้งหมด หากนี่เป็นความเสียใจ มันคงเป็นความเสียใจที่วัสสะไม่อาจคิดหาคำปลอบโยนได้ทัน ความโกรธโมโหของพีรพลนั่นรุนแรงและเต็มไปด้วยอารมณ์ ชายคนนั้นไม่พร้อมจะฟังเหตุผลหรือคำแก้ตัวใด ไม่แปลกเลยที่ธารางกูรจะเก็บเอามาคิดเช่นนี้ ไม่ว่าต้นทางของคำพูดจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม
“แล้วยังไง”
“ผมจะกลายเป็นฆาตกรในคดีของตำรวจอย่างคุณรึเปล่า”
“...”
“ว่าไงครับคุณวัส” เพราะวัสสะเงียบไปและใช้เพียงดวงตาคมเฉียบสบมองเขา ธารางกูรจึงจำเป็นที่จะต้องถามซ้ำเพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบที่น่าพอใจ แต่ทว่าการเกริ่นตอบที่วัสสะมีให้กลับเป็นการใช้มือขวาเชยกรอบคางของเขาขึ้นด้วยสัมผัสแผ่วเบา เรียวนิ้วทั้งห้าเคลื่อนขยับแตะช่วงผิวนุ่มนวลอยู่เรื่อย ๆ คล้ายวัสสะต้องการให้คำตอบแท้จริงบางประการกับธารางกูร
“ผมให้คำตอบคุณไม่ได้หรอก ผมไม่ใช่คนตัดสิน”
“แล้วใครจะตัดสินผม กฎหมายเหรอ ผมว่าคุณน่าจะศักดิ์สิทธิ์กว่ากฎหมายเสียอีก”
“ทำไมถึงพูดแบบนี้ รู้มั้ยคุณกูรว่าคำพูดของคุณกำลังทำให้สัญชาตญาณตำรวจทำงานหนัก”
“ผมแค่กลัว ผมคาดเดาชีวิตของตัวเองไม่ออก ถ้าสุดท้ายตำรวจเชื่อคำพูดของพอล...” ธารางกูรวางมือของตนทับไปบนหลังมือกร้านอีกชั้น เขาเอียงใบหน้าซบลงฝ่ามืออบอุ่นของอีกฝ่ายเต็มน้ำหนักราวกับพยายามอ้อนวอนร้องขอสิ่งใด
อาจจะเป็นความเห็นใจ ความเข้าใจ ความเชื่อใจ หรือชีวิต
“ตำรวจไม่ได้เชื่อคนง่ายขนาดนั้นสักหน่อย”
“แล้วคุณสารวัตรเชื่อผมรึเปล่าครับ” ธารางกูรเอ่ยถามพร้อมกับการเรียกชื่อตำแหน่งของวัสสะ มันเป็นการยอกย้อนที่เจ็บแสบลงไปในใจของคนฟัง นั่นเท่ากับว่าประโยคที่ตนพูดวนกลับมามัดตัวเสียง่าย ๆ
“ผมเชื่อคุณอยู่เรื่องนึง เรื่องอากาศหนาวที่คุณชอบ ถ้ามันมีฝนตกลงมาคงจะสมบูรณ์แบบ” ร่างสูงยกมุมปากยิ้มเมื่อเขาเข้าใจประโยคที่ธารางกูรเคยพูดไว้กับตน เมื่อครู่เขาอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นริมระเบียงอย่างเจ็บปวดใจ แม้ท้องฟ้าจะเกลื่อนกลาดไปด้วยดวงดาว แต่โลกมนุษย์เบื้องล่างกลับดูแห้งเหี่ยวราวกับไร้ชีวิต มันอาจจะเป็นมุมมองของคนไม่กี่คน อาจจะเป็นความชอบที่ฟังดูพิลึก แต่คงจะเป็นเรื่องที่พิเศษหากฤดูกาลผสมปนเปกันจนไม่อาจคาดเดา
“ทำไมล่ะครับ”
“แล้วทำไมคุณถึงชอบมัน”
“ผมเคยตอบไปแล้ว”
“ผมอยากถามซ้ำ”
“ผมรักความมีชีวิตชีวาของเม็ดฝน ต่อให้หนาวมากแค่ไหนผมจะทน” ธารางกูรเคลื่อนใบหน้าที่วัสสะยังจับเอาไว้อยู่อีกครั้ง ดวงตากลมพยายามมองอีกฝ่ายไล่ผ่านตั้งแต่บริเวณปลายนิ้ว แต่ทว่าก่อนที่จะมองไปจุดไกลสุดสายตา ร่างบางกลับจ้องมองร่องรอยไม่พึงประสงค์บริเวณข้อมือของวัสสะ
“จะทนเก่งแค่ไหน คุณอย่าปล่อยตัวเองตากความหนาวจนป่วยอีกแล้วกัน”
“คุณไปโดนอะไรมา” ธารางกูรดึงมือขวาของวัสสะออกจากรูปหน้าตน มือเรียวกำฝ่ามือของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น ข้อมือหนาผ่านการใช้งานมาจนเห็นเส้นเลือดใต้ผิวอย่างชัดเจน แต่ที่ชัดเจนกว่านั้นคงจะเป็นรอยถากยาวราวสองเซนติเมตรคล้ายโดนของมีคม แม้ว่ามันจะดูไม่ได้ลึกมากมายจนเป็นอันตราย แต่ของเหลวสีแดงที่ยังซึมออกมาจนถึงเวลานี้ก็ทำให้คนมองอดกังวลใจไม่ได้อยู่ดี
“คงจะเผลอโดนมีดตอนนี้ที่ยื้อแย่งกับพอลน่ะ”
“ผมเป็นต้นเหตุให้คุณเจ็บตัวรึเปล่า”
“ไม่หรอก ผมแทบไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ” เรื่องที่วัสสะไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดกับแผลเท่ารอยข่วนเป็นความสัตย์จริง เขามองผิวหนังบริเวณนั้นของตนราวกับเรื่องธรรมดาและไร้รู้สึก แต่วัสสะคงไร้ความรู้สึกได้เพียงไม่นานเท่านั้น เพราะจู่ ๆ คนตรงหน้าก็ทั้งก้มทั้งดึงแขนของเขาให้ไปอยู่ในระดับที่พอเหมาะ เรียวริมฝีปากนุ่มนิ่มจุมพิตลงไปกลางรอยมีดนั่น วัสสะเบิกตาขึ้นมองอย่างคนไม่เข้าใจ แต่เขากลับปล่อยให้ธารางกูรกระทำการสุ่มเสี่ยงต่อไปโดยไม่คิดห้ามปราม
“...” ร่างบางเงยหน้าขึ้นจากการจุมพิตที่เรียกความรู้สึกประหลาด เขาไม่ออกปากพูดสิ่งใดออกมา ทั้งยังออกแรงดึงให้วัสสะเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นกว่าเดิมพร้อมกับสายตาวิงวอนออดอ้อน คนที่ใจกำลังเต้นคงหนีไม่พ้นนายตำรวจหนุ่มที่ไม่อาจต่อต้านการกระทำของอีกฝ่ายได้ดีมากพอ
“คุณคิดจะทำอะไร”
“ไม่รู้สิครับ ผมไม่รู้เลย” ธารางกูรเริ่มกดริมฝีปากลงที่ข้อมือขวาของวัสสะอีกครั้ง คราวนี้เรียวลิ้นสีชมพูระเรื่อเริ่มตวัดชิมรสชาติคาวเลือดจนเจ้าข้อมือเจ็บแปลบยู่หน้า ไม่น่าเชื่อว่าริมฝีปากได้รูปจะสามัคคีกับความร้อนรุ่มภายในโพรงปากได้ดีขนาดนี้ ทว่ามันคงยังไม่พอที่จะทำให้วัสสะไม่อาจต่อต้านได้ดังคำกล่าว ริมฝีปากซุกซนยังคงไม่หยุด มันเคลื่อนตัวไปตามผิวกายแน่นกระชับ จากข้อมือสู่เรียวแขน จากเรียวแขนสู่ผืนผ้าบริเวณช่วงไหล่ ร่างบางกระทำการทุกอย่างราวกับเป็นอัตโนมัติ แขนเสื้อยืดสีขาวที่ไหล่ขวาของวัสสะแทบจะเปียกชื้นไปด้วยน้ำลาย ณ ตอนนี้เขาไม่ได้ทำเพียงใช้หน้ามือยันร่างกายของตนเองเอาไว้ แต่เขายังต้องแบกร่างกายที่พยายามโถมน้ำหนักเข้ามาอย่างไม่มีทางเลือก
“กูร...” วัสสะพยายามกลืนกลุ่มน้ำลายหนืดเหนียวในคอลงไป เขามองตามทุกการกระทำของธารางกูรอยู่ไม่ห่าง นัยน์ตาอ่อนไหวช้อนมองเขาอยู่เป็นระยะ และดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเริ่มหนักหน่วงขึ้นเมื่อสายตาของวัสสะหันมาโลมเลียแนวต้นคอขาวที่โผล่มาเรียกร้องใกล้สายตา
“ครับ” เสียงตอบรับของธารางกูรช่างสดใสผิดที่ผิดเวลา ร่างบางเอียงคอมองจนแทบจะทิ้งน้ำหนักลงไปกับไหล่ของวัสสะ รอยยิ้มหลังคำว่าครับนั่นเป็นดั่งการ์ดเชิญวีไอพีที่ไม่ว่าใครคงไม่อาจปฏิเสธ ไม่นานถึงนาทีที่ทั้งสองคนใช้สายตาพูดคุยกัน ธารางกูรยันเข่ายกตัวขึ้นก่อนจะโถมลงขบเม้มดูดดันเรียวลิ้นที่ช่วงคอของวัสสะจนเจ้าตัวเกือบจะเผลอส่งเสียงอื้ออึงออกมาเพราะความพอใจ
“เพราะตัวคุณเย็นเฉียบเลยอยากได้ความอบอุ่นรึไง” จากที่เคยยันมือไว้กับเตียงเพื่อตั้งหลัก วัสสะได้เริ่มเปลี่ยนหลักยึดมาเป็นช่วงเอวของคนที่ยังชันเข่าโน้มตัวลงมาไม่เลิก มือหนาไม่ได้ล่วงล้ำเข้าไปใต้เสื้อผ้าแต่อย่างใด มันทำหน้าที่เพียงลูบไล้จับต้องสัดส่วนเอวบางยาวลามไปยังสะโพกกลมกลึง
“คงงั้นมั้งครับ” ธารางกูรหยุดนิ่งขณะที่ก้มมองใบหน้าของวัสสะเต็ม ๆ ตา แม้ร่างสูงจะพยายามตีสีหน้านิ่งเพียงใดแต่สายตาที่มีความต้องการซ่อนอยู่ไม่อาจหลอกลวงคนมองไปได้ หน้าผากมนโน้มลงสัมผัสหน้าของวัสสะ ลมหายใจที่รดกันอยู่อย่างชิดใกล้ยิ่งทำให้วัสสะออกแรงบีบสะโพกของธารางกูรที่จับเอาไว้เต็มมือ กลิ่นเหงื่อ กลิ่นลมหายใจ กลิ่นกายของฝ่ายตรงข้ามเป็นดั่งเชื้อเพลิงชั้นดี ธารางกูรกำลังจดจ้องดวงตาของเขา ระหว่างที่เขาจ้องมองเพียงเรียวปากที่กำลังยกเชิดราวกับผู้ชนะ
และแน่นอน วัสสะคงไม่ยอมปล่อยให้ธารางกูรเป็นผู้ชนะในเกมนี้
“คุณกับปืนไม่คู่ควรต่อกันหรอก” น้ำเสียงทุ้มนุ่มแข็งกร้าวไม่น่าฟังเลยสักนิด มือหนาจับข้อมือของธารางกูรเอาไว้แน่นจนอีกฝ่ายรู้สึกเจ็บและยอมปล่อยมือตนออกจากด้ามปืนช่วงกรอบเอวของวัสสะในทันที ดวงตาที่เคยเชื้อเชิญตื่นกลัวความผิดอยู่ไม่น้อย วัสสะสะบัดแขนของธารางกูรออกจากมือ ร่างบางทรุดลงไปกับเตียงก้มหน้ามองผืนผ้ายับย่นอย่างไม่กล้าสู้หน้า
ไม่มีจุมพิตรสหอมหวนจากความต้องการของใคร
เวลานี้คงมีเพียงความผิดลองฟุ้งอยู่เต็มชั้นอากาศ
“ผม...ผม… ผมขอโทษ”
“คุณนอนเถอะ ดึกมากแล้ว” ไม่ว่าธารางกูรจะเอ่ยคำขอโทษเรื่องใด มันก็ไม่ได้ทำให้สีหน้าโกรธเคืองสับสนของวัสสะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ร่างสูงผุดตัวลุกขึ้นและมุ่งตรงไปยังโซฟาว่าง ๆ ที่ไม่ได้ห่างไปจากเตียงนัก แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะกระชับด้ามปืนใต้ชายเสื้อให้อยู่ในสภาพที่ควรอยู่ แม้วัสสะจะทิ้งตัวลงนอนแต่กลับไม่มีวี่แววว่าค่ำคืนนี้เวลาจะพรากสติยามตื่นของเขาไปได้เลย
“คุณวัส คุณโกรธผมเหรอครับ”
“เปล่า ผมไม่รู้ว่าจะโกรธคุณเรื่องอะไร”
ความโกรธเคืองที่รู้สึกเจ็บปวดจุกอกเสียเอง
ความโกรธเคืองที่ทำให้สับสนในจิตใจจนใบหน้าชาดิก
หากความโกรธเคืองเป็นเช่นนี้ วัสสะจะเรียกว่าความรู้สึกในใจว่าโกรธได้อย่างไรTalk
กูรลู๊กกกกก หนูหยิบปืนผิดอันนนน (เดี๋ยวนะ 55555) ตอนต่อ ๆ ไปจะอัพเว้น 1-2 วันนะคะ แล้วแต่ช่วงเวลาว่างที่ไม่แน่นอนค่ะ ฝากคอมเมนต์ติชม ด้วยนร้าาาา เราอยากอยากกก ><
ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกวิว ทุกคอมเมนต์ล่วงหน้าค่ะ