ตัวร้าย
40
“ค่อย ๆ เดินนะไหวไหม” ผมพยุงบีสท์ลงจากรถอีกข้างของเขามีเปาช่วยพยุง
บีสท์ได้กลับบ้านแล้วหลังจากที่ต้องอุดอู้อยู่ที่โรงพยาบาลมานานหลายสัปดาห์ อีกไม่ถึงอาทิตย์ก็เปิดเทอม แขนข้างซ้ายได้เปลี่ยนมาใส่เฝือกอ่อนอีกระยะแต่ขาต้องใส่เฝือกแข็งไปอีกสองถึงสามเดือน
“เดี๋ยวนะไอ้บีสท์มึงทิ้งน้ำหนักมาที่กูหมดเลยใช่ไหม”
เปาทำจมูกบานหรี่ตามองเพื่อนตัวเอง บีสท์ขำคิกอมยิ้มแล้วพยักหน้าคนช่วยพยุงแทบจะปล่อยมือเสียเดี๋ยวนั้น ผมอมยิ้มส่ายหัวมิน่าล่ะตัวเองถึงไม่รู้สึกหนักอะไรเลย
“กูกลัวว่าซันจะหนัก”
“จ้าไอ้พ่อหมาจำเริญ”
เปาตั้งใจพูดผิดไม่มีการแก้ ปากเขาก็บ่นเพื่อนตัวเองแต่การกระทำนั้นระวังยิ่งกว่าผมเสียอีก นี่แหละน้าพวกปากหนักปากไม่ตรงกับใจ
ปุ้ง! ปุ้ง!
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”
หลายเสียงประสานเอ่ยขึ้นเมื่อพวกผมสามคนเดินเข้ามาในบ้าน พวกเพื่อนของบีสท์รวมทั้งครอบครัวของเขายืนเรียงกันอยู่ตรงหน้า ทางด้านหลังประดับประดาไปด้วยสายรุ้งมากมายคล้ายวันขึ้นปีใหม่ต่างกันแค่ตรงที่ข้อความเขียนว่า
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน” เท่านั้นเอง
“ที่ไม่มีใครไปรับผมเพราะอย่างนี้นี่เอง” บีสท์ทำปากยื่นส่งเสียงน้อยใจเมื่อพ่อกับแม่เดินเข้ามาหา แม่หัวเราะเล็กน้อยแล้วลูบหน้าลูบตาลูกชายคนเล็กบิดแก้มบีสท์เบา ๆ
“กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจไปแล้วหรือลูกแม่”
“คุณน่าจะดีใจนะ” พ่อบอกกลั้วหัวเราะ ผมสงสัยได้ไม่นานพี่แบทก็เป็นคนแถลงไขให้ฟัง
“ก็มันเป็นลูกคนเล็กที่ไม่เหมือนลูกคนเล็กไง ทำตัวเป็นผู้นำเข้มแข็งตั้งแต่เด็กแล้ว พี่แกล้งมันแย่งของเล่นอะไรก็ไม่เคยร้องไห้หรือเอาไปฟ้องพ่อกับแม่เลยสักครั้งแถมยังไม่เคยอ้อนขอของเล่นพ่อกับแม่เลยด้วย หมดกันน้องเล็กของบ้านที่ทุกคนวาดหวัง” พี่แบทถอนหายใจเหมือนคนสิ้นหวังแต่ใบหน้าของเขาฉาบด้วยรอยยิ้ม
“แต่ก็เพราะเป็นแบบนี้แหละพี่ถึงรักมันมาก”
“ผมเข้าใจครับ” ผมยิ้มมองบีสท์ที่ตอนนี้พวกเพื่อน ๆ ของเขาช่วยกันพยุงไปนั่งที่โซฟาแล้ว พี่แบทมองตามแล้วหันกลับมามองผม
“ออกไปคุยกันข้างนอกแปบนึงได้ไหม ไปบอกมันไว้ก่อนล่ะเดี๋ยวจะอาละวาด” ผมอมยิ้มพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปนั่งยองตรงหน้าบีสท์ เขาเลิกคิ้วถามเมื่อเห็นว่าผมไม่นั่งลงข้าง ๆ
“เดี๋ยวออกไปคุยกับพี่แบทแปบนึงนะ” บีสท์เงยหน้าไปมองพี่แบทสักครู่ก็กลับมามองหน้าผมแล้วยิ้มให้
“อื้มไปเถอะ”
ผมกับพี่แบทเดินออกมานั่งกันตรงทางเชื่อมของสองบ้านที่มีน้ำตกจำลองและบ่อปลาคาร์ฟเขาเดินไปนั่งที่เปลแขวนส่วนผมนั่งตรงเก้าอี้รูปทรงแปลก ๆ ที่พวกเด็กสถาปัตย์ของบ้านนี้เขาออกแบบกัน
“จะว่าไปพี่ก็ไม่เคยพูดกับเราอย่างจริงจังสักครั้งเลยเนอะ”
พี่แบทบอกด้วยน้ำเสียงสบายแต่ผมเริ่มไม่สบายไปด้วยแล้ว จะพูดเรื่องเครียดอะไรหรือเปล่านะและเหมือนว่าอีกคนจะอ่านสีหน้าของผมออกพี่เขาถึงหัวเราะออกมา
“อย่าทำหน้าเหมือนพี่จะอุ้มเราไปขายสิ ไม่ใช่เรื่องอะไรหนักหนาหรอกน่าอย่าไปซีเรียสพี่แค่อยากคุยกับเราในฐานะคนรักของน้องพี่เฉย ๆ” พี่แบทบอกพร้อมกับไกวเปลที่ตัวเองนั่งไปด้วย
“ครับ” เขายิ้มออกมาเล็กน้อย
“พูดน้อยเหมือนที่เจ้าพวกนั้นบอกมาเลย เข้าสังคมไม่เก่งหรือเล่าให้พี่ฟังบ้างได้หรือเปล่าเรื่องของเราน่ะ” พี่แบทยิ้มใจดีส่งมาให้ ผมยิ้มพยักหน้าตอบเขาไป
“รู้สึกเกร็งนิดหน่อยครับแล้วผมก็ไม่ใช่คนพูดเก่ง”
“ถ้าไม่ได้อยู่กับคนที่สนิท?” พี่แบทช่วยเสริม ผมพยักหน้ารับ
“ใช่ครับ คือผมค่อนข้างเป็นเด็กมีปัญหามาก่อนเลยกลายเป็นคนที่ปิดตัวเอง”
“แล้วน้องชายของพี่ก็เป็นคนที่เข้ามาปลดล็อคประตูนั้นให้เปิดออก” ผมยิ้ม
“ครับ บีสท์ทำให้ผมรู้ว่าชีวิตยังสามารถมีความสุขได้อีกเยอะเพียงแค่เราเปิดใจ เขาทำให้ผมรู้สึกถึงอะไรหลาย ๆ อย่างทั้งความรัก มิตรภาพ ครอบครัวสิ่งเหล่านั้นผมเคยทำมันหล่นหายไปและบีสท์ก็เป็นคนนำกลับมาให้ผมทำให้ผมได้รู้จักความสุขอีกครั้งแล้วก็ทำให้ผมได้รู้ว่าการได้รักใครสักคนและได้รับความรักคืนมามันมีค่าแค่ไหน ผมโชคดีมากครับที่เจอเขา”
“พูดได้ดี พี่ก็ไม่อยากพูดหรอกนะว่าผ่านอะไรมามากเพราะพี่ก็ไม่ได้อายุมากกว่าพวกเราเท่าไหร่ ครอบครัวก็ยังไม่มีแต่พี่ก็สามารถบอกได้ว่าพี่ดูคนเป็น ไม่ใช่แค่เราหรอกที่โชคดีบีสท์เองก็โชคดีเหมือนกันที่เจอเรา เขาเป็นคนรักครอบครัวและรักเพื่อนมากแค่เห็นก็น่าจะรู้” ผมพยักหน้า เรื่องรักเพื่อนไม่ต้องบอกทุกคนก็รู้ดีว่าพวกเขารักกันมากแค่ไหน
“แต่เพราะมันรักเพื่อนมากนี่แหละทำให้มันรู้สึกว่าบางอย่างในชีวิตอย่างเช่นคนรักก็ไม่จำเป็น ไม่ใช่แค่บีสท์หรอกนะที่คิดแบบนี้ในกลุ่มนั้นน่ะเป็นกันหลายคนเชียวล่ะมันเป็นข้อเสียที่พวกนั้นมีอยู่แต่ก็อาจจะเป็นเพราะพวกเขายังไม่เจอคนที่รู้สึกว่าสามารถรักและอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยจริง ๆ ก็ได้มั้ง”
“พี่เคยกลัวด้วยนะว่ามันจะพากันขึ้นคานแต่พอมาวันหนึ่งที่บีสท์มายอมรับแมน ๆ กับที่บ้านว่าชอบคน ๆ หนึ่งอยู่และเขาคนนั้นเป็นผู้ชาย ซันเชื่อป่ะว่าพี่ไม่ได้ตกใจเลยแต่พี่โคตรดีใจที่มันรู้จักรักคนอื่นเป็นแล้ว กับพ่อแม่เขาก็คงมีตกใจบ้างแหละแต่บ้านเราสอนให้ซื่อสัตย์กับตัวเองถ้ากล้าพูดออกมาแบบนั้นแล้วแปลว่ามันจริงจังกับความสัมพันธ์ทุกคนถึงยอมรับ สิ่งที่พี่อยากถามเราก็คือ...เราจริงจังกับความสัมพันธ์นี้แค่ไหน”
“บีสท์เป็นคนที่ผมรักเป็นคนที่ผมรู้สึกอยากอยู่ด้วยในทุก ๆ วัน ถ้าถามว่าผมจริงจังกับความรักครั้งนี้มากแค่ไหน...มากครับ ผมจริงจังและคาดหวังกับมันมากเพราะถ้าเป็นไปได้ในอีกยี่สิบหรือหลายสิบปีข้างหน้าผมก็อยากให้เราอยู่ด้วยกัน และรักกันแบบนี้” พี่แบทยิ้มแล้วลุกขึ้นเดินมาตบไหล่ผมเบา ๆ
“ฝากน้องชายพี่ด้วยนะ หนักนิดเบาหน่อยมีอะไรขุ่นเคืองใจก็พูดกันด้วยเหตุผลพี่จะคอยดูและสนับสนุนเราสองคนเสมอ พ่อกับแม่ก็ด้วย”
ผมรู้สึกหน้าร้อนเพราะคำพูดของพี่แบทเหมือนเวลาพวกผู้ใหญ่พูดกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวในวันแต่งงานอย่างไรอย่างนั้น ผมยกมือไหว้พี่เขา
“ขอบคุณมากครับ”
เราสองคนเดินกลับเข้ามาในบ้านพ่อกับแม่ก็เดินสวนออกมาพอดีผมจึงไหว้ลาพวกท่าน พี่แบทอยู่คุยเล่นกับสกายที่หน้าบ้านอีกนิดหน่อยก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อ
ผมเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นพวกเพื่อนนั่งกันกระจายไปทั่วทั้งพื้นทั้งโซฟาเชนกำลังเดินไปปิดผ้าม่านเปายูและมาร์คช่วยกันหอบทั้งหมอนและผ้าห่มเดินลงมา มองภาพเหล่านั้นด้วยความแปลกใจแล้วเดินมานั่งข้างบีสท์
“แบทกลับไปแล้วหรือ”
“อื้อ แล้วนี่ทำอะไรกันปิดม่านจนห้องมืดไปหมด”
ผ้าม่านของบ้านนี้เขาเป็นแบบกันยูวีพอดึงปิดทีถ้าไม่ได้เปิดไฟก็จะมืดสนิทเหมือนตอนกลางคืนเหมือนอย่างตอนนี้ที่มีแค่แสงไฟจากทีวีจอยักษ์ส่องอยู่นั่นเอง
“จะดูหนังผีกัน” บีสท์บอก
ผมกวาดตามองพวกเพื่อน ๆ แล้วขำดูสิพวกผู้หญิงนั่งกันเป็นกระจุกอยู่ตรงโซฟาอีกตัวส่วนพวกผู้ชายก็กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นยกเว้นผมกับบีสท์ที่นั่งอยู่ตรงโซฟา ท่าทางการนอนดูก็แตกต่างกันไปตามความกลัว ถ้ากลัวน้อยอย่างเปา เชนและยูก็จะกอดหมอนกันคนละใบ ถ้ากลัวมาก ๆ อย่างมาร์ค สกายและพวกเพื่อนผู้หญิงบางคนก็จะเอาผ้าคลุมตัวเหมือนดักแด้ก็ไม่ปาน
“อารมณ์ไหน”
“ไม่มีอะไรทำกันไง” บีสท์ยิ้มบอกแล้วดึงให้ผมลงนอนหนุนอกเขาดึงผ้าห่มคลุมถึงเอวเป็นอันเสร็จสรรพ
“ดูเรื่องไรกันดี ๆ” แตงกวาถามเสียงตื่นเต้น
“วันนี้ว่างกันทั้งวันจัดเต็มยาว ๆ ไปเลยเว้ย” เจนบอก
“เค้าขอไม่เอาหนังผีญี่ปุ่นนะดูไม่ค่อยรู้เรื่อง” มาร์คยกมือพูดโดยมีเชนกับเปาพยักหน้าเห็นด้วยและยกมือตาม
“เค้าด้วย”
“เค้าด้วย”
“โอเคงั้นเริ่มที่เรื่องอะไรดี” เมเปิ้ลผู้ถือครองคีย์บอร์ดถามขึ้น แพรวยกมือพวกเพื่อนเลยหันไปหาเธอ
“ขอแบบซอฟ ๆ ก่อนนะอยากดู the eyes 10 ว่ะ”
“เออ ๆ พูดแล้วก็อยากดูเลยอยากดูพี่ป๋อหลิน” นาฟบอก
เราจึงตกลงดูหนังเรื่องแรกคือเรื่อง the eyes 10 หนังเก่าตั้งแต่ปีอะไรก็ไม่รู้ผมจำไม่ได้จำได้แค่ว่าตอนนั้นเด็กมาก ผมกับบีสท์นอนดูกันเงียบ ๆ จะมีก็แต่พวกที่กลัวผีขึ้นสมองโวยวายให้ขำกันเป็นพัก ๆ ดีที่เรื่องนี้สำหรับผม ผมว่าไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่แต่ก็จะมีฉากสะเทือนใจบ้างในช่วงหลังแต่โดยรวมถือว่าไม่ค่อยน่ากลัวอันนี้คอนเฟิร์มจากมาร์คและสกาย
เรื่องต่อไปที่ดูกันก็คือเรื่อง the conjuring ที่แจมหามาจากในอินเตอร์เน็ตว่าสร้างมาจากเรื่องจริง ผมว่าเรื่องนี้น่ากลัวใช้ได้เลยนะแต่ผมกับบีสท์ที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้เป็นทุนเดิมก็ดูกันสบาย ๆ ผิดกับพวกที่กลัวอย่างเช่นมาร์คในตอนนี้...
“แว๊กก!!! ไอ้ห่าทำไมไม่ย้ายบ้านไปซะทีวะไอ้บ้าเอ๊ย”
มาร์คสะดุ้งตัวโยนแล้วขยับตัวไปนั่งระหว่างขาเปาที่นั่งชิลดูอยู่บนโซฟาเดี่ยว พวกผู้หญิงมีหลุดกรี๊ดออกมาบ้างเวลาซาวน์เสียงดัง ๆ หรือเวลาที่ผีออกมา สกายสะดุ้งเป็นพัก ๆ เห็นแล้วก็ขำ
“เรียนหมอแต่กลัวผีหรือวะสกาย” อดไม่ได้ที่จะถาม และคำตอบที่ผมได้คือหมอนที่พุ่งใส่หน้าผมเต็ม ๆ
“กูเรียนจากวิทยาศาสตร์แต่กูก็ไม่เคยลบหลู่ไสยศาสตร์หรือสิ่งที่มองไม่เห็นเว้ย เงียบ ๆ ไปเลยไอ้เอ๋อ” ผมหัวเราะขำขว้างหมอนคืนไปให้สกายรับเอาไว้ด้วยความแม่นยำ บีสท์หัวเราะขำลูบหัวผม
“ไปทักให้ถูกด่าทำไม” ผมยิ้มยักไหล่
“ไม่รู้สิ สนุกดีเวลาโดนมันด่า”
“กูว่ามึงจะเป็นมาโซคิสม์แล้วมั้งเนี่ย” ผมอมยิ้มแล้วยื่นหน้าไปกระซิบให้เราได้ยินกันแค่สองคน
“So maybe I’m a masochist. I try to run but I don’t want ever leave.” บีสท์ยิ้ม เขาก้มกัดปากผมเบา ๆ
“มาเป็นเพลงเลยนะ ให้จริงเถอะ” ผมเลิกคิ้วถาม
“จริงอะไรล่ะ”
“ที่ว่าจะไม่ไปน่ะ” ผมกระชับแขนที่กอดเอวของเขาอยู่ ซบหน้าลงบนอกเขาอย่างออดอ้อน
“ไม่ไปไหนหรอก ไล่ยังไงก็ไม่ไป”
“กูว่าหนังผีจะกลายเป็นหนังรักเพราะกูนั่งอยู่ข้างไอ้คู่รักแห่งปีนี่แหละ”
เสียงเปาดังขึ้นเนิบ ๆ ตามมาด้วยเสียงโห่แซวจากเพื่อนและถ้อยคำจิกกัดมากมาย ผมในตอนนี้แข็งแกร่งแล้วล้อมาเท่าไหร่ก็ไม่มีสะท้านดังนั้นล้อกันได้ไม่นานพวกเขาก็เงียบเสียงลงกันไปเอง
ดำเนินกันมาถึงเรื่องที่สามแต่หลาย ๆ คนยกมือขอพักเบรกกินข้าวกลางวันกันก่อนพวกเราจึงย้ายจากห้องนั่งเล่นมาที่ห้องครัวเห็นอาหารเยอะแยะมากมายวางไว้เรียบร้อยก็นึกสงสัย
“แม่ให้คนที่บ้านมาเตรียมไว้ให้น่ะ” บีสท์บอกก่อนที่ผมจะช่วยพยุงเขามานั่งและมีผมนั่งป้อน
ถามว่าทำไมถึงยังต้องป้อนก็เพราะว่าคุณชายเขาติดนิสัยนั่งสบาย ๆ อ้าปากรับข้าวจากผมไปแล้วน่ะสิ ดุเข้าหน่อยก็ทำหน้าหงอยหางลู่หูตกเป็นรักยมเวลาโดนพ่อ ๆ (เปากับสกาย)มันดุ เห็นอย่างนั้นทีไรผมก็สงสารเขาทุกทีถึงเพื่อนจะบอกว่าบีสท์แสดงเรียกร้องความสนใจแต่ผมก็เต็มใจทำให้ตลอด
“ของโปรดกูเลย ๆ”
สกายกระโดดโลดเต้นตามองจ้องไปยังแกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากรายถ้วยโต ผมมองบรรดาอาหารบนโต๊ะแล้วก็อดทึ่งไม่ได้โต๊ะจีนยังต้องชิดซ้ายบุฟเฟ่ต์หรือ? ผมว่าอาจจะแพ้ได้นะเพราะอาหารที่อยู่ตรงหน้ามันเยอะจริง ๆ ชนิดที่ว่าโต๊ะกินข้าวตัวยาวของบ้านวางตั้งแต่หัวโต๊ะยันท้ายโต๊ะกันเลยทีเดียว แต่รับประกันความอร่อยได้อย่างดีเพราะแต่ละคนรวมถึงพวกผู้หญิงขอเพิ่มกันคนละจานสองจานทำเอาป้าแม่ครัวที่บ้านบีสท์ยิ้มแก้มปริ
“จุดหมายของพวกเราถัดไปคือลัดดาแลนด์!” มาร์คตะโกนบอกเมื่อเขาเก็บล้างจานชามทั้งหมดเสร็จแล้วโดยมียูยิ้มส่ายหัวเดินตามหลังมา
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยว่าจะดูลัดดาแลนด์พวกเราก็มานั่งประจำที่กันอีกครั้ง แล้วนี่เรื่องความน่ากลัวและการตกใจเพิ่มขึ้นกันอีกระดับส่วนหนึ่งเพราะเป็นหนังไทยที่เราคุ้นเคยและส่วนหนึ่งคือความน่ากลัวของผี ผมเองยังแอบสะดุ้งไปตั้งหลายครั้ง
“ไอ้เหี้ย!!!! กูบอกแล้วว่าอย่าเข้าป๊ายยยย”
มาร์คตะโกนบอกตัวละครในเรื่องเสียงหลง พวกผมหัวเราะเพราะมันทำอย่างกับว่าเขาจะได้ยินมันอย่างนั้นแหละ
“โอ๊ยแม่งขี้เสือกจริง ๆ”
ส่วนสกายนั้นด่าได้ตลอดตั้งแต่เด็กยันคนแก่แถมยังสะดุ้งได้ตลอดเวลาดีที่มันไม่โวยวายเหมือนมาร์ค เพื่อนผู้หญิงก็มีหลุดกรี๊ดกันบ้างเวลาผีโผล่ออกมาไม่ทันตั้งตัวเอาเป็นว่าเรื่องนี้กว่าจะจบแต่ละคนแทบหยุดหายใจกันเลยทีเดียวหนังจบในเวลาบ่ายแก่ ๆ บีสท์หาวแล้วหาวอีกผมจึงพาเขาไปนอนในห้องนอนชั้นล่างที่ปัดกวาดเช็ดถูไว้ให้บีสท์และผมนอนชั่วคราว
“ดูกันจนกูติดตาแล้ว” บีสท์บ่นเบา ๆ เมื่อเราเข้ามาในห้องนอน ผมเดินไปปิดม่านหน้าต่างเล็กน้อยแล้วกลับมาล้มตัวลงนอนข้างเขา
“อือกูจะเห็นหน้ามึงเป็นมะขิ่นแล้ว” ผมอมยิ้มบอกบีสท์เลยโดนฟัดแก้มไปตามระเบียบ
“คุยอะไรกับแบทอ่ะ”
“นึกว่าจะไม่ถามซะแล้ว” เขาหัวเราะ ผมขยับตัวนอนตะแคงโดยที่บีสท์กอดซ้อนทางด้านหลัง
“ถามสิ”
“พี่แบทถามว่ากูจริงจังกับมึงแค่ไหน”
“มันไม่ได้ขู่อะไรใช่ไหม” ผมหลุดหัวเราะแล้วตีมือเขาเบา ๆ
“อย่าไปว่าพี่แบบนั้นดิ เขารักมึงจะตาย”
“รู้ว่ามันรักและก็เพราะรู้นั่นแหละถึงกลัวว่ามันจะไปขู่อะไรมึง”
“ไม่ได้ขู่อะไรหรอก พอกูบอกว่ากูจริงจังพี่แบทก็บอกให้ดูแลกันดี ๆ มีอะไรก็คุยกันด้วยเหตุผล พี่เขาแล้วก็พ่อกับแม่จะคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลังเอง” บีสท์ถอนหายใจเหมือนโล่งอกก่อนจะถึงผมไปกอดแน่นขึ้น
“กูจะพยายามไม่หึงมึงจนเกินไปนะ”
“กูเองก็เหมือนกัน มีอะไรต้องคุยกันนะกูเองก็ไม่เคยเห็นมึงโกรธหรือไม่พอใจอะไรกูเพราะฉะนั้นถ้าโกรธอะไรต้องบอกนะ กูโง่กูเอ๋ออย่างสกายมันว่านั่นแหละไม่บอกกูไม่รู้หรอก” บีสท์หัวเราะ ริมฝีปากร้อนจูบท้ายทอยผมเบา ๆ
“อื้มแต่กูจะลงโทษในแบบของกูนะ โอ๊ยซันเจ็บ” ผมหยิกหลังมือเขาเบา ๆ เองแต่เล่นใหญ่อย่างกับองค์มาร์คประทับ
“ตลอดแหละมึง หาเศษหาเลยกับกูตลอด”
“เอ๋าก็กูมีมึงแค่คนเดียวนี่”
“ยอม!” พูดเองก็เขินเองแล้วผมก็ผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ตื่นมาอีกทีในช่วงเย็นมากแล้วดูจากฟ้าข้างนอกน่าจะใกล้หกโมงเย็นเต็มที มองไปยังข้างตัวก็เลิกคิ้วแปลกใจบีสท์หายไปไหนกันนะ ตื่นแล้วทำไมไม่ปลุกแล้วนี่ใครช่วยพยุงออกไปข้างนอกกัน ถึงเขาจะใช้ไม้ค้ำยันได้แต่ผมก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี ผมเดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำเสร็จแล้วก็เดินออกมาหาบีสท์ทางด้านนอกก็รู้สึกแปลกใจ บ้านทั้งบ้านมืดสนิทเห็นแสงไฟลอดออกมาจากห้องนั่งเล่นจึงเดินคลำทางไปดู บอกแล้วว่าผ้าม่านบ้านนี้ถ้าปิดสนิทล่ะก็กลางวันก็กลายเป็นกลางคืนได้ทันที
“happy birthday to you, happy birthday to you, happy birthday happy birthday… happy birthday to you...”
ผมยืนนิ่ง ด้านหน้ามีบีสท์ยืนถือเค้กอยู่โดยมีเพื่อนเขาประคองคนละข้าง เสียงเพลงอวยพรวันเกิดดังขึ้นทำให้ผมเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้คือวันเกิดตัวเอง นึกแปลกใจว่าทำไมตากับยายหรือพวกเพื่อนไม่ส่งข้อความมาแต่ภาพตรงหน้าก็คลายความสงสัยของผมได้ทั้งหมด ตากับยายและเพื่อน ๆ ของผมยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น ผมยิ้มกว้างเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าบีสท์ ประสานมือไว้ตรงอกอธิฐานเสร็จก็เป่าเทียนแล้วทั้งห้องก็สว่างขึ้นมาอีกครั้ง
ปุ้ง ! ปุ้ง!
“สุขสันต์วันเกิดนะซัน!”
“สุขสันต์วันเกิดนะลูก”
“ขอบคุณครับ ขอบคุณทุก ๆ คนมาก ๆ เลย ขอบคุณนะ”
คำขอบคุณสุดท้ายผมหันมาหาบีสท์ เขายิ้มกว้างจนตาหยีพยักหน้ารับ ผมรับเค้กมาจากบีสท์เอาไปวางไว้บนโต๊ะเดินไปกอดตากับยายให้หายคิดถึงพร้อมกับได้ของขวัญกล่องใหญ่มาจากตากับยาย เดินไปขอบคุณพ่อกับแม่ของบีสท์ พี่แบท พวกคริษฐ์ที่มาร่วมอวยพรรวมทั้งพวกเพื่อนบ้าที่บ้าน ดีใจจนไม่สามารถกลั่นคำพูดออกมาได้นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้ฉลองวันเกิดที่มีคนมาอวยพรให้เยอะขนาดนี้และทุก ๆ คนคือคนสำคัญของผม
“ขอบคุณนะ”
ผมเดินเข้ามากอดบีสท์เขาเซเล็กน้อยแต่ก็สามารถพยุงตัวเอาไว้ได้ บีสท์กอดตอบลูบหัวผมด้วยความอ่อนโยน
“สุขสันต์วันเกิดนะอยู่ให้กูรักไปนาน ๆ อย่าเพิ่งรีบหนีกันไปไหนล่ะ” เขากล่าวอวยพรแล้วกดจูบที่ขมับผมแรง ๆ ผมกอดเขาแน่น
“อื้อ ขอบคุณมาก ๆ จะอยู่รักมึงไปตลอดทุก ๆ วัน รักนะ รักมาก ๆ รักจริง ๆ”
“ครับ รักมึงเหมือนกันนะ”
ตอนนี้ผมทิ้งอดีตไปแล้ว วันข้างหน้ายังคงเป็นปริศนาที่ผมไม่สามารถล่วงรู้ได้ ผมมีแค่ปัจจุบันที่ผมพอใจกับสิ่งที่ตัวเองเลือกและเป็นอยู่ ผมมีกลุ่มคนที่ผมรักและรักผมรวมถึงบีสท์ คนรักของผม หัวใจของผม สายตาที่มองมาที่ผม สายตาที่บ่งบอกชัดเจนว่ารักและการกระทำอีกมากมายที่เขามอบให้ เพียงเท่านี้ชีวิตที่แสนธรรมดาของผมก็สมบูรณ์แบบแล้ว
“
ขอบคุณนะอสูรของดวงตะวัน”
You’re my reflection, all I see is you
My reflection, in everything I do
…because you are the love of my life…
Mirrors – Justin Timberlake
End.
talk. ในที่สุดเราก็มาถึงตอนสุดท้ายจนได้ ฮือรู้สึกใจหายแต่งานเลี้ยงยังไงก็ต้องมีวันเลิกราเนอะ หวานกันจนบรรทัดสุดท้ายต้องยอมให้เขาเลยจริง ๆ
เดี๋ยวมาดูกันว่าในตอนพิเศษจะหวานหรือเปล่า เดี๋ยวจะเอามาลงให้อีกประมาณสองตอนน้า แอบกระซิบว่ามีในเล่มอีกเยอะเลยนะ อิอิและเรื่องสั้น เราจะไม่ทำให้ทุกคนเผียดหวัง!
ขอบคุณที่อยู่กันมาจนจบนะคะ ขอบคุณมาก ๆ ที่ชอบงานเขียนของเรา เราจะเอาจุดบกพร่องไปแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นในเรื่องต่อไปน้า อยู่ด้วยกันไปอีกหลาย ๆ เรื่องเลยนะจ๊ะ
แล้วเจอกันในตอนพิเศษค่า
#นิยายตัวร้าย
ปล.วันนี้ไปดูคุโรโกะลาสเกมส์มา โอ้โหหหหหห ไม่รู้จะยกน้องให้ใครเลยแต่ยังไงนายน้อยก็เป็นของเราาา ฮี่ๆๆๆ