ตอนที่ 11
ความรู้สึกของผม....
ความรู้สึกที่อินมันพูดถึงมันหมายถึงอะไร แล้วมันจะเกี่ยวกับโรคประหลาดที่ผมเป็นด้วยหรือเปล่า อาการที่ผมเป็นมันแค่โรคประหลาดที่ใคร ๆ เขาก็เป็นกันจริงเหรอ สิ่งที่มันกำลังเกิดกับผมมันคืออะไรกันแน่ ผมเอาแต่คิดวนเวียนอยู่ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แล้วที่อินมันบอกว่ามันรอมานานแล้ว มันรออะไร สิ่งที่มันรอมาจากผมใช่ไหม มันเกี่ยวกับความรู้สึกของผมที่อินพูดถึงหรือเปล่า
ผมไม่เข้าใจเลย...
“กี้”
“ไอ้กี้”
“ห๊ะ เรียกกูเหรอ”
ผมกระพริบตาปริบ ๆ เมื่อโดนชมพู่ตีเข้าที่แขน
“เออ กูเรียกเป็นสิบรอบแล้วมั้ง มัวแต่เหม่ออยู่นั่นแหละ”
“แหะ ๆ โทษทีว่ะ”
ผมได้แต่ส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้เพื่อน เมื่อกี้ไม่ได้ฟังจริง ๆ ว่ามันพูดว่าอะไร
“กูถามว่าตกลงเย็นนี้มึงกับไอ้อินจะไปกินชาบูกับพวกกูไหม”
“เอ่อ กูยังไงก็ได้”
“แล้วไอ้อินละ มันต้องไปซ้อมกับวงเปล่าวะ”
ชมพู่ถามถึงเพื่อนอีกคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ ตอนนี้ผม ชมพู่ และมายนั่งกันอยู่ที่ใต้ตึกคณะหลังจากเลิกเรียนแล้ว
“ไม่รู้ มึงก็ไปถามมันสิ”
“อ้าว ก็พวกมึงอยู่ด้วยกัน ทำไมมึงไม่รู้วะ”
ชมพู่มองผมด้วยความสงสัย ผมเลยแกล้งสนใจชีทเรียนที่วางอยู่บนโต๊ะแทน
“แล้วนี่มันไปไหนวะ”
“เมื่อกี้เห็นอาจารย์ขวัญเรียกให้ไปหาน่ะครับ”
มายเป็นคนให้คำตอบกับชมพู่เอง เมื่อเห็นผมยังนั่งทำหน้านิ่งไม่รู้ไม่ชี้อยู่
“งั้นเดี๋ยวมึงก็ถามให้กูหน่อยละกัน”
“มึงก็ถามมันเองสิ”
“เอ๊ะ ไอ้นี่ เรื่องมากจริง”
เพื่อนสาวของผมทำเสียงจิจ๊ะ ก่อนที่มันจะมองผ่านผมไปทางด้านหลัง
“ไอ้อินมาพอดี”
“อิน เย็นนี้มึงจะไปกินชาบูด้วยกันเปล่าวะ” ชมพู่ถามคนที่เพิ่งเดินมาถึงโต๊ะ
“อือ ไปสิ”
“งั้นพวกมึงไปจองคิวที่ร้านกันก่อน เดี๋ยวกูขอเอาหนังสือไปคืนแล้วจะตามไป”
“งั้นเดี๋ยวชมพู่ไปพร้อมเราละกัน ขากลับเราจะได้ไปส่งที่หอด้วย”
“กูไปด้วย” ผมโพล่งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินมายพูดว่าจะไปพร้อมกันกับชมพู่ ไม่สนสายตาประหลาดใจของทุกคนที่มองมา
“มึงจะมาด้วยทำไม มึงก็ไปรถไอ้อินก่อนเหมือนทุกทีสิ ก็รู้อยู่ว่าตอนเย็นที่ร้านคนมันเยอะ ทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วยค่ะมึง”
ชมพู่ไม่ยอมตามใจผม แถมยังด่าผมอีกที่ทำตัวมีปัญหา ซึ่งผมก็เถียงมันไม่ได้ด้วย
“ไม่ต้องมาทำเป็นหน้างอใส่กู กูไม่ใช่ไอ้อินจะได้คอยโอ๋มึง”
ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ มาจากไอ้คนที่ถูกพาดพิงถึง ผมเลยได้แต่ทำหน้าเซ็งกว่าเดิมเมื่อไม่ได้อย่างที่หวัง
“ไอ้อินมึงเลิกตักใส่แต่ชามของกี้มันได้ไหม เต็มชามจนล้นแล้วนั่น เหลือไว้ในหม้อให้คนอื่นกินบ้างเหอะ”
ชมพู่โวยวายเสียงดังเมื่อเห็นว่าในชามของผมมีทั้งหมูทั้งเนื้อสารพัดสัตว์และเครื่องชาบูที่อินมันตักให้ ส่วนผมก็มีหน้าที่แค่รอให้เย็นแล้วคีบเข้าปาก ก็ปกติเวลาไปกินชาบูหรือปิ้งย่างอะไรแบบนี้ อินมันมักจะค่อยตักค่อยคีบให้ผมอยู่แล้ว ก็เพราะมันบ่นว่าผมกินช้า มัวแต่เคี้ยวเอี้ยงแย่งไม่ทันคนอื่น
“กูเห็นมันแย่งพวกมึงกินไม่ทัน”
อินมันตอบไปแบบนั้นโดยที่ยังคีบกุ้งที่สุกแล้วมาใส่ในชามของผมเพิ่ม
“แหม บุฟเฟต์นะคะคุณมึง ไม่พอก็สั่งมาอีกสิวะ”
ผมกลืนเนื้อสไลด์ลงคอก่อนจะพูดบ้าง
“งั้นมึงก็สั่งมาเพิ่มสิวะชมพู่ จะมาบ่นไอ้อินมันทำไม”
“แหม ทีเรื่องกินนี่รีบเข้าข้างไอ้อินเลยนะมึง ทีเมื่อกี้ยังทำตัวงอแงจะไม่ยอมมากับมันอยู่เลย”
“ไม่ใช่สักหน่อย เอานี่ กูยกกุ้งให้ตัวนึง สองตัวเลยก็ได้”
ผมคีบกุ้งในหม้อใส่ชามของชมพู่เพื่อเอาใจมันบ้าง จะได้เลิกพูดมากสักที
“แล้วของกูละ ไม่เห็นตักให้กูบ้างเลย”
ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับคำทักท้วงของไอ้คนที่เพิ่งตักกุ้งใส่ชามให้ผม
“มึงก็ตักกินเองสิ ไม่ต้องตักมาให้กูแล้ว”
“ก็กูอยากให้มึงตักให้”
แม่ง...ทำไมมึงต้องใช้เสียงนุ่ม ๆ มาพูดแบบนี้ด้วยวะ
ผมหยิบกระบวยจวงตักสรรพสิ่งที่อยู่ในหม้อขึ้นมาโดยไม่ทันได้ดูหรอกครับว่าตักได้อะไรบ้างใส่ชามไอ้อิน ถ้าตักได้แต่ผักก็ช่างมัน พอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นมันส่งยิ้มเป็นประกายมาให้
“ไอ้กี้ ทำไมหน้าแดงจังวะ”
“ก็...หม้อชาบูมันร้อน มึงไม่ร้อนหรือไงชมพู่”
ชมพู่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันกับผมทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ ผมเลยก้มหน้าก้มตาคีบอาหารเข้าปากไม่ยอมเงยหน้ามองใครอีกเลย รวมถึงไอ้คนที่ยังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ข้าง ๆ ผมด้วย
“นี่คิดมากเรื่องที่กูพูดเหรอ”
อินหันมาถามหลังจากที่ต่างคนต่างเงียบตั้งแต่ชมพู่และมายแยกกลับรถอีกคัน ผมเอาแต่นั่งเงียบ เสมองรถคันข้าง ๆ ที่เคลื่อนผ่านไปคันแล้วคันเล่า
“ก็เลยพาลไม่อยากอยู่ใกล้กูสินะ” เพื่อนของผมมันถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้ได้ยิน
“กูเสียใจนะเนี่ย อุตส่าห์ตั้งใจหาวิธีช่วยมึงแท้ ๆ”
ผมรู้หรอกน่าว่าอินมันแกล้งตีหน้าเศร้า ทำเป็นพูดให้ดูดราม่ามาแบบนี้แต่กลับมีรอยยิ้มแต้มที่มุมปาก
“เปล่าสักหน่อย” ผมตอบเสียงอ้อมแอ้มเบา ๆ
“กูก็บอกแล้วไงว่าค่อย ๆ คิดก็ได้ ไม่เห็นต้องเครียดแบบนี้เลย”
น้ำเสียงอ่อนโยนของอินคล้ายกับอยากจะทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ผมเม้มริมฝีปากล่าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบสายตาคมแล้วเอ่ยออกมาเบา ๆ
“ก็...มึงบอกว่ารอมานานแล้ว กูก็ไม่อยากให้มึงต้องรออีก”
“....กี้...มึงนี่มัน...”
อินเอาหน้าฟุบกับพวงมาลัยรถ โชคดีที่เป็นจังหวะรถติดไฟแดงพอดี และโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว จู่ ๆ อินก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอื้อมมือมาคว้าท้ายทอยของผมไว้ ก่อนที่ผมจะทันรู้ตัวริมฝีปากของคนตรงหน้าก็แตะเข้าที่ริมฝีปากของผมแล้ว
ผมได้แต่เบิกตาโพลงพร้อมกับความรู้สึกปั่นป่วนครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในท้อง ผีเสื้อตัวน้อยนับร้อยต่างแข่งกันขยับปีกโบยบินราวกับต้องการจะบินออกมาสู่โลกภายนอก สัมผัสของริมฝีปากที่แนบแน่นยิ่งขึ้นยิ่งเพิ่มความบ้าคลั่งให้กับเจ้าพวกผีเสื้อพวกนี้ พร้อมกับรู้สึกวาบหวิวที่เกิดขึ้นเช่นกัน
เสียงแตรรถด้านหลังที่กดไล่เมื่อไฟสัญญาณเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวทำให้อินผละออกจากผมหันกลับไปสนใจกับการขับรถต่อและดูเหมือนมันจะขับเร็วขึ้นกว่าปกติ
ราวกับเนิ่นนานทั้ง ๆ ที่ความจริงแค่ชั่วเวลาไม่กี่วินาทีที่รถติดไฟแดง ผมยกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปากของตัวเองเบา ๆ ตรงตำแหน่งที่โดนทาบทับเมื่อครู่
“กี้..”
อินที่กำลังเขย่าตัวผมเบา ๆ มองผมด้วยสายตาเป็นห่วง ผมกระพริบตาถี่ ๆ ราวกับการทำแบบนี้จะเร่งสติให้กลับคืนมาได้เร็วขึ้น เหลียวมองรอบตัวก็พบว่าตอนนี้รถจอดสนิทอยู่ใต้คอนโดของอินแล้ว
“มึง...โอเคไหม”
“หา...”
ตอนแรกผมยังงง ๆ ว่าอินมันหมายถึงอะไร แต่พอเงยหน้าขึ้นสายตาปะทะเข้ากับริมฝีปากหยักได้รูปของคนตรงหน้า ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็หวนกลับคืนมา
“เมื่อกี้มึง...ทำอะไรกู”
ทำไมเสียงผมมันถึงเหมือนกับคนกำลังละเมอแบบนี้
“จูบมึงไง”
ไอ้อินตอบหน้าตาเฉย แถมยังถามผมกลับอีก
“อย่าบอกนะว่าแค่จูบมึงก็ไม่รู้จัก”
ไอ้บ้า จูบใคร ๆ ก็ต้องรู้สิโว้ย ผมได้แต่มองค้อนมันไป
“กูหมายถึงมึงจูบกูทำไม กูเพื่อนมึงนะ”
“ก็...รักษามึงไง”
“รักษา”
ผมทวนคำพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความสงสัย พยายามหาความเชื่อมโยง
“ใช่ ก็อย่างที่กูบอกว่าต้องเพิ่มความใกล้ชิด มึงกับกูลองนอนกอดกันมันยังไม่หายใช่ไหม กูเลยลองจูบมึงดูไง”
“แล้วจู่ ๆ มึงก็จูบกูเนี่ยนะ”
“เออ...ก็กูอยากลอง”
“ไอ้...”
ผมไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาด่ามันดีครับ อยู่ ๆ นึกอยากจะลองจูบมึงก็จูบเนี่ยนะ สรุปว่าอินมันจูบผมก็เพราะอยากจะช่วยรักษาผมหรอกเหรอ
“แล้ว...มึงรู้สึกอย่างไงบ้าง”
“ไอ้ผีเสื้อบ้าแม่งแทบจะทะลุกระเพาะกูออกมาแล้วมั้ง เล่นอะไรบ้า ๆ ”
ผมโวยวายมันยกใหญ่ จะทำอะไรก็ไม่บอกให้ผมตั้งตัวก่อนเลย
“แค่นั้น?” มันสบตาผมก่อนจะก้มหน้าลงปลดเข็มขัดนิรภัยที่คาดไว้ออก
“ก็เออสิ แล้วมึงจะให้รู้สึกอะไร”
“งั้นขอลองอีกที”
“ไอ้...อุ๊บ”
พูดจบอินมันก็โน้มตัวเข้ามาจนชิด สองมือจับประคองใบหน้าของผมไว้ไม่ให้หันหนีได้ก่อนที่จะประทับริมฝีปากลงมาอีกครั้ง ผมเบิกตากว้างพยายามจะใช้มือดันไปที่หน้าอกของมันแต่ทันทีที่อินมันงับริมฝีปากล่างของผมแล้วดูดดึงเบา ๆ เรี่ยวแรงที่ผมมีก็แทบจะหมดไป ได้แต่ปล่อยให้อินมันทำตามใจ
เจ้าพวกผีเสื้อในท้องของผมยังคงบินวนเวียน แต่น่าแปลกที่ครั้งนี้พวกมันกลับไม่ได้เกรี้ยวกราดอย่างเช่นที่ผ่านมา แต่กลับค่อย ๆ ขยับปีกบินช้า ๆ อย่างอ่อนโยน ชวนให้ผมรู้สึกล่องลอย
ผมปรือตาขึ้นเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่ผละออก ใบหน้าหล่อร้ายกาจของเพื่อนสนิทยังคงอยู่ไม่ห่าง สายตาของผมจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากสีสดของมัน ผมค่อย ๆ คลายมือที่ไม่รู้ว่าขยุ้มเสื้อนักศึกษาของคนตรงหน้าตั้งแต่ตอนไหนออก นิ้วมือเรียวยาวของอินบรรจงเช็ดน้ำลายที่ริมฝีปากของผมเบา ๆ
“กูว่ามึงชอบวิธีรักษาแบบนี้นะ”
รอยยิ้มเย้ายวนบวกกับสายตาแวววับของมัน ทำเอาผมร้อนวูบที่หน้า ผมรีบผลักมันให้ห่างก่อนจะคว้ากระเป๋าแล้วเปิดประตูลงจากรถทันทีพร้อมกับคำด่าที่ทิ้งไว้
“ไอ้เชี่ยอิน”
ผมได้ยินเสียงไอ้เพื่อนชั่วหัวเราะชอบใจก่อนที่จะกระแทกประตูแจ็สลูกรักของมัน
ผมกำลังนั่งทบทวนสมการประหลาดในหัว ถ้าการอยู่ใกล้อินแล้วทำให้ผมมีอาการประหลาด การอยู่ห่างจากอินมันก็น่าจะทำให้ผมดีขึ้น แต่มันกลับไม่ได้เป็นแบบนั้นน่ะสิ อาการของผมกลับยิ่งดูแย่ลงกว่าเดิมเสียอีก แล้วพอมาอยู่กับอินตามทฤษฏีความใกล้ชิดจะได้ชินอะไรของมันเนี่ย โรคประหลาดของผมมันก็ยังเกิดอาการอยู่ดี แล้วยิ่งเวลาอินมันเข้าใกล้มาก ๆ ผมยิ่งรู้สึกเหมือนแทบจะขาดใจตอนที่เจ้าพวกผีเสื้อมันเกรี้ยวกราด
ยกเว้นครั้งล่าสุดที่ผมเกิดอาการ การโบยบินของเจ้าพวกผีเสื้อกลับทำให้ผมรู้สึกดีจนน่าแปลกใจ
แล้วนี่มันเกี่ยวกับความรู้สึกที่อินมันพูดถึงด้วยไหม...
ไม่เข้าใจเลยสักนิด...
“คิ้วจะผูกกันแล้ว”
“เฮ้ย”
ผมสะดุ้งตัวเมื่ออยู่ ๆ อินมันเอานิ้วมาจิ้มตรงกลางหว่างคิ้วของผม
“ถ้าไม่มีสมาธิอ่านก็ไปนอนเถอะ ดึกแล้ว”
หันไปมองนาฬิกาทรงกลมที่แขวนอยู่บนผนัง เข็มสั้นและเข็มยาวบอกให้รู้ว่าล่วงเข้าวันใหม่มาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว เห็นแบบนั้นผมจึงปิดหนังสือที่กางค้างไว้หน้าเดิมตั้งแต่ชั่วโมงก่อนแล้วลุกจากโต๊ะหนังสือไปแปรงฟันเตรียมตัวจะเข้านอน เสร็จแล้วก็ถอดแว่นขึ้นเตียงห่มผ้า ยังไม่ทันที่ผมจะหลับ ไฟในห้องก็ถูกดับลง
“เฮ้ย อินไม่เอา ไม่กอด”
ผมขยับตัวหนีไอ้คนที่พอขึ้นเตียงปั๊บมันก็คว้าหมับเข้าที่เอวผม
“ทำไมละ ไม่อยากหายแล้วเหรอ”
มันไม่ยอมปล่อยแถมยังรวบตัวผมไปจนชิดอก ตัวผมแทบจะจมหายไปกับอ้อมกอดของมัน เกลียดตัวเองที่ตัวเล็กกว่ามันจริง ๆ
“ไม่เห็นมันจะหายเลย นอนให้มึงกอดมาตั้งนานละ”
“งั้น...ลองจูบอีกสักที เผื่อว่าจะเวิร์ค”
พูดจบอินก็พลิกตัวขึ้นคร่อมโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัว แสงสลัวจากระเบียงทำให้ผมพอมองเห็นเสี้ยวหน้าหล่อเหลานั่นแม้จะไม่ชัดเจนนักแต่ผมก็ยังสังเกตเห็นแววตาวาววับของมันได้ รู้ตัวว่าไอ้เพื่อนชั่วมันเอาจริงแน่ ๆ จึงพยายามจะดื้อหนี
“เฮ้ย ไม่เอา ไอ้อินมึงปล่อยกูเลยนะ”
อินจัดการปิดเสียงโวยของผมด้วยริมฝีปากของมันเอง ยิ่งผมพยายามจะผลักไสมันมากเท่าไหร่ สัมผัสที่แนบชิดดื้อดึงของมันยิ่งมากขึ้นเท่านั้น อินขบเข้าที่ริมฝีปากล่างของผมเบา ๆ ทำให้ผมเผลอเผยอปากให้มันแทรกลิ้นร้อนเข้ามาสูบเรี่ยวแรงและสติผมไปจนหมด ปล่อยตัวเองให้ล่องลอยไปพร้อมกับฝูงผีเสื้อนับร้อย รู้สึกตัวอีกทีผมก็นอนหายใจอ่อนระทวย เงยหน้าสบตากับไอ้คนที่มันยอมปล่อยริมฝีปากผมให้เป็นอิสระเสียที
“เฮ้ย เป็นไรเปล่าวะ”
ฝ่ามือของอินลูบแก้มผมเบา ๆ ความรู้สึกร้อนวูบวาบบนใบหน้าทำให้ผมรีบพลิกตัวซุกหน้าซ่อนไว้กับหมอน
“ไอ้เชี่ยอิน มึงอย่ามาเข้าใกล้กู”
“ทำไมละ กูว่ามึงชอบที่กูจูบนะ มึงรู้สึกดีใช่ไหม”
เสียงทุ้มที่ทำให้ใครต่อใครหลงใหลมานักต่อนักของอินกระซิบอยู่ข้างหู ใกล้เสียจนรู้สึกถึงลมหายใจอุ่น
“กู...กูไม่รู้ กูไม่รู้อะไรทั้งนั้น กูจะนอนแล้ว”
ผมตอบเสียงอู้อี้พลางพยายามจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัว
“กลัวกูจะจูบมึงอีกหรือไง”
อินแกล้งยื้อผ้าห่มในมือผมเอาไว้ แกล้งดึงกระตุกอยู่สองสามทีจนผมโมโหหันมาถลึงตาใส่ แทนที่มันจะกลัวกลับยิ้มขำ
“มองแบบนี้ อยากให้กูจูบอีกละสิ”
“ไอ้เชี่ยอิน”
“อย่าด่ากูบ่อย นี่กูกำลังช่วยมึงอยู่นะ”
เหอะ นี่กูต้องซาบซึ้งที่มึงอุตส่าห์สรรหาวิธีบ้า ๆ แบบนี้มาช่วยกูสินะ
“ไอ้...”
“บอกว่าอย่าด่าไง”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ด่าสักคำ อินก็แลบลิ้นเลียที่ริมฝีปากบอกความนัยของคำพูดของมัน
“แม่ง”
ผมเบือนหน้าหนีแต่ยังแอบชำเลืองเห็นว่ามันยังจ้องผมไม่เลิก
“กูไม่ได้ด่ามึง ไม่ต้องมามองเลย”
ผ้าห่มในมือของมันถูกผมดึงเอามาคลุมหัวจนมิด ได้ยินเสียงไอ้อินหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่มันจะล้มตัวลงนอนข้างกัน ผมขยับตัวหนีเมื่อแขนของมันพาดทับตรงช่วงเอวแต่ก็ถูกมันรั้งไว้
“นอนได้แล้ว”
ผมนอนนิ่งจนได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนข้างกายแล้วจึงค่อย ๆ ยกมือขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากตัวเอง
TBC...
เก็บกดมาจากไหนเหรออิน วันแรกก็ 3 จูบเลย