Chapter 7
“ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ได้โปรดอย่าหายไปจากผม”
“ผมกินมังสวิรัติเพราะผมไม่อยากทำร้ายชีวิตใคร แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียสนะถ้าจำเป็นก็กินหมูหมากาไก่ได้แหละ ...ออ ถึงจะกินผักแต่ผมเกลียดผักชี ผักมีกลิ่นทุกชนิด”
“..........”คนฟังอย่างภัทรกรยกแก้วเครื่องดื่มสีอำพันจรดริมฝีปากนับครั้งไม่ถ้วน กว่าชั่วโมงที่ร่างสูงเอาแต่นั่งจ้องหน้าคนที่เอาแต่จ้อไม่หยุด วาโยกำลังพยายามพูดเกี่ยวกับตัวเองเพื่อพิสูจน์ตัวตนกับคนตรงหน้า แม้บรรยากาศในคลับแห่งนี้จะทำให้เขาต้องใช้น้ำเสียงแบบคูณสองแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความพยายามของร่างบางลดลงเลยแม้แต่น้อย
“ของหวานเนี่ยผมโคตรเกลียด แต่ถ้าเป็นลูกอมผมชอบนะ โดยเฉพาะฮาร์ทบีท”
“เพราะอะไร… เพราะมันหวานหรอ”
“คงเพราะกินมันแล้วรู้สึกดีมั้ง” ภัทรกรพยักหน้ารับเบา ๆ ยกเครื่องดื่มพรวดเข้าปากไปอีกแก้ว ที่เขานัดวาโยมาที่นี่คืนนี้ก็แค่หวังว่าจะมีความจริงข้อไหนที่ทำให้เลิกปักใจเชื่อว่านี่ไม่ใช่ชลนทีอย่างที่อีกฝ่ายพยายามพูด แต่ดันกลับกลายเป็นว่ายิ่งเข้าใกล้ ยิ่งฟังเรื่องราวเหล่านั้นมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันใกล้ตัวมากขึ้นทุกที
“แบบคุณไม่น่ามาชอบลูกอมเด็ก ๆ แบบนี้นะ”
“ทำไม โตแล้วต้องชอบกินลูกอมรสกาแฟรึไง”
“มันก็ไม่ใช่แบบนั้น… ” ภัทรกรโคลงหัวตอบ รอยยิ้มพร่ำเพื่อที่คนตรงหน้าส่งมามันทำให้ใจเขาพองโตเพิ่มขึ้นทุกขณะ จนแวบนึงของความคิดมันบอกเขาว่าไม่ว่าคนคนนี้จะเป็นใคร เขาก็ไม่ควรจะปล่อยให้อีกฝ่ายหายไปจากชีวิต
“แล้วคุณอ่ะ ต้องมีลูกอมรสที่ชอบบ้างล่ะ”
“ผมชอบลูกอมรูปหัวใจ...รสสตรอเบอร์รี่” ภัทรกรกระตุกยิ้มบาง ๆ พร้อมดวงตาเจ้าเล่ห์ ด้านวาโยก็เลี่ยงการสบตาตรง ๆ โดยการกรอกตามองไปรอบตัวอย่างมีพิรุธ ...ลูกอมรูปหัวใจในไทยมันจะมีซักกี่ยี่ห้อกันเชียว การเลี่ยงชื่อเรียกแบบนี้ไม่เลี่ยงเสียยังดีกว่า
“ล...แล้วเมื่อกี้จะมาว่าผมทำไม”
“เห้ย ผมเปล่า ผมว่าคุณตอนไหนครับ”
“ก็คุณนั่นแหละที่… นี่!! พอแล้ว!!” ภัทรกรสะดุ้งตัวโยนเมื่อมือเล็กฟาดเข้าอย่างแรงที่หลังมือ ขวดเหล้าที่กำลังจะถูกรินลงแก้วจำเป็นต้องวางนิ่งลงกับโต๊ะเช่นเดิมพร้อมกับสีหน้าเซ็ง ๆ ของพ่อนักดื่มที่ซัดเข้าไปคนเดียวเกือบครึ่งขวด
“โอ๊ย อะไรของคุณเนี่ย”
“จะกินอะไรเยอะแยะ คุณบอกจะมาทำความรู้จักกับผมไม่ใช่หรอ แล้วให้ผมพูดคนเดียวอยู่ได้”
“หึ…..” ร่างสูงอมยิ้มกลั้นขำเมื่อเห็นสีหน้าเอาเรื่องและพร้อมจะวีนจนร้านแตกของวาโย
“ขำอะไรห่ะ”
“ขำคุณนั่นแหละ ทำหน้าตลกฉิบ ...เหมือนพวกเมีย ๆ ที่มาตามผัวกินเหล้า”
“เฮ้ย! ใครสอนให้พูดจาแบบนี้วะ!” คนตัวเล็กลุกขึ้นยืนเสียงดัง แต่โชคดีที่หลาย ๆ โต๊ะรอบบริเวณไม่ได้หันมาสนใจ มือหนารีบดึงแขนปรามให้นั่งลงก่อนจะเกิดเหตุวีนแตกเข้าให้จริง ๆ
“โอเค ๆ ผมขอโทษ เหล้าก็ไม่กินแล้ว โอเคป่ะครับ”
“........” วาโยไม่ได้ตอบแต่นั่งกอดอกมุ่ยหน้าเพราะเริ่มจะเสียอารมณ์เพราะเสียเวลามานั่งพูดให้อีกฝ่ายฟังตั้งมากมาย ทั้งที่ยอมเปิดใจมาเป็นเพื่อนปลอม ๆ ให้แล้วแท้ ๆ แต่ก็ยังโดนกวนตีนไม่จบสิ้นอยู่ได้
“เอางี้… ผมจะแนะนำตัวเองบ้าง แล้วถ้าข้อไหนที่คุณยังไม่ได้พูด ก็ให้พูดออกมาแลกเปลี่ยนกัน ...ตกลงมั้ย”
“ก็ดี” วาโยหมุนตัวบนเก้าอี้ให้มองหน้าอีกฝ่ายง่ายขึ้น ขณะที่ภัทรกรขยับเข้าไปเพื่อลดระยะห่าง ก่อนที่บทสนทนาจริงจังจะเริ่มขึ้นหลังจากที่ร่างบางพูดคนเดียวอยู่พักใหญ่
“ผมภัทรกร ปีนี้อายุ 25 ภูมิลำเนาเป็นคนเชียงใหม่”
“ผมก็ 25 ….กรุงเทพ” ร่างบางหลุบตาต่ำลงเมื่อพูดในสิ่งที่ตนเองเลี่ยงตั้งแต่แรกออกมา ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคั้นเอาในสิ่งที่ตนเองอยากจะรู้ ด้านร่างสูงก็พยายามควบคุมสายตาและสติตัวเองให้นิ่งทั้งที่ในใจมันวุ่นวายรอทุกคำตอบจะแย่อยู่แล้ว
“ตอนนี้ผมทำงานโปรแกรมเมอร์”
“ไม่ได้ทำอะไร”
“อ้าว รวยนี่หว่า ไม่ต้องทำงานซะด้วย”
“นี่! เสือกมั้ยล่ะ!” ร่างบางยันเข้าที่หน้าผากภัทรกรเต็มแรงหนึ่งที
“โห โคตรโหดเลยว่ะ” ปากว่ามือก็ค่อย ๆ เคลื่อนไปยังแก้วเหล้าอีกครั้งในแบบที่ตัวเองคิดว่าเนียน แต่ก็นั่นแหละ ...เปล่าเลย
ป๊าบบบ!
“โอ้ยยยยยย” แถมยังโดนตบกะโหลกฟรีอีกหนึ่งอีกทีด้วย
“เมาแล้วจะกลับยังไง ผมไม่มีปัญญาพาคุณไปส่งหรอกนะ”
“หึ….หึหึ”
“ว่าแล้วยังจะมาทำตลกอีก”
“นี่เราสนิทกันแล้วใช่ป่ะ…”
ลืมตัว… วาโยหน้าเจื่อนเพราะรู้สึกผิดไม่น้อยเมื่อพึ่งรู้ตัวว่าได้ลั่นกระบาลเพื่อน?แปลกหน้าที่พึ่งเจอไม่กี่ครั้ง แถมยังไม่ได้รู้ตัวตนกันเลยด้วยซ้ำไป ...แต่ดู ๆ ไปก็เหมือนอีกฝ่ายจะยิ้มออกมาคล้ายกับพอใจ
“ข...ขอโทษ มือไวไปหน่อย”
“ครับ… ไม่โกรธ” ภัทรกรยื่นหน้าเข้าไปใกล้วาโย ระยะที่ห่างอยู่ไม่เกิน 5 เซนเล่นเอาใจทั้งคู่สั่นไม่เป็นจังหวะ ลมหายใจแรง ๆ เพราะความรู้สึกแปลก ๆ ก็ทำให้ร่างบางหน้าแดงขึ้นไม่น้อย
“เอ่อ… พ… พูดต่อสิ” เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังเข้ามาใกล้เพิ่มมากขึ้นทุกทีวาโยก็จำต้องเบือนหน้าหนีอย่างเลือกไม่ได้
“โอเค ๆ ...ผมเป็นลูกคนเดียว”
“ผมก็ไม่มีพี่น้อง”
“ตอนนี้เรียกตัวเองว่าเป็นกำพร้าก็ได้มั้ง แม่ผมพึ่งเสียเมื่อปีที่แล้ว ส่วนพ่อเขามีครอบครัวใหม่ไปนานแล้ว” ร่างสูงลากยิ้มที่มุมปากเบา ๆ แม้ว่าน้ำเสียงมันจะแฝงไปด้วยความเศร้าจนอีกฝ่ายต้องแตะที่ไหล่เบา ๆ พร้อมประโยคที่ออกจะเศร้าไม่แพ้กัน
“คุณยังโชคดี ผมเสียแม่ไปตั้งแต่จำความอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“...เอ่อ ผมไม่น่าพูดเรื่องนี้เลย”
“พูดได้นะ มันเป็นแฟคที่เกิดขึ้นจริงไม่ใช่หรอ” ร่างสูงพยักหน้าบาง ๆ มองอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มไม่สะทกสะท้านไม่วางตา พร้อมกันนี้เขายังต้องข่มใจไม่ให้ซ้อนทับใบหน้าหมองเศร้าของใครอีกคนเข้ามาแทนที่รอยยิ้มสดใสตรงหน้า
“แล้วตอนนี้คุณอยู่กับใคร ผมอยู่คนเดียวมาจะปีละ โคตรเหงาอ่ะ”
“ผมพึ่งย้ายมาอยู่กับพ่อได้ไม่นาน ก็ไม่ค่อยเหงาอ่ะ แต่ตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับพ่อก็มีคิดถึงเพื่อนเก่าอยู่เหมือนกัน ...เรียกเหงาได้ป่ะ”
“ก็ได้นะ แปลว่าเมื่อก่อนคุณไม่ได้อยู่ที่กรุงเทพหรอ”
“ก็ไม่เชิงหรอก… ผมเคยอยู่กรุงเทพจนเจ็ดขวบแล้วก็ย้ายไปอยู่ที่นึง”
“แล้วคุณมาจากที่ไหน”
“..........” ร่างบางเม้มปากเรียบนิ่ง ดวงตากลมทอดมองออกไปอย่างกังวลจนคนข้าง ๆ สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ...วาโยเลี่ยงที่จะตอบคำถามนี้อย่างตั้งใจ ถ้ามันไม่มีอะไรจริง ๆ ทำไมถึงไม่ยอมให้คำตอบแก่เขา
“คำถามผมยากไปหรอ”
“ป...เปล่า”
“แต่คุณกำลังเงียบและไม่ตอบผมนะ ...มีอะไรรึเปล่า” มือหนาเชยคางอีกฝ่ายให้หันมาสบตา ดวงตาหลุกหลิกดูจะนิ่งขึ้นเพราะเริ่มเกิดความเขินการจ้องตาของอีกฝ่ายเข้ามาแทนที่
“ผ...ผมพูดเรื่องนี้ไปแล้ว คุณไม่ได้ตั้งใจฟังเอง เรื่องอะไรผมจะต้องพูดซ้ำ”
“ผมว่าผมตั้งใจฟังคุณตลอดนะ ...อย่ามาหลอกผม”
“คุณคงจะเมาจริง ๆ แล้วล่ะ ...ผมพูดไปแล้ว” มือเล็กยันที่อกภัทรกรเบา ๆ ก่อนจะพาตัวเองลงมาจากเก้าอี้หมายจะเดินออกไปจากร้าน จนร่างสูงคว้าข้อแขนเอาไว้แทบไม่ทัน
“จะไปไหนครับคุณวาโย”
“ก็คุณเมาแล้วผมก็กลับสิ”
“ผมไม่ได้เมา แล้วคุณก็ยังไม่ได้ตอบคำถามผมด้วย ไหนคุณบอกว่ายินดีให้ผมพิสูจน์ไง”
“.......” ร่างบางไม่ตอบแต่ถอนหายใจทิ้งแล้วพยายามบิดข้อมือให้พ้นจากการเกาะกุมแทน
“โอเค ผมยอมแล้ว ผมเมา… ผมจำไม่ได้เองว่าคุณพูดอะไรไปบ้าง” ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ ที่ตัวเองยอมอีกฝ่ายง่าย ๆ แต่ภัทรกรก็ไม่ได้มีหนทางที่ดีมากนัก ตอนนี้เขาต้องถือคติเอาน้ำเย็นเข้าลูบเท่านั้น
“ก็ดี… งั้นวันนี้ผมกลับก่อนก็แล้วกัน” มือเล็กได้จังหวะบิดข้อมือจนได้เป็นอิสระ คิ้วเรียวกระตุกเบา ๆ เยาะเย้ยคนที่ยอมก้มหน้าเป็นผู้แพ้ แต่ถึงการก้าวขาของเขามันจะเร็วแค่ไหนมันก็ยังสู้ช่วงขาที่ยาวกว่าของอีกคนไม่ได้อยู่ดี
“นี่! ผมยังไม่ให้คุณกลับนะ” ภัทรกรหยิบแบงค์พันสองใบในกระเป๋าวางทิ้งไว้บนโต๊ะลวก ๆ ก่อนจะก้าวยาวเข้าไปขวางทางคนที่กำลังจะผลักประตูร้าน
“แต่ผมจะกลับ คิดว่าตัวคุณเองจะสั่งผมได้รึไง”
“แต่เรายังคุยกันได้นิดเดียวเอง”
“วันนี้ผมพูดไปเยอะแล้ว คุณก็กลับห้องนอนเถอะ” ร่างบางพยายามเบี่ยงตัวเพื่อจับบานประตู แต่ภัทรกรก็ยืนขวางกรอบประตูด้านมือจับจนวาโยแทบจะหมดหนทาง
“คุณจะปล่อยให้ผมกลับคนเดียวหรอ ผมเมานะ”
“หึ… จะไปตกรถตกเรือหรือโดนจับเข้าตารางที่ไหนก็เรื่องของคุณ เหล้านั่นก็กินเอง ผมไม่ได้จับกรอกปากซักหน่อย”
“แต่คุณบอกว่าจะมานั่งเป็นเพื่อนผมนี่ จะทิ้งกันหรอครับ” ภัทรกรบู้หน้าอ้อนคนที่กำลังกอดอกหัวเสีย ไม่รู้ล่ะ งานนี้จะให้ไอ้ภัทรทำอะไรก็ได้ แต่ไม่มีทางที่จะปล่อยวาโยกลับไปง่าย ๆ แน่
“ก็คุณชวนผมมาไง!”
“แต่คุณก็ตอบตกลงเองนะ”
“ผมแค่อยากจะมาพิสูจน์ว่าผมไม่ใช่เพื่อนคุณ”
“งั้นคุณก็ยังกลับไม่ได้ ...เพราะผมยังไม่เชื่อ”
“เพราะคุณไม่ฟังผมไงล่ะ ไม่เชื่อก็เรื่องของคุณเถอะ”
“งั้นผมสรุปเลยแล้วกันว่าคุณก็คือชลนทีนั่นแหละ และคุณอาจจะลืมผมไปจริง ๆ หรือไม่...ก็แค่แกล้งลืม”
“คุณภัทร!”
“ว่าไงครับ ...คุณช ออ ...คุณวาโย!”
“ขอโทษนะ คุณจะยืนตรงนี้อีกนานมั้ย”
“ขอโทษครับ” เสียงชายแปลกหน้าทำให้ศึกย่อม ๆ สงบลง ภัทรกรรีบขอโทษขอโพยและย้ายร่างตัวเองออกมาให้พ้นกรอบประตูทันที ชายคนนั้นผลักบานประตูออกไปแทบจะทันทีเพราะมายืนรออยู่นานแล้ว แต่ที่ทำให้ร่างสูงรู้สึกหมั่นไส้ได้สุด ๆ ก็คงจะเป็นร่างบางที่โบกมือร่ำลาเบา ๆ แล้วยิ้มร้ายเดินตามชายคนนั้นออกไปก้าวต่อก้าว
“บายยยยยย”
“คุณวา…. โอ๊ยยยยย!!” เสียงโอดโอ๊ยดังสนั่นขึ้นจากปากคนที่เอามือไปขวางประตูที่กำลังจะปิดแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ มือหนากลายเป็นที่รองรับนุ่ม ๆ สำหรับบานประตูที่เด้งกลับมาด้วยความเร็ว ...และแน่นอนเสียงร้องจ๊ากนั่นก็บรรยายความเจ็บตัวได้เป็นอย่างดี
มุกเจ็บตัวรีรัน
เอาวะไอ้ภัทร
ลองเล่นอีกซักรอบมันจะเป็นไรไป
อย่างน้อย… สีหน้าคนที่กลับมาดูมันก็แปลว่าได้ผลล่ะวะ ...หึหึ
.
.
.
“โอ๊ยย โอ๊ยยยยย โอ๊ยยยยยยยยย เบา ๆ สิครับคุณวาโย ผมเจ็บนะ”
“สมน้ำหน้า”
“โอ๊ยยยยยยยยยย” ภัทรกรนิ่วหน้าร้องเสียงหลงเมื่อพยาบาลจำเป็นดัดนิ้วกลางที่กำลังบวมแดงเต็มแรง ไอ้ครั้นจะดึงมือหนีก็เห็นจะสู้รังสีอำมหิตที่โผล่มาจากใบหน้าวาโยไม่ได้ ก็จะไม่ให้ร่างบางแสดงอาการหงุดหงิดได้ยังไงล่ะ ก็ไอ้คนสำออยนี่ใช้การเจ็บที่เขาไม่ได้ก่อลากเขามาถึงคอนโดได้สำเร็จ ...ถ้าไม่เห็นว่าเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่มีทางได้เห็นวาโยที่นี่หรอก
“จะร้องทำไมนักหนาเนี่ย ถ้ายังโวยวายผมไม่นวดให้แล้วนะ”
“ก็มันเจ็บ เบามือหน่อยสิครับ เดี๋ยวมือผมก็หักพอดี”
“หักซะได้ก็ดี ใครใช้ให้โง่เอามือไปรองประตู จะด่าว่าโง่เหมือนควายก็ยังสงสารควาย ...หึ”
“โห… ด่ามาให้จบ ๆ ไปเลยดีกว่าแบบนี้”
“ควายยยย” เสียงเน้น ๆ ยานครางฟังยังไงก็ชัดเจนในความหมาย ร่างบางยิ้มกระล่อนขณะที่ยังนวดสี่นิ้วที่บาดเจ็บของอีกฝ่ายโดยไม่คิดจะเบามือลงแม้แต่น้อย ...หึ เมื่อกี้ก็ยังลากเขาขับรถกลับมาเองได้แท้ ๆ พอถึงคอนโดเป็นง่อยซะงั้น
“ก็เพราะคุณนั่นแหละ ผมถึงต้องเจ็บตัว”
“ผมทำอะไรไม่ทราบ ...นี่!! อยู่นิ่ง ๆ สิโว้ย!!” ดูเหมือนวาโยจะหงุดหงิดไม่น้อยที่ร่างสูงพยายามจะดึงมือหนีตลอดเวลา เดี๋ยวพอไม่ทำให้ก็จะมาหน้าหงิกหน้างอทำตัวหน้าสมเพชขึ้นมาอีก ขนาดทำท่าไม่สนใจก่อนหน้านี้ยังทำซึมจะเป็นจะตาย
นี่ไม่ได้เป็นห่วงหรอกนะ… แต่รำคาญ!
“ก็คุณทำเจ็บนี่หว่า”
“ถ้าไม่หยุดพูด ผมจะกลับเดี๋ยวนี้ละนะ”
“.............” ภัทรกรหุบปากเงียบทันที รอยยิ้มผุดขึ้นเต็มใบหน้าคม เขามองวาโยที่กำลังจัดการกับรอยช้ำที่มือตัวเองด้วยใจที่คล้ายจะเป็นสุข ดวงตากลมนั่นช่างดูละเอียดอ่อนยามเมื่อตั้งใจทำอะไรซักอย่าง เรียวปากบางที่บ่นอุบตลอดเวลาก็ชวนให้หลงใหลเสียเหลือเกิน
ยิ่งมอง
ยิ่งใกล้
ยิ่งสัมผัส
ร่างบางตรงหน้านี้ไม่มีส่วนไหนที่ต่างไปจากชลนทีเลยซักนิด
“นั่งเงียบ ๆ แต่แรกก็จบไปล่ะ”
“ก็ถ้าผมพูดต่อ คุณก็อดจับมือผมน่ะสิ” ร่างบางมองค้อนขึ้นสบตาทันที แต่เมื่อปะทะกับดวงตาคมที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้วก็ดันรู้สึกอุ่น ๆ ขึ้นมาบนใบหน้าซะงั้น
“ราตรีสวัสดิ์ ผมกลับดีกว่า” ร่างบางฉีกยิ้มกว้างทั้งที่ยังรู้สึกร้อน ๆ ที่ใบหน้า พยายามปล่อยมือออกจากมือหนาเก้ ๆ กัง ๆ เพราะอีกฝ่ายเริ่มกระชับมือขึ้นจนรู้สึกแปลก ๆ
“เดี๋ยวสิครับ…. จริง ๆ แล้วมันเป็นผมเองที่อยากให้คุณจับมือผม ผมยังไม่อยากให้คุณกลับ”
“...........!!”
ไอ้มือเวรเอ๊ยยยยย พยายามอีกหน่อยสิวะ ปล่อยให้เขาจับอยู่ได้
“ดึกแล้ว คุณพักที่นี่ก็ได้ กลับตอนนี้มันอันตราย”
“อยู่กับคุณน่าจะอันตรายกว่า” แน่ล่ะสิ ไอ้มือกาวนี่ขนาดบวมแดงเลเวลนี้ยังมีปัญญาล็อคมือเขาไม่ให้หลุดไปได้อีก นี่ถ้าไม่เห็นกับตาว่าเป็นแผลจริงที่ผ่านมาคงนึกว่าแอคติ้ง ...หึหึ
“คุณกลัวอะไรผม… ผมมีอะไรน่ากลัวตรงไหนอ่ะ” ร่างสูงก้มมองตัวเองแล้วส่งสายตาล้อ ๆ ไปให้วาโย ร่างบางที่สีแก้มเริ่มเปลี่ยนออกแรงในการดึงมือมากขึ้นจนร่างสูงต้องยอมปล่อยให้เป็นอิสระในที่สุด
“โอ้โห… ความไม่รู้ตัวนี้” วาโยกรอกตามองบนแทบจะครบสามร้อยหกสิบองศา ภัทรกรหลุดขำก๊ากเมื่อเห็นท่าทางของคนตรงหน้า ร่างสูงอาศัยจังหวะนี้ค่อย ๆ ขยับตัวให้พื้นที่บนโซฟาลดน้อยลง
“ฮาๆๆๆๆ ดูคุณทำหน้าเข้าสิวาโย ...หน้าคุณตอนนี้แม่งสยองกว่าผมแน่ ๆ”
“ไอ้คุณภัทร!!! เฮ้ย!!! ทำบ้าไรเนี่ย!!!” ถึงคราวร่างบางร้อนโวยวายบ้างเมื่อจู่ ๆ คู่สนทนาก็ทิ้งหัวลงกับหน้าตักเขาโดยไม่บอกล่วงหน้า แถมยังไถหัวไปมาเพื่อให้ได้ท่าที่สบายอย่างถือวิสาสะ
“นอน…”
“นี่คุณ ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“ไม่ครับ” คนในตักยิ้มกว้างเมื่อตัวเองอยู่ในท่าทางที่สบายสุด ๆ ตักเล็กอุ่น ๆ มันค้านกันกับประโยคโวยวายของผู้เป็นเจ้าของ สองแขนของวาโยกางขึ้นกลางอากาศเพราะไม่รู้ว่าควรจะวางมันไว้ตรงไหน หรือควรจะผลักไสหัวหนัก ๆ นี่ออกไปยังไงดี
“คุณภัทรผมจะกลับบ้าน ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้นะ”
“ผมขออยู่แบบนี้ซักพักไม่ได้หรอ” ภัทรกรหลับตาลงซะดื้อ ๆ เลยอดได้เห็นแววตาสับสนของคนที่ถอนหายใจทิ้งเฮือกใหญ่ รางบางทิ้งตัวเองพิงลงกับโซฟา สองแขนปล่อยลงข้างตัวในท่าที่ไม่ถนัดนัก
“คุณทำแบบนี้กับทุกคนที่พึ่งรู้จักเลยรึไง”
“...........” ร่างสูงส่ายหน้าเบา ๆ ทั้ง ๆ ที่ยังหลับตาอยู่
“ผมให้เวลาคุณแค่สิบนาทีนะ…” น้ำเสียงที่อ่อนลงยิ่งทำให้ร่างสูงไม่คิดจะลืมตา ...แค่นาที หรือวินาที มันก็มีค่ากับเขาทั้งนั้น
“ผมขอพูดเรื่องชลนทีอีกครั้งได้มั้ย… แค่อีกครั้งเดียว…”
“อืม…” โทนเสียงที่ฟังดูหม่นเศร้าทำให้วาโยยากที่จะปฏิเสธ ดวงหน้าคมที่หลับตาสนิทอยู่บนตักคล้ายจะผ่อนคลายที่สุดนับตั้งแต่เจอกัน
“ชลนที เขาเป็นคนไม่ค่อยมีเพื่อน ...ไม่สิ ...เท่าที่ผมรู้คือผมเป็นเพื่อนคนเดียวของเขา มันน่าตลกนะ ที่สุดท้ายคนที่เรียกตัวเองเต็มปากว่าเพื่อนแบบผมก็ปกป้องเขาไม่ได้เลยซักนิด เราทำเป็นไม่รู้จักตัวตนกันทั้งที่โรงเรียน หรือที่ไหนก็ตามที่มีสายตาคนอื่นมองมา ...คุณรู้มั้ย ไม่ใช่เพราะว่าผมอาย แต่เป็นเพราะผมอยากปกป้องเขา” เสียงทุ้มระบายความหม่นเศร้าที่เต็มอกออกมา วาโยก้มมองเปลือกตาที่ปิดสนิทอย่างพินิจ ก่อนที่มือเรียวจะวางลงเบา ๆ บนอกของคนในตัก
“..........”
“แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่ามันผิด สิ่งที่ผมควรทำคือออกไปปกป้องเขาในที่แจ้งโดยไม่สนสายตาคนมากกว่า….” มือหนายกพาดทับมือของวาโยบนแผงอก ร่างสูงไม่ได้ออกแรงบีบใด ๆ เขาแค่ต้องการให้ใจตัวเองรู้สึกอุ่นขึ้นเท่านั้น
“มันไม่ได้ผิดหรอก คนเราก็มีวิธีแสดงออกกับเพื่อนที่ต่างกันไม่ใช่หรอ ...วิธีที่คุณทำมันอาจจะเป็นวิธีที่ดีสำหรับคุณและชลนทีก็ได้” วาโยหงายมือขึ้นบีบฝ่ามืออีกฝ่ายเบา ๆ ดวงตากลมมองใบหน้าอีกฝ่ายเพราะสติของเขาอยู่กับน้ำเสียงของคนในตักประโยคต่อประโยค
“ผิดสิ… มันผิดเพราะผมไม่ได้คิดกับชลแค่คำว่าเพื่อน…”
“..........”
“ผมผิด” หยดน้ำใส ๆ ไหลผ่านหางตาภัทรกรนิ่งเฉียบ ร่างสูงยังคงนอนหลับตานิ่งอยู่แบบนั้นทั้ง ๆ ที่น้ำตากำลังไหลออกมาเป็นสายจนวาโยอดแปลกใจไม่ได้ คนที่ดูเหมือนเข้มแข็งกำลังร้องไห้เพียงเพราะคนคนนึง
“...คุณ……..” ร่างบางบีบมือหนาแรงขึ้นเพื่อหวังให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าอย่างน้อยวินาทีนี้ก็มีเขาคนนึงที่จะพยายามรับฟัง
“ผมรักเขา… ผมรักชล….” ภัทรกรเบี่ยงหน้าเข้าหาช่วงลำตัววาโยเพราะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะสะอึกสะอื้นในอีกไม่กี่วินาที ร่างบางไม่ได้ขัดขืนหรือส่งเสียงใดห้าม แล้วก็เป็นไปตามคาดไม่นานนักภาพวันวานก็แล่นเข้าหัวจนเขารั้งความอ่อนแอไว้ไม่อยู่ กลิ่นไอกรุ่น ๆ ของร่างกายที่กำลังซุกหน้าก็ยิ่งทำให้ภัทรกรร้องไห้นักเพิ่มขึ้นอีกทวีคูณ
ความรู้สึกที่ได้ของหายคืน… แต่ดันไม่ใช่ชิ้นเดิม…
วาโย… ที่ไม่ใช่ชลนที…
“...ร้องออกมานะคุณภัทร รู้สึกยังไงก็ระบายออกมา” มือเรียวไล้ผ่านเส้นผมคนร้องไห้ช้า ๆ เอาเข้าจริงสีหน้าวาโยตอนนี้ก็เหมือนคนที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรรู้สึกแบบไหนกับเหตุการณ์ตรงหน้า
“ผมคิดถึงเขา… คิดถึงมาก คิดถึงจนผมอยากจะลืม ๆ เขาไปซะแต่ผมก็ไม่เคยทำได้เลยซักครั้ง”
“...........” วาโยรู้ดีว่าสิ่งที่ดีที่สุดตอนนี้ก็คงจะเป็นเงียบฟังเสียงอู้อี้ที่พอจับใจความได้
“ชลหายไปโดยที่ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาหายไปไหน ...ผมทำอะไรไม่ได้เลย ทั้งที่อยากจะไขว่คว้าชลให้กลับมาใจจะขาด”
“...........” ดวงตาคมกระตุกวูบ แววตาที่แสดงออกบอกชัดว่าตอนนี้วาโยเข้าใจแล้วว่าเหตุใดภัทรกรถึงมั่นอกมั่นใจนักว่าเขาคือชลนที
ภัทรกรไม่ได้รู้สึกมั่นใจ ...เพียงแต่รู้สึกว่าวาโยคือความหวัง
“ถ้าผมขออะไรได้ซักครั้ง… ผมจะขอให้ชลนทีไม่หายไปไหน ตอนนี้ผมมีแค่คุณ… คุณไม่หายไปจากผมได้มั้ย” คนที่ซุกหน้าลืมตาแดง ๆ เอี้ยวหน้าขึ้นมองเจ้าของตัก ดวงตากลมวูบไหวเมื่อร่างสูงส่งสายตาคล้ายอ้อนวอนตามที่พูด เสียงหัวใจดวงเล็ก ๆ เริ่มดังถี่ขึ้นเมื่อภัทรกรอาศัยจังหวะที่เขาเผลอใช้มือโน้มคอลงมาเพื่อประกบปากนิ่ง ก่อนจะขยับเน้นจุดสัมผัสอย่างเนิบ ๆ
สัมผัสเอื่อย ๆ แต่เนิ่นนานมันดูสุภาพอ่อนหวานจนไม่อาจทำให้ร่างบางปฏิเสธได้
ส่วนคำขอนั่น
ถ้าตามหลักความสัมพันธ์ทั่วไปของมนุษย์ที่พึ่งจะรู้จักกัน… วาโยก็ควรจะปฏิเสธมัน
.
.
.
กริ้งงงงงงงงงงง! เสียงกริ่งบอกเวลาเข้าเรียนทำให้ธนายอมละสายตาจากเหตุการณ์ตรงหน้า พร้อมแตะบ่าเพื่อนสนิทเป็นคำเตือนว่าควรเลิกสนใจเกมในมือแล้วเข้าเรียนกันได้เสียที
"ไปมึง คาบนี้ถ้าสาย ครูสุนีย์แม่งด่าจนหูกูตึงแน่ ๆ "
"มึงไปก่อนเลย เดี๋ยวกูตามไป"
"อะไรของมึงวะ จะหนีไปดูดบุหรี่อีกอ่ะดิ"
“เออ” ภัทรกรตอบสั้น ๆ เป็นการตัดรำคาญ โดยที่ผู้เป็นเพื่อนไม่ได้สังเกตแม้แต่น้อยว่าดวงตาคมของเขามันเอาแต่จ้องไปยังลานปูนกลางแดดจ้านั่น ร่างบางที่นั่งกอดเข่าบนพื้นซีเมนต์มาร่วมชั่วโมงเริ่มมีอาการสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าคนที่ก้มหน้าลงกับเข่าตัวเองตอนนี้มีสีหน้าแบบไหน รู้สึกยังไง แล้วทำไมต้องทำแบบนั้น
“กูเปลี่ยนใจล่ะ ไปเรียนกันเหอะว่ะ” ร่างสูงลุกขึ้นจากม้าหินอ่อนโดยไม่คิดจะหันกลับไปมองคนที่ยังนั่งกอดเข่าอยู่กลางแดด เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกแบบไหนดี สงสาร เห็นใจ สมน้ำหน้า สมเพช หรือไม่ควรรู้สึกอะไรเลย
"ชล… ชล… " เสียงกระซิบเบา ๆ ผ่านริมฝีปากหนาเพียงเพื่อให้ตนเองได้ยิน ภัทรกรเรียกชื่อนั้นซ้ำ ๆ ในทุกก้าวเดิน สองขาที่เดินตามผู้เป็นเพื่อนไม่ได้สอดคล้องกับเรื่องราวที่ยังพะวงและกังวลในหัว ทั้งที่รู้ว่าชลนทีกำลังต้องการใครซักคน แต่ทำไมจึงเลือกที่จะเดินจากมาโดยไม่คิดกลับหลังไปมอง
…ถ้าในความฝันนี้เลือกทางเดินใหม่ได้ เขาจะไม่เดินจากมาและปล่อยให้นั่นเป็นภาพสุดท้ายที่เขาเห็นชลนทีในโรงเรียน
.
.
.
ปั๊กกกกก!! ร่างสูงที่ตกอยู่ในห้วงความฝันเมื่อครู่กระพริบตาถี่ขึ้นเมื่อสองแขนไล่ไขว่คว้าความฝันจนร่างตกลงมาข้างโซฟาที่เขาเผลอหลับไปทั้งคืน ก็แปลกดีที่ฝันครั้งนี้แสนเรียบง่ายแต่ดันน่ากลัวกว่าทุกค่ำคืน
ก็เพราะว่ามันใกล้เคียงความจริงมากยังไงล่ะ
มันเหมือนเขาถูกสมองรีรันเหตุการณ์จริงมากเสียกว่าความฝัน…
และภาพที่ลืมตาตื่นขึ้นมาไม่เจอใครบางคนที่อยากเจอก็เช่นกัน
จะว่าเขาไม่คาดหวังก็ไม่ถูกนัก เมื่อคืนหลังจากเผลอทำให้อีกฝ่ายตกใจจากจุมพิตเรียบ ๆ นั่น ความเงียบก็ยึดอำนาจทั้งห้องจนเป็นฝ่ายเผลอหลับไปในที่สุด ไม่อยากวาดฝันนักว่าจะได้เจอชลนทีเมื่อยามตื่น คงไม่มีเหตุผลอะไรให้เขาอยู่ที่นี่จนถึงเช้าความรู้สึกที่ผสมกับความฝันที่พึ่งตื่นมันก็แค่โหวง ๆ เท่านั้น
‘ที่ผมจูบคุณ ผมไม่ได้คิดว่าคุณคือชลนทีนะ…’
ภัทรกรมองตัวอักษรที่เขาพิมพ์ผ่านโปรแกรมแชท พยายามทบทวนมันทีล่ะตัวอักษร คงไม่ดีแน่ถ้าเขาใช้คำพูดที่ทำให้อีกฝ่ายไม่ชอบใจ เรียวนิ้วกดลบทีล่ะตัวก่อนจะบรรจงลงแป้นพิมพ์เพื่อเรียบเรียงประโยคใหม่ ...พิมพ์ ๆ ลบ ๆ จนกว่าตัวเองจะนึกพอใจนั่นล่ะ
‘เรื่องที่ผมจูบคุณ คุณไม่โกรธใช่มั้ย’
‘ผมขอโทษนะครับ ผมไม่อยากให้คุณหายไป’
‘ที่ผมบอกว่าไม่อยากให้คุณหายไป ไม่ใช่เพราะผมคิดว่าคุณคือชลนที คนที่ผมจูบก็ไม่ใช่ชลนที ที่ผมรู้สึกตอนนี้ผมคิดว่ามันมีเพื่อคุณ…. วาโย’ ประโยคสุดท้ายที่เขามั่นใจถูกกดส่งไปยังปลายทางด้วยมือสั่น ๆ ร่างสูงวางโทรศัพท์คว่ำลงข้างตัว เขาไม่รู้ว่าวาโยจะเปิดอ่านข้อความนี้มั้ย หรือจะรู้สึกยังไงกับสิ่งที่เขาต้องการจะบอก หลายนาทีผ่านไปโทรศัพท์เครื่องนี้ก็ยังเงียบไร้การตอบรับอยู่เช่นเดิม เม็ดเหงื่อเริ่มผุดออกมาทั่วกรอบหน้าเพียงเพราะเขากำลังลุ้นในผลลัพธ์ ก่อนที่หยดเหงื่อเหล่านั้นจะไหลออกมาทั่วร่างจนมือสั่น ๆ เปียกชื้นหลังจากที่เสียงแจ้งเตือนข้อความผ่านโปรแกรมแชทดังขึ้น...
Thana : ‘อะไรของมึงไอ้ภัทร ชลนทีไหน? วาโยคือใคร?’
ภัทรกรจะจำไว้ ว่าครั้งหน้าให้รอบคอบมากกว่านี้