สวัสดีครับ ขอบคุณที่ยังติดตามอ่านกันครับ ดีใจที่ยังมีคนอ่านอยู่จริงๆ นะ ฮ่าๆ
คราวนี้หายไปไม่นานมาก หวังว่ายังไม่ลืมกันนะ จะพยายามเร่งสปีดอยู่ครับ 555555555
สารภาพว่าตอนที่แล้วจำชื่อตัวละครพลาดไปนิด หมักนานจัดจนลืม 555
เดี๋ยวจะกลับไปแก้นะครับ ต้องขอโทษด้วย คนแต่งยังลืม (อายโคตร ฮ่าๆๆ)
ตอนที่ 6 ยาวเหยียดเหมือนเดิมครับ ฝากไว้อีกตอนนะครับ สุขสันต์วันเสาร์นะครับ ^ ^
ตอนที่ 6 นภมาหยุดยืนที่หน้าร้านอาหารเล็ก ๆ ในย่านสีลม เห็นพนักงานกำลังจัดแจงวางไอศกรีมที่ทำจากพลาสติกแท่งโตที่หน้าร้าน แรงงานหลักดูเหมือนจะเป็นเด็กชายวัยทะโมนสองคนที่กุลีกุจอเป็นเรี่ยวแรงในการติดตั้ง ปรายฟ้าโทรหาเขาในตอนบ่าย ขอร้องแกมบังคับว่าให้มาหาเธอที่ร้านอาหารแห่งนี้ ดูแล้วก็เป็นร้านอาหารปกติค่อนข้างจะธรรมดาจนนภไม่มั่นใจว่าตัวเองมาถูกสถานที่นัดหรือเปล่า เขากดดูแผนที่ในมือถืออีกครั้ง ก่อนจะพบว่าคงไม่มีความจำเป็นอีกแล้วเมื่อหนึ่งในเด็กชายตัวเล็กสองคนเงยหน้าขึ้นมาแล้วมุ่ยหน้าใส่เขา
ลูกของปืนกับน้ำ
"สวัสดีครับน้องธีม คุณแม่อยู่หรือเปล่าครับ"
นอกจากจะไม่ได้รับคำตอบแล้ว เด็กชายชวิศยังปลิ้นตาแล้วแลบลิ้นใส่เขาก่อนจะวิ่งแจ้นออกไปเล่นกับสุนัขสีดำและขาวสองตัวที่เกลือกกลิ้งไปมาอยู่บริเวณนั้น คนที่ให้คำตอบกลับกลายเป็นเด็กชายผิวสีน้ำผึ้งอีกครั้งที่สูงโปร่งกว่า
"น้าน้ำหรือเปล่าครับ น้าน้ำอยู่ด้านใน"
นภมองเด็กน้อยที่ตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉานแล้วนึกทึ่งในท่าทีนอบน้อม ตากลมโตคู่นั้นเป็นประกายฉายแววฉลาดชัดเจน แต่ก็ดูบริสุทธิ์อ่อนเดียงสานัก เพราะแบบนี้สินะ ใครต่อใครถึงบอกว่าลูกเป็นเหมือนกับโซ่ทองคล้องใจของพ่อและแม่
ฝ่ามือเล็ก ๆ หมุนลูกบิดประตูให้เปิดออกแล้วเดินนำเข้าไปด้านใน เด็กน้อยพาเขาไปนั่งบนโซฟาสีเชอร์รีที่ตั้งอยู่ริมบานกระจก "ร้านปิดช่วงบ่ายครับ จะเปิดอีกครั้งก็ตอนเย็น ตอนนี้ครัวจะยังเสิร์ฟอาหารไม่ได้นะครับ"
เด็กน้อยพูดอย่างแคล่วคล่อง นภเห็นแววตาของพนักงานที่เป็นผู้ใหญ่ในร้านส่งยิ้มให้กับเจ้าตัวเล็กด้วยสายตาเอ็นดู หนึ่งในนั้นสวมชุดเชฟซึ่งนภเดาว่าคงเป็นแม่ของพนักงานตัวน้อยคนนี้เป็นแน่ เด็กผู้ชายคนนั้นบอกให้รอสักพัก จะรีบไปตามน้าน้ำมาเร็วที่สุด พูดจบก็วิ่งเข้าไปทางด้านหลังของร้าน
แผ่นหลังของชายหนุ่มเอนลงแนบกับเบาะนุ่ม ขณะเดียวกันดวงตาสีเข้มก็ทอดมองไปรอบ ๆ ร้าน หากมองจากภายนอกที่ตีประกอบด้วยไม้ทึบเป็นหลักจะไม่สามารถจินตนาการถึงบรรยากาศในร้านที่ค่อนข้างจะโปร่งสบายได้เลย บรรยากาศง่าย ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวทำให้นภนึกถึงสตรีทคาเฟ่ที่พบเห็นได้ทั่วไปในเบอร์ลินหรือเมืองท่องเที่ยวใหญ่ ๆ ของโลก มีความเป็นกันเอง มีกลิ่นอายที่เป็นเสน่ห์เฉพาะตัว ร้านพวกนี้มักจะตกแต่งด้วยของจุกจิกน่ารัก มีไอเดียแปลกใหม่ที่คาดไม่ถึง ที่นี่ก็เช่นกัน ถูกประดับตกแต่งด้วยภาพสไตล์วินเทจสลับสับวางไปกับภาพโพลารอยด์ของลูกค้าที่มาทานในร้านแห่งนี้ นภมองรอบ ๆ ร้านอย่างสนอกสนใจอยู่สักพัก คนที่เด็กน้อยตาคมไปตามเมื่อครู่ก็เดินออกมาจากด้านใน
ไม่ใช่ปรายฟ้า หากแต่เป็นปรมะ
"ดื่มอะไรสักหน่อยไหม กาแฟ ชา น้ำอัดลม พวกแอลกอฮอล์ก็มีนะ"
นภส่ายหน้าแล้วตอบว่าไม่เป็นไร
เมื่อความเกรงใจเป็นคำตอบ ปรมะจึงเดินไปที่หน้าเคาน์เตอร์ ครู่เดียว เขาก็กลับมาพร้อมแก้วน้ำเย็นในมือ "น้ำอยู่ด้านในน่ะ ยุ่ง ๆ อยู่เพราะนึกเพี้ยนอยากจะเป็นพนักงานชั่วคราวร้านนี้ขึ้นมา"
"ลูกน้ำน่ะเหรอ" นภถามอย่างไม่เชื่อหู และก็ดูเหมือนว่าปืนเองก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกันนัก สังเกตจากสีหน้าที่ดูค่อนข้างจะกังวลอยู่ไม่น้อย
"พอดีรู้จักกับเจ้าของร้านน่ะ ผู้หญิงพอได้คุยกันถูกคออะไร ๆ ก็ดูเป็นเรื่องที่โอเคไปหมด" นิ้วยาว ๆ ของปรมะหมุนแก้วน้ำเย็นบนโต๊ะเล่นเหมือนไม่รู้จะพูดอะไร หากแต่นภเข้าใจดีว่ามีความรู้สึกมากมายอยู่ในนั้น สักพักคนตรงหน้าก็เงยขึ้น มุมปากหยักวาดเป็นรอยยิ้มชวนมอง "ก็ไม่ใช่อะไรมากมายหรอก หลัก ๆ ก็ดูเครื่องกดไอศกรีมที่เพิ่งลงน่ะ ส่วนที่ไม่หลักแต่จำเป็นต้องทำก็คงจะเป็นดูแลธีมที่เอามาฝึกให้ทำงานที่นี่ในช่วงหน้าร้อน หวังว่าจะไม่ก่อเรื่องอะไรให้ปวดหัวกันอีกนะ"
นภได้แต่นั่งอมยิ้ม พยายามประหยัดถ้อยคำให้มากที่สุดทั้งที่ข้างในมีลมพายุเล็ก ๆ กำลังก่อตัว
เก็บเอาไว้จะดีกว่า นภคิดว่ามันควรแบบนั้น หลังสงกรานต์เขาและฮานส์ก็จะเดินทางกลับไปแฟรงเฟิร์ต เป็นอาจารย์ ทำงานของตัวเองที่มหาวิทยาลัยต่อ นภไม่อยากเจ็บปวดกับเรื่องของความรักอีกแล้ว
"ยังเหมือนเดิมเลยนะ"
"หืม ?"
"ก็มีอะไรอยากจะพูดไม่ใช่เหรอ แต่ไม่พูดออกมา เหมือนเมื่อก่อนเลย" ปรมะยกมือขึ้นเสยผมไปด้านหลัง ดวงตายังนิ่งอยู่จุดเดิม "ทำไมไม่พูดออกมาล่ะ เรื่องที่ในใจอยากจะพูดน่ะ"
ภายในร่างกายของนภ มีประโยคอัดแน่นอยู่มากมาย เรื่องที่อยากจะรู้ เรื่องที่อยากจะบอกออกไป มากมายจนเต็มไปหมด จนเหมือนว่าจะไม่มีที่พอจะเก็บอีกแล้ว ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่สิ่งที่นภทำได้คือเลือกชิ้นส่วนที่งี่เง่าไร้สาระที่สุดขึ้นมาหนึ่งอันแล้วกร่อนให้ออกมาเป็นประโยคที่ดูจะไร้ความหมายสิ้นดี
"เอ่อ...อากาศร้อนเนอะ"
ม่านตาของปรมะเบิกกว้างชั่วครู่ก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังลั่น ปืนหัวเราะจนตัวสั่น แต่เพียงเสี้ยววินาที แววตาคู่นั้นก็เหมือนถูกฉาบด้วยความอ่อนโยน รอยยิ้มที่แต่งแต้มตรงริมฝีปากดูคล้ายปุยเมฆนุ่ม ๆ บนท้องฟ้า
"เอ่อ...ขอโทษทีนะ ไม่ดีเลย"
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ร่างสูงใหญ่ก็ยังไม่หยุดหัวเราะคิก ขำจนนภก้มหน้าเขิน เสียงหัวเราะจบลงด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ปรมะเบือนหน้าออกไปทางหน้าต่างมองดูทางเดินที่มีผู้คนโรยรา
"ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ นภน่ะ ทั้งที่อะไร ๆ มันเปลี่ยนไปหมดแล้ว"
นภนั่งเงียบ จู่ ๆ เสียงที่อยู่มากมายในสมองก็พลันร่วงหล่นจนกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าขึ้นมา
"น้ำก็เหมือนกัน" ปรมะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง "ที่นัดให้มาที่นี่ก็ไม่มีอะไรหรอก คงเจ้ากี้เจ้าการให้พานายไปเที่ยวให้ได้ อาการเอาแต่ใจกำเริบอีกแล้ว เหมือนอะไรก็ตามที่อยากได้ก็ต้องได้ประมาณนั้น นี่ก็เป็นอีกคนที่ไม่เปลี่ยนไปเลย"
"ถ้าแบบนั้น ปืนก็เหมือนกัน ไม่เปลี่ยนไปเลย"
คิ้วเข้มยกตัวขึ้นเหมือนแปลกใจในสิ่งที่ได้ยิน "อย่างนั้นเหรอ"
"ตอนที่พูด ตอนที่ยิ้ม ตอนที่หัวเราะ วิธีการมอง การเดิน ท่าทางเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอนที่ขยับตัว ทุก ๆ อย่างยังเหมือนกับเมื่อก่อนเลย"
ปรมะฟังด้วยความเงียบนิ่ง มีเพียงมุมปากที่ค่อย ๆ ขยับตัวเป็นรอยยิ้ม ไม่ใช่แค่ยิ้มแบบที่ผ่าน ๆ มา ยิ้มในครั้งนี้คล้ายจะลามไปถึงดวงตา ฝ่ามือทั้งสองข้าง แขนขา ลามไปทุกกล้ามเนื้อบนร่างกาย
"จำได้ด้วยเหรอ"
เป็นอีกครั้งที่นภก้มหน้าลง อีกแล้วที่ตัวเองพลาดก้าวขาไปสู่พื้นที่อันตราย
"ไปเดินเล่นข้างนอกกันไหม น้ำไม่ออกมาเร็ว ๆ นี้หรอก ยังวุ่นอยู่กับงานด้านหลังร้านน่ะ"
ความอบอ้าวในตอนบ่ายระอุจนน่ากลัว เพียงแค่ไม่กี่ก้าวที่พ้นจากพื้นที่ปรับอากาศในร้าน นภก็รู้สึกถึงเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ที่ไหลซึมลงมาที่ขมับตัวเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหาเรื่องทรมานตัวเองแบบนี้ทำไม ทั้งออกมาเจอกับอากาศที่ร้อนเหมือนอยู่กลางเตาเผาแบบนี้ แล้วไหนจะคนข้างตัวเพียงลำพังให้แปลบในใจตัวเองไม่จบไม่สิ้น
"บุหรี่ไหม" ปรมะยื่นซองออกมาให้ นภดึงขึ้นมาหนึ่งมวน เปลวไฟสีแดงวาบขึ้นที่ปลายบุหรี่ในมือของนภ ก่อนที่เจ้าของไฟแช็กจะจุดอีกมวนให้กับตัวเอง
"อยู่กับธีมดูดไม่ได้ ตอนนี้น้ำก็เลิกดูดไปแล้ว"
"ก็ลูกนี่นะ" นภเป่าควันสีเทาขึ้นในอากาศ กลุ่มควันลอยขึ้นก่อนจะจางหายไปกับความว่างเปล่าตรงหน้า
"นึกว่าจะนายเลิกสูบไปแล้ว"
"ที่เมืองนอกอากาศหนาว บุหรี่มันก็พอช่วยให้อุ่นขึ้นได้น่ะ"
ทั้งคู่นั่งลงตรงแผ่นแกรนิตสีเข้มข้างทางที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อล้อมพุ่มไม้เตี้ย ๆ ต้นไม้พวกนี้มีไว้เพื่อตกแต่งหน้าอาคารสำนักงานแห่งนั้น ไม่ได้ให้ประโยชน์ในแง่ความร่มรื่นหรือความงามสักเท่าไรนัก ส่วนมากแล้วจะเป็นที่นั่งสำหรับพนักงานที่อยู่ในอาคารนั้นออกมานั่งฆ่าเวลาเสียมากกว่า ไม่มีใครพูดอะไรอีกสักพัก จนบุหรี่ในมือหมดไป มวนที่สองถูกจุดขึ้นใหม่ ความเงียบยังดำเนินต่อไปอย่างเชื่องช้า ผิดกับแสงแดดซึ่งดูเหมือนจะทวีความร้อนขึ้นทีละน้อย เหงื่อกาฬผุดขึ้นทั่วทั้งร่างของนภจนน่ารำคาญ แต่ในใจกลับเย็นลงทีละนิดเหมือนได้กลับมาสู่บ้านที่แท้จริงของมัน
ความเงียบก็ถูกเผาไปพร้อมกับซากชีวิตของบุหรี่มวนที่สอง ปรมะถามขึ้นด้วยเสียงเรียบ ๆ แบบที่มักใช้ประจำเวลาที่มีตะกอนบางอย่างอยู่ในใจ
"มีแฟนหรือยัง"
นภก้มหน้าลงมองเถ้าบุหรี่ที่อยู่ปลายเท้า ครู่เดียวสายลมก็พัดให้มันปลิวหายไปกับความร้อนในยามบ่าย
"ไม่หรอก"
"รอใครอยู่หรือ"
ดวงตาของปรมะเงยขึ้นมองที่เพดานสีครามในตอนทืี่เอ่ยคำถามนั้น สองแขนเท้าบนแผ่นหินแล้วปล่อยให้แสงอาทิตย์ลามเลียไปทั่วร่างกายอย่างไม่เคอะเขิน นภนั่งนิ่ง จังหวะหัวใจเต้นแผ่วลงจนแม้แต่ตัวเองก็ยังแปลกใจ เขาไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไร รอใคร หรือไม่ได้รอ ทั้งที่ความจริงนั้นแสนง่ายดาย เพียงแค่เลือกตอบไปข้อใดข้อหนึ่งในนั้นทุกอย่างก็จบ แต่ในบางสถานการณ์ เรื่องง่าย ๆ แบบโยนหัวก้อยก็ไม่ง่ายเอาเสียเลย กระทั่งในตอนนี้ในหัวสมองของนภก็ยังเต็มไปด้วยความลังเล
ดูเหมือนปรมะจะเข้าใจในคำตอบที่แท้จริงที่สุดของนภแล้ว ริมฝีปากนั้นจึงเจือไปด้วยความรู้สึกจาง ๆ คำตอบนั้นเป็นเสี้ยวเล็ก ๆ ในความทรงจำที่เลือนลาง บางสิ่งบางอย่างที่หายไปสิบกว่าปี กระนั้นมันก็แจ่มชัดพอสำหรับคนสองคนที่นั่งอยู่ที่นั่น
"มีคนที่รออยู่จริง ๆ สินะ"
นภหัวเราะกับตัวเอง ความเงียบไม่ใช่อาณาเขตที่เลวร้าย แต่อย่างน้อยเสียงหัวเราะโง่ ๆ ก็พอระบายน้ำหนักที่มากมายให้เบาเท่ากับควันบุหรี่เหล่านั้นได้
"ถ้าวันหนึ่งได้พบกับคนที่รออยู่อีกครั้ง นายจะบอกกับคนคนนั้นว่าอะไร"
นภก้มหน้าลง มองช่องว่างระหว่างปลายรองเท้าสองคู่ที่ขยับเข้ามาจนใกล้กันโดยไม่รู้ตัว
"ประมาณว่า...อากาศร้อนเนอะ ล่ะมั้ง"
ภายใต้ท้องฟ้าสีเข้มเหมือนสีของน้ำทะเล ท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนจัดจนเหมือนจะเผาไหม้และกลิ่นบุหรี่ เสียงหัวเราะของผู้ชายสองคนก็ดังขึ้นจากถนนสายเล็ก ๆ ในเมืองที่แออัดไปด้วยผู้คนอย่างกรุงเทพมหานคร
อานนท์ลงจากรถเมล์เหมือนคนหมดพลัง ร่างที่ดูแทบจะไม่ต่างอะไรกับผีดิบเดินเข้าซอยด้วยอาศัยแรงเฉื่อยของพลังงานเฮือกสุดท้าย ตลอดทั้งวันเขาโดนพี่สิงห์เล่นงานจนอ่วม แต่อานนท์ก็ไม่เคยนึกโทษพี่สิงห์แม้แต่น้อย นึกขอบคุณด้วยซ้ำหากบทโหดจะทำให้เขากระตือรือร้นที่จะจดจำข้อมูลต่าง ๆ มากขึ้น อ้อยบอกว่าเขาคงประสาทไปแล้วถึงได้ฟังพี่สิงห์ด่าได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ขณะที่ตูนบอกว่ายังไม่เคยเห็นใครมีความอดทนกับพี่สิงห์ได้แบบนี้มาก่อน ถ้าเป็นคนอื่นคงเผ่นแน่บหรือไม่ก็นั่งร้องไห้โฮไปแล้ว แต่อานนท์กลับยึดพื้นที่ข้าง ๆ พี่สิงห์ได้อย่างคงมั่น
ใครบ้างอยากจะเป็นคนไม่เอาไหน แต่อานนท์ก็ทำได้แค่นี้ เขาอยากเก่งแบบคุณโกวิท ทำงานแบบที่ทุก ๆ อย่างรอบตัวเหมือนเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายได้แบบพี่สิงห์ ใช้คอมพิวเตอร์คล่องแคล่วได้แบบตูน หรือแม้แต่กล้าพูดคุยกับลูกค้าได้อย่างมาลี นั่นคือความฝันที่อานนท์ได้แต่ฝันแล้วฝันอีกว่ามันจะกลายเป็นจริงได้ในสักวัน
แดดในตอนบ่ายแก่ ๆ ยังคงร้อนจัดจนเสื้อยืดเปียกชื้นไปหมดทั้งตัว อานนท์แวะรถเข็นขายหมูปิ้ง ซื้อหมูสามไม้และข้าวเหนียวหนึ่งห่อให้กับตัวเอง ส่วนตับปิ้งอีกหกไม้สำหรับร้อนแฮ่กกับลิ้นห้อย แบ่งกันตัวละสามไม้ ชดเชยให้กับตอนเช้าที่รีบจนไม่มีเวลา ลิ้นห้อยกับร้อนแฮ่กเดินตามเจ้าหนูสองคน แต่พอเห็นเขา พวกมันก็วิ่งแกว่งหางเป็นเฮลิคอปเตอร์มาประจบขอของฝากเต็มที่ ทิ้งเด็กชายตัวน้อยให้ต่อล้อต่อเถียงกันไป
"บอกว่าไม่ต้องมายุ่งกับฉันไง"
"น้าน้ำบอกให้พี่ดูแลธีมนี่นา"
"ไม่ต้อง !"
"ต้องสิ น้องธีมยังไม่คุ้นกับแถวนี้ไม่ใช่เหรอ" เด็กชายที่ตัวสูงกว่าเล็กน้อยจับมือเด็กโมโหร้ายแล้วส่งยิ้มให้
"ปล่อย !"
"ไม่ปล่อยหรอก"
อานนท์มองเด็กทั้งสองคนด้วยรอยยิ้มกระทั่งเสียงเล็ก ๆ ของทั้งคู่จะเลือนหายไปกับเสียงความขวักไขว่บนท้องถนน เขาเดินต่อไปกระทั่งถึงหน้าร้านอาหารที่มักจะเดินผ่านประจำ ความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สะดุดตาอานนท์ก็คือกรวยไอศกรีมขนาดใหญ่วางโชว์อยู่ด้านหน้า มันมาตั้งแต่เมื่อไรนะ นานแล้วหรือเพิ่งมี อานนท์ไม่ทันได้สังเกตเลย
ลังเลอยู่สักพัก ในที่สุด อานนท์ตัดสินใจซื้อหนึ่งโคน นอกจากจะคลายร้อนแล้ว ยังถือว่าเป็นกำลังใจให้กับตัวเองในวันที่เจออะไรแย่ ๆ มาทั้งวัน
พนักงานขายที่ไม่คุ้นหน้าก็กดไอศกรีมใส่กรวยแบบกระท่อนกระแท่น ทุกคนก็ต้องมีช่วงเวลาที่ทำอะไรยังไม่ค่อยได้เสมอสินะ แต่ถ้าถอดใจ ที่ทำไม่เป็นก็จะยังทำไม่เป็นอยู่แบบนั้น อานนท์ยืนให้กำลังใจเธอคนนั้นอยู่เงียบ ๆ ในใจกระทั่งเสียงเข้มที่ได้ยินมาตลอดทั้งบ่ายดังขึ้นที่ด้านหลังชนิดเหนือความคาดฝัน
"เอาหนึ่งถ้วย"
พนักงานสาวสวยยิ้มรับพร้อมกับส่งไอศกรีมรูปร่างพิลึกมาให้อานนท์ (อานนท์คิดว่าเธอคงนั้นคงเป็นคนไม่ได้เรื่องสักอย่างพอ ๆ กับเขา) รับไปแล้ว อานนท์ก็ถอยออกมายืนรอพี่สิงห์อยู่ใกล้ ๆ กลัวจนขยาด แต่ในฐานะที่เป็นคนรู้จักกัน อีกทั้งเป็นเพื่อนข้างห้องกัน อานนท์คิดว่ามันเป็นมารยาทที่สมควรทำ
เพชรกล้าปาดเหงื่อที่อยู่ตามไรผมขณะที่รับถ้วยไอศกรีม (รูปร่างพิลึกพอกัน) อานนท์เห็นเพชรกล้าจ้องไอศกรีมด้วยความตกตะลึงแล้วถอนหายใจหนึ่งครั้ง จากนั้นพอหันมาเจอเขาที่ยังยืนรออยู่ก็ถอนใจอีกรอบ "ยังอยู่อีกเรอะ"
อานนท์พยักหน้าแล้วเดินไปข้าง ๆ ร่างสูงใหญ่ที่ดูบึกบึนอย่างกับหมีป่า "เอ่อ...ขอบคุณมากนะครับที่อดทนสอนผม"
"เปลี่ยนคำพูดเป็นสิบครั้งของนายเป็นการกระทำจะดีกว่า"
คนฟังหน้าชาไปนิดหน่อย แต่ก็ยังยืนยันเจตนาต่อ "ถึงยังไงก็ต้องขอบคุณอยู่ดี"
"มันเป็นแค่หน้าที่"
อานนท์ยิ้มแหย รูดซิปปากตัวเองด้วยการทานไอศกรีมที่อยู่ในมือไปพลาง ๆ จนกว่าจะถึงหอ โชคดีที่พี่สิงห์ไม่พูดอะไรอีกเลยนับจากนั้น พอถึงหน้าประตูห้อง อานนท์ก็รีบเปิดประตูเข้าห้องไปอย่างโล่งใจ
ตรี พงษ์พิพัฒน์รู้สึกเหมือนกับถูกกระถางต้นไม้ตกใส่หัวกลางถนนฟิฟธ์อเวนิว หมอสักคนที่ดนัยพามาด้วยนั้นถือว่าไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำเอาทีมงานทั้งกองเคลิบเคลิ้มได้ถึงขนาดนี้ เรียกได้ว่าหล่อตามอุดมคติแบบหมอ ๆ ที่ผู้หญิงค่อนประเทศต่างใฝ่ฝัน ผิวขาว สวมแว่น ตัวสูง ดูสุขุมคัมภีรภาพ ที่สำคัญมีรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนเหมือนเครื่องแบบสีขาวของหมอติดอยู่ที่ริมฝีปากตลอดเวลา หักคะแนนในฐานะที่ดูเหมือนคนอายุราวสามสิบต้น ๆ ไปหน่อย ประเมินแล้วเต็มสิบก็ต้องมีอย่างต่ำอยู่ที่ระดับเก้าจุดสองห้าในสายตาของตรี พงษ์พิพัฒน์เลยทีเดียว
"สวัสดีครับ คุณคงเป็นคุณหมอที่จะมาอัดเทปใช่ไหมครับ" ตรี พงษ์พิพัฒน์ทักทายในฐานะเจ้าบ้าน
"สวัสดีครับ แต่ไม่ใช่ผมหรอกครับ คุณทักคนผิดแล้ว เพราะคุณสมบัติของผมยังห่างไกล"
"หรือครับ ?" นอบน้อมถ่อมตน บวกให้อีกศูนย์จุดสองห้า เก้าจุดห้าเลยนะ ใช้ได้ทีเดียว
"ให้คนที่เหมาะสมจะดีกว่าครับ คุณนัทบอกว่าสี่สิบสองแก่ไปสำหรับโจทย์ที่ทางรายการต้องการ" ตุลธรตอบพร้อมรอยยิ้มน่าประทับใจ
ประทับใจถึงขนาดตรี พงษ์พิพัฒน์มองอย่างไม่เชื่อสายตา
สี่สิบสอง ! ไม่จริง !!!
โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เลเซอร์ ร้อยไหม เป็นไปไม่ได้ ! นี่จะต้องเป็นสเตมเซลล์จากรกแกะที่กำลังเป็นกระแสอยู่แน่ ๆ !!! ร้าย...ร้ายกาจมาก
"มองแบบนั้นเดี๋ยวเจ้าของตัวจริงก็ได้กระโดดขย้ำหัวเอาหรอก" เสียงของดนัยลอยล่องขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่ง เด็ดปีกเทวดาที่แสนงามสง่าให้ร่วงลงเหวโดยพลัน
ตรี พงษ์พิพัฒน์เหลียวกลับไปมองแบบค่อนแคะในใจ ไพล่นึกว่านรกขุมไหนช่างปล่อยมารความสุขตนนี้ออกมาป่วนชีวิตเขา ดนัยเหมือนกับหน้าร้อน มากับเรื่องชวนให้อารมณ์เสียเสมอ แค่พบกันวันเดียว นับจากนั้นชีวิตอันแสนสงบสุขของตรี พงษ์พิพัฒน์ก็วุ่นไปหมด
"นี่คือภัทรพล หมอที่จะอัดรายการร่วมกับคุณในวันนี้ ส่วนคนที่คุณทักด้วยคือคุณหมอตุล แล้วถ้าคุณกำลังคิดอะไรพิเรนทร์ ๆ อยู่ ผมแนะนำว่าให้เลิกความคิดซะ เพราะว่าทั้งคู่เป็นแฟนกัน"
พูดจบดนัยก็ชะงักอึ้ง โดยปกติแล้วเขาไม่ใช่คนประเภทละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวคนอื่น ยิ่งเที่ยวได้ป่าวประกาศเรื่องใครเป็นแฟนใครแบบนี้ ไม่ใช่นิสัยของเขาเลย ทั้งหมดเป็นเพราะอะไรนะ ความรู้สึกหมั่นไส้อาการออกหน้าออกตาแบบปิดไม่มิดของตรี พงษ์พิพัฒน์จอมปัญญาอ่อนแบบนั้นหรือ ? แม้จะนึกตำหนิตัวเองอยู่ไม่น้อย แต่ดนัยก็ยอมรับว่าใบหน้าที่ช็อกสุดขีดของตรีทำให้เขามีความสุขแบบแปลก ๆ
หารู้ไม่ว่าแฟนหรือไม่ใช้แฟนนั้นไม่ใช่สาระใด ๆ สำหรับตรี พงษ์พิพัฒน์แม้แต่กระผิ ความสมบูรณ์แบบของใบหน้าหมอภัทรพลนั่นต่างหากที่น่ากลัว หมอตุลยังหักคะแนนที่อายุได้ แต่ถ้าเป็นหมอคนนี้จะเอาอะไรมาให้หักคะแนน ถึงไม่หล่อแบบหมอตามอุดมคติ แต่ความหล่อของหมอภัทรพลก็ถูกนิยามได้ว่า "เหนือความคาดหมาย" น่ากลัวไหมล่ะ ?
ไม่ได้ ! ยอมไม่ได้ ! ไม่อย่างนั้นตรี พงษ์พิพัฒน์คนนี้ต้องโดนขโมยซีนแน่ ๆ !
"ผมคิดว่าหมอตุลน่าจะดูตอบโจทย์กว่านะครับ ไม่ใช่ว่าหมอภัทรไม่ดีหรอกนะครับ ทั้งคู่ถือว่าตอบโจทย์ เพียงแต่ว่าเป็นโจทย์คนละแบบ ลุคของหมอภัทรอาจจะดูเหมือนคนในวงการบันเทิงมากไป คุณนัทว่าอย่างไรบ้างครับ" พงษ์พิพัฒน์ส่งยิ้มสมบูรณ์แบบแบบพิธีกรมืออาชีพมาให้ดนัย หวังว่าจนเองจะถูกตามใจแบบทุกครั้ง
ดนัยมองอย่างครุ่นคิด เขาอ่านออกว่านี่คงเป็นอุบายอะไรสักอย่างของตรีแน่ แต่ว่ามันคืออะไร ?
"ผมคิดว่าภัทรก็เหมาะกว่า"
"แต่..."
"ผมพูดในฐานะของสปอนเซอร์" ดนัยจบคำพูดตนเองพร้อมสายตาเฉยเมย
ข้อต่อรองถือเป็นอันสิ้นสุดด้วยความล้มเหลว พงษ์พิพัฒน์มองตาขวางใส่สปอนเซอร์รายใหญ่ทันที
ตรี พงษ์พิพัฒน์เดินไปนั่งที่เก้าอี้ ความโมโหแล่นริ้วขึ้นมาจากปลายเท้าจนอัดแน่นอยู่ที่คอหอย ไม่เคยมีใครปฏิเสธเขา และก็ไม่เคยมีใครใช้สายตาแบบนั้นมองเขามาก่อน คอยดูเถอะ ตรี พงษ์พิพัฒน์คนนี้จะพิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ได้มีดีแค่หน้าตาหรอกนะ !
ข้อเปรียบเทียบระหว่างคุณหมอทั้งสองคนและตรี พงษ์พิพัฒน์ยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง ทีมงานทุกคนต่างก็พะเน้าพะนอคุณหมอตุลและคุณหมอภัทรเต็มที่ ขณะที่ทุกคนมองพิธีกรเหมือนตัวปัญหา ดนัยมองเห็นทุกอย่างและคอยจับตามองตรีอย่างไม่คลาดสายตา หากแต่ชายหนุ่มยังคงนิ่งเฉยราวกับสิ่งที่เห็นและได้ยินเป็นเพียงความวุ่นวายที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ
สามสิบนาทีต่อมาหลังจากฝ่ายเทคนิคให้สัญญาณว่าพร้อม ผู้กำกับก็สั่งเดินกล้องทันที ภัทรพลนั่งรออยู่ในฉากก่อนแล้วในตอนที่พิธีกรประจำรายการก้าวออกมาจากด้านหลัง วินาทีนั้น ทุกสายตาต่างหันไปจับจ้องอยู่ที่ผู้มาใหม่เหมือนต้องมนตร์สะกด ความแตกต่างระหว่างคนที่หล่อในฐานะคนธรรมดากับคนที่หล่อในฐานะคนในวงการบันเทิงนั้นต่างกันนัก มีเสน่ห์บางอย่างในตัวของตรี พงษ์พิพัฒน์ที่ทำให้ทุกคนไม่อยากละสายตา หล่อเนี๊ยบจนไม่มีที่ติ ท่วงท่าสุขุมไว้ตัวนิด ๆ เหมือนคุณชายในละครแนวย้อนยุคให้ความรู้สึกเหมือนภาพวาดชวนหลงใหลอย่างประหลาด
"เขาดูดีมากนะครับ" ตุลธรเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
ดนัยไม่ปฏิเสธในคำพูดนั้น อดไม่ได้ที่จะเผลอมองคนที่นั่งอยู่หน้ากล้องด้วยความชื่นชม
ที่จุดรวมของแสงสปอตไลต์ ตรี พงษ์พิพัฒน์กล่าวนำเข้าสู่รายการและแนะนำภัทรพลในฐานะคุณหมอที่จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับการรับมืออากาศที่ร้อนจัดในปีนี้ ผู้กำกับ และตากล้องยิ้มอย่างพอใจในความสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติแบบทุกครั้ง ตัวจริงจะดูสร้างปัญหาแค่ไหน แต่ในบทบาทพิธีกร ตรี พงษ์พิพัฒน์ไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง
ดนัยที่ไม่ได้สวมเอียร์มอนิเตอร์ไม่รู้ว่าตรีและภัทร ญาติห่าง ๆ ของตัวเองพูดอะไรบ้างในแสงไฟที่เจิดจ้านั้น แต่สิ่งที่สะดุดตาจนทำให้เริ่มรู้สึกอยู่ไม่สุขก็คือสายตาวิบวับและรอยยิ้มหวานเยิ้มที่ทั้งสองคนในกล้องมอบให้แก่กันตลอดเวลา
"สิ่งที่ควรระวังก็คือโรคลมแดด หรือ ฮีทสโตรกครับ โรคนี้เกิดจากการที่ร่างกายอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่อุณหภูมิสูงและได้รับความร้อนมากเกินไป ทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติของสมองในส่วนการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายซึ่งจะมีผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตและระบบประสาท" ภัทรพลหันมายิ้มให้กับคนที่นั่งข้าง ๆ โชคดีที่คุณตรีสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองทำให้เขารู้สึกไม่อึดอัดกับการอยู่ท่ามกลางสายตาคนมากมายแบบนี้จนเกินไปนัก
ตรี พงษ์พิพัฒน์ส่งยิ้มอุ่นอ่อนตอบแต่ในใจกลับกระหยิ่มยิ้มย่อง เปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งที่สุดถือว่าไม่เคยเอาท์ ในเมื่อหมอภัทรพลคนนี้รูปร่างหน้าตาก็ไม่ได้แย่ สร้างกระแสคู่จิ้นแบบดาราในวงการชอบทำก็ถือว่าไม่เสียหลาย ถ้าเรตติ้งดีก็ให้มันรู้กันไปสิว่าผู้ใหญ่จะปลดตรี พงษ์พิพัฒน์คนนี้ !
"แบบนี้ถือว่าเป็นโรคที่น่ากลัวไหมครับคุณหมอ" ตรีส่งสายตาหวานเชื่อมไปทางภัทรพล คุณหมอหนุ่มก็ส่งยิ้มตอบ บรรยากาศรอบ ๆ ฉากคล้ายกับถูกเซ็ตอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้สีชมพูขึ้นมาโดยพลัน
เกินจะทน ดนัยเดินลงฝีเท้าไปที่หน้ามอนิเตอร์แล้วคว้าเอียร์มอนิเตอร์ขึ้นมาสวมหูทันที มองแววตาชื่นชมของพิธีกรหนุ่มที่ใช้มองญาติตัวเองแบบไม่ปิดบัง รายการเล่าข่าวนะตรี พงษ์พิพัฒน์ ไม่ใช่รายการนัดบอด
"ดื่มน้ำอัดลมเย็น ๆ ก็ชื่นใจดีนะครับ" ตรีหยิบไจแอนท์โคลาขึ้นดื่มแล้วทำหน้าชื่นใจ
"ครับ น้ำหวาน ๆ หรือน้ำผลไม้จะช่วยให้ชื่นใจขึ้น ในวันที่มีอากาศร้อนจัดควรสวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีอ่อน โปร่ง ไม่หนา น้ำหนักเบา และสามารถระบายอุณหภูมิความร้อนได้ดีครับ หากจำเป็นต้องอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนหรือออกกำลังกลางสภาพอากาศร้อน ควรดื่มน้ำให้ได้ชั่วโมงละ 1 ลิตร แม้จะไม่รู้สึกกระหายน้ำก็ตาม หรือแม้จะทำงานในที่ร่มก็ควรดื่มน้ำ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้วเพื่อป้องกันอาการเพลียแดดครับ" เมื่อภัทรพลพูดจบ ตรีพงษ์พิพั๖น์ก็หันมากล่าวขอบคุณก่อนจะตัดเข้าเบรคโฆษณา
เสียงคัตดังขึ้นพร้อมกับลมหายในที่ร้อนเหมือนแดดของดนัย ครู่เดียวภัทรพลก็เดินเข้ามาลาเขาและทีมงานทุกคนบอกว่ามีธุระสำคัญต้องรีบกลับโดยมีตุลธรยืนส่งยิ้มอยู่ข้าง ๆ ดนัยไม่คิดจะรั้งคนทั้งคู่ไว้ต่อ เขาตัดบทด้วยคำขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือแล้วนัดทานข้าวด้วยกันช่วงสัปดาห์หน้า ดวงตาคมยังคงจับจ้องอยู่ที่รอยยิ้มเล็ก ๆ ของพิธีกรหนุ่มผู้มีสีหน้าเฉยชา ครู่หนึ่ง ตรี พงษ์พิพัฒน์ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินฝ่าทีมงานออกไปท่ามกลางสายตาที่มองแบบชื่นชม ไม่ลาใคร ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ไม่เว้นแม่แต่ดนัยที่ยืนอยู่ตรงนั้น
ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาอย่างนั้นหรือ ตรี พงษ์พิพัฒน์ช่างสร้างความน่าหงุดหงิดได้พอ ๆ กับอากาศร้อนของเดือนเมษายนเสียจริง
(ยังมีต่อครับ)