เธอคือ...ลมหายใจ by Anonymus
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เธอคือ...ลมหายใจ by Anonymus  (อ่าน 2608589 ครั้ง)

ออฟไลน์ spring

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-7
เธอคือ...ลมหายใจ by Anonymus
« เมื่อ06-08-2010 00:31:22 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------






 คนอ่านใจดีทำ Link สารบัญมาให้ค่ะ ขอบคุณน้อง LittlePrince  และน้อง Hackz มากนะคะ ใจดีทั้งคู่เลย แถมใจตรงกันด้วยอ้ะ จิ้นนนน  :laugh: 


ตอนที่ 1
ตอนที่ 2
ตอนที่ 3
ตอนที่ 4
ตอนที่ 5
ตอนที่ 6
ตอนที่ 7
ตอนที่ 8
ตอนที่ 9
ตอนที่ 10
ตอนที่ 11
ตอนที่ 12
ตอนที่ 13
ตอนที่ 14
ตอนที่ 15
ตอนที่ 16
ตอนที่ 17
ตอนที่ 18
ตอนที่ 19
ตอนที่ 20
ตอนที่ 21
ตอนที่ 22
ตอนที่ 23
ตอนที่ 24
ตอนที่ 25
ตอนที่ 26
ตอนที่ 27
ตอนที่ 28
ตอนที่ 29
ตอนที่ 30
ตอนที่ 31
ตอนที่ 32
ตอนที่ 33
ตอนที่ 34
ตอนที่ 35
ตอนที่ 36
ตอนที่ 37
ตอนที่ 38
ตอนที่ 39
ตอนที่ 40
ตอนที่ 41
ตอนที่ 42
ตอนที่ 42.5
ตอนที่ 43
ตอนที่ 44
ตอนที่ 45
ตอนที่ 46
ตอนที่ 47
ตอนที่ 48
ตอนที่ 49
ตอนที่ 50
ตอนที่ 51
ตอนที่ 52
ตอนที่ 53
ตอนที่ 54
ตอนที่ 55
ตอนที่ 55.2
ตอนที่ 56
ตอนที่ 56.2
ตอนที่ 57
ตอนที่ 58
ตอนที่ 59
ตอนที่ 60

สารบัญ 61 -121 มาต่อทางนี้จ้า!!!





ตอนที่ 1


นิวยอร์ค....มหานครที่ไม่เคยหลับใหล  แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบ 3 นาฬิกา  แต่ทั้งเมืองก็ยังสว่างไสวด้วยแสงไฟหลากสี  เสียงยวดยานบนถนนดังจนไม่น่าจะนอนหลับลง  แต่สรรพเสียงเหล่านั้นก็ลอยขึ้นมาไม่ถึงชั้น 9 ของยอดตึกสำนักงานบริษัทโบรคเกอร์ชื่อดังแห่งนี้ 
ร่างสูงผอมสวมเพียงกางเกงยีนส์สีซีดขาดๆตัวเดียว  นั่งอยู่บนขอบระเบียงและก้มลงมองแสงไฟจากถนนเบื้องล่างอย่างน่าหวาดเสียว  น้ำหนักที่ถ่วงไว้พอเหมาะพอดีทำให้ไม่ร่วงลงไป  แต่แรงลมที่พัดผ่านชั้น 9  ก็แรงพอที่จะกระชากร่างนี้ลงไปทันที  หากว่าเสียหลักเพียงเล็กน้อย

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนดูหม่นหมอง  ตาขาวแดงช้ำ  เพราะความกดดันอย่างหนักจากภายใน  เสียงทอดถอนใจ ลึก  ยาว   ราวกับเหน็ดเหนื่อยเสียเต็มประดา ทั้งที่ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นฟ้องว่าเจ้าตัวเพิ่งผ่านพ้นวัยเด็กมาเพียงไม่กี่ปี....ทั้งที่สามารถสร้างรายได้ต่อเดือนให้ตัวเองมหาศาลกว่างบประมาณทั้งปีของบางประเทศด้วยซ้ำ...แต่...
แต่...ทรัพย์สินมหาศาลเหล่านั้นจะมีค่าอะไร  หากผู้เป็นเจ้าของไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อีกต่อไป


‘เบื่อ...เหนื่อย...โลกนี้ช่างว่างเปล่าและไม่น่าอยู่เอาเสียเลย  แม่...ทำไมแม่ต้องห้ามไม่ให้ริวฆ่าตัวตาย  ทำไมละแม่  ริวไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว  แต่ริวก็ตายไม่ได้เพราะสัญญาที่ริวให้กับแม่’ คำถามดังลั่นในสมอง  วนเวียนอยู่เพียงเรื่องเดียว  จิตภายในดิ้นรนหาทางออกแต่ก็เหมือนพายเรือในอ่าง  ไม่ว่าอย่างไรก็วนกลับมาที่เดิมซ้ำๆ


ดวงตากลมโต  ทอดลอยไกลไปที่แสงไฟหลากสีจากตึกที่อยู่เบื้องหน้า  แต่ภาพในสมองกลับเป็นดวงตาเรียว เป็นประกายเจิดจ้าด้วยความมุ่งมั่น  ดวงตาของคนที่ไม่เคยยอมแพ้อะไรเลย  ใบหน้านิ่งสนิทแทบไม่มีรอยยิ้ม  แม่ที่ริวจำได้คือผู้หญิงผอมบางที่เดินตัวตรงแต่ก็พร้อมจะก้มหัวให้คนอื่นๆด้วยความสุภาพอ่อนน้อม  แม้คนๆนั้นจะนินทาลับหลังหยาบคายแค่ไหน  แม่ก็ไม่เคยแสดงกิริยาหยาบคายตอบ

หลายครั้งที่ริววิงวอนให้แม่หยุดทำงานเพื่ออยู่กับริวสักวัน  แต่คำตอบที่ได้รับมีเพียงอ้อมแขนอบอุ่นที่มักจะกอดริวไว้แน่นๆทุกครั้ง  กับคำพูดที่ติดปากแม่เสมอ...


‘แม่รักริวนะลูก  ที่แม่ต้องทำงานหนักก็เพื่อริว’


แม่ไม่เคยคร่ำครวญเรื่องความลำบากเหนื่อยยากของตัวเอง แต่ริวก็รู้ว่าแม่ต้องเหนื่อยมาก เพราะแม่ต้องทำงานถึงสามแห่งเพื่อเลี้ยงดูลูกเพียงลำพังในประเทศที่ค่าครองชีพสูงอย่างอเมริกา


‘มีคนบอกริวว่า  ริวเกิดจากความไม่ตั้งใจ  เป็นลูกที่เกิดจากความผิดพลาด...แม่ไม่ตั้งใจจะให้ริวเกิดเหรอ’

 ริวถามแม่เพราะริวได้ยินแม่ของเพื่อนที่เนสเซอรี่พูดกับแม่ของเพื่อนอีกคน  ที่ริวสงสัยเพราะทันทีที่เธอพูดจบ  แม่ของเพื่อนๆที่ยืนอยู่ตรงนั้นต่างหันมามองริวพร้อมกันหมดราวกับริวเป็นตัวประหลาด  ริวจึงไม่ยอมไปที่เนิสเซอรี่อีก


‘ไม่จริงเลยลูก...ตั้งแต่วินาทีที่แม่รู้ว่ามีริว  แม่ก็ดีใจที่สุดในชีวิต  แม่ไม่เคยมีความสุขขนาดนั้นมาก่อนเลย  ตานี้...ปากนี้...แก้มกลมๆน่ารักนี่...มาจากเลือดเนื้อของแม่...ทุกอย่างที่สร้างขึ้นมาเป็นลูก  มาจากแม่...แม่ภูมิใจเหลือเกินที่มีริว  ริวทำให้แม่มีกำลังที่จะลุกขึ้นสู้ทุกๆวันนะลูก’


“แต่แม่ของปีเตอร์เขาบอกว่า...”


“ริวเชื่อไหมลูกว่าแม่รักริว  ถ้าเชื่อก็อย่าไปสนใจสิ่งที่คนอื่นพูด  แม่อยากให้ริวเชื่อสิ่งที่ริวรู้สึก ดีกว่า  ริวรู้สึกไหมลูกว่าแม่รักลูกมากๆ  รักที่สุดในโลก  ต่อให้ต้องตายแทนริวแม่ก็ทำได้...ริวเชื่อไหมครับ”


“ครับ...ริวก็รักแม่ที่สุดในโลก”


แม่ออกจากบ้านตั้งแต่เช้า  กว่าจะกลับก็เกือบตี 3  ชีวิตริวจึงมีเพียง หนังสือ  โทรทัศน์ และคอมพิวเตอร์เป็นเพื่อนคลายเหงา  จนกระทั่งอดีตอาจารย์ของแม่ย้ายมาพักอยู่ที่บ้านหัวถนนที่เป็นย่านของคนมีเงิน  แต่หากเดินเลยมากเพียงไม่กี่ร้อยเมตร  ก็จะกลายเป็นที่อยู่อันแออัดของกลุ่มคนหาเช้ากินค่ำ 
ปู่อัลเบิร์ตขี้เหงา และอยากให้ริวไปเล่นกับท่าน แม่ถึงพาริวไปทิ้งไว้ที่นั่นในตอนเช้า แล้วริวจะกลับมาห้องตอนเย็นพร้อมแม่เพื่อกินข้าวเย็นด้วยกันก่อนที่แม่จะไปทำงานตอนกลางคืน  และอัลเบิร์ตเป็นคนแรกที่รู้ว่าริวเป็นเด็กพิเศษตั้งแต่ริวอายุได้ 3 ขวบ  ริวไม่เคยคิดว่าการทำอะไรตามความคิดที่อัดแน่นในสมองของเขาจะพิเศษอย่างที่ปู่อัลเบิร์ตบอก 

เพียงแต่ริวแค่จำอะไรได้มาก  และเข้าใจเรื่องราวหลายๆอย่างได้มากกว่าเด็กวัยเดียวกัน  อย่างเช่นเช้าวันหนึ่งที่แม่จูงริวไปฝากบ้านปู่อัลเบิร์ตเหมือนทุกๆวัน  ก็พบว่าก่อนถึงบ้านปู่อัลเบิร์ต  มีรถพยาบาลและรถตำรวจจอดเต็มหน้าบ้าน  เสียงชาวบ้านที่มุงดูอยู่แถวนั้นพูดกันว่าลูกสาวบ้านนั้นฆ่าตัวตายเพราะทะเลาะกับคนรัก


 “แม่คับ  ทำไมเขาฆ่าตัวตายล่ะ”


“เพราะเขาใจดำไงลูก  เขารักแต่ตัวเองเขาถึงกล้าฆ่าตัวตาย”


“ทำไมละครับแม่”


“สมมตินะครับ  สมมติว่าแม่ฆ่าตัวตาย   ริวจะเสียใจไหมลูก”


“เสียใจสิ  ริวไม่อยากให้แม่ตาย” 


ริวรู้จักคำว่าตายตอนที่หนูตะเภาของริวหายไป  แล้วริวเจอมันนอนนิ่งๆตัวแข็งอยู่หน้าบ้าน  แม่บอกว่ามันโดนแมวกัดตาย  การตายคือการนอนตัวแข็งๆ  ไม่ได้วิ่งเล่นอีก  แล้วก็ถูกเอาไปฝังก่อนที่จะเหม็น 
เจ้าหนูตะเภาสีขาวของริวตายไป  ทำให้เจ้าตัวสีดำต้องอยู่ตัวเดียว  มันไม่ยอมกินอาหาร  ไม่วิ่งเล่น  เอาแต่ซุกอยู่ที่มุมกรง  แล้วอีก2 วันเจ้าตัวสีดำก็ตาย  แม่บอกว่ามันตายเพราะมันเศร้า  มันไม่เก่ง  มันไม่เข้มแข็ง  มันถึงทนอยู่ตัวเดียวไม่ได้ 


“แม่ก็เหมือนกัน  แล้วริวคิดว่าแม่ของเด็กคนนั้นเขาจะเสียใจไหม”


“เขาต้องเสียใจมากแน่ๆ...คนนั้นสงสัยเป็นแม่  เขาร้องไห้ใหญ่เลย”


 “แม่ถึงบอกไงคับ  ว่าเด็กคนนี้ใจดำ  เขาไม่คิดถึงคนที่รักเขาเลย  กว่าจะเกิดมาเป็นตัวเขา  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นร่างกายเขา  สร้างมาเลือดเนื้อของแม่เขาทั้งนั้น  แล้วทำไมถึงฆ่าตัวตายง่ายๆ  ไม่คิดถึงคนที่เฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดูเขามาจนโตป่านนี้เลยสักนิด...ริวจำไว้นะลูก  คนฆ่าตัวตาย คือคนที่ใจร้ายใจดำที่สุด”


บทสนทนาวันนั้นยังแจ่มชัดในหู  และตอกย้ำในใจตลอดมา  ทุกครั้งที่อยากจะตายๆไปให้พ้นความว้าเหว่ที่ต้องอยู่คนเดียว  คำสอนของแม่ก็จะกลับมาย้ำเตือนจนไม่กล้าทำอย่างที่ใจปรารถนาทุกครั้ง


‘แม่ครับ  แต่การต้องอยู่คนเดียวโดยไม่มีแม่  มันก็ทรมานเหลือเกิน’


เด็กหนุ่มถอนหายใจยืดยาวก่อนจะทิ้งตัวหงายหลังวูบลง  ขาที่ยังเกี่ยวราวระเบียงไว้  ทำให้ศีรษะของเขาไม่กระแทกลงบนพื้นระเบียง  ดวงตาเลื่อนลอยไกลมองผ่านจอภาพทีวีขนาดยักษ์ที่กำลังฉายหนังการ์ตูน  ผนังทุกด้านติดทีวีขนาดใหญ่เรียงรายกันไปจนเต็มพื้นที่  แม้แต่บนเพดาน  ทุกเครื่องเปิดคนละสถานีแต่ไม่เปิดเสียง ในห้องกว้างโล่งนี้  จึงเต็มไปด้วยแสงสี  แต่เงียบกริบจนได้ยินแม้เสียงลมหายใจ....

ดวงตาสีน้ำตาลมองกวาดไปตามหน้าจอเลื่อนลอย  ขาที่เกี่ยวขอบระเบียงไว้คลายออก  แขนผอมรองรับน้ำหนักตัวไว้แล้วร่างเพรียวก็ตีลังกาม้วนลงมายืนที่พื้นอย่างสวยงาม  ก่อนขายาวๆจะเดินลิ่วไปหยุดจ้องหน้าจอ  ซึ่งกำลังโฆษณาอาหารสุนัขยี่ห้อใหม่ที่โหมโปรโมทแทบทุกช่อง 
เด็กหนุ่มย่นจมูกอย่างเซ็งๆก่อนจะคว้ารีโมทมากดเปลี่ยนช่องเล่นไปเรื่อยๆ  ปกติเขาจะดูแต่ช่องที่เป็นสารคดีสัตว์โลกหรือการ์ตูน  แต่วันนี้อยากดูอย่างอื่นบ้าง
ชั่วขณะที่ภาพเปลี่ยน  สายตาคู่หนึ่งก็จับจ้องมาจากหน้าจอจนเด็กหนุ่มเผลอมองค้าง  รู้สึกเหมือนหัวถูกกระแทกด้วยของแข็ง  ความรู้สึกอุ่นวาบในอกก่อนที่หัวใจโลดแรงเต้นระรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...ไม่สิ  ทำไมจะไม่เคย  แต่มันนานมากแล้ว  ความรู้สึกอุ่นในอกแบบนี้เกิดขึ้นทุกครั้งเห็นแม่กลับมาบ้าน  ทุกๆวันที่เขาเฝ้ารอเสียงไขประตูของแม่  ความรู้สึกที่จากเขาไปนานเหลือเกิน...และเขาไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสรู้สึกแบบนี้อีกครั้ง
แล้วภาพในจอก็เปลี่ยนไปอีกมุมกล้อง  ที่เปลี่ยนเป็นบรรยากาศรวมๆภายในห้องที่มีหนุ่มสาวอยู่ในนั้นราวๆ สิบคน 
คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างขัดใจเมื่อรออยู่หลายนาทีแล้วกล้องก็ยังไม่จับภาพคนที่อยากเห็น  จึงกดรีโมทเปลี่ยนทุกหน้าจอให้กลายเป็นสถานีเดียวกันหมด  กล้องยังจับภาพบรรยากาศรวมๆของห้องทำให้ไม่เห็นคนที่ต้องการดู  เด็กหนุ่มทรุดลงนั่งกับพื้น  หยิบโทรศัพท์มือถือมากดเลขเพียงตัวเดียวแล้วโทรออกโดยที่ตายังจับอยู่ที่หน้าจอเขม็ง


“อลัน...”


“ครับคุณริว” ถ้าตอบรับสุภาพแบบนี้แปลว่าข้างตัวอลันมีคนอื่นอยู่ด้วย  เวลาตี 3 สำหรับคนอื่นคือเวลาพักผ่อน  แต่สำหรับอลัน  เขายังตื่นอยู่และกำลังดูความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในอีกซีกโลกที่เพิ่งปิดตลาด


“นายเปิดทีวีซิ  ดูช่อง....เร็วๆ” น้ำเสียงเร่งเร้าบอกให้รู้ว่าต้องได้เดี๋ยวนี้  และปลายสายก็ไม่รีรอที่จะทำตามคำสั่ง


“ครับ...แล้วไง”


“รายการอะไรอลัน”


“เดี๋ยวนะครับ...เป็นรายการเรียลลิตี้  ประกวดร้องเพลงครับ” เสียงเบาๆที่ลอดเข้ามาในสาย  คงเป็นเลขาของอลันที่ช่วยตอบเพราะลำพังคนทำงาน20ชั่วโมงต่อวันอย่างอลันคงไม่มีเวลาดูรายการบันเทิงอื่นใดนอกจากข่าวเศรษฐกิจ


“อะไรคือเรียลลิตี้  แล้วนั่นที่ไหน”


“เป็นการถ่ายทอดสดภาพการดำเนินชีวิตของผู้ประกวดตลอด24ชั่วโมงครับ  ช่องนี้ถ่ายทอดมาจาก...ประเทศไทยครับ”


“แล้วทำไมกล้องแช่อยู่แบบนั้น  ฉันจะดูคนอื่นไม่ใช่คนนั้น”


“เดี๋ยวนะครับ  ผมให้เลขาหาข้อมูลให้อยู่”


ริวถอนใจเฮือกอย่างหงุดหงิด  แต่ชั่วขณะที่กำลังหงุดหงิด  ดวงตาก็กลับเป็นประกายวูบอย่างพอใจเมื่อกล้องโคลสภาพหนุ่มสาวเหล่านั้นทีละคน  ริวกดเครื่องบันทึกอัตโนมัติทันก่อนที่กล้องจะเลื่อนมาจับใบหน้าที่เขาต้องการเห็น   ริวเปิดเสียงให้ดังขึ้น  แม้ไม่เข้าใจภาษาที่คนเหล่านั้นสนทนากัน  แต่แววตาเป็นประกายแน่วแน่ มุ่งมั่นนั้นก็ดึงดูดเขาไว้จนไม่อาจถอนสายตาไปได้ 

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-05-2013 12:34:38 โดย spring »

ออฟไลน์ roseen

  • เก็บความทรงจำที่ดีๆของวันวาน เพราะมันคือกำลังใจของวันนี้
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8646
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +947/-16
Re: เธอคือ...ลมหายใจ by Anonymus
«ตอบ #1 เมื่อ06-08-2010 06:41:42 »

เข้ามาเจิ่มเรื่อง :L1:ใหม่

ออฟไลน์ thehackzzi

  • <?php echo "Hello world!";?>
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-31
Re: เธอคือ...ลมหายใจ by Anonymus
«ตอบ #2 เมื่อ06-08-2010 17:58:50 »

อยากอ่านอ่าครับ

แต่คิวอ่านผมยาวมาก

แหะๆๆ

มาแปะชื่อไว้ ในหน้าแรกก่อนใคร อิอิ

ออฟไลน์ Na_RimKLonG

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1
Re: เธอคือ...ลมหายใจ by Anonymus
«ตอบ #3 เมื่อ06-08-2010 23:56:14 »

แล้วว

หนุ่มคนนั้นจะเป็นใครน้าาา

ออฟไลน์ spring

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-7
ตอนที่ 2...



“โธ่โว้ย!” ริวสบถอย่างหงุดหงิดเมื่อภาพตัดไปเป็นคนอื่น  เด็กหนุ่มโทรหาอลันอีกครั้ง

“อลัน...รู้รายละเอียดหรือยัง”

“ครับ  ใจเย็นๆครับ  ผมให้เลขาซื้อแพ็คเกตให้แล้ว   แต่ต้องรออีก24ชั่วโมงนะครับ  ถึงจะดูกล้องพิเศษได้”

“กล้องพิเศษเหรอ” เด็กหนุ่มทวนคำงงๆ 

“ครับ  สามารถเลือกดูได้ทุกห้องที่ต้องการจากกล้องพิเศษครับ  ซึ่งอาจจะเป็นช่วงที่กล้องหลักถ่ายห้องอื่นๆอยู่ครับ...แต่คุณริวต้องดูจากเครื่องที่ต่อพ่วงกับคอมพิวเตอร์ไว้นะครับ”


ริวไม่ชอบหน้าจอมอนิเตอร์  เพราะหงุดหงิดว่ามันเล็กและแคบเกินไป  อลันจึงให้ต่อพ่วงเข้ากับโทรทัศน์เพื่อให้เด็กหนุ่มนั่งดูตลาดหุ้นจากมุมไหนของห้องก็ได้ตามความพอใจ

“มีทั้งหมด 30 กล้องนะครับ  จะเลือกดูแบบทั้งหมดพร้อมกัน  หรือเลือกโคลสอัพทีละกล้องก็ได้ครับ”

“ขอบใจนะอลัน”

“ครับ...อ้อ หลี่ถังช้อนซื้อหุ้นคืนไปก่อนตลาดปิดจริงๆครับ”

“ปล่อยมันไป...”

“เอ่อ  แล้วเราจะไม่ปล่อยเหรอครับ”

“หมูถูกน้ำร้อน  เดี๋ยวมันก็โดดมาให้เราเชือด  ต้องขอบใจความบ้าของหลีถังที่อยากเอาชนะจนยอมขาดทุน  ในเมื่อมันเขาเงินมาหว่าน  เราก็เก็บไว้เป็นค่าขนมสิ”

“อีกไม่กี่ชั่วโมงตลาดจะเปิดแล้วนะครับ”


ริวเหลือบมองนาฬิกา  อีกไม่นานตลาดดาวโจนส์ก็จะเปิด  แล้วเขาก็จะได้เริ่มเล่นเกมอีกครั้ง  เกมล่าเงินที่ต้องอาศัยไหวพริบและข้อมูลที่รวดเร็วแน่นอนเชื่อถือได้  ยิ่งมีข้อมูลมากเท่าไหร่  ก็เท่ากับมีฐานแห่งความมั่นคงมากเท่านั้น 
แต่นั่นแหละ  หลายๆครั้งที่ริวกลับตัดข้อมูลทิ้งไปแล้วใช้สัญชาติญาณของนักล่าเป็นตัวเล่นเกม  ซึ่งส่วนใหญ่สัญชาติญาณของริวก็แม่นเสียด้วย  อาจเป็นเพราะเขารู้จักธรรมชาติของนักล่าเหมือนกันได้ดีก็เลยทำให้เดาทางเดาใจกันถูก
เหมือนอย่างครั้งนี้ที่เขาตัดสินใจซื้อหุ้นของหลีถังทั้งที่มีข่าวว่าบริษัทกำลังจะล้ม  แต่กลับกลายเป็นว่าหลีถังเจตนาปล่อยข่าวเพื่อทำลายหุ้นส่วนอีกคนที่กำลังขาดสภาพคล่อง  พอหุ้นส่วนคนอื่นแตกตื่นรีบขายหุ้น  ราคาหุ้นก็ตกวูบ  แต่แทนที่จะเป็นหลี่ถังที่ซื้อไว้ตามแผน  กลับกลายเป็นว่าริวให้อลันช้อนซื้อไว้แทนจนหมด  งานนี้ถ้าหลีถังต้องการหุ้นทั้งหมดคืน  จึงต้องจ่าย “ค่าขนม”  ให้ริวไม่ใช่น้อย
แต่ด้วยทิฐิหลี่ถังคงไม่ยอมปล่อยให้บริษัทตกเป็นของคนต่างชาติแน่ๆ  ริวแน่ใจว่าไม่ว่ากี่เท่าหลีถังก็ต้องพยายามซื้อหุ้นทั้งหมดคืนไปให้ได้

“อืม...รอให้เป็นสองเท่า  ค่อยปล่อย”

“สองเท่า!”

“น้อยไปเหรอ  งั้นรอให้ได้ 3 เท่าละกัน”

“คุณริวครับ” อลันพยายามจะท้วง  เพราะการทำแบบนี้เท่ากับเจตนาแกล้งกัน  ซึ่งโดยมารยาทไม่ควรทำ  แต่ในเมื่อริวสั่ง  เขาก็ต้องทำตาม

“ตามนั้นอลัน”


ริวหมดความสนใจเพียงเท่านั้น  เด็กหนุ่มนอนกลิ้งไปมาสายตาจับอยู่ที่หน้าจอตลอดเวลา  และทุกครั้งที่กล้องจับภาพคนที่เขามองหา  เด็กหนุ่มก็จะจ้องมองนิ่งแทบลืมหายใจ  เด็กหนุ่มเฝ้าดูทุกกิจกรรมตั้งแต่การซ้อมร้องซ้อมเต้น  ออกกำลังกาย  ไปจนถึงการผลัดเวรกันทำอาหารในแต่ละมื้อ กระทั่งได้เวลานอน  กล้องในห้องนอนจับภาพบรรยากาศโดยรวมเห็นแต่ละคนทำกิจกรรมต่างๆกันไป  บางคนนั่งคุยกัน  บางคนก็ซ้อมเพลงอยู่บนเตียงของตัวเอง  ขณะที่บางคนนั่งหลับตานิ่งๆอยู่นาน  จะว่านั่งหลับก็ไม่น่าจะใช่ 
ริวนั่งมองอย่างเบื่อๆ กระทั่งใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในกล้องหน้าห้องนอน  ใช้ผ้าขนหนูที่คอขยี้ผมแล้วเดินไป   ไดร์ทผม หน้ากระจกพลางหันไปคุยกับเพื่อนอีกคน  หมอนั่นแต่งตัวเสร็จแล้วก็เดินไปที่เตียง  เก็บอุปกรณ์สีดำชิ้นเล็กๆที่เพื่อนๆถอดวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง  ซึ่งริวคาดว่าคงเป็นไมค์  เพราะพอเก็บอุปกรณ์เหล่านั้นออกมา  เสียงในห้องก็ลดลง
ริวจ้องมองคนที่ยืนสุดขอบจอข้างล่างจนเกือบหลุดจากกล้องเขม็ง  จนกระทั่งเขาเดินผละจากหน้ากระจกเข้าไปในห้องนอน  ไปนั่งที่เตียงริมสุด  หยิบเนื้อเพลงบนโต๊ะหัวเตียงมาซ้อมร้อง  เสียดายที่ไม่ได้ยินเสียงเพราะถอดไมค์ออกไปแล้ว

ครู่หนึ่งไฟในห้องก็ดับ  เหลือเพียงโคมไฟจากหัวเตียง  ทุกคนเข้านอนกันหมดยกเว้นคนที่ริวเฝ้ามอง  เขาหยิบเนื้อเพลงกับเครื่องบันทึกเสียงของตัวเอง  ลุกออกจากห้องไป  ริวมองตามแล้วสบถด้วยความโมโหที่ไม่รู้ว่าคนคนนั้นหายไปไหนเพราะกล้องไม่ได้จับภาพตาม  เด็กหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาอย่างหงุดหงิด  อยากเร่งเวลาให้ครบ24ชั่วโมงเร็วๆ เพื่อจะได้ดูคนที่ต้องการได้ดังใจ

เด็กหนุ่มเดินพล่าน  รอให้กล้องตัดภาพไปที่คนหายไปจากกล้อง  นานจนเกือบถอดใจ  จู่ๆกล้องก็ตัดภาพเป็นหลายมุมกล้องพร้อมกัน  นอกจากห้องนอนทุกห้องว่างเปล่า   ไม่มีใครอยู่เลย  ริวเพ่งมองทุกภาพอย่างละเอียดหวังจะเห็นคนๆนั้น  ในที่สุดจอภาพหนึ่งก็เปลี่ยนเป็นกล้องที่ทางเดินที่ยังเปิดไฟสว่าง  ใครบางคนนั่งซ้อมเพลงอยู่ตามลำพังแล้วกล้องก็โคลสภาพเข้ามาจนใกล้  ใกล้พอที่จะเห็นสีหน้ามุ่งมั่น  ทั้งรูปตาทั้งแววตาที่เปล่งประกายของนักสู้นั้นช่างเหมือนกับดวงตาของแม่เขาไม่มีผิด 

ใจของริวเต้นแรง  ความรู้สึกอบอุ่น เต็มตื้นขึ้นมาจนน้ำตาไหลออกมาดื้อๆ  และเด็กหนุ่มก็ไม่คิดจะเช็ด  ริวนั่งมองคนๆนั้นซ้อมเพลงต่อไปเงียบๆ  ไม่เพียงแค่ซ้อมร้อง  แต่เขายังจดบางอย่างลงในกระดาษที่ถือมาอยู่ตลอดเวลา  จนเกือบตี 3  เขาถึงได้ลุกขึ้นเก็บของแล้วไปเข้าห้องน้ำครู่หนึ่งถึงกลับมานอน  ภาพตัดกลับไปเป็นห้องนอนรวม  ดูเหมือนทุกคนจะหลับกันหมดแล้ว

“ราตรีสวัสดิ์”  ริวลูบใบหน้าของเขาคนนั้นผ่านทีวี  ก่อนจะดึงหมอนมานอนมองอยู่ครู่ใหญ่ๆจึงผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

sky-cafe

  • บุคคลทั่วไป
Re: เธอคือ...ลมหายใจ by Anonymus
«ตอบ #5 เมื่อ07-08-2010 01:47:49 »

พี่ริวติด AF หรอคะ *หัวเราะ* ว่าแต่ว่าพ่อหนุ่มน้อยคนนั้นที่ถูกริวเฝ้ามองคือใครกัน หนอ ; )

ออฟไลน์ spring

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-7
Re: เธอคือ...ลมหายใจ by Anonymus อัพ 8/8/10 P.1
«ตอบ #6 เมื่อ08-08-2010 00:24:16 »

ขอบคุณค่ะ reseen  ที่มาเจิมให้ ^__^
hackz   โอ้ยินดีต้อนรับค่าน้อง hackz  ว่างเมื่อไหร่อย่าลืมแวะมาอ่านกันเน้อ
atom_big  นั่นสิคะ  เป็นใคร  อยากรู้ต้องตามอ่านไปก่อน  บางทีที่คิดไว้อาจะไม่ใช่ก็ได้นา
ตอบคุณ sky-cafe  ริวไม่ได้ติด AF ค่ะ  แต่ใกล้เคียง  คนแต่งแค่ลอกรูปแบบรายการมาเท่านั้น แต่มิใช่รายการนี้เนาะ






ตอนที่ 3


ริวสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงแปลกประหลาด  เด็กหนุ่มกวาดตามองรอบๆอยู่ครู่หนึ่งก็จำได้ว่าเมื่อตอนบ่ายเขาเปิดเสียงทีวีทิ้งไว้ก่อนหลับ เพื่อให้แน่ใจว่าจะตื่นทันคนๆนั้น  สิ่งแรกที่ริวทำก็คือมองไปที่เตียงของคนที่เขาเฝ้ามองมาตลอด  บัดนี้มันว่างเปล่าแล้ว

เด็กหนุ่มหน้าเสีย  ผุดลุกขึ้นจ้องมองอย่างสงสัย  แต่เพียงครู่เดียวภาพก็ตัดเป็นหลายจอ  เพื่อให้เห็นกิจกรรมของทุกๆคน  หลายคนตื่นแล้วและอยู่ในห้องน้ำ  ขณะที่บางคนอยู่ในสระว่ายน้ำ  บางคนกำลังวิ่งอยู่ที่สนาม  อีกกลุ่มอยู่ในห้องครัวเพื่อทำอาหาร  และคนที่ริวอยากเห็นก็อยู่ในกลุ่มนี้  ผ้าคาดเอวไม่ได้ทำให้คนๆนั้นดูขัดตาแม้แต่น้อย  ท่วงท่าในการหยิบจับข้าวของ  ดูคล่องแคล่วกว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยซ้ำ  เมื่อเขาหย่อนปลาลงในกระทะ  ผู้หญิงที่ยืนข้างๆก็ร้องกรี๊ดกระโดดออกไปซะห่างเพราะน้ำมันกระเด็น  คนที่ริวเฝ้ามองก็ส่ายหน้าแต่อมยิ้มน้อยๆเป็นจังหวะที่กล้องโคลสอัพหน้าเขาพอดี

ริวผุดลุกขึ้นเดินไปยืนจนใกล้  นิ้วยาวแตะใบหน้าบนหน้าจอแผ่วเบาโดยเฉพาะดวงตาเป็นประกายกล้านั้น

“สวยจัง...ตานายเหมือนมีไฟลุกอยู่ในนี้...”

ติ๊ง!

เสียงกริ่งประตูดังขึ้นเพียงครั้งเดียว  ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดเข้ามา  ริวได้ยินเสียงประตูเปิดแล้วแต่ยังคงจ้องมองใบหน้าในจอทีวีเฉย

“ริว  เรื่องหุ้นหลี่ถัง...”

“จัดการตามที่นายเห็นว่าเหมาะสมก็แล้วกัน”

คำตอบของริวทำเอาคนที่ร้อนรนเข้ามาถึงกับชะงัก  เขาอุตส่าห์รีบเคลียร์งานให้เสร็จทันทีที่ตลาดปิดจนสองทุ่ม  ถึงได้ปลีกตัวมาได้เพื่อจะมาขอร้องเรื่องหลี่ถัง  เพราะอีกฝ่ายต่อสายตรงมาถึงเขาเพื่อขอให้ปล่อยหุ้นทั้งหมดคืนให้  ทำให้ อลัน หนักใจไม่น้อยว่าจะกล่อมริวยังไง

ริวไม่ใช่เด็กใจร้าย  ไม่ใช่พ่อค้าหน้าเลือดอย่างที่ใครๆคิด  แต่ทุกอย่างในความคิดของริวเหมือนเกม  แม้เด็กหนุ่มจะอายุ 13 ย่าง14  แล้วแต่ริวกลับแทบไม่เข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของคนอื่น  นอกจากตัวเอง

แม้แต่ตอนนี้ริวก็ไมได้ใส่ใจเขา  เพราะสายตายังสอดส่ายหาคนที่ต้องการอย่างตั้งอกตั้งใจ

“เขาชื่อพสุ  ศิระศาสตร์  ชื่อเล่นว่า ไผ่  เป็นลูกอดีตนักร้องชื่อดัง พรเทพ  ศิระศาสตร์”

“หืม?” ริวหมุนตัวกลับมาหาทันที  ดวงตาโตเป็นประกายวาววับอย่างสนใจ

“นี่ประวัติของเขา”  อลันส่งซองเอกสารให้  ริวรับมาเปิดดูอย่างสนใจ  ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหาคนในจอภาพอีกครั้ง  ขณะที่อลันเดินเปิดตู้เย็นดูแล้วได้แต่ส่ายหัว  อาหารที่เขาเตรียมไว้ให้ริวไม่ได้เอาอะไรออกมาอุ่นกินเลยสักอย่างเดียวเหมือนเคย

ริวเป็นคนไม่สนใจกิน  เด็กหนุ่มจะกินเท่าที่เขาจัดไว้ให้  แต่บางครั้งถ้ากำลังสนใจอะไรมากๆ  ก็มักจะลืมกินไปเลย  เหมือนอย่างครั้งนี้  อลันเอาอาหารออกมาจากตู้เย็นไปอุ่นด้วยไมโครเวฟ  แล้วนำมาวางไว้ข้างๆริว  เด็กหนุ่มเหลือบมามองแล้วส่ายหน้า

“ฉันจะกินแบบไผ่” ริวชี้ไปที่จอโทรทัศน์  หนุ่มสาวหลายคนในภาพ  กำลังกินอาหารเช้าร่วมกันบนโต๊ะ  ท่าทางวุ่นวาย

อลันยังรักษาสีหน้าให้เรียบนิ่งไว้ได้ทั้งที่รู้สึกแปลกๆที่ริวเรียกคนๆนั้นอย่างสนิทปาก

“โอเค...รอแป๊บนึง  ฉันจะสั่งจากร้านอาหารไทยมาให้”

ริวพยักหน้าหงึกๆ  ก่อนจะจ้องคนในจอเขม็งตามเดิม  อลันมองตามแล้วลอบถอนใจ  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนในโทรทัศน์นี่หรือเปล่า  ที่ทำให้ริวอารมณ์ดีจนยอมปล่อยมือจากหุ้นของหลี่ถัง  แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด  การที่ริวยอมปล่อยมือง่ายๆก็ทำให้อลันโล่งใจที่ไม่ต้องสร้างศัตรูขึ้นมาอีกคน

...........................................

 

เมื่อสามารถใช้กล้องได้ทั้ง 30 ตัว  ริวก็นั่งมองเพลินไม่ขยับไปไหนนอกจากไปห้องน้ำ  อาหารก็กินเฉพาะที่อลันสั่งจากร้านอาหารไทยมาไว้ให้  ถึงจะรับรู้ว่าอลันเข้ามาในห้องแต่เด็กหนุ่มก็ยังนั่งนิ่งไม่เปลี่ยนอิริยาบถ  ยกเว้นแต่ตอนที่คนในทีวีเดินไปห้องอื่น  ก็จะเปลี่ยนกล้องตามไป

  อลันวางแฟ้มเอกสารที่ริวต้องเซ็นลงข้างตัวเด็กหนุ่ม  ก่อนจะมองตามสายตาของริวไปยังจอพลาสม่าขนาดใหญ่ตรงหน้า  อดอยากรู้ไม่ได้ว่าทำไมริวถึงสนใจคนๆนี้นัก  เพราะปกติ  ริวจะดูแต่การ์ตูน  สารคดีสัตว์โลก  หรือไม่ก็ฟังเพลง  นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นริว สนใจ ‘มนุษย์’

“นายต้องเซ็นชื่อในเอกสารนะ”  อลันบอกเด็กหนุ่มเบาๆ  หลังจากนั่งรออย่างใจเย็นจนเห็นคนที่ริวเฝ้ามองเข้าไปอาบน้ำแล้วนั่นแหละถึงบอก  ริวคว้าเอกสารมาอ่านลวกๆแล้วรีบเซ็นพลางคอยชำเลืองมองหน้าจอ  อลันมองตามแล้วถอนใจเฮือก  ดูท่าช่วงนี้คงต้องชะลอการซื้อขายหุ้นลง  เพราะริวคงไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรนอกจากเฝ้าหน้าจอทั้งวัน

“อลัน”

“หืม?”

“เทขายทองคำออกทั้งหมดนะ  แล้วซื้อหุ้นน้ำมันไว้แทน”  ริวสั่งทั้งที่มือยังเซ็นงาน  ตาก็คอยเหลือบมองทีวีเป็นระยะๆ

“ทำไมละ ทองกำลังขึ้นนะ”

“นั่นแหละ  รีบปล่อยให้หมด...อีกไม่กี่วันก็ตก  อาจจะตกเยอะกว่าคิดด้วยซ้ำ”

“แล้วหุ้นน้ำมัน...”

“มีปัญหาภายในแบบนี้  โอเปคลดกำลังการผลิตแน่...อีกหน่อยคนจะหันมาสะสมน้ำมันมากกว่าทองคำ”

“โอเค...จะจัดการให้”

อลันยิ้มออก  ลองเป็นอย่างนี้แสดงว่าริวก็ยังไม่ได้ทิ้งงานหลักของตัวเองอย่างที่คิดก็ได้  แต่...บางทีเขาอาจคิดผิดเพราะทันทีที่คนๆนั้นโผล่เข้ามาในกล้อง  ริวก็ตัดขาดจากโลกภายนอกเฝ้ามองตามคนในจอทุกอิริยาบถดังเดิม

...................................

 

“อลัน...เอาเขามาให้ฉันทีสิ”  ริวร้องจะเอาดื้อๆ  เมื่อรายการเรียลลิตี้นั้นกำลังจะจบลงในอีกไม่กี่วัน  และคนที่ริวเฝ้าตามดูตลอดเกือบ 24 ชั่วโมง ก็สามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายมาได้

อลันได้แต่ถอนใจยาว  ริวไม่เคยถูกขัดใจ  และทุกอย่างสำหรับเขาต้องได้เสมอ  แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอยากได้ ‘คน’  ซึ่งไม่มีทางที่จะสมหวังได้ดังใจแน่นอน

“อยากได้ก็เอามาไม่ได้หรอกนะ”

“ทำไม?”

“ริว...ที่นายอยากได้น่ะ คนนะไม่ใช่ตุ๊กตา  แล้วการจะอยู่กับใครสักคน  นายเองก็ต้องปรับตัวอีกเยอะ  ตอนนี้นายไม่พร้อมที่จะอยู่กับใครหรอกนะริว”

ออฟไลน์ spring

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-7

ตอนที่ 4


“ฉันพร้อม! ฉันอยากอยู่กับเขา  อยากเห็นเขาตลอดเวลา...อยากฟังเสียงเขา...โอ๊ย! มันต้องวิเศษมากแน่ๆ”  ริวอุทานแล้วนอนกลิ้งไปมา  ดวงตากลมโตเป็นประกายเจิดจ้าสดใสที่นานๆจะได้เห็นสักครั้ง  จนอลันไม่อยากทำลายความแจ่มใสนั้นเลย  แต่ความจริงก็ยังเป็นความจริง  และเขาไม่คิดว่าควรโกหก  เพราะหากปล่อยให้เนิ่นนานไป  ริวจะยิ่งเจ็บปวดมากกว่านี้

 “นายยังไม่พร้อมริว”

 “อื้อ...ทำไมล่ะ  ทำไมจะไม่พร้อม  เขาอยากได้อะไรฉันก็หาให้เขาได้หมดทุกอย่างอยู่แล้ว...ฉันให้เขาแช่น้ำด้วยก็ได้  ให้เขาเปลี่ยนช่องทีวีได้ตามใจเลยด้วย...แค่ได้มองหน้าเขาทุกวันๆฉันก็พอใจแล้ว” คิ้วเข้มขมวดมุ่นอย่างหงุดหงิดที่ถูกขัดใจ  อลันไม่เคยขัดใจเขา  ไม่ว่าเขาจะทำหรือไม่ทำอะไร  อลันก็ไม่เคยทักท้วงหรือห้ามปราม  แล้วทำไมคราวนี้กลับไม่ยอมทำตามคำสั่ง

“เด็กน้อย...นายไม่พร้อมจริงๆด้วยริว  มนุษย์มีความซับซ้อนมากกว่าสัตว์เลี้ยงนะริว  มากกว่ามากๆ...ถึงนายจะเนรมิตทุกอย่างให้เขาได้ด้วยเงิน  ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะอยากอยู่กับนายนะริว”

“ไม่เข้าใจ...แค่อยู่ด้วยกัน  ทำไมยุ่งยากนัก...นายไม่ยอมทำให้ฉันมากกว่า  ไหนว่านายเป็นผู้จัดการที่เก่งที่สุดในโลกไงอลัน”  เด็กหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่ง คิ้วเข้มขมวดมุ่นจนแทบชิด  แก้มกลมป่องพองอย่างเด็กถูกขัดใจ

“เฮ้อ!....ริว...โลกนี้ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่นายไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินหรอกนะ  แล้วต่อให้นายพร้อม  เขาก็คงไม่มาหรอกนะ”

“ทำไม”

“นายเห็นไหม  ตอนนี้เขาเป็นนักร้องแล้ว  เขามีสัญญาอีกตั้ง 5 ปีกับทางค่าย  ยังไงเขาก็ไม่มีทางร้องเพลงของนายหรอกนะริว”

“ซื้อเขามาสิ อลัน  ซื้อเขามาจากที่นั่น  แล้วเราก็เปิดบริษัทขึ้นมาทำเพลงให้เขา” ริวสั่งแล้วจ้องมองอลันด้วยสายตางุนงงแกมขึ้งโกรธ  ไม่เข้าใจว่าเรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมถึงทำไม่ได้  ขนาดของที่ว่าหาไม่ได้อีกแล้ว  ถ้าเขาอยากได้  อลันยังสามารถหาซื้อมาให้จนได้ นับประสาอะไรกับคนแค่คนเดียว  ทำไมอลันต้องทำเหมือนกับว่าเป็นเรื่องยากอะไรนัก

“บอกแล้วไงริว  เงินใช่จะซื้อทุกอย่างได้ดังใจ  ถ้าเสนอไปแบบนั้นจริงๆ เขาอาจจะยิ่งไม่มาแล้วพาลเกลียดนายก็ได้  เพราะว่านายดูถูกเขา”

“ดูถูก?”

“ใช่ดูถูก  ดูหมิ่นศักดิ์ศรีเขาด้วย  นายลองคิดดูสิ  ถ้าเขาถูกซื้อตัวมาเพื่อให้นายปั้นเขาเป็นนักร้อง  แลกกับการมาอยู่กับนาย  เขาจะยอมเหรอ”

“อะไรของนาย  ทำไมไม่ได้สักอย่างล่ะ  โธ่โว้ย!”

 “เฮ้อ!”

“งั้นฉันจะไปหาเขาเอง  ฉันจะไปอยู่กับเขา”

“ในฐานะอะไรริว...เพื่อน? หรือว่าคนรัก?”

“ฐานะอะไรก็ช่าง  แค่ได้อยู่กับเขา  ฉันก็พอใจแล้ว”  ริวบอกพร้อมกับเอื้อมมือไปแตะใบหน้าบนหน้าจอโทรทัศน์

“แต่เขาคงไม่คิดอย่างนั้นหรอก  นายไม่ใช่คนในครอบครัว  ไม่ใช่ญาติ  จะให้เขายอมรับนายง่ายๆน่ะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว  ตัดใจซะเถอะริว”

“แต่ฉันอยากเจอเขา...อยากอยู่กับเขา...นายมันใจร้าย  ไอ้บ้าอลัน”  ปากบางเม้มแน่น น้ำตาเม็ดโตๆ  หยดเผาะๆโดยปราศจากเสียงสะอื้น


อลันถอนใจเฮือกด้วยความสงสาร  ริวเป็นเด็กไม่มีมารยา  เมื่อรู้สึกอย่างไรก็แสดงออกมาตรงๆ  มันง่ายดายที่จะคาดเดาอารมณ์เด็กหนุ่ม  แต่ก็อันตรายกับเจ้าตัวเหลือเกินหากต้องไปอยู่กับมนุษย์อื่นในสังคม  ถึงฉลาดแค่ไหนแต่ไร้เดียงสาขนาดนี้ยังไงก็ต้องตกเป็นเหยื่อของฝูงคนหิวกระหายข้างนอก...

ความผิดเขากับพ่อสินะ  ที่เลี้ยงริวให้เติบโตมาเหมือนต้นไม้ในตู้กระจก  ประคบประหงมปกป้องเขาจากอันตรายทั้งปวง  จนตอนนี้ ริวดำรงชีวิตแบบคนทั่วไปไม่ได้แล้ว...ทั้งที่เจ้าตัวอยากโผออกไปในโลกกว้างเพื่อไล่ตามคนที่หลงใหล


“ไม่รู้แหละ  ถ้านายไม่ช่วย  ฉันจะไปหาคนอื่น...ต้องมีใครสักคนช่วยฉันได้แน่ๆ”

“ฉันช่วยนายแน่ริว  แต่หลังจากที่นายทำตามสัญญานี่ครบก่อนนะ  ลืมแล้วเหรอ ร้อยล้านยูโรใน1ปีที่นายเคยบอกฉัน” อลันโบกสัญญาไปมาให้เด็กหนุ่มดู  เขาไม่อยากใช้วิธีนี้เลย  แต่ตอนนี้เขายังปล่อยริวไปโดยไม่ได้เตรียมอะไรให้เด็กหนุ่มเลยแบบนี้ไม่ได้

“ฉันให้นาย 2 ร้อยล้านต่อปีเลยก็ได้” ริวพูดสวนทันควัน  เงินไม่เคยมีค่าสำหรับเขา  และตอนนี้หัวใจเขาก็วิ่งไปหาคนอีกซีกโลกแล้ว

“ไม่ริว  ไม่ใช่สิ  นั่นมันเงินนาย  ไม่ใช่เงินฉัน  เงินที่ฉันควรจะได้จากหน้าที่การงาน ในฐานะผู้จัดการของนาย  ไม่ใช่เงินของนายที่โอนมาให้”

ริวเถียงไม่ออก  เมื่ออัลเบิร์ตตายอลันต้องวิ่งวุ่นเพื่อจัดการเรื่องของเขาทำให้ไม่มีเวลาดูแลบริษัทของตัวเอง  เขาเองที่ตะโกนใส่อลันว่าเขานี่แหละจะสร้างรายได้ไม่ต่ำว่าปีละ 100 ล้านยูโรให้  เพื่อให้อลันมาดูแลเขาเต็มเวลา  อลันยอมทิ้งบริษัททนายที่ทำร่วมกับเพื่อนเพื่อมาเป็นทนายและผู้จัดการผลประโยชน์ทั้งหมดให้ริว  และตอนนี้อลันยังเป็นผู้ปกครองตามกฎหมายของริวอีกด้วย

“แต่ฉันอยากอยู่กับเขานี่  อยากอยู่กับเขาได้ยินไม๊...มัวแต่ช้า  เขาอาจจะหายไปเลยก็ได้  ฉันอาจจะไม่ได้มีโอกาสเห็นหน้าเขาเลยก็ได้”  ริวตะโกนใส่หน้าอลัน  แล้วทำท่าจะร้องไห้อีกรอบ  เขากลัว...เขาไม่อยากสูญเสียอีกแล้ว

“ใจเย็นๆริว  เอางี้นะ  ฉันจะส่งคนไปจับตาดูเขาทุกฝีก้าว  ถ้านายไม่แน่ใจ  จะให้ฉันติดกล้องในบ้านในห้องนอนของเขาก็ยังได้นะ”

“ไม่ต้อง! ไม่เอา!”  ริวตวาดกลับ  แล้วก็เดินหนีไปทิ้งตัวลงนอนบนพรมนุ่มกลางห้อง  อลันรู้ดีว่าอารมณ์แบบนี้ปล่อยให้อยู่คนเดียวคงไม่ได้แน่  ชายหนุ่มจึงหันไปเปิดกระเป๋า  เอางานออกมาทำพลางๆ เพื่อรอ...รอให้ริวสงบและพร้อมจะมีเหตุผลมากว่านี้


หากเทียบกับคนอื่น มันสมองของริวก็ระดับศาสตราจารย์  แต่วุฒิภาวะทางอารมณ์กลับอยู่เพียงเด็ก 10 ขวบเท่านั้น   ขณะที่สมองพัฒนาไปไม่หยุดยั้งแต่จิตใจและอารมณ์กลับถูกหยุดไว้เพียงตอนมารดาเสียชีวิต  เด็กน้อยเลิกปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์อื่นๆอย่างสิ้นเชิงเมื่อศ.อัลเบิร์ตบิดาของอลันจากไปอีกคน

โลกที่มีแต่ทีวี คอมพิวเตอร์ และเครื่องดนตรีเต็มห้อง  ดึงเด็กน้อยออกจากโลกของความเป็นจริง  และเป็นสิ่งผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตบิดา  ก่อนเสียชีวิตท่านถึงอ้อนวอนขอให้เขาดูแลอัจฉริยะน้อยๆที่น่าสงสารแทนท่าน  จนผู้ชายวัย 35 อย่างเขา  ต้องกลายมาเป็นเพื่อนกับเด็กอายุ 13 อย่างทุกวันนี้


............................

ออฟไลน์ didi

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1000
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-8
น่าสงสารริวจังเลย.
ชอบมากค่ะ :L2: :L2:

ออฟไลน์ Shock_n2n

  • Deep cute...
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
อุ๊ย อ่านแล้วชอบจังเลยอ่ะ ถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีมากจริง ชอบ มากๆ
โดยเฉพาะ บรรยาย เรื่องแม่เนี่ย ชอบมากๆ ทำให้เราหวนคิดเลยจริงๆ
แต่ ว่า ริว เป็นแบบนี้ก็น่ารักดีนะ มีจุดเด่นดี  :L1:
เอาใจช่วย ไรเตอร์ แต่เรื่องที่มีคุณภาพนี้ต่อไปเลื้อยๆ จร้า
จะรอติดตามต่อไปนะจ๊ะ :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ พี่วันเสาร์

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +282/-3
อ่านชื่อเรื่องแล้วชอบมากเลย o13
ริวน่าสงสารจัง :เศร้า2:

ออฟไลน์ spring

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-7
ตอนที่ 5
 
“อลัน...นายว่า  ฉันต้องทำยังไง  เขาถึงจะรักฉัน”

อลันเงยหน้าจากเอกสารขึ้นมามองเด็กหนุ่มด้วยความเป็นห่วง  คำว่ารักของริวไม่ต่างจากเด็กเล็กๆ  สิ่งที่ริว อยากได้คือความรักความอบอุ่น  ไม่มีตัณหาใดๆมาเจือสักเสี้ยว  ตาโตสีน้ำตาลอ่อนใสเหมือนลูกแก้วจ้องมองเขาอย่างรอคอยคำตอบ...สิ่งเดียวที่ริวแทบไม่เคยสัมผัสคือการใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์คนอื่นๆ  ริวจึงไม่เข้าใจว่า 'คนทั่วไป' ใช้ชีวิตกันยังไง

“นายก็เป็นตัวนายเองนั่นแหละ”

“ไม่สิ  ตัวฉันนิสัยไม่ดี  ฉันเป็นไอ้เด็กนรก  นายเป็นคนบอกฉันเองนี่นา  แล้วเขาจะรักเด็กนรกได้ยังไง”


อลันอมยิ้มขันคำพูดของริว  แปลกที่บุคลิกสุดขั้วสองด้านอยู่ในตัวอัจฉริยะคนนี้  เมื่ออยู่ในโลกไซเบอร์  ริวคือพระเจ้าแห่งการคำนวณ  ทั้งตลาดหุ้นและดนตรี  เขาสามารถทำให้มันเป็นเพียงเรื่องง่ายๆ เพียงพลิกฝ่ามือ   แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เปิดปากพูดเรื่องธรรมดาสามัญในชีวิต  ริวกลับกลายเป็นเพียงเด็กเล็กๆคนหนึ่ง  ที่ใช้เงินยังไม่เป็นด้วยซ้ำ  จะโทษใครได้ก็ในเมื่อทุกสิ่งที่ริวต้องการ  เขาก็เนรมิตให้ดังใจ


“ไม่เลยริว  ถ้านายไม่พยศ  ไม่ดื้อรั้น  นายก็เป็นเด็กน่ารักที่สุดในโลก  เชื่อฉันสิ  ว่าเขาจะต้องรักนายในแบบที่นายเป็นนี่แหละ”

“ฮื้อ...” คิ้วเข้มขมวดมุ่นจนหัวคิ้วย่น ขณะที่ฟันก็กัดกำปั้นตัวเองอย่างหงุดหงิด  กึ่งครุ่นคิด

อลันปล่อยให้ริวคิดไปเงียบๆ  ส่วนเขาก้มหน้าก้มตาจัดการกับบัญชีตรงหน้าอย่างเร่งด่วน  เพื่อให้ทันกับกระแสเงินที่จะอัดเข้ามาอีกมหาศาลในวันถัดๆไป


“อลัน!”

“หืม?”

“ฉันจะเรียนภาษาไทย”

“อะไรนะ” อลันถามย้ำเพื่อให้แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน

“ฉันจะเรียนภาษาไทย  จะพูดไทยให้ได้  จะได้ฟังเพลงไทยออกก่อนที่ฉันจะไปหาเขา...ฉันจะแต่งเพลงดีๆให้เขาร้อง  ถ้าเขาได้ร้องเพลงของฉัน  เขาจะต้องดังแน่นอน”

อลันมองสีหน้ามุ่งมั่นของเด็กหนุ่มแล้วก็ได้แต่ถอนใจยาว  ไม่ใช่เขาไม่เชื่อในความสามารถของริว  แน่ใจได้เลยด้วยซ้ำว่าถ้าคนๆนั้นได้ร้องเพลงของริว  หมอนั่นต้องดังเปรี้ยงแน่  จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเพลงประกอบภาพยนตร์หรือเพลงที่นักร้องดังๆร้องกันอยู่ทั้งในยุโรปและอเมริกา  คนประพันธ์ทำนองคือเด็กที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่หน้าทีวีนี่เอง  เพียงแต่เพลงเหล่านั้นถูกขาย  และใส่ชื่อคนอื่นเป็นผู้ประพันธ์ด้วยความตั้งใจของริวเอง  ที่ไม่ต้องการชื่อเสียง  เด็กหนุ่มต้องการแค่เล่น  และสนุกกับการได้ทำอะไรที่เหนือกว่าคนอื่นเท่านั้น

อลันขมวดคิ้วมุ่นในคราแรก  แต่แสงสว่างวาบบางอย่างก็ผุดมาในหัว  ชายหนุ่มจึงทำทีเป็นไม่สนใจก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารตรงหน้าต่อ...แล้วรอคอย...

“อลั๊นนนนนน ได้ยินฉันมั๊ย”  เสียงตะโกนแสบหูทำให้เขาจำต้องเงยหน้าจากกองเอกสาร  แสร้งถอนใจยาวอย่างรำคาญ

“โอเค ฉันรู้แล้วว่านายจะเรียนภาษาไทยเพื่อแต่งเพลงให้เขา  แค่นี้ใช่ไหม”  อลันยังคงทำหน้านิ่งทั้งที่ในใจลิงโลดด้วยความยินดี  นึกขอบคุณคนๆนั้นเป็นครั้งแรกที่เป็นแรงบันดาลใจให้ริวยอมออกจากโลกโดดเดี่ยว  ยอมเสวนากับมนุษย์คนอื่นบ้าง

“ไม่สิ  ฉันเอาจริงนะอลัน  ฉันอยากพูดภาษาเดียวกับเขาให้ได้คล่องๆ  จะได้คุยกับเขารู้เรื่อง  ฉันอยากฟังว่าเขาร้องเพลงแบบไหน ยังไง จะได้แต่งเพลงที่เข้ากับเสียงเขามากกว่านี้”

“เอาจริงแน่เหรอ?  ภาษาไทยยากกว่าที่นายคิดนะ  แล้วนายไม่ได้จะเรียนแค่พูด  แต่นายต้องการฟังเพลงเข้าใจด้วย  นายรู้รึเปล่าว่าภาษาไทยในดนตรีมันจะแฝงความหมายอะไรไว้มากมาย  แน่ใจนะว่านายจะทนเรียนไหว”

“แน่สิ  ฉันจะเรียน  แล้วต้องเก่งด้วย  ฉันอยากได้ครูที่เก่งภาษาไทยจริงๆ  แต่งเพลงได้ยิ่งดี”

“โอเค  ไว้ฉันจะหาให้” อลันก้มหน้าลงเพื่อซ่อนแววยินดีในดวงตาไว้  เรียนภาษาไทยจนเก่ง  ก็หมายถึงระยะเวลาที่จะเดินทางไปประเทศไทยต้องเลื่อนออกไปอย่างน้อยก็เป็นปี  แต่เขาไม่กล้าประมาทความสามารถของริว

“ฉันนึกแล้วว่านายต้องจัดการให้ฉันได้” รอยยิ้มกว้างจนตาปิด  เรียกรอยยิ้มตอบจากอลัน หัวใจของหนุ่มใหญ่อ่อนโยนและอิ่มเอมทุกครั้งที่ได้เห็น  นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของริว...เพียงแค่ยิ้ม  ริวก็ทำให้โลกดูสว่างเจิดจ้าเหลือเกิน...

“แน่นอน  ลืมไปแล้วเหรอว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ อลันจัดการให้นายไม่ได้” อลันกล่าวย้ำอย่างมั่นใจ  ไม่ใช่การคุยโว  แต่สำหรับอลัน ไม่มีสิ่งใดในโลกที่ริวต้องการ  แล้วเขาจะหามาให้ไม่ได้  ขอเพียงสิ่งนั้นจะทำให้ริวมีความสุข  เขาก็พร้อมจะทำทุกวิถีทางอยู่แล้ว

“นายเป็นผู้จัดการที่เก่งที่สุดในโลกเลยอลัน...ฉันจะพูดภาษาไทยให้ได้...”  เสียงที่ทอดอ่อนเบาเหมือนรำพึงในตอนท้ายทำให้อลันต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกรอบ  แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาปนเอ็นดู  หลับไปเสียแล้ว  หลับทั้งที่ยังนอนอยู่ท่ามกลางกระดาษโน้ตเป็นร้อยๆแผ่น   อลันลุกขึ้นไปจัดเก็บกระดาษทุกใบเข้าแฟ้มแล้ววางไว้ให้ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์  อีกสัก 3-4 ชั่วโมง  ริวก็จะตื่นขึ้นมาจัดการกับมันต่อ  ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดจะหาแม่บ้านมาคอยดูแลจัดเก็บห้องให้ริว  แต่ริวกลับหวาดกลัวและรังเกียจจนไม่ยอมเปิดประตูรับคนนอกเข้ามา  เขาก็เลยเลิกคิดที่จะจ้างใครมาอีก  เลือกใช้บริการจากบริษัททำความสะอาดโดยเลือกให้มาเวลาที่เขาอยู่ด้วยเท่านั้น  แต่ริวก็ไม่ใช่เด็กไร้วินัย  ข้าวของของเขาแทบไม่เปลี่ยนที่  มีเพียงกระดาษโน้ตเท่านั้นที่มักจะกระจายเต็มห้อง  เพราะเวลาที่เด็กหนุ่มจมลงไปในโลกของดนตรีเขาจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างไปหมด


อลันหยิบรีโมทมาไล่ปิดเสียงโทรทัศน์ทีละเครื่อง  ทุกหนแห่งในเพ้นท์เฮาส์มีโทรทัศน์ประดับแทนวอลเปเปอร์  เพราะริวติดโทรทัศน์  และยิ่งติดจนแทบไม่กินไม่นอนเมื่อเริ่มตามดู “เขา”

อลันมองร่างที่นอนเหยียดยาวอยู่บนเบาะนุ่มกลางห้อง  แขนข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มขดงอเข้าหาตัว  แปลว่ามือข้างนั้นกุมกรอบรูปของคนคนนั้นแนบไว้กับอก  กรอบรูปสองด้านที่ครั้งหนึ่งเคยมีแต่แม่  ตอนนี้อีกด้านที่ว่างมีรูปของคนๆนั้นมาใส่ไว้แล้ว

‘นามิ...พ่อ...พวกคุณจะโกรธผมไหม  ที่ผมตามใจริว  แม้ว่าคนที่เขาหลงใหลจะเป็นผู้ชาย’ อลันถอนใจเฮือกใหญ่  เขาไม่เคยคุยกับแม่ของริว  แต่เคยเห็นหน้าเพียงครั้งเดียว  ผู้หญิงตัวเล็กหน้าหวาน  งดงามเหมือนดอกซากุระ  แต่กลับมีดวงตาเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง  เธอโค้งให้เขาก่อนที่จะอุ้มลูกชายที่หลับพับพาดบ่า  จากไปในวันที่เขาไปเยี่ยมบิดา  นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นเธอ  ก่อนที่จะรู้ข่าวจากบิดาว่าเธอถูกขี้ยาฆ่าชิงทรัพย์ขณะที่ริวอาการสาหัสอยู่ในไอซียู

บิดาของเขารับริวมาเป็นบุตรบุญธรรม  เพราะริวไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน  เขาเองนี่แหละที่เป็นคนวิ่งเต้นจัดการเอกสารทุกอย่างให้  แต่เพียงสองปีโรคร้ายก็คร่าชีวิตบิดาไป  แล้วภาระการดูแลอัจฉริยะน้อยๆก็ตกมาที่เขา

ร่างสูงใหญ่เดินไปหยุดยืนดูเจ้านายวัยรุ่นของเขาเงียบๆ  ก่อนจะวางรีโมทลงข้างๆตัว  เผื่อว่าตื่นขึ้นมาแล้วอยากดูโทรทัศน์จะได้ไม่ต้องโทรไปปลุกเขากลางดึกเพื่อถามหารีโมทอีก

“ฉันจะพูดภาษาไทย ฉันอยากคุยกับนาย...” ริวละเมอออกมาเบาๆ  แล้วกอดรูปในอ้อมแขนแน่นขึ้น  คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแน่นทั้งที่ยังหลับสนิท

‘อีกไม่นานหรอกริว  เมื่อนายพร้อม  ฉันจะเอาคนๆนั้นมาให้นายเอง  ฉันสัญญาไอ้หนู  ว่านายต้องได้อยู่กับเขาแน่ๆ’

อลันหยิบผ้าห่มผืนบางนุ่มเบามาคลุมให้โดยระวังไม่ให้มือสัมผัสไปถูกเด็กหนุ่มเพราะริวเกลียดการถูกแตะต้อง  เขาไม่ต้องการเห็นเด็กหนุ่มขัดตัวจนถลอกอีก  ทนายหนุ่มใหญ่หรี่แอร์ลงอีกนิดก่อนจะออกจากห้องไป  ปล่อยให้เจ้านายหนุ่มน้อยของเขาได้ฝันถึงคนในห้วงนิทราอย่างแสนสุข
 

..............................
 

เขมชาติ  วางสัญญาบนโต๊ะอย่างช้าๆ  หลังจากอ่านทวนอยู่หลายรอบ  ด้วยไม่แน่ใจว่าเขาเข้าใจผิด  หรือคนร่างสัญญาพิมพ์อะไรผิด  เพราะข้อความในสัญญาที่ต้องการร่วมหุ้นนั้น  เอื้อประโยชน์ให้เขามหาศาล  โดยที่อีกฝ่ายเรียกร้องเพียงแค่ขอเอาคนของตัวเองมาร่วมวงด้วยเท่านั้น  คนหนึ่งนั้นเป็นพระเอกชื่อดังของเมืองไทยซึ่งเคยมีผลงานด้านเพลงมาบ้างแต่ไม่ดังเท่าที่ควร จึงผันตัวเองไปเป็นดารา  อีกคนจะส่งตรงมาจากอเมริกา

“ถามจริงๆนะอลัน  แล้วเจ้านายคุณเขาจะได้อะไรจากสัญญาฉบับนี้”  หากไม่ใช่เพราะเคยเป็นเพื่อนรุ่นน้องในมหาลัยเดียวกันมา  เขมชาติก็คงไม่มีโอกาสได้ต้อนรับผู้บริหารคนดังคนนี้  ในแวดวงธุรกิจไม่มีใครไม่รู้จักอลัน  ฮิวส์  เขาคือผู้บริหารบริษัทโบรคเกอร์ชื่อดัง ผู้ครอบครองทั้งตลาดหุ้น อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจทำเงินอีกหลายอย่างของมหาเศรษฐีนิรนามคนหนึ่ง

“หึหึ  ผมว่าเขาคงคำนวณแล้วว่าสิ่งที่เขาต้องการ  คุ้มค่ากับการลงทุน” อลันตอบยิ้มๆ  ก่อนจะเหยียดหลังไหล่เพื่อไล่ความเมื่อยขบ  เขาเดินทางข้ามทวีปมาหาเขมชาติถึงประเทศไทยเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เขาต้องการ  ข้อเสนอขอร่วมหุ้นกับบริษัทของเขมชาติด้วยเงินทุนก้อนโตแลกกับคำขอเล็กๆในโปรเจค  ทำวงบอยแบนด์วงใหม่ของบริษัทที่เขมชาติกำลังจะเปิดตัว...

 “คุ้มค่า? จากอะไร?  บอกหน่อยได้ไหมอลัน” เขมชาติยังคงสงสัยไม่เลิก  แม้จะรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆที่โปรเจคที่ควรจะเป็นความลับของบริษัทถูกรู้ข้ามประเทศไปไกลถึงอเมริกา

“รับรองว่าไม่มีผลเสียอะไรกับบริษัทของคุณแน่ๆ เขมชาติ”

สีหน้าแบบนี้แปลว่าต่อให้ง้างปาก  อลันก็ไม่คิดจะบอกอะไรเขามากกว่านี้อีกแล้วสินะ  เขมชาติจ้องตาอีกฝ่ายเขม็งก่อนจะถอนใจเฮือกอย่างยอมแพ้

“แล้วอีกคนจะมาเมื่อไหร่”

“เขาจะมาเดือนหน้านั่นแหละ”

“อืม...งั้นก็เข้าร่วมออดิชั่นซะเลย  จะได้เป็นการโปรโมทไปในตัว  เพราะเราคาดกันว่าคนสมัครคงจะมาก  สื่อคงให้ความสนใจไม่น้อย...ว่าแต่ฝีมือพอไหวรึเปล่า ถ้าฝีมือดีพอ  ผมจะได้บรีฟกรรมการให้?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า  ระดับนั้น  ถ้าไม่สามารถผ่านมาตรฐานกรรมการของคุณได้ผมก็เหลือเชื่อแล้ว”

“หมายความว่ายังไง?”

“คนของผมจะมาออดิชั่นเอง  คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้น”

“อลัน...การออดิชั่นไม่ได้เลือกแต่ฝีมืออย่างเดียวนะ  หน้าตารูปร่างหรือเสน่ห์ของผู้สมัครก็เป็นปัจจัยที่ถูกนำมาพิจารณา  หลายๆครั้งที่คนเก่งมีฝีมือสอบตก  เพราะเสน่ห์ไม่พอที่จะดึงดูดให้คนสนใจ”

“เรื่องนั้นยิ่งไม่น่าห่วง  ผมรับรองได้”

“แต่...ถ้าเขาไม่ผ่านล่ะ?”  เขมชาติท้วงอย่างกังวล  การออดิชั่นคนนับพัน...ไม่สิ  อาจจะถึงหมื่น  เพื่อเลือกเพียง 3 คน  โอกาสที่คนของอลันจะติดเข้ามา  ดูจะเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้

“เขาต้องผ่านแน่นอน”

“ถ้าคุณมั่นใจอย่างนั้นก็ตามใจ” เขมชาติไหวไหล่  ทั้งที่ไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียว  ในเมื่ออลันต้องการอย่างนี้  หากคนของเขาไม่ติดเข้ามา  อลันก็ไม่มีสิทธิ์มาโวยวายอะไร  อย่างมากก็ค่อยหาเหตุอะไรมาเพิ่มคนของอลันเข้ามาภายหลังก็แล้วกัน

“แล้วคนๆ นั้นล่ะเขมชาติ เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”

เขมชาติอยากเกาหัวกับสิ่งที่อลันกังวล  ทีเรื่องใหญ่กับมั่นใจว่าไม่มีปัญหา  แต่การเจรจากับดาราชื่อดังคนนั้น  ดูเหมือนอลันจะเป็นห่วงมากกว่า  อลันอาจเอามาตรฐานของนักแสดงในฮอลลีวูดมาวัดแล้วคิดว่านักแสดงไทยจะต้องเรื่องเยอะปัญหามากอย่างนั้นก็เป็นได้

“นี่แหละที่ผมลำบากใจที่สุด  ตอนนี้เขากำลังรุ่งทางการแสดง  เรียกว่าทำงานสัปดาห์ละ 7 วันเลยก็ว่าได้  ผมไม่แน่ใจว่าเขาจะเคลียร์คิวละครได้ทันก่อนเก็บตัว”

เขมชาติก็ยังคงเป็นนักธุรกิจ  ไม่มีสิ่งใดในโลกได้มาฟรีๆ  และของที่ได้มาง่ายๆมักหมดคุณค่าไว  เขมชาติจึงต้องให้ทุกอย่างดู “ยาก”  เพื่อสิ่งนั้นมีคุณค่าที่สุดไว้ก่อน

“ไม่ว่าจะทำยังไง  คุณก็ต้องดึงเขามาร่วมวงให้ได้เขมชาติ  เพราะนั่นคือเงื่อนไขหลักของเรา”

“เฮ้อ!...คุณเล่นมัดมือชกผมนี่อลัน”

“เซ็นสัญญาเถอะเขมชาติ  ผมเชื่อมือคุณว่าคุณทำได้  งานใหญ่กว่านี้คุณยังจัดการได้  กับแค่ค่ายละครไม่กี่ค่าย  ผมมั่นใจว่ามันไม่ยากสักนิด  ถ้าคุณจะลดความเกรงใจลงสักหน่อย”

เขมชาติถอนใจอีกเฮือก  ก่อนจะคว้าปากกามาเซ็นลงในสัญญาทั้งสองฉบับ  แล้วเลื่อนแผ่นหนึ่งคืนอลันไป  อลันหัวเราะเบาๆอย่างพอใจ  เก็บสัญญาฉบับนั้นลงกระเป๋าแล้วกล่าวลาพร้อมกับตบไหล่เขมชาติเบาๆ เป็นเชิงสรรพยอก

......................

ออฟไลน์ Shock_n2n

  • Deep cute...
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
อ่านแบบเงียบๆ แล้วก็ไป
รอจร้า รอ :L2:

ออฟไลน์ spring

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-7
ตอนที่ 6



พสุยังคงมีสีหน้าราบเรียบ  แม้จะเห็นว่าตารางแน่นเอี๊ยดของเขาสิ้นสุดลงเพียงอีก 2 เดือนข้างหน้าเท่านั้น  หากไม่นับงานอีเวนต์ที่รับไว้ในเทศกาลต่างๆแล้ว  นอกนั้นค่อนข้างโล่งว่างอย่างไม่น่าเชื่อ  เขมชาติทำได้อย่างที่เคยรับปากเขาไว้จริงๆ

3 สัปดาห์ก่อน  เขมชาติเชิญเขามาที่บริษัทและยื่นข้อเสนอการเป็นนักร้องในวงบอยแบนด์วงใหม่ที่กำลังจะก่อตั้ง  เขาเป็นหนึ่งในสองของนักร้องที่ถูกเจาะจงมาร่วมวง  ส่วนอีก3คนจะมาจากการออดิชั่นทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพทั่วประเทศ

ครั้งแรกที่ได้อ่านรายละเอียดสัญญาเขาก็จำต้องปฏิเสธด้วยความเสียดาย  เพราะคิวงานละครที่ผู้จัดการรับไว้  แน่นยาวไปถึงปีหน้า  ไม่มีทางที่เขาจะมาร่วมเก็บตัวแรมเดือนเพื่อทำอัลบั้มอย่างแน่นอน  แต่เขมชาติกลับยืนยันว่าสามารถเคลียร์งานให้เขาได้โดยไม่ให้เกิดปัญหาใดๆตามมาทั้งสิ้น  ขอเพียงเขายินดีที่จะร่วมงานด้วยเท่านั้น  เขาจึงรับปากว่าถ้าเขมชาติเคลียร์งานให้เขาได้โดยที่เขาไม่เสียชื่อเสียง  ก็จะเซ็นสัญญาด้วยทันที


“ผมทำตามที่รับปากคุณได้แล้ว  หวังว่าคุณจะเซ็นสัญญาตามที่เราตกลงกันนะครับ” เขมชาติแซวยิ้มๆ  ขณะรับตารางงานคืนมาจากพระเอกคนดัง

เขาชื่นชมในความนิ่งและสุขุมของอีกฝ่าย  นอกจากความหล่อเหลาที่บรรดานักข่าวสายบันเทิงจัดให้เป็นหนึ่งในสิบของผู้ชายหล่อขั้นเทพแล้ว  พสุยังมีเสน่ห์ที่รอยยิ้มอ่อนโยน  และบุคลิกเยือกเย็นสง่างามแบบท่านชาย  ทำให้ละครที่เขาเล่นแทบทุกเรื่อง  มักจะได้รับบทแนวนี้ซะส่วนใหญ่  คงเพราะหน้าตาหล่อเหลาแบบนี้จึงทำให้ความสามารถด้านดนตรีถูกมองข้ามและคิดว่าพสุมีดีที่หน้าตามากกว่า  ยิ่งค่ายเพลงปิดตัวไปอย่างรวดเร็วโดยที่พสุยังไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือ  ก็ยิ่งทำให้พสุถูกลืมเลือนสถานะนักร้องไปอย่างสิ้นเชิง


“คุณจัดการเรื่องงานของผมได้ยังไง?”

“อันนั้นเป็นความลับครับ  แต่ถ้าคุณยังลังเล  ไม่แน่ใจว่าสัญญานี้จะสะอาดโปร่งใสหรือไม่  จะให้ทนายของคุณมาดูสัญญาก่อนก็ได้นะครับ”

“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาครับ  สัญญาของคุณก็ไม่ได้แตกต่างจากที่ผมเคยเซ็นมาหรอก  เพียงแต่ผู้จัดการของผมเขาต้องรับรู้ตามสัญญาที่ผมทำไว้กับเขา”

“ไม่ต้องห่วงครับ  ทันทีที่คุณเซ็นสัญญากับเรา  สัญญาระหว่างคุณกับผู้จัดการส่วนตัวเป็นอันสิ้นสุดครับ”

“อะไรนะครับ!” พสุอดถามซ้ำไม่ได้  ไม่อยากจะเชื่อว่าคนงกและเค็มจัดอย่างพี่ลูกเจี๊ยบจะยอมปล่อยเขาจากสังกัดง่ายดายขนาดนั้น  นอกจาก...พี่ลูกเจี๊ยบจะได้ “มาก” กว่าที่ได้จากเขา

“ทางบริษัทจะเป็นผู้จัดการทุกอย่างให้กับคุณเองครับ  ส่วนคุณศักดิ์สิทธิ์เขาก็เซ็นยกเลิกสัญญามาให้เรียบร้อยแล้ว  และมีผลทันทีที่คุณตกลงเซ็นสัญญาเป็นนักร้อง” ใบยกเลิกสัญญาที่มีลายเซ็นพี่ลูกเจี๊ยบ  หรือในสัญญาระบุชื่อนายศักดิ์สิทธิ์ โพแดง ถูกวางตรงหน้าเพื่อเป็นการยืนยัน

พสุลังเลเพียงเล็กน้อย  ก็เซ็นชื่อลงในสัญญา  แต่ชายหนุ่มยังคงขมวดคิ้วมุ่นอย่างกังขา
แม้การได้กลับมาร้องเพลงอีกครั้งคือสุดยอดปรารถนาของเขาก็ตาม  แต่ผลงานเพลงเพียงชิ้นเดียวของเขาไม่น่าโดดเด่นเสียจนสะดุดตาเขมชาติ ได้  เพราะยังมีนักร้องหน้าใหม่หน้าเก่า  ที่เด่นและเก่งกว่าเขาอีกมาก  แต่ทำไมเขมชาติจึงต้องเจาะจงเขา


“ถามอีกครั้งนะคุณเขมชาติ  ทำไมต้องเป็นผม?”

“เพราะผมเชื่อว่าคุณเหมาะกับวงบอยแบนด์  และมีคนกระซิบบอกผมว่าคุณอยากเป็นนักร้อง  ไม่ได้อยากเป็นนักแสดง  ถึงคุณจะกำลังรุ่งในอาชีพนักแสดง  แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณอยากจะทำไม่ใช่เหรอ?”

“ใครบอกคุณ?” พสุถึงกับนิ่วหน้าเมื่อได้ยินคำตอบ  เขาเป็นคนมีเพื่อนน้อยยิ่งกว่าน้อย  ยิ่งถ้าประเภทที่เรียกว่าเพื่อนตายนั้นเขาไม่มีเลยด้วยซ้ำ  เพื่อนคนเดียวที่สนิทจนพูดได้ว่ารู้ตัวตนของเขาค่อนข้างดีก็คือแก้วกุดัน  อดีตคนรักที่กลายมาเป็นเพื่อน  แต่เธอก็ไปเป็นนางแบบอยู่ต่างประเทศหลายเดือนแล้ว

“เรื่องนี้...เป็นความลับครับ”  เขมชาติขยิบตาให้เขา  ก่อนจะกดเรียกเลขาเข้ามารับสัญญา

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัว” พสุลุกขึ้นไหว้ลาเพราะเห็นว่าหมดธุระแล้ว

“อยากเชิญคุณพสุทานมื้อเที่ยงด้วยกันก่อนได้ไหมครับ”

“ต้องขอโทษด้วยนะครับ  แต่เย็นนี้ผมมีถ่ายละครต่างจังหวัด  ต้องกลับไปจัดการเรื่องเสื้อผ้าก่อน”

“งั้นเหรอครับ  ไว้โอกาสหน้าผมคงได้เชิญคุณทานข้าวด้วยกัน”

“ครับ”



พสุถอนใจยาว...ทั้งที่ควรจะดีใจที่ได้กลับมาร้องเพลงอีกครั้ง  แต่ในอกกลับหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก  การที่เกิดในครอบครัวนักร้องนักดนตรี  ส่งผลให้เขาเล่นเครื่องดนตรีได้เก่งทุกชิ้น  ทั้งไทยทั้งสากล  แต่กลับไม่ได้มีเสียงร้องที่ไพเราะโดดเด่นเหมือนพ่อ  ทำให้เขาถูกกดดันอยู่ใต้เงาของพ่อตลอดมา  ทั้งที่ไม่เคยได้รับรางวัลชนะเลิศจากเวทีประกวดร้องเพลงเวทีไหนเลยสักแห่งแต่อาศัยใจรักทำให้เขาไม่ย่อท้อที่จะตามล่าฝัน   เขาตัดสินใจสมัครเข้าประกวดร้องเพลงในรายการเรียลลิตี้รายการใหม่  ที่โหมโปรโมทจนเป็นที่จับตามองของคนทั้งประเทศ  ท่ามกลางเสียงคัดค้านทั้งจากครอบครัวและเพื่อนสนิท  ทำให้ทุกสัปดาห์ที่ขึ้นเวที  เขาไม่เคยเห็นหน้าคนที่เขารักมาให้กำลังใจเลยแม้แต่คนเดียว

ยังไม่นับความกดดันจากกระแสวิจารณ์เรื่องพสุเป็นลูกอดีตนักร้องดังบ้าง  เป็นเด็กเส้นบ้าง  แถมยังถูกกระแนะกระแหนจากเพื่อนที่ร่วมประกวดตลอดเวลา  แต่เขาก็พยายามผ่านปัญหาด้วยความอดทน  มีหน้ากากยิ้มแย้มสุภาพและบุคลิกสงบเยือกเย็นไว้เป็นเกราะป้องกันตัวเอง  เมื่อการประกวดจบลงเขาก็ได้ครองรางวัลรองชนะเลิศจากเวทีนี้  ขณะที่ตะวัน  หนุ่มเลือดร้อนอารมณ์แรง  ได้รับรางวัลชนะเลิศไปด้วยคะแนนท่วมท้น  เพราะนอกจากเสียงทรงพลังที่สะกดคนฟังให้เคลิบเคลิ้มอย่างง่ายดาย  ตะวันยังจัดเป็นหนุ่มหล่อเข้มคนหนึ่ง  ถึงจะดูดุๆไปบ้างแต่ก็สร้างกระแสหล่อร้ายๆแบบแบดบอยให้กระหึ่มขึ้นมา
สำหรับคนไม่มีพรสวรรค์ทางการร้องอย่างพสุ  รางวัลรองชนะเลิศก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขาภาคภูมิใจได้แล้วว่าคนดูยอมรับในความสามารถของเขา  แต่คำพูดเหยียดหยามของพ่อในวันที่เขาเอารางวัลไปอวด  ก็ทำลายความภาคภูมินั้นไปจนหมด

พสุได้ออกเทปร่วมกับเพื่อนๆ  เป็นอัลบั้มรวมของผู้เข้ารอบสุดท้ายทั้ง 5 คน  แต่เพลงที่เขาร้องก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่ากับเพลงของตะวัน  เขารู้ดีว่าไม่ใช่เพราะเพลงของเขาไม่ดี  แต่เพราะเสียงของเขาเองที่ไม่สามารถสะกดคนฟังไว้ได้เหมือนตะวัน  ยอดจำหน่ายอัลบั้มแรกของพวกเขาไม่ดีอย่างที่คิด  เพราะมีเพียงเพลงของตะวันเท่านั้นที่เป็นที่นิยมขณะที่เพลงของคนอื่นๆถูกโปรโมทไม่กี่ครั้งก็เงียบสนิท  ฐานะทางการเงินของบริษัทใหม่จึงค่อนข้างง่อนแง่น  อาศัยความดังของตะวันช่วยให้ได้งานจากเจ้าของสินค้าหลายๆแบรนด์ประคองไว้  แต่เมื่อตะวันเกิดเรื่องฉาวขึ้นหน้าหนึ่ง  งานจากอีเวนต์ต่างๆก็ถูกยกเลิก  บริษัทไม่มีทุนพอก็ต้องปิดตัวลงและนักร้องก็กระจายกันออกไปสังกัดค่ายอื่นๆ

 พสุคิดจะหันหลังให้วงการบันเทิงแต่มีผู้จัดละครหลายคนทาบทามเขาไปเล่นละคร  เพราะหน้าตาหล่อเหลาและบุคลิกนุ่มนวลอ่อนโยนทำให้พสุดังเปรี้ยงในเวลาไม่นาน  และขึ้นแท่นเป็นพระเอกแนวหน้าของประเทศ  แต่ลึกๆในใจพสุก็ยังโหยหาการกลับไปเป็นนักร้องอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเขมชาติ  ผู้บริหารมือทองโดดเข้ามาจับธุรกิจเพลง  เสนอให้เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกวงบอยแบนด์  พสุจึงรู้สึกเหมือนได้รับโอกาสครั้งที่สอง  และชายหนุ่มก็ตั้งปณิธานไว้แล้วว่าถ้าคราวนี้เขายังไม่ประสบผลสำเร็จบนถนนดนตรีอีก  เขาก็จะยอมตัดใจเสียที



.......................................


 
 
พสุกดล็อครถแล้วมองไปรอบๆ  แปลกใจเล็กๆกับที่จอดเฉพาะของเขาที่ยามพามาจอด  จริงอยู่ความเป็นดาราดังทำให้เขามักได้รับสิทธิพิเศษในหลายๆเรื่อง  แต่ไม่คิดว่าที่นี่จะให้การต้อนรับขนาดนี้

“สวัสดีครับพี่กร”

พสุยกมือไหว้ทันทีที่เปิดประตูออฟฟิศเข้าไปจ๊ะเอ๋กับกรเวช  ผู้จัดการที่จะเข้ามารับหน้าที่ดูแลเขาทันทีที่เขาย้ายมาเข้าสังกัดกับค่ายดนตรีของเขมชาติ  แต่ตอนนี้พสุยังอยู่ในการดูแลของผู้จัดการคนเดิมจนกว่าจะปิดกล้องละครทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว

“อ้าวไผ่  มาเร็วจริง  เดี๋ยวเราจะไปคุยกันที่ห้องประชุมเล็กนะ  ไผ่จะได้เจอกับสมาชิกคนอื่นๆของวงซะที...ว่าแต่กินอะไรมาหรือยัง  สีหน้าดูเพลียๆนะ”

“ละครปิดกล้องเกือบตี 3 ครับ  กว่าจะขับรถมาถึงกรุงเทพก็เลยโทรมอย่างที่พี่เห็นนี่แหละ”

“อ้าว! ทำไมไม่นอนพักก่อนแล้วค่อยมา   ขับรถมาทั้งอย่างนี้อันตรายนะรู้ไหม”

“ตอนแรกพี่ลูกเจี๊ยบเขาอาสาขับให้ครับ  แต่ฉลองกับทีมงานหนักไปหน่อย  ก็เลยฟุบคาโต๊ะ  ผมก็เลยขับรถมาเอง  ไม่อยากให้เลื่อนนัดอีกแล้ว  เพราะเหลือผมคนเดียวที่ยังไม่เคยเจอกับสมาชิกในวง”

“แต่ไผ่นอนพักสักประเดี๋ยวก็ได้  เพราะพี่นัดคนอื่นๆไว้3โมง  นี่เพิ่งจะ 7 โมง คงยังไม่มากันหรอก  ไว้มากันครบแล้วพี่จะให้เด็กมาเรียก”

“แต่...”

“พักซะก่อนเถอะ  ไผ่ไม่รู้จักคุณเขมดีพอ  รายนั้นเวลาประชุมทีไร  ถ้ายังไม่ได้ผลเป็นที่พอใจละลากยาวได้หลายชั่วโมงเลยเชียว”

“ครับ”

 “เดี๋ยวนอนที่ห้องนี้นะ  เงียบดี  ไม่มีใครมากวนหรอก  ได้เวลาประชุมพี่จะให้เด็กมาตามเองไม่ต้องห่วง”

“ขอบคุณครับพี่กร”  หลังจากกรเวชออกไป  พสุก็ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาตัวใหญ่มุมห้อง  แอร์ที่เปิดไว้เย็นกำลังดี  บวกกับความอ่อนเพลียทำให้เขาผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว



เสียงกรีดแหลมยาวนานของนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือปลุกพสุขึ้นมาจากความอ่อนเพลีย  แม้กรเวชจะสัญญาว่าจะให้คนมาปลุก  แต่เค้าก็ไม่อยากให้เป็นภาระของใครถึงได้ตั้งนาฬิกาเอาไว้  ชายหนุ่มควานมือหาโทรศัพท์ที่กรีดเสียงอยู่ไม่ไกล  แต่กลับหาไม่เจอ  จึงลืมตาขึ้นอย่างง่วงๆ

ดวงตาสีน้ำตาลใสแจ๋วที่จ้องอยู่ใกล้ๆทำเอาพสุสะดุ้งสุดตัว  ชายหนุ่มลุกพรวดด้วยความตกใจ

“อ๊ะ! ตกใจหมด...นี่เขา...เขาประชุมกันแล้วเหรอครับ?”  พสุคาดว่าเด็กฝรั่งผอมๆที่นั่งยองๆเข่าท่วมถึงหูคนนี้คงเป็นคนที่กรเวชใช้ให้มาตามเขา  แต่เด็กหนุ่มกลับนั่งจ้องเขาเฉย  ไม่ตอบรับใดๆ

“คุณกรให้มาตามผมใช่ไหม?” พสุถามย้ำเพื่อความแน่ใจ

“เปล่า” ภาษาไทยห้วนสั้น  ไม่แปร่งเพี้ยนอย่างฝรั่งพูดไทย  ทำให้พสุแปลกใจเล็กน้อย  แต่ก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจ

“อ้าว! ริว   มาอยู่นี่เองพี่ตามหาตั้งนาน  เป็นไงไผ่ ได้หลับบ้างไหม” ความสามารถในการสนทนากับคนสองคนต่อเนื่องกันไปโดยไม่ต้องรอคำตอบของกรเวช  ทำให้พสุต้องแอบอมยิ้ม

“ครับ  เพิ่งตื่นนี่แหละครับ”

“งั้นก็ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นแล้วเดี๋ยวเจอกันที่ห้องประชุมเล็ก”

“ครับ”

“อ้อไผ่  นี่ริว เกรสัน เป็นหนึ่งในสมาชิกของวงที่มาจากการออดิชั่น” กรเวชวางมือแปะไว้บนไหล่พสุทั้งที่ตอนแรกก็ทำท่าเหมือนจะวางมือบนไหล่อีกคน  แต่กลับหยุดค้างกลางอากาศแล้วเบนมาบนไหล่เขาแทน

“ยินดีที่จะได้ร่วมงานกันครับ” พสุหันไปส่งยิ้มให้ก่อนอย่างมีไมตรี  แต่ตาโตๆกลับจ้องเขาเขม็ง  แม้ไม่ดูคุกคามแต่ก็น่าอึดอัด

“ไปกันเถอะริว” กรเวชหันมาพยักพเยิดเรียก  แต่เด็กหนุ่มกลับส่ายหน้า  สายตายังจับจ้องอยู่แต่พสุ

“คุณกรไปก่อน  ผมจะรอคุณไผ่” นั่นเป็นประโยคยาวๆประโยคแรก  ตั้งแต่พสุตื่นขึ้นมาเจอเด็กหนุ่ม

“อ้าว...รู้จักกันมาก่อนเหรอไผ่?”

“เปล่าครับ...ขอตัวก่อนนะครับ” พสุชี้แจงงงๆ  ก่อนจะรีบเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ





............................................................

ออฟไลน์ justlove

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 297
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
 :impress3: เรื่องใหม่ เกือบมองผ่านไปแล้ว  ถ้าข้ามไปคงน่่าเสียดาย

เนื้อเรื่องชวนติดตามดีนะ

และชอบมากอัพเร็วไปถึงตอน 6 แล้ว


+ 1 ให้คนเขียนค่ะ  รอตอนต่ออยู่นะ

ออฟไลน์ tianqin

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +270/-1
ริว-ไผ่ บุกเล้าแล้วเหรอ เย้ดีใจ :mc4:


แวะมาเป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆ

ออฟไลน์ *4_m3*

  • ~เธอคือของขวัญจากฟ้าไกล คือคำตอบของหัวใจ~
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 363
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-1
เรื่องใหม่  :m11:
เป็นกำลังใจให้นะคะ

ออฟไลน์ Na_RimKLonG

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1
เจอกันแล้ว

ว๊่าววว  ไรเตอร์ฟิตมากอ่ะ

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
ริววจะเอาแต่ใจกับไผ่แค่ไหนนะ

ออฟไลน์ didi

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1000
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-8
มาเป็นกำลังใจให้อีกคนหนึ่งค่ะ :กอด1: :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ spring

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-7
ตอนที่ 7


เมื่อเปิดประตูออกมา  ร่างผอมสูงก็ยังนั่งอยู่ในห้อง  เพียงแต่เลื่อนจากพื้นขึ้นมาบนโซฟา ตาโตสีอ่อนใส  จับจ้องทุกอิริยาบถจนน่าอึดอัด  แต่พสุก็ไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ  นอกจากเดินไปหยิบมือถือกับกระเป๋าบนโต๊ะ  ก่อนจะหันไปชวนเด็กหนุ่มตามมารยาท เพราะถึงอย่างไรก็ต้องร่วมงานกันอีกนาน


“ไปประชุมกันเถอะ...ริว”

“ครับ” รอยยิ้มกว้างอวดฟันขาว  ตาโตเป็นประกายวาววับอย่างดีใจนั้น  ทำเอาพสุอึ้งไปเล็กน้อย  ความรู้สึกอึดอัดแกมรำคาญแต่แรกหายไปทันที


‘ตลกดีแฮะ...ยิ้มเหมือนเด็กเล็กๆ’


พอเด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน  พสุก็แทบต้องแหงนขึ้นมอง  เขาจัดเป็นคนที่สูงมากคนหนึ่ง  แต่ริวสูงกว่าเขาเกือบคืบ  พอพสุออกเดิน  เด็กหนุ่มก็เดินตามต้อยๆ

 “ตะวัน!” พสุอุทานด้วยความยินดีแกมประหลาดใจ  เมื่อเห็นหน้าคนที่นั่งรออยู่ในห้องประชุมเล็ก

“เป็นไงบ้าง  สบายดีรึเปล่า” พสุส่งยิ้มให้ขณะนั่งตรงข้ามตะวัน  เด็กหนุ่มร่างสูงก็ดึงเก้าอี้ที่อยู่ติดกันนั่งข้างๆเขา

“ฮื่อ” แม้ตะวันจะขานรับเพียงคำเดียว  แต่ดวงตาคมที่เป็นประกายสดใสก็แสดงออกว่าอีกฝ่ายดีใจเช่นกันที่ได้เจอเขา  นับจากมีข่าวฉาว  ตะวันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย  ไม่คิดว่าจะเจอกันอีกครั้งในฐานะเพื่อนร่วมวง  แปลว่านักร้องที่ถูกเจาะจงให้เข้าร่วมวงอีกคนคือตะวันนี่เอง

“สวัสดีครับคุณธีรดล”

พสุหันไปทักทายหนุ่มหน้ากลมอารมณ์ดีอีกคนอย่างคุ้นเคย  ถึงจะไม่ได้ร้องเพลงมาหลายปี  แต่เขากับธีรดลก็ได้เจอกันตามงานต่างๆพอสมควร

“สวัสดีครับคุณพสุ  ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะครับ” ธีรดลลุกขึ้นยื่นมือข้ามโต๊ะมาให้จับพร้อมรอยยิ้มกว้างจนตาหยี

“ครับ  ผมก็ดีใจที่จะได้ทำงานกับกีตาร์เทพ”

“ไม่ขนาดนั้นหรอก  พูดซะผมเก่งเวอร์”

“ว้าวๆๆ  วงเรามีพระเอกสุดฮอตมาร่วมวงเหรอเนี่ย” ผู้มาใหม่ส่งเสียงทักทายนำเข้ามา  ก่อนจะถลามานั่งเก้าอี้ที่ยังว่างอีกด้านของพสุ  รูปร่างสูงเพรียวปราดเปรียวและสง่า สมกับตำแหน่งซุปเปอร์โมเดลระดับท้อปของประเทศ

“สวัสดีครับคุณไวยากรณ์”

“สวัสดีครับ...ไงเจ้าหนูริวยอดอัจฉริยะ” ไวยากรณ์ทักตอบพสุแล้วชะโงกทักผ่านหน้าพสุไปยังอีกด้าน

“ยอดอัจฉริยะ?” พสุเหลียวไปมองหน้าคนที่นั่งอีกข้างอย่างแปลกใจ  ก็พบว่าตากลมใสนั้นจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว

“เจ้าหนูนี่พลังเสียงสุดยอดมากเลยครับ  แล้วยังเล่นเครื่องดนตรีได้หมดทุกชิ้นแถมยังเก่งมากๆด้วย  กรรมการงี้...อึ้งไปเลย  เสียดายวันออดิชั่นคุณไม่ได้มา”

“โชคดีที่ผมได้รับคัดเลือกมาก่อน  ถ้าต้องเล่นหลังเจ้าหนูนี่  สงสัยผมคงเล่นไม่ออกโดนข่มซะขนาดนั้น” ธีรดลแซวข้ามโต๊ะมาอีกคน  ยืนยันสิ่งที่ไวยากรณ์พูด ทำให้พสุกับตะวันอดเหลียวไปมองริวอย่างทึ่งๆไม่ได้


ยังไม่ทันสนทนากันต่อ  ประตูห้องประชุมเล็กก็เปิดอีกครั้ง  เขมชาติกับกรเวชก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นส่งมาต้อนรับทุกคน

“สวัสดีครับทุกคน  คิดว่าส่วนใหญ่คงรู้จักกันอยู่แล้ว  จะมีก็แต่ ริว เกรสัน เท่านั้น  ที่ถือว่าเป็นสมาชิกหน้าใหม่จริงๆ...แต่สำหรับฝีมือ  คุณธีรดลกับคุณไวยากรณ์คงได้เห็นมาแล้วว่าเขาไม่ใช่มือสมัครเล่น” เขมชาติการันตีความสามารถของริวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจนิดๆ  เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ทึ่งกับฝีมือของริวในวันออดิชั่น  ยิ่งมารู้ภายหลังว่าริวคือคนที่อลันบอกไว้ก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ

ฝีมือขนาดนี้ไม่จำเป็นต้องมาถึงเมืองไทยเลยสักนิด  ค่ายใหญ่ๆในอเมริกาคงไม่ปล่อยให้หลุดมือถ้าอลันเสนอเด็กคนนี้เข้าไป  แต่ในเมื่อเขาได้ริวมาอยู่ในสังกัด  ก็ถือว่าโชคหล่นทับเขาโครมใหญ่  โอกาสที่คิสมีจะกลายเป็นวงบอยแบนด์อันดับหนึ่งอยู่อีกเพียงก้าวเดียว  เขมชาติจึงทุ่มทุกอย่าง  เพื่อดึงนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ที่ฝีมือดีที่สุดมาร่วมงาน  แม้ว่าจะต้องจ่ายมากแค่ไหนก็ตาม เพราะเขาเชื่อว่าอีกไม่กี่วันเขาจะได้คืนคุ้มยิ่งกว่าที่จ่ายออกไปหลายเท่าตัว
ไวยากรณ์พยักหน้ารับหงึกๆ ขณะที่ธีรดลหันไปยกหัวแม่มือให้เด็กหนุ่ม  แต่ริวไม่ได้มองใครเลยแม้แต่เขมชาติ  สายตาของเขาจับอยู่ที่ใบหน้าของพสุเหมือนจะไม่ให้คลาดสายตาสักวินาที


“ขอบอกอีกครั้งว่าผมยินดีที่จะได้ร่วมงานกับทุกคน  ผมรู้ว่าพวกคุณเจ๋ง  แต่ผมคาดหวังกับ KISS ME ไว้สูงมาก  และผมก็แน่ใจว่าทุกคนจะไม่ทำให้ผมผิดหวัง  พวกคุณคงรู้จักกรเวชดีอยู่แล้ว  กรเวชจะทำหน้าที่ผู้จัดการของวง  และจะมีผู้ช่วยมาดูแลพวกคุณในกรณีที่ต้องแยกกันทำงาน  เพราะพสุกับไวยากรณ์ยังมีงานค้างอยู่อีกหลายงาน  รวมถึงต่อไปที่พวกคุณอาจต้องเดินสายโปรโมทอัลบั้ม.............”


ตลอดเวลาที่เขมชาติพูด  สายตาของริวก็จับจ้องอยู่แต่ที่พสุจนทุกคนในห้องสังเกตเห็น  พสุเองก็พยายามทำเฉยๆ  ทั้งที่อึดอัดใจกับสายตาของเด็กหนุ่ม  แต่คนที่อดรนทนไม่ได้ต้องแซวขึ้นมากลับกลายเป็นธีรดล


“จะจ้องให้ทะลุไปเลยหรือไงริว”

“นั่นสิ...จ้องซะขนาดนี้  หลงรักพสุเข้าแล้วสิท่าเจ้าหนู”  ไวยากรณ์แซวอ้อมหลังพสุมา  แทนที่ริวจะปฏิเสธกลับชะโงกไปดูหน้าพสุซะใกล้จนชายหนุ่มต้องผงะหนี

“มีอะไรเหรอครับ?” พสุถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ  แม้จะเริ่มไม่พอใจมากขึ้นทุกขณะ

“ทำไมตาเป็นแบบนั้น?”

สายตาจ้องเขม็งทำให้พสุต้องยกมือขึ้นแตะที่ดวงตา  พลางเหลือบมองคนอื่นๆที่ตอนนี้หันมาจ้องหน้าเขาเป็นตาเดียว


“หืม?  มันเป็นยังไงเหรอ?”

“ตรงนี้  ทำไมเป็นดำๆ  มีเส้นเขียวๆข้างตาด้วย” ริวชี้ที่หางตาของตัวเองประกอบ  และยังคงจ้องมองตาพสุเขม็งเหมือนเดิม

“......................”

“ฮ่าฮ่าฮ่า”  ไวยากรณ์ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเป็นคนแรก  หลังจากที่ทุกคนนั่งอึ้งไปกับคำถามของริว  พลอยให้พสุหลุดขำออกมาอีกคนทั้งที่ตอนแรกเขานึกเคือง

ใครบ้างจะชอบให้คนอื่นติว่าแก่  แต่ตาใสแจ๋วดูสงสัยจริงจังไม่มีร่องรอยอื่นใดเคลือบแฝง  ทำให้ความโกรธกลายเป็นความขันไปอย่างง่ายดาย

“แรงได้อีกไอ้หนู...ฮ่าฮ่าฮ่า” ไวยากรณ์ยังขำไม่เลิก  คำพูดของริวทำให้ความมั่นใจของเขาคืนมาเต็มร้อย  ใครบ้างจะไม่เสียความมั่นใจ  หากต้องร่วมงานกับพระเอกละครเบอร์หนึ่งของประเทศ  แน่นอนว่าความหล่อของนายแบบอย่างเขา  ดูจืดไปถนัดตาเมื่อเทียบกับนักแสดงรูปหล่อ มาดนุ่มนวลชวนละลายหัวใจอย่างพสุ

“ริว...วันหลังอย่าไปถามใครเขาแบบนี้นะ  มันเสียมารยาท  ดีนะว่าเป็นพสุ  นี่ถ้าเป็นคนอื่นคงมีเคืองกันมั่งแหละ” กรเวชติงเสียงเข้ม  ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็หัวเราะจนหน้าแดง

ริวหันไปสบตากรเวชงงๆ  ก่อนจะเหลียวไปมองหน้าคนอื่นๆรอบโต๊ะประชุมหน้าตาเหรอหรา


“ขอโทษครับ” เด็กหนุ่มยกมือไหว้พสุซะสวย  เล่นเอาคนโดนไหว้อึ้ง  ถึงจะเป็นฝรั่งพูดไทยคล่อง  แต่ไม่มีใครนึกว่าจะไหว้สวยขนาดนี้

“ไม่เป็นไรครับ  เรื่องแค่นี้เองไม่ต้องขอโทษหรอก”

“เลิกหัวเราะได้แล้วไวย์  จะได้ประชุมต่อ” กรเวชหันไปสำทับเมื่อเห็นอาการขำกลิ้งไม่เลิกของไวยากรณ์







หลังจากประชุมเสร็จ  ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับ  พสุเปลี่ยนมาใช้บลูธูทเพื่อให้สะดวกรับสายขณะขับรถ  เปิดเครื่องไม่ถึงนาทีสายแรกจากผู้จัดการก็โทรเข้ามาทันที

“ประชุมเสร็จแล้วเหรอไผ่” เสียงปลายสายสดใสอย่างไม่น่าเชื่อว่าเมื่อคืนจะเมาจนขับรถไม่ไหว

“ครับ”

“มีงานด่วนนิดนึงอ่ะไผ่  เป็นงานเดินแบบแค่ 2 ชุด  แต่จ่ายเต็มนะ”

“ไหนพี่ลูกเจี๊ยบว่าวันนี้ให้ผมพักไง”

“พี่รู้ๆ  แต่งานนี้ด่วนจริงๆนะ  แล้วพี่ก็รับปากคุณอ้อมไว้แล้วด้วย  นะไผ่นะ  แบบว่าเกรงใจคุณอ้อม  พี่ไม่กล้าปฏิเสธจริงๆ”


พสุถอนหายใจเฮือกอย่างอ่อนใจ  เขาเหนื่อยจนแทบไม่มีแรงขับรถกลับบ้านด้วยซ้ำ  แต่กลับต้องไปเดินแบบในห้างดังกลางเมือง  แน่นอนว่ารถต้องติดมหาศาลแน่ๆ

“กี่โมงครับ”

“บ่ายสองจ้ะ”

“บ่ายสอง! ผมว่าผมคงไปไม่ทันแน่ๆ  จากบริษัทคุณเขมชาติไปที่ห้างพี่ก็รู้ว่ารถติดแค่ไหน”

“ไม่เป็นไรน่าไผ่  แค่รีบมาก็พอ  ส่วนคิวพี่สลับไปไว้คนหลังๆก็ได้นะจ๊ะ  แค่มาก็พอแล้ว”

“เอาเป็นว่าผมจะรีบไปแล้วกันนะครับ  แต่ไม่แน่ใจว่าจะถึงสักกี่โมง”

“จ้า ขอบใจม๊ากไผ่น้องรัก”

พสุกดปลดล็อครถ  แต่ยังไม่ทันเปิดประตูขึ้นไป  เขาก็รู้สึกหน้ามืดวูบจนเซไปพิงรถ   แม้แต่กุญแจรถก็ไม่มีแรงถือจนร่วงหลุดมือไป  ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกๆเพื่อให้สมองปลอดโปร่งขึ้น  พยายามสลัดศีรษะไล่อาการอ่อนเพลีย  แต่พอลืมตาขึ้นกลับพบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจ้องอยู่ใกล้จนเขาผงะด้วยความตกใจอีกรอบ


“คุณริว!  คุณทำให้ผมตกใจนะ”

“เป็นอะไรครับ  ไม่สบายเหรอ?”

ดูเหมือนคำต่อว่าของพสุจะไม่ได้รับความสนใจ  แต่สีหน้าเด็กหนุ่มดูห่วงใยจริงจัง  จนพสุไม่กล้าหงุดหงิดใส่

“เปล่าครับ  แค่มึนๆ...สงสัยจะพักผ่อนไม่พอ”

“แล้วจะขับรถได้เหรอครับ” คำถามซอกแซกอาจฟังดูน่าโมโห  แต่ถ้าใครได้เห็นตาใสหน้ากังวลของริว  ก็คงโมโหไม่ลง  แม้แต่พสุที่อยู่ในสภาพรีบจนหงุดหงิดอยู่ตอนนี้ก็ตาม

“คง...คงไม่ไหวหรอกครับ  อาจต้องทิ้งรถไว้ที่นี่ก่อน  แล้วไปแท็กซี่”

“ไปไหน?  ไปนอนข้างในไหม  นอนพักก่อนดีกว่านะครับ”

“นอนไม่ได้ครับ  ผมมีงานต้องรีบไป” พสุพยายามจะเลิกคุย  แต่ก็เกรงใจเกินกว่าจะออกปากไล่อีกฝ่าย

“แต่คุณพี่ไผ่ไม่สบาย” วิธีการเรียกสรรพนามประหลาดๆของริว  ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวบรรเทาลงอย่างรวดเร็ว

“เรียกพี่ไผ่เฉยๆดีกว่า  ไม่ต้องมีคุณหรอก”

“พี่ไผ่ไม่สบายนี่ครับ”

“ไม่เป็นไรครับ  เดี๋ยวผมนอนพักไปในแท็กซี่ได้  คุณริวไม่ต้องห่วง”

“ไม่ต้องคุณสิ”

“ครับ?”

“ไม่ต้องคุณไง...นี่ริว...” เด็กหนุ่มชี้นิ้วที่อกตัวเอง  ก่อนจะยื่นมาแตะที่แขนเสื้อพสุเบาๆ

“นี่...พี่ไผ่”

“ได้ครับน้องริว”

ริวยิ้มหน้าบานเมื่อพสุเรียกเขาว่าน้อง  ก่อนจะพรวดพราดไปโบกเรียกแท็กซี่ที่เข้ามาส่งพนักงานของบริษัท


“รถแท็กซี่มาแล้ว เร็วๆพี่ไผ่”

“แล้วกุญแจรถหล่นไปไหน?” พสุก้มมองหากุญแจที่ควรจะตกอยู่แถวนั้นแต่ไม่เห็นจนถูกยื่นมาตรงหน้า

“อยู่นี่ครับ”

“ขอบคุณครับ”  พสุรับกุญแจมากดล็อครถแล้วเดินไปที่แท็กซี่  พอเขาเปิดประตูก้าวเข้าไป ริวก็เปิดอีกด้านเข้ามานั่งข้างๆ

“ริวไปด้วย”


พสุอึ้งไปนิดหนึ่งแล้วก็พยักหน้า  เพราะสมองเขาล้าและตื้อจนคิดอะไรไม่ออก  ทันที่บอกที่หมายเสร็จ  ชายหนุ่มก็พิงพนักหลับไปทันทีราวกับร่างกายปิดสวิตซ์   พสุรู้สึกตัวเพราะเสียงหัวเราะห้าวๆข้างหู  ชายหนุ่มขยับลุกขึ้นนั่งตัวตรงเมื่อรู้ว่าเขาหลับซบอยู่บนไหล่ของริว

“ตื่นทำไม  ยังไม่ถึงเลย” เด็กหนุ่มหันมาถามทั้งที่ตัวเองก็นั่งตัวแข็งทื่อจนดูน่าจะเมื่อย

“โทษทีนะริวที่เผลอไปพิง  เมื่อยไหม”

“ไม่เมื่อยหรอก  พี่ไผ่นอนเถอะ  ถึงแล้วริวจะปลุก”

“ไม่เป็นไรครับ  นี่ก็ใกล้ถึงแล้ว”

“หลับได้อีกนานครับ  รถติดขนาดนี้ยังไม่ถึงง่ายๆหรอก” คนขับรีบตอบอย่างอารมณ์ดี  ภูมิใจที่ผู้โดยสารเป็นพระเอกชื่อดัง  แถมเพื่อนที่มาด้วยนี่คงเป็นดาราเหมือนกัน  ท่าทางไม่ถือตัว  แถมซักโน่นถามนี่เหมือนเด็กๆ  พลอยให้เขาได้คุยฟุ้งมาตลอดทาง

“นั่นสิพี่ไผ่  นอนๆ  ถึงแล้วริวปลุกเอง”  ริวตบๆที่ไหล่ตัวเองเหมือนจะให้พสุมาซบที่เดิม  พสุเพียงแต่ยิ้มให้แล้วเอนลงพิงพนักแทน  ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน  แต่ถ้ามีใครเห็นเขาซบผู้ชายหลับก็อาจจะกลายเป็นเรื่องได้  แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องจริงก็ตาม  พสุหลับๆตื่นๆอยู่พักใหญ่ๆกว่าจะถึงที่หมาย


ชายหนุ่มยกนาฬิกาขึ้นดูก็พบว่าเขาสายไปเกือบ 20 นาที  จึงรีบเดินไปยังจุดนัดหมาย  โดยมีร่างสูงโย่งเดินแกมวิ่งตามมาติดๆ  ทำให้ยิ่งเป็นเป้าสายตา


“พี่ไผ่คะ  ขอลายเซ็นได้ไหมคะ” เด็กนักเรียนคนหนึ่งวิ่งมาดักหน้าพสุพร้อมกับยื่นกล่องดีวีดีละครเรื่องหลังสุดที่เพิ่งวางจำหน่ายมาให้พสุเซ็น

“ขอโทษนะครับ  พี่รีบมากเลย  ต้องไปเดินแบบที่ชั้น 2  ยังไงเดี๋ยวเลิกแล้วจะเซ็นให้นะครับ” ชายหนุ่มหันไปปฏิเสธสาวน้อยอย่างเกรงใจ  ก่อนจะเดินแกมวิ่งขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นสองเพื่อให้ทันงาน

“พี่ไผ่ รอริวด้วย  พี่ไผ่!”

เสียงเรียกดังลั่นจากข้างหลังทำให้พสุอดหันไปมองไม่ได้  ชายหนุ่มถึงกับหน้าม้านด้วยความอาย  ริวพยายามจะแทรกคนขึ้นมาให้ทันเขา  โดยไม่ให้โดนตัวคนอื่น  แต่คนค่อนข้างเยอะทำให้หลีกไม่พ้น  พอเห็นท่าว่าจะไม่ทันเด็กหนุ่มก็เลยตะโกนเรียกเขาซะดังลั่น  เล่นเอาคนเหลียวมองกันเป็นตาเดียว  เพื่อไม่ให้ต้องอายใครเป็นรอบที่สอง  พสุจึงหยุดรอจนเด็กหนุ่มตามขึ้นมาทันแล้วถึงได้เดินไปที่ส่วนแสดงแฟชั่นโชว์

ผู้จัดการของเขามายืนรออยู่แล้ว  พอเห็นหน้าพสุก็ปราดมาลากแขนให้เข้าไปแต่งตัวด้านหลังเวที


“ต๊าย! ทำไมปล่อยหน้าโทรมขนาดนี้ไผ่  แล้วนี่ไม่ได้แต่งหน้ามาเลยเหรอเนี่ย”

“ผมมาจากต่างจังหวัดก็เข้าประชุม  ออกจากห้องประชุมก็มานี่เลย  จะให้แต่งหน้าตอนไหนละครับ”

“โทษที  พี่ลืมไป  แต่แหม!  ไผ่เป็นดารานะ  ปล่อยให้คนเห็นตอนโทรมๆได้ยังไงจ๊ะ”

พสุนิ่งเสียเพื่อให้เรื่องจบไป  ทั้งที่นึกอยากจะย้อนถามอยู่เหมือนกันว่าถ้าเมื่อคืนลูกเจี๊ยบไม่เมาเสียจนต้องนอนค้างที่กองถ่าย  เขาคงไม่ต้องขับรถเองจากหัวหินมากรุงเทพ เพื่อให้ทันประชุมแล้วยังต้องมาทำงานคิวแทรกด่วน  แบบนี้อีก  ชายหนุ่มแทบนั่งหลับกว่าช่างจะแต่งหน้าเสร็จ  แต่ระหว่างที่เปลี่ยนเสื้อผ้า  ริวก็พรวดพราดเข้ามายืนหน้าตาตื่นอยู่ข้างเขา

.............................

ออฟไลน์ Na_RimKLonG

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1
มาม่ะ

ขอจิ้มทีนึง   :z13: :z13:

เอิ้กๆๆ

โอ้วว  ให้พี่ไผ่ซบไหล่ได้ด้วยยย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-08-2010 21:33:56 โดย atom_big »

zeazaiz

  • บุคคลทั่วไป
สนุกๆ 
มาแนวแปลกดี น่าติดตามจัง
อยากอ่านอีกอ่า  :impress2:

ออฟไลน์ justlove

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 297
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
 :mc4:มาต่อแล้ว  อ่านไปลุ้นพี่ไผ่กะน้องริวไป
ท่าทางน้องริวนี่เอาจริงเอาจังมาก  o13 ยกนิ้วให้กับการเตรียมตัวมาหาพี่ไผ่

มาต่อเร็วๆนะ  :call:

ออฟไลน์ spring

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-7
ตอนที่ 8






“อ้าว! แล้วหมอนี่ใคร  เข้ามาได้ยังไงเนี่ย” ลูกเจี๊ยบโวยวายดังลั่นเมื่อหันมาเห็นริว  เข้ามายืนแอบหลังพสุ


“ริวเข้ามาที่นี่ไม่ได้นะ  ที่นี่เป็นส่วนของทีมงาน” พสุรีบปราม  เพราะเกรงจะถูกทีมงานตำหนิ


“แต่ริว...”  เด็กหนุ่มอึกอัก  แล้วเหลียวไปมองข้างหลังพสุหน้าตาตื่น


“ต๊าย!หาตั้งนาน  หนีมาอยู่นี่เอง  น้องไผ่ขา  หนุ่มน้อยสุดหล่อคนนี้เป็นใคร” ร่างอวบหน้ากลมที่ยังผ่องใสอ่อนกว่าวัย  จึงดูไม่ขัดตากับท่าทางกรี๊ดกร๊าดเหมือนสาวรุ่น


“ริวเป็นนักร้องใหม่ครับ”


“ต๊าย! หน้าฝรั๊งฝรั่ง ชื่อญี่ปุ่นเชียว  น่ารักจัง...น้องไผ่ขา ขอพี่ยืมน้องเขาเดินแบบให้สักชุดสิ” พี่อ้อมประกบมือเข้าหากันแอ๊บท่าแบ้วสุดขีด  พสุเหลียวไปมองเด็กโย่งที่ยืนหน้าตื่นอยู่ข้างหลังแล้วก็อดขำไม่ได้


“ต้องถามเจ้าตัวเขาสิครับ”


“ไม่เอานะพี่ไผ่  ริวไม่ชอบ” ริวปฏิเสธทันควันพร้อมกับส่ายหน้าดิก


“ต๊าย! ทำไมละคะน้องริวขา  เดินแบบอ่ะ ง่ายออก  แค่เดินออกไป  โพสต์ท่านิดหน่อย  แล้วก็ยืนให้ถ่ายรูปนิดหนึ่ง  ก็กลับเข้ามาแล้ว”


“ไม่!” ริวปฎิเสธพลางถอยไปแอบอยู่หลังพสุ  ท่าทางปฏิเสธแข็งขันจนน้ำอ้อมต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ไปเอง


พอพสุขึ้นไปเดินแบบ ริวก็ออกไปยืนดูปะปนกับฝูงชน  แต่ความสูงและบุคลิกของเขาเด่นเกินไป  เรียกสายตาคนแถวนั้นให้หันมามองเป็นตาเดียว  โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวสักนิด  เพราะมัวแต่จ้องนายแบบบนเวทีเขม็ง  พอพสุหายไปหลังเวที ริวก็เตรียมจะเดินตามไป  แต่กลับพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางวงล้อมของนักเรียนสาวๆที่พากันจ้องเขาเป็นตาเดียว



“ขอโทษครับ ขอทางหน่อยครับ”  ริวรีบแหวกสาวๆเหล่านั้นเพื่อกลับไปยังหลังเวที  เด็กหนุ่มรู้สึกวิงเวียนคลื่นไส้ด้วยความขยะแขยงเมื่อต้องสัมผัสถูกตัวคนรอบข้าง  กว่าจะแหวกมาถึงหลังเวทีได้  เขาก็หน้าซีดจนพสุต้องลากมานั่งเพราะกลัวเด็กหนุ่มจะเป็นลม


“ทำไมหน้าซีดจังเลยริว  ไม่สบายเหรอ”


“ผมอึดอัด...ผมเกลียดคนเยอะๆ  รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก” ริวตอบเสียงเบา  พยายามสูดหายใจลึกๆเพื่อควบคุมอาการวิงเวียน  แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล


“จะเป็นลมหรือไง” พสุมองหน้าซีดขาวนั้นด้วยความตกใจ


“ไม่รู้...อึดอัดจัง...”


“ถ้ายังไงกลับก่อนไหม”


“กลับไม่ถูก”


“อะไรนะ?”


“ริวกลับไม่ถูก  ริวไม่เคยไปไหนคนเดียว”


พสุอยากโขกหัวกับโต๊ะตรงหน้าเสียจริง  นี่หมายความว่า เสร็จงานนี้แทนที่จะได้พัก  เขาต้องพาริวย้อนกลับไปส่งที่บริษัทเขมชาติอีกเหรอเนี่ย  ให้ตายเหอะ!




“งั้นก็รอเดี๋ยวนะ  พี่มีเดินแบบอีกรอบเดียว แล้วเรากลับกันได้เลย”


“ฮื่อ...เร็วนะ”


พสุคิดว่าริวอาจจะแค่เมาคน  ได้นั่งพักสักครู่คงดีขึ้น  แต่เมื่อกลับมาหลังเวทีอีกครั้ง  เขาก็พบว่าตัวเองคิดผิด  ริวหน้าซีดขาวเหมือนกระดาษ  ตัวสั่นสะท้าน  โดยที่คนอื่นๆยืนดูกันอยู่ห่างๆ



“ริว...เป็นไงบ้าง”


“พี่ไผ่  ริวไม่ไหว พาริวกลับนะ  ริวไม่ไหวแล้ว” เด็กหนุ่มคว้าแขนเสื้อเขาไว้แน่น  หน้าซีดนั้นมีแต่เหงื่อเกาะพราวทำให้พสุต้องรีบหันหาผู้จัดการของเขาที่ยืนอยู่ไม่ไกล


“พี่เจี๊ยบ ขอยาดมหรือยาหม่องอะไรก็ได้”


“พี่เอาให้แล้ว แต่เข้าใกล้ได้ที่ไหน”


“อะไรนะครับ”


“ก็นายริวน่ะ  เป็นบ้าอะไร  ทำยังกับเนื้อเป็นทอง  ถูกตัวเขาได้ที่ไหนกัน” ลูกเจี๊ยบตอบเสียงสะบัด  ยังเคืองไม่หายที่ริวสะบัดหนีราวกับเขาเป็นตัวเชื้อโรค  ทั้งที่หวังดีหายาดมมาให้แท้ๆ


พสุก้มมองเด็กหนุ่มที่ตอนนี้ฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะอย่างงุนงง  ก่อนจะตัดสินใจประคองริวลุกขึ้น


“ริว...ลุกไหวไหม  จะได้ไปหาหมอกัน”


“ไม่เอา  ไม่หาหมอ...ริวอยากกลับ” เด็กหนุ่มปฎิเสธเสียงแผ่ว  แต่เกร็งข้อมือที่ยึดขอบโต๊ะไว้แน่น  จนพสุต้องปล่อยให้เด็กหนุ่มนั่งอยู่ที่เดิม  ริวล้วงโทรศัพท์เครื่องจิ๋วออกมาด้วยมือสั่นเทา  กดหมายเลขเดียวแล้วโทรออก


“อลัน...ช่วยด้วย...”  เด็กหนุ่มหอบหายใจแรงกว่าเดิม  จนพูดโทรศัพท์ต่อไม่ได้  พสุจึงต้องคว้าโทรศัพท์ไปคุยแทน


“ริว...นายเป็นอะไร ริว...ตอนนี้อยู่ที่ไหน” เสียงปลายสายร้อนรน  จนแทบฟังไม่รู้เรื่อง


“เขาเหมือนจะเป็นลมครับ  แต่ไม่ยอมให้ใครช่วย  ผมจะพาไปหาหมอก็ไม่ยอมไป”


“นั่นใครครับ คุณ...พสุหรือเปล่า?”


“ใช่ครับ”


“โอเค  รบกวนหน่อยนะครับ  ช่วยให้ใครไปหาผ้าร้อนหรือผ้าเย็นมาสักผืน  ให้เขาเช็ดหน้าเช็ดมือ  แล้วช่วยพาเขาออกให้พ้นที่ที่คนเยอะๆ  ที่สำคัญพยายามอย่าแตะต้องตัวเขานะครับ”


“แต่เขาจับมือผมไม่ยอมปล่อยจะให้ทำยังไง?”


“หา!...เอ่อ...อ้อครับ  ผมหมายถึงนอกจากคุณอย่าให้ใครถูกตัวเขาน่ะครับ”


“ครับ  แล้วต้องพาเขาไปโรงพยาบาลไหม เขาป่วยเป็นอะไร?”


“ไม่ต้องครับไม่ต้อง  แค่ให้เขาได้เช็ดหน้าเช็ดมือให้สะอาดก่อน  แล้วถ้าสะดวก  ให้อาบน้ำได้ยิ่งดี”


“แค่นั้นเหรอครับ”


“ครับ อีกสักครู่เขาจะดีขึ้นเอง”


พสุรับปากงงๆ  ก่อนจะร้องขอผ้าเย็นจากทีมงาน  ชายหนุ่มเอาผ้าเย็นเช็ดหน้าซีดๆให้  จู่ๆริวก็แย่งไปเช็ดแขน  ถูแรงจนผิวแดงเป็นปื้น


“ริว  พอเถอะ  เดี๋ยวก็เป็นแผลหรอก”  หลังจากหมดผ้าเย็นไปหลายผืน  ในที่สุดริวก็หยุดเช็ด  แต่ยังยึดแขนเสื้อพสุไว้แน่น


“เดินไหวไหม”


“ไหวครับ”


“งั้นกลับกันเถอะ...พี่เจี๊ยบ  ช่วยพาหลบคนหน่อยสิ”


ลูกเจี๊ยบค้อนเด็กหนุ่มขวับ  แต่ก็ยอมพาเดินลัดไปด้านหลังใช้ลิฟต์ส่วนของพนักงาน  เพื่อหลีกเลี่ยงจากฝูงชน



เห็นอาการของริวแล้วพสุก็เลิกล้มความคิดที่จะย้อนกลับที่บริษัท  แต่เลือกกลับไปที่บ้านของเขาเพราะนั่งรถแท็กซี่เพียง 20 นาทีก็ถึง


“ที่ไหนครับ?”


“บ้านพี่เอง  เดี๋ยวริวนอนพักให้หายเวียนหัวก่อนแล้วค่ำๆค่อยกลับไปที่ออฟฟิศกัน  ตอนนี้พี่เหนื่อยมากขอนอนพักหน่อย  แล้วจะพากลับ”  พสุบอกเสียงเรียบแล้วเดินนำเด็กหนุ่มเข้าไปในบ้าน


…………………………………

 


พสุตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะรู้สึกหนาว...ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นมองไปรอบๆ  แล้วเห็นเงาตะคุ่มๆมุมห้องก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาพาเพื่อนร่วมวงคนใหม่กลับมาที่บ้านด้วย

อากาศเย็นจัดจนแม้จะอยู่ในผ้าห่มยังสะท้าน  แต่คนที่กองอยู่ที่โซฟามุมห้องไม่มีผ้าห่มสักผืน  อาจจะป่วยได้ง่ายๆ  ชายหนุ่มลุกขึ้น ไปหยิบผ้าห่มที่หล่นไปกองที่พื้นมาห่มให้ร่างที่ขดอยู่บนโซฟา  แล้วเดินหารีโมทแอร์  ในที่สุดก็เจอวางอยู่ข้างรีโมทเครื่องเสียง



“17 องศา!...บ้าแล้ว...ใครปรับไว้แบบนี้เนี่ย  มิน่าถึงหนาวนัก”  ชายหนุ่มสบถเบาๆ แล้วรีบเพิ่มอุณหภูมิห้องขึ้นมา  ภายนอกยังมืดสนิท  เหลือบไปมองนาฬิกาก็พบว่าเพิ่งจะตี 4 เท่านั้น  ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนใจที่จะเข้าห้องน้ำ  กลับไปทิ้งตัวลงบนเตียงอีกครั้ง



อดชำเลืองไปที่โซฟามุมห้องไม่ได้  นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพาคนแปลกหน้ามาบ้าน...ไม่สิ  แม้แต่คนที่สนิทกันสักแค่ไหน  เขาก็ไม่เคยพาใครกลับมาบ้านด้วย  แต่เด็กคนนั้น  เพิ่งเจอกันไม่ถึง 24 ชั่วโมง  เค้าพาเด็กนั่นมาบ้านด้วยเฉยเลย.....



‘นายชักจะหลุดออกนอกกรอบมากไปแล้วไผ่...อย่าหาเรื่องให้ตัวเองนักเลยว้า...ที่ผ่านมามันยังปวดหัวไม่พอหรือไง’


พสุเคลิ้มจะหลับอยู่แล้ว  เมื่อได้ยินเสียงหอบหายใจ  ตามด้วยเสียงครางที่ค่อยๆดังขึ้นจนกลายเป็นเสียงตะโกนลั่นจนเขาต้องผวาลุกขึ้น





“ไม่...ไม่...แม่จ๋า!...แม่!...อ๊อค!!...แค๊กๆๆๆ…”



พสุวิ่งไปที่โซฟามุมห้อง  ร่างที่อยู่บนโซฟาดิ้นรนไปมาอย่างทรมาน  มือไม้เหวี่ยงป่ายไปมาราวต่อสู้อยู่กับใครสักคน  สีหน้าทรมานนั้นทำให้พสุรีบเขย่าตัวเด็กหนุ่มด้วยความตกใจ



“ริว! ริว! นายได้ยินฉันไหม  ริว! ริว!”



ฮืดดดดดด...แค็กๆๆๆ...อาการเกร็งขึ้นทั้งตัวก่อนจะสูดอากาศรุนแรงราวกับเพิ่งหายใจออก  แล้วกระอักกระไอแรงจนหอบทำให้พสุต้องลูบหลังลูบไหล่ช่วย...ริวพยายามสะบัดหนีมือเขา  แต่เสียงเรียกของเขาทำให้เด็กหนุ่มหยุดชะงัก มองหน้าเขาอยู่นานก่อนจะคว้าแขนเขาไว้แน่น  พลางหอบหายใจจนตัวโยน



“ริว...ใจเย็นๆนะ  สูดหายใจลึกๆ...หายใจออกไหม” พสุถามพลางลูบหลังให้  เหงื่อเปียกเสื้อที่เด็กหนุ่มสวมอยู่จนชุ่ม  ทั้งที่เพิ่งจะหรี่แอร์ไปได้พักเดียว



“อา....อา...หะ...หายใจ...ออกแล้ว...แค็กๆ”



พสุลุกไปรินน้ำมาส่งให้  เด็กหนุ่มรับมาดื่มมือสั่น  นั่งตัวสั่นอยู่นานกว่าจะสงบสติอารมณ์ได้



“...ขอโทษครับที่ทำให้ตกใจ”


“ไม่เป็นไรหรอก...ฝันร้าย...หรือป่วย?”


“ฝันร้ายครับ”


“เป็นแบบนี้บ่อยไหม” พสุบิดผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นจนหมาดแล้วเดินมาส่งให้เด็กหนุ่มเช็ดหน้า


“...บ่อย...ครับ”


“แล้ว...ไปหาหมอบ้างหรือเปล่า?” พสุพยายามเรียบเรียงคำพูดเพื่อไม่ให้กระทบใจคนฟัง  เขาแน่ใจว่าอาการที่เด็กหนุ่มเป็นอยู่ควรจะหาหมอ


“...ผมเกลียดหมอ...”


“เกลียดหมอ?”


“ก็ไม่เชิง...คือ...ผมเกลียดการไปโรงพยาบาล...ผมไม่ชอบกลิ่นยา...ผม...ผมกลัวโรงพยาบาล” เด็กหนุ่มไหวไหล่  ทำกิริยาเหมือนมันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ แต่เสียงอ้อมแอ้มเบาจนแทบไม่ได้ยิน  แถมยังก้มหน้าหนีงุดๆ ทำให้พสุอดยิ้มไม่ได้


ชายหนุ่มลูบผมหยักยุ่งอย่างเอ็นดู  แต่กลับพบปฏิกิริยาแปลกประหลาด  เด็กหนุ่มทำตัวเกร็งเหมือนตกใจเมื่อเขาสัมผัสศีรษะ  แต่ครู่เดียวก็ผ่อนคลาย  แถมเงยหน้ามามองเขาตาแป๋ว



“โหริวนี่ตาสวยนะ  ขนตายาวมาก...เอาไม้จิ้มฟันวางคงไม่หล่นแน่เลย” พสุอุทานพลางเหลียวมองหาอะไรสักอย่าง  เพื่อจะลองวางบนแผงขนตาหนานั้น  อย่างมันเขี้ยว



เด็กหนุ่มหลบตาลงมองพื้นทำคิ้วขมวดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเหลือบตามาจ้องหน้าเขาอีกครั้ง



“แล้วพี่ไผ่ชอบไหม?”


“ชอบ?...อ๋อ  ชอบสิ  อิจฉาเลยล่ะ  ตาสวยๆแบบนี้นะ  รับรองว่าถ้าเป็นหนุ่มเต็มตัว  สาวๆกรี๊ดตายแน่”


“ไม่เอา  ผมไม่ชอบให้ใครมากรี๊ด...แต่อยากให้พี่ชอบ”


“หืม?...เอ่อ...” พสุถึงกับติดอ่าง  จ้องมองเด็กหนุ่มตาค้าง  รู้สึกแปลกๆกับคำพูดของริว  แต่ดวงตาใสที่จ้องมองเขา  ดูซื่อและไร้เดียงสา   จนเขากลับเป็นฝ่ายละอายแก่ใจ  นี่เขาคงเข้าใจอะไรผิดไปเองแน่ๆ


“ทำไมถึงคิดว่าพี่จะไม่ชอบล่ะ...ริวก็ออกเก่ง”


“ก็...ริวทำให้พี่ลำบาก” ริวตอบแล้วก้มหน้างุด  สีหน้าดูไม่สบายใจ   คำตอบของริวทำให้พสุโล่งใจ  แล้วเลยนึกสงสารนิดๆกับท่าทางเหมือนลูกหมาถูกดุของคนตรงหน้า


“ไม่หรอกน่า  ไม่ได้ลำบากอะไร...จริงสิ  ริวเป็นไงบ้าง  ยังคลื่นไส้อยู่ไหม?”


“ไม่เป็นอะไรแล้วครับ  แต่ริวอยากอาบน้ำ...มันร้อน”


“เอาสิ  ห้องน้ำอยู่ทางนี้   เดี๋ยวพี่หยิบผ้าขนหนูให้”  พสุลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัว  เสื้อคลุมอาบน้ำและแปรงสีฟันใหม่เอี่ยมยังไม่ได้แกะกล่อง  ส่งให้เด็กหนุ่ม  พร้อมกับเปิดไฟกลางห้องแทนโคมไฟ  แล้วจัดเสื้อผ้าชุดใหม่ไว้ให้ริวเปลี่ยน  พอเด็กหนุ่มออกจากห้องน้ำ  เขาก็ส่งเสื้อผ้าให้แล้วเข้าไปอาบน้ำบ้าง




.........................

ออฟไลน์ justlove

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 297
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
 :o8: น้องริวฝันร้าย อย่างนี้ต้องแก้ด้วยการไม่นอนคนเดียวน๊า

ขอพี่ไผ่นอนด้วยแล้วกัน กลางคืนฝันร้ายจะได้มีคนปลอบ

ออฟไลน์ Na_RimKLonG

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-1
+1  ให้ข้างบน

ข้อหาเม้นถูกใจ

แล้ววิ่ง  ไป +1  ให้ไรเตอร์ข้อหาแต่งได้น่ารัก  จ๊างงง

ออฟไลน์ spring

  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 279
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-7
ตอนที่ 9




ถ้าวันไหนตื่นเช้าพสุจะออกไปหามื้อเช้ากินเอง  จะได้ไม่รบกวนแม่บ้านมากนัก  แค่ต้องคอยตื่นมาเปิดประตูให้เขาแบบไม่เป็นเวลาอย่างทุกวันนี้เขาเกรงใจแย่แล้ว

มื้อเช้าของพสุมักจะเป็นอาหารง่ายๆ อย่างโจ๊กหรือข้าวแกงในตลาด  วันนี้ชายหนุ่มพาริวมาลองกินด้วย  แม้จะไม่แน่ใจว่าริวจะกินอาหารข้างถนนแบบนี้ได้หรือเปล่า



“กินอะไรดีริว”  พสุหันไปถามเด็กหนุ่มที่เดินตามหลังเขาต้อยๆเหมือนมีเชือกล่ามอย่างขันๆ



อาการเหลียวหน้าเหลียวหลังมองรอบตัวเหมือนไม่เคยเห็นทำให้เขาอดประหลาดใจไม่ได้  ริวทำท่าเหมือนไม่เคยเห็นสถานที่แบบนี้  สงสัยจะไม่เคยเดินเที่ยวย่านไชน่าทาวน์ที่อเมริกาละมั้ง



“ริว”


“ครับ?”


“กินอะไรดี...” พสุเรียกซ้ำเมื่อถามไปสักพักแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะได้คำตอบ


“ไม่รู้ครับ” คำตอบที่มาพร้อมสีหน้าว่าไม่รู้จริงๆ ทำให้พสุอดยิ้มไม่ได้  น่าแปลกที่เขารู้สึกสนิทสนมกับริวอย่างรวดเร็วทั้งที่เพิ่งเจอกัน...คงเพราะดวงตาใสแจ๋วนี้ดูไร้เดียงสา  ทำให้รู้สึกเหมือนมีน้องเล็กๆ มากกว่าจะเป็นผู้ร่วมงานกัน


“ริวเคยกินอาหารไทยไหม?”


“เคย...นิดหน่อย...แต่ไม่รู้เรียกอะไร”


“งั้น...กินต้มเลือดหมูแล้วกัน  ต้มเลือดหมูเจ้านี้อร่อยมากเลยนะ...ลองกินไหม?” น้ำเสียงที่พูดกับเด็กหนุ่มอ่อนโยนลงอย่างไม่รู้ตัว




เด็กหนุ่มพยักหน้า  แล้วตามพสุไปนั่งที่โต๊ะ  ระหว่างที่รออาหารเด็กหนุ่มก็เหลียวมองรอบๆ ตัวอย่างสนใจ  สนใจแม้กระทั่งพวงพริกน้ำส้มตรงหน้า




“ริว...อายุเท่าไหร่แล้ว?”  พสุถามอย่างเห็นขัน กับกิริยาเหมือนเด็กของริว  มากกว่าจะอยากได้คำตอบจริงจัง


“จะสิบแปดแล้วครับ”


“ยังไม่สิบแปด?...อ้าว! แล้วตอนนี้มหาวิทยาลัยปิดเหรอถึงมาได้” พสุถามอย่างงุนงง  ถึงจะเห็นอยู่ว่าริวหน้าอ่อนใสเหมือนยังเด็ก  แต่ไม่คิดว่าจะอายุน้อยขนาดนี้  แล้วถ้าริวมาทำงาน จะได้กลับไปเรียนเมื่อไหร่กัน...


“ริวเรียนจบแล้วครับ”


“จบแล้ว?...จบไฮสคูลหรือปริญญาตรี? ”  พสุถามงงๆ  เพราะรู้ว่าคุณสมบัติพื้นฐานของคนที่มาออดิชั่นอย่างน้อยต้องศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรี  แต่ริวอายุยังไม่สิบแปดด้วยซ้ำ


“ริวจบปริญญาเอกมาสองปีแล้ว”  ริวตอบพลางตักพริกในน้ำส้มขึ้นมาดมแล้วย่นจมูก  ขณะที่พสุอึ้งไปด้วยความตกใจ


“โอ้โห!...เด็กอัจฉริยะเหรอนี่...ไอคิวเท่าไหร่เนี่ย?” พสุถามอย่างทึ่งๆ


“ไม่รู้สิ  ไม่ได้สนใจ...ครับ” ริวบอกปัดเสียงห้วนแล้วรีบลงครับต่อท้าย  เมื่อรู้สึกว่าเขากำลังไม่สุภาพ



ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองไอคิวเท่าไหร่  แต่เด็กหนุ่มไม่ชอบพูดถึงเพราะไม่ต้องการให้ตัวเอง  “ประหลาด”  และ “แปลกแยก”  กว่าคนอื่นๆ เหมือนอย่างที่อลันเคยบอกไว้

พสุยังคงจ้องมองเด็กหนุ่มอย่างทึ่งๆ  เขาเคยได้ยินเรื่องเด็กอัจฉริยะมาบ้าง  ตัวเขาเองก็ได้ชื่อว่าเรียนเก่งมากคนหนึ่ง  แต่ไม่ถึงขั้นเป็นอัจฉริยะเหมือนคนตรงหน้า  และพสุก็ไม่คิดว่าริวจะโกหก  เพราะดูเหมือนเด็กหนุ่มจะพลั้งปากบอกเสียด้วยซ้ำ

พอต้มเลือดหมูถูกยกมาวางตรงหน้า  ริวใช้ช้อนเขี่ยๆ ก้อนเลือดหมู  และเครื่องใน  ไปมาอย่างสนใจ  ก่อนจะคอยจ้องดูว่าพสุใส่อะไรลงไปในถ้วย  ก็ใส่ตาม


“เดี๋ยวๆ จะใส่พริกไปทำไม  กินได้เหรอ?” พสุคว้าข้อมือเด็กหนุ่มไว้ทัน  เพราะเขาสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่าริวทำตามเขา  พอเขาวางช้อนพริกริวก็คว้าหมับทันที


“ก็พี่ยังกินได้เลยนี่ครับ” ริวตอบเสียงซื่อ  ก่อนจะมองมาที่ถ้วยต้มเลือดหมูของพสุเป็นเชิงเปรียบเทียบ


“แต่มันเผ็ดนะ” พสุห้ามโดยยังยึดมือที่ถือช้อนพริกป่นของริวไว้แน่น  ริวก็ปล่อยให้พสุจับมือเฉย  ทั้งที่ปกติเขาจะต้องขยะแขยงจนคลื่นไส้  แต่คงเพราะมือพสุนิ่มและอุ่นไม่กระด้างเหมือนมือผู้ชายทั่วไป  ทำให้เด็กหนุ่มคุ้นเคยอย่างประหลาด


“ริวเคยกินวาซาบิ  มันเผ็ดเท่าวาซาบิไหม?”


“มันคนละอย่าง  วาซาบิมันฉุน  แต่พริกป่นมันเผ็ด...เอาอย่างนี้ ลองกินของพี่ดูก่อน”  พสุตักน้ำต้มเลือดหมูในชามตัวเองส่งให้ริวชิม  แทนที่เด็กหนุ่มจะรับไปกินเองกลับก้มลงกินจากช้อนที่พสุยื่นให้

ตอนแรกพสุเกือบกระตุกมือหนี  แต่พอเห็นเด็กหนุ่มสะดุ้งกรอกตาไปมา  หน้าแดงจัด  ก่อนจะวิ่งไปบ้วนน้ำต้มเลือดหมูลงถังขยะ  พสุรีบคว้าแก้วน้ำเย็นตามไปส่งให้



“บ้วนปากก่อน  เดี๋ยวค่อยดื่ม”


“โอ๊ย! แสบมากๆ อ่ะ  ปากริวสุกแล้ว” ริวร้องลั่น  พลางโบกมือพัดใส่ปากที่อ้ากว้าง  ปากที่แดงอยู่แล้วดูเหมือนจะแดงยิ่งกว่าเดิม  หน้าขาวใสแดงจัด  น้ำตาคลอเต็มตาโตๆ  จนพสุต้องหยิบทิชชูส่งให้


“ใจเย็นๆ  เดี๋ยวพี่รินน้ำให้ใหม่”

ริววิ่งกลับมาที่โต๊ะ  ยกน้ำขึ้นดื่มหมดแก้ว  แต่ก็ยังไม่หายเผ็ด  พสุเหลียวซ้ายแลขวา  ก่อนจะเดินไปสั่งนมเย็นมาให้ริวกินแก้เผ็ด  พอได้นมเย็นหวานๆเข้าไป  ริวก็เลิกกินอย่างอื่น  ตั้งหน้าตั้งตาดูดนมเย็นจนหมดเกลี้ยง  ก่อนจะแลบลิ้นยาวออกมาดูจนตาเหล่มารวมกัน

พสุเติมเครื่องปรุงในชามต้มเลือดหมูของริวให้  ระวังไม่ให้รสจัด  ตอนแรกริวก็แหยงๆ ยังลังเลที่จะกิน  แต่เมื่อตักคำแรกเข้าปากอย่างกล้าๆกลัวๆเด็กหนุ่มก็ทำตาโต  ไม่ช้าข้าวก็ทำท่าจะหมดจาน  จนพสุต้องสั่งทั้งข้าวและต้มเลือดหมูชุดสองมาให้


หลังจัดการต้มเลือดหมูกันไปคนละ 2 ถ้วย  น้ำหวานคนละแก้ว ปาท่องโก๋อีก2 จาน  ริวก็ลูบพุงป้อย



“โอ๊ย! ริวแน่นท้องเลย...อิ่มที่สุดในโลก”

พสุอดหัวเราะไม่ได้  ก่อนจะตัดสินใจพาริวเดินดูตลาดก่อนกลับ  เช้าๆ คนเยอะ  แต่ละคนก็ดูเร่งรีบจนชายหนุ่มไม่คิดว่าจะมีใครทันสังเกตว่าเป็นเขา  อีกอย่างใส่ทั้งหมวกใส่ทั้งแว่นตาขนาดนี้คงพรางสายตาคนไปได้


“พี่ไผ่นั่นอะไรครับ?” จู่ๆ ริวก็กระตุกชายเสื้อ จนพสุต้องเหลียวไปดู


“สายไหม...ขนมน่ะ  ลองกินไหมล่ะ” พสุถามพลางอมยิ้มเมื่อเห็นเด็กหนุ่มตาเป็นประกาย  ท่าทางเหมือนเด็กเล็กๆ นั้นทำให้พสุอดเย้าแหย่ไม่ได้  ทั้งที่ไม่คิดว่าริวจะกินจริงๆ


“กินครับ” ริวเอื้อมมือไปคว้าห่อขนมทันทีที่รับคำแล้วล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบการ์ดสีเงินส่งให้แม่ค้า


“เฮ้ย! จ่ายด้วยบัตรเครดิตไม่ได้...นี่ครับ”  พสุดึงมือที่ถือการ์ดของเด็กหนุ่มกลับ  แล้วรีบส่งเงินค่าสายไหมให้แม่ค้าก่อนที่จะโดนด่า  แต่เงินค่าขนมดูไม่น่าสนใจเท่าคนจ่าย  เพราะแม่ค้าวัยกลางคนจ้องพสุเขม็ง


“ไผ่  พสุใช่ไหมจ๊ะ”


“...ครับ”


“ต๊าย! ใช่จริงๆเหรอเนี่ย...ขอๆๆ ลายเซ็นได้ไหมค๊า  ขอถ่ายรูปด้วย...แกๆ! ไผ่ พสุ  ตัวจริงด้วยแก”  หลังจากหันไปตะโกนเรียกเพื่อนแม่ค้าแผงข้างๆ  คุณป้าเจ้าของสายไหม  ก็งัดหนังสือดาราจากในกระจาดข้างตัวมาให้พสุเซ็น


“ครับ...ได้ครับ”  พสุยิ้มแหย  ความคิดที่จะเดินเล่นเป็นหมันทันทีที่ได้ยินเสียงกรี๊ดจากรอบสารทิศ  ครู่เดียวรอบๆตัวเขาก็มีคนหลากหลายวัย  ที่พยายามเบียดเสียดกันเข้ามาขอลายเซ็น  ขอถ่ายรูปด้วย  แสงแฟลชจากกล้องโทรศัพท์มือถือกระพริบวูบวาบรอบตัว  ชายหนุ่มแจกทั้งลายเซ็นและรอยยิ้มใส่กล้องอยู่ครู่ใหญ่ๆ กว่าจะขอตัวแหวกวงล้อมกลับมาที่รถได้


พสุถึงกับถอนหายใจเฮือกเมื่อเห็นริวนั่งยองๆ อยู่ข้างรถไม่ได้เดินหลงไปไหนอย่างที่เขากังวล


“พี่ไผ่มาแล้ว!” ริวดีดตัวลุกขึ้นแล้วยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มที่แก้ม  พลางขยับนิ้วที่เหนียวหนับเพราะสายไหมเล่น  พสุเหลือบมองแล้วไขกุญแจรถหยิบขวดน้ำในรถมาส่งให้ริวล้างมือ  พอล้างเสร็จเด็กหนุ่มก็เช็ดมือกับเสื้อที่สวมอยู่


“อย่าเช็ดมือกับเสื้อสิ!...เอ้านี่” พสุเผลอดุแล้วหยิบทิชชูส่งให้  เด็กหนุ่มยิ้มแหยรับไปเช็ดแล้วทิ้งลงถังขยะเรียบร้อยถึงมาขึ้นรถ


“พี่ไผ่ดังมากเลยเน้อ” ริวทักเสียงใส  ลืมเรื่องที่ถูกดุไปเรียบร้อยแล้ว


“ก็เล่นละครหลายเรื่อง  คนก็จำได้บ้างแหละน่า” พสุถ่อมตัวยิ้มๆ  ก่อนจะหันไปดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาด


“ไม่หรอก  ริวถามใคร ก็มีแต่คนรู้จัก  เขาบอกว่าพี่เป็นพระเอกเบอร์ 1 ของเมืองไทย”


“ฮะฮะฮะ  พูดซะขนาดนั้น  สาธุ๊! ขอให้จริง” พสุยกมือไหว้ท่วมหัวเป็นเชิงแซวเด็กหนุ่ม  แล้วสตาร์ทรถขับออกจากที่จอดอย่างระมัดระวังเพราะความจอแจของยวดยานในตลาด


“จริงๆ  เชื่อริวสิครับ  ถามใครใครก็บอกแบบนี้ทุกคน”  ริวยืนยันสีหน้าจริงจัง


“เอาน่า  อีกหน่อยริวก็มีแต่คนรู้จัก  ไม่แน่นะเราอาจจะเป็นบอยแบนด์ที่ดังที่สุดในประเทศก็ได้” พสุคาดหวังด้วยดวงตาเป็นประกาย  ดังหรือไม่ดังมันไม่สำคัญเท่ากับว่า  เขาจะได้ทำในสิ่งที่รักอีกครั้ง...หากวงดัง เขาก็จะได้ทำมันได้อย่างเต็มที่  แต่ถ้าไม่  นี่อาจเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายสำหรับการเดินบนถนนดนตรีอย่างที่ฝัน


“...”  รอยยิ้มบนปากบางค่อยๆ จางหาย  คิ้วหนาเป็นปื้นขมวดเข้าหากันอย่างกังวล


“เป็นอะไรนิ่งไปเลย”


“ริวอยากให้งานออกมาดี  อยากให้คนชอบเพลงที่ริวแต่ง...แต่...ไม่อยากดัง...ริวไม่ชอบคนเยอะๆ”


“อ้าว!” พสุอุทานอย่างประหลาดใจ  อดเหลือบมองหน้าครุ่นคิดของคนข้างๆ ไม่ได้  ดูเหมือนริวจะคิดอย่างนั้นจริงๆ  สีหน้าและสายตาที่แสดงออกมาฉายชัดว่าเจ้าตัวกำลังลำบากใจ


“เฮ้อ!...ริวต้องทำยังไงครับพี่...” ริวหันมาจ้องหน้าพสุ  ราวกับว่าพสุจะจัดการทุกอย่างให้ได้อย่างใจ


“ถ้าเอาแค่  อยากทำงานดีๆ  อยากให้คนชอบเพลงที่แต่ง  ริวก็ต้องทำงานเบื้องหลัง  เป็นนักแต่งเพลงหรือเป็นโปรดิวเซอร์ก็ได้” พสุให้คำแนะนำ  ทั้งที่นึกกังวล  เขายังไม่เคยเห็นฝีมือของริว  แต่เท่าที่ฟังดู  เหมือนทุกคนจะยอมรับว่าริวเป็นนักร้องและนักดนตรีที่เก่งมากๆ คนหนึ่ง  หากไปทำงานเบื้องหลังคงน่าเสียดายฝีมือ


“แต่ริวอยากร้องเพลงกับพี่” คำตอบเหมือนเด็กงอแง  ทำให้พสุถึงกับหลุดหัวเราะ


“เอ้า!...งั้นจะเลือกได้ยังไงว่าจะดังไม่ดัง...อีกอย่างเป็นนักร้อง ยังไงริวก็ต้องเจอคนเยอะอยู่แล้ว  มันเลี่ยงไม่ได้”


“นั่นสิครับ” ริวตอบแล้วย่นจมูก  ก่อนจะหันมามองหน้ายิ้มๆ ของพสุแล้วเด็กหนุ่มก็ส่งยิ้มกว้างจนตาหยีให้


“ฮะฮะฮะ  เอาเถอะๆ  ไว้ค่อยคิดแล้วกัน” พสุบอกยิ้มๆ  ทั้งที่นึกอยากจะดึงแก้มกลมๆ ของริวเล่นสักที  พสุพาเด็กหนุ่มกลับมาที่บ้านเพื่อมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่แม่บ้านซักรีดไว้ให้เรียบร้อย  แล้วจึงพาเด็กหนุ่มไปส่งที่บริษัท



สีหน้าเหมือนจะร้องไห้ของริวตอนลงจากรถทำให้พสุนึกขันอีกรอบ  สงสัยเขาจะได้เด็กน้อยมาเป็นเพื่อนร่วมงานซะแล้ว



เสียงริงโทนเฉพาะเบอร์พิเศษทำให้พสุรีบกดรับทันที


“สวัสดีครับแม่” ชายหนุ่มทักปลายสายด้วยน้ำเสียงสดใส


“ขับรถอยู่หรือเปล่าลูก” เสียงนุ่มๆ  อ่อนๆ ติดเกรงใจแม้แต่กับเขาที่เป็นลูกทำให้พสุต้องอมยิ้มด้วยความเอ็นดูมารดา


“จอดแล้วคร้าบ” พสุตอบพลางหมุนพวงมาลัยเข้าไปลานจอดรถของปั้มแรกที่เจอ


“แม่ได้ข่าวว่าไผ่จะได้ร้องเพลงอีกเหรอลูก  ดีใจด้วยนะจ๊ะ” น้ำเสียงแห่งความยินดีนั้นปิดไม่มิด  พลอยให้พสุตื้นตันใจไปด้วย  ไม่มีใครรู้ใจเขาเท่าแม่  แม่รู้ว่าเขาดีใจแค่ไหนที่ได้กลับมาร้องเพลงอีกครั้ง


“ข่าวไวจริง  ใครบอกครับแม่”


“ลูกเจี๊ยบน่ะจ้ะ  ท่าทางเขาตื่นเต้นกับลูกมากเลยนะจ๊ะ”


“เหรอครับ...แล้ว...แม่บอกใครเรื่องนี้หรือเปล่าครับ”


“เปล่าจ้ะ  พอลูกเจี๊ยบบอกแม่  แม่ก็โทรหาไผ่เลย...แม่ดีใจมากๆ เลยนะลูก  ถ้าพ่อรู้เขาต้อง...”


“ไม่จำเป็นครับแม่  ไผ่อยากให้เรื่องนี้รู้กันแต่เราแม่ลูก” พสุรีบขัด  เขารู้ว่าแม่จะพูดอะไรต่อไป  แม่จะพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาไปหาพ่อ  ไปบอกข่าวดีแก่พ่อ  ทั้งที่พสุแน่ใจว่าข่าวนี้เป็นข่าวดีเฉพาะกับแม่และตัวเขาสองคน  แต่ไม่ใช่สำหรับพ่อแน่นอน


“แต่เดี๋ยวพอแถลงข่าวพ่อเขาก็ต้องรู้อยู่ดีนี่จ๊ะ” น้ำเสียงกึ่งกังวล  กึ่งเกรงใจนั้น  เคยทำให้พสุใจอ่อนมาแล้วเมื่อตอนเป็นเด็ก  แต่เมื่อเขาตัดสินใจออกจากบ้านมา พสุก็ไม่คิดว่าเขาจะต้องแคร์อีกว่าพ่อจะคิดเรื่องของเขายังไง


“ช่างเขาสิครับ”


“แต่ว่า...”


“แม่ครับ  แม่จะไม่อวยพรไผ่หน่อยเหรอ...นะครับแม่ ขอพรให้ไผ่หน่อย  ไผ่จะได้มีกำลังใจ”


“แม่ขอให้ไผ่มีความสุขกับงานที่ทำทุกๆ วัน  แล้วก็ขอให้เพลงของไผ่ประสบความสำเร็จ  ให้คนชื่นชอบเพลงของไผ่นะลูก”


“ขอบคุณครับ  โอ๊ยยยย  ไผ่รู้สึกอยากจะรีบไปอัดเสียงเดี๋ยวนี้เลย”


“เกินไปจ้ะ”


เสียงหัวเราะเบาๆ นุ่มๆ ในสายทำให้พสุรู้สึกอยากเห็นหน้าแม่ขึ้นมาทันที  เห็นทีเขาต้องหาทางชวนแม่ออกมากินข้าวด้วยกันสักวัน


“ฮะๆๆๆ”


“ไผ่จ๊ะ...ไม่มาทานข้าวที่บ้านเหรอลูก  จะได้ฉลองกัน  สักวันศุกร์นี้ก็ได้นะลูก  พ่อเขาได้หยุดพักพอดีเลย”


“ไผ่ไม่ว่างครับ”


“อ้าว  ไหนลูกเจี๊ยบเขาว่า...”


“ไผ่นัดคุยเรื่องงานกับพี่ที่บริษัทใหม่ครับแม่”


“เหรอจ๊ะ...น่าเสียดายนะจ๊ะ  แล้วไผ่จะว่างอีกเมื่อไหร่ละลูก”


“เอาเป็นว่ามื้อเที่ยงวันไหนแม่ว่าง  ก็โทรมาสิครับ  ไผ่จะไปรับทานข้าวด้วยกัน”


“แม่นึกว่าไผ่จะมาทานที่บ้านบ้าง” น้ำเสียงเสียดายของแม่ทำให้พสุรู้สึกขมในคอ  เขาสงสารแม่  แต่เขาไม่คิดจะกลับไปเหยียบที่นั่นอีก  ตั้งแต่วันที่ตัดสินใจย้ายออกมา


“แม่ครับ  เราเคยคุยกันแล้ว  ไผ่บอกแม่แล้วนี่ครับว่าไผ่ไม่อยากไป”


“จ้ะๆ  แม่ก็แค่อยากจะให้ไผ่กับพ่อได้คุยกัน”


“แม่ครับ...ไผ่กำลังจะรีบไปงานอีกที่  ไผ่ต้องวางสายแล้วครับ” พสุจำต้องตัดสาย  ทั้งที่ยังอยากคุยกับแม่ให้หายคิดถึง  แต่ถ้าการคุยกันหมายถึงต้องพูดถึงพ่อ  พสุก็ขมขื่นเกินกว่าที่ทนฟัง


“จ้ะ  ขับรถดีๆ นะครับลูก”


“สวัสดีครับ  รักแม่นะครับ”


“แม่ก็รักลูกจ้ะ”


พสุถอนใจพรู  เขารู้ว่าแม่อยากให้เขากับพ่อกลับมาพูดกันอีกครั้ง  แต่สำหรับพสุมันสายเกินไปแล้ว  รอยร้าวระหว่างเขากับพ่อ  มันยากเกินจะเยียวยา นับวันมีแต่จะแตกแยกห่างเหินกันมากขึ้นเรื่อยๆ  จนแทบจะกลายเป็นความเกลียดชัง  และพสุก็มั่นใจว่าพ่อเองก็เกลียดเขา

นั่นคือเหตุผลที่ทำให้พสุเลือกจะเดินออกจากบ้านทันทีที่เรียนจบ  เขารับงานแสดงเพราะหาเงินได้มากและเร็ว  ขณะเดียวกันก็สร้างเกราะกำบังที่แน่นหนาจากคนอื่นๆด้วยการไม่เปิดหัวใจรับใครมาให้เจ็บปวด

พสุไม่เชื่อในความรัก  เพราะเขาเห็นตัวอย่างชั้นดีจากแม่  แม่ที่รักพ่อสุดหัวใจ  แต่ตลอดชีวิตของพสุเขาเห็นแต่ความเจ็บปวดของแม่  แม่ไม่เคยมีความสุข...เขาถึงเลือกที่จะไม่รัก แม้จะเหงาไปบ้างแต่อย่างน้อย ก็ไม่ต้องเจ็บปวด





..................................

ออฟไลน์ Noi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-2
สนุกมากค่ะ ชอบเรื่องนี้มาก มาลงบ่อยนะค่ะ :L2: :L2: :L2: :L1: :bye2:

ออฟไลน์ didi

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1000
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-8
ชอบมากเลยค่ะ. :z2: :z2:
มาต่อเร็วๆนะ :L2: :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด